“กาแฟ” กลายเป็นเครื่องดื่มที่คนไทยคุ้นเคย และดื่มกันเป็นประจำ จนปัจจุบันค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 300 แก้ว/คน/ปี ดังนั้นการแข่งขันของตลาดนี้จึงสูงเป็นธรรมดา และยิ่งผู้บริโภคเริ่มมีพฤติกรรมที่อยากดื่มกาแฟที่พรีเมียมขึ้น แล้ว Nescafe จะทำอย่างไรต่อไป
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2017/04/coffee-1117933_1280.jpg)
เมื่ออยากพรีเมียม ก็ต้องตาม
การทำตลาดของ Nescafe เบอร์หนึ่งในตลาดกาแฟแบบ 3-in-1 และแบบชงเอง ผ่านส่วนแบ่งในตลาด 55% กับ 80% ตามลำดับ จะเดินตามพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อเข้าถึงผู้ดื่มกาแฟกลุ่มเดิมที่เริ่มอยากดื่มกาแฟพรีเมียม รวมถึงผู้ดื่มกลุ่มใหม่ที่เริ่มต้นดื่มกาแฟสดจากร้านกาแฟต่างๆ เป็นที่แรก ไม่ค่อยได้ดื่มภายในบ้านเหมือนในอดีต
แวลดดิสลาฟ อังดรีฟ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟ และครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ด้วยชีวิตคนเมืองที่เร่งรีบ และคนในพื้นที่ต่างๆ ก็อยากสะดวกมากขึ้น ทำให้ตลาดกาแฟแบบ 3-in-1 เติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นตลาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับกาแฟชงเอง กับกาแฟกระป๋อง ผ่านมูลค่าสูงถึง 14,000 ล้านบาท
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2017/04/nescafe.jpg)
แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป หลายคนอยากดื่มกาแฟพรีเมียมขึ้น ร้านกาแฟสดกระจายอยู่ทั่วทุกแห่ง ร้านขายเม็ดกาแฟก็มีจำนวนมาก ประกอบกับผู้บริโภคยอมเสียเวลากับการชง และดื่มด่ำกับรสชาติมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องปรับตัว และส่งผลิตภัณฑ์พรีเมียมออกมา เช่นปีก่อนมี Blend and Brew กาแฟ 3-in-1 ผสมกาแฟคั่วบดละเอียด ทำยอดขายได้ถึง 2,500 ล้านแก้วในไทย
ลง 800 ล้านบาท รุก Instant
“ตอนนี้คนไทยเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มกาแฟ จากที่ดื่มแค่อยาก กลายเป็นต้องการลิ้มรสชาติของกาแฟมากขึ้น เช่นกระแสกาแฟสด รวมถึง Americano ที่ดื่มแบบไม่ใส่น้ำตาล ดังนั้น Nescafe ต้องนำจุดนี้มาพัฒนาสินค้า เพื่อตามผู้บริโภคให้ทัน ไม่ใช่จมอยู่กับความสำเร็จเดิมๆ ที่มีส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่ง”
![](https://brandinside.asia/wp-content/uploads/2017/04/coffee-911163_1280.jpg)
ทั้งนี้ Nescafe ได้ลงทุนกว่า 800 ล้านบาท แบ่งเป็นพัฒนารูปแบบการผลิต 400 ล้านบาท และจัดกิจกรรมการตลาด 400 ล้านบาท เพื่อยกระดับแบรนด์ Nescafe Red Cup ให้มีรสชาติ และกลิ่นที่เหมือนกับกาแฟสดมากขึ้น ผ่านการผสมกาแฟคั่วบดละเอียดเข้าไป ทำให้ดื่มแบบกาแฟดำ หรือ Americano ก็อร่อยได้ โดยไม่ต้องเติมน้ำตาล หรือครีมเทียม
ยุโรปดื่มกัน 600 แก้ว/คน/ปี
ขณะเดียวกันตลาดกาแฟในประเทศไทยยังมีโอกาสอีกมาก สังเกตจากในประเทศญี่ปุ่นดื่ม 400 แก้ว/คน/ปี และในยุโรปดื่ม 600 แก้ว/คน/ปี แต่ในไทยมีแค่ 300 แก้ว ดังนั้นตลาดกาแฟกว่า 30,000 ล้านบาท (3-in-1, ชงเอง และกระป๋อง) ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก และยิ่งกระแสพรีเมียม ก็ส่งผลให้ส่วนแบ่งในตลาดกาแฟชงเองของ Nescafe เพิ่มจาก 80% ได้
สรุป
การปรับตัวของ Nescafe แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศไทยเกี่ยวกับการดื่มกาแฟอย่างชัดเจน เพราะเมื่อก่อนไม่มีร้านกาแฟสดกระจายอยู่ทั่วเหมือนวันนี้ ทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะออกมาหาซื้อกินข้างนอก มากกว่าชงเองที่บ้าน แต่การปรับตัวครั้งนี้จะดึงผู้บริโภคให้กลับมาดื่มกาแฟที่บ้านได้หรือไม่ ต้องมารอดูกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
from:https://brandinside.asia/nescafe-beyond-instant-coffee/