คลังเก็บป้ายกำกับ: MOBILE_WORLD_CONGRESS

GSMA ประกาศเลิกจัดงาน MWC 2020 เนื่องจากข้อกังวลเรื่องไวรัสโคโรนา

Mwc 2020 Has Been Cancelled Coronavirus Outbreak Concernหลังจากหลาย ๆ บริษัทประกาศไม่เข้าร่วมงาน MWC 2020, ทาง GSMA ก็ได้ประกาศเลิกจัดงาน MWC 2020 เนื่องจากข้อกังวลเรื่องไวรัสโคโรนา GSMA ประกาศเลิกจัดงาน MWC 2020 งาน MWC 2020 หรือ Mobile World Congress 2020 ถูกกำหนดให้จัดขึ้นวันที่ 24-27 กุมภาพันธ์ 2020 นี้ที่บาเซโลนาประเทศสเปน แต่ด้วยสถานการณ์ไวรัสโคโรนาทำให้บริษัทไอทีหลายแห่งประกาศไม่เข้าร่วมงาน โดยบริษัทไอทีที่ประกาศถอนตัวจากงานได้แก่ Intel, LG, Nokia, Vodafone, ZTE, Nvidia, Sony, Amazon, Cisco, Ericsson และอื่น ๆ ดังนั้น John Hoffman CEO ของ GSMA ได้ประกาศประกาศเลิกจัดงาน MWC 2020 อย่างเป็นทางการเนื่องจากข้อกังวลไวรัสโคโรนา ทาง GSMA ก็ได้เผยแถลงการณ์ใจความสำคัญว่า ทางผู้จัดเล็งเห็นถึงความสำคัญด้านสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ร่วมงานในบาเซโลนา จึงตัดสินใจยกเลิกจัดงาน MWC 2020 เนื่องจากข้อกังวลไวรัสโคโรนาที่ยังเป็นปัญหาระดับโลกอยู่ และได้รับความร่วมมือจากสถานที่จัดงานเป็นอย่างดี สำหรับการจัดงาน […]

from:https://www.iphonemod.net/mwc-2020-has-been-cancelled-coronavirus-outbreak-concern.html

อัพเดทรายชื่อบริษัท ที่ยกเลิกการไปร่วมงาน MWC 2020 เพราะกังวลเรื่องโคโรนาไวรัส

งานจัดแสดงสินค้าด้านเทคโนโลยีและมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก Mobile World Congress หรือ MWC จากที่มีกำหนดจัดงานในวันที่ 24-27 กุมภาพันธ์ ในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน นับเป็นงานใหญ่ประจำปีที่จะมีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 100,000 คนในทุกปี เดินทางมาจาก 200 ประเทศทั่วทุกมุมโลก

แต่ด้วยความกังวลใจในการระบาดของไวรัส corona ที่กำลังเป็นปัญหาไปทั่วโลกขณะนี้ จึงทำให้บางบริษัทได้ตัดสินใจประกาศขอถอนตัวจากการไปร่วมงานดังกล่าวออกมาแล้วครับ โดยบางบริษัทก็ขอถอนตัวไม่ไปร่วมงานเลย แต่บางบริษัทก็แค่ลดกิจกรรมลง อย่างเช่น Telenor, TCL และ ZTE ที่ได้ประกาศยกเลิกการแถลงข่าว แต่พวกเขาก็ยังคงวางแผนที่จะเข้าร่วมเช่นเดิม โดยก็มีอีกหลายบริษัทครับที่ยืนยันจะไปร่วมงานและจัดแสดงสิ่งที่เขาอยากเปิดตจัวภายในงานใหญ่ครั้งนี้ เช่น Xiaomi ที่ออกมายืนยันว่าจะเข้าร่วมงานอย่างแน่นอน

ในด้าน GSMA ผู้จัดงาน MWC ก็ได้ประกาศข้อบังคับออกมาหลายประการ เป็นมาตรการที่จะลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ corona ในที่จัดงาน โดยมีการกำหนดไว้ดังนี้

  • ผู้ร่วมงานทุกคนที่มาจากจังหวัดหูเป่ย จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกิจกรรม
  • ผู้ร่วมงานทุกคนที่อาศัยอยู่ในส่วนอื่นของประเทศจีน จะต้องแสดงหลักฐานว่าอยู่นอกประเทศจีนก่อนวันงานมาแล้วอย่างน้อย 14 วัน (ประกอบเอกสารตราประทับหนังสือเดินทาง, ใบรับรองสุขภาพ)
  • จะมีการคัดกรองด้วยการตรวจจับอุณหภูมิร่างกายของผู้เข้าร่วมงาน
  • ผู้เข้าร่วมงานจะต้องรับรองตัวเองด้วยว่า พวกเขาไม่ได้มีการติดต่อกับใครก็ตามที่ติดเชื้อมาก่อนหน้านี้ อื่น ๆ

ทางผู้จัดงาน ได้มีการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสด้วยการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคทั่วบริเวณพื้นที่ รวมถึงราวจับในห้องน้ำ ทางเข้าและทางออก และหน้าจอสัมผัสต่างๆ ในบริเวณงาน พร้อมเตรียมการสนับสนุนทางการแพทย์เอาไว้ให้ และยังมีการแนะนำให้ผู้มาร่วมงาน งดการทักทายด้วยการสัมผัสกันเช่นการจับมืออีกด้วยครับ

ในขณะนี้มีประมาณ 20 บริษัท ที่ประกาศแล้วว่าจะไม่มาร่วมงาน MWC ในครั้งนี้ครับ แต่ภายในงานนั้นก็ยังจะมีบริษัทอื่นๆ อีกมากมาย กว่า 2,400 บริษัทที่กำลังเตรียมตัวจัดแสดงสินค้าและบริการของพวกเขาที่งาน MWC ในปีนี้อยู่เช่นเดิม

งานใหญ่ยังเดินหน้าครับ แม้บางเจ้าจะขอถอนตัวไปก็อาจจะมาด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ แต่บริษัทที่มีสินค้าไฮไลค์สำคัญในมือยังอยู่รอโชว์ของกันอีกมากมาย

สามารถดูรายชื่อบริษัทที่ขอยกเลิกการเข้าร่วมงานการประชุม MWC ได้ที่ด้านล่าง เราจะอัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อเราทราบครับ

  • Accedian
  • Amazon
  • Amdocs
  • Ciena
  • CommScope
  • Dali Wireless
  • Ericsson
  • F5 Networks
  • iconectiv
  • Intel
  • InterDigital
  • LG
  • MediaTek
  • NTT Docomo
  • Nvidia
  • Rakuten
  • Sony
  • Ulefone
  • Umidigi
  • Viber
  • Vivo

ข่าว: อัพเดทรายชื่อบริษัท ที่ยกเลิกการไปร่วมงาน MWC 2020 เพราะกังวลเรื่องโคโรนาไวรัส มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/2020/02/11/mwc-list-cancellations-coronavirus.html

เสียวหมี่ ยืนยันจะเข้าร่วมงาน MWC Barcelona 2020 ตามแผนที่วางไว้

การแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า ทำให้หลายแบรนด์ที่กำลังจะเข้าร่วมงาน MWC  หรือ Mobile World Congress ที่บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน มีต้องคิดหนักเหมือนกัน ล่าสุดทางเสียวหมี่ได้ออกมายืนยันที่จะเข้าร่วมงาน MWC ในครั้งนี้

เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องของไวรัสโคโรนา เราต้องการแจ้งให้แฟนเสียวหมี่ เพื่อนสื่อมวลชน พันธมิตร และผู้ใช้ของเราทราบว่า สุขภาพและความปลอดภัยของทุกคนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เสียวหมี่คำนึงถึง เราจะเข้าร่วมงาน MWC Barcelona 2020 ตามแผนที่วางไว้และเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของเรา รวมถึงฮาร์ดแวรอัจฉริยะมากมาย
เสียวหมี่มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดโดยจะปฎิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัดเพื่อสุขภาพ และพลานามัยของพนักงาน แฟนเสียวหมี่ สื่อมวลชน พันธมิตร และผู้ที่จะมาชมงานของเราจากทั่วโลก ดังนั้น เรามีมาตราการเพิ่มเติมในช่วงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งใหญ่ของเราในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ และที่บูธ MWC ของเรา ณ 3D10, ฮอลล์ 3, Fira de Barcelona GranVía ระหว่างวันที่ 24 ถึง 27 กุมภาพันธ์ 2563 นี้

– เราจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า
พนักงานทุกคนที่เดินทางจากประเทศจีนเพื่อไปร่วมงาน MWC ไม่แสดงอาการ
และได้ออกจากประเทศจีนเป็นเวลาอย่างน้อย 14
วันตามวันเวลาในปฏิทินก่อนที่พวกเขาจะมาถึงบาร์เซโลนา
เพื่อร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และงาน MWC ของเรา

– เราจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า
ว่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัททุกคนที่มีกำหนดการเข้าร่วมในกิจกรรมและการประ
ชุมทุกประเภทได้ออกจากประเทศจีนเป็นเวลาอย่างน้อย 14
วันตามวันเวลาในปฏิทินก่อนงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ และงาน MWC
– เราจะปฏิบัติตามคำแนะนำของ GSMA และทำให้มั่นใจว่าบูธนิทรรศการ
และผลิตภัณฑ์ที่แสดงทั้งหมดมีการฆ่าเชื้อเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

– เราจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า
พนักงานทุกคนที่มีหน้าที่นำเสนอบูธมาจากสำนักงานท้องถิ่นของเราทั่วยุโรป
นอกจากนี้เราจะทำให้แน่ใจว่า พวกเขาจะไม่มีอาการใดๆ เป็นเวลา 14
วันก่อนที่จะลงไปทำงานในส่วนต่างๆ ของงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และบูธ MWC
ขอบคุณทุกท่านสำหรับความเข้าใจและการให้การสนับสนุนของคุณ

ข่าว: เสียวหมี่ ยืนยันจะเข้าร่วมงาน MWC Barcelona 2020 ตามแผนที่วางไว้ มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/2020/02/11/mi-confirm-to-attend-mwc-2020.html

Sony ร่อนบัตรเชิญเปิดตัวมือถือ Xperia รุ่นใหม่ 24 กุมภานี้ ในงาน MWC 2020

เหลืออีกเพียงแค่เดือนกว่าๆ สำหรับงานรวมเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือสุดยิ่งใหญ่อย่าง Mobile World Congress หรือ MWC 2020 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 – 27 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ซึ่ง Sony ยักษ์หลับแห่งวงการสมาร์ทโฟน ได้เริ่มส่งบัตรเชิญให้กับสื่อต่างๆ คาดเป็นงานเปิดตัวมือถือซีรีส์ Xperia รุ่นใหม่

ในงานนี้ Sony อาจขนมือถือซีรีส์ Xperia มาเปิดตัวกว่าหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Xperia 3 ที่มีภาพสิทธิบัตรหลุดออกมาก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงวันที่ตามบัตรเชิญนี้แบบเป๊ะๆ และ Xperia 5 Plus สเปคเรือธง ชิป Snapdragon 865, หน้าจอ 6.6 นิ้ว อัตราส่วน 21:9, กล้องหลัง 3 ตัว, ลำโพงสเตอริโอ และเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือข้างตัวเครื่อง หรืออาจจะเป็นรุ่นกลางที่ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรหลุดออกมา นอกจากคะแนนบนเว็บ Geekbench ที่เผยข้อมูลแบบกลายๆ แล้วว่า มือถือรุ่นดังกล่าวจะมาพร้อมกับชิป Snapdragon 765G ที่มีโมเดม 5G ในตัว และ RAM ขนาด 8GB

โดยงานอีเว้นท์ดังกล่าวนี้จะจัดขึ้นที่บูธของ Sony ภายในงาน MWC 2020 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ เริ่มตั้งแค่ 8.30 เป็นต้นไป ตามเวลาประเทศสเปน (เวลาบ้านเราจะไวกว่า 6 ชั่วโมง) ซึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมงาน ก็สามารถรับชมอยู่บ้านได้ที่ช่อง Official YouTube ของ Sony Xperia เลยครับ

 

ที่มา: gsmarena 

from:https://droidsans.com/sony-sends-out-invite-for-february-24-mwc-2020-event/

สมาร์ทโฟนพับได้ของ Huawei จะรองรับเครือข่าย 5G พร้อมเปิดตัวที่งาน MWC 2019

แหล่งข่าวในเกาหลีใต้อ้างว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของผู้ให้บริการเครือข่ายฯ ในเกาหลีใต้ มีโอกาสสัมผัสกับต้นแบบสมาร์ทโฟนพับของ Huawei แล้ว โดยทั้ง 2 บริษัทกำลังทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้อุปกรณ์ของ Huawei สนับสนุนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคถัดไป หรือ 5G

สมาร์ทโฟนพับได้ของ Huawei จะมีขนาดหน้าจอ 8 นิ้ว เมื่อกางออก และมีขนาด 5 นิ้ว เมื่อถูกพับ ซึ่งใหญ่กว่าต้นแบบสมาร์ทโฟนพับได้ของ Samsung เล็กน้อย

สมาร์ทโฟนพับได้ของ Huawei จะใช้จอแสดงผลจาก BOE ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปักกิ่ง แต่มีศูนย์วิจัยและพัฒนาอยู่ทั่วโลก

คาดว่า ผู้ให้บริการเครือข่ายฯ ในเกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา จะพร้อมเปิดให้บริการ 5G ได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 และในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน จะขยายไปยังญี่ปุ่น, จีน, และ ยุโรป

ทั้งนี้ Huawei จะพร้อมเปิดตัวสมาร์ทโฟนพับได้รุ่นแรกของค่าย ในงาน Mobile World Congress ซึ่งจะจัดขึ้นในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2019

ที่มา – ETNews

from:http://www.flashfly.net/wp/235091

Nokia เปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ 5 รุ่น ภายใต้ระบบปฎิบัติการ Android One และการกลับมาของโทรศัพท์ระดับตำนาน Nokia 8110 ที่รองรับ 4G

วันนี้ เอชเอ็มดี โกลบอล เจ้าของลิขสิทธิ์การจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนแบรนด์โนเกียทั่วโลกแต่เพียงผู้เดียว ประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์  รุ่นใหม่เพิ่มอีก 4 รุ่น ได้แก่ Nokia 8 Sirocco, Nokia 7 Plus, New Nokia 6 และ Nokia 1 เพื่อเสริมทัพให้กับสมาร์ทโฟนรุ่นก่อนหน้าที่ได้รับรางวัลไปแล้วมากมาย โดยสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นับเป็นประดิษฐกรรมชั้นยอดที่มาพร้อมความทนทานและมาตรฐานตามแบบฉบับของ   โนเกีย ที่จะมายกระดับมาตรฐานด้วย วัสดุที่มีคุณภาพและการออกแบบที่น่าประทับใจ

 

เอชเอ็มดี โกลบอล ยังคงสานต่อคำมั่นสัญญาที่จะส่งมอบประสบการณ์การใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่มีประสิทธิภาพชาญฉลาด มาพร้อมความปลอดภัย และทันสมัย ล่าสุดประกาศว่าบริษัทเป็นพันธมิตรในระดับโลกกับ Google ซึ่ง โนเกีย จะเป็นบริษัทแรกของโลกที่ส่งผลิตภัณฑ์หลายรุ่นเข้าร่วมโครงการ Android One จาก Google ด้วยความทุ่มเทอย่างสม่ำเสมอของบริษัทในการสร้างประสบการณ์การใช้งานแอนดรอยด์ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และทันสมัย แสดงให้เห็นว่าสมาร์ทโฟนของโนเกียจะสอดรับกับโครงการระดับโลกนี้ได้อย่างลงตัว

นอกจากสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจเหล่านี้แล้ว Nokia 8110 รุ่นที่เป็นอีกหนึ่งไอคอนจาก  โนเกียก็ได้กลับมาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อสัญญาณ 4G โดยมาพร้อมกับแอปพลิเคชั่น Google Assistant, Google Map, Google Search, Facebook และ Twitter นับเป็นการกลับมาอีกครั้งของโทรศัพท์ที่ตัวเครื่องสามารถสไลด์ได้

ระบบปฎิบัติการเพียวแอนดรอยด์ที่มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยสูงและทันสมัยอยู่เสมอภายใต้ Android One

สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ โนเกีย 3 รุ่นได้แก่ Nokia 8 Sirocco Nokia 7 Plus และ New Nokia 6 ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Android One ซึ่งออกแบบโดย Google เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานซอฟต์แวร์คุณภาพสูงให้แก่ผู้ใช้ โดยสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่น จะได้รับการอัปเดตให้ทันสมัยอยู่เสมอด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุดจาก Google ซึ่งขับเคลื่อนด้วยระบบ AI ส่งผลให้ระบบปฏิบัติการมีความปลอดภัยสูงสุดอยู่เสมอ และด้วยระบบปฏิบัติการ                เพียว แอนดรอยด์ ทำให้สมาร์ทโฟนของ โนเกีย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง UI ปราศจากโปรแกรมอื่นๆที่ซุกซ่อนอยู่เพื่อคอยกัดกินการทำงานของแบตเตอรี่ หรือถ่วงเครื่องให้ทำงานช้าลง ทำให้คุณสามารถใช้งานสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้น แอปพลิเคชั่นที่ติดตั้งมาพร้อมเครื่องก็มีจำนวนไม่มากเพื่อให้คุณมีพื้นที่สำหรับการใช้งานเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่จะทำให้ประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ของคุณล้ำหน้าเหนือสมาร์ทโฟนอื่น

สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จะมาพร้อมกับ Android Oreo™ เพื่อให้คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดต่าง ๆ ได้ทันที เช่น ฟีเจอร์ Picture-in-Picture สำหรับการทำงานแบบ Multitasking หรือ Android Instant Apps ที่จะช่วยค้นหาและเปิดแอปต่าง ๆ ให้คุณแบบไม่มีสะดุด รวมถึงอีโมจิใหม่ ๆ กว่า 60 รูปแบบและฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การทำงานของแบตเตอรี่มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่นการจำกัดการใช้แอปพลิเคชั่นพื้นหลัง เป็นต้น

 

 

เผยโฉมสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจาก โนเกีย 4 รุ่น

Nokia 8 Sirocco ขุมพลังขนาดย่อมสำหรับแฟน ๆ

การออกแบบของ Nokia 8 ได้รับแรงบันดาลใจจากโทรศัพท์รุ่นก่อนของโนเกียซึ่งมาพร้อมกับสไตล์ที่เรียบหรูด้วยขนาดกะทัดรัด ซึ่งผสมผสานความประณีตในการออกแบบและนวัตกรรมการใช้งานเอาไว้ได้อย่างลงตัว Nokia 8 Sirocco ประกอบด้วยฟีเจอร์ที่โดดเด่นสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแชร์เรื่องราว (Story Telling) ด้วยเลนส์ Dual-Sight จาก ZEISS ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และเครื่องเสียงที่ได้รับการปรับจูนเสียง อะคูสติก ด้วยระบบเสียงตามแบบฉบับของโนเกียทำให้ Nokia 8 Sirocco กลายเป็นขุมพลังขนาดพกพา ซึ่งมาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงามที่สุดกว่าที่เคยมีมา

ตัวเครื่องทำจากกระจกทรงโค้ง ห่อหุ้มกรอบสแตนเลสสตีลที่ผลิตขึ้นด้วยความประณีตเพื่อส่งมอบส่วนผสมที่ลงตัวของความแข็งแรงและความงดงามให้แก่ผู้ใช้ ด้วยขอบที่บางเพียง 2 มม. Nokia 8 Sirocco ได้รวมหน้าจอ pOLED 2K ทรงโค้งแบบขอบถึงขอบขนาด 5.5 นิ้วเข้ากับกรอบที่ขนาดเล็กกว่าและส่วนโค้งบนตัวเครื่องเพื่อให้ได้ดีไซน์ที่มีขนาดกะทัดรัดที่สุด

เก็บทุกรายละเอียดได้อย่างแม่นยำด้วยเซ็นเซอร์คู่ด้านหลังจาก ZEISS ที่ประกอบด้วยกล้องหลักมุมกว้างสำหรับการถ่ายรูปในที่แสงน้อยและเซ็นเซอร์รอง 13MP ที่มีระยะ Optical Zoom สูงสุด ที่ 2x และด้วยโหมด Pro Camera ก็ทำให้คุณสามารถปรับค่าต่าง ๆ ได้ตามที่ใจต้องการ ช่วยให้คุณสามารถเก็บภาพและเรื่องราวต่าง ๆ ได้ราวกับตากล้อง     มืออาชีพ

กรอบสแตนเลสสตีลของ Nokia 8 Sirocco นั้นแข็งแรงกว่าอลูมิเนียมซีรีส์ 6000 ถึง 2.5 เท่า และเสริมความแข็งแรงด้วยกระจกแบบ 3D Corning® Gorilla® Glass ทำให้มั่นใจได้ว่าตัวเครื่องคงทนสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันแน่นอน น้ำหนักมีความสมดุลหรูหราให้สัมผัสที่กระชับถนัดมือด้วยด้วยการขัดเงากรอบสแตนเลสสตีลแบบ Dual Diamond-Polished

Nokia 8 Sirocco เริ่มจัดจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ €399 หรือประมาณ 28,900 บาทไม่รวมภาษี

Nokia 7 Plus สมาร์ทโฟนเรือธงสำหรับทุกคน

Nokia 7 Plus ถูกออกแบบมาเพื่อการสร้างคอนเทนต์โดยเฉพาะ มาพร้อมกับหน้าจอ แบตเตอรี่ ดีไซน์ และฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ครบครันสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่โดดเด่นที่สุดเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนรุ่นต่างๆด้วยการผสมระหว่างฮาร์ดแวร์ที่ทันสมัยและอัลกอริทึมด้านภาพอันชาญฉลาด Nokia 7 Plus ทำให้คุณสามารถเก็บช่วงเวลาดี ๆ ไว้ในรูปถ่ายได้อย่างไม่ตกหล่น และด้วยเทคโนโลยี Dual-Sight ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์คู่ด้านหลังจาก ZEISS ซึ่งประกอบด้วยกล้องหลักมุมกว้าง 12MP สำหรับการเก็บภาพที่คมชัดไม่มีที่ติแม้มีแสงน้อยหรือแสงมาก และยังมีเซ็นเซอร์รอง 13MP ที่มีระยะ Optical Zoom สูงสุดที่ 2x ก็จะช่วยให้คุณสามารถเก็บภาพในระยะต่าง ๆ ที่คุณต้องการได้อย่างไม่มีสะดุด

เพื่อให้คุณสามารถเก็บความประทับใจและสนุกกับการสร้างคอนเทนต์ได้ยาวนานยิ่งขึ้น Nokia 7 Plus ใช้ระบบปฏิบัติการอันทรงพลังจาก Qualcomm® Snapdragon™ 660 Mobile Platform ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานทั้งยังช่วยดึงการทำงานของตัวเครื่องออกมาได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังช่วยยืดการใช้งานของแบตเตอรี่อีกด้วย แม้กระทั่งในยามที่คุณไลฟ์สดวีดีโอด้วยฟังก์ชั่น #Bothie แชร์เรื่องราวดีๆที่ไม่ได้มีแค่ด้านเดียวใน Facebook หรือ Youtube ก็มั่นใจได้ว่าคุณสามารถใช้งานแบตเตอรี่อันทรงพลังขนาด 3800 mAh ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น Nokia 7 Plus ยังสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 2 วันติดต่อกันโดยไม่ต้องชารจ์แบตเพิ่มอีกด้วย

ด้านหลังของตัวเครื่องมีลักษณะโค้งมนสอดรับกับขอบจอบาง ทำให้คุณสามารถเสพคอนเทนต์จากหน้าจอขนาดใหญ่ได้บนสมาร์ทโฟนที่พกพาง่ายและจับได้ถนัดมือ และด้วยหน้าจอขนาด 6 นิ้ว สัดส่วน 18:9 แบบ Full HD+ ก็ทำให้ Nokia 7 Plus เหมาะสำหรับการเรียกดูคอนเทนต์ต่าง ๆ รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดีย การเล่นเกมและตอบสนองความบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำได้เหมือนกับอุปกรณ์ที่มีหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว

Nokia 7 Plus มีให้เลือก 2 สีได้แก่ Black/Copper กับ White/Copper และจะเริ่มจัดจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ €399 หรือประมาณ 15,400 บาท ไม่รวมภาษี

New Nokia 6 สมาร์ทโฟนรุ่นที่ได้รับรางวัลและการตอบรับที่ดีจากทั่วโลกกับเวอร์ชั่นอัปเกรด

All New Nokia 6 ถูกพัฒนาขึ้นบนความสำเร็จของสมาร์ทโฟนรุ่นก่อนหน้า โดยครั้งนี้ได้นำเอาสมรรถนะในการทำงานที่ทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิมมารวมเข้ากับฟีเจอร์ใหม่ ๆ นำเสนอผ่านตัวเครื่องที่ทนทานและกะทัดรัดยิ่งขึ้น นอกจากความเร็วที่เพิ่มขึ้นกว่า 60% จากรุ่นก่อนหน้าแล้ว New Nokia 6 ยังได้รวมเอาเทคโนโลยี Dual-Sight เลนส์จาก ZEISS ระบบ USB-C fast charging สัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่ทำให้จับได้ถนัดมือยิ่งขึ้น ระบบเสียง Nokia spatial audio และประสบการณ์แบบแอนดรอยด์แท้ ๆ ที่ปลอดภัยและทันสมัยอยู่เสมอจาก Android Oreo™ มานำเสนอแก่ผู้ใช้

New Nokia 6 พาคุณไปสู่อีกระดับของความประณีตในการออกแบบด้วยดีไซน์แบบ Unibody ซึ่งทำจากอลูมิเนียมซีรีส์ 6000 ที่ผ่านกระบวนการชุบผิวและขัดเงากว่า 11 ชั่วโมง และด้วยหน้าจอแบบ 2.5D ดีไซน์สวยที่ทำจาก Corning® Gorilla® Glass ที่ทนทานต่อรอยขีดข่วน ช่วยรักษาความงดงามของ New Nokia 6 เอาไว้ได้นานกว่าที่เคย

นอกจากนั้นวิศวกรของเรายังได้นำเทคโนโลยี Qualcomm® Snapdragon™ 630 Mobile Platform มาใช้เพื่อให้ All New Nokia 6 ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ลื่นไหล และยาวนานตลอดทั้งวัน

All New Nokia 6 มี 3 สีได้แก่ Black/Copper, White/Iron และ Blue/Gold และยังมีสองรุ่นให้เลือกคือ 3GB RAM/32GB ROM วางจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน หรือ 4GB RAM/64GB ROM วางจำหน่ายในภายหลัง New Nokia 6 เริ่มจัดจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ €279 หรือประมาณ 10,800 บาท ไม่รวมภาษี

Nokia 1 ครบทุกประสบการณ์สมาร์ทโฟนจากโนเกียในเครื่องเดียวที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

Nokia 1 คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์สำคัญ สำหรับสมาร์ทโฟนและคุณภาพที่คุณสามารถไว้วางใจได้ บวกกับดีไซน์ที่แฟน ๆ โนเกียทั่วโลกต่างคุ้นเคย Nokia 1 คือสมาร์ทโฟนที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android Oreo (Go edition) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ที่มีแรมขนาด 1GB หรือต่ำกว่านั้นได้อย่างเต็มที่ โดย Nokia 1 ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างลื่นไหลและตอบสนองต่อผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าถึง Google Play™ Store ได้อย่างเต็มที่ ทำให้สามารถค้นหาแอปพลิเคชั่นโปรดของคุณได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น WhatsApp, Facebook และ Instagram หรือกระทั่งแอปพลิเคชั่น โมบายแบงกิ้ง ต่าง ๆ ในขณะเดียวกันก็แนะนำแอปพลิเคชั่นทั้งหลายที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างเต็มที่บน Android Oreo™ (Go edition) อีกด้วย

นอกจากนั้น Nokia 1 ยังมาพร้อมกับ “Nokia Smile” ที่เป็นเอกลักษณ์ของโทรศัพท์มือถือ โนเกีย ในรูปลักษณ์ใหม่ ซึ่งทำให้คุณสามารถเปลี่ยนโฉมสมาร์ทโฟนของคุณได้ด้วยเคส Xpress-on Cover สีสันสดใสที่มีให้เลือกจำนวนมาก เพียงคลิกปุ่มเปิดปิดไม่กี่วินาทีก็จะทำให้คุณสามารถสื่อสารสไตล์ส่วนตัวของคุณผ่านเคสเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย เคสเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นด้วยกระบวนการที่มีความประณีตและใส่ใจไม่แพ้กันกับเคสที่ให้มาพร้อมกับสมาร์ทโฟนด้วยกระบวนการผลิตที่พิถีพิถัน ทำให้เคสสองสีซึ่งทำจากโพลีคาร์บอเนตเหล่านี้พร้อมที่จะช่วยป้องกันสมาร์ทโฟนของคุณจากแรงกระทบกระแทกต่าง ๆ ในแต่ละวันด้วยดีไซน์ที่มีความทนทานสูง

Nokia 1 เริ่มจัดจำหน้านในช่วงต้นเดือนเมษายน มีให้เลือก 2 สีได้แก่ Warm Red และ Dark Blue สำหรับแฟน ๆ ทั่วโลกโดยราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ $85 sหรือประมาณ 2,670 บาทไม่รวมภาษี และจะมีเคส Xpress-on cover ซึ่งขายแยกกับสมาร์ทโฟนจะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ $ 7.99 ในสี Azure, Grey, Yellow and Pink.

งานต้นแบบกับการกลับมาของ Nokia 8110 4G

Nokia 8110 4G ในตำนานกำลังจะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบของสมาร์ทโฟน 4G พร้อมดีไซน์แบบสไลเดอร์ทรงโค้งอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถใช้ความสามารถพื้นฐานประหนึ่งสมาร์ทโฟน เพราะฟีเจอร์สำคัญของสมาร์ทโฟนจะพร้อมใช้งานอยู่เสมอเมื่อคุณต้องการเรียกใช้

Nokia 8110 4G มาพร้อมดีไซน์ที่คุ้นเคยและใช้งานได้ง่าย โดยมีการนำเอากลไกการสัมผัสที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจมาใช้ เช่น การสไลด์เพื่อรับสายหรือวางสาย รวมถึงจุดหมุนแบบเฮลิคอปเตอร์ตรงแกนกลางของตัวเครื่องด้วย นอกจากนั้น Nokia 8110 4G ยังถูกผลิตขึ้นด้วยความประณีตตามแบบฉบับของ โนเกีย ทำให้มีความทนทานและความเสถียรในระดับที่วางใจได้ตามแบบฉบับของโทรศัพท์มือถือ โนเกีย และมีระบบ VoLTE calling ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถสนทนาด้วยเสียงได้อย่างคมชัด เหมาะสำหรับใครก็ตามที่ต้องการฟีเจอร์โฟน 4G ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหรือโทรศัพท์มือถือคู่ใจ แล้วยังสามารถเข้าใช้งานในแอปสโตร์เพื่อใช้งานแอปที่คุณโปรดปราน อาทิ Google Assistant, Google Search, Google Maps, Facebook and Twitter และยังสามารถใช้รับส่งอีเมล์ หรือดึงข้อมูลจากรายชื่อและซิงค์ปฏิทินเข้ากับ Outlook และ Gmail ได้อีกด้วย เพื่อให้การใช้งานลื่นไหลไม่มีสะดุด Nokia 8110 มาพร้อมกับ Qualcomm® 205 Mobile Platform และแน่นอนว่า Nokia 8110 4G กลับมาพร้อมกับเกมงู (Snake) ที่เคยโด่งดังในเวอร์ชั่นที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เรียบร้อยแล้วอีกด้วย

Nokia 8110 4G มี 2 สีสดใสให้เลือกได้แก่ Traditional Black และ Banana Yellow โดยเริ่มจัดจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมและราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ €79 หรือประมาณ 3,280 บาทไม่รวมภาษี

ฟลอเรียน ซีช (Florian Seiche) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า

“ในช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว พวกเราเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ไปพร้อมกับความคาดหวังมหาศาลจากแฟน ๆ ของเราและความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่จะสืบทอดตำนานของแบรนด์ที่มีนวัตกรรมสุดล้ำ นับจากนั้นเราได้แนะนำแบรนด์ที่ผู้คนหลงใหลสู่ตลาดอีกครั้ง เราร่วมมือกับเพื่อนใหม่และเก่าในอุตสาหกรรมเพื่อที่จะนำส่ง ประสบการณ์การใช้งาน      แอนดรอยด์ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และทันสมัยอยู่เสมอ ผ่านผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนทุกรุ่นของเรา ในปีที่ผ่านมาเราได้นำส่งโทรศัพท์ โนเกีย ไปสู่ผู้คนทั่วโลกกว่า 70 ล้านเครื่อง ในขณะที่เรากำลังขยายธุรกิจออกไปเรายังคงมุ่งมั่นในวิสัยทัศน์ ที่จะนำส่งโทรศัพท์มือถือจาก โนเกีย ที่มีคุณค่าที่คู่ควรกับการที่แฟนๆของเราคาดหวัง ในช่วงของการก้าวไปข้างหน้าของโนเกีย เรามีแผนที่จะสร้างความสำเร็จด้วยการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าของเราด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโทรศัพท์อันเป็นที่รักที่สามารถไว้วางใจในการใช้งานได้”

 

จูโฮ ซาร์วีกาส (Juho Sarvikas) หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า

“วันนี้พวกเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ถึง 5 รุ่น ซึ่งถือเป็นการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรา และเป็นการกำหนดมาตรฐานใหม่ในด้านดีไซน์ของสมาร์ทโฟนด้วย Nokia 8 Sirocco พร้อมกับการนำเสนอสมาร์ทโฟนที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุดของเราคือ Nokia 1

“ด้วยผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ของเราเหล่านี้ ทุกท่านจะสัมผัสได้ถึงวิธีการใหม่ ๆ ที่เรานำมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และมรดกด้านเทคโนโลยีในการถ่ายภาพอันแข็งแรงของเราที่อยู่ในระดับแนวหน้า ด้วยความร่วมมือกับ ZEISS และท่านจะรับรู้ได้ถึงคุณภาพของวัสดุที่ดีที่สุดที่เรานำมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมถึงตัวผลิตภัณฑ์ที่มีรูปทรงโดดเด่นทันสมัย ซึ่งมีความทนทานและความน่าเชื่อถือตามแบบฉบับของ โนเกีย อยู่อย่างครบถ้วน”

“พวกเรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้สร้างสรรค์สมาร์ทโฟนที่จะช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของผู้คน และความมุ่งมั่นที่จะสร้างสมาร์ทโฟนเพียวแอนดรอยด์ที่มีความปลอดภัยสูงและทันสมัยอยู่เสมอ ซึ่งเป็นแก่นของกลยุทธ์หลักของเราและเป็นจุดที่ผู้คนหลงรักเรา วันนี้พวกเรากำลังยกระดับความมุ่งมั่นทุ่มเทขึ้นไปอีกขั้นด้วยการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Android One ซึ่งเป็นโครงการระดับโลกเพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่มีบริษัท Google เป็นผู้ให้การรับรอง”

เป็กกา รันทาลา (Pekka Rantala) รองประธานบริหาร และ หัวหน้าฝ่ายการตลาด   เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า

“สมาร์ทโฟนถือเป็นคู่หูในชีวิตประจำวันของผู้คนและเป็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นจะต้องรู้สึกว่าสามารถไว้วางใจได้ โดยปีที่แล้วพวกเราสัญญาไว้ว่าจะส่งมอบประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟน โนเกียที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้กับผู้ใช้งาน และจะทำงานอย่างเต็มที่ให้สมกับความไว้วางใจที่พวกเขามีต่อแบรนด์โทรศัพท์ โนเกีย วันนี้พวกเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Android One และด้วยการประสานกำลังกันระหว่างความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของเราในการสร้างสรรค์สมาร์ทโฟนเพียวแอนดรอยด์ที่มีความปลอดภัยสูงและทันสมัยอยู่เสมอ ซึ่งทำให้เราได้ถูกเลือกให้ร่วมโครงการนี้ และด้วยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ หมายความว่าทุกคนสามารถที่จะมอบความไว้วางใจให้กับโทรศัพท์มือถือของ      โนเกีย ได้อย่างแท้จริง”

เจมี โรเซนเบิร์ก (Jamie Rosenberg) รองประธานฝ่ายธุรกิจ และ ปฏิบัติการ Androidและ Google Play กล่าวว่า

“Android One ถือเป็นโครงการความร่วมมือระดับเรือธงของเรา และชุดผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ โนเกีย ที่ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลายนี้ถือเป็นตัวแทนของความร่วมมือครั้งใหญ่ที่สุดที่เราเคยมีมา ทำให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลกสามารถเลือกหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ดีที่สุด โดยมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่น่าประทับใจจากฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คุณภาพสูง ซึ่งมีความชาญฉลาด ปลอดภัย และยอดเยี่ยมอย่างน่าชื่นชม”

การจัดจำหน่าย:

Nokia 8 Sirocco เริ่มจัดจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ €749 หรือประมาณ 28,900 บาท

Nokia 7 Plus เริ่มจัดจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ €399 หรือประมาณ 15,400 บาท

New Nokia 6 เริ่มจัดจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ €279 หรือประมาณ 10,700 บาท

Nokia 1 เริ่มจัดจำหน่ายในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ $85 หรือประมาณ 2,670 บาท Xpress-on covers จำหน่ายแยกชิ้นเริ่มต้นที่ $7.99 ในสี Azure, Grey, Yellow and Pink.

Nokia 8110 4G เริ่มจัดจำหน่ายในช่วงพฤษภาคม โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ €79 หรือประมาณ 3,280 บาท

ราคาทั้งหมดนี้ไม่รวมภาษีและเงินอุดหนุน

from:http://www.flashfly.net/wp/209977

กำหนดการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากค่ายต่างๆ ภายในงาน MWC 2018 ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป

งานแสดงเทคโนโลยีมือถือสุดยิ่งใหญ่ประจำปี Mobile World Congress กำลังจะเวียนมาถึงอีกแล้ว และในปีนี้ จะเปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2018 โดยสถานที่จัดงานยังคงอยู่ในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน สิ่งที่น่าสนใจในงานนี้ก็คือ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำ จะแนะนำผลิตภันฑ์รุ่นใหม่ในงานนี้ โดยแต่ละค่ายมีกำหนดการเปิดตัวตามตารางด้านล่าง

ไฮไลท์ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ อยู่ที่ค่าย Samsung ซึ่งจะเปิดตัวเรือธง Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ในเวลาประมาณเที่ยงคืนของประเทศไทย และ HMD Global จะแนะนำสมาร์ทโฟน Nokia รุ่นใหม่ด้วย ส่วนค่าย Huawei ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเปิดตัว P20 series ในงานนี้ด้วยหรือไม่

วันถัดมา เป็นคิวของ Sony ที่จะอวดโฉม Xperia XZ2 กับ Xperia XZ Pro ตามข่าวลือ และวันที่ 27 กุมภาพันธ์ Asus จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนในครอบครัว Zenfone 5

ที่มา – Phonearena
http://www.flashfly.net/wp/?p=209751

from:http://www.flashfly.net/wp/209751

หัวเว่ย มินิ โมบาย เวิลด์ คองเกรส ชี้โอกาสการเติบโตในประเทศไทย

หัวเว่ยจัดแสดงนวัตกรรมไอซีทีล่าสุด พร้อมแชร์โอกาสการเติบโตในงานมินิ โมบาย เวิลด์ คองเกรส 2017 ซึ่งจัดขึ้นในกรุงเทพฯ  ภายในงานยังได้กล่าวถึงเทรนด์และหัวข้อต่างๆ ที่จะช่วยกำหนดทิศทางเพื่อสร้าง “โลกที่มีการเชื่อมโยงสื่อสารที่ดีกว่า” (Better-Connected World) ในยุคคลาวด์ที่เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

หัวเว่ยเปิดประตูต้อนรับเหล่าโอเปอเรเตอร์ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่สนใจชมผลกระทบของความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่มีต่อทุกภาคส่วน อาทิ คลาวด์เน็ตเวิร์ค, 5G, วิดีโอ 4K/8K, Internet of Things (IoT) นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้แชร์วิสัยทัศน์ของบริษัทเพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ ให้เป็นแบบ Real-time, On demand, All- online, DIY และ Social หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ROADS ด้วย

ในฐานะที่เป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์กับหลายๆ ประเทศที่กำลังพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้เจริญก้าวหน้า หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าให้กับชุมชนต่าง ๆ ด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรในประเทศเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยเพิ่มคุณค่าของเน็ตเวิร์คให้มากที่สุด ติดตั้งโฮมบรอดแบนด์ และปรับพื้นที่ภายในอาคารให้รองรับระบบดิจิทัล รวมถึงขับเคลื่อนการเชื่อมโยงสื่อสารเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานเน็ตเวิร์คให้ดีขึ้น ตลอดจนส่งเสริมสังคมและเศรษฐกิจให้เติบโตไปด้วยกัน  ในงานยังมีไฮไลท์เทคโนโลยีไอซีที 5 เทรนด์ที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกในขณะนี้ อันได้แก่ การนำทุกสิ่งเข้าสู่เครือข่ายคลาวด์ (Build All Cloud Networks), การสร้างวิดีโอให้เป็นบริการพื้นฐาน (Make Video a Basic Service), การเพิ่มคุณค่าเครือข่ายให้มากที่สุด/การพัฒนา 5G ให้ใช้งานได้จริง(Maximize Network Value/Bring 5G into Reality), ระบบปฏิบัติการดิจิทัลที่คล่องตัว (Agile Digital Operations) และการนำเทคโนโลยี IoT มาให้บริการ (IoT as a Service)

มร. สตีเว่น หวง รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เราตั้งตารอต้อนรับผู้เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนที่จะมาร่วมในงานอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธศาสตร์หลักๆ และแม่แบบการดำเนินงานในอนาคต เป้าหมายของเราคือการช่วยโอเปอเรเตอร์ในประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นๆ ให้สามารถเห็นช่องทางใหม่ๆ ในการเพิ่มผลประกอบการและต่อยอดวงจรธุรกิจจากการพัฒนาบริการและการสร้างเครือข่าย”

ภายในงาน ผู้เข้าชมจะได้รับทราบข้อมูลผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นไอซีทีล่าสุด ที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ พร้อมสัมผัสนวัตกรรมจากหัวเว่ยและแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อขับเคลื่อนไปสู่อุตสาหกรรมแบบเปิดและความสำเร็จของทุกฝ่าย

โอกาสอีกมากมายที่รอพัฒนา

จากข้อมูลการจัดอันดับ Global Connectivity Index (GCI)[1] ที่หัวเว่ยแผยแพร่ในปี 2559 พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 34 จากประเทศที่ทำการสำรวจทั้งหมด 50 ประเทศ โดยจัดอยู่ในกลุ่ม “Adopters” ด้วยคะแนน 37 คะแนน สิ่งนี้บ่งชี้ได้ถึงโอกาสทางด้านไอซีทีที่รอให้พัฒนาต่อได้อีกมากมาย กลุ่มประชากรที่ยังเข้าไม่ถึงโอกาส และยุทธศาสตร์ด้านไอซีทีของประเทศ จากการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคแห่งการเชื่อมโยงสื่อสารอย่างเต็มรูปแบบนี้เอง โครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลจะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตต่อไป

“หัวเว่ยยังคงเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดของประเทศไทยในด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ที่พร้อมจะผลักดันอุตสาหกรรมแนวตั้งให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล เรามีแผนให้ความช่วยเหลือด้วยการฝึกอบรมบุคลากรด้านไอซีทีของไทยให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนในด้านต่างๆ เพื่อร่วมผลักดันนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลให้สัมฤทธิผลอีกด้วย” มร. หวง กล่าวเพิ่มเติม

หัวเว่ยได้วิเคราะห์ภูมิทัศน์ของตลาดเกิดใหม่ในปัจจุบันเพื่อกำหนดแนวทางกลยุทธ์จาก 4 มุมมอง ได้แก่ ผู้ใช้+, ครัวเรือน+, ทรัพยากร+ และประสิทธิภาพ+  การติดตั้งโฮมบรอดแบนด์อย่างรวดเร็วและการสร้างระบบอินดอร์ดิจิทัลจะช่วยปรับปรุงสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมและยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น  ทรัพยากรเครือข่ายที่มีอยู่จะถูกใช้เพื่อเพิ่มคุณค่าของเครือข่ายและประสิทธิภาพของสเปคตรัมให้ได้มากที่สุด พัฒนา O&M ให้ดีขึ้น และรองรับเศรษฐกิจในทุกระดับ  การเชื่อมโยงผู้ใช้ทั้งหมดจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และมนุษยชาติ

“ในราวปี 2568 เราจะได้เห็นคนสองพันกว่าล้านคนมีการเชื่อมต่อผ่านโมบายบรอดแบนด์ และอีกกว่า 500 ล้านรายผ่านโฮมบรอดแบนด์ ความมุ่งมั่นของเราคือ การผลักดันให้โอเปอเรเตอร์ทั่วโลกสามารถต่อยอดไปสู่การเติบโตใหม่” มร. หวง อธิบาย

เพื่อเป็นการเติมเต็มภารกิจใน “การสร้างโลกที่มีการเชื่อมโยงสื่อสารที่ดียิ่งขึ้น” หัวเว่ยได้ผลักดันให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายในอุตสาหกรรมนำประสบการณ์ด้าน “Real-time, On-demand, All-online, DIY และ Social (ROADS)” มาปรับใช้ให้เป็นมาตรฐานหลักเพื่อความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคดิจิทัล  หัวเว่ยจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมให้ก้าวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล โดยเริ่มจากด้านเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมให้ทันสมัยก่อนจะไปสู่การพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ และในตอนนี้เข้าสู่ช่วงการสร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์ของระบบดิจิทัล

นอกจากนี้ ยังมีขอบเขตการพัฒนาอีก 4 ขอบเขตใหญ่ๆ ที่หัวเว่ยกำลังแสวงหาหนทางเพื่อก้าวไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระบบนิเวศน์ที่รวมเอาโอกาสและประโยชน์ต่างๆ ไว้ด้วยกัน โดยขอบเขตดังกล่าวประกอบด้วยนวัตกรรม 5G (5G Innovation), ประสบการณ์ ROADS หนทางสู่การเติบโตแนวใหม่ (ROADS to New Growth), การเพิ่มคุณค่าเครือข่ายให้ได้สูงสุด (Network Value Maximization) และการพลิกโฉมระบบปฏิบัติการ (Operations Transformation)

[1] http://www.huawei.com/minisite/gci/pdfs/GCI2016_Press_Release.da5.pdf

from:http://mobileocta.com/huawei-mini-mobile-world-congress/

รายได้จากอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือกำลังลดลง ค่ายมือถือควรทำอย่างไรเพื่อพลิกโฉมธุรกิจจากเดิม

บทความโดย กสทช. ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา

Mobile World Congress ที่ผ่านพ้นไป นอกจากจะมีการนำเสนอความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างๆ เช่น 5G, IoT, Smart cities, AR/VR และอื่นๆ แต่ที่น่าสนใจคือ การนำเสนอปัญหาของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่และทางออกที่เป็นไปได้ ซึ่งอาจพลิกโฉมรูปแบบทางธุรกิจของค่ายมือถือทั่วโลก

เป็นครั้งแรกที่สมาคมผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSMA มีประธานเป็นชาวเอเชีย คือ Mr. Sunil Bharti Mittal จากอินเดีย ซึ่งได้แถลงถึงสภาพการณ์และทิศทางของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ว่า ในปัจจุบันผู้ใช้บริการเพิ่มในอัตรา 7% ต่อปี แต่รายได้เติบโตเพียง 3% ส่วนปริมาณการใช้ Data ผ่านมือถือเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ผู้ประกอบการต้องลงทุนโครงข่ายปีละประมาณสองแสนล้านเหรียญสหรัฐ

หากไม่มีการปรับทิศทางอุตสาหกรรม ต่อไปนำเงินจำนวนนี้ไปฝากธนาคารอาจได้ผลตอบแทนที่ไม่ต่างไปจากการนำมาดำเนินธุรกิจมือถือ แล้วยังมีเวลาเหลือไปทำกิจกรรมอื่นได้อีก

นอกจากนี้ภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมมือถือในสายตาผู้บริโภค ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมยาสูบ ทั้งที่มือถือเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตยุคปัจจุบัน ประธาน GSMA ได้เสนอว่า ภาพลักษณ์ที่ไม่ดีส่วนหนึ่งมาจากปัญหา Bill Shock จึงต้องมุ่งจัดการปัญหาค่าโรมมิ่งระหว่างประเทศที่เป็นอุปสรรคในการเข้าถึงบริการมือถือเมื่อผู้บริโภคเดินทางไปต่างประเทศ

การลงทุนโครงข่ายนั้นผู้ประกอบการต่างค่ายอาจต้องจับมือกันหรือเปิดให้มีการใช้งานโครงข่ายร่วมกัน คล้ายคลึงกับการวางเคเบิ้ลใต้สมุทรที่เป็นการร่วมลงทุนของผู้ประกอบการหลายราย และในบางประเทศอาจมีการควบรวมค่ายมือถือเพื่อให้มีจำนวนที่เหมาะสม รัฐบาลมักมุ่งหวังให้อุตสาหกรรมมือถือสร้างรายได้เข้ารัฐและมุ่งหวังให้มีการแข่งขันเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค ซึ่งเป็นเป้าประสงค์ที่สวนทางกัน จึงเรียกร้องให้พิจารณาอุตสาหกรรมมือถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล มิใช่เป็นตัวสร้างรายได้มหาศาลโดยตรง จึงควรปรับอัตราค่าธรรมเนียมหรือภาระภาษีให้เหมาะสมกับสภาพอุตสาหกรรมในขณะนี้

อย่างไรก็ดี มีผู้ร่วมเสนอมุมมองที่น่าสนใจ ต่อทิศทางของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ ดังนี้

ในอดีต อุตสาหกรรมมือถือเชื่อมั่นว่า อนาคตของอุตสาหกรรมจะรุ่งโรจน์ เพราะประชาชนต้องใช้มือถือในชีวิตประจำวัน เสมือนหนึ่งสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่นๆ ที่ขาดไม่ได้ และคาดหวังว่า เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนจากการโทรคุยกัน มาเป็นการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ ค่ายมือถือจะมีผู้ใช้งานหลายพันล้านคน และจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมากมาย อีกทั้งสิทธิ์ในการครอบครองคลื่นความถี่ ทำให้ผู้เล่นอื่นไม่สามารถมาช่วงชิงตลาดได้โดยง่าย

แต่ในความเป็นจริง เมื่อผู้บริโภคใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือมากขึ้น ค่ายมือถือต้องลงทุนโครงข่ายเพิ่มขึ้น แต่รายได้กลับไปงอกเงยกับผู้ประกอบการ OTT (Over The Top) อย่าง Facebook หรือ Google ประชาชนคิดว่าตนใช้งานบริการของ OTT ต่างๆ มากกว่าใช้งานโครงข่ายมือถือ ซึ่งเป็นเพียงเสมือนถนนหรือท่อรับส่งข้อมูลแบบ Dumb Pipe ในส่วน OTT ก็มีรายได้จากการโฆษณาและมีข้อมูลการใช้งานจำนวนมหาศาล (Big Data) ที่นำไปต่อยอดทางธุรกิจได้อีกมาก

แม้แต่บริการรับส่งข้อความผ่านมือถือ ก็เปลี่ยนจาก SMS ซึ่งเป็นรายได้ของค่ายมือถือ ไปสู่ Messaging App ต่างๆ และบาง App ได้พัฒนาตนเองไม่ใช่เป็นเพียงบริการสื่อสารข้อความ แต่เป็น Platform ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตโดยรวม เช่น WeChat หรือ Line ซึ่งให้บริการช่องทางสื่อสารกับบริษัทห้างร้านต่างๆ ผ่าน Official Account บริการชำระเงินหรือซื้อสินค้าออนไลน์ บริการข่าว และภาพยนตร์ เป็นต้น แต่หากเกิดปัญหาในการใช้งาน หรือการถูก Hack ข้อมูล ผู้บริโภคมักจะหันมามองค่ายมือถือเพื่อให้รับผิดชอบปัญหาที่พบเจอ

เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาจนโครงข่ายมือถือเป็นโครงข่ายอัจฉริยะ (Intelligent Network) ไม่ใช่เพียง Dumb Pipe อีกต่อไป อุตสาหกรรมมือถือจึงมีโอกาสที่จะปรับโฉมเพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ค่ายมือถือโดยตรง แทนที่รายได้จะวิ่งไปเข้ากระเป๋า OTT ได้แก่ การขายบริการโครงข่ายคุณภาพสูงให้อุตสาหกรรมอื่นๆ โดยตรง ด้วยเทคโนโลยี Network Function Virtualization และ Software-Defined Network หรือแม้แต่การสร้างรายได้จาก Big Data ซึ่งค่ายมือถือต่างมีข้อมูลที่อาจจะมากกว่าข้อมูลที่ OTT มีด้วยซ้ำ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการสร้างรายได้จากข้อมูลโดยไม่ละเมิดต่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือการเปลี่ยนให้โครงข่ายมือถือเป็นเกตเวย์สู่บริการออนไลน์อื่นๆ

ตัวอย่างเช่น แนวคิด Messaging as a Platform (MAAP) เนื่องจากค่ายมือถือมีจุดแข็งเรื่องการดูแลความปลอดภัยและคุณภาพของระบบรับส่งข้อมูล การให้บริการ MAAP แทน OTT จึงน่าจะมีความปลอดภัยและคุณภาพที่ดีกว่า และเป็นช่องทางในการทำธุรกรรมออนไลน์ที่สะดวกและปลอดภัยกว่าเว็บไซต์แบบเดิมๆ เพราะผู้บริโภคคุ้นเคยกับการสื่อสารแบบบสนทนาผ่านการพิมพ์หรือการคุย (Conversation) มากกว่าการคลิกเมนูและการกรอกข้อมูลต่างๆ ในเว็บเพจ การเป็น Platform จะทำให้บริษัทห้างร้านต่างๆ มาให้บริการผ่าน Official Account และการใช้ Artificial Intelligence อย่าง Chat Bot ในการสนทนากับผู้บริโภคก็จะมีประสิทธิภาพและประหยัดกว่าการประกอบธุรกิจรูปแบบเดิม

สัดส่วนบริการที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือสูงสุดคือ Video Streaming แม้แต่การฟังเพลง ผู้บริโภคก็เปลี่ยนจากการโหลดเพลงมาเก็บในมือถือแล้วเปิดฟัง เป็นการฟังผ่านบริการ Streaming ดังนั้น Premium Content จึงเป็นทางเลือกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ การควบรวมกิจการระหว่าง AT&T และ Time Warner แสดงให้เห็นถึงรูปแบบธุรกิจใหม่ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงบริการ Content ผ่านผู้ให้บริการโทรคมนาคม โดยมี User Interface ที่ง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน คือ App หรือซอฟต์แวร์ที่เป็นแหล่งรวมบริการต่างๆ ไว้ด้วยกัน

ในประเทศไทย เราเริ่มเห็นผู้ให้บริการมือถือหลายรายเปิดตัวความร่วมมือกับ Premium Content ต่างๆ เพราะนี่คือรูปแบบของการสร้างรายได้ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานในปัจจุบัน

โดยสรุป ข้อเสนอจากฝั่งผู้ประกอบการก็คือ อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่มีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ไม่สูงนัก การสร้างรายได้ใหม่ๆ จึงมีความจำเป็น ได้แก่ รายได้จาก Big Data รายได้จากการเป็น Internet Platform รายได้จากบริการ Premium Content และรายได้จากการให้บริการโครงข่ายเฉพาะกับอุตสาหกรรมอื่นๆ และทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในยุค Intelligent Network

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/revenue-mobile-industry/

ก้าวต่อไปของ LINE กับ Clova ผู้ช่วยเสมือนจริงผ่านระบบคลาวด์ เตรียมส่ง Clova App และ Smart Speaker Wave บุกตลาดเร็วๆนี้

LINE

Clova หรือ Cloud Virtual Assistant (ผู้ช่วยเสมือนจริงผ่านระบบคลาวด์) ดึงจุดแข็งด้านการสร้างสรรค์บริการที่เข้ากับท้องถิ่นของไลน์มาพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์แนวใหม่ Clova App และ Smart Speaker ‘Wave’ เตรียมบุกตลาดเร็ว ๆ นี้ LINE ผนึกกำลังกับพันธมิตรอย่าง “โซนี่ โมบายล์” “โทมี” (TOMY) และ vinclu ในการเปิดตัว Clova อัจฉริยะ

clova01

LINE ประกาศเปิดตัว “Clova” AI ที่อยู่บนคลาวด์ครั้งแรกของที่งาน Mobile World Congress ณ เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน Clova ย่อมาจาก Cloud Virtual Assistant หรือผู้ช่วยเสมือนจริงระบบคลาวด์ บริการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง LINE และ NAVER ผู้ให้บริการ seach portal ชั้นนำของเกาหลีใต้ Clova ถือเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ และก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบผู้ช่วยดิจิทัลของผู้ใช้งานทั่วโลก ครบครันด้วยประโยชน์การใช้สอยและการเชื่อมต่อที่ดีกว่าที่เคยมีมา ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี ตลอดจนพลิกโฉมการใช้ชีวิตของผู้ใช้งานไปอย่างสิ้นเชิง

clova_logo

LINE แพลตฟอร์มการบริการส่งข้อความและแหล่งรวมคอนเทนต์ข้อมูลข่าวสารยอดนิยมต่อยอดนวัตกรรมครั้งนี้จาก ความเข้าใจของผู้บริโภคในแถบเอเชียและยังเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนประชากรชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันมีจำนวนกว่า 650 ล้านคนแล้ว ด้วยความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดในหลายๆ ประเทศ รวมถึงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ไทย และไต้หวัน LINE จึงสามารถพัฒนาและเปิดตัว “Clova” ในหลายภาษา ตอกย้ำการให้บริการที่เข้ากับความต้องการของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี

id230025_1
 
นายทาเคชิ อิเดซาว่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LINE Corporation กล่าว “AI ถือเป็นโครงการที่สำคัญของ LINE และจะเป็นการพลิกโฉมที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าการเกิดของสมาร์ทโฟนที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน ระบบ Clova จะเชื่อมต่อบริการของ LINE ทุกอย่างเข้าด้วยกันและนำพาผู้ใช้งานก้าวไปสู่อนาคตใหม่ ก้าวไกลไปกว่าระบบสัมผัส แสดงภาพ หรือการสืบค้นข้อมูลแบบอัจฉริยะ เราตั้งเป้าที่จะทำให้ Clova ผงาดขึ้นในฐานะ AI ชั้นนำของเอเชีย”

AI นี้ทำงานได้อย่างสุดแสนจะเป็นธรรมชาติและชาญฉลาดเพราะฐานข้อมูลขนาดใหญ่จากแต่ละท้องที่

clova03
 
นายอิเดซาว่าย้ำชัดว่า “Clova จะมีประโยชน์เหนือชั้น จากจุดเด่น 4 ประการได้แก่ 1) เทคโนโลยีโปรแกรมแชทของ LINE 2) เทคโนโลยีการสืบค้นของนา NAVER 3) ความหลากหลายของบริการและเนื้อหาจาก LINE และ NAVER
และ 4) ข้อมูลจำนวนมากที่ LINE และ NAVER รวบรวมจากผู้ใช้งาน
 
หัวใจของ Clova คือ สมองประดิษฐ์และเครื่องตรวจจับสัญญาณต่าง ๆ เพื่อเสกสรรสัมผัสต่าง ๆ ของมนุษย์ Clova Voice จะเปรียบได้กับปาก ส่วน Clova Vision นั้นเปรียบได้กับตา เมื่อประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของ Clova ทำงานร่วมกัน ระบบนี้จึงสามารถจดจำเสียง ใบหน้า การกระทำของมนุษย์ได้ รวมทั้งยังเข้าใจข้อมูลที่ป้อนเข้ามาในระบบอีกหลากหลายประการ 
 
Clova Brain จะนำข้อมูลที่ได้รับไปประมวลผลร่วมกับคลังข้อมูลระดับเจาะลึก และขนาดมหาศาลของ LINE เพื่อใช้ประโยชน์จากเนื้อหาและบริการของ LINE อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ระบบปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าว ยังสามารถนำเนื้อหาและบริการมาสร้างประสบการณ์ที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานอีกด้วย เนื่องจาก Clova เข้าใจภาษา มีระบบแปลและเครื่องให้คำเสนอแนะในตัว จึงสามารถสื่อสารกับผู้ใช้งานในภาษาทั่วไปได้ เข้าใจแม้แต่คำถามยาก ๆ รวมทั้งยังสามารถให้คำแนะนำที่มีความซับซ้อนได้ด้วย

wave_face_mini

Clova App และ Smart Speaker Wave เตรียมบุกตลาด
ผลิตภัณฑ์ชุดแรกของ Clova ได้แก่ Clova App และ Smart Speaker Wave จะเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี โดย Wave ถือเป็นผลงานชั้นเลิศสำหรับมนุษย์ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ช่วยเสมือน Wave ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถพูดสื่อสารกับ Clova ด้วยคำพูดธรรมดาทั่วไปเพื่อเรียกดูข้อมูลอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคำพยากรณ์สภาพอากาศ ปฏิทิน ข่าวสารและสินค้า หรือจะสั่งปิด-เปิดไฟ หรือดำเนินการอื่น ๆ เกี่ยวกับอุปกรณ์ในบ้านก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้งานยังสามารถเรียกใช้ Wave เมื่อต้องการฟังเพลง อ่านหนังสือดิจิทัลหรือดูเนื้อหาอื่น ๆ ก็ได้
 
เพิ่มความร่วมมือในหลากหลายสาขา
นอกเหนือจากการเปิดตัว Clova แล้ว LINE ยังประกาศแผนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรที่น่าสนใจต่าง ๆ เพื่อหาทางใช้ประโยชน์จากระบบปัญญาประดิษฐ์ในหลากหลายด้าน ทั้งโซนี่ โมบาย คอมมิวนิเคชั่นส์ และโทมี่ ผู้ผลิตของเล่นก็ได้ตกลงร่วมมือกับ LINE แล้ว

นอกจากนี้ LINE ยังมีแผนที่จะซื้อหุ้นเพื่อที่จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดใน Vinclu Inc ผู้อยู่เบื้องหลัง Gatebox หรือหุ่นยนต์เสมือนประจำบ้าน โดยผู้ช่วยประจำบ้านดังกล่าวสามารถรับคำสั่งทางเสียง และอาศัยเครื่องตรวจจับสัญญาณ ต่างๆ ในการมีปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับผู้ใช้งาน ที่สำคัญ ระบบอัจฉริยะนี้ยังสามารถ เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในบ้านได้ด้วย
 
ในระยะแรก อุปกรณ์และแอพพลิเคชั่นที่ใช้กับ Clova Interface Connect (CIC) จะต้องพัฒนาจาก LINE และ NAVER เท่านั้น แต่เมื่อมีการเริ่มใช้งานในระยะที่สอง ระบบปัญญาประดิษฐ์นี้จะรองรับนวัตกรรมจากผู้พัฒนาสินค้า และบริการรายอื่นๆ ด้วย โดยเนื้อหาและบริการที่เชื่อม Clova เข้ากับ the Clova Extension Kit (CEK) จะต้องใช้อุปกรณ์และแอพพลิเคชั่นที่ผลิตด้วย LINE และ NAVER เท่านั้นในระยะแรก แต่จะมีการเปิดให้ผู้พัฒนาอื่นๆ ได้ส่งเสริมการใช้ระบบ Clova ด้วยเช่นกันในภายหลัง เพื่อให้ระบบ Clova สามารถขยายตัวและพัฒนาต่อไปในอนาคต

from:http://www.flashfly.net/wp/?p=177221