คลังเก็บป้ายกำกับ: PIXEL_3

สงสัยติดใจ… Clint Barton และนักแสดงหลักหลายคนในซีรีส์ Hawkeye ล้วนใช้มือถือ Pixel ของ Google

ภาพยนตร์ The Avengers: Endgame ที่ออกฉายในปี 2562 มี Pixel 3 ในสี Not Pink ออกมาให้เห็นกันชัด ๆ 2 ฉาก เครื่องหนึ่งเป็นของเด็กผู้หญิงที่มาขอถ่ายรูปกับ Hulk ในร้านอาหาร และอีกเครื่องหนึ่งเป็นของ Clint Barton ซึ่งทาง MARVEL เกิดติดใจมือถือจาก Google หรืออย่างไรไม่ทราบ ล่าสุดมีทั้ง Pixel 3 และ Pixel 4 โผล่ตามมาอีกเพียบในซีรีส์ Hawkeye ที่พึ่งฉายทาง Disney+ และ Disney+ Hotstar ในบ้านเราไปไม่นาน


Pixel 3 ปรากฏตัวครั้งแรกใน The Avengers: Endgame

Clint Barton ในซีรีส์ Hawkeye ยังคงใช้ Pixel 3 อยู่ แต่เปลี่ยนมาเป็นสี Just Black แทน ในขณะที่ Laura เองก็ใช้รุ่นเดียวกันในสี Just Pink หรืออาจเดาได้ว่าเป็นเครื่องเก่าของเจ้าตัวที่ยกให้ภรรยาใช้ต่อ (?)


Hawkeye ใช้ Pixel 3 เหมือนเดิมในอีกหลายปีให้หลัง แต่เปลี่ยนเป็นสี Just Black


Laura ใช้ Pixel 3 เหมือนกัน

ในขณะที่ครอบครัว Bishop ทั้ง Kate ผู้สืบทอด Hawkeye กับ Eleanor ผู้เป็นแม่ ต่างใช้ Pixel 4 ทั้งคู่ ของ Kate นั้นเห็นได้ว่าเป็นสี Just Black ส่วนของ Eleanor ใส่เคส Fabric สี Sorta Smokey ทับเอาไว้


Pixel 4 ของ Kate จากสีปุ่มทำให้บอกได้ว่านี่คือเครื่องสี Just Black


Eleanor กับ Pixel 4 ที่ใส่เคส Fabric สี Sorta Smokey

หากนับตามไทม์ไลน์ในจักรวาลหนัง MARVEL แล้ว เวลาในเรื่องซีรีส์ Hawkeye ควรจะอยู่สักประมาณปี 2566 แต่ซีรีส์นี้เริ่มถ่ายทำมาตั้งแต่ตอนเดือนธันวาคม 2563 และสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2564 รวมถึงมีการถ่ายทำเพิ่มเติมเมื่อเดือนกันยายนในปีเดียวกัน แต่นั่นเป็นช่วงก่อนที่ Google จะจัดงาน Pixel Fall Launch อยู่ดี เราจึงไม่ได้เห็น Pixel 6 รุ่นใหม่ล่าสุดโผล่มาในเรื่อง ส่วน Pixel 5 ยังมีลุ้น

ตอน The Avengers: Endgame นั้นชัดเจนว่า Google เป็นสปอนเซอร์โปรโมต Pixel 3 เพราะมีการออกคลิปโฆษณาอย่างเป็นทางการ แต่กับซีรีส์ Hawkeye นี้ยังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง แฟน ๆ บางส่วนเดาว่า อาจเป็นเพราะ Pixel นั้นมีหน้าตาที่ดูเรียบง่ายเฉย ๆ ก็ได้ 😀

 

ที่มา : 9to5Google

from:https://droidsans.com/google-pixel-marvel-hawkeye-series/

Google ปล่อยแพตช์ความปลอดภัยเดือน พ.ย.แล้ว – ปัญหาจอกะพริบใน Pixel 6 รอแก้เดือน ธ.ค.

Google ออกแพตช์ความปลอดภัยประจำเดือนพฤศจิกายน 2564 ให้กับมือถือตระกูล Pixel แล้ว ทาง Pixel 3 ที่มีอายุครบ 3 ขวบสิ้นสุดระยะเวลาสนับสนุนซอฟต์แวร์เป็นที่เรียบร้อยตามกำหนดการ (แต่ในทางปฏิบัติอาจได้อัปเดตครั้งสุดท้ายในเดือนธันวาคม เหมือนอย่างตอน Pixel และ Pixel 2) ส่วน Pixel 6 ที่มีรายงานปัญหาเรื่องจอกะพริบ บริษัทฯ รับทราบปัญหาแล้ว พร้อมระบุไม่ใช่ข้อบกพร่องจากฮาร์ดแวร์ แต่เฟิร์มแวร์สำหรับแก้ไขจะมาในเดือนถัดไป

เรื่องน่าเสียดายสำหรับ Pixel 3 คือ อาจไม่ได้ไปต่อกับ Android 12L ที่จะมาในไตรมาส 1 ปี 2565 เพราะอยู่นอกเหนือกรอบเวลาซัพพอร์ต รวมถึงรายชื่อมือถือที่ Google เปิดให้ทดสอบ Beta ในเดือนธันวาคมนี้ก็ไม่มีชื่อ Pixel 3 รวมอยู่ด้วย ซึ่งน่าจะเป็นการยืนยันเรื่องนี้ได้อีกทางหนึ่ง

Pixel 6 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ Google การันตีอัปเดตแพตช์ความปลอดภัยให้เป็นเวลา 5 ปี ส่วน Pixel 5a with 5G หรือเก่ากว่า ยังยืนยันตามเดิมที่ 3 ปี รุ่นต่อไปที่กำลังจะหมดระยะสนับสนุนซอฟต์แวร์คือ Pixel 3a ในเดือนพฤษภาคม 2565

รุ่น การันตีอัปเดต Android การันตีอัปเดต Security Patch
Pixel 6 & Pixel 6 Pro ตุลาคม 2567 ตุลาคม 2569
Pixel 5a with 5G สิงหาคม 2567 สิงหาคม 2567
Pixel 5 ตุลาคม 2566 ตุลาคม 2566
Pixel 4a (5G) พฤศจิกายน 2566 พฤศจิกายน 2566
Pixel 4a สิงหาคม 2566 สิงหาคม 2566
Pixel 4 & Pixel 4 XL ตุลาคม 2565 ตุลาคม 2565
Pixel 3a & Pixel 3a XL พฤษภาคม 2565 พฤษภาคม 2565
Pixel 3 & Pixel 3 XL ตุลาคม 2564 ตุลาคม 2564

 

ที่มา : Google | 9to5Google

from:https://droidsans.com/google-pixel-3-end-of-life-sw-support/

ผู้ใช้งาน Pixel 3 หลายคนเจออาการ “Brick” อย่างไม่ทราบสาเหตุ – เครื่องใช้งานอะไรไม่ได้เลย

เว็บบอร์ดต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ได้ปรากฏกระทู้เกี่ยวกับปัญหา “Pixel 3 เครื่องติดล็อกโดยไม่ทราบสาเหตุ” ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แม้จะยังเปิดเครื่องและชาร์จแบตได้ แต่อุปกรณ์จะไม่มีอินพุตและไม่ตอบสนองใด ๆ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “เครื่อง brick กลายเป็นที่ทับกระดาษ” นั่นแหละครับ ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีวิธีแก้ไข ส่วน Google เองก็ยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อะไร

จากการตรวจสอบพบว่า อาการดังกล่าวของ Pixel 3 คือ การติดอยู่ในโหมดดาวน์โหลดฉุกเฉิน (Emergency Download: EDL) ทราบได้จากการที่เมื่อนำอุปกรณ์ไปเชื่อมต่อกับพีซีแล้วขึ้นว่า “QUSB_BULK_CID” ตามด้วยหมายเลขซีเรียลของสมาร์ทโฟน โหมดนี้เป็นฟีเจอร์ที่มากับชิปของ Qualcomm เป็นโหมดการบูตแบบพิเศษสำหรับวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น ปลดล็อกโทรศัพท์ การกู้คืนรอม หรือบังคับแฟลชเฟิร์มแวร์ เป็นต้น

ตามปกติแล้วโหมด EDL จะถูกเรียกขึ้นมาด้วยวิธีการที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น และการรีบูตอุปกรณ์จะเป็นการกลับเข้าสู่ระบบ Android ตามปกติ แต่ผู้ใช้งาน Pixel 3 หลายรายบอกว่า ลองใช้วิธีนี้แล้ว แต่ก็กลับมาติดในโหมด EDL เหมือนเดิม… ดังนั้น ทางออกเดียวสำหรับตอนนี้คงเหลือแค่การส่งเครื่องไปซ่อมกับ Google (ซึ่งก็ยังไม่รับประกันว่าจะซ่อมได้หรือเปล่านะ)

Android Police รายงานว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นมาได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว อย่างน้อย ๆ ก็ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว (แต่พึ่งมาเยอะในช่วงนี้) โดย Android Police ได้ติดต่อไปยัง Google เพื่อขอคำชี้แจงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการตอบกลับใด ๆ ครับ

ปล. เท่าที่ไล่ ๆ ดู ฝั่งของประเทศไทยเรา Pixel 3 ยังไม่มีใครเจอปัญหานะครับ

 

ที่มา : Android Police | GSMArena | IssueTracker

from:https://droidsans.com/google-pixel-3-bricked-edl-mode/

Android 11 DP1 มาแล้ว เปิดให้นักพัฒนาและผู้ใช้งาน Pixel ได้ร่วมทดสอบก่อน

มาแบบไม่รู้ตัวกันอีกแล้ว จากตอนแรกที่คาดว่า Google จะเปิดตัว Android 11 ในงาน Google I/O 2020 เดือนพฤษภาคมนี้ กลายเป็นว่าบนหน้าเวบไซต์ Android นั้นได้เริ่มปล่อยให้นักพัฒนาและผู้ใช้งาน Google Pixel เข้ามาลงทะเบียนรับเอา Android 11 DP1 (Developer Preview 1) ไปลองเล่นกันได้แล้ว

แต่เดี๋ยวก่อน! ไม่ใช่ Pixel ทุกรุ่นจะรองรับนะครับ เพราะตอนนี้ Pixel ตัวแรกนั้นหมดอายุไขไปแล้ว เพราะฉะนั้นเครื่องที่จะเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบ Android 11 DP1 ได้ จะต้องเป็น Pixel 2 ขึ้นไป ซึ่งก็จะมีทั้ง Pixel 3, Pixel 3a และ Pixel 4 นั่นเอง (รวมโมเดล XL ด้วยนะ)

การที่ Google ปล่อย Android 11 DP1 ออกมาให้เหล่านักพัฒนาได้ลองสัมผัสก่อนนั้นก็เพื่อที่จะได้แนะนะฟีเจอร์ใหม่ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงตัวระบบก่อนงานเปิดตัว เพื่อให้ช่วยกันทดสอบ ทดลองแอปที่พัฒนาอยู่ให้รองรับกับ Android เวอร์ชั่นใหม่นั่นเอง ซึ่งพอได้ลองเล่น DP1 กันไปแล้ว ก็น่าจะได้ไปพูดคุยกับเหล่าวิศวกรของ Google และ Android ในงาน Google I/O นั่นเองครับ

ส่วนการเปลี่ยนแปลงของ Android 11 ใน DP1 นั้นเบื้องต้นทาง Google ระบุออกมาแค่เรื่องของการทำงานของ API ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป และมาตรการทางด้านความปลอดภัยหรือ Privacy ซะมากกว่า ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามานั้นมีเรื่องของ 5G, Latency, Neural API, Sharing ซึ่งอาจจะต้องขอเวลาไปนั่งอ่านสักแป้บ แล้วจะเขียนแยกเป็นอีก blog แล้วกันนะครับ

 

source : androdid via androidpolice

from:https://droidsans.com/android-11-dp1-arrived-for-developer-and-pixel/

เจ้าของ Pixel 3 / 3a มีเฮ! Google เตรียมปล่อยฟีเจอร์ใหม่ใน Pixel 4 ให้ใช้ด้วย ทั้งโหมดกล้อง NightSight และ Live Caption

เมื่อคืนเราได้เห็นการเปิดตัวมือถือ Pixel 4 และ Pixel 4 XL ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์สุดว้าว ทั้งโหมด NightSight รุ่นใหม่ ที่สามารถถ่ายภาพในที่มืดได้ออกมาชัดเจนสุดๆ จนถ่ายได้แม้กระทั่งทางช้างเผือก และยังมีฟีเจอร์ Live Caption ที่สามารถแปลคำพูดจากคลิปวิดีโอออกมาเป็นตัวหนังสือได้แบบ Real-time อีกด้วย…โดยทั้งสองฟีเจอร์ดังกล่าว ทาง Google ก็มีแผนที่จะปล่อยอัพเดทให้ซีรีส์ Pixel 3 และ 3a ได้ใช้ในเร็วๆ นี้เช่นกัน

หนึ่งในสุดยอดฟีเจอร์กล้องที่ Google นำมาโชว์ในงานเปิดตัว Pixel 4 ก็คงจะหนีไม่พ้นฟีเจอร์ NightSight รุ่นใหม่ (ฟีเจอร์ NightSight รุ่นแรกเปิดตัวมาพร้อมกับ Pixel 3 เมื่อปีที่แล้ว) ที่คราวนี้นอกจากจะถ่ายภาพในที่มืดได้สว่าง คมชัด และจัดการกับเหล่า Noise ได้ดีสุดๆ แล้ว มันยังมีสามารถใหม่ในการลากความเร็วชัตเตอร์ได้ยาวถึง 4 นาที จนสามารถเก็บภาพดาวเต็มฟ้าได้อย่างชัดเจน แถมยังสร้างความฮือฮาด้วยการเก็บภาพทางช้างเผือกได้เลยทีเดียว ซึ่งคนที่อยากได้ฟีเจอร์เทพๆ แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินซื้อ Pixel 4 ก็ได้ เพราะทาง Google ได้โพสท์ลงใน Twitter ของตัวเองว่า ฟีเจอร์ดังกล่าว “Coming to Pixel3a and Pixel 3 as well as Pixel 4” หรือหมายความว่าฟีเจอร์ของ Pixel 4 ก็จะมาให้ใช้ในซีรีส์ Pixel 3a และ Pixel 3 ด้วยเหมือนกัน

และไม่ใช่แค่ฟีเจอร์กล้องเท่านั้น แต่ยังฟีเจอร์ Live Caption ที่สามารถแปลคำพูดจากคลิปวิดีโอต่างๆ ออกมาเป็นตัวหนังสือได้แบบ Real-Time แถมยังไม่ต้องใช้การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วย ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็จะมาลงให้กับ Pixel 3 และ Pixel 3a ด้วยเหมือนกัน

ตามข้อมูลที่ได้มาบอกว่า Google จะปล่อยฟีเจอร์ Live Caption ให้กับ Pixel 3 / 3a ในเดือนธันวาคมนี้ ส่วนฟีเจอร์ NightSight รุ่นใหม่ ในตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลช่วงเวลาเป๊ะๆ แค่คาดว่าจะเป็นช่วงหลังจากนั้นไม่นานครับ

 

ที่มา : Androidauthority

from:https://droidsans.com/pixel-4-nightsight-live-caption-will-come-pixel-3-3a/

Android 10 หรือ Android Q จะปล่อยออกมาให้อัพเดทอย่างทางการ ในวันที่ 3 กันยายนนี้

แหล่งข่าวอ้างว่า Google จะปล่อยระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุด Android 10 ออกมาให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้อัพเดทในวันที่ 3 กันยายน 2019 เป็นต้นไป

สำหรับสมาร์ทโฟนที่จะได้รับการอัพเดท Android 10 เป็นกลุ่มแรก ประกอบไปด้วย Pixel 3, Pixel 3XL, Pixel 3a, Pixel 3a XL, Pixel 2, Pixel 2 XL รวมถึง Pixel รุ่นแรก และ Pixel XL ถึงแม้จะเกินกรอบเวลาการอัพเดทซอฟต์แวร์ภายใน 2 ปี ของ Google

Google ได้ประกาศชื่อเรียกทางการของ Android 10 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเปิดตัวเวอร์ชั่น Beta อย่างทางการที่งาน Google I/O 2019 โดยเรียกว่า Android Q ส่วนจะมีฟีเจอร์อะไรน่าสนใจบ้าง ติดตามอ่านได้ที่นี่

ที่มา – Phonearena
https://www.flashfly.net/wp/264404

from:https://www.flashfly.net/wp/264404

ชมภาพถ่ายจาก Pixel 3a XL ทั้งในสภาพแสงกลางวัน แสงน้อย และ Night Sight

ระบบกล้องหลังของ Pixel 3 ที่เปิดตัวในปลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นกล้องที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งของสมาร์ทโฟน Android ในปัจจุบัน และ Google ก็นำระบบกล้องจาก Pixel 3 มาสู่รุ่นน้องในปีนี้ Pixel 3a และ Pixel 3a XL ซึ่งได้รับกล้องหลัง 12.2 ล้านพิกเซลเช่นเดียวกัน แต่จะมีคุณภาพมากแค่ไหน? ตัดสินใจได้ด้วยตัวเองจากภาพถ่ายด้านล่าง ที่บันทึกมาจาก Pixel 3a XL

ภาพถ่ายในสภาพแสงตอนกลางวัน

ภาพถ่ายในที่แสงน้อย

ภายถ่ายในเวลากลางคืนด้วย Night Sight

Google พร้อมวางจำหน่าย Pixel 3a และ Pixel 3a XL อย่างทางการแล้ว โดยมีราคาเริ่มต้น 399 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 12,600 บาท และ 479 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 15,125 บาท ตามลำดับ

ที่มา – AndroidCentral
https://www.flashfly.net/wp/250855

from:https://www.flashfly.net/wp/250855

เปรียบเทียบกล้องเซลฟี่ของ Galaxy S10+, Huawei P30 Pro, iPhone XS Max, Pixel 3, OnePlus 6T, และ LG G8 มาดูกันว่ารุ่นไหนจะทำคะแนนสูงที่สุด

กล้องหน้าของสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน กลายเป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักที่ผู้ใช้งานให้ความสำคัญพอๆ กับกล้องหลัง ด้วยความนิยมการถ่ายภาพแนวเซลฟี่ที่เพิ่มสูงขึ้น และตอนนี้เรามีตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของสมาร์ทโฟนเรือธงที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในตลาดตอนนี้มาเปรียบเทียบพร้อมกัน 6 รุ่น

เว็บไซต์ Phonearena ได้นำสมาร์ทโฟนระดับเรือธงอย่าง Samsung Galaxy S10+, Huawei P30 Pro, Apple iPhone XS Max, Google Pixel 3, OnePlus 6T, และ LG G8 ThinQ มาเปรียบเทียบคุณภาพของกล้องหน้า เพื่อหาคำตอบว่าสมาร์ทโฟนรุ่นไหนจะถ่ายภาพเซลฟี่ได้ดีที่สุด พร้อมให้คะแนนในแต่ละรุ่น

แต่ก่อนจะเลื่อนลงไปชมการเปรียบเทียบ เรามาดูกันก่อนว่าสเปกกล้องหน้าของสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นเป็นอย่างไรกันบ้าง

  • Samsung Galaxy S10+ มาพร้อมกล้องคู่หน้า ตัวหลัก 10 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.9 กล้องรอง RGB Depth ช่วยจับระยะชัดลึก 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2
  • Huawei P30 Pro กล้องหน้าเลนส์เดียว 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.0
  • iPhone XS Max กล้องหน้าเลนส์เดียว 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.2
  • Pixel 3 มาพร้อมกล้องคู่หน้า 8 ล้านพิกเซล ประกอบด้วยกล้องมุมกว้าง 107 องศา รูรับแสง F2.2 วางคู่กับกล้องเทเลโฟโต้ รูรับแสง F1.8
  • OnePlus 6T กล้องหน้าเลนส์เดียว 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง F2.0 (เซ็นเซอร์กล้อง Sony IMX 371)
  • LG G8 ThinQ กล้องหน้าเลนส์เดียว 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง F1.7

ภาพแรก

ถ่ายภาพเซลฟี่ในช่วงกลางวัน เป็นการถ่ายภาพทั่วไปในสภาพแสงปกติ และไม่มีการเปิดโหมด HDR จากนั้น Phonearena ได้นำภาพที่ได้มา Crop เพื่อพิจารณารายละเอียดอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเทคะแนนให้ Samsung Galaxy S10+ เป็นผู้ชนะในภาพนี้ ด้วยคะแนน 9 เต็ม 10

ภาพที่สอง

เป็นการถ่ายเซลฟี่ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของโหมด HDR จากเรือธงทั้ง 6 รุ่น และเป็นอีกครั้งที่ Samsung Galaxy S10+ ทำคะแนนได้ดีที่สุดในฉากนี้ ด้วยคะแนน 8 เต็ม 10

ภาพที่สาม

ถ่ายเซลฟี่แบบกลุ่ม โดยมี 2 คนในภาพเดียว ซึ่งหลายคนก็นิยมถ่ายภาพเซลฟี่ร่วมกับเพื่อนๆ และ Phonearena ตัดสินว่า Samsung Galaxy S10+ จะถ่ายภาพเซลฟี่แบบกลุ่มออกมาดีที่สุด ด้วยคะแนน 8 เต็ม 10

ภาพที่สี่

ถ่ายเซลฟี่ด้วยโหมด Portrait ที่ตอนนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยโหมด Portrait จะเน้นไปที่ใบหน้าบุคคลให้โดดเด่น พร้อมละลายฉากหลัง แต่ดูเหมือนจะมีสมาร์ทโฟนบางรุ่น ที่ทำให้กรอบแว่นตาของนายแบบหายไปบางส่วน และยังเป็น Samsung Galaxy S10+ ที่สามารถทำคะแนนได้ดีที่สุดในฉากนี้ ด้วยคะแนน 8 เต็ม 10

ภาพที่ห้า

ถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยหรือในเวลากลางคืน โดยทีมงานของ Phonearena พยายามใช้แสงจากหลอดไฟสีแดงเข้ามาช่วย และผลปรากฏว่า OnePlus 6T ได้รับคะแนนสูงที่สุดในฉากนี้ ด้วยคะแนน 7.5 เต็ม 10 เฉือน Pixel 3 ที่ได้คะแนน 7 เต็ม 10 ส่วน Galaxy S10+ ที่ทำได้ดีมาตลอดในช่วงตอนกลางวัน ฉากนี้ได้รับคะแนนไป 3.5 เต็ม 10

ภาพที่หก

ยังเป็นการถ่ายเซลฟี่ในที่แสงน้อยหรือในเวลากลางคืน แต่ใช้แสงแฟลชช่วยเพิ่มความสว่าง และ OnePlus 6T ยังให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ด้วยคะแนน 9 เต็ม 10

สรุปคะแนน

ถึงแม้ Samsung Galaxy S10+ จะทำคะแนนได้ดีที่สุดในหลายภาพ แต่ก็มาเสียคะแนนไปกับภาพถ่ายในช่วงเวลากลางคืน ทำให้ Pixel 3 ซึ่งไม่เคยชนะใครในภาพถ่ายชุดนี้เลยมีคะแนนรวมมากที่สุด 43.5 คะแนน อันดับ 2 เป็นของ Galaxy S10+ ได้รับ 38.5 คะแนน รองอันดับ 2 ได้แก่ Huawei P30 Pro กับ 36 คะแนน แซงหน้า iPhone XS Max ที่ได้ 35 คะแนนไปแบบเฉียดฉิว OnePlus 6T นั่งอยู่ในอันดับที่ 5 จากคะแนน 33 และ LG G8 รั้งท้ายด้วยคะแนน 28 เต็ม 60

ที่มา – Phonearena
https://www.flashfly.net/wp/249084

from:https://www.flashfly.net/wp/249084

ทดสอบกล้องหลัง Samsung Galaxy S10 เปรียบเทียบกับ Smartphone เรือธงอีก 6 รุ่นเรือธง ใครจะดีที่สุด มาดูกัน

งานที่ใครหลายคนน่าจะรอคอยอยู่ วันนี้เราจัดมาให้ได้ชมกันอีกครั้งกับการเปรียบเทียบภาพถ่ายระหว่าง Galaxy S10+ และเหล่ามือถือเรือธงค่ายต่างๆ โดยเราได้ขนมาเทียบให้ดูอย่างจุใจถึง 6 รุ่นยอดฮิตในท้องตลาดด้วยกัน ซึ่งใน Galaxy S10 เค้าก็เคลมว่ามีการพัฒนาความสามารถในด้านภาพถ่ายเพิ่มเติมขึ้นอีกเพียบ มีกล้องให้ใช้ได้ถึง 3 กล้อง ทั้ง Ultra Wide, Wide, และ Tele แต่จะดีแค่ไหนเดี๋ยวเรามาดูกันครับ

เนื่องจากทุกวันนี้ เวลาเราจะเลือกซื้อโทรศัพท์ Smartphone สักเครื่องนึง ปัจจัยหลักๆอย่างแรกๆที่คนทั่วๆไปจะถามมาเยอะที่สุดก็คือคุณภาพกล้องเป็นยังไงบ้าง ดีแค่ไหน สวยแค่ไหน แสงน้อยเป็นยังไง เปรียบเทียบกับรุ่นโน้นรุ่นนี้ ซึ่งการตอบก็อาจจะไม่ตรงใจนักเพราะคำว่าสวยของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบสีตรงจริง บางคนอาจจะชอบสีสดๆเกินจริง เป็นต้น การทดสอบรอบนี้ ทาง Droidsans ก็เลยจะทดสอบโดยเอารูปมาให้ดูเปรียบเทียบกันเอง แล้วให้คนอ่านตัดสินใจเองครับ ทางเราจะเสริมในรายละเอียดต่างๆเพิ่มให้ โดยจะบอกว่าแสงของจริงสภาพแสงเป็นยังไง แล้วควรดูอะไรในภาพ

มาเริ่มกันเลยครับ

โทรศัพท์ Smartphone เรือธงที่จะเอามาเปรียบเทียบในครั้งนี้มีดังนี้ครับ

1. Samsung Galaxy S10
2. Samsung Galaxy Note 9
3. Apple iPhone Xs Max
4. Huawei Mate 20 Pro
5. Google Pixel 3
6. Xiaomi Mix 3
7. OnePlus 6T

และเพื่อให้เป็นการทดสอบที่เห็นผลชัดขึ้น ทางเราจะเลือกฉากที่มีสภาพสีหรือแสงที่ซับซ้อนเพื่อให้ยากต่อการตัดสินใจวัดแสงหรือของกล้อง เพื่อดูว่ากล้องแต่ละตัวจะตัดสินใจออกมายังไง แล้วการเปรียบเทียบในครั้งนี้ก็จะเทียบกันเฉพาะกล้องหลัก (กล้องหลัง) โดยเฉพาะครับ และการถ่ายทุกภาพจะใช้โหมดอัตโนมัติทั้งหมด เพราะเวลาคนใช้งานเอาไปใช้จริง ก็คงจะใช้โหมดนี้เป็นมาตรฐานครับ

ภาพเต็มความละเอียด

https://photos.app.goo.gl/nLKRQ8z8L1v3mJ1c7

ดูภาพจาก Gallery ด้านล่างไม่สะดวกเนื่องจากผ่าน Google AMP กดที่  เพื่อดู Gallery เต็มๆ

 

รูปที่ 1
เป็นฉากกลางแจ้ง ย้อนแสง โดยจะมีตึกอยู่ด้านหน้า แล้วท้องฟ้าที่มีดวงอาทิตย์อยู่ด้านหลัง ฉากนี้ถ้าดูด้วยตาเปล่าแล้ว ตึกด้านหน้าจะมืด เพราะย้อนแสงมาก ฉากนี้เพื่อจะดูว่าฉากที่มีความต่างของแสงมากแบบนี้ กล้องจะทำยังไงให้ท้องฟ้าด้านหลังและตึกด้านหน้าออกมาได้ภาพที่สมดุล







โดยรวมแล้วก็ถือว่าสอบผ่านได้ทุกตัวครับ ไม่มีภาพไหนที่มืดจนไม่เห็นตัวตึก หรือฟ้าสว่างจะไม่เห็นรายละเอียด จุดที่ต่างก็พวก White Balance และความหนักเบาในการทำ HDR

รูปที่ 2
รูปนี้เป็นฉากที่ย้อนแสง แต่จะไม่ได้ย้อนตรงๆแบบภาพแรกซะทีเดียว จะมีการสะท้อนแสงอาทิตย์ที่พื้นด้วย ฉากนี้ให้ดูรายละเอียดด้านตัวดึกด้านใน เพราะด้านในอยู่ในส่วนเงามืด แล้วก็ดูแสงอาทิตย์ที่สะท้อนที่พื้น ว่าการโทนแสงอาทิตยที่สะท้อนเป็นอย่างไรบ้าง รายละเอียดพื้นหายเป็นปื้นๆมั้ย การไล่โทนแสงดูเนียนธรรมชาติมั้ย







ฉากนี้ขอพูดเฉพาะของ Samsung Galaxy S10 ที่ทำออกมาได้ดีที่สุด คือการบาลานซ์โทนมืดและสว่างชองภาพทำได้ดี รวมไปถึงการไล่โทนแสงอาทิตย์ที่สะท้อนบนพื้น ทำออกมาได้เนียนตาที่สุดและเก็บรายละเอียดบนพื้นได้ดีที่สุดครับ

รูปที่ 3
รูปนี้เป็นฉากที่วัด Dynamic Range ของสี โดยสีที่จะมีปัญหาเยอะที่สุดคือสีแดง ก็เลยใช้สตรอเบอรี่สีแดงเป็นตัวทดสอบ แสงอาทิตย์ธรรมชาติลอดผ่านหน้าต่าง และสีของสตรอเบอรี่แต่ละลูกก็แดงไม่เท่ากัน เป็นการวัด AI ของกล้องด้วยว่าจะมองว่าฉากนี้เป็นอะไร และจะเร่งสีแดงขึ้นมาหรือไม่ แล้วถ้าเร่งขึ้นมาแล้วจะทำให้ Dynamic Range ชองสีหายไปหรือไม่ แล้วสีแดงของแต่ละลูกมีความต่างกันให้เห็นได้ชัด หรือว่าแดงไปหมด







ฉากนี้ยังไม่มีรูปไหนที่เหมือนของจริงเป๊ะ แต่จะมีใกล้เคียงที่สุดก็คือ Samsung Galaxy S10 แต่ก็ยังสดไปนิด ทำให้การไล่โทนสีแดงที่ต่างกันยังไม่ชัดนัก ส่วนของ iPhone Xs Max ไล่โทนได้ดีที่สุด แต่ก็สีแดงคล้ำไปหน่อย ส่วนของ Huawei Mate 20 Pro ก็สดเกินจริงไปมาก แล้วของ OnePlus 6T ออกมาอมม่วงไปหน่อย ส่วนของ Pixel 3 มืดเกินไป ถ้าสว่างกว่านี้ อาจจะออกมาดีที่สุดแทน

รูปที่ 4
รูปนี้เป็นฉากที่ย้อนแสงจากหน้าต่าง โดยมีหน้าจอคอมพิวเตอร์เปิดอยู่ เป็นการวัดคล้ายๆกับรูปที่ 1 แต่รูปนี้จะดูว่ารายละเอียดนอกหน้าต่างจะสามารถเก็บได้อยู่หรือไม่ และแสงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์จะสีจะเป็นอย่างไรและมืดเกินไปหรือไม่






ฉากนี้ถือว่ายากพอสมควร เพราะย้อนแสงมาก และด้านนอกก็แสงสว่างมาก แต่ภาพจาก iPhone Xs Max เป็นตัวเดียวที่เก็บรายละเอียดด้านนอกหน้าต่างไม่ได้เลย แต่จะเก็บรายละเอียดด้านในสว่างครบถ้วน ส่วน Mate 20 Pro เน้นเก็บแสงด้านนอกให้ครบไว้ก่อน ด้านในเลยมืดไปนิด ส่วน Mix 3 ถือว่าทำสมดุลระหว่าด้านนอกและด้านในได้ดี แต่ Note 9 ดูมีปัญหาในการทำ HDR นิดหน่อย ตรงจุดแจกันทางซ้ายมือของหน้าจอ จะมี Halo (ขอบสีขาว) รอบตัวแจกันเลย ซึ่งดูผิดธรรมชาติไปหน่อย ส่วน OnePlus 6T ถือว่าทำได้ดีเช่นกัน เก็บรายละเอียดครบ แต่ก็ดูภาพแบนไปนิดนึง เพราะความต่างระหว่างแสงด้านนอกกับด้านใน โดน HDR บีบ ทำให้ส่วนสว่างด้านนอก กับส่วนมืดด้านใน เกือบจะเท่าๆกัน ไม่ตรงกับที่ตาเห็นนัก ส่วน Pixel 3 ก็ดูคอนทราสจัดจ้าน ตรงกับที่ตาเห็นตามแสงจริง โดยแทบไม่ได้ปรับช่วยในส่วนมืดขึ้นมา เพื่อต้องการเก็บภาพให้ตรงความจริงที่สุด โดยที่รายละเอียดนอกหน้าต่างยังพอมีอยู่ ส่วน S10 ถือว่าทำสมดุลได้ดี ด้านในสว่าง และยังเก็บรายละเอียดนอกหน้าต่างได้ครบ และ HDR ไม่ดูหลอกตา

รูปที่ 5
รูปนี้สภาพแสงเป็นแสงธรรมชาติจากริมหน้าต่าง และมีแสงสี Warm Tone ผสมเข้ามาด้วยนิดหน่อย รูปนี้จะดูว่าสภาพแสงผสมแล้วการปรับ White Balance จะเป็นอย่างไร







รูปนี้คงจะพูดแค่บางจุด คือสีเขียวจาก iPhone Xs Max ดูซีดไปหน่อย เพราะว่าสีโทนอมเหลืองของผักมันหายไป กลายเป็นเขียวอย่างเดียว ส่วนของ Mate 20 Pro ก็เร่งสีมากจนจัดจ้านเกินจริงไปมาก แต่ก็มีหลายๆคนชอบ ส่วนของ OnePlus 6T ก็เหลืองเกินไป

รูปที่ 6
รูปนี้เป็นรูปในโบสถ์ โดยให้ดูว่ารายละเอียดในโบสถ์และรายละเอียดการเก็บแสงตรงจุดที่มีดวงไฟส่องสว่างว่าทำได้ขนาดไหน







รูปฉากนี้ ของ iPhone Xs Max ถือว่าออกมาสีตรงใกล้เคียงกับที่ตาเห็นมากที่สุด ส่วนของ Note 9 ออกมาสว่างไปนิด จนรายละเอียดในส่วนที่โดนแสงไฟหลายๆจุดหายไปครับ

รูปที่ 7
รูปนี้จะคล้ายๆรูปที่ 3 ที่เป็นสตรอเบอรี่สีแดง แต่รูปนี้จะต่างกันที่แสงจะเป็นแสง Warm tone อย่างเดียว ไม่มีแสงจากริมหน้าต่าง และเชอรี่ก็จะไม่แดงเท่า เพราะออกไปทางอมม่วงมากกว่านิดหน่อย แต่เชอรี่กล่องนี้จะมีหลากหลายโทนสี แตกต่างกันพอสมควร รูปนี้ก็จะดูว่า White balance เป็นอย่างไรกับไฟ Warm tone และการไล่โทนสีของเชอรี่ แสดงความต่างได้มากน้อยขนาดไหน หรือว่าเร่งสีจนเห็นความต่างของโทนสีน้อยไปหรือไม่ฃ







รูปฉากนี้ เนื่องจากแสงในรูปนี้จะเป็นแสงจากไฟ Warm tone เท่านั้น และเชอรี่ก็สีแดงแทบจะเต็มฉาก เลยทำให้การจัดการ White Balance ทำได้ยากขึ้น มีโอกาสหลอกกล้องได้ไม่ยากเลย โดยรูปจาก Samsung ทั้ง Note 9 และ S10 ออกโทนอมเหลืองมากไปนิดครับ แต่ของ Note 9 จะหนักกว่าตรงสีสตรอเบอรี่ที่กล่องด้านหลังจากสีแดงกลายเป็นสีส้มไปเลย ส่วนการไล่โทนสีของเชอรี่ รูปจาก Pixel 3 ดูตรงกับที่ตาเห็นที่สุด ส่วนของ OnePlus 6T อมม่วงไปพอสมควร และของ iPhone Xs Max สีแดงของเชอรี่ดูออกชีดๆไปหน่อย ส่วนของ Mate 20 Pro ดูเร่งสีจนสดเกินจริงไปมาก ทำให้การไล่โทนสีแดงทำได้ไม่ค่อยดีนัก

รูปที่ 8
รูปนี้เป็นรูปแสงน้อย แต่จะมีไฟในร้าน Apple Store ที่จะยังสว่างอยู่ รูปนี้ลองดูว่าความสมดุลระหว่างไฟในร้านกับนอกร้าน โทนสี รวมไปถึงรายละเอียดต่างๆว่าเป็นอย่างไรบ้าง







ฉากนี้ ดูจากรายละเอียดใน Apple Store จะเห็นว่าภาพจาก Note 9 มีการทำ HDR แต่ออกมาดูผิดธรรมชาติ เพราะตรงร้าน Apple Store ดูเหมือนภาพวาดไปเลย ส่วนภาพจาก Pixel 3 จะดูเหลืองกว่าที่ตาเห็นไปนิดนึง ส่วนภาพจาก Mate 20 Pro ดูรู้ว่าเป็น HDR แต่ทำออกมาแล้วดูสวยเลยครับ

รูปที่ 9
รูปนี้เป็นรูปแสงน้อยอีกหนึ่งรูป รูปนี้แสงจะน้อยกว่ารูปที่ 8 ให้ดูสมดุลระหว่างการลด Noise และรายละเอียดตามตัวตึกเป็นอย่างไรบ้าง ดูว่าจะมีปัญหาลด Noise เยอะจนรายละเอียดหาย หรือว่ารายละเอียดมาครบแต่ Noise ก็มาเยอะหรือเปล่า แล้วดูว่าสีสันของไฟยามค่ำคืนเป็นอย่างไร








ฉากนี้ รูปจาก Pixel 3 จะมีเพิ่มมา 1 รูป คือรูปที่เป็นโหมด Night Sight ซึ่งรูป Night Sight ทำได้ดีกว่ารูปปกติชัดเจนที่เรื่อง Noise ของภาพ แต่ที่เด่นจริงๆก็คือ Mate 20 Pro ส่วนนึงก็คงเป็นเพราะ AI ที่มองว่าเป็นโหมดกลางคืน ก็เลยใช้โหมดถ่ายภาพกลางคืนเลย แล้วก็ปรับ HDR ออกมาได้สมดุลดีด้วย

สรุป
จากภาพทดสอบ จะเห็นว่ากล้องจาก Samsung Galaxy S10 ทำได้ดีขึ้นกว่า Note 9 พอประมาณ หลายๆภาพก็ทำได้โดดเด่นที่สุด แต่ถ้าวัดกันที่แสงน้อย ทาง Huawei Mate 20 Pro ยังดูเด่นกว่า เพราะ Mate 20 Pro มีโหมดถ่ายภาพกลางคืน แต่เวลาใช้งานจริงก็ต้องถือให้นิ่งพอประมาณ และจะไม่ค่อยสะดวก ถ้าฉากที่ถ่ายมีการเคลื่อนไหวเยอะๆ แต่ภาพจาก Mate 20 Pro หลายๆภาพก็มีการเร่งสีอย่างมาก จนหลายๆภาพดูผิดธรรมชาติไป แต่ที่น่าสนใจคือ Xiaomi Mix 3 ที่โดยรวมแล้ว ถึงจะไม่มีภาพไหนที่โดนเด่นที่สุด แต่ก็ไม่มีภาพไหนที่ออกมาไม่ดีหรือมีจุดบกพร่องชัดเจนใดๆเลย รวมไปถึงกล้องหน้าที่ทำออกมาได้ดีมาก ดูธรรมชาติไม่หลอก (แต่ไม่มีผลทดสอบในครั้งนี้)

อยากได้ทดสอบของตัวไหนบ้าง คอมเม้นท์ไว้เลยครับ แล้วอดใจรอติดตามผลทดสอบในรูปแบบใหม่เร็วๆนี้นะครับ

from:https://droidsans.com/samsung-galaxy-s10-camera-comparison/

เปรียบเทียบภาพถ่ายกลางคืน Galaxy S10+, Pixel 3, iPhone XS Max

Galaxy S10 Plus Pixel 3 Iphone Xs Max Night Mode Photo ComparePhonearena ได้เปรียบเทียบภาพถ่ายกลางคืนของ Galaxy S10+, Pixel 3, iPhone XS Max มาให้ชมกัน ว่าแต่ละรุ่นมีการจัดการการถ่ายภาพในที่แสงน้อยเป็นอย่างไรบ้าง ภาพถ่ายกลางคืน Galaxy S10+, Pixel 3, iPhone XS Max สำหรับการถ่ายภาพกลางคืนด้วย Galaxy S10+, Pixel 3, iPhone XS Max ที่ Phonearena ได้จัดทำ มีดังนี้ ถ่ายภาพในที่แสงน้อยมากๆ จากการถ่ายภาพกลางคืนของทั้งสามรุ่นเราจะเห็นได้ว่าทั้ง Galaxy S10+, Pixel 3 สามารถเก็บภาพในที่แสงน้อยได้ค่อนข้างดี คือ ภาพที่ออกมาดูสว่างมาก ส่วน iPhone XS Max ยังเก็บแสงได้น้อยและภาพออกมามืดกว่ารุ่นอื่น ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้า ถ่ายภาพกลางคืน, มีแสงไฟนีออน ส่วนภาพถ่ายกลางคืนที่มีแสงนีออนนั้นจะเห็นได้ว่าทั้ง 3 รุ่นเก็บแสงสว่างได้ดีพอๆ กัน แต่ภาพของ Pixel 3 นั้นจะออกมาสว่างและคมชัดที่สุด ถ่ายภาพด้วยกล้อง […]

from:https://www.iphonemod.net/galaxy-s10-plus-pixel-3-iphone-xs-max-night-mode-photo-compare.html