คลังเก็บป้ายกำกับ: GEFORCE_RTX_2080_TI

พรีวิวเทียบความหล่อ NVIDIA Geforce RTX 3080 VS GeForce RTX 2080 Ti

และแล้วก้ถึงวันที่ทีมงาน NBS เผยแผร่หน้าตา NVIDIA Geforce RTX 3080  หลังจากได้รับมาทดสอบในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน เลยขอถ่ายภาพจับชน Geforce RTX 2080 Ti สักหน่อยว่าหน้าตาการ์ดแบบ Founders Edition ทั้ง 2 ตัวขนาดหน้าตาต่างกันขนาดไหน

ก่อนจะเผยแพร่รีวิวเต็มๆได้ในวันที่ 14 กันยายน ทีมงานขอพรีวิวหน้าตาเจ้า NVIDIA Geforce RTX 3080 ที่ทีมงานได้มาทดสอบเป็นสื่อแรกๆในไทย โดยเป็นรูปแบบการ์ด Founders Edition ที่ทาง NVIDIA ผลิตเอง ซึ่งเป็นการ์ดที่หลายท่านหมายปองอยากได้ (แต่ไม่มีขายในบ้านเรา) ด้วยการยกเครื่องการออกแบบตัวการ์ด รวมไปถึงชุดระบายความร้อนใหม่หมด ด้วยพัดลมแบบ 2 ทาง ซึ่งทีมงานจะขอยังไม่ลงรายละเอียดมากนัก รอชมได้ในรีวิว โดยทีมงานจะขอโฟกัสที่หน้าตาของ NVIDIA Geforce RTX 3080 เทียบกับ NVIDIA Geforce RTX 2080 Ti ว่าหน้าตา และขนาดเป็นอย่างไร

โดยขนาดหลักๆจะแทบไม่ต่างกันมาก ทั้งความหนา น้ำหนัก แต่ NVIDIA Geforce RTX 3080 Founders Edition จะยาวกว่าอยู่เล็กน้อย แต่หน้าตาจะต่างกันโดยสิ้นเชิง โดย NVIDIA Geforce RTX 2080 Ti Founders Edition ที่หลายท่านแซวว่าเหมือนเตาแก๊สนั่น เป็นของอลูมิเนียมสีเงินที่หลายท่านก็ชอบในความโดดเด่น มี 2 พัดลม อยู่ฝั่งเดียวกันดูดอากาสเย็นเข้าจากด้านเดียว และระบายอากาศออกด้านข้าง

ส่วน NVIDIA Geforce RTX 3080 Founders Edition แม้จะเป็น 2 พัดลมเหมือนกัน แต่จะเป็นแบบ 2 ฝั่ง แต่จะดูดอากาศจากด้านล่างเคสเข้ามาระบายออกทางด้านหลัง และด้านบนผ่านซีพียู โดยตัว Cover หรือตัวเคสของการ์ดจะเป็นอลูมิเนียม CNC ขอบสีเทารมดำตัดกับฝาปิดอลูมิเนียมดีดำ ยังไงเดี๋ยวทีมงานจะถ่ายเจาะรายละเอียดในรีวิวเต็มๆอีกทีเด๋อ

ดูเผินๆเหมือน NVIDIA Geforce RTX 3080 Founders Edition เหมือนจะหนากว่า NVIDIA Geforce RTX 2080 Ti Founders Edition เล็กน้อย เพราะเรื่องการดีไซน์รูปลักษณ์มากกว่า แต่เอาจริงๆ หน้า และสูงพอๆกัน แต่ NVIDIA Geforce RTX 3080 Founders Edition จะยาวกว่ายื่นออกมาหน่อย ด้วยพัดลมที่ยื่นออกมา และฟินอลูมิเนียมที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

 

ความหนาไม่ต่างกัน แต่ที่เห็นว่า NVIDIA Geforce RTX 2080 Ti Founders Edition ดูบางกว่า เพราะเป็นสีเงิน และการออกแบบที่ดูมีโค้งเว้าเข้าไประหว่างพัดลมหน่อย

พอร์ตจ่ายไฟของ NVIDIA Geforce RTX 3080 Founders Edition ก็จะเปลี่ยนเป็นแบบ 12 pin ที่มีขนาดเล็กลง แต่จ่ายไฟได้มากขึ้น ขัดใจกับการวางตำแหน่งหน่อย แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเพราะเรื่องของการดีไซน์ ที่ต้องการให้ดูกลมกลืนโดยไม่ต้องเจาะอลูมิเนียมโดยไม่จำเป็น

พอร์ตเชื่อมต่อยังคงจำนวนใกล้เคียงเดิมคือ Display Port 3 พอร์ต และ HDMI 1 พอร์ต เพิ่มช่องระบายความร้อนให้กว้างขึ้นเยอะมาก และตัด USB-C ออกไปวะแล้ว

PCIe x16 ขั้วต่อทั้งหมดเหมือนเดิม แต่ NVIDIA Geforce RTX 3080 Founders Edition จะอัพเกรทเป็น PCIe 4.0 ส่วน NVIDIA Geforce RTX 2080 Ti Founders Edition จะยังคงเป็น PCIe 3.0 อยู่

NVIDIA Geforce RTX 3080 Founders Edition ยาวกว่า NVIDIA Geforce RTX 2080 Ti Founders Edition เล็กน้อย

รอชมประสิทธิภาพของ NVIDIA Geforce RTX 3080 Founders Edition ได้ที่ NBS ในวันที่ 14 กันยายน 2 ทุ่ม พร้อมผลเทสชนกับ NVIDIA Geforce RTX 2080 Ti Founders Edition ตัวนี้เลยว่าการ์ดจอราคาถูกกว่าเกือบครึ่ง มันจะแรงอย่างที่ NVIDIA โม้ไว้ไหมนะ

from:https://notebookspec.com/photo-shot-nvidia-geforce-rtx-3080-vs-geforce-rtx-2080-ti/536335/

Graphic Card – TecLab รอรุ่น Super ไม่ไหว จับการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2080 Ti มาโมให้เร็วขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้กลุ่มนักโมชื่อดังอย่าง TecLab ได้มีการนำเอา RTX 2080 Ti ที่แรงอยู่แล้วมาทำการโมใหม่ให้แรงมากขึ้นกว่าเดิม โดยการโมในครั้งนี้นั้นทำขึ้นเพื่อที่จะดูว่าเมื่อนำเอา RTX 2080 Ti มาใช้งานร่วมกับหน่วยความจำที่มาพร้อมกับแบนด์วิดท์ 16 Gbps ว่าจะไปได้แรงมากเท่าไรเนื่องจากว่าบนกราฟิกการ์ด RTX 2080 Ti นั้นจะมาพร้อมกับหน่วยความจำที่มีแบนด์วิดท์เพียงแค่ 14 Gbps เท่านั้นในขณะที่ RTX 2080 Super ทาง NVIDIA ได้เปลี่ยนมาใช้เป็นหน่วยความจำแบนด์วิดท์ 16 Gbps ผลจะเป็นเช่นไรนั้นไปติดตามกัน

ด้วยความที่ RTX 2080 Ti นั้นมาพร้อมกับหน่วยความจำขนาด 11 GB ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้หน่วยความจำทุกตัวนั้นรองรับกับแบนด์วิดท์ 16 Gbps อย่างสมบูรณ์แบบทาง TecLab ต้องสละการ์ด GALAX RTX 2080 SUPER จำนวน 2 ตัวเพื่อที่จะนำเอาหน่วยความจำของ GALAX RTX 2080 SUPER ออกมาให้พอดีที่จะสามารถทำให้ RTX 2080 Ti ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพซึ่งการโมจะเป็นเช่นไรนั้นติดตามได้จากคลิปเลย

จากการเปลี่ยนหน่วยความจำแล้วนั้นพบว่าสามารถใช้งานได้ ทว่าด้วยส่วนของ memory controlled ที่อยู่บนตัวการ์ด RTX 2080 Ti นั้นไม่สามารถที่จะเร่งความเร็วสัญญาณนาฬิกาไปได้มากที่สุดทำให้ในท้ายที่สุดแล้วทาง TecLab สามารถที่จะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาของหน่วยความจำไปได้แค่ที่ 2250 MHz ทำงานจริงที่ 17200 MHz เท่านั้น ทว่ามันก็มากกว่าหน่วยความจำที่อยู่บน RTX 2080 Ti ในตอนต้นถึง 3200 MHz ในการทดสอบนั้นทาง TecLab ใช้ Superposition Extreme benchmark และได้ผลการทดสอบดังต่อไปนี้

ถือว่าดูเพื่อเป็นความรู้นะครับ เพราะการโมแบบนี้นั้นมีความเสี้ยงเป็นอย่างมากที่การ์ดอาจจะเกิดปัญหาจนไม่สามารถที่จะใช้งานได้ แนะนำว่าอย่าทำตามเด็ดขาดแล้วจะหาว่าไม่เตือนนะ

ที่มา : videocardz

from:https://notebookspec.com/teclab-makes-rtx-2080-ti-faster-with-16-gbps-memory/503580/

EVGA – GeForce RTX 2080 Ti KINGPIN Hybrid การ์ดจอตัวเทพ OC ได้สูงถึง 2.7 GHz ทะลุสถิติโลก

มีรายงานว่าล่าสุดนั้น EVGA GeForce RTX 2080 Ti KINGPIN Hybrid นั้นมีการโอเวอร์คล็อก ทำลายสถิติโลก ไปที่ 2.7 GHz ขึ้นแท่นการ์ดจอ RTX 2080 Ti ที่แรงอันดับ 1 ใน  3DMark กันไปเรียบร้อย

RTX 2080 Ti

EVGA – GeForce RTX 2080 Ti KINGPIN Hybrid โอเวอร์คล็อกได้สูงถึง 2.7 GHz ทะลุสถิติโลก

โดยที่ EVGA RTX 2080 Ti KINGPIN Hybri สามารถโอเวอร์คล็อกได้สูงถึง 2.4GHz Memory Clock ที่ 17 Gbps เรียกว่าแรงจัดเต็มสุดๆ

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในงาน CES 2019 เราได้ทราบถึงลักษณะตัวการ์ดของ EVGA GeForce RTX 2080 Ti KINGPIN Hybrid เป็นรุ่นสำหรับโอเวอร์คล็อก ซึ่งมาในแบบ Hybrid ก็คือ มีทั้งซิงก์ลมและชุดน้ำปิดในตัวนั่นเอง

ใน 3DMark Portal Royal ตัวการ์ดนั้นสามารถทำคะแนนได้สูงถึง 11744 คะแนนเลย โดยอยู่ที่อันดับ 1 ของ 3DMark Portal Royal Hall of Fame แซง RTX 2080 Ti Lightning Z ที่เคยทำไว้ นี้ถือเป้นความสำเร็จของการ์ด KINGPIN และเป็นการโอเวอร์คล็อกสูงสุดที่เคยมีบันทึกไว้ใน กราฟิกการ์ด RTX 2080 Ti ทั้งหมด
ที่มา: wccftech.com

from:https://notebookspec.com/evga-geforce-rtx-2080-ti-oc-best-world/475648/

Graphic Card – COLORFUL iGame GeForce RTX 2080 Ti KUDAN ดีไซน์ล้ำ ฟีเจอร์เทพ ราคา 95,000 บาท

ได้ทำการเปิดตัวกราฟิกการ์ดสุดเทห์ในชื่อรุ่น iGame GeForce RTX 2080 Ti KUDAN ที่ตัวการ์ดนั้นมาพร้อมกับชิปกราฟิกตัวท๊อปในปัจจุบันอย่าง RTX 2080 Ti มาพร้อมระบบระบายความร้อนที่คุณต้องอึ้งซึ่งมีการปรับแต่งแผงวงจรใหม่หมดเพื่อให้สามารถรองรับการ OC ได้มากที่สุดครับ

รูปร่างของตัวการ์ดนั้นรับรองได้เลยครับว่าคุณจะไม่เคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน โดยในส่วนของพัดลมระบายความร้อนนั้นจะมีมาให้ 3 ตัว โดยตรงส่วนหนึ่งของกรอบพัดลมนั้นจะมีไฟ RGB อยู่ด้วย ด้วยความยิ่งใหญ่นั้นทำให้ iGame GeForce RTX 2080 Ti KUDAN กินพื้นที่ในการติดตั้ง 3 slot ครับ

นอกไปจากพัดลมแล้วนั้น iGame GeForce RTX 2080 Ti KUDAN ยังมาพร้อมกับหม้อน้ำสำหรับระบายความร้อนแบบปิดซึ่งที่ตัวหม้อน้ำนั้นจะมีพัดลมสำหรับระบายอากาศอีก 2 ตัว เรียกได้ว่า iGame GeForce RTX 2080 Ti KUDAN นั้นมาพร้อมกับระบบระบายความร้อนแบบ triple-fan hybrid cooling system ครับ

ท่อนำความร้อนของ iGame GeForce RTX 2080 Ti KUDAN นั้นก็เรียกได้ว่าได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีครับ

นอกเหนือไปจากไฟ RGB แล้วนั้นคุณยังจะได้หน้าจอ LCD อีกอย่างซึ่งเข้าหน้าจอ LCD นี้นั้นคุณสามารถที่จะตั้งค่าให้แสดงข้อความ, ภาพและภาพเคลื่อนไหวแบบ GIF ผ่านทางแอป iGame Dynamik ครับ

อุปกรณ์ทั้งหมดทั้งมวลนั้นจะถูกบรรจุเอาไว้ในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเสมือนกับกระเป๋าเดินทางเคลื่อนที่ ทั้งนี้แล้วนั้นทาง COLORFUL จะผลิตการ์ด iGame GeForce RTX 2080 Ti KUDAN ออกวางจำหน่ายเพียงแค่ 1000 ชุดเท่านั้น สนนราคาต่อชุดนั้นก็จะอยู่ที่ $3000 หรือประมาณ 95,000 บาท งานนี้ใครสนใจต่องรีบหน่อยนะครับ

ที่มา : tweaktown

from:https://notebookspec.com/colorfuls-new-custom-geforce-rtx-2080-ti-kudan-costs-3000/474655/

CES 2019 – ภาพชัดๆ ของ MSI GeGorce RTX 2080 Ti Lightning Z อลังการแค่ไหน พร้อมผลทดสอบสุดแรง

MSI ได้โชว์ของเด็ด คือ MSI RTX 2080 Ti Lightning ในงาน CES 2019 ที่ผ่านมา โดยตัว MSI RTX 2080 Ti Lightning Z ได้รับการออกแบบด้วยระบบส่งกำลังไฟ 19 เฟส และขั้วต่อไฟ 3×8 pin โดยมาพร้อมกับการ Overclock จากโรงงานมาที่ 1770 MHz สำหรับการเชื่อมต่อมี 3x DisplayPort, 1x HDMI และ 1x USB Type-C output สำหรับ VirtualLink

MSI RTX 2080

ตัวการ์ดและฮีทซิงค์มีขนาดที่ใหญ่มาก ฮีทซิงค์มี ฮีทไปป์ 8 ตัวที่นำความร้อนไปยังครีบอะลูมิเนียมขนาดใหญ่เพื่อการระบายความร้อนสูงสุด ส่งผลให้การระบายความเป็นไปอย่างดีเยี่ยม และ สีไฟ LED ของตัวพัดลมสามารถเปลี่ยนได้ผ่านซอฟต์แวร์ Dragon Center ของ MSI

แผ่นรองด้านหลังของตัวการ์ดได้ถูกออกแบบเป็น คาร์บอนไฟเบอร์ สุดเท่ ตามที่แฟนๆได้เรียกร้องมา

ภาพสำหรับผลเทสคะแนน 3DMark ของ MSI RTX 2080 Ti Lightning Z

สำหรับวันวางจำหน่ายของ MSI RTX 2080 Ti Lightning Z จะวางจำหน่ายในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่ยังไม่ระบุราคา อาจต้องรอใกล้ๆ อีกที

ที่มา : techpowerup.com

from:https://notebookspec.com/ces-2019-msi-rtx-2080-ti-lightning-z/468951/

PC News – ZOTAC เตรียมโชว์ GeForce RTX 2080 Ti ArcticStorm ในงาน CES 2019

ล่าสุดทาง ZOTAC ได้เปิดตัว การ์ดจอ ซีรีย์ ArcticStorm โดยเป็นการ์ดจอที่ออกแบบมาสำหรับคนที่ใช้ชุดน้ำ และ คนที่ต้องการจะ Overclock การ์ดจอของตัวเองให้แรงยิ่งขึ้นไปอีก โดยในตัว RTX 2080 Ti ArcticStorm ได้ติดตั้งชุดบล็อคน้ำมาให้พร้อมด้วย ลวดลายสุดเท่ พร้อมด้วยไฟ RGB ที่สามารถปรับแต่งได้พร้อมควบคุมไฟ LED ในตัวการ์ด RTX 2080 Ti ArcticStorm นั้นใช้ชุดภาคจ่ายไฟแบบ 16+4

RTX 2080 Ti

ZOTAC เตรียมโชว์ GeForce RTX 2080 Ti ArcticStorm

สำหรับสเปคและรายละเอียดนั้นและราคานั้น ทาง ZOTAC ยังไม่ได้เปิดเผยออกมา โดยในงาน CES 2019 ที่จะถึงนี้ เราจะได้ยลโฉมเจ้า RTX 2080 Ti ArcticStorm กันแน่นอน

ที่มา : videocardz.com

from:https://notebookspec.com/zotac-rtx-2080-ti-arcticstorm/467564/

PC News – COLORFUL เปิดตัว RTX 2080Ti RNG Edition พร้อม full color LCD

ในที่สุดก็มา! Colorful ได้เปิดตัว แบรนด์ RNG (Royal Never Giveup) ที่มาพร้อมกับ ฉนวนระบายความร้อนแบบใหม่ และแผ่นรองด้านล่างตัวการ์ดลายแฟนซี พร้อมด้วย full-color LCD โดยจะมีทั้งสองรุ่นคือ RTX 2080 Ti และ RTX 2080 iGame RNG full custom design พร้อมด้วย 8 pin 3 ช่อง และ มีพัดลมให้มาถึง 3 ตัวเลยทีเดียว และด้านล่างของตัวการ์ดที่จะแผ่นรองที่ออกแบบลายเป็น สมาชิกที่ออกแบบการ์ดจอตัวนี้พร้อมลายเซ็นต์ สิ่งเดียวที่ไม่สมเหตุสมผลคือ ตัวกล่องการ์ด ด้านบน เขียนว่า 2070 แต่ด้านล่างกล่องกับเขียนว่า 2080 Ti

COLORFUL

 

สำหรับ SPEC คร่าวๆ ของการ์ดจอทั้งสองตัวนี้จะเป็นตามรายละเอียดด้านล่าง โดยจะมี 11GB และ 8GB

ที่มา : videocardz.com

from:https://notebookspec.com/rtx-2080ti-rng-edition/467468/

PC Scoop – การ์ดจอ GeForce RTX 2080 Ti ผ่าน NVLink เพื่อเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 8K@60 FPS

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนั้นกราฟิกการ์ดที่มาพร้อมกับชิปกราฟิก GeForce RTX 2080 Ti จะสามารถที่ทำการเล่นเกมที่ความละเอียดได้ที่ระดับ 4K@120 FPS ได้แบบสบายๆ ทว่านั่นก็อาจจะยังไม่มากพอสำหรับนักเล่นเกมระดับเทพที่ต้องการการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 8K ครับ

ทว่าความฝันของนักเล่นเกมระดับเทพที่ต้องการเล่นเกมที่ระดับ 8K นั้น GeForce RTX 2080 Ti ยังคงไม่สามารถที่จะตอบสนองได้ดีมากเท่าไรนัก แต่ถ้าคุณมีงบประมาณมากพอล่ะก็การเลือกซื้อ GeForce RTX 2080 Ti และการเชื่อมต่อผ่าน NVLink นั้นจะช่วยให้คุณสามารถที่จะเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 8K@60 FPS ได้แบบสบายๆ ครับ

ก่อนอื่นคงต้องบอกเอาไว้ก่อนนะครับว่าการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 8K@60 FPS นั้นคุณจำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมต่อมอนิเตอร์ที่มาพร้อมกับความละเอียดระดับ 4K@120 FPS จำนวน 2 ตัวด้วย(เนื่องจากว่าในปัจจุบันนั้นมอนิเตอร์ที่มาพร้อมกับความละเอียดระดับ 8K โดยเฉพาะนั้นยังคงไม่มีการวางจำหน่าย) แน่นอนครับว่านั่นหมายความว่านอกจากจะต้องซื้อกราฟิกการ์ด GeForce RTX 2080 Ti จำนวน 2 ตัวแล้วคุณยังต้องซื้อมอนิเตอร์ที่มาพร้อมกับความละเอียดระดับ 4K อีก 1 ตัวทำให้งบประมาณที่คุณจะใช้นั้นก็ต้องสูงมากขึ้นไปอีก แต่ถ้างบประมาณไม่ใช่ปัญหาของคุณแล้วนั้นเรื่องดังกล่าวนี้ก็คือว่าสบายๆ ครับ

ความละเอียดระดับ 8K นั้นจะมีเนื้อที่ในการแสดงผลมากกว่าความละเอียดระดับ 4K ถึง 1 เท่าตัวครับ ดังนั้นแล้วรายละเอียดในการแสดงผลต่างๆ นั้นบอกได้เลยครับว่ามันจะมากมายและละเอียดสุดๆ อย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน โดนหากเทียบกับความละเอียดอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นก็จะมีดังต่อไปนี้ครับ

  • 480p – 720×480 – 345,600 pixels
  • 720p – 1280×720 – 921,600 pixels
  • 1080p – 1920×1080 – 2,073,600 pixels
  • 1440p – 2560×1440 – 3,686,400 pixels
  • 4K – 3840×2160 – 8,294,400 pixels
  • 8K – 7680×4320 – 33,177,600 pixels

อย่างไรก็ตามแต่ครับ จริงๆ แล้วทาง TweakTown เองนั้นก็ได้บอกเอาไว้ว่าการที่จะรันเกมที่ความละเอียดระดับ 8K นั้น GeForce RTX 2080 ที่เชื่อมต่อกันแบบ NVLink นั้นก็สามารถที่จะทำได้เช่นเดียวกัน ทว่าในการทดสอบจริงนั้นพบว่ายังคงไม่สามารถที่จะรันเกมได้ราบลื่นทเมื่อเซ็ทแอฟเฟคของเกมไปเป็นแบบ Ultra แต่กับ GeForce RTX 2080 Ti นั้นแตกต่างออกไปเพราะสามารถที่จะเซ็ทแอฟเฟคของเกมที่ Ultra บนความละเอียดระดับ 8K ได้แบบสบายๆ สิ่งหนึ่งที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือการเชื่อมต่อแบบ NVLink หรือ SLI รุ่นใหม่นั้นถือได้ว่าเป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ทำให้การเล่นเกมที่ความละเอียด 8K@60 FPS เป็นจริงขึ้นมาได้ครับ

สำหรับ NVLink นั้นทาง NVIDIA ได้เปลี่ยนมาใช่รูปแบบการเขื่อมต่อแบบเดียวกับที่ถูกใช้บนกราฟิกการ์ดสำหรับการทำงานในระดับมืออาชีพอย่าง Quadro RTX series รวมไปถึง Volta GV100 GPU ครับ  ซึ่งนั่นเลยทำให้แบนด์วิดธ์ในการทำงานร่วมกันของ 2 กราฟิกการ์ดนั้นเพิ่มมาอยู่ที่ 25 GB/s หรือถ้าใช้กราฟิกการ์ดมากถึง 4 ตัวก็จะมีแบนด์วิดธ์สูงมากขึ้นเป็น 100 GB/s เลยทีเดียวครับ

อย่างไรก็ตามแต่ด้วยการที่ในกราฟิกการ์ดซีรีส์ RTX 2000 นั้นทาง NVIDIA ได้มีการแยกชิปกราฟิกอย่างชัดเจนเลยทำให้การใช้งานกราฟิกการ์ดอย่าง RTX 2080 Ti ที่มาพร้อมกับชิป TU102 นั้นจะมาพร้อมกับ two NVLink x8 ซึ่งทำให้ในแต่ละการเชื่อมต่อ NVLink นั้นจะมาพร้อมกับแบนด์วิดธ์สูงสุดที่ 100 GB/s (50 GB/s ต่อหนึ่งช่องทางการเชื่อมต่อ) ส่วนชิป TU104 ที่อยู่บน RTX 2080 นั้นจะมาพร้อมกับ single NVLink x8 ทำให้แบนด์วิดธ์สูงสุดจะอยู่ที่ 50 GB/s (25 GB/s ต่อหนึ่งช่องทางการเชื่อมต่อ) ครับ

หมายเหตุ – อย่างไรก็ตามแต่แล้วชิปกราฟิกสถาปัตยกรรม Turing นั้นจะรองรับการเชื่อมต่อ SLI ผ่าน NVLink สูงสุดที่ 2 ช่องทางการเชื่อมต่อเท่านั้นครับ

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นทาง NVIDIA ได้มีการวางจำหน่าย NVLink bridge เพียงแค่ 2 ขนาดเท่านั้นในปัจจุบันคือ 3-slot และ 4-slot โดยในการทดสอบของทาง TweakTown นั้นได้เลือกใช้ NVLink bridge แบบ 3-slot เท่านั้น โดยราคาในการวางจำหน่ายนั้น NVLink bridge แบบ 3-slot จะมีราคาอยู่ที่ $79 หรือประมาณ 2,580 บาทครับ

สำหรับในการทดสอบในครั้งนี้นั้นทาง TweakTown ได้ใช้สเปคดังต่อไปนี้ในการทดสอบครับ

  • CPU: Intel Core i7-8700K @ 5GHz
  • Cooler: Corsair Hydro Series H115i PRO
  • MB: Z370 AORUS Gaming 7
  • GPU: เป็นรุ่น Founders Edition ทั้ง RTX 2080 และ RTX 2080 Ti
  • RAM: 16GB (2x8GB) HyperX Predator DDR4-2933
  • SSD: 1TB OCZ RD400 NVMe M.2
  • SSD: 512GB OCZ RD400 NVMe M.2
  • PSU: InWin 1065W PSU
  • Chassis: In Win X-Frame
  • OS: Windows 10 Pro x64

ผลการทดสอบด้วยการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K มีดังต่อไปนี้

เริ่มต้นด้วยเกมที่มีการวางจำหน่ายออกมาแล้วในช่วงปี 2016 แต่ยังคงได้รับความนิยมอยู่กับ Rise of the Tomb Raider โดยใช้ DirectX 12 ในการเล่นโดยผลการทดสอบนั้นมีดังต่อไปนี้ครับ

ต่อด้วยเกม Middle-earth™: Shadow of War™ ที่วางจำหน่ายในปี 2017 และยังคงได้รับความนิยมอยู่อีกเช่นเดียวกันโดยใช้ DirectX 11 ในการเล่นโดยผลการทดสอบนั้นมีดังต่อไปนี้ครับ

ตามติดด้วยเกม Tom Clancy’s Rainbow Six® Siege ที่วางจำหน่ายในปี 2015 และยังคงได้รับความนิยมอยู่อีกเช่นเดียวกันโดยใช้ DirectX 11 ในการเล่นโดยผลการทดสอบนั้นมีดังต่อไปนี้ครับ

มาดูกันต่อกับเกม Far Cry 5 ที่ใช้เอนจิ้น Dunia สุดยอดเอนจิ้นที่ถูกพัฒนามาโดยตลอดโดยใน Fry Cry 5 นั้นเอนจิ้น Dunia เป็นเวอร์ชันพัฒนาต่อของ CRYENGINE วางจำหน่ายในปี 2018 และยังคงได้รับความนิยมอยู่อีกเช่นเดียวกันโดยใช้ DirectX 11 ในการเล่นโดยผลการทดสอบนั้นมีดังต่อไปนี้ครับ

ต่อกับเกบแข่งรถสุดมันอย่าง F1 2018 ที่มีเสียงตอบรับที่ดีมาอย่างยาวนาน(แต่ในเมืองไทยเรานั้นอาจจะมีผู้้ล่นที่ไม่ใช่กลุ่มใหญ่มากเท่าไรนัก) ตัวเกมใช้เอนจิ้น EGO game ซึ่งพัฒนามาจาก Neon game ที่ทาง Codemasters ร่วมพัฒนากับ Sony Computer Entertainment โดยตัวเกมนั้นได้เน้นในเรื่องของความสมจริงทางด้านฟิสิกส์มากขึ้นกว่าเดิม(เช่นการแสดงผลในเรื่องของการพังของตัวรถเป็นต้น) โดยผลการทดสอบนั้นจะมีดังต่อไปนี้ครับ

มาถึงเกมภาคต่อสุดมันอย่าง Shadow of the Tomb Raider ที่รองรับเทคโนโลยี RayTracking บนกราฟิกชิป RTX 2000 ซีรีส์ อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งการทดสอบนั้นจะมีผลดังต่อไปนี้ครับ

จากการทดสอบที่ความละเอียดระดับ 4K นั้นจะเห็นได้ครับว่าถึงแม้กราฟิกการ์ดในซีรีส์ RTX 2000 ที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบันนั้นสามารถรองรับได้เป็นอย่างดี ทว่ากราฟิกการ์ดจาด Gen ก่อนหน้านี้อย่าง GTX 1080 Ti ก็ยังคงเล่นเกมต่างๆ ที่ความละเอียด 4K ได้อย่างสบาย(รวมไปถึง Radeon RX Vega 64 Air จากทาง AMD ก็สามารถที่จะยังใช้งานได้อย่างดีเช่นกัน) คราวนี้มาดูในส่วนของการทดสอบกันรันเกมที่ความละเอียดระดับ 8K กันบ้างครับว่าจะเป็นอย่างไร

จะเห็นได้อย่างชัดเจนครับว่าในหลายๆ เกมนั้นเมื่อใช้ RTX 2080 Ti เชื่อมต่อผ่าน NVLink นั้นจะช่วยให้การรันเกมที่ความละเอียดระดับ 8K มีความราบรื่นมากขึ้นซึ่งจากการทดสอบด้วยเกมทั้งหมดนั้นสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ครับ

  • Rise of the Tomb Raider – เร็วขึ้น 43% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI
  • Shadow of War – เร็วขึ้น 45% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI
  • Rainbow Six Siege – เร็วขึ้น 212% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI และเร็วขึ้น 85% เมื่อเทียบกับ RTX 2080 Ti ตัวเดียว
  • Far Cry 5 – เร็วขึ้น 23% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI
  • F1 2018 – เร็วขึ้น 45% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI และเร็วขึ้น 62% เมื่อเทียบกับ RTX 2080 Ti ตัวเดียว
  • Shadow of the Tomb Raider – เร็วขึ้น 48% เมื่อเทียบกับ GTX 1080 Ti SLI และเร็วขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับ RTX 2080 Ti ตัวเดียว

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นยังมีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะให้ความสำคัญก็คืออัตราการใช้พลังงานซึ่งเป็นที่รู้กันดีครับว่าการนำกราฟิกการ์ดมาเชื่อมต่อกันแบบคู่แล้วใช้ในการเล่นเกมเราจะพบได้ว่าอัตราการใช้พลังงานสูงขึ้นมากแต่ทว่าสำหรับ RTX 2080 และ RTX 2080 Ti นั้นกลับกลายเป็นว่าอัตราการใช้พลังงานนั้นไม่ได้สูงมากจนเกิดไปนักดังจะเห็นได้จากกราฟดังต่อไปนี้ครับ

อัตราการใช้พลังงานดังกราฟด้านบนนี้นั้นไม่ใช่อัตราการใช้พลังงานเฉพาะของตัวกราฟิกการ์ดนะครับ ทว่ามันเป็นอัตราการใช้พลังงานที่ทาง TweakTown วัดออกมาจากตัวระบบทั้งหมดดังนั้นหากจะว่าไปแล้วอัตราการใช้พลังงานโดยรวมโดยเฉพาะเมื่อใช้กราฟิกการ์ด RTX 2080 เชื่อมต่อผ่าน NVLink พอๆ กันกับ GTX 1080 Ti SLI และ Titan Xp SLi เป็นอย่างมาก ส่วน RTX 2080 Ti นั้นก็จะมีอัตราการใช้พลังงานอยู่ในช่วง 700 – 770 W ครับ

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของอุณหภูมิและเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นนั้นพบว่า RTX 2080 และ RTX 2080 Ti ที่เชื่อมต่อแบบ NVLink จะมีอุณหภูมิที่เกิดขึ้นรวมไปถึงเสียงรบกวนของพัดลมในการใช้งานน้อยกว่า Radeon RX Vega 56 และ 64 ที่เชื่อมต่อกันผ่าน CrossFire เป็นอย่างมากครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วคุณจะเห็นได้ครับว่าในการทดสอบที่ความละเอียดระดับ 8K นั้นทาง TweakTown ไม่ได้นำเอากราฟิกการ์ดจากทาง AMD มาเปรียบเทียบด้วย เหตุผลนั้นก็คือเมื่อเชื่อมต่อกราฟิกการ์ดของ AMD แบบ CF แล้วนั้น ตัวกราฟิกการ์ดจะไม่สามารถค้นพบหน้าจอ Dell UP3218K ตัวที่ 2 ได้เลยไม่ว่าทาง TweakTown จะเปลี่ยนไปใช้กราฟฟิกการ์ดของทาง AMD ในรุ่นใดก็ตาม โดยปัญหาดังกล่าวนี้นั้นทาง TweakTown ได้ติดต่อสอบถามไปยัง AMD แล้วทว่ายังคงไม่มีการตอบรับออกมาแต่อย่างใดครับ

โดยรวมแล้วนั้นเรียกได้ว่าการใช้งานกราฟิกการ์ด RTX 2080 Ti เชื่อมต่อแบบ NVLink นั้นสามารถที่จะเล่นเกมที่ความละเอียดในระดับ 8 K ได้จริงๆ ครับ ทว่าอย่างที่บอกไว้ในตอนต้นครับว่านี่อาจจะยังไม่ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่าไรนักในการเล่นเกมที่ความละเอียดที่ระดับ 8K เพราะงบประมาณที่ต้องใช้นั้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทั้งจากการซื่อกราฟิกการ์ด RTX 2080 Ti เพิ่มรวมไปถึงการซื้อมอนิเตอร์ที่รองรับความละเอียดระดับ 4K เพิ่มอีก 1 ตัวเพราะในปัจจุบันนั้นยังคงไม่มีมอนิเตอร์ที่รองรับความละเอียดระดับ 8K ออกมาอย่างเป็นทางการครับ

หมายเหตุ – แต่ถ้าเป็นการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K เองแล้วนั้น RTX 2080 Ti ตัวเดียวก็ถือว่าเอาอยู่แบบชิวๆ อย่างสบายๆ แล้วครับ

ที่มา : tweaktown

from:https://notebookspec.com/geforce-rtx-2080-ti-in-nvlink-8k-60fps-gaming-now-a-reality/458370/

Microsoft – อัพเดท Windows 10 1809 มาพร้อมกับ DirectX Raytracing เพื่อใช้กับการ์ดจอ RTX 2080 Ti และ 2080

เชื่อว่าหลายๆ ท่านได้ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows 10 1809 ประจำเดือนตุลาคมกันแล้วนะครับ ซึ่งในอัพเดทนี้นั้นก็มีฟีเจอร์หลายๆ อย่างที่น่าสนใจโดยฟีเจอร์หนึ่งที่นักเล่นเกมน่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุดก็คือการรองรับ DirectX Raytracing ที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางในตอนนี้นั่นล่ะครับ

ทาง Microsoft เองนั้นได้บอกเอาไว้ครับว่าในวงการเกมนั้นเทคนิคเรื่อง Real-time raytracing ถือได้ว่าเป็นเทคนิคที่ผู้พัฒนาเกมได้ใฝ่ฝันเอาไว้มาอย่างเนิ่นนานว่าจะสามารถนำเอามาใช้งานได้อย่างจริงๆ จังๆ กับการพัฒนาเกม ซึ่งเจ้าเทคนิค Real-time raytracing นี้นั้นจะสร้างความสมจริงมากขึ้นในการเล่นเกมในเรื่องของการให้แสงเงาต่างๆ ในเกมอย่างเช่นเงาที่สมจริงซึ่งสะท้อนอยู่บนพื้นผิววัตถุหรือพื้นผิวน้ำเป็นต้นครับ

นอกเหนือไปจากผู้พัฒนาเกมจะได้รับประโยชน์ในเรื่องของการออกแบบเกมที่ง่ายขึ้นแล้วนั้น สำหรับผู้ใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows 10 ที่ทำการอัพเดทเป็นเวอร์ชัน 1809 แล้วนั้นคุณจะสามารถใช้งาน DirectX Raytracing ได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องไปนั่งปรับ developer mode เองอีกต่อไป โดยในปัจจุบันนี้นั้นเกมที่รองรับ DirectX Raytracing นั้นก็จะมี Battlefield 5 ซึ่งตัวเกมนี้จะเปิดใช้งาน DXR ผ่านทางการ์ดซีรีส์ RTX ได้เท่านั้น ณ ปัจจุบันนี้, Shadow of the Tomb Raider และ Metro Exodus ซึ่ง จะรองรับ DXR โดยตรง

หมายเหตุ – อย่างไรก็ตามการที่จะเปิดใช้ฟีเจอร์ DirectX Raytracing ได้นั้นคุณต้องมีกราฟิกการ์ดที่รอบรับเทคโนโลยีนี้ด้วยนะครับ โดยปัจจุบันนี้นั้นก็คงหนีไม่พ้น RTX 2080 Ti และ 2080 ของทาง NVIDIA นี่ล่ะครับ

หมายเหตุ 2 – ดูเหมือนเทคโนโลยี DirectX Raytracing นั้นจะได้รับความนิยมในการใช้งานพอสมควรดังจะเห็นได้ว่าในช่วงหลังจากนี้จะมีเกมอีกกว่า 21 เกมที่รองรับเทคโนโลยี DirectX Raytracing ผ่านทางเทคโนโลยี NVIDIA RTX ครับ

ที่มา : pcgamer

from:https://notebookspec.com/windows-10-update-for-october-brings-directx-raytracing-to-everyone/457712/

Review – GIGABYTE RTX 2080 Gaming OC การ์ดจอตัวแรงเพื่อคอเกมจัดสเปกสาย OC

มาถึงชั่วโมงนี้แล้ว nVIDIA วางขาย การ์ดจอ RTX 2080 และ RTX 2080 Ti น่าจะเป็นอีกกระแสหนึ่งที่ชาวเกมเมอร์อยากจะลิ้มลองและอยากเป็นเจ้าของกัน แม้ว่าราคาจะออกมาค่อนข้างแรง เริ่มตั้งแต่ 2 หมื่นปลายๆ สำหรับ 2080 และ 4 หมื่นกว่าบาท สำหรับ 2080 Ti แต่เมื่อมองถึงประสิทธิภาพและฟีเจอร์กับความสวยงามของภาพที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ เชื่อว่าเกมเมอร์ตัวจริงไม่อยากพลาดอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับการ์ดจาก GIGABYTE ที่เรานำมาให้ชมในวันนี้

GIGABYTE RTX 2080 Gaming OC เป็น การ์ดจอ RTX 2080 ที่เรียกว่ารุ่นรองท็อปในตลาดเวลานี้ ที่ออกมาให้ได้ใช้งานกัน เป็นรุ่นที่ทาง GIGABYTE วางตำแหน่งในระดับไฮเอนด์ที่ราคาคุ้มค่า ไม่ได้เสริมฟีเจอร์มามากมาย แต่เน้นที่การเพิ่มความเร็วให้กับตัว GPU และ Memory ตามซีรีส์ OC นั่นเอง โดยความเร็วจะเพิ่มมาไม่น้อยทีเดียว เมื่อเทียบกับการ์ดรุ่น Reference ของทาง nVIDIA สูงสุด 1830 MHz ในโหมด OC โดยมีหน่วยความจำ GDDR6 6GB แบนด์วิทธ์ที่ 256-bit พอร์ตด้านหลังการ์ดมีให้เลือกทั้ง DP 3 port, HDMI 1 port และ USB Type-C

ลักษณะทางกายภาพของตัวการ์ดรุ่นนี้ ค่อนข้างดูกระทัดรัดขึ้น บนพื้นฐานของซิงก์และครีบระบายความร้อนขนาดใหญ่ มีพัดลมขนาด 82mm จำนวน 3 ชุดด้วยกัน ที่ทาง GIGABYTE ในรูปแบบของซีรีส์ WINDFORCE ซึ่งพัดลมด้านซ้ายและขวาจะหมุนทวนเข็มนาฬิกา ส่วนตัวกลาง จะหมุนตามเข็มนาฬิกา ส่วนหนึ่งเพื่อให้เกิดทิศทางลมไปปะทะกับซิงก์ได้มากขึ้น และลดการใช้รอบพัดลมที่สูงจนเกิดเสียงรบกวน ฮีตไปป์ด้านในใส่มาถึง 6 ชุดด้วยกัน รวมถึงเพลททองแดงที่เป็นหน้าสัมผัสกับ GPU โครงสร้างภายในมีถึง 5 ชั้นด้วยกัน ประกอบด้วยเพลทหลัง, แผงตัวการ์ด, ฮีตซิงก์สำหรับ VRAM และ MOSFET, ฮีตซิงก์ และชุดพัดลม ซึ่งรอบการทำงานจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิระหว่างที่ใช้ ขนาดของการ์ดจะใช้ประมาณ 2.5 สล็อต และความยาวการ์ดอยู่ที่ราวๆ 29cm เท่านั้น

Specification

  • Graphics Processing: GeForce® RTX 2080
  • Core Clock: 1830 MHz in OC mode
  • 1815MHz in Gaming mode, (Reference Card: 1710 MHz)
  • CUDA® Cores: 2944
  • Memory Clock: 14000 MHz
  • Memory Size: 8 GB
  • Memory Type: GDDR6
  • Memory Bus: 256 bit
  • Memory Bandwidth (GB/sec): 448 GB/s
  • Card Bus: PCI-E 3.0 x 16
  • Digital max resolution: 7680×4320@60Hz
  • Multi-view: 4
  • Card size: 286.5*114.5*50.2mm
  • PCB Form: ATX
  • DirectX: 12
  • OpenGL: 4.5
  • Recommended PSU: 650W ( With One 8-Pin and One 6-Pin EXTERNAL POWER CONNECTOR)
  • I/O: DisplayPort 1.4 x3, HDMI 2.0b x1,
  • USB Type-C ™ (support VirtualLinkTM) x1
  • SLI support: 2-way NVIDIA NVLINKTM

 

รูปลักษณ์และการออกแบบ

หน้ากล่องมาในสไตล์เท่ๆ แต่ไม่ได้ต่างจาซีรีส์ GTX1080 มากนัก พร้อมบอกรายละเอียดฟีเจอร์เบื้องต้นมาให้ เช่น รองรับ RGB, OC edition, พัดลม Windforce และ การรับประกัน 4 ปี

ด้านหลังกล่องมาพร้อมรายละเอียดครบครัน ไม่ว่าจะเป็น พัดลมขนาด 82mm จำนวน 3 ตัวในแบบ Windforce โครงสร้างภายในเป็นเพลททองแดงหน้าสัมผัส และรองรับไฟ RGB พร้อมฟีเจอร์สำหรับการโอเวอร์คล็อกด้วยซอฟต์แวร์

 

เปิดกล่องด้านนอกออก จะมีกล่องด้านในสีดำอีกชั้นหนึ่ง มีโลโก้ GIGABYTE สวยๆ อุปกรณ์ที่บันเดิลมา หลักๆ ก็จะเป็นบรรดาคู่มือ แผ่นไดรเวอร์และแนะนำการใช้ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าที่เราได้มานี้เป็นตัวทดสอบ แพ็คเกจที่ขายจริงน่าจะมีครบถ้วน

โฉมหน้าตัวการ์ด GIGABYTE RTX2080 GAMING OC มาในสไตล์ที่ดูเท่ ดุดัน พัดลมขนาดใหญ่ 3 ตัว และเส้นสายที่ดูลงตัวไม่แพ้ FE เลยด้วยซ้ำ

ยิ่งดู การ์ดจอ RTX มุมนี้ยิ่งหล่อ พัดลมขนาด 82mm จำนวน 3 ตัว พัดลมซ้ายและขวา จะหมุนทวนเข็มนาฬิกา ส่วนพัดลมตรงกลางจะหมุนตามเข็มนาฬิกา

เป็นการ์ดที่ใช้สล็อตขนาด 2.5 ช่อง จะเห็นว่าส่วนที่เป็นพลาสติกจะยื่นออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

พอร์ตต่อพ่วงมีมากมาย ประกอบด้วย 1x HDMI, 3x DP และ 1x USB Type-C

 

คอนเน็คเตอร์จ่ายไฟ สำหรับการ์ด RTX2080 จะใช้อยู่ที่ราวๆ 255W หัวต่อจึงมีให้เพียง 6+8 pins เท่านั้น

ใบพัดของ GIGABYTE RTX2080 GAMING OC รุ่นนี้ใบเป็นแบบทั้งครีบและมีใบส่วนเว้าผสมกัน เพื่อให้การดันลมได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งลดเสียงรบกวนลง

สังเกตดูจากใบพัดลมที่ดูโดดเด่นลงตัวมากทีเดียว น่าเสียดายถ้ามีไฟสวยๆ เพิ่มเติมเข้าไปหน่อยจะดูดีมากขึ้น

ความหนาของตัวการ์ดก็เรียกว่าไม่ได้มากนัก อีกทั้ลสังเกตครีบระบายความร้อนที่ใส่มาแน่นเลยทีเดียว โครงสร้างดูจะไม่ซับซ้อนมากเหมือนกับ การ์ดจอ RTX 2080 Ti

พอร์ต 2-way NVIDIA NVLINK สำหรับการใช้งาน SLI ซึ่งถ้ามีโอกาส จะได้ลองมาทดสอบให้ดูกัน

ด้านหลังการ์ด มาพร้อมเพลทสีดำขนาดใหญ่ ปิดตัวการ์ดเกือบมิด โดยใส่ลายเส้นมาให้ดูเท่ๆ แทนที่จะเป็นเพลทเรียบๆ

มุมด้านท้ายของการ์ด มีฮีตไปป์ยื่นออกมา 4 ท่อด้วยกัน พร้อมพลาสติกที่เป็นโครงสร้างพัดลมยื่นออกมาครอบ

โลโก้ด้านบนเป็นเพียงจุดเดียวที่มีไฟ RGB ปรากฏขึ้น โดยใช้ร่วมกับ AORUS Engine ได้อีกด้วย

 

การทดสอบ

ชุดที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้

  • Intel Core i7-8700k
  • AMD B350
  • GALAX DDR4 16GB 3600
  • Kingston UV400 480GB
  • Thermaltake ToughPower 850W

3DMark Fire Strike

GATV: Normal settings

GATV: Very High settings

PUBG: Ultra settings

Far Cry 5: Ultra settings

Far Cry 5: Normal settings

 

Conclusion

จัดได้ว่าเป็น การ์ดจอ RTX 2080 อีกหนึ่งรุ่นที่น่าใช้งานในตลาดเวลานี้ ซึ่งทะยอยเปิดตัวกันออกมาเกือบทุกค่ายกันแล้ว ด้วยสนนราคาที่เรียกว่าคุ้ม หากมองจากราคาถูกสุดในท้องตลาด GIGABYTE RTX 2080 Gaming OC รุ่นนี้ มาในราคาประมาณ 30,500 บาทเท่านั้น แต่ใส่ฟีเจอร์มาแบบจัดเต็มเลยทีเดียว

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัว GPU ที่เพิ่มความเร็วมาจากโรงงาน ให้จี๊ดจ๊าดมากขึ้น บวกกับการดีไซน์ของชุดฮีตซิงก์และพัดลม WINDFORCE ที่มีการปรับปรุงการระบายความร้อนได้ดีทีเดียว สิ่งหนึ่งที่พอสังเกตได้คือ เสียงรบกวนที่น้อยมาก และเมื่อดูจากอุณหภูมิบนโปรแกรมในการทดสอบ จะเห็นว่าค่อนข้างสบายๆ เลยทีเดียว รวมไปถึงยังมีลูกเล่นที่เป็นไฟ RGB มาให้ปรับเล่นบนซอฟต์แวร์อีกด้วย

ในแง่ของประสิทธิภาพการ์ดจอรุ่นนี้ สามารถดันเฟรมเรตในเกมต่างๆ ได้เกิน 100fps++ อีกด้วย แม้จะเปิดเล่นในโหมดปรับสุด ไม่ว่าจะเป็น Very High หรือ Ultra ก็ตาม ตามที่เราได้เห็นไปในเกม PUBG, GTAV และ Far Cry ที่รีดเฟรมเรตได้แบบ 120-150fps หรือในบางขณะ ไปถึง 170fps อีกด้วย

ตรงนี้ถือว่าทำได้เยี่ยมเลยทีเดียว ก็คงต้องบอกว่า GIGABYTE RTX 2080 Gaming OC เป็นการ์ดอีกรุ่นหนึ่งที่น่าจะตอบโจทย์คอเกมได้เป็นอย่างดี และรีดเฟรมเรตให้กับเกมต่างๆ ได้ แต่ถ้าคุณอยากจะเห็นความสามารถของ Ray Tracing ก็อาจจะต้องรอกันอีกสักนิดหนึ่ง ปลายปีน่าจะเห็นกันอย่างแน่นอน

 

จุดเด่น

  • ความเร็วอยู่ในระดับที่ดี ให้อัตราเฟรมเรตได้สูง เมื่อติดตั้งไดรเวอร์ใหม่ 411.70
  • เสียงพัดลมเงียบถึงเงียบมาก ระบายความร้อนได้ดี
  • ตัวการ์ดและชุดพัดลมใช้พื้นที่เพียง 2.5 สล็อตเท่านั้น

ข้อสังเกต

  • ตัวเกม ยังไม่สามารถเรียกใช้ความสามารถของการ์ดได้อย่างเต็มที่

 

ราคา: ประมาณ 30,500 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: GIGABYTE RTX 2080 Gaming OC

 

from:https://notebookspec.com/review-gigabyte-rtx-2080-gaming-oc/457238/