คลังเก็บป้ายกำกับ: IPAD_9TH_GEN

สรุปราคา iPad รุ่นเก่า iPad Gen 9, iPad mini 6, iPad Air 5 หลังปรับราคาใหม่ แพงขึ้นสูงสุด 5,000 บาท

ควันหลงหลังจาก iPad รุ่นที่ 10 และ iPad Pro ชิป M2 เปิดตัวพร้อมกันเมื่อคืนนี้ Apple ประเทศไทย ได้ปรับราคาสินค้ากลุ่ม iPad รุ่นเก่าทั้งหมดที่วางจำหน่ายอยู่บน Apple Store แบบเงียบ ๆ โดยมีผลทันทีตั้งแต่วันนี้ แพงขึ้นสูงสุด 5,000 บาท — แม้ Apple ไม่ได้ชี้แจงเหตุผล แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าสาเหตุมาจากภาวะเงินเฟ้อและปัญหาเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์

สำหรับ iPad ทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคา มีตามรายชื่อดังนี้

iPad รุ่นที่ 9

  • รุ่น Wi-Fi
    • ความจุ 64GB : ราคาเดิม 11,400 บาท — ราคาใหม่ 12,900 บาท
    • ความจุ  256GB : ราคาเดิม 16,900 บาท — ราคาใหม่ 18,900 บาท
  • รุ่น Wi-Fi + Cellular
    • ความจุ 64GB : ราคาเดิม 16,900 บาท — ราคาใหม่ 18,400 บาท
    • ความจุ  256GB : ราคาเดิม 21,900 บาท — ราคาใหม่ 24,400 บาท

iPad mini รุ่นที่ 6

  • รุ่น Wi-Fi
    • ความจุ 64GB : ราคาเดิม 17,900 บาท — ราคาใหม่ 19,900 บาท
    • ความจุ  256GB : ราคาเดิม 23,400 บาท — ราคาใหม่ 25,900 บาท
  • รุ่น Wi-Fi + Cellular
    • ความจุ 64GB : ราคาเดิม 23,400 บาท — ราคาใหม่ 25,900 บาท
    • ความจุ  256GB : ราคาเดิม 28,900 บาท — ราคาใหม่ 31,900 บาท

iPad Air รุ่นที่ 5

  • รุ่น Wi-Fi
    • ความจุ 64GB : ราคาเดิม 20,900 บาท — ราคาใหม่ 23,900 บาท
    • ความจุ 256GB : ราคาเดิม 25,900 บาท — ราคาใหม่ 29,900 บาท
  • รุ่น Wi-Fi + Cellular
    • ความจุ 64GB : ราคาเดิม 25,900 บาท — ราคาใหม่ 29,900 บาท
    • ความจุ 256GB : ราคาเดิม 30,900 บาท — ราคาใหม่ 35,900 บาท

ในขณะเดียวกัน Apple ยังได้ปรับราคา Apple Pencil ขึ้นอีก รุ่นละ 500 บาทเท่ากัน ดังนี้

Apple Pencil

  • รุ่นที่ 1 : ราคาเดิม 3,400 บาท — ราคาใหม่ 3,900 บาท
  • รุ่นที่ 2 : ราคาเดิม  4,490 บาท — ราคาใหม่  4,990 บาท

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติม : Apple

from:https://droidsans.com/apple-old-ipad-price-hike-2022/

เปรียบเทียบ iPad Air 5, iPad Air 4 และ iPad 9th Gen สเปคเหมือนหรือต่างกันตรงไหน เลือกซื้อรุ่นไหนดี

แม้ว่าหน้าตาการออกแบบของ iPad Air 5 จะเหมือนกับ iPad Air 4 ทุกประการ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่หากมองดูที่สเปคฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ด้านในต้องบอกว่ามีการอัปเกรดขึ้นมาเยอะพอสมควร ทั้งชิปเซ็ตหน่วยประมวลผลที่เปลี่ยนมาใช้เป็น Apple M1 เหมือน iPad Pro กล้องหน้ารองรับฟีเจอร์ Center Stage เหมือนกับ iPad ซีรีส์อื่นๆ รวมไปถึงการใช้งาน 5G ว่าแต่คำถามที่หลายคนอาจจะสงสัยก็คือ ใช้ iPad Air 4 หรือ iPad 9th Gen อยู่แล้ว ควรอัปเกรดมาเป็น iPad Air 5 ไหม หรือถ้ากำเงินอยู่หนึ่งก้อน จะเลือกซื้อรุ่นไหนดี

เปรียบเทียบสเปค iPad Air 5, iPad Air 4 และ iPad 9th Gen

iPad Air 5 iPad Air 4 iPad 9th Gen
หน้าจอ Liquid Retina IPS LCD 10.9″  Retina IPS LCD 10.2″
ความละเอียด 1640 x 2360 พิกเซล 1620 x 2160 พิกเซล
ชิปเซ็ต Apple M1 A14 Bionic A13 Bionic
หน่วยความจำ 64GB / 256GB
กล้องหลัง 12MP f/1.8 dual pixel PDAF 8MP f/2.4 AF
การถ่ายวิดีโอ 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที 1080 ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
กล้องหน้า 12MP f/2.4 รองรับ Center Stage 7MP f/2.0 12MP f/2.4 รองรับ Center Stage
ลำโพง สเตอริโอ
5G รองรับ ไม่รองรับ
WiFi 6 5
Bluetooth 5.0 4.2
แบตเตอรี่ 28.6Wh 32.4Wh
พอร์ตชาร์จ USB-C USB-C Lightning
Apple Pencil รองรับ (รุ่นที่ 2) รองรับ (รุ่นที่ 1)
Smart Keyboard
รองรับ

 

ถ้ามี iPad Air 4 อยู่แล้ว ควรอัปเกรดเป็น iPad Air 5 ไหม

iPad Air 4 และ iPad Air 5 ถือว่ามีสเปคที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเยอะมาก โดยถ้าเอามาเทียบกันตัวต่อตัว จะเห็นว่า iPad Air 5 มีเหนือกว่า iPad Air 4 เพียงแค่เรื่องของชิปเซ็ตหน่วยประมวลผล กล้องหน้าที่เพิ่มฟีเจอร์ Center Stage เข้ามา รวมถึงการใช้งาน 5G เท่านั้น ที่เหลือทั้งสเปคและดีไซน์ต่างเหมือนเดิมทั้งหมด ทำให้ทีมงาน DroidSans มีความเห็นว่า หากใครที่ใช้ iPad Air 4 อยู่แล้ว ยังไม่ควรอัปเกรดเปลี่ยนไปเป็น iPad Air 5 เพราะสเปคไม่ได้มีการอัปเกรดอะไรมากขึ้นขนาดนั้น 

ใช้ iPad 9th Gen อยู่ ควรเปลี่ยนเป็น iPad Air 5 ไหม

สำหรับใครที่ใช้ iPad 9th Gen แล้วเกิดคำถามว่าตัวเองควรอัปเกรดมาใช้ iPad Air 5 ไหม อันนี้ก็ต้องดูลักษณะการใช้งานของตัวเองว่าใช้งานประเภทไหนเป็นหลัก แม้ว่าสเปคของ iPad 9th Gen จะด้อยกว่า iPad Air 5 อย่างชัดเจน (มีดีกว่าเรื่อง Center Stage และแบตเตอรี่) แต่หากเอามาใช้งานด้านเรียนออนไลน์เป็นหลัก ก็ต้องบอกว่าไอแพดรุ่นที่ 9 เหลือๆ ใช้งานได้สบายๆ เลยล่ะครับ

หรือจะใช้งานสร้างคอนเทนต์เป็น Content Creator ก็ยังเอาไปใช้งานได้แบบสบาย เพราะรองรับ Apple Pencil, Smart Keyboard แถมประสิทธิภาพของขุมพลัง A13 Bionic แม้ว่าจะไม่แรงเท่า M1 หรือ A15 Bionic แต่มันก็สามารถเอาไปใช้งานครีเอตคอนเทนต์ได้แบบหายห่วง

ถ้าไม่มีไอแพด ควรเลือกซื้อ iPad รุ่นไหนดี ระหว่าง iPad Air 5, iPad Air 4 และ iPad 9th Gen

ใครที่งบเยอะ อยากซื้อทีเดียวแล้วเผื่ออนาคตไปนานๆ ทางทีมงานก็คงแนะนำเป็น iPad Air 5 นี่แหละครับ แต่ราคาค่าตัวก็ถือว่าเอาเรื่องอยู่ เริ่มต้นที่ 20,900 บาทเลยทีเดียว อันนี้อาจจะเกินงบไปนิดนึงสำหรับคนที่มีงบจำกัด ซึ่งหากใครที่ไม่สามารถเพิ่มงบได้จริงๆ ตรงนี้ iPad 9th Gen ก็ถือว่ายังน่าเล่นใช้งานพึ่งพาได้อยู่ครับ อย่างที่บอกไปในหัวข้อที่แล้ว แม้ว่าสเปคจะไม่ได้ดีเด่นอะไร เมื่อเทียบกับ iPad Air 5 หรือ iPad Air 4 แต่มันก็ดีพอที่จะเอามาใช้งานทั่วไป เรียนออนไลน์ เล่นเกม หรือครีเอตคอนเทนต์ต่างๆ ในปัจจุบัน

 

from:https://droidsans.com/ipad-air-5-4-ipad-9-specs-compare/

รวมโปรจอง iPad mini 6 และ iPad 9th Gen จาก AIS, True และ dtac ราคาเริ่มต้น 6,400 บาท ผ่อน 0% นานสุด 10 เดือน

Apple ได้เปิดให้สั่งจอง iPad mini 6 และ iPad 9th Gen ในประเทศไทยแล้ววันนี้ ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ คนไหนอยากได้ค่าเครื่องราคาพิเศษ การพรีออร์เดอร์กับผู้ให้บริการเครือข่ายฯ อย่าง AIS, True และ dtac ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งจะมีทั้งโปรโมชันสำหรับเครื่องเปล่าและเครื่องติดสัญญา เริ่มต้นเพียง 6,400 บาท แถมผ่อนจ่าย 0% ได้นานสุด 10 เดือนอีกต่างหาก

โปรโมชัน iPad mini 6 และ iPad 9th Gen จาก AIS

รุ่น ความจุ ประเภท ราคาพิเศษ แพ็กเกจขั้นต่ำ
iPad mini 6
64GB
(ราคาปกติ 17,990 บาท)
รายเดือน*
14,400 699
12,900 1,099
รายเดือน / เติมเงิน
(ไม่ติดสัญญา**)
17,100
256GB
(ราคาปกติ 23,400 บาท)
รายเดือน*
19,900 699
18,400 1,099
รายเดือน / เติมเงิน
(ไม่ติดสัญญา**)
22,400
iPad 9th Gen
64GB
(ราคาปกติ 11,400 บาท)
รายเดือน*
7,900 699
6,400 1,099
รายเดือน / เติมเงิน
(ไม่ติดสัญญา**)
10,600
256GB
(ราคาปกติ 16,900 บาท)
รายเดือน*
13,400 699
11,900 1,099
รายเดือน / เติมเงิน
(ไม่ติดสัญญา**)
16,100

 

* สำหรับลูกค้ารายเดือนที่มีอายุการใช้งาน 12 เดือนขึ้นไป
** สำหรับลูกค้ารายเดือนที่มีอายุการใช้งาน 3 เดือนขึ้นไป และยอดใช้งานขั้นต่ำเดือนละ 50 บาท

เงื่อนไขการซื้อเครื่อง AIS Best Buy

  • ไม่ต้องจ่ายค่าบริการล่วงหน้า
  • สำหรับลูกค้าที่ใช้งานแพ็กเกจขั้นต่ำตามที่กำหนดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโปรโมชัน
  • ติดสัญญาการใช้งาน 12 เดือน
  • ผ่อนชำระ 0% นานสุด 10 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
  • ระยะเวลาโปรโมชันตั้งแต่ 27 – 30 กันยายน 2564

สำหรับ AIS รอบนี้ค่อนข้างมาแปลกเลยทีเดียว เพราะมีการนำ iPad mini 6 และ iPad 9th รุ่น Wi-Fi มาขายด้วย ส่วนรุ่นเซลลูลาร์น่าจะตามมาทีหลังในเร็ว ๆ นี้ เพราะทาง Apple เองก็ยังไม่เปิดให้สั่งซื้อเหมือนกันครับ น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังมีแค่โปรโมชันสำหรับลูกค้าเก่า ไม่มีโปรโมชันสำหรับลูกค้าทั่วไป

 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม : AIS

โปรโมชัน iPad mini 6 และ iPad 9th Gen จาก True และ dtac (รออัปเดต)

 

from:https://droidsans.com/ipad-mini-6-ipad-9th-gen-ais-true-dtac/

สั่งซื้อได้แล้ว.. iPad 9th Gen และ iPad mini 6th Gen เปิดขายในไทยอย่างเป็นทางการ เริ่มต้น 11,400 บาท

ใครที่เฝ้ารอ iPad รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปกัน ว่าเมื่อไหร่จะเปิดขายในไทยซะที แล้วอยู่ดี ๆ Apple Store ก็เปิดให้สั่งซื้อกันได้แล้วในวันนี้ (จันทร์ 27 กันยายน) ทั้ง iPad 9th Gen ที่ได้รับการอัปเดทสเปค CPU ใหม่ พร้อมกับ iPad mini 6th Gen ที่หลายๆ คนบอกว่ามันคือพระเอกของงานเปิดตัว แย่งซีน iPhone 13 ซะด้วยซ้ำ

iPad รุ่นที่ 9 หรือ iPad 9th Gen

  • หน้าจอ Retina Display ขนาด 10.2 นิ้ว ความละเอียด 2160 x 1620
  • CPU : A13 Bionic
  • ความจุ : 64GB / 256GB
  • กล้องหลัง : 8MP (f/2.4)
  • กล้องหน้า : 12MP (f/2.4)
  • การเชื่อมต่อ : Wi-Fi (802.11a/b/g/n/ac); dual band (2.4GHz and 5GHz); HT80 with MIMO, BT 4.2
  • เซนเซอร์ : Touch ID, Three‐axis gyro, Accelerometer, Barometer, Ambient light sensor
  • ลำโพงสเตอรีโอ
  • แบตเตอรี่ : เล่นเน็ตสูงสุด 10 ชม. (WiFi), สูงสุด 9 ชม. (WiFi + Cellular)
  • ระบบ iPadOS 15
  • ขนาด / น้ำหนัก : 250.6 x 174.1 x 7.5 มม. / 487 กรัม (WiFi) 498 กรัม (WiFi + Cellular)

โดยรอบนี้ iPad รุ่นที่ 9 ถือว่ามีสเปคที่น่าสนใจไม่น้อย ทั้งชิปเซ็ต A13 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้บน iPhone 11 Series และความจุเริ่มต้นที่เพิ่มขึ้นมาจาก 32GB เป็น 64GB สามารถจัดเก็บบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ได้มากกว่าเดิม

iPad mini 6th Gen

  • หน้าจอ Liquid Retina ขนาด 8.3 นิ้ว ความละเอียด 2266 x 1488 พิกเซล
  • ชิปเซ็ต A15 Bionic
  • ROM 64GB / 256GB
  • กล้องหลัง 12MP f/1.8 Digital Zoom 5x
  • กล้องหน้า 12MP มุมกว้าง 122 องศา f/2.4
  •  Touch ID รวมกับปุ่ม Power
  • ลำโพงสเตอริโอ (แนวนอน)
  • WiFi 6 + Bluetooth 5.0
  • รองรับ 5G
  • พอร์ตชาร์จ USB-C
  • ระบบปฏิบัติการ iPadOS 15

นอกจาก iPad รุ่นที่ 9 แล้ว ทาง Apple ประเทศไทย ยังขนเอา iPad mini 6 เข้ามาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกด้วย โดยรอบนี้ดีไซน์ถูกยกเครื่องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด หน้าตาคล้ายคลึงกับซีรีส์ Air และ Pro ย้ายเซ็นเซอร์ Touch ID ไปรวมกับปุ่ม Power ลำโพงสเตอริโอแบบแนวนอน แถมยังรองรับการใช้งาน 5G อีกด้วย

ราคาและวันวางจำหน่าย

iPad ทั้งสองรุ่น ไม่ว่าจะเป็น iPad รุ่นที่ 9 หรือ iPad mini 6 ได้วางขายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ผ่าน Apple Store ในไทยทั้งสาขา ICON SIAM และ Central wOrld รวมไปถึงตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Apple อีกด้วย ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดย iPad 9th Gen จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 11,400 บาท ส่วน iPad mini 6th Gen จะเคาะที่ 17,900 บาท

  • iPad 9th Gen 
    • WiFi 64GB ราคา 11,400 บาท
    • WiFi 256GB ราคา 16,400 บาท
  • iPad mini 6th Gen
    • WiFi 64GB ราคา 17,900 บาท
    • WiFi 256GB ราคา 23,400 บาท

ตอนนี้ยังเปิดขายเฉพาะรุ่น WiFi เท่านั้นนะครับ เวอรฺชั่น Cullular หรือ 5G ยังไม่มา

และสำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกซื้อ iPad รุ่นไหนดี การใช้งานของเราเหมาะกับตัวไหน ทาง DroidSans ก็มีเขียนบทความสรุปสเปคและเปรียบเทียบให้อ่านกันแบบง่าย ๆ ด้านล่างครับผม

 

from:https://droidsans.com/apple-ipad-9-ipad-mini-6-thailand-official/

เปรียบเทียบ Xiaomi Pad 5 กับ iPad รุ่นที่ 9 สเปคเหมือน – ต่างกันแค่ไหน ซื้อรุ่นไหนดี

หลังจาก Xiaomi Pad 5 เปิดราคามา ต้องบอกว่าตลาดแท็บเล็ตในไทยมีการแข่งขันกันแบบสนุกมาก ๆ เพราะตอนนี้ดูเหมือน iPad รุ่นที่ 9 ของ Apple จะกวาดเรียบ เนื่องจากราคาค่าตัวถือว่าค่อนข้างคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปอยู่ วันนี้ทาง DroidSans เลยขอมาเปรียบเทียบความแตกต่างสเปคของทั้งสองรุ่นกันให้เพื่อน ๆ อ่านกันแบบง่าย ๆ กันครับ

ตารางเปรียบเทียบสเปค Xiaomi Pad 5 กับ iPad รุ่นที่ 9 หรือ iPad 9th Gen

Xiaomi Pad 5 iPad รุ่นที่ 9
หน้าจอ IPS LCD 11″ 1600 x 2560 Retina IPS LCD 10.2″ 1620 x 2160
รีเฟรชเรท 120Hz 60Hz
ชิปเซ็ต Snapdragon 860 A13 Bionic
RAM 6GB
ROM 128GB / 256GB 64GB / 256GB
กล้องหลัง 13MP f/2.0 4K@30fps 8MP f2.4 Full HD@3fps
กล้องหน้า 8MP f/2.0 Full HD@30fps 12MP f/2.4 Full HD@60fps
การเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot / Bluetooth 5.0 Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, hotspot / Bluetooth 4.2
ซิม ไม่รองรับ Nano-SIM – eSIM
ระบบเสียง 4 ตัว แบบสเตอริโอ 2 ตัว แบบสเตอริโอ
ปากกา รองรับ (ติดกับตัวเครื่องได้) ต้องซื้อแยก รองรับ (ไม่มีที่เก็บ) ต้องซื้อแยก
แบตเตอรี่ 8720 mAh ดูวิดีโอสูงสุด 10 ชม.
พอร์ตชาร์จ USB-C Lightning
ระบบชาร์จไว 33W 20W
ระบบปฏิบัติการ MIUI 12.5 บนพื้นฐาน Android 11 iPadOS 15
น้ำหนัก 511 กรัม 487 – 498 กรัม
ราคาเริ่มต้น 10,990 บาท 11,400 บาท

 

หน้าจอแสดงผล

แม้ว่าทั้ง Xiaomi Pad 5 และ iPad รุ่นที่ 9 จะใช้พาแนลชนิด IPS LCD เหมือนกัน แต่หากมองลึกไปที่สเปคแท็บเล็ตจาก Xiaomi จะดูมีภาษีที่ดีกว่าเอามาก ๆ เพราะหน้าจอใหญ่กว่า ความละเอียดชัดกว่า รวมถึงค่ารีเฟรชเรทที่ Xiaomi Pad 5 ใส่มาให้ถึง 120Hz ขณะที่ในส่วน iPad รุ่นที่ 9 นั้นยังใส่มาให้แค่ 60Hz เท่านั้น

ถามว่าแตกต่างกันแค่ไหนระหว่าง 60Hz กับ 120Hz ก็ต้องบอกว่าต่างกันแบบสองเท่าตามทฤษฎีจริง ๆ ประสบการณ์การใช้งานบน Xiaomi Pad 5 ยังไงก็ต้องดีกว่า iPad รุ่นที่ 9 อยู่แล้ว บวกกับส่วนตัวเคยลองจับแท็บเล็ตของ Xiaomi มาแล้ว ตรงนี้ยอมรับว่า iPad รุ่นที่ 9 ยังสู้ไม่ได้ จะบอกว่าแพ้ขาดเลยก็ยังได้

ประสิทธิภาพการใช้งาน

ถ้ามองในแง่ของการใช้งาน จุดนี้ยังหาแท็บเล็ตมาสู้กับซีรีส์ iPad ของ Apple ยากมาก ๆ ความ Continuity การสลับแอป ฯลฯ ตรงนี้ iPad รุ่นที่ 9 สมูทลื่นไหลกว่ามาก ๆ แม้ว่ารีเฟรชเรทหน้าจอจะน้อยกว่าถึงสองเท่า

หากใครชอบเล่นเกม ตรงนี้ก็ต้องจิ้มนิ้วไปที่ iPad รุ่นที่ 9 แบบไม่ต้องสืบสาหาเรื่องอะไรเลย เพราะชิปเซ็ต A13 Bionic ของ Apple แรงมาก ๆ จนถึงขนาดที่เอาไปปรับเล่นเกมโหดแล้วยังไม่กระตุก เนื่องจากเป็นชิปเดียวกันกับ iPhone 11 Series ขณะที่ Snapdragon 860 อาจจะไม่สามารถปรับได้ขนาดนั้น คือ Xiaomi Pad 5 เอาไปเล่นเกมพวกนี้ได้แหละ แต่ยังไงศักยภาพก็ไม่สู้ iPad รุ่นที่ 9

แต่ในแง่ของ Entertainment ตรงนี้ Xiaomi Pad 5 ดีกว่ามาก ๆ เพราะหน้าจอใหญ่กว่า ความละเอียดเยอะกว่า แถมลำโพงที่ใส่มาให้ยังมีจำนวนมากกว่าอีกด้วย ทำให้การรับชมคอนเทนต์บนแอปสตรียมมิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Netflix, Disney+ Hotstar หรือ Amazon Prime บน Xiaomi Pad 5 ยังไงก็ดีกว่า iPad รุ่นที่ 9

ทั้ง Xiaomi Pad 5 และ iPad รุ่นที่ 9 รองรับการใช้งานกับปากกา/ดินสอด้วยกันทั้งสิ้น ขีดเขียนอะไรบนหน้าจอได้ตามสะดวก จดโน้ต จด Memo ในที่ประชุม ฯลฯ แต่ทางแท็บเล็ตจากจีน กลับมีแม่เหล็กสามารถติดเอาไว้ข้าง ๆ ตัวเครื่องได้เลยแบบ ส่วน iPad รุ่นที่ 9 นั้น ไม่มีที่เก็บ ต้องหาซื้อเคสเพิ่ม ซึ่งก็หมายความว่าต้องเสียเงินเพิ่มอีก (แต่ยังไงซะปากกา/ดินสอก็ต้องซื้อเพิ่มอยู่ดี)

อีกอย่างพอร์ตเชื่อมต่อที่ iPad รุ่นที่ 9 ยังให้มาเป็นแบบ Lightning อยู่ เวลาไปไหนมาไหนต้องพกสายชาร์จเพิ่มอีกเส้นนึง ซึ่งมันอีรุงตุงนังมาก ๆ ผิดกับ Xiaomi Pad 5 ที่มาเป็น USB-C แล้ว ใช้ร่วมกับสายสมาร์ทโฟน หูฟัง หรือคอมพิวเตอร์ได้เลย

กล้องถ่ายภาพ

เอาจริง ๆ เรื่องกล้องหน้าเป็นอะไรที่พูดยากมาก ๆ เพราะดูจากสเปคแล้ว เหมือนว่า iPad รุ่นที่ 9 จะขี่คอ Xiaomi Pad 5 อยู่พอสมควร แต่ถึงเวลาเอามาใช้งานจริง ๆ ก็แทบจะไม่เห็นภาพความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญอะไรขนาดนั้น สำหรับใครที่เอามาใช้เรียนหรือประชุมออนไลน์ ผมว่าเลือกรุ่นไหนเอาก็ได้ แต่ถ้าอยากได้ที่สุดจริง ๆ ฮาร์ดแวร์ (และซอฟต์แวร์) ของ iPad รุ่นที่ 9 ดีกว่าครับ

สรุปซื้อรุ่นไหนดีกว่ากัน

คือถ้าซื้อมาใช้งานทั่วไป มีประชุม – เรียนออนไลน์ หรือเล่นเกมบ้างนิดหน่อย ส่วนตัวแนะนำไปให้ไป iPad รุ่นที่ 9 นะ เพราะตัวเริ่มต้นความจุก็ 64GB แล้ว ถือว่าอยู่ในจุดที่เพียงพอต่อการใช้งานจัดเก็บอะไรต่าง ๆ แล้ว แถมระบบปฏิบัติการ iPadOS ก็พัฒนามาสำหรับใช้งานบนแท็บเล็ตโดยเฉพาะด้วย ต่างจาก Xiaomi Pad 5 ที่แม้ว่า Xiaomi จะปรับแต่ง MIUI ให้เข้ากับ Pad 5 แต่ก็ยังมีบั๊คอะไรอยู่บ้างนิดหน่อย สเปคบางส่วนดีกว่าจริง แต่จะมาตายตรงเรื่องอะไรแบบนี้นี่แหละ

อีกทั้ง iPad รุ่นที่ 9 มาพร้อมกับถาดใส่ Nano-SIM (สำหรับรุ่น Cellular) อีกด้วย ทำให้การพกพาไปไหนมาไหน สะดวกกว่า Xiaomi Pad 5 มาก ๆ ไม่ต้องคอยเปิด HotSpot ที่มือถือเครื่องหลักให้เครื่องร้อนหรือเปลืองแบตอีก จุดนี้จึงเป็นเหตุผลที่ส่วนตัวผมเชียร์ iPad รุ่นที่ 9 มากกว่า Xiaomi Pad 5 เพราะตอบโจทย์มากกว่าทุกอย่างจริง ๆ แม้สเปคบางส่วน อาทิ หน้าจอ จะไม่สามารถต่อกรได้ แถมราคาค่าตัวก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ด้วย (สำหรับบางคน) แต่ถ้างบจำกัดจริง ๆ Xiaomi Pad 5 ก็เป็นอีกหนึ่งแท็บเล็ตที่น่าใช้รุ่นนึงครับ 

from:https://droidsans.com/xiaomi-pad-5-ipad-9-compare/

เทียบสเปค iPad 9th – iPad mini 6 – iPad Air 4 – iPad Pro (2021) ควรซื้อรุ่นไหน ให้เหมาะสมกับการใช้งานที่สุด?

เมื่อวานในงาน California Streaming ทาง Apple ได้นำ iPad รุ่นที่ 9 และ iPad mini 6 (แทบบังสปอตไลท์ของพระเอกอย่าง iPhone 13 ไปหมด) มาเพิ่มใน LINEUP แท็บเล็ตซีรีส์ iPad ของตัวเอง ที่มี iPad Air 4 และ iPad Pro (2021) อยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่าการใช้งานแบบนี้เหมาะกับ iPad รุ่นไหน ซื้อรุ่น Pro จะเกินความจำเป็นไหม หรือรุ่นเริ่มต้นอาจจะไม่ตอบโจทย์การใช้งานอะไรบางอย่างหรือเปล่า วันนี้ทาง DroidSans ได้ทำบทความสรุปย่อยมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านประกอบการตัดสินใจแล้วครับ

ตารางเปรียบเทียบสเปค iPad รุ่นที่ 9 – iPad mini 6 – iPad Air 4 – iPad Pro (2021) รุ่นจอ 12.9 นิ้ว

iPad รุ่นที่ 9 iPad mini 6 iPad Air 4 iPad Pro (2021)
หน้าจอ Retina 10.2″ Liquid Retina 8.3″ Liquid Retina 10.9″ Liquid Retina XDR 12.9″
ความละเอียด 1620 x 2160 1488 x 2266 1640 x 2390 2048 x 2732
รีเฟรชเรท 60Hz 120Hz
ชิปเซ็ต A13 Bionic A15 Bionic A14 Bionic M1
ROM 64GB – 256GB 128GB – 256GB – 512GB – 1TB – 2TB
กล้องหน้า 8MP f/2.4 AF 7MP f/2.0 12MP f/2.4 HDR panorama
กล้องหลัง 8MP f/2.4, AF, HDR, panorama 12MP f/1.8, AF, Quad-LED, HDR, panorama 12MP f/1.8 AF HDR 12MP f/1.8 AF + Ultra-Wide 10MP มุมกว้าง 125 องศา + ToF LiDAR
ถ่ายวิดีโอ Full HD@30fps 4K@60fps 4K@60fps 4K@60fps
Apple Pencil  รุ่นที่ 1 รุ่นที่ 2
Keyboard Smart Keyboard  Keyboard Bluetooth Magic Keyboard + Smart Keyboard Folio
การเชื่อมต่อ WiFi 802.11 a/b/g/n/ac + Bluetooth 4.2 WiFi 802.11. a/b/g/n/ac/6 + Bluetooth 5.0
รูหูฟัง ไม่มี มี ไม่มี ไม่มี
5G ไม่รองรับ รองรับ ไม่รองรับ รองรับ
สแกนลายนิ้วมือ บนปุ่ม Power ไม่มี
Face ID ไม่รองรับ รองรับ
พอร์ต Lightning + Smart Connector USB-C (ตัว Pro รองรับ Thunderbolt)
ลำโพง สเตอริโอ สเตอริโอ (แนวนอน) 4 ลำโพง
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น
ไม่รองรับ
แบตเตอรี่ ดูวิดีโอ 10 ชม.
น้ำหนัก 487 – 498 กรัม 293 + 297 กรัม 458 – 460 กรัม 682 + 685 กรัม
ราคาเริ่มต้น 11,400 บาท 17,900 บาท 19,900 บาท 37,900 บาท

iPad รุ่นที่ 9 – รุ่นเริ่มต้น สเปคเพียงพอต่อการประชุม – ทำงาน – เรียนออนไลน์

แม้ว่าจะมีศักดินาเป็นเพียงน้องเล็กสุดในซีรีส์ iPad ของ Apple แต่ประสิทธิภาพของ iPad 9th Gen หรือรุ่นที่ 9 ก็ไม่ได้เป็นสองรองใครเลย เมื่อเทียบกับแท็บเล็ตรุ่นอื่น ๆ ในตลาดที่มีราคาอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน โดยด้วยความที่มีราคาเริ่มต้น 11,400 บาท ซึ่งราคาอาจจะสูงเกินไปหน่อยสำหรับคนอยากซื้อมา Work from Home หรือ Study Online แต่ถ้ามองในแง่สเปค ต้องบอกว่า iPad รุ่นที่ 9 จัดว่าเป็นรุ่นท็อป ๆ ตัวนึงในตลาดเลยล่ะ ทั้งขิปเซ็ต A13 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้บน iPhone 13 Series ทั้งสี่รุ่น เอามาเล่นเกม ใช้งานทั่วไป ดูหนังหรือคลิปออนไลน์บน Netflix หรือ YouTube ได้แบบสบาย ๆ

น่าเสียดายที่พอร์ตชาร์จยังคงให้มาเป็นแบบ Lightning อยู่ ซึ่ง Apple เคลมว่าพอร์ตดังกล่าวมีความแข็งแรงทนทานกว่าพอร์ต USB-C ที่ใช้กันเป็นส่วนมากในปัจจุบัน (รวมถึง iPad mini, Air และ Pro) แต่หากมองในแง่ใช้งานและพกพาไปข้างนอก ต้องยอมรับตามตรงว่าอาจจะลำบากนิด ๆ ต้องพกสาย Lightning ไปด้วย เว้นเสียแต่จะใช้ iPhone พกสาย Lightning เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

iPad mini 6 – จอเล็กสเปคไฮเอนด์ แต่อาจไม่เหมาะกับการทำงานที่ต้องพิมพ์เยอะ ๆ

ถัดมาที่รุ่น mini กันบ้าง เดินทางมาถึง Generation ที่ 6 แล้ว อัปเกรดครั้งใหญ่ ทั้งดีไซน์และฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์ด้านใน หน้าตาทันสมัยเหมือนกับ iPad Air 4 และ iPad Pro (2021) แล้ว แถมยังใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุดของ Apple อย่าง A15 Bionic ที่ทางบริษัทฯ เคลมว่า แรงกว่าชิปในตลาดสูงสุดถึง 50% ด้วยกัน เหมาะกับคนที่อยากได้แท็บเล็ตแรง ๆ เครื่องเล็ก ๆ มาใช้งานด้าน Entertainment ทั่วไป

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า iPad mini 6 จะใช้ทำงานหรือเรียนออนไลน์ไม่ดีเหมือนกับรุ่นอื่น ๆ นะครับ เพียงติดข้อจำกัดเรื่องจอ และการที่ไม่รองรับเคสคีย์บอร์ดของ Apple นี่แหละ ต้องพิมพ์บนหน้าจอที่ประสบการณ์ใช้งานเทียบไม่ได้กับคีย์บอร์ดมืออาชีพเลย แต่ยังโชคดีที่สามารถไปหาซื้อ Keyboard Bluetooth จาก Third Party ได้ ..อย่างไรก็ตาม มาตรฐานและประสบการณ์ใช้งานก็อาจจะไม่ได้ดีเด่นเท่ากับตัว Official ของ Apple

iPad Air 4 – สเปคน้อง ๆ รุ่น Pro เหมาะกับ Content Creator สายเริ่มต้น

จะบอกว่า iPad Air 4 ถือเป็นเรือธงของซีรีส์แท็บเล็ตของ Apple ก็ดูจะว่าแบบนั้นได้ เพราะสเปคลดหลั่นไปจากรุ่น Pro เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และส่วนตัวผู้เขียนก็ใช้ iPad Air อยู่เหมือนกัน (แต่เป็นรุ่นที่สาม) เอามาใช้ประชุมออนไลน์ เล่นเกม ดูหนังซีรีส์ หรือแม้กระทั่งแก้งานเขียนบทความ ไม่ต้องเปิดคอมให้ยุ่งยาก ทั้งหมดนี้ทำได้แบบง่าย ๆ ไม่กระตุกเลย น่าจะมาจากประสิทธิภาพของชิปเซ็ต A14 Bionic ตัวเดียวกับบน iPhone 12 Series นี่แหละ

นอกจากนี้ iPad Air 4 ยังรองรับ Magic Keyboard ที่มี Track Pad ในตัวด้วย เรียกว่าเสียบเข้าไปปุ๊บ แทบจะแปรงร่างเป็น MacBook เลย สามารถใช้ตัดวิดีโอ ทำ vlog อะไรพวกนี้ได้นิดหน่อย แถมยังใช้งานคู่กับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ได้แล้ว ไม่ต้องเก็บดินสอแยกเหมือน iPad Air 3 เพราะสามารถแปะดินสอเข้ากับด้านข้างตัวเครื่องได้เลย

iPad Pro (2021) – จบ ครบ สุด ในเครื่องเดียว สเปคขี่คอ MacBook Pro

มาปิดท้ายกันที่ iPad Pro (2021) ที่รอบนี้เปลี่ยนมาใช้หน้าจอ Liquid Retina XDR ที่พัฒนาบนพื้นฐานเทคโนโลยีใหม่ Mini-LED อีกที ประสิทธิภาพดีกว่าจอ LCD ของ iPad, iPad mini และ iPad Air อยู่พอสมควร ชิปเซ็ตใช้เป็นตัว M1 แบบเดียวกับ MacBooks เหมาะกับมือโปรที่ต้องทำงานกราฟิกหรือตัดต่อเป็นอาชีพหลัก พาพกไปไหนมาไหนสะดวก สามารถใช้แทน MacBook ได้แบบกลาย ๆ แบบไม่เคอะเขินเลยทีเดียวล่ะ

สรุปรุ่นไหนเหมาะกับใครมากที่สุด?

ถ้าถามว่ารุ่นไหนคุ้มสุด ยังไงคำตอบก็ต้องเป็น iPad Pro (2021) รุ่นจอ 12.9 นิ้ว (เพราะตัว 11 นิ้วไม่ได้หน้าจอ Mini-LED) อยู่แล้ว เพราะอัดสเปคมาให้แบบไม่กั๊ก ทั้งจอ OLED แบบ ProMotion อัตรารีเฟรช 120Hz ชิปตัวแรง M1 กล้องถ่ายภาพคุณภาพไม่แพ้มือถือเรือธง มีเซ็นเซอร์ LiDAR ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ก็แลกมาด้วยราคาค่าตัวที่ค่อนข้างแพงหูฉี่เลยทีเดียว เอาเป็นว่าหากใครที่มีงบไม่จำกัด ก็จัดตัว iPad Pro (2021) เพราะครอบคลุมการใช้งานทั้งหมด ทำงาน – เรียนออนไลน์ ตัดต่อวิดีโอ เผลอ ๆ ซื้อคู่กับ Magic Keyboard ก็สามารถกลายร่างเป็น MacBook ดี ๆ เครื่องนึงได้เลย

แต่ถ้าที่งบไม่สูงมากนัก แต่อยากได้แท็บเล็ตจอใหญ่ ๆ มาประชุมหรือเรียนออนไลน์ ตรงนี้ทาง iPad รุ่นที่ 9 และ iPad Air 4 ดูน่าจะเหมาะสมที่สุด สามารถเลือกจิ้มได้เลยว่าอยากได้ตัวไหน ถ้าไม่แคร์เรื่องประสิทธิภาพอะไรขนาดนั้น ส่วนตัวผู้เขียนแนะนำ iPad รุ่นที่ 9 เพราะถูกกว่าค่อนข้างมาก แต่ถ้าอยากเล่นเกม หรือตัดต่อคลิปอะไรนิดหน่อย ยังไง iPad Air 4 ก็ดีกว่าครับ เหลือดีกว่าขาด ถ้าราคาค่าตัวมันไม่ทำร้ายสุขภาพกระเป๋าตังค์เราเกินไป

ส่วน iPad mini 6 อันนี้จะมีโพสิชั่นชัดเจน เกิดมาเพื่อคนที่ต้องการแท็บเล็ตที่จอไม่ใหญ่มาก แทบสเปคก็เรือธงแบบสุด ๆ เป็นรองเพียงแค่ iPad Pro (2021) เท่านั้น แต่ถ้าจะซื้อมาทำงาน อันนี้อาจจะต้องชะงักนิดนึง เพราะจอไม่ใหญ่มาก แถมไม่รองรับ Smart Keyboard อีกต่างหาก ต้องซื้อคีย์บอร์ด Bluetooth แยก ซึ่งก็ยากต่อการพกพาอีก

 

from:https://droidsans.com/specs-compare-apple-ipad-lineup-2021/

เปิดตัว iPad 9th Gen มากับชิป A13 Bionic, หน้าจอ Retina แบบ true Tone และกล้องที่อัปเกรดขึ้นผิดหูผิดตา

เรียกว่ามาแบบเซอร์ไพรส์ไม่ตั้งตัวเหมือนกันสำหรับ iPad รุ่นใหม่ เพราะแทบไม่มีข่าวคราวอะไรเลยว่าจะมาเปิดตัวใน Apple Event นี้ด้วย แต่สุดท้ายแล้ว iPad 9th Gen ก็มาเผยโฉมเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าคราวนี้มันต้องได้รับการอัปเกรดสเปคหลาย ๆ อย่างขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นชิป A13 Bionic อันทรงพลัง, กล้องหลัง-กล้องหน้าที่ประสิทธิภาพดีขึ้น แถมหน้าจอก็ยังดีขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก

iPad 9th Gen อัปเกรดชิปขึ้นจากรุ่นเดิมที่ใช้ A12 มาเป็น A13 Bionic ที่มี CPU และ GPU ทรงพลังขึ้นกว่าเดิมถึง 20% ทำให้มันสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้แบบไม่มีติดขัด ไม่ว่าจะใช้ในการตกแต่งภาพความละเอียดสูง, ตัดต่อวิดีโอเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือจะเล่นเกมกราฟิก 3D เนียน ๆ ก็ลื่นปรื๊ด

หน้าจอของ iPad 9th Gen ใช้หน้าจอ Retina Display ขนาด 10.2 นิ้ว แบบ True Tone ให้สีสันที่แม่นยำเหมาะสุด ๆ สำหรับการแต่งภาพ นอกจากนี้ยังรองรับ Apple Pencil รุ่นใหม่อีกด้วย

สำหรับกล้องหน้าของ iPad 9th Gen เรียกว่าอัปเกรดขึ้นจากเดิมแบบจมหูด้วยความละเอียดที่สูงถึง 12MP จากเดิมแค่ 1.2MP เท่านั้น และยังมากับฟีเจอร์ Center Stage เหมือนกับ iPad Pro 2021 ที่จะใช้เลนส์แบบ Ultrawide ในการจับโฟกัสและซูมไปที่บุคคลหน้ากล้องแบบอัตโนมัติ แม้ว่ากำลังเคลื่อนที่ไปมาอยู่ก็ตาม ส่วนกล้องหลังมีความละเอียดเท่าเดิมที่ 8MP แต่ได้รับการพัฒนาให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยดีกว่าเดิมด้วย

iPad 9th Gen เพิ่มความจุในตัวเครื่องมากกว่าเดิมโดยเริ่มต้นที่ 64GB ในราคาเพียง 329 ดอลลาร์ หรือประมาณ 10,850 บาท และราคาสำหรับการศึกษาที่ 299 ดอลลาร์ หรือประมาณ 9,850 บาท เท่านั้น (ไม่รวมภาษี) เริ่ม Pre-order ในอเมริกาได้ตั้งแต่วันนี้และจะเริ่มวางขายจริงตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป

from:https://droidsans.com/apple-announces-ipad-9th-gen/

iPad 9th Gen อาจมาปีหน้า อัปเกรดใช้ชิป A13 Bionic และ RAM 4GB คาดเริ่มต้น 8,990 บาท

เพิ่งจะเปิดตัว iPad 8th Gen ไปได้ไม่ถึงครึ่งปี ล่าสุดตอนนี้มีข้อมูลรายงานออกมาว่า Apple อาจนำ iPad 9th Gen มาเปิดตัวในปีหน้า อัปเกรดสเปคในด้านของชิปเซ็ต และมีราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่ารุ่นปัจจุบันเสียอีก

ผู้ใช้งาน @cozyplanes ได้ออกมาเปิดเผยว่า iPad รุ่นปี 2021 หรือ iPad 9th Gen จะมาพร้อมกับหน้าจอ Retina Display ขนาด 10.5 นิ้ว ยังคงมีปุ่ม Home ที่ทำหน้าที่เป็น Touch ID ได้ ซึ่งนั่นแปลว่าขอบจอยังจะคงหนาแบบเดิม อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวบอกว่า iPad 9th Gen จะมีขนาดที่บางและน้ำหนักเบากว่าเดิมเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

ในส่วนชิปเซ็ตก็จะได้รับการอัปเกรดจาก A12 Bionic บน iPad 8th Gen จะมาเป็น A13 Bionic แบบเดียวกับ iPhone 11 Series และ RAM ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 4GB แต่น่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลบอกมาว่า iPad 9th Gen จะมีความจุเท่าไหร่บ้าง

โดยคาดว่า iPad 9th Gen จะมีราคาเริ่มต้นที่ $299 หรือแปลงเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 8,990 บาทเท่านั้น ถูกกว่า iPad 8th Gen ที่มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10,900 บาทเท่านั้น ถือว่ารุ่นเดิมว่าถูกแล้ว รุ่นใหม่จะถูกกว่าอีก แถมยังมีสเปคที่แรงกว่าอีกต่างหาก

iPad 9th Gen น่าจะรองรับการใช้งาน Apple Pencil รุ่นที่ 2, Apple Smart Keyboard, คอนโทรลเลอร์ของ Xbox และ PS5 นอกจากนี้ยังน่าจะมีรุ่นใส่ซิมได้อีกด้วย โดย Apple น่าจะนำ iPad 9th Gen มาเปิดตัวในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของปีหน้า

 

ส่วนใครที่กำลังเล็งๆ อยากซื้อ iPad รุ่นใหม่ แต่ไม่รู้จะเลือกรุ่นไหนดี ลองอ่านบทความเปรียบเทียบ iPad 8th Gen กับ iPad Air 4 ด้านล่างนี้ได้ครับ

from:https://droidsans.com/apple-to-launch-ipad-9th-gen-next-year/