คลังเก็บป้ายกำกับ: PIXEL_4_XL

ผู้ใช้ Google Pixel 4 XL หลายรายพบปัญหาฝาหลังเผยอออกมาเอง คาดปัญหาเกิดจากขั้วแบตไม่แข็งแรงจนทำแบตบวม

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้ใช้งานมือถือ Android เลือดบริสุทธิ์ระดับเรือธง Pixel 4 XL จาก Google หลายรายพบปัญหามือถือของตัวเองฝาหลังเผยอออกมาเองโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนทางร้านรับซ่อม Pixel ในต่างประเทศแจ้งว่า สาเหตุอาจเกิดจากขั้วต่อแบตเตอรี่เปราะบางและพังง่าย ทำให้แบตบวมจนดันฝาหลังออกมา

ต้องบอกว่ามือถือจาก Google นั้น ประสบปัญหาทางด้านฮาร์ดแวร์มาอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่ Nexus 6P, Pixel, Pixel 2 รวมถึง Pixel 3 ที่พึ่งโดนฟ้องร้องแบบกลุ่มไปเมื่อเดือนที่แล้ว จากกรณีที่กล้องหลังมีปัญหาและแบตเตอรี่ลดลงอย่างผิดปรกติ

ล่าสุด Pixel 4 XL มือถือเรือธงของ Google ก็ได้สร้างความปวดหัวให้กับบริษัทอีกแล้ว เพราะในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีผู้ใช้ Pixel 4 XL หลายรายประสบปัญหาเดียวกันผ่านทาง Reddit และฟอรั่มของ Google ว่ามือถือของตัวเองฝาหลังเผยอออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

เมื่อลองตรวจสอบย้อนกลับไปพบว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นมาได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว (เพียงแต่ในตอนนั้นยังไม่เป็นข่าว) มีผู้ใช้รายหนึ่งแจ้งว่าตนเองได้ทำการเปลี่ยนเครื่องมาเป็นรอบที่ 3 แล้ว ในช่วงเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา ซึ่ง 2 ใน 4 เครื่อง (รวมเครื่องที่ซื้อมาตอนแรกด้วย) พบปัญหาฝาหลังเผยอเหมือนกันหมด

นอกจากนี้ในกระทู้เมื่อเดือนที่แล้วบนฟอรั่ม Reddit ได้มีผู้ใช้รายหนึ่งอ้างว่า เป็นผู้จัดการทั่วไปของร้าน uBreakiFix ซึ่งเป็นร้านรับซ่อมเครื่อง Pixel ที่ผ่านการรับรองจาก Google แจ้งว่า สาเหตุอาจเกิดจากขั้วต่อแบตเตอรี่ของ Pixel 4 XL นั้นไม่แข็งแรง และอาจเกิดอาการเสียหายได้แม้จะใช้งานตามปรกติ ทำให้แบตเตอรี่บวมจนดันฝาหลังออกมา ในขณะที่มือถือรุ่นเล็กในซีรีส์เดียวกันอย่าง Pixel 4 ดูเหมือนจะไม่พบปัญหาดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยังเป็นแค่การคาดเดาสาเหตุในเบื้องต้นที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจาก Google นะครับ ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่พออาจจะเป็นไปได้คือ กาวเสื่อมสภาพหรือปัญหาด้านการผลิตอื่น ๆ ก็ยังไม่ทราบสาเหตุ ส่วนทาง Google เองก็ยังไม่ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรแล้วหากมีข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะมาอัปเดตให้เช่นเคยครับ

 

ที่มา : Google, Reddit (1, 2) จาก 9to5Google

from:https://droidsans.com/google-pixel-4-xl-back-glass-peeling-issues/

ทีมงานสมาร์ทโฟน Google ไม่พอใจกับสเปค และดีไซน์ของ Pixel 4 จนทำให้พนักงานระดับซีเนียร์ลาออกไป 2 คน

อยู่ๆ ก็มีดราม่าขึ้นมาซะงั้น เมื่อมีสื่อออกมารายงานว่า พนักงานบางกลุ่มในแผนกสมาร์ทโฟน Google Pixel รู้สึกผิดหวังกับสเปคของเรือธงซีรีส์ปัจจุบันของพวกเขา อย่าง Pixel 4 และ Pixel 4 XL เป็นอย่างมาก จนถึงขนาดทำให้พนักงานระดับอาวุโสของแผนกที่มีบทบาทสำคัญกับทีมตัดสินใจลาออกเลย

The Information รายงานว่า Rick Osterloh หนึ่งในขาใหญ่ของ Google รู้สึกผิดหวังกับดีไซน์และสเปคของทั้ง Pixel 4 และ Pixel 4 XL โดยเฉพาะรุ่นแรกที่ให้แบตเตอรี่มาน้อยมากๆ เพียงแค่ 2,700 มิลลิแอมป์เท่านั้น ทั้งๆ ที่มันมาพร้อมกับหน้าจอที่มีค่ารีเฟรชเรท 90Hz ซึ่งแน่นอนล่ะว่า หากเปิดใช้งานที่ 90Hz แล้ว แบตเตอรี่จะอยู่ไม่ถึงวัน ซึ่งเหตุผลทั้งหมดนั้นเอง ทำให้มือถือซีรีส์ Pixel 4 มียอดขายที่ไม่น่าพอใจ แถมยังขายได้น้อยกว่าซีรีส์ Pixel 3 เสียอีก

ยิ่งไปกว่านั้น ความผิดหวังครั้งนี้ ทำให้พนักงานระดับอาวุโสถึง 2 คนในทีมอย่าง Mario Queiroz ผู้จัดการทั่วไปที่อยู่กับแผนกสมาร์ทโฟนของ Google มาตั้งแต่ซีรีส์ Nexus One และ Marc Levoy ผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณภาพถ่าย ซึ่งอยู่เบื้องหลังความเทพของกล้องสมาร์ทโฟน Pixel หลายๆ รุ่น ถึงกับขอลาออกจากบริษัทไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยไม่มีแม้แต่การประกาศลาออกอย่างเป็นทางการ

Mario Queiroz

Marc Levoy

ก็ต้องรอดูว่าการลาออกของทั้งสองคนนี้ จะมีผลอะไรกับ Pixel 5 ที่มีคิวจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้หรือเปล่า ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลสเปค ฟีเจอร์ หรือภาพเรนเดอร์ของ Pixel 5 หลุดออกมาแม้แต่นิดเดียวเลย

 

ที่มา: Android Authority

from:https://droidsans.com/google-pixel-division-disappointed-over-pixel-4-specs-and-design-language/

เปรียบเทียบสมาร์ทโฟนเรือธง 7 รุ่น ในปี 2019 รุ่นไหนจะชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วกว่ากัน (ชมคลิป!!)

เรากำลังอยู่ในช่วงท้ายของปี ซึ่งสมาร์ทโฟนระดับเรือธงในปี 2019 จากแบรนด์ชั่นนำได้เปิดตัวออกมาหมดแล้ว และแต่ละรุ่นต่างก็มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่หลายแบรนด์พยายามแข่งขันกันก็คือแบตเตอรี่ นอกจากจะให้อายุการใช้งานที่ยาวนานแล้ว ระยะเวลาในการชาร์จก็ต้องเร็วด้วย แต่รุ่นไหนจะเร็วที่สุด?

ทีมงานเว็บไซต์ PhoneArena ได้นำสมาร์ทโฟนระดับเรือธงในปี 2019 ทั้งหมด 7 รุ่น มาทดสอบการชาร์จแบตเตอรี่ เพื่อหาว่ารุ่นไหนจะสามารถชาร์จแบตเตอรี่จากระดับ 0 – 100% ได้เร็วที่สุด โดยสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นที่ได้รับการทดสอบ มีรายชื่อต่อไปนี้

  • Apple iPhone 11 Pro Max – แบตเตอรี่ 3969mAh ชาร์จเร็ว 18W
  • Apple iPhone 11 – แบตเตอรี่ 3110mAh ชาร์จเร็ว 18W
  • Google Pixel 4 XL – แบตเตอรี่ 3700mAh ชาร์จเร็ว 18W
  • Samsung Galaxy Note 10 Plus – แบตเตอรี่ 4300mAh ชาร์จเร็ว 25W
  • LG G8X ThinQ – แบตเตอรี่ 3500mAh ชาร์จเร็ว 18W
  • Huawei Mate 30 Pro – แบตเตอรี่ 4500mAh ชาร์จเร็ว 40W
  • OnePlus 7T – แบตเตอรี่ 3800mAh ชาร์จเร็ว 30W

ส่วนผลการทดสอบจะออกมาเป็นอย่างไร? คำตอบรออยู่แล้วที่ด้านล่าง

from:https://www.flashfly.net/wp/274285

มือถือ Android พันธุ์แท้ Pixel 4 XL ถึงคราวโดน JerryRigEverything ทดสอบความแข็งแกร่ง จะร่วงหรือจะรอด?

ในที่สุดมือถือ Android พันธุ์แท้อย่าง Pixel 4 XL ที่พึ่งวางขายไปไม่นานนี้ ก็ได้มาถึงมือนักทรมานสมาร์ทโฟนและแทบเลตมืออาชีพอย่างเฮีย JerryRigEverything เสียที…มาดูกันดีกว่าว่านอกจากจะมีจุดเด่นเรื่องกล้องแล้ว มือถือรุ่นนี้จะรับมือกับความโหดเหี้ยมในการทดสอบโทรศัพท์ของเฮียคนนี้ยังไง ทั้งขูด ขีด กรีด เผา หรือแม้กระทั่งงอเครื่องได้แค่ไหน

เริ่มต้นด้วยการทดสอบความทนทานหน้าจอกันก่อนเลย โดย Pixel 4 XL มาพร้อมกับหน้าจอ OLED ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด Quad HD+ ค่ารีเฟรชเรท 90Hz ซึ่งรุ่นนี้ไม่ได้ติดฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่ในกล่องนะครับ พอโดนเครื่องมือขูดของเฮีย Jerry ขูด ก็จะพบรอยที่เครื่องมือถือระดับ 5 และพอโดนเครื่องมือระดับ 6 ขูดลงบนหน้าจอ รอยก็จะลึกลงไปอีก ซึ่งก็ถือเป็นความทนทานในระดับปกติของมือถือเรือธงในยุคนี้อยู่แล้ว

บริเวณขอบข้างตัวเครื่อง Pixel 4 XL ทำจากโลหะที่เคลือบด้วยสีอีกทีนึง แม้วัสดุจะมีความทนทานสูง แต่สีที่เคลือบไว้ก็ไม่ได้ทนทานต่อการขีดข่วนเลย

หากสังเกตดีๆ บริเวณระหว่างขอบเครื่องและหน้าจอ Pixel 4 XL จะมีพลาสติกเล็กๆ ขั้นกลางเอาไว้ เพื่อซึมซับแรงกระแทกเวลาทำเครื่องตก

ส่วนตรงกล้องก็ไม่ต้องกลัวว่าโดนกุญแจหรืออะไรขูดแล้วจะเป็นรอย เพราะใช้กระจกเกรดเดียวกับหน้าจอครอบทับไว้อีกที หายห่วงเรื่องรอยจากพวกเศษเหรียญ หรือกุญแจในกระเป๋าได้เลย

มาถึงการทดสอบเผาหน้าจอ ที่เอาตามตรง ไม่มีใครมานั่งเอาไฟแช็กมารนหน้าจอแบบเฮีย Jerry แกหรอก.. (แต่ก็ถือเป็นการทดสอบอย่างหนึ่งนะ ฮ่าๆ) โดยหน้าจอของ Pixel 4 XL โดนไฟลนอยู่ประมาณ 40 วินาที กว่าเม็ดพิกเซลจะเริ่มกลายเป็นสีขาวจางๆ แต่พอเอาไฟออกสักพัก หน้าจอก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

และแล้วก็ถึงตาการทดสอบงอเครื่องกันบ้าง เวลางอเครื่องจากด้านหน้าจอ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังปกติดีสุข แต่พองอจากด้านหลังด้วยแรงที่ไม่มากมายอะไร…พบว่าตัวเครื่องหักดังโพละ! และต้องเรียกว่าหักจริงๆ ไม่ใช่แค่ฝาหลังร้าวเท่านั้น เพราะแม้แต่เฟรมเครื่องบริเวณที่ใช้นิ้วโป้งงัดเครื่องเอาไว้ทั้งด้านบนและด้านล่างเครื่องก็ยังแตกออกแบบเห็นได้ชัดๆ

ซึ่งจุดอ่อนก็น่าจะมาจากเสาอากาศที่ Google ใส่ไว้บริเวณเฟรมของตัวเครื่อง ทำให้ตรงนั้นมีความเปราะบางกว่าเฟรมส่วนอื่นๆ นั่นเอง

เสาอากาศเจ้าปัญหาที่ทำให้เฟรมเครื่องเปราะบาง

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะหักไปแล้วแต่ว่าหน้าจอของ Pixel 4 XL ก็ยังใช้งานได้ปกตินะ

สรุปแล้วถือว่า Pixel 4 XL เป็นสมาร์ทโฟนที่ค่อนข้างเปราะบางพอสมควร เพราะทาง JerryRigEverything ก็บอกเองเลยว่าไม่ได้เจอกับมือถือที่หักคามือแบบนี้มานานแล้ว เพราะฉะนั้นใครที่สนใจหรือได้เป็นเจ้าของกันแล้ว ก็อย่าลืมหาเคสแกร่งๆ มาใส่กันด้วยนะครับ

 

ที่มา: JerryRigEverything

from:https://droidsans.com/pixel-4-xl-jerryrigeverything-durability-test/

เปรียบเทียบภาพถ่ายจาก Pixel 4 XL vs iPhone 11 Pro Max vs Galaxy Note 10+ ด้วยโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน กล้องบนสมาร์ทโฟนได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถถ่ายภาพในสภาพแสงปกติได้ดีเพียงใด แต่สำหรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย หรือในเวลากลางคืน มีเพียงสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นที่โดดเด่น

ในปีนี้ iPhone ได้รับการปรับปรุงกล้องให้ถ่ายภาพในเวลากลางคืนได้ดีกว่า iPhone ทุกรุ่นที่ผ่านมา จึงถึงเวลาที่จะมีการเปรียบเทียบกล้องในสภาพแสงน้อยอีกครั้งระหว่างสมาร์ทโฟนเรือธงจาก 3 แบรนด์ระดับโลก Google Pixel 4 XL, Apple iPhone 11 Pro Max และ Samsung Galaxy Note 10+

ฉากที่ 1

ปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

เปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

ครอปภาพ

ฉากแรกถูกถ่ายในบริเวณที่ไม่มีแสงสว่างรอบตัว และทุกอย่างดูมืดสนิท แต่ด้วย Night Mode ซึ่งช่วยให้กล้องเปิดรับแสงได้นานขึ้น ทำให้มองเห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจนมากกว่าที่ตาเห็น

ทีมทดสอบให้ Pixel ชนะไปในฉากแรก มิติของสีที่มีความลึกมากกว่า ขณะที่ iPhone ก็ทำได้ใกล้เคียงกัน ส่วน Galaxy ให้รายละเอียดและความคมชัดน้อยกว่าอีก 2 รุ่น

คะแนน

  • Pixel 4 XL: 8.5
  • iPhone 11 Pro Max: 8
  • Galaxy Note 10+: 7.5

ฉากที่ 2

ปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

เปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

ครอปภาพ

เป็นอีกภาพที่ Galaxy แพ้ให้กับ Pixel และ iPhone โดยภาพถ่ายจาก iPhone ยังให้สมดุลสีขาวที่ผิดเพี้ยน ขณะที่ Pixel ให้สีสันที่แม่นยำกว่า

คะแนน

  • Pixel 4 XL: 8
  • iPhone 11 Pro Max: 7
  • Galaxy Note 10+: 5

ฉากที่ 3

ปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

เปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

ครอปภาพ

ภาพที่ 3 มีแสงไฟในบริเวณนั้นมาช่วย ทำให้ภาพรวมของทั้ง 3 รุ่น ออกมาน่าพอใจเหมือนๆ กัน แต่เมื่อทำการครอปภาพจะเห็นว่าภาพถ่ายจาก Pixel ให้สมดุลสีขาวที่เหมาะสมมากกว่า

คะแนน

  • Pixel 4 XL: 8
  • iPhone 11 Pro Max: 8
  • Galaxy Note 10+: 7

ฉากที่ 4

ปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

เปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

ครอปภาพ

ภาพที่ 4 แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างภาพถ่ายที่เปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน กับไม่ได้เปิด และทีมทดสอบพบว่า โหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืนของ iPhone มีความสะดวกกว่ามาก เนื่องจากแอพกล้องจะเปิด Night Mode โดยอัตโนมัติ เมื่อพบว่าถ่ายภาพในที่มืด ขณะที่อีก 2 รุ่น ต้องเปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืนด้วยตัวเอง ซึ่งบางครั้งผู้ใช้งานอาจจะลืมเปิดก็ได้

สำหรับคุณภาพในฉากที่ 4 ชัยชนะยังตกเป็นของ Pixel ถึงแม้ทั้ง 3 รุ่นจะดูใกล้เคียงกัน แต่ถ้าพิจารณารายละเอียดบนท้องฟ้า จะเห็นว่า Pixel ทำได้ดีกว่า แต่ก็ไม่เหนือกว่าอีก 2 รุ่นมากนัก

คะแนน

  • Pixel 4 XL: 8
  • iPhone 11 Pro Max: 7.5
  • Galaxy Note 10+: 7

ฉากที่ 5

ปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

เปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

ครอปภาพ

รูปภาพในฉากที่ 5 บอกได้ว่าในบางครั้งโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน ก็อาจไม่มีความจำเป็นถ้าหากยังคงมีแสงไฟ ในแง่ของคุณภาพดูเหมือน iPhone จะทำได้ดีกว่า Pixel แต่ก็ยังไม่สามารถชนะได้ เนื่องจากยังมีโทนสีเหลืองที่ดูเกินจริง

คะแนน

  • Pixel 4 XL: 8
  • iPhone 11 Pro Max: 7
  • Galaxy Note 10+: 7

ฉากที่ 6

ปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

เปิดโหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน

ครอปภาพ

เป็นอีกครั้งที่โหมดถ่ายภาพในเวลากลางคืน ไม่ได้สร้างความแตกต่างจากโหมดถ่ายภาพปกติเท่าไรนัก และเป็นอีกครั้งที่ Pixel ทำได้ดีกว่าอีก 2 รุ่น แต่ Galaxy ก็สามารถชนะ iPhone ไปได้ในภาพนี้ เนื่องจากสามารถควบคุมจุดรบกวนบนภาพถ่ายได้ดีกว่า

คะแนน

  • Pixel 4 XL: 8
  • iPhone 11 Pro Max: 5.5
  • Galaxy Note 10+: 7

สรุป

ทีมงานทดสอบยกให้ Pixel 4 XL เป็นผู้ชนะในการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ซึ่งต้องยกความดีให้กับฟีเจอร์ Night Sight ที่ให้สมดุลสีขาวได้อย่างดีเยี่ยม ให้รายละเอียดชัดเจน และควบคุมจุดรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

iPhone 11 Pro Max ครองอันดับ 2 จากการทดสอบในครั้งนี้ และถือว่าทำได้ดีเกินคาด แต่ยังให้สมดุลสีขาวที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ภาพถ่ายส่วนใหญ่ออกไปในโทนสีเหลือง

สำหรับ Galaxy Note 10+ ยังให้คุณภาพไม่ดีเท่าไร เมื่อเทียบกับอีก 2 รุ่น บางภาพก็มืดเกินไป และยังใช้เวลาในการจับภาพค่อนข้างนาน และไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าผู้ใช้งานต้องถือสมาร์ทโฟนค้างไว้นานแค่ไหน

สรุปคะแนน

  • Pixel 4 XL: 48.5
  • iPhone 11 Pro Max: 42.5
  • Galaxy Note 10+: 40.5

ที่มา – Phonearena
https://www.flashfly.net/wp/273433

from:https://www.flashfly.net/wp/273433

จอภาพของ Pixel 4 ให้อัตราการรีเฟรชลดลง เมื่อระดับความสว่างต่ำกว่า 75%

Pixel 4 และ Pixel 4 XL มาพร้อมจอแสดงผล OLED ที่ให้อัตราการรีเฟรช 90Hz ทำให้การแสดงกราฟิกราบรื่นกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไปที่มีอัตราการรีเฟรช 60Hz แต่เจ้าของ Pixel 4 ก็พบข้อจำกัดบางประการ

สมาชิก Reddit รายหนึ่งอ้างว่า จอภาพของ Pixel 4 จะให้อัตราการรีเฟรชลดลงจาก 90Hz เหลือ 60Hz โดยอัตโนมัติ เมื่อระดับความสว่างของจอแสดงผล ลดลงต่ำกว่า 75%

ข้อจำกัดดังกล่าว ได้สร้างปัญหาให้กับเจ้าของสมาร์ทโฟนที่ตั้งค่าจอแสดงผลให้ปรับความสว่างโดยอัตโนมัติตามสภาพแสงโดยรอบ และเมื่อใช้งานสมาร์ทโฟนภายในอาคาร ความสว่างก็จะลดลง ทำให้อัตราการรีเฟรชลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีการแก้ไขง่ายๆ อยู่ 2 วิธี คือ ปิดฟีเจอร์ปรับความสว่างโดยอัตโนมัติ หรือ เข้าไปเปิดการตั้งค่าของนักพัฒนา และกำหนดให้รักษาอัตราการรีเฟรช 90Hz อยู่เสมอ โดยไม่ต้องคำนึงถึงระดับความสว่าง แต่การใช้จอแสดงผลที่อัตราการรีเฟรช 90Hz อยู่ตลอดเวลา ก็อาจส่งผลให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ

ที่มา – AndroidBeat
https://www.flashfly.net/wp/272298

from:https://www.flashfly.net/wp/272298

ผู้ใช้งานพบบั๊กใน Pixel 4 ที่จะปรับค่ารีเฟรชเรทลงมาเป็น 60Hz โดยอัตโนมัติ เมื่อความสว่างหน้าจอต่ำกว่า 75%

เรียกได้ว่าตั้งแต่เปิดตัวมา แทบจะมีปัญหารายวันเลยสำหรับมือถือเรือธง Pixel 4 และ Pixel 4 XL หลังจากตอนแรกมีคนไปพบเจอปัญหา Face Unlock ปลดล็อคหน้าจอได้แม้ว่าไม่ได้ลืมตา มาวันนี้ก็มีคนช่างสังเกตไปพบอีกว่า หน้าจอที่มีรีเฟรชเรท 90Hz ของ Pixel 4 จะใช้งานได้เฉพาะเวลาเปิดความสว่างหน้าจอที่เกิน 75% ขึ้นไป ถ้าต่ำกว่านั้นหน้าจอจะลดค่า Refresh Rate เป็น 60Hz ให้เองโดยอัตโนมัติ

หน้าจอรีเฟรชเรท 90Hz ของ Pixel 4 นั้น จะมีการทำงานคล้ายๆ กับหน้าจอของ OnePlus 7 Pro และ OnePlus 7T series ที่ระบบจะคอยปรับไปมาระหว่าง 90Hz และ 60Hz ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานกำลังเลือกรับชม หรือใช้ได้กับเฉพาะแอปที่รองรับเท่านั้น ซึ่ง Pixel 4 ก็ใช้อัลกอริทึมคล้ายๆ กัน ที่จะคอยปรับค่ารีเฟรชเรทของ Pixel 4 จาก 90Hz ลงมาเป็น 60Hz ในกรณีที่กำลังดูวิดีโอ หรือกำลังอ่านหน้าเว็บต่างๆ ที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวบนจอ และจะปรับเป็น 90Hz ให้ทันทีที่มีการเลื่อนหน้าจอ เพื่อให้การแสดงผลของ Animation ต่างๆ ดูลื่นไหลขึ้น

แต่ก็ได้มีนักพัฒนาระบบปฏิบัติการ Android รายหนึ่ง ค้นพบว่าค่าความสว่างของหน้าจอก็มีผลต่อค่ารีเฟรชเรท 90Hz ของหน้าจอ Pixel 4 เหมือนกัน เพราะจากการทดสอบด้วยแอป Logcat ผลปรากฎว่าหากปรับความสว่างของหน้าจอ Pixel 4 ลงไปต่ำกว่า 75% ปุ๊บ ค่ารีเฟรชเรทหน้าจอก็จะเด้งลงมาที่ 60Hz ทันที

 

ส่วนสมาร์ทโฟนในตลาดหลายๆ รุ่นที่มีค่ารีเฟรชเรทมากกว่า 60Hz ทั้ง OnePlus 7 Pro, OnePlus 7T series หรือ ROG Phone II ต่างไม่ได้ใช้อัลกอริทึมในการปรับค่ารีเฟรชเรทหน้าจอแบบ Pixel 4 ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า Google อาจจะจงใจให้เป็นแบบนี้แต่แรกอยู่แล้ว ทั้งนี้ก็น่าจะเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้แบตเตอรี่ของ Pixel 4 และ Pixel 4 XL หมดไวนั่นเอง (Pixel 4 ใส่แบตมาให้ 2,800 mAh และ Pixel 4 XL ใส่มาให้ 3,700 mAh)

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ใช้งาน Pixel 4 และ Pixel 4 XL คนไหนอยากใช้งานหน้าจอ 90Hz ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องไปเร่งแสงหน้าจอให้สว่างทั้งวันก็สามารถทำได้ง่ายๆ โดยเข้าไปที่ Developer Settings และเลือกเปิดโหมด Force 90Hz refresh rate ซึ่งจะทำให้หน้าจอของ Pixel 4 / 4 XL แสดงผลที่ 90Hz ตลอดเวลา และแน่นอนว่ามันจะสูบแบตเตอรี่มากกว่าเดิมด้วย

ทั้งนี้ Google เองก็ได้รับรู้ปัญหาดังกล่าวแล้ว พร้อมประกาศว่าจะปล่อยอัพเดทแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ในอีกไม่นานนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมาพร้อมกับตัวอัพเดทแก้ไขปัญหาของระบบ Face Unlock ก่อนหน้านี้ด้วยเลยหรือเปล่า..

 

ที่มา: xda-developers

from:https://droidsans.com/google-pixel-4-90hz-display-only-enabled-in-certain-conditions/

Preview | พรีวิว Pixel 4 และ 4 XL ของดีของเด็ดจาก Google

นับจากวันที่ Google ได้เปิดตัว Pixel 4 และ Pixel 4 XL ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ต่างๆมากมาย บางอย่างหายไป บางอย่างเพิ่มเข้ามาใหม่ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ดู Live เสร็จก็กดพรีออเดอร์ทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น (ยังไม่ทันรู้เลยว่าข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง) จนตอนนี้ได้มาอยู่ในมือเพื่อมาพรีวิวเรียกน้ำย่อยกันแล้ว

ตัวเครื่องจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีด้วยกันคือ Just Black, Clearly White และ Oh So Orange ที่เป็นสีพิเศษสำหรับรุ่นนี้ โดยตัวเครื่องที่ใช้ในการพรีวิวครั้งนี้ก็คือ Pixel 4 สี Oh So Orange และ Pixel 4 XL สี Cleary White นั่นเอง

จะเห็นว่ากล่องของทั้ง 2 รุ่นมีขนาดเท่ากันเป๊ะๆ จุดที่แตกต่างกันก็คือชื่อรุ่นและภาพตัวเครื่องที่อยู่บนกล่อง

โดยในกล่องประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, อะแดปเตอร์จ่ายไฟ 18W, สาย USB-C, หัวแปลง USB-A เป็น USB-C และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น + เข็มจิ้มถาดซิม

และผมก็รู้สึกว่าตัวกล่องข้างในเหมือนกับของ Pixel 3 มากๆ เพราะจำรูปแบบการวางอุปกรณ์์ต่างๆข้างในได้

สงสัยอยากจะประหยัดค่าดีไซน์์กล่องแน่ๆเลย

สำหรับอะแดปเตอร์จ่ายไฟ 18W ที่ให้มาก็จะจ่ายไฟ 5V/3A และ 9V/2A

ทีนี้มาดูที่ตัวเครื่องกันบ้างดีกว่า

ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับ Android 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด และใช้ Qualcomm Snapdragon 855 ที่เป็น 64-bit Octa-core โดยมีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.84 GHz + 1.78 GHz ที่มาพร้อมกับ Qualcomm Adreno 640 ส่วน RAM ก็ให้มามากถึง 6GB และความจุสำหรับเก็บข้อมูลจะมีให้เลือกระหว่าง 64GB และ 128GB

สำหรับ Pixel 4 นั้นจะมีการดีไซน์ตัวเครื่องที่ต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพราะในรุ่นนี้ผิวของตัวเครื่องจะใช้วัสดุผิวด้าน (Matte) ทั้งหมด ไม่ได้เป็นผิวเงา (Glossy) บางส่วนเหมือนรุ่นก่อนๆ และด้านข้างตัวเครื่องใช้เป็นสีดำที่เป็นผิวด้านไม่ว่าตัวเครื่องจะเป็นสีใดก็ตาม

สำหรับตัวเครื่องสี Oh So Orange ตอนที่ได้สัมผัสของจริงก็มีคำถามแรกผุดขึ้นมาในใจเลยว่า “มันส้มตรงไหนกันเนี่ย?” เพราะสีส้มที่ว่านี้มันออกไปทางสีชมพู จึงทำให้รู้สึกว่ามันเป็นสีส้มอมชมพูมากกว่าที่จะเป็นสีส้มล้วนๆ

และยิ่งเวลาตัวเครื่องโดนแสงแดด เวลามองมุมข้างก็จะรู้สึกว่าออกไปทางสีชมพูมากกว่าเสียอีก

สำหรับด้านบนของตัวเครื่องจะมีแค่ช่องไมโครโฟนเท่านั้น ซึ่ง Pixel 4 จะใส่ไมโครโฟนมาให้มากถึง 3 ตัวด้วยกัน (ด้านบนของตัวเครื่อง, ด้านล่างของตัวเครื่อง และด้านหลังของตัวเครื่อง)

ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องเป็นช่องไมโครโฟน, USB-C 3.1 และช่องลำโพง (เรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวา) ซึ่งผมก็แอบเสียใจเล็กน้อยที่รุ่นนี้ย้ายลำโพงมาอยู่ใต้เครื่องเหมือนกับ Pixel 3A แล้ว ส่วนช่องหูฟัง 3.5mm นั้น อย่าไปถามหาเลย…

ด้านข้างฝั่งซ้ายของตัวเครื่องจะมีช่องใส่ถาดซิมแบบ Nano SIM และรุ่นนี้ก็รองรับ e-SIM ได้เหมือนเดิมนะ

ส่วนด้านข้างฝั่งขวาจะมีแค่ปุ่ม Power และ Volume เท่านั้น และสำหรับปุ่ม Power ถ้าเป็นเครื่องสี Just Black จะได้ปุ่มเป็นสีขาว ส่วนเครื่องสี Clearly White จะได้ปุ่มเป็นสีส้มแบบสีของตัวเครื่อง Oh So Orange ส่วนตัวเครื่องสี Oh So Orange จะได้ปุ่มที่มีสีอ่อนกว่าสีตัวเครื่องหน่อยนึง

และเป็นที่รู้กันว่าไม่มีช่องใส่ SD Card ให้อยู่แล้วสำหรับตระกูล Pixel

เมื่อลองเทียบระหว่าง Pixel 4 กับ Pixel 3 ก็จะเห็นความแตกต่างระหว่างดีไซน์ตัวเครื่องอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะขอบด้านข้างตัวเครื่ืองที่เป็นสีดำด้าน ต่างจากรุ่นก่อนๆที่เป็นสีตามเครื่องและเป็นวัสดุให้ความรู้สึกเหมือนกระจก และด้านหลังตัวเครื่องก็ทำเป็นผิวด้านทั้งหมดแล้ว

หน้าจอจะใช้เป็น OLED ที่รองรับ HDR ในอัตราส่วน 19:9 โดย Pixel 4 จะได้ความละเอียดหน้าจอ 2,280 x 1,080 ส่วน Pixel 4 XL จะอยู่ที่ 3,040 x 1,440 px  โดยทั้งสองรุ่นจะมาพร้อมกับ Smooth Display ที่จะแสดงผลที่ 90Hz ทำให้ภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอมีความลื่นไหลมากขึ้น ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่คิดว่ามันจะต่างกันแค่ไหนนะ แต่พอได้ลองใช้งานจริงก็ต้องยอมรับจริงๆว่าทำไมต้อง 90Hz

สิ่งหนึ่งที่แอบกังวลก็คืือมุมโค้งของหน้าจอแสดงผลจะโค้งไม่สวยเหมือนที่เจอใน Pixel 3A แต่พอได้มาจับของจริงก็พบว่าทำมุมโค้งได้สวยมาก และมีมุมโค้งที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆด้วย

สำหรับ Pixel 4 จะเห็นว่าด้านหน้าของตัวเครื่องหน้าจอทุกด้านจะชิดกับตัวเครื่องหมด ยกเว้นข้างบน เพราะว่ามีเซ็นเซอร์ต่างๆอยู่นั่นเอง โดยจะมีทั้งกล้อง NIR, Dot Projector และ Flood Emitter สำหรับการปลดล็อคด้วยใบหน้า, กล้องหน้า 8MP, Ambient Light Sensor, Proximity Sensor, ช่องลำโพง และ Radar Sensor สำหรับ Motion Sense

ด้านหลังของตัวเครื่องจะมีทุกๆอย่างอยู่ที่มุมซ้ายบนของตัวเครื่อง โดยจะมีทั้งกล้องคู่, Spectral + Flicker Sensor, Dual LED Flash และช่องไมโครโฟน

กล้องหลังจะมี 2 ตัวด้วยกันคือเลนส์ปกติความละเอียด 12.2 MP รูรับแสง ƒ/1.7 และเลนส์เทเล 16 MP รูรับแสง ƒ/2.4 โดยกล้องหลังจะมีระบบกันสั่นและ Spectral + Flicker Sensor สำหรับแก้ปัญหาการถ่ายภาพหรือวีดีโอบนหน้าจอแล้วเห็นภาพเป็นเส้นๆ โดยตัวกล้องหลังจะรองรับการถ่ายวีดีโอได้ถึง 4K แต่ว่ายังคงอยู่ที่ 30fps เท่านั้น ส่วน 1080p นั้นเลือกได้เลยว่าจะเป็น 30fps, 60fps หรือ 120fps

ส่วนกล้องหน้าจะมีเพียงตัวเดียว โดยมีความละเอียด 8 MP รูรับแสง ƒ/2.0 เป็นแบบ Fixed focus และรองรับการถ่ายวีดีโอที่ 1080p/30fps ซึ่งผมก็แอบแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงตัดสินใจใช้เป็น Fixed Focus แทนที่จะเป็น Auto Focus

สำหรับกล้องจะยังไม่พูดถึงอะไรมากนัก เพราะว่าผมยังไม่ได้มีโอกาสออกไปถ่ายรูปเล่นซักเท่าไร

และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือโลโก้ตัว G ของ Google ที่อยู่ด้านหลังของตัวเครื่อง ซึ่งในรุ่นนี้ตรงโลโก้จะมีการปั้มผิวนูนขึ้นมาเล็กน้อยด้วย

ส่วนแบตเตอรีของ Pixel 4 จะมีความจุ 2,800 mAh ส่วน Pixel 4 XL จะมีความจุ 3,700 mAh ซึ่งหลายๆคนบอกว่า Pixel 4 ให้แบตเตอรีมาน้อยไป แต่ผมก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าแบตเตอรีเพียงเท่านี้จะสามารถอยู่ได้เต็มวันหรือไม่

แต่ที่แน่ๆคืือรุ่นนี้จะมีน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นกว่ารุ่นก่อน โดย Pixel 4 จะหนัก 162 g และ Pixel 4 XL หนัก 193 g ส่วนขนาดของตัวเครื่องแตกต่างจากเดิมไม่มากนัก

ถึงแม้ว่าลำโพงของตัวเครื่องจะยังคงเป็น Stereo เหมือนเดิม แต่ผมก็แอบไม่ชอบการวางตำแหน่งของช่องลำโพงในรุ่นนี้ซักเท่าไร เพราะมิติเสียงมันดูไม่ค่อยสมดุลเวลาใช้งานจริง

ที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับ Pixel 4 ก็คือการใช้ Face Unlock โดยสมบูรณ์ ไม่มี Fingerprint Scanner อีกต่อไป และ Live Caption (แสดง Caption จากเสียงในเครื่องไม่ว่าจะเปิดแอพอะไรก็ตาม) ที่สามารถใช้งานได้เลย ในขณะที่รุ่นก่อนๆต้องต่อคิวรอไป นอกจากนี้ยังได้ใช้ Live Wallpaper ของ Pokemon ที่พิเศษสำหรับ Pixel 4 ด้วยล่ะ ซึ่งเราสามารถใช้ Motion Sense เพื่อโต้ตอบกับตัวละครบนหน้าจอได้ด้วย

Motion Sense นั้นสามารถทำได้แค่บางอย่างเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกหวือหวามากนัก ที่ได้ใช้บ่อยสุดก็จะเป็นการเปลี่ยนเพลงเท่านั้น ซึ่งสามารถปัดมือตอนที่ปิดหน้าจอได้ด้วย (น่าจะต้องเปิด Always On ไว้ด้วย) โดยจะมีแถบสีขาวๆที่ข้างบนสุดของหน้าจอเพิ่อแสดงให้รู้ว่า Motion Sense กำลังทำงานอยู่

ส่วน Face Unlock นั้นก็สามารถทำได้ไวมาก ยกขึ้นมาปุปก็สามารถปลดล็อคหน้าจอได้ทันที (ลองหลับตาแล้ว ปลดล็อคไม่ได้นะ 😆)

และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ส่วนการใช้งานจริง Pixel 4 จะตอบโจทย์หรือไม่ มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ก็ต้องโปรดอดใจรอรีวิวฉบับเต็มๆจาทีมงานนะครับ

 

 

from:https://droidsans.com/preview-pixel-4-and-4-xl/

Google เตรียมปล่อยอัพเดทแก้ไขปัญหาเรื่อง Face Unlock ที่สามารถปลดล็อค Pixel 4 ได้แม้ตอนหลับตา เร็วๆ นี้

ในงานเปิดตัวมือถือซีรีส์ Pixel 4 ที่ผ่านมา Google ได้ออกมาเคลมว่าระบบปลดล็อคจอด้วยใบหน้าที่ใช้กับมือถือรุ่นนี้สามารถ “ปลดล็อคได้รวดเร็วที่สุดในโลก” ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีนักรีวิวคนหนึ่งพบว่าระบบดังกล่าว ดันปลดล็อคหน้าจอได้แม้กระทั่งตอนหลับตา ซึ่งมีความเสี่ยงมากที่อาจโดนหยิบเครื่องไปแล้วเอามาส่องหน้าเจ้าของตอนหลับได้…ซึ่งล่าสุด Google ก็ได้ประกาศเตรียมปล่อยอัพเดทแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Pixel 4 และ Pixel 4 XL เป็นมือถือที่ไม่ได้ใส่เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้เหมือนมือถือรุ่นอื่นๆ แต่ทาง Google ได้ใส่ฟีเจอร์ Face Unlock ที่ได้เทคโนโลยี Motion Sense เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความแม่นยำในการสแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ ทำให้ Pixel 4 สามารถปลดล็อคหน้าจอได้รวดเร็วที่สุดในโลกและไม่สามารถใช้ภาพถ่ายแบบ 2 มิติ มาหลอกได้ แต่มันกลับไม่สามารถตรวจจับได้ว่าตอนนั้นใบหน้าเจ้าของเครื่องที่กำลังสแกนนั้น ลืมตาหรือหลับตาอยู่กันแน่

ซึ่งหลังจากที่ Google ได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว ก็ได้ออกมาประกาศว่าตอนนี้กำลังพัฒนาแพทช์ตัวใหม่ เพื่อที่จะอัพเดทแก้ไขปัญหาดังกล่าวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยจะเพิ่มตัวเลือก “required eyes to be open” หรือต้องลืมตาในระหว่างสแกนหน้าไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถปลดล็อคหน้าจอได้

การทำงานของฟีเจอร์ Face Unlock ของ Pixel 4 นี้จะมีลักษณะที่คล้ายกับระบบ Face ID ของ iPhone คือการใช้แสงอินฟราเรดและกล้องในตรวจจับความตื้นลึกของใบหน้า ซึ่งการใช้งานแบบนี้ถือว่ามีความปลอดภัยกว่าการใช้แค่กล้อง 2 มิติ ธรรมดาในการสแกนใบหน้าอยู่พอสมควร แต่อย่างไรก็ดี ใน iPhone จะมีตัวเลือก “required eyes to be open” มาให้เพื่อความปลอดภัย.. ทว่าใน Pixel 4 กลับไม่ได้ใส่มาด้วย

อย่างไรก็ดี Google ได้เสริมขึ้นมาว่า ในขณะที่รอแพทช์อัพเดทดังกล่าว ผู้ใช้งาน Pixel 4 ควรใช้ฟีเจอร์ปลดล็อคเครื่องด้วยวิธีอื่นๆ อย่างเช่น ใส่ pin, password หรือ pattern ไปก่อน

 

ที่มา: the verge 

from:https://droidsans.com/google-pixel-4-face-unlock-eyes-security-update-coming-months/

พบระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าของ Pixel 4 / Pixel 4 XL เร็วจริง แต่กลับปลดล็อคได้แม้ตอนหลับตาอยู่

มือถือรุ่นล่าสุดอย่าง Pixel 4 และ Pixel 4 XL ที่นอกจากเรื่องกล้องจะอัพเกรดให้ดียิ่งกว่าเดิมแล้ว ทาง Google ยังได้ใส่เทคโนโลยี Motion Sense สำหรับการสั่งงานด้วยมือโดยไม่ต้องแตะจอ และยังใช้ปลดล็อคเครื่องด้วยใบหน้าได้อีก ซึ่ง Google เคลมว่าระบบนี้ “ปลดล็อคได้รวดเร็วที่สุดในโลก” ทว่าล่าสุด.. ก็มีผู้สื่อข่าวจาก BBC ค้นพบว่า Face Unlock ของ Pixel 4 ดันปลดล็อคหน้าจอได้แม้กระทั่งตอนหลับตาซะนี่

การมาของเทคโนโลยี Motion Sense ทำให้ระบบ Face Unlock บน Pixel 4 และ Pixel 4 XL มีความรวดเร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนทั้งหลายที่วางจำหน่ายอยู่ตอนนี้ ซึ่งนอกจากจะรวดเร็วแล้ว Motion Sense ยังสามารถปิดหน้าจอโทรศัพท์ได้แบบอัตโนมัติทันทีที่เราไม่ใช้งานแล้ว (ตอนหันหน้าออกจากจอ) และเมื่อใดที่กลับไปจ้องโทรศัพท์อีกที โทรศัพท์ก็จะเปิดขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ยังช่วยให้เราควบคุมโทรศัพท์ อย่างเช่น เปลี่ยนเพลง, ปรับระดับเสียง ฯลฯ ด้วยการโบกมือที่บริเวณหน้าจอ โดยไม่ต้องสัมผัสเลย

แต่แล้วคุณ Chris Fox ผู้สื่อข่าวสายไอทีจาก BBC ก็ไปค้นพบกับจุดบกพร่องของ Face Unlock บน Pixel 4 ของเขาซึ่งได้รับการอัพเดทเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดแล้ว และได้โพสท์ลงในทวิตเตอร์ว่า “The Pixel 4 facial recognition works even if you’re asleep / dead. That seems problemetic” (ระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าของ Pixel 4 สามารถปลดล็อคได้แม้ตอนหลับ หรือตายไปแล้ว…ดูเหมือนมันจะเป็นปัญหาอยู่นะ) โดยเขาได้ทดสอบให้ดูด้วยการหลับตาพร้อมกับนำโทรศัพท์มาจ่อที่หน้า และผลลัพธ์ก็คือ.. Pixel 4 ของเขาปลดล็อคผ่านซะงั้น ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ลืมตาขึ้นมาจริงๆ 

ซึ่งมันจะกลายเป็นปัญหาแน่นอน หากเรากำลังหลับอยู่แล้วมีคนแอบเอามือถือมาปลดล็อคด้วยการจ่อมาที่ใบหน้าของเรา เพราะปกติแล้วระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าในมือถือหลายๆ รุ่น มักจะสแกนหน้าไม่ผ่านหากหลับตาอยู่ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่กล่าวมานั่นเอง

อย่างไรก็ดี ทาง Google ก็ได้เขียนคำเตือนเอาไว้ในหน้าแนะนำการใช้งาน Face Unlock ว่า “Your phone can also be unlocked by someone else if it’s held up to your face even if your eyes are closed” (Face Unlock จะยังคงปลดล็อคได้อยู่ ถ้ามีคนถือโทรศัพท์จ่อไปที่หน้าของคุณ ไม่เว้นแม้แต่ตอนหลับตา)

ก็ต้องรอดูกันต่อไปครับว่าเครื่อง Pixel 4 / 4 XL ที่ Google วางขายเนี่ย จะใช้ซอฟต์แวร์เดียวกับเครื่องที่ส่งให้เหล่า YouTubers และ Bloggers ไปรีวิวรึเปล่า หรือว่าทาง Google จะออกอัพเดทมาแก้ไขระบบ Face Unlock ยังไงต่อไปบ้าง

 

ที่มา: Chris Fox 

from:https://droidsans.com/face-unlock-works-with-eyes-closed/