คลังเก็บป้ายกำกับ: ปรับแต่ง_วินโดวส์

รวมทริคที่ควรทำเพื่อประสิทธิภาพการใช้งานหลังลง Windows 11 ใหม่

การลง Windows 11 (หรืออื่นๆ) ใหม่ทุกครั้งนั้นรู้หรือไม่ว่ามีทริคเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณสามารถทำการปรับแต่งเพื่อให้ Windows สามารถที่จะทำงานได้ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่าเราควรปรับแต่งอะไรกันบ้าง

Windows 11
ทริคปรับแต่ง Windows 11 หลังลงใหม่ให้ใช้งานได้แจ๋มมากขึ้น

การลง Windows 11(หรือเวอร์ชัน 10) ใหม่นั้นโดยปกติแล้วหลายท่านอาจจะลงโปรแกรมต่างๆ ต่อเพื่อใช้งานต่อเนื่องไปเลยบางท่านก็อาจจะชอบทำการลงโปรแกรมสำหรับทำการปรับแต่ง Windows เพิ่มเติมเพื่อทำการปรับแต่งบางอย่างให้สามารถที่จะใช้งานได้สะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นรู้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วบน Windows 11(หรือ 10) เองนั้นก็การซ่อนฟีเจอร์อะไรเอาไว้หลายๆ ท่านสามารถปรับแต่งผ่านตัวระบบปฏิบัติการ Windows ได้โดยตรงโดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงโปรแกรมสำหรับปรับแต่งใดๆ เพิ่มเติมเลย

Advertisementavw

ในวันนี้ทาง NBS จึงได้ทำการรวบรวมทริคหลายๆ อย่างที่ท่านสามารถทำการปรับแต่ง Windows 11(หรือ 10) ได้เองผ่านบน Windows เองมาฝากกัน จะมีทริคอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย



เปิดใช้งาน Clipboard History เพื่อย้ายเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ

clipboard history screenshot edit

ฟังก์ชันคัดลอกและวางมีประโยชน์สำหรับทุกคน เพราะช่วยให้คุณย้ายเนื้อหาจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ Windows 11 มีเครื่องมือคัดลอกและวางขั้นสูงที่จะช่วยคุณประหยัดเวลาได้มาก ทว่าน่าเสียดายที่เครื่องมือนี้ไม่ได้เปิดใช้งานตามค่าเริ่มต้นเอาไว้

ด้วยเหตุผลดังกล่าวเราจึงขอแนะนำให้คุณเปิดใช้ฟีเจอร์นี้เอาไว้ โดยสำหรับ Windows 11 นั้นคุณสามารถที่จะเข้าไปใช้เปิดฟีเจอร์ดังกล่าวนี้เอาไว้ได้ตามวิธีการดังต่อไปนี้

  1. เปิด Settings โดยกด Win + I บนแป้นพิมพ์
  2. ใน System ให้เลื่อนลงมาจนกว่าคุณจะพบตัวเลือกคลิก Clipboard option
  3. เลือกเปิดใช้งาน Clipboard history

ตอนนี้คุณสามารถกด Win + V บนแป้นพิมพ์ของคุณเพื่อเรียกประวัติคลิปบอร์ดและเลือกรายการที่ต้องการจากสตริงข้อความหรือรูปภาพก่อนหน้าทั้งหมดที่คุณคัดลอกไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามคลิปบอร์ดของ Windows 11 จะถูกลบทิ้งไปเมื่อคุณทำการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์


ตั้งค่า Nearby Sharing

nearby sharing edit

หากคุณมีเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีหลายเครื่องที่ใช้ Windows 11 หรือ 10 ฟีเจอร์การแชร์ใกล้เคียงหรือ Nearby Sharing จะช่วยให้คุณถ่ายโอนเนื้อหาจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านเครือข่าย Wi-Fi หรือ Bluetooth ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ดังกล่าวนี้จะทำงานระหว่างคอมพิวเตอร์ Windows ที่อยู่ใกล้เคียงกันเท่านั้น(หากเป็นเครือข่าย Wi-Fi ก็ต้องอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน)


ปรับแต่งเพื่อประสบการณ์หน้าจอเดสก์ท็อปที่สะอาดตามากกว่า

delete desktop shortcuts

ไฟล์และโฟลเดอร์ที่สำคัญทั้งหมดของคุณควรอยู่ในจุดที่คุณสามารถที่จะเข้าถึงได้ง่ายมากที่สุดซึ่งวิธีการนั้นก็คือการสร้างทางลัดแอปหรือโฟลเดอร์ไว้บนหน้าจอเดสก์ท็อป คุณจะสามารถเข้าถึงทุกสิ่งที่สำคัญและจำเป็นสำหรับคุณได้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม(โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Windows 11 และ Windows 10 ที่ Start Menu นั้นได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม) อย่างไรก็ตามทางลัดเหล่านี้ไม่ควรมีจำนวนมากจนเดสก์ท็อปของคุณดูรกเพราะท้ายที่สุดจากที่จะกลายเป็นผลดีมันก็จะกลายเป็นผลร้ายไปแทนเพราะคุณไม่สามารถที่จะหาทางลัดในการเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้ง่ายอย่างที่ควรจะเป็น

คุณควรตรวจสอบสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณเป็นครั้งคราวเพื่อจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะเก็บไว้เป็นทางลัดบนเดสก์ท็อป หากคุณเพิ่งซื้อพีซี Windows 11 คุณจะเห็นไอคอนเดสก์ท็อป เช่น ถังรีไซเคิล คุณสามารถซ่อนไอคอนเดสก์ท็อปจากเดสก์ท็อป Windows ได้อย่างรวดเร็วด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง คุณยังสามารถลบทางลัดไปยังไฟล์หรือโฟลเดอร์ใดๆ ออกจากเดสก์ท็อปได้ด้วยการคลิกขวาที่ไฟล์หรือโฟลเดอร์ จากนั้นเลือกไอคอนถังขยะที่มุมล่างขวาของเมนูที่ปรากฎขึ้นมา

หมายเหตุ – คุณสามารถที่จะใช้แอปพลิเคชันในการช่วยจัดการหน้าจอ Desktop ได้อย่างเช่น Stardock Fences ทว่านั่นหมายถึงคุณอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม


เปิดใช้งาน Storage Sense เพื่อจัดการแหล่งเก็บข้อมูลให้ดียิ่งขึ้น

storage sense edit

Storage Sense เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณเพิ่มพื้นที่ว่างในแหล่งเก็บข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด เมื่อเปิดใช้ ระบบจะลบรายการที่คุณไม่ต้องการใช้อีกต่อไปโดยอัตโนมัติเช่น ไฟล์ชั่วคราว(temp)และไฟล์ในถังรีไซเคิล นอกจากนี้ Storage Sense ยังให้คุณเลือกความถี่ในการเรียกใช้งานและสิ่งที่ต้องล้างได้อีกด้วยต่างหาก อีกทั้งคุณยังสามารถจัดการเนื้อหาระบบคลาวด์ที่มีอยู่ในเครื่องที่ได้มีการเชื่อมโยงกับบัญชี Microsoft OneDrive ของคุณเอาไว้ได้อีกด้วย

โปรดทราบว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่คุณทำกับ Storage Sense จะมีผลกับบัญชีผู้ใช้ของคุณเท่านั้น ฟีเจอร์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อใครก็ตามที่ใช้พีซีเครื่องเดียวกันโดยใช้บัญชีผู้ใช้อื่น


เปิดใช้งาน Find My Device เพื่อติดตามพีซีของคุณ

find my device edit

หากคุณไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์พีซีแบบเดสก์ท็อป(คอมตั้งโต๊ะ) Windows 11 คุณควรเปิดใช้งานการสลับค้นหาอุปกรณ์ของฉันจากแอปการตั้งค่า หากโน๊ตบุ๊คหรือแท็บเล็ต Windows 11 ของคุณสูญหายหรือถูกขโมย Find My Device สามารถช่วยคุณค้นหาตำแหน่งของอุปกรณ์ได้ เพื่อเปิดใช้ฟีเจอร์ดังต่อไปนี้ให้เข้าไปที่ Settings > Privacy & Security > Find my device แล้วหลังจากนั้นให้ทำการเปิดใช้งานเอาไว้

สำหรับวิธีการค้นหาเครื่องนั้นให้คุณเข้าใช้งานบัญชีผู้ใช้ของ Microsoft ที่คุณเชื่อมกับ Windows 11 หรือ 10 เอาไว้ผ่านทางเว็บไซต์ Microsoft เองแล้วให้เลือกไปที่ Devices แล้วเลือก Find my device


ปรับแต่งการตั้งค่าแสงกลางคืนเพื่อการนอนหลับที่ดีขึ้น

night light edit

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณนอนไม่หลับตอนกลางคืนอาจเป็นเพราะคุณใช้พีซีในเวลากลางคืน พูดให้เจาะจงลงไปก็คือแสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากหน้าจอมีส่วนทำให้นอนหลับยาก หากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้พีซีของคุณในช่วงเวลากลางคืนได้ การตั้งค่าแสงกลางคืนใน Windows 11 สามารถลดการเปิดรับแสงสีฟ้าที่ดวงตาของคุณซึ่งจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้นในตอนกลางคืน หากต้องการค้นหาและเปิดใช้งาน ให้ทำตามขั้นตอนด้านล่างดังต่อไปนี้

  1. เปิด Settings
  2. ไปที่ System > Display > Night light
  3. คลิก Turn on now ข้าง Show warmer colors บนจอแสดงผลเพื่อช่วยให้คุณนอนหลับ

คุณยังสามารถตั้งค่าช่วงเวลาเพื่อที่จะให้ Windows 11 ทำการเปิดใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวตามช่วงเวลาที่คุณกำหนดไว้(ซึ่งเราแนะนำให้ตั้งค่าไว้เป็นตั้งแต่ช่วง 18.00 – 06.00)


ตั้งชั่วโมงใช้งาน

set active hours edit

หากคุณเคยใช้ Windows 10 มาก่อน คุณอาจคุ้นเคยกับชั่วโมงใช้งานอยู่แล้ว คุณลักษณะนี้มีไว้เพื่อให้คุณควบคุมการอัปเดต Windows ให้ดีได้มากขึ้น เมื่อคุณตั้งค่าชั่วโมงใช้งานนั่นหมายความว่าคุณจะบอก Windows 11 (10) ของคุณว่าเมื่อใดควรรีสตาร์ทอุปกรณ์หลังจากติดตั้งการอัปเดต ในการตั้งค่านี้มีสองวิธีที่คุณสามารถทำได้ อันแรกคือถอนุญาตให้ Windows เรียนรู้จากกิจกรรมของอุปกรณ์เพื่อปรับชั่วโมงใช้งานโดยอัตโนมัติ หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือคุณทำการเลือกช่วงเวลาเองตามความเหมาะสมของคุณ

Windows 11 เข้าใจกิจกรรมประจำวันของคุณและเลือกช่วงเวลาที่คุณมักจะไม่ใช้พีซีโดยอัตโนมัติ คุณสามารถเลือกเวลาด้วยตนเองได้หากการใช้งานประจำวันของคุณไม่เป็นไปตามรูปแบบเฉพาะ คุณต้องปรับแต่งการตั้งค่านี้เพื่อให้แน่ใจว่าการอัปเดต Windows จะไม่ขัดขวางสิ่งที่คุณทำในระหว่างตารางการทำงาน

อย่างไรก็ตามหากคุณบังเอิญมีงานด่วนต้องทำงานในช่วงที่ Windows 11 ได้จำไปแล้วว่าคุณไม่ได้ใช้งาน ในช่วงเวลาที่คุณกำลังทำงานอยู่นั้นหากเครื่องจะมีการรีสตาร์ทเพื่อทำการอัปเดทจะมีการแจ้งเตือนให้คุณเห็นก่อนล่วงหน้า


เปิดใช้งาน Dark Mode เพื่อลดอาการปวดตา

dark mode toggle edit

โหมดมืดหรือ Dark Mode ยังเป็นการตั้งค่าการแสดงผลที่สำคัญสำหรับอินเทอร์เฟซผู้ใช้ใน Windows 11 เมื่อเปิดโหมดนี้จะช่วยลดแสงที่ปล่อยออกมาจากพีซีของคุณเพื่อช่วยให้คุณปวดตาน้อยลง แถมยังสามารถที่จะมองหน้าจอได้ยาวนานมากขึ้น คุณควรเปิดใช้งานโหมดนี้เพื่อประหยัดพลังงานบนอุปกรณ์ของคุณเพราะโหมดนี้ช่วยลดการแสดงแสงของหน้าจอที่จะเผยออกมาส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีมากยิ่งขึ้น สำหรับวิธีการเปิดใช้งานนั้นให้ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. เปิด Settings
  2. ไปที่ Personalization
  3. คลิกเลือกที่ Colors
  4. ในเมนูตัวเลือก Choose your mode ให้เลือก Dark

อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ดังกล่าวนี้จะไม่เหมือนกับโหมดมืดใน macOS เนื่องจากโหมดมืดใน Windows 11 นั้นจะไม่สามารถใช้งานได้กับทุกโปรแกรมทั้งหมด ดังนั้นคุณอาจจะเห็นการปรับปีเป็นโหมดปกติในบางโปรแกรมหากโปรแกรมดังกล่าวนั้นไม่รองรับการใช้งานโหมดมืด


ปรับแต่งตัวเลือก Windows Update

windows update options

การปรับปรุงพีซีของคุณให้ทันสมัยอยู่เสมอเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความปลอดภัยและความเสถียร อย่างไรก็ตาม การกำหนดการตั้งค่าการอัปเดต Windows ก็มีความสำคัญพอๆ กัน เพราะการเริ่มระบบใหม่ผิดเวลาอาจนำไปสู่การสูญเสียชั่วโมงการทำงานโดยใช่เหตุ สำหรับวิธีการปรับแต่งนั้นให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

เปิด Settings จากนั้นเลือก Windows Update ที่ด้านล่างของแผงด้านซ้าย ที่นี่คุณสามารถดูการอัปเดตที่ดาวน์โหลดได้และหยุดชั่วคราวหรือดำเนินการอัปเดตต่อ รายการที่สำคัญกว่าคือ Advanced options ดังนั้นให้ทำการคลิกที่รายการนั้น

customize windows update options

ที่นี่คุณสามารถกำหนดค่าชั่วโมงทำงานระหว่างที่พีซีจะไม่รีสตาร์ท, จัดการการแจ้งเตือนการอัปเดตและวิธีการดาวน์โหลดการอัปเดต คุณสามารถปรับแต่งการตั้งค่าเหล่านี้ได้ตามความต้องการ อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำให้คุณปิดใช้งานตัวเลือก “อัปเดตข้อมูลล่าสุดให้ฉัน” และเปิดใช้งานการแจ้งเตือนก่อนรีสตาร์ท มิฉะนั้นพีซีจะรีสตาร์ททันทีหลังจากดาวน์โหลดการอัปเดตโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า


เลือกโหมดพลังงาน

power option

การจัดการวิธีการใช้พลังงานของ Windows เป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น Windows 11 หรือรุ่นอื่นๆ โดยค่าเริ่มต้นระบบจะตั้งค่าเป็นโหมด Balanced หรือสมดุล อย่างไรก็ตามการตั้งค่าของคุณอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการประสิทธิภาพที่ดีขึ้นหรือประหยัดพลังงาน วิธีการปรับแต่งให้คุณเข้าไปที่ System จากนั้นคลิกที่ Power เพื่อเลือกโหมดพลังงานที่เหมาะสมกับตัวเอง

choose power mode

ในส่วน Power mode คุณสามารถเลือกจาก Best power efficiencyBalanced และ Best performance ให้เหมาะสมกับการทำงานของคุณ


ปิดใช้งานโฆษณา Windows 11

disable ads settings app

Microsoft ได้นำเสนอโฆษณาอย่างชาญฉลาดในพื้นที่ต่างๆ ของ Windows 11 ซึ่งแสดงเป็นเคล็ดลับหรือคำแนะนำผลิตภัณฑ์ขึ้นมาอย่างทันทีทันใด หากคุณไม่ต้องการเห็นหรือให้มันแจ้งเตือนเพื่อคอยรบกวนคุณอีกต่อไปคุณสามารถที่จะทำการปิดการโฆษณาต่างๆ เหล่านี้ได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

ไปที่ Settings แล้วคลิก Privacy & Security ในแผงด้านซ้าย คลิกที่ General  แล้วปิดใช้งานตัวเลือก Show me suggested content in the Settings app

ใน File Explorer คลิกที่เมนูสามจุดที่ด้านบนแล้วเลือก Options 

file explorer options

ในหน้าต่าง Folder Options ให้ย้ายไปที่แท็บ View และยกเลิกการเลือกตัวเลือก Show sync provider notifications

disable ads file explorer

ในการตั้งค่า Windows คลิกที่ System แล้วคลิกที่ Notifications

notifications setting

เลื่อนไปที่ด้านล่างสุดและปิดใช้งาน Offer suggestions on how I can set up my device และ Get tips and suggestions when I use Windows


จัดการการแจ้งเตือน

open notifications setting

คุณควรปรับแต่งการแจ้งเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนจากการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นหรือการจู้จี้ของ Microsoft เพื่อลองใช้แอปต่างๆ โดยคลิกที่ System และคลิกที่ Notifications

disable notifications

อย่าลืมปิดการแจ้งเตือนสำหรับคำแนะนำที่แสดงทางด้านบนเพื่อหลีกเลี่ยงการเห็นโฆษณา/คำแนะนำในการแจ้งเตือน


ปิดเอฟเฟกภาพที่ไม่ต้องการ

performance settings

Windows มีภาพเคลื่อนไหวและเอฟเฟกพิเศษในทุกๆ เวอร์ชัน ดังนั้นหากคุณอยากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานคุณควรที่จะปิดภาพเคลื่อนไหวและเอฟเฟ็กพิเศษเหล่านี้ อย่างไรก็ตามการเลือกตามตัวเลือกในการปิดภาพเคลื่อนไหวและเอฟเฟ็กพิเศษนี้นั้นคุณไม่จำเป็นต้องปิดทั้งหมดก็ได้ ขอแค่เพียงดูตัวเลือกที่คุณคิดว่าเปิดหรือปิดแล้วเหมาะสมกับคุณ(แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือปิดเอาไว้ทั้งหมดจะช่วยให้ Windows ทำงานเร็วขึ้นเยอะ)

สำหรับวิธีการปิดภาพเคลื่อนไหวและเอฟเฟ็กพิเศษนั้นในการค้นหาของ Windows ให้พิมพ์ advanced แล้วเลือก View advanced system settings ที่นี่คลิกที่ Settings ภายใต้ Performance

adjust visual effects windows 11

ตอนนี้คุณจะหน้าต่างแสดงรายการเอฟเฟ็กต์ภาพทั้งหมดที่คุณสามารถปิด/เปิดใช้งานได้ คุณสามารถปิดใช้งานเอฟเฟ็กต์เหล่านี้ทีละรายการเพื่อตัดสินใจว่าคุณต้องการปิดใช้งานเอฟเฟ็กต์ใดและจะเปิดใช้เอฟเฟ็กต์ใด หากคุณต้องการประสิทธิภาพที่ดีที่สุดโดยไม่มีความแตกต่างในอินเทอร์เฟซ คุณอาจใช้การตั้งค่าที่แสดงในภาพหน้าจอด้านบนนี้ก็ได้


ปิดใช้งานแอปที่เริ่มต้นเองโดยอัตโนมัติ

startup settings

แอปเริ่มต้นและแอปของผู้พัฒนารายอื่นๆ จำนวนมากสามารถตั้งค่าให้เปิดใช้งานทันทีที่ Windows เริ่มทำงานได้โดยอัตโนมัติแม้ว่าคุณจะไม่ต้องการใช้ก็ตาม แน่นอนว่าการที่โปรแกรมใดๆ ก็ตามโหลดขึ้นมาตอนที่มีการเปิดใช้งานนั้นมันจะใช้ทรัพยากรของเครื่องไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผลและหน่วยความจำ กระทั่งแม้แต่ข้อมูลอินเทอร์เน็ตก็อาจจะมีการใช้งานด้วยเช่นเดียวกันซึ่งนั่นหมายถึงแบนด์วิดธ์อินเทอร์เน็ตของคุณอาจจะถูกใช้งานไปโดยที่คุณไม่รู้ตัวก็ได้ ดังนั้นคุณควรจัดการให้ Windows รันแต่โปรแกรมที่คุณต้องการขณะทำการใช้งานซึ่งสามารถที่จะเข้าไปทำการปรับแต่งได้ดังต่อไปนี้

ใน Windows settings คลิกที่ Apps ในแผงด้านซ้าย จากนั้นคลิกที่ Startup

disable startup apps

คุณจะเห็นแอพทั้งหมดที่สามารถเริ่มต้นกับ Windows เพียงปิดสวิตช์ที่คุณไม่ต้องการใช้ทันทีที่พีซีเริ่มทำงานเท่านั้นก็ถือว่าเป็นการปิดอย่างสมบูรณ์


ปิดการใช้งาน Virtualization-based Security

windows 11 tweaks 6

VBS ย่อมาจาก Virtualization-based Security ซึ่งเป็นฟีเจอร์ในการช่วยสร้างพื้นที่หน่วยความจำที่ปลอดภัยจากระบบปฏิบัติการปกติด้วยคุณสมบัติการจำลองเสมือนของฮาร์ดแวร์ จุดมุ่งหมายของระบบ VBS นั้นก็คือเพื่อปกป้องระบบจากการโจมตีของมัลแวร์และไวรัส อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ประสิทธิภาพที่ต่ำลงของเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประสิทธิภาพการเล่นเกม

ดังนั้นการปิดการใช้งาน VBS จึงเป็นหนึ่งในการปรับแต่ง Windows 11 ที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมซึ่งคุณสามารถที่จะทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้เพื่อปิด VBS

  1. พิมพ์ Core Isolation ในช่องค้นหา
  2. คลิกเปิดจากป๊อปอัป
  3. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวเลือกของ Memory Integrity ปิดอยู่เพื่อปิดใช้งาน VBS ใน Windows 11

ที่มา : minitool, geekflare, makeuseof

from:https://notebookspec.com/web/699046-settings-to-tweak-on-a-new-windows-11-install

ปรับแต่ง Windows Startup เพิ่มความเร็วให้กับ Windows 11

สาเหตุหนึ่งที่ทำ Windows 11 ทำงานได้ช้าลงก็คือ Windows Startup ที่จะเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ Windows มาดูกันว่าตอนเปิดเครื่องขึ้นมาจะมีอะไรโหลดขึ้นมาบ้าง พร้อมวิธีปรับแต่งให้เครื่องเร็วขึ้น

Windows Startup
วิธีปรับแต่ง Windows Startup สำหรับ Windows 11

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้เปลี่ยนมาใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลหลักสำหรับเก็บระบบปฎิบัติการ Windows เป็นแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความเร็วมากขึ้นอย่าง SSD M2 NVME/PCIe ทว่าก็อาจจะยังมีผู้ใช้จำนวนมากที่ยังคงใช้งาน SSD SATA3 หรือ HDD SATA3 ที่มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลช้าอยู่ 

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นไม่ว่าจะใช้แหล่งเก็บข้อมูลหลักที่เก็บระบบปฎิบัติการ Windows เป็นแบบไหนแต่เชื่อเหลือเกินว่าหลายๆ ท่านจะต้องพบเจอกับปัญหาที่ระบบปฎิบัติการ Windows ช้าลงหลังจากที่เริ่มลงโปรแกรมต่างๆ ลงไปบนระบบปฎิบัติการ Windows มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้พร้อมกับการทำงาน(หรือใช้งานตามความต้องการอื่นๆ) ได้

Advertisementavw

สาเหตุหนึ่งที่ Windows 11(และเวอร์ชันอื่นๆ) ช้าลงหลังจากที่มีการลงโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเพิ่มไปนั้นก็จะมาจาก Windows Startup หรือกระบวนการเริ่มต้น Windows ที่จะโหลดทุกอย่างให้พร้อมก่อนการทำงานจริง ในบทความนี้เราจะแนะนำให้ทุกท่านได้เข้าใจกันว่ากระบวนการ Windows Startup ของระบบปฎิบัติการ Windows นั้นเป็นอย่างไรและเราจะสามารถปรับแต่งอย่างไรได้บ้างเพื่อเพิ่มความเร็วให้กับระบบปฎิบัติการ Windows หากพร้อมแล้วก็ไปติดตามกันได้เลย


  • Windows Startup คืออะไร
  • Windows Startup ทำงานอย่างไร
  • วิธีปรับแต่ง Windows Startup เพื่อเพิ่มความเร็วให้ Windows

Windows Startup คืออะไร

StartUpPrograms4

คำว่า Startup หมายถึงระยะเวลาก่อนที่ผู้ใช้จะสามารถควบคุมเดสก์ท็อปบนหน้าจอได้แบบสมบูรณ์ ให้ลองสังเกตง่ายๆ ก็คือเวลาที่คุณทำการ Log in เข้าสู่บัญชีผู้ใช้ของระบบปฎิบัติการ Windows แล้วจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ตัวระบบปฎิบัติการ Windows ทำการรันโปรแกรมต่างๆ ที่ได้มีการตั้งค่าเพื่อให้เริ่มใช้งานตั้งแต่ทำการเปิดตัวระบบปฎิบัติการ Windows ซึ่งในที่นี้นั้นจะมีทั้งบริการของตัวระบบปฎิบัติการ Windows เองที่ถูกเรียกให้รันตอนเริ่มต้นและบริการต่างๆ ของโปรแกรมทั้งหมดที่ผู้ใช้ได้ทำการติดตั้งลงไปในระบบปฎิบัติการ Windows ของผู้ใช้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตัวระบบปฎิบัติการ Windows นั้นจะใช้ระยะเวลาหนึ่งในการเรียกบริการต่างๆ ข้างต้นขึ้นมาโดยที่จะเร็วจะช้านั้นขึ้นอยู่กับความแรงของเครื่องทั้งในส่วนของหน่วยประมวลผล(CPU), หน่วยความจำ(RAM) และแหล่งเก็บข้อมูล(Storage) 

ท่านจะสังเกตเห็นความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในการเริ่มระบบปฎิบัติการ Windows หากท่านใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงเช่นใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลหลักแบบ SSD NVME เป็นต้น

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นความเร็วในการเริ่มต้นการใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมากจากจำนวนโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่ผู้ใช้ลงไปในระบบปฎิบัติการ Windows เนื่องจากว่าบางโปรแกรมนั้นจะมีบริการแฝงที่อาจจะเรียกใช้งานตัวเองตั้งแต่ระบบปฎิบัติการเริ่มต้นทันทีซึ่งบางครั้งตัวผู้ใช้เองนั้นอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีบริการใดบ้างที่ถูกตั้งค่าให้โหลดโดยอัตโนมัติเมื่อระบบปฎิบัติการเริ่มต้นการทำงาน

safe mode article cover image 1

สาเหตุหลักที่ทำให้การเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ Windows ช้า

  • แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้สำหรับลงระบบปฎิบัติการ Windows มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลต่ำ
  • แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้สำหรับลงระบบปฎิบัติการ Windows มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลน้อย(ซึ่งอาจจะมาจากการใช้งานที่นานมากขึ้นทำให้มีไฟล์ขยะอยู่ในแหล่งเก็บข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ)
  • มีการลงโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่ลงโดยผู้ใช้มีการเรียกบริการต่างๆ อัตโนมัติตอนที่ระบบปฎิบัติการ Windows เริ่มต้นทำงาน
  • หน่วยความจำ(RAM) น้อยเกินไปทำให้ในช่วงที่มีการเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ Windows ที่มีบริการต่างๆ ถูกเรียกใช้อัตโนมัติถูกเรียกไปเก็บข้อมูลเบื้องต้นเอาไว้บนหน่วยความจำจนทำให้หน่อยความจำเต็ม
  • หากท่านใช้แหล่งเก็บข้อมูลที่เป็นแบบแผ่นจานแม่เหล็กหรือ HDD การที่ระบบปฎิบัติการ Windows เริ่มต้นได้ช้าอาจจะมาจากสาเหตุการกระจายตัว(fragmentation) ของไฟล์โปรแกรมที่ถูกแยกส่วนไปอยู่คนละเซกเตอร์ของแหล่งเก็บข้อมูลทำให้การที่จะเรียกใช้งานไฟล์โปรแกรมนั้นๆ จะต้องใช้เวลาในการอ่านและเขียนข้อมูลนานมากกว่าปกติ
  • ท่านอาจจะกำลังโดนไวรัสหรือมัลแวร์เล่นงานอยู่
  • ฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งเก็บข้อมูลอาจมีปัญหาทางด้านเทคนิคจนทำให้ไฟล์ของโปรแกรมต่างๆ เกิดความเสียหายทำให้ตอนที่เริ่มต้นในการทำงานนั้นไม่สามารถที่จะโหลดบริการของโปรแกรมที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว(หากเสียหายมากอาจทำให้ถึงขั้นที่ไม่สามารถเข้าใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows ไม่ได้เลย)

Windows Startup ทำงานอย่างไร

img startup Items run screenshot 1

ขั้นตอนการล็อกอินเข้าสู่เครื่อง Windows นั้นค่อนข้างซับซ้อน เพื่อให้เข้าใจง่ายจะขออธิบายแค่เฉพาะรายละเอียดพื้นฐานตามกระบวนการเข้าสู่ระบบที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Interactive Session โดยจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนหลักดังต่อไปนี้

  1. (Pre-userinit) ส่วนนี้เป็นที่เรียกใช้ Group หรือ Local Policies รวมถึงสคริปต์ของระบบปฎิบัติการ Windows โดยที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ(ยังไม่เข้าสู่หน้าจอ Log in)
  2. (Userinit) ส่วนนี้เป็นส่วนที่เรียกใช้สคริปต์การเข้าสู่ระบบและสร้างการเชื่อมต่อเครือข่าย แล้วตามด้วยขั้นการเริ่ม Explorer.exe ที่เป็นไฟล์สำหรับการดูแลระบบหน้าจอหลักของระบบปฎิบัติการ Windows
  3. (Shell) ส่วน Shell เริ่มต้นเมื่อ Explorer.exe ถูกเรียกใช้และต้องสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากนี้นั้นผู้ใช้จะสามารถควบคุมคียบอร์ดและเมาส์ได้(หรือสังเกตง่ายๆ ก็คือคุณจะเห็นรูปเมาส์ขึ้นมาบนหน้าจอ) ขั้นตอนนี้จะสิ้นสุดในตอนที่ผู้ใช้ได้เห็นเดสก์ท็อป(ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งหน้า Log in หรือเข้าสู่ระบบปฎิบัติการไปเลยขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ตั้งค่าไว้อย่างไร)

ขั้นตอนทั้ง 3 นี้นั้นจะเกี่ยวเนื่องและถูกควบคุมเฉพาะไฟล์และบริการหลักของตัวระบบปฎิบัติการ Windows เท่านั้น ความเร็วในการโหลดใน 3 ช่วงนี้นั้นจะขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์ของผู้ใช้โดยตรงว่าแรงมากแค่ไหน

เมื่อผ่านการโหลดขั้นตอน Shell แล้วและผู้ใช้ได้ทำการ Log in เข้าสู่ระบบปฎิบัติการผ่านบัญชีผู้ใช้ของตัวเอง หลังจากนี้จะคือขั้นตอนที่ Windows Startup ทำงานต่อตามหลักการในช่วงที่ได้อธิบายไว้ในหัวข้อแรก

ดังนั้นตามที่ได้บอกกระบวนการในการเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ Windows ไปแล้วน้้นจะเห็นได้ว่าการปรับแต่งที่ได้ผลที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนแหล่งเก็บข้อมูลใหม่ให้มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มหน่วยความจำก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถที่จะทำให้กระบวนการ Windows เริ่มต้นได้เร็วขึ้นได้

อย่างไรก็ดียังมีอีกหลายวิธีที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินเพื่อทำการปรับแต่งกระบวนการเริ่มต้นของระบบปฎิบัติการ Windows ได้อยู่ และเพื่อความไม่ประมาทในบทความนี้จะขอไม่ยกนำเอากระบวนการใดๆ ที่อาจก่อให้เสี่ยงกับการสร้างข้อผิดพลาดกับระบบปฎิบัติการ Windows จนทำให้เกิดปัญหาใช้งาน Windows ขึ้นมาได้ หากท่านพร้อมแล้วก็ไปติดตามกันต่อได้เลย


วิธีปรับแต่ง Windows Startup เพื่อเพิ่มความเร็วให้ Windows

1. ทำความสะอาด Startup Folder

start menu programs startup

วิธีการแรกสุดที่เราอยากแนะนำให้ทุกท่านได้ลองทำดูก่อนนั้นก็คือทำการล้างไฟลในโฟลเดอร์ start-up ผ่านทาง File Explorer ซึ่งเป็นที่ๆ ที่คุณสามารถลบโปรแกรมที่คุณไม่ต้องการให้เริ่มเมื่อระบบปฎิบัติการ Windows เริ่มต้นได้ ในการเข้าถึงโฟลเดอร์นี้ให้เปิด File Explorer แล้วไปที่ตำแหน่งนี้

C:\Users\>User Name>\AppData\Roaming\Microsoft\Windows\Start Menu\Programs\Startup

เมื่อคุณทำการเปลี่ยนแปลงในโฟลเดอร์แล้ว ให้รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์และตรวจสอบว่าคุณสังเกตเห็นความแตกต่างของเวลาบูตหรือไม่

หมายเหตุ – โปรแกรมใดๆ ก็ตามที่เคยโหลดตัวเองโดยอัตโนมัติตอนเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ หากท่านลบทิ้งไปแล้วโปรแกรมนั้นๆ จะไม่โหลดเองขึ้นมาตอนเริ่มต้นระบบปฎิบัติการอีก ดังนั้นในการลบหากมีโปรแกรมใดที่ท่านยังอยากให้โหลดขึ้นมาตามปกติเวลาที่ทำการเริ่ม Windows อยู่ก็ให้เว้นการลบโปรแกรมนั้นไว้ได้

2. ทำการเพิ่มระยะเวลาในการโหลดโปรแกรมที่ไม่ใช่ของปฎิบัติการ Windows ให้ช้าลง

Windows อนุญาตให้คุณป้องกันไม่ให้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นบูทเมื่อเริ่มต้นระบบปฎิบัติการได้ ทว่าวิธีการดังกล่าวนั้น(หรือวิธีที่ทำในขั้นตอนที่ 1) ถือว่าเป็นวิธีที่รุนแรงอยู่เพราะโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเหล่านั้นจะไม่ถูกโหลดขึ้นมาเลย

หากคุณยังคงต้องการให้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นโหลดอยู่ คุณสามารถที่จะทำการเลื่อนเวลาเริ่มต้นของโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่คุณต้องการนั้นได้ ซึ่งวิธีการที่ง่ายที่สุดนั้นสามารถที่จะทำได้ 2 วิธีดังต่อไปนี้

2.1 ทำการเลื่อนผ่าน Task Scheduler Utility

อันดับแรกให้คุณจะปิดใช้งานโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นจากรายการเริ่มต้นเมื่อระบบปฎิบัติการ Windows เริ่ม หลังจากนั้นถึงจะไปสู่ขั้นตอนการตั้งค่าหน่วงเวลาผ่านทาง Task Scheduler เพื่อชะลอเวลาการบูตโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นนั้นๆ  ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

  • กดปุ่ม Win + R พร้อมกันเพื่อเปิด Run
  • พิมพ์ msconfig ในช่องข้อความของ Run แล้วกด Enter
  • ตรงไปที่แท็บ Startup แล้วคลิกที่ Open the Task Manager
startup open task manager
  • ไปที่แท็บ Startup ในหน้าต่างต่อไปนี้ และคลิกที่โปรแกรมเป้าหมาย
  • คลิกที่ปุ่ม Disable ที่แสดงด้านล่าง
task manager startup disable

เมื่อเสร็จแล้ว ให้ค้นหา Task Scheduler โดยใช้ Windows Search(ไอคอนรูปแว่นขยายทางด้านซ้ายของ Task bar) แล้วเปิดใช้งาน

  • คลิกที่ตัวเลือก Create Task ในหน้าต่างด้านซ้ายและป้อนชื่อสำหรับงาน คุณสามารถป้อนชื่อแอปพลิเคชันที่คุณต้องการเลื่อนเวลาเริ่มต้นหรืออะไรก็ได้ที่จะเป็นการสื่อความหมายให้คุณรู้ว่างานนั้นคือการเลื่อนเวลาสำหรับการสั่งให้ระบบปฎิบัติการ Windows ทำการเปิดโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นนั้นๆ
task scheduler create task
  • ไปที่แท็บ Trigger แล้วคลิกที่ปุ่ม New
task scheduler create task triggers new
  • ขยายดร็อปดาวน์สำหรับ Begin the task และเลือก At log on
  • ทำเครื่องหมายในช่องที่เกี่ยวข้องกับ Delay task for
new trigger delay task time
  • ขยายเมนูแบบเลื่อนลงและเลือกเวลาที่คุณต้องการ
  • คลิก OK เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง
  • ไปที่แท็บ Action แล้วเลือก New
task scheduler create task actions new
  • ในดร็อปดาวน์สำหรับ Action เลือกตัวเลือก Start a program > Browse
start a program browse
  • ไปที่ไฟล์ .EXE ของโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันแล้วคลิก Open > OK
  • ไปที่แท็บ Conditions และยกเลิกการทำเครื่องหมายในช่องที่เกี่ยวข้องกับ Start the task only if the computer is on AC power
conditions start the task only if the computer is on ac power
  • คลิก OK และปิด Task Scheduler

หมายเหตุ – คุณสามารถที่จะตั้งหลายๆ โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นได้แยกจากกันต่างหากโดยโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นแรกอาจจะเลื่อนให้เริ่มหลังจากที่ Windows เริ่มต้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว 15 วินาที โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นถัดไปเริ่มต้นที่ 30 วินาทีเป็นต้น(การทำเช่นนี้จะทำให้ช่วงช่องว่างของเวลาที่โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นจะโหลดในช่วงแรกนั้นนานขึ้นทำให้ตัวคุณสามารถที่จะทำอย่างอื่นได้อยู่โดยที่ไม่ไปก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรของเครื่องมากจนเกินไป)

2.2 ทำผ่านทางโปรแกรม Windows Startup Helper

การใช้งานผ่าน Task Scheduler นั้นอาจจะดูวุ่นวายไปหน่อย(แต่ก็ดีที่สุดเพราะโปรแกรมดังกล่าวเป็นของ Microsoft โดยตรง) อย่างไรก็ตามยังมีโปรแกรมเลื่อนเวลาเริ่มต้นสำหรับแอปพลิเคชันฟรีของผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่คุณสามารถโหลดผ่านอินเทอร์เน็ตได้มากมาย ซึ่งที่เราจะแนะนำนั้นก็คือ Windows Startup Helper ที่คุณสามารถทำตามได้ดังขั้นตอนต่อไปนี้

  • โหลด Windows Startup Helper
  • เมื่อดาวน์โหลดไฟล์แล้ว ให้คลิกขวาที่ไฟล์แล้วเลือก Extract all
windows startup helper extract all
  • ดับเบิลคลิกที่ไฟล์และทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อสิ้นสุดกระบวนการติดตั้งหลังจากนั้นให้เปิดตัวโปรแกรมขึ้นมา
  • ป้อนเวลาหน่วงที่คุณต้องการสำหรับในการที่จะหน่วยให้โปรแกรมนั้นๆ รอนานขึ้นถึงจะทำการโหลดที่ใต้ Delay time
windows startup helper delay time
  • คลิกที่ปุ่ม Add New Item ภายใต้ Step 2
windows startup helper add new item
  • ป้อนชื่อโปรแกรม, ที่อยู่ของไฟล์โปรแกรม(สามารถที่จะใช้จุดไข่ปลา 3 จุด ด้านข้างเพื่อค้นหาได้) และพารามิเตอร์
windows startup helper add edit dialog
  • คลิกที่ปุ่ม Start
windows startup helper start

แอปเป้าหมายจะเปิดขึ้นหลังจากเวลาที่คุณเลือกในแอป

3. เรียกใช้ Startup Cleaner Utility

คุณสามารถเรียกใช้โปรแกรม Startup Cleaner Utility ที่สามารถช่วยคุณดูและแก้ไขโปรแกรม, บริการ งานตามกำหนดเวลาและรายการเมนูตามบริบททั้งหมดที่ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อคุณบูตเข้าสู่ Windows

ในที่นี้เราจะขอแนะนำ CCleaner ซึ่งเป็นโปรแกรมรอบด้านที่สามารถล้างขยะออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับวิธีการนั้นจะมีดังต่อไปนี้

  • โหลดและติดตั้ง CCleaner หลังจากนั้นให้เปิดโปรแกรมขึ้นมา
  • คลิกที่ไอคอน Tool ในหน้าต่างด้านซ้าย
ccleaner tools
  • เลือก Startup ในหน้าต่างต่อไปนี้
ccleaner tools startup
  • ในสี่ส่วนต่อไปนี้ คุณจะสามารถดูส่วนประกอบทั้งหมดที่ทำงานเมื่อคุณบูตเข้าสู่ Windows ค้นหารายการที่ไม่จำเป็น คลิกที่รายการเหล่านั้น แล้วเลือกปิดใช้งานหรือลบ
ccleaner tools startup disable delete
  • รีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์และตรวจสอบว่าคุณสังเกตเห็นความแตกต่างหรือไม่

4. ถอนการติดตั้งโปรแกรมที่ไม่จำเป็น

โปรแกรมที่ไม่จำเป็นที่ติดตั้งบนระบบอาจทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมและเวลาในการโหลดช้าลง นี่คือเหตุผลที่เราแนะนำให้สละเวลาสักครู่เพื่อระบุโปรแกรมที่คุณลงไปแล้วแต่ไม่ได้ใช้งานเลยหรืออาจจะใช้งานน้อยมาก แล้วให้ทำการถอนการติดตั้งโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเหล่านี้โดยใช้ Setting > Apps > Installed Apps

5. อัปเดท Windows เสมอ

การทำให้ Windows ของคุณทันสมัยอยู่เสมอสามารถช่วยป้องกันปัญหาต่างๆ ได้ เช่นอาการแลคบ่อยครั้งหรือการหยุดทำงานกะทันหัน เราขอแนะนำให้ติดตั้งการอัปเดต Windows ทันทีที่ Microsoft ทำการเผยแพร่ออกมา(ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วหากคุณไม่ได้ไปปรับอะไรกับ Windows Update แล้วล่ะก็ ตัวระบบปฎิบัติการ Windows จะทำการโหลดอัปเดทใหม่ๆ ให้คุณอัตโนมัติอยู่แล้วทันทีที่ทาง Microsoft ปล่อยออกมา) คุณสามารถดูการอัปเดตระบบที่รอดำเนินการทั้งหมดได้ในส่วน Windows Updates ของ Setting


ทั้งหมดที่คุณทำได้

อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นว่าขั้นตอนการทำที่เรานำเอามานำเสนอในบทความนี้นั้นจะเป็นขั้นตอนการทำที่ไม่ไปยุ่งกับไฟล์ระบบของระบบปฎิบัติการ Windows อันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบปฎิบัติการ Windows ของท่านขึ้นมาได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นยังคงมีอีกหลายวิธีการที่จะสามารถทำการปรับแต่ง Windows Startup ได้อีก 

ที่มา : nutanix, iolosystem, makeuseo

from:https://notebookspec.com/web/686471-how-to-optimize-windows-startup-process

3 แหล่ง ดาวน์โหลด ไอคอนฟรี แต่ง Windows 10 ให้สวย และวิธีจัดเรียงไอคอนให้ดูดี

ใครชอบ ไอคอนฟรี สำหรับแต่งวินโดวส์ เปลี่ยนหน้าจอเดสก์ทอปบน Windows 10 ให้สวย ไม่เหมือนใคร ย้ำว่า ฟรี! รีบเข้ามาดูกัน แอดไปส่องแหล่งดาวน์โหลด ไอคอนฟรี มาให้ 3 ซึ่งมีไอคอนใหม่ สไตล์เก๋ๆ มาให้เลือกกันนับแสน รวมถึงการ แต่งธีม กับการเปลี่ยนที่แสนจะง่าย ใครพร้อมแล้วก็เตรียมวินโดวส์ไว้ แล้วไปดาวน์โหลดพร้อมกัน

ไอคอนฟรี

แหล่งดาวน์โหลด ไอคอนฟรี ทั้ง 3 ที่นี้ มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เพราะบางเว็บไซต์ จะมีให้ลงทะเบียนก่อนเข้าใช้งาน หรือถ้าใครต้องการใช้ไอคอน Vector หรือบริการเพิ่มเติมบางอย่างก็จะมีค่าบริการ แต่ไม่ได้แพง แต่บางที่ก็จะมีให้ Donate ให้กับผู้ออกแบบ เพื่อเป็นทุนในการสร้างงานกันต่อไป

ไอคอนฟรี

แหล่งที่1: DeviantArt ใครชอบเว็บที่มีการแชร์ภาพ ไอคอน หรือกราฟิกแนวอาร์ต ที่มีให้เลือกอยู่มากมาย เป็นการรวมคอมมูนิตี้ที่มีสมาชิกกว่า 40 ล้านคน ประกอบด้วยศิลปิน ผู้ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพและแต่งภาพ เว็บไซต์นี้จำเป็นต้องลงทะเบียนเข้าก่อน จึงจะสามารถเข้าถึงและดาวน์โหลดได้ เหมาะกับคนที่ไม่ใช่แค่ไปส่องดูภาพสวยๆ แต่ยังมี ไอคอน อีกหลากหลาย ไว้ให้ดาวน์โหลด และที่สำคัญยังเป็นช่องทางให้คุณได้เรียนรู้ และโปรโมตฝีมือในการออกแบบของคุณเองได้อีกด้วย เท่าที่เข้าไปดูจากผลการค้นหา icon จะมีเป็นล้านยูนิท เพียงแต่คุณอาจจะต้องกรองแบบที่ใช้งาน นอกจากนี้ยังมีให้คอมเมนต์และติดดาว เพื่อฟีดแบ๊คให้กับผู้ออกแบบด้วย
เข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ คลิ๊ก

ไอคอนฟรี

แหล่งที่ 2: iconarchive แหล่งที่สองนี้ จะค่อนข้างง่าย และดูเป็นกันเองมากขึ้น เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอะไรซับซ้อน สำหรับที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่ ดาวน์โหลด ไอคอนฟรี จำนวนมาก เพราะมีให้เลือกมากกว่า 7 แสนชิ้น และมีเป็นเซ็ตให้ดาวน์โหลดด้วย มีแยกหมวดหมู่อย่างชัดเจน แบบไหน สไตล์อะไร หรือจะเลือกที่เป็น Popular ได้รับความนิยมจำนวนมาก ย้ำว่าที่นี่ส่วนใหญ่ ดาวน์โหลดฟรี แต่มีบางอันก็ขอรับ Donate ใครสะดวกหรือใช้แล้วพึงพอใจ นอกจากให้ Rating ก็บริจาคให้ผู้ออกแบบฝีมือดีเหล่านี้ ได้มีกำลังใจในการปั้นผลงานกันต่อไปครับ ที่นี่ดีตรง ไม่ต้องลงทะเบียน เข้าไปใช้ได้เลย
เข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ คลิ๊ก

ไอคอนฟรี

แหล่งที่ 3: FindIcons ที่นี่ก็ถือว่าเป็นอีกแหล่งที่ค่อนข้างเป็นกันเองกับผู้ใช้ สามารถเข้าไป ดาวน์โหลด ไอคอนฟรี ได้สะดวก มีทั้งเป็นแบบ icon pack จัดหมวดหมู่มาให้เรียบร้อย หรือจะเลือกแบบ Popular ที่แยกเป็นไอคอนเฉพาะ ชอบแบบไหน แนวใด ก็จัดกันไปได้เลย หรือจะเลือกแบบที่้เป็นไฟล์ Vector ฟรี เอามาใช้ ซึ่งมีให้เลือกเกือบ 8 หมื่นชิ้นเลยทีเดียว แนะนำว่าค้นหาจากที่เว็บแนะนำ จะมีไอคอนใหม่ๆ มาให้ ดาวน์โหลดเพียบ ส่วนถ้าไอคอนที่เลือกไว้ ไม่ตรงกับการใช้งานของคุณ ให้นำไป Convert Image ได้ ในนี้มีฟังก์ชั่นสำหรับแปลงไฟล์ได้อีกด้วย
เข้าไปดาวน์โหลดได้ที่ คลิ๊ก

การตกแต่งหรือจัดเรียงไอคอนบนจอ Desktop ให้ต่างจากเดิมจะมีประโยชน์ในเรื่องความสวยงามพร้อมกับความสะดวกในเรื่องการหาโปรแกรมหรือโฟลเดอร์ที่ง่ายขึ้นโดยสามารถจัดเรียงเป็นหมวดหมู่แต่ว่าการเรียงไอคอนเฉย ๆ มันก็ดูจะธรรมดาไปครับดังนั้นเรามาเพิ่มเติมสีสันให้แปลกใหม่ด้วยการใช้ Wallpaper ภาพพื้นหลังเป็นตัวช่วยให้การจัดเรียงไอคอนของเราดู Cool มากกว่าเดิม

เทคนิคการเรียงไอคอนใหม่ด้วยภาพพื้นหลังคราวนี้จะมีจุดเด่นตรงที่เราจะใช้พื้นที่ในรูปภาพให้เป็นประโยชน์แต่ถ้ายังนึกไม่ออกมีตัวอย่างมาให้เป็นแนวทางกันก่อน โดยรูปภาพพื้นหลังเราจะใช้เป็น “Theme” Room หรือเป็นห้องต่างๆ ภายในบ้าน

เช่น ธีมห้องนั่งเล่นโดยในรูปก็จะมีชั้นวางของอยู่ โดยตรงนี้สามารถนำไอคอนไปเรียงบนชั้นวางได้เลยหรือจะแบ่งหมวดหมู่แต่ละชั้นได้ว่าให้เป็นหมวดโปรแกรมทำงานที่ชั้น 1 หรือไอคอนเกมทั้งหลายก็จะอยู่ในชั้น 2 และโปรแกรมเบ็ดเตล็ดก็อาจจะวางเรียงกันในชั้นที่ 3 ก็ยังได้แถมยังเพิ่ม Gadget อื่น ๆ อย่างนาฬิกา , รูปภาพมาแขวนเป็นออฟชั่นเสริม

  1. แหล่งที่1: DeviantArt
  2. แหล่งที่ 2: iconarchive
  3. แหล่งที่ 3: FindIcons

เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับแหล่งดาวน์โหลด ไอคอนฟรี ทั้ง 3 แห่งนี้ ถ้าสนใจก็ไปลองใช้งานกันได้เลย เพราะส่วนใหญ่ ฟรี! รวมถึงไอเดียในการจัดวางไอคอนให้ดูดี ด้วยการจัดพื้นที่ให้เหมาะสมต่อการใช้งาน ไม่ดูแน่นจนเกินไป จะง่ายต่อการมองหาและใช้งาน ไอเดียดีๆ แบบนี้จะนำไปใช้ก็ตามสะดวกกันเลยครับ

from:https://notebookspec.com/3-site-download-free-icons-windows-10/531335/