คลังเก็บป้ายกำกับ: GALAXY_NOTE_20

Galaxy S20, Note 20, S21 เริ่มได้อัพเดต One UI 5.0 (Android 13) แล้ว

หลัง Galaxy S22 ได้อัพเดต One UI 5.0 (Android 13) ไปเมื่อเดือนตุลาคม ล่าสุดเริ่มมีผู้ใช้งาน Galaxy S20, Note 20, S21 ในหลายประเทศเริ่มได้อัพเดต One UI 5.0 แล้วเช่นกัน

ผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่ได้อัพเดต One UI 5.0 อยู่ในยุโรป เช่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยียม สหราชอาณาจักร

ฟีเจอร์ใหม่ของ One UI 5.0 คือการจัดการธีมที่ดีขึ้น รองรับสีตามภาพพื้นหลัง, ปรับแต่งล็อคสกรีนได้มากขึ้น, รองรับ stacking widget วาง widget ซ้อนกันเพื่อประหยัดที่หน้าโฮม, ตั้งค่าภาษาแยกรายแอพ, เพิ่ม security dashboard เป็นต้น

ที่มา – SamMobile, Android Central

No Description

from:https://www.blognone.com/node/131382

Samsung Galaxy Note 20 ซีรีส์ได้รับอัปเดต One UI 4.1 แล้ว

ข่าวดีสำหรับผู้ใช้งานสมาร์ตโฟน Samsung Galaxy Note 20 วันนี้ Samsung ได้ปล่อยอัปเดต One UI 4.1 ซอฟต์แวร์รุ่นล่าสุดออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว

เฟิร์มแวร์เวอร์ชันล่าสุดมีรหัส N98xFXXU3FVC5 (ตัว x เล็กจะเปลี่ยนไปตามโมเดลของ Galaxy Note ที่ใช้อยู่ เช่น Galaxy Note 20 หรือ Galaxy Note 20 Ultra เป็นต้น) ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบว่ามีอัปเดตให้หรือไม่ในหน้า Settings > Software Update ของเครื่องครับ

20220319 623537574797a

ข่าว: Samsung Galaxy Note 20 ซีรีส์ได้รับอัปเดต One UI 4.1 แล้ว มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/samsung-galaxy-note20-series-now-receiving-one-ui-4-1/

Samsung Galaxy Note 20 Series ในประเทศไทย เริ่มได้รับอัปเดต One UI 3 (Android 11) แล้ว

ข่าวดีจ้าาา…ตอนนี้ใครที่เป็นเจ้าของมือถือ Samsung Galaxy Note 20 Series ในบ้านเราก็น่าจะเริ่มได้รับการแจ้งเตือนให้อัปเดต One UI 3 (Android 11) กันแล้ว หรือหากว่าใครที่ยังไม่ได้รับก็ลองเข้าไปเช็คได้ใน Settings > Software update > Download and install เพื่อดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์มาติดตั้งกันได้เลยครับ

สำหรับ One UI 3.0 ที่ปล่อยให้กับ Galaxy Note 20 Series คราวนี้ จะมีการเพิ่มทั้งฟีเจอร์ใหม่ๆ พร้อมกับปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุง UI ใหม่ทั้งหน้า Home และ Quick Panel, ปรับปรุงการทำงานโดยรวมของเครื่องให้สามารถเปิดแอป ใช้แอปได้รวดเร็วขึ้น แต่มีการใช้พลังงานที่น้อยลงทำให้แบตเตอรี่อึดขึ้นมานั่นเองครับ

ส่วนใครที่อยากรู้ว่าฟีเจอร์อื่นๆ ที่มากับ One UI 3.0 จะมีอะไรบ้าง ก็เข้าไปดูกันได้ในบล็อกเปิดตัวด้านล่างได้เลยครับ

ถ้าหากใครที่ได้รับการอัปเดต One UI 3.0 แล้ว ก็มาคอมเม้นท์บอกกันบ้างนะครับ ว่ามีอะไรดีขึ้นบ้าง หรือว่าเจอปัญหาเจอบั๊กกันหรือเปล่าด้วย

from:https://droidsans.com/samsung-galaxy-note-20-series-thailand-one-ui-3/

Galaxy Note 20 และ S20 FE เริ่มได้อัพเดต One UI 3.0 Android 11 แล้วในบางประเทศ

หลังซัมซุงปล่อยอัพเดต One UI 3.0 (Android 11) ให้กับซีรีส์เรือธง Galaxy S20 ไปแล้ว ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีผู้ใช้ Galaxy Note 20 และ Galaxy S20 FE ในหลายประเทศเริ่มได้อัพเดต One UI 3.0 แล้วเช่นกัน

การมาถึงของ Note 20 และ S20 FE ถือว่าเร็วกว่าแผนการของซัมซุงที่เคยประกาศไว้ (ในบางประเทศ) ว่าจะได้อัพเดตในช่วงเดือนมกราคม 2021

ที่มา – SamMobile (S20 FE), SamMobile (Note 20)

No Description

ภาพ One UI 3.0 จาก Samsung

from:https://www.blognone.com/node/120200

Samsung ลดการผลิต Galaxy Note 20 ลงหลังยอดขายไม่เข้าเป้า

เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วหลังจาก Samsung เปิดตัว Galaxy Note 20 ซีรี่ส์ สมาร์ทโฟนระดับเรือธงช่วงปลายปีของ Samsung ซึ่งน่าจะเป็นรุ่นความหวังของ Samsung พอสมควรแต่ก็มีรายงานว่ายอดขายนั้นไม่เข้าตากรรมการสักเท่าไหร่นัก

The Elec รายงานว่า Samsung ได้ลกปริมาณการผลิต Galaxy Note 20 ลงจาก 900,000 เครื่อง เหลือเพียง 600,000 เครื่อง หายไปมากถึง 300,000 เครื่อง คิดเป็น 33% ที่หายไปในเดือนตุลาคม โดยยอดการผลิตที่หายไปส่วนใหญ่นั้นคือ Galaxy Note 20 รุ่นปกติที่ทำยอดขายได้ไม่ดีเท่า Galaxy Note 20 Ultra รุ่นเรือธงด้วยอัตราส่วน 2:1 หรือครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

ปัญหาส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทำให้การซื้อขายสมาร์ทโฟนยังคงฝืดเคือง ไม่ดีเท่าที่ควร

ถ้ามองอีกแง่หนึ่งนอกจากว่ายอดขายไม่ถึงแล้ว มีความเป็นไปได้ที่ Samsung อาจลดการผลิต Galaxy Note 20 ลงเนื่องจากอีกไม่กี่เดือน Samsung ก็จะเปิดตัว Galaxy S21 (หรือ Galaxy S30) แล้ว โดยมีรายงานว่าจะเป็นช่วงเดือนมกราคม ขยับเร็วขึ้นจากปกติจะเป็นเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมครับ

ข่าว: Samsung ลดการผลิต Galaxy Note 20 ลงหลังยอดขายไม่เข้าเป้า มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/2020/11/03/samsung-reduces-galaxy-note-20-production.html

ผู้ใช้ Galaxy Note 20 Ultra บางส่วนเจอปัญหา เคส S-view Filp Cover ทำหน้าจอเบิร์น

Galaxy Note 20 Ultra มือถือเรือธงพร้อมปากกา S Pen สุดเทพที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม พร้อมกันนั้นก็มีเคสและอุปกรณ์เสริมจาก Samsung ให้เลือกซื้อกันมากมาย อย่างไรก็ดี ดูเหมือนหนึ่งในนั้นจะก่อปัญหาขึ้นเสียแล้ว เพราะมีผู้ใช้งานบางส่วนรายงานว่า เมื่อใส่เคส S-view Filp Cover แล้วทำให้มือถือเกิดอาการจอเบิร์นอย่างน่าประหลาด…

ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนน่าจะทราบกันดีเกี่ยวกับกิตติศัพท์ของหน้าจอในกลุ่ม OLED ซึ่งเป็นหน้าจอที่มีข้อดีหลายอย่าง ทั้งสว่าง สู้แสงได้ดี ให้สีสันที่สมจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความสวยสดของสีสัน แต่ในทางตรงกันข้ามหน้าจอในกลุ่มนี้ก็มีข้อเสียใหญ่ ๆ อยู่เรื่องหนึ่งเช่นกัน นั่นก็คือ หากเปิดภาพเดิม ๆ ไว้นาน ๆ หน้าจอจะเกิดอาการภาพค้าง หากเป็นหนักอาจถึงขั้นถาวร หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “หน้าจอเบิร์น” นั่นเอง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ผู้ใช้งาน Galaxy Note 20 Ultra แจ้งว่า สาเหตุมาจากการใส่เคส S-view Filp Cover ของ Samsung ซึ่งเคสรุ่นนี้จะมีการเว้นช่องที่ด้านข้างเป็นแนวยาว เพื่อเป็นที่สำหรับแสดงผลนาฬิกา การแจ้งเตือน และมีฟังก์ชั่นต่าง ๆ ให้เรียกใช้งานได้โดยที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอ โดยส่วนที่เกิดอาการจอเบิร์นของ Galaxy Note 20 Ultra นั่นก็คือบริเวณที่เว้นช่องแสดงผลดังกล่าวไว้นั่นแหละครับ

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ยังคงไม่มีใครทราบถึงต้นเหตุที่แท้จริง เนื่องจากโดยปรกติแล้ว การใส่เคส S-view Filp Cover ไม่น่าจะทำให้เกิดอาการจอเบิร์นได้เลย เพราะหน้าจอตรงส่วนนั้นจะดับสนิทไปทั้งแถบ (ยกเว้นในส่วนของ UX ที่แสดงผลอยู่ เช่น นาฬิกา) ซึ่งทาง Android Police เองก็งงกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยคาดเดาในเบื้องต้นว่า ความเสียหายอาจเกิดจากรังสี UV เพราะเคสไม่ได้ปกป้องหน้าจอในส่วนที่มีการเว้นช่องเอาไว้

ในตอนนี้ทั้งสื่อต่างประเทศและผู้ใช้งาน Galaxy Note 20 Ultra ต่างก็ได้ติดต่อสอบถามไปยัง Samsung แล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา ดังนั้นใครที่กำลังใช้งานเคสรุ่นนี้อยู่ก็แนะนำว่า ให้เปลี่ยนไปใช้เคสตัวอื่นแทนเป็นการชั่วคราว จนกว่า Samsung จะหาวิธีแก้ไขปัญหาได้ หรืออย่างน้อยก็ให้รู้สาเหตุที่แน่ชัดก่อนจะดีกว่านะครับ ซึ่งถ้ามีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็จะมาอัปเดตให้ต่อไปครับ

 

ที่มา : Samsung Community | Reddit (1, 2) จาก Android Police

from:https://droidsans.com/samsung-galaxy-note-20-ultra-s-view-case-burn-in/

Galaxy S20 Series ศูนย์ไทย เริ่มได้รับอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ทั้ง DeX ไร้สาย, ฟีเจอร์กล้องใหม่, Audio Bookmark ฯลฯ

หลังจากที่ Samsung ประกาศทยอยปล่อยอัปเดต One UI 2.5 ให้กับมือถือ Galaxy ทั้งหมด 23 รุ่น โดยจะมีการปรับปรุงการใช้งานต่างๆ รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาอีก และที่เจ๋งก็คือเพิ่มฟีเจอร์ล้ำๆ จากซีรีส์ Galaxy Note 20 เข้ามาในมือถือซีรีส์เรือธง Galaxy S20 ด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกเล่นกล้องใหม่, โหมด DeX ไร้สาย, Audio Bookmark และอื่นๆ อีกเยอะแยะ ซึ่งตอนนี้ One UI 2.5 ก็เริ่มทยอยอัปเดตให้กับเครื่องในประเทศไทยแล้ว

ฟีเจอร์กล้องใหม่

วิดีโอ 8K อัตราส่วน 21:9

สำหรับผู้ใช้งาน Galaxy S20 ในบ้านเรา ถ้าหากได้รับการอัปเดตเป็น One UI 2.5 อาจจะยังไม่ค่อยเห็นควมเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก แต่จริงๆ แล้วมันมีลูกเล่นใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเยอะเลยล่ะ…เริ่มจากฟีเจอร์กล้องกันก่อน โดยคราวนี้โหมด Pro Video สามารถเลือกปรับอัตราส่วนวิดีโอ 8K (24fps) เป็น 21:9 ได้แล้ว โดยอัตราส่วนดังกล่าวจะเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในการถ่ายภาพยนตร์นั่นเอง

ต่อไมโครโฟนแยกได้

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การถ่ายวิดีโอมีความโปรมากขึ้นไปอีกก็คือ ในโหมด Pro Video สามารถเชื่อมต่อกับไมโครโฟนแยกผ่านพอร์ต USB-C หรือผ่าน Bluetooth ได้แล้ว ทำให้การบันทึกเสียงคมชัดกว่าใช้แค่ไมโครโฟนจากตัวมือถือเอง แถมยังมากับฟีเจอร์เลือกทิศทางไมโครโฟนได้อีกด้วย

โหมด DeX ไร้สาย

โหมด DeX ที่จะเปลี่ยน UI และการใช้งานโดยรวมของมือถือให้คล้ายกับ PC ซึ่งปกติจะต้องต่อสายเข้ากับ TV หรือมอนิเตอร์ก่อนถึงจะใช้งานได้ แต่ใน One UI 2.5 จะรองรับการเชื่อมต่อกับ TV แบบไร้สายด้วย ทำให้ไม่ต้องไปมองหาสาย USB-C > HDMI หรือใช้ HUB ให้ยุ่งยากอีกต่อไป โดยระหว่างที่เปิด DeX อยู่ เราสามารถใช้งานมือถือต่อ หรือจะเปลี่ยนให้มือถือกลายเป็น Touch Pad ก็ได้

ฟีเจอร์ Audio Bookmarks สำหรับแอป Samsung Notes 

เพิ่มความสะดวกในการจดโน้ต และบันทึกเสียง ด้วยฟีเจอร์ Audio Bookmarks ที่อยู่ในแอป Notes ที่จะเข้ามาเพิ่มความสะดวกให้กับการทำงาน หากเราอัดเสียงไปด้วย พร้อมกับจดโน้ตไปด้วย และเมื่อย้อนกลับมาฟังคลิปเสียงดังกล่าว ตัวอักษรที่เราจดเอาไว้ก็จะโผล่ขึ้นมาตามช่วงเวลาของเสียงที่เราบันทึกเอาไว้ ไม่ต้องมานั่งจำว่าตอนที่เราอัดเสียงท่อนนี้ เราได้จดโน้ตไปถึงไหนแล้ว

บอกความเร็วของ WiFi ที่กำลังใช้งาน

หน้าจอการตั้งค่า WiFi แบบใหม่จะมีการแสดงผลความเร็วอินเทอร์เน็ตให้ดูได้ด้วยว่าเครือข่ายที่เรากำลังเชื่อมต่ออยู่มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่ ทำให้เราสามารถเลือกเครือข่ายที่ดีที่สุดในขณะนั้นได้ง่ายๆ นั่นเองครับ

เจ้าของมือถือซีรีส์ Galaxy S20 ในบ้านเราตอนนี้น่าจะได้รับการอัปเดต One UI 2.5 กันแล้ว ใครที่เจอฟีเจอร์ใหม่ๆ เจ๋งๆ นอกเหนือจากนี้ก็มาคอนเม้นท์บอกกันบ้างนะครับ

from:https://droidsans.com/galaxy-s20-series-in-thailand-recieve-galaxy-note-20-features/

เทียบสเปคมือถือซีรีส์ Galaxy Note 20, Note 10 และ Note 9 ต่างกันแค่ไหน คุ้มมั้ยถ้าจะเปลี่ยน?

Samsung เปิดตัวมือถือเรือธงปากกาเทพซีรีส์ Galaxy Note 20 ไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แน่นอนว่ามันมากับสเปค และฟีเจอร์เด็ดๆ ที่ได้รับการอัปเกรดขึ้นจากรุ่นที่ผ่านมาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าจอ, ฟีเจอร์ปากกา S Pen ใหม่ๆ, ประสิทธิภาพ S Pen, ฟีเจอร์ DeX ไร้สาย ฯลฯ และถ้าหากเอาไปเปรียบเทียบกับ Galaxy Note รุ่นก่อนๆ ทั้ง Note 10 และ Note 9 มันจะแตกต่างกันมากแค่ไหน คนที่ใช้รุ่นเดิมอยู่แล้วควรจะอัปเกรดรึเปล่า? ส่วนคนที่กำลังจะซื้อมือถือซีรีส์ Galaxy Note บ้าง ควรจะซื้อรุ่นใหม่เลย หรือจะซื้อรุ่นก่อนนี้ดี?

สำหรับการเทียบสเปคของมือถือซีรีส์ Galaxy Note 9, Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 20 จะขอแบ่งออกเป็นรุ่นปกติ และรุ่นท็อปของซีรีส์ นะครับ…ว่าแล้วก็มาเริ่มกันที่รุ่นปกติ Galaxy Note 9, Note 10, Note 20 กันก่อนนะครับ

สเปค Galaxy Note 20 / Galaxy Note 10 / Galaxy Note 9

สเปค Galaxy Note 20 Galaxy Note 10  Galaxy Note 9
หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว Dynamic AMOLED ขนาด 6.3 นิ้ว Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว
กระจกหน้าจอ Gorilla Glass 6 Gorilla Glass 6 Gorilla Glass 5
ความละเอียด FHD+ FHD+ QHD+
รีเฟรชเรท 60Hz 60Hz 60Hz
มาตรฐานการแสดงผล HDR10+ HDR10+ HDR10
CPU Exynos 990 Exynos 9825 Exynos 9810
GPU Mali-G77 MP11 Mali-G76 MP12 Mali-G72 MP18
RAM (LPDDR5) 8GB (LPDDR4x) 8GB (LPDDR4) 6GB / 8GB
ความจุ (UFS 3.0) 256GB (UFS 3.0) 256GB (UFS 2.1) 128GB / 512GB
microSD Card ไม่รองรับ ไม่รองรับ รองรับ
กล้องหลัง
  • 12MP, f/1.8, 26mm (wide), 1/1.76″, 1.8µm, Dual Pixel PDAF, OIS
  • 64MP, f/2.0, 27mm (telephoto), 1/1.72″, 0.8µm, PDAF, OIS, 3x hybrid zoom
  • 12MP, f/2.2, 120˚, 13mm (ultrawide), 1/2.55″, 1.4µm
  • 12MP, f/1.5-2.4, 27mm (wide), 1/2.55″, 1.4µm, Dual Pixel PDAF, OIS
  • 12MP, f/2.1, 52mm (telephoto), 1/3.6″, 1.0µm, PDAF, OIS, 2x optical zoom
  • 16MP, f/2.2, 12mm (ultrawide), 1/3.1″, 1.0µm, Super Steady video
  • 12MP, f/1.5-2.4, 26mm (wide), 1/2.55″, 1.4µm, Dual pixel PDAF, OIS
  • 12MP, f/2.4, 52mm (telephoto), 1/3.4″, 1.0µm, AF, OIS, 2x optical zoom
กล้องหน้า 10MP, f/2.2, 26mm (wide), 1/3.2″, 1.22µm, Dual Pixel PDAF 10MP, f/2.2, 26mm (wide), 1/3″, 1.22µm, Dual Pixel PDAF 8MP, f/1.7, 25mm (wide), 1/3.6″, 1.22µm, AF
Bluetooth 5.0 5.0 5.0
WiFi Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band
5G 5G Non-Standalone (NSA), Standalone (SA), Sub6 / mmWave ไม่รองรับ (ในไทยไม่ขายรุ่น 5G) ไม่รองรับ
เซ็นเซอร์ Fingerprint (ใต้หน้าจอ, ultrasonic), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer Fingerprint (ใต้จอ, ultrasonic), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer Iris scanner, fingerprint (ด้านหลัง), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer, heart rate, SpO2
ระบบเสียง ลำโพงสเตอรีโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKG ลำโพงสเตอรีโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKG ลำโพงสเตอรีโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKG
รูหูฟัง 3.5 มม. ไม่มี ไม่มี มี
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 IP68 IP68
แบตเตอรี่ 4300 mAh 3500 mAh 4000 mAh
ระบบชาร์จ ชาร์จไว 25W ชาร์จไว 25W 15W
ระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบด้วย One UI Android 10 ครอบด้วย One UI Android 10 ครอบด้วย One UI
ขนาด / น้ำหนัก 161.6 x 75.2 x 8.3 มม. / 192 กรัม 151 x 71.8 x 7.9 มม. / 168 กรัม 161.9 x 76.4 x 8.8 มม. / 201 กรัม

ดีไซน์ตัวเครื่อง 

ตัวเครื่องของ Galaxy Note 9 และ Note 10 มีเฟรมเครื่องเป็นอลูมิเนียมและมีฝาหลังเป็นกระจก Gorilla Glass 5 / 6 ส่วนรุ่น Galaxy Note 20 ใช้เฟรมเครื่องเป็นโลหะเหมือนกัน แต่ฝาหลังใช้วัสดุแบบ Reinforced Polycarbonate แทน ซึ่งวัสดุดังกล่าวมีความทนทานน้อยกว่า Gorilla Glass ที่ใช้กับ Note 9 และ Note 10

Galaxy Note 9 / Note 10 / Note 20

เมื่อหันมามองดีไซน์โดยรวมของทั้ง 3 รุ่น ก็จะเห็นความแตกต่างของแต่ละรุ่นอย่างชัดเจนขึ้นแล้ว เริ่มจากหน้าจอของทั้ง Note 9 และ 10 เป็นจอที่มีขอบโค้ง 2 ข้าง แต่ Note 20 จะใช้จอแบนราบแบบ Infinity-O เจาะรูไว้ตรงกลางด้านบนสำหรับวางกล้องเซลฟี่ ขอบจอด้านบน-ล่างก็เลยบางลงไปได้อีกเยอะ

Galaxy Note 20

ในขณะที่ Note 9 ยังคงใช้หน้าจอแบบปกติ ก็เลยต้องเว้นขอบเอาไว้สำหรับวางกล้องเซลฟี่ และเซ็นเซอร์ต่างๆ

Galaxy Note 9

ส่วน Note 20 จะใช้จอเจาะรูวางกล้องเซลฟี่เหมือนกัน แต่จะต่างจากอีกทั้ง 2 รุ่น ตรงที่หน้าจอขอบไม่โค้งแล้ว เป็นหน้าจอแบบแบนราบธรรมดา ซึ่งน่าจะถูกใจหลายๆ คนที่ไม่ชอบมือถือจอโค้ง เพราะมันสามารถขีดเขียนด้วย S Pen ได้แบบไม่ตกขอบ แถมยังทัชไม่ลั่นเวลาอุ้งมือไปโดนขอบจออีกด้วย

Galaxy Note 20

พลิกมาดูด้านหลังเครื่องจะยิ่งเห็นความแตกต่างของทั้ง 3 รุ่นอย่างชัดเจน โดย Note 9 มีกล้องหลัง 2 ตัวเรียงเป็นแนวนอนและมีเซ็นเซอร์สแกนนิ้วมืออยู่ด้านล่าง, Note 10 เปลี่ยนการวางกล้องเป็นแนวตั้ง อยู่ที่มุมซ้ายบนของเครื่อง และ Note 20 มีกล้อง 3 ตัว + แฟลช วางอยู่บนโมดูลสี่เหลี่ยมที่นูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย

Galaxy Note 20

หน้าจอ

หน้าจอของทั้ง 3 รุ่นนี้ มีข้อดีข้อด้อยที่แตกต่างกันไป โดยรุ่นเก๋าสุดอย่าง Note 9 จะได้เปรียบกว่าตรงความละเอียดสูงกว่าใครที่ QHD+ แต่จะรองรับการแสดงผลสีอยู่ที่ HDR10

Galaxy Note 9

ในขณะที่ Note 10 / 20 ให้ความละเอียดมาแค่ FHD+ แต่ก็รองรับการแสดงผลสูงกว่าที่ HDR10+ นอกจากนี้ Galaxy Note 10 ยังได้สเปคพาเนลหน้าจอที่สูงกว่าเป็น Dynamic AMOLED ส่วนรุ่นอื่นๆ ยังเป็น Super AMOLED อยู่

Gaalxy Note 10

สำหรับขนาดหน้าจอของทั้ง 3 แตกต่างกันอยู่นิดหน่อย Note 9 มีจอขนาด 6.4 นิ้ว, Note 10 อยู่ที่ 6.3 นิ้ว และ Note 20 อยู่ที่ 6.7 นิ้ว โดยกระจกครอบจอของ Note 10 และ Note 20 ใช้ Gorilla Glass 6 ส่วน Note 9 ใช้ Gorilla Glass 5 ซึ่งเอาจริงๆ แล้วอาจไม่ค่อยเห็นความแตกต่างเท่าไหร่นัก เพราะส่วนมากจะติดฟิล์ม หรือกระจกกันรอย เผื่อเหนียวเอาไว้อยู่แล้วนั่นเอง

ปากกา S PEN

ปากกา S Pen ของทั้ง 3 รุ่น แน่นอนว่าต้องมีความแตกต่างกันในด้านของประสิทธิภาพ และฟีเจอร์ต่างๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาตามยุคตามสมัยอยู่แล้ว โดย S Pen ของทั้ง 3 รุ่น ล้วนแล้วต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ซึ่งต้องชาร์จจากตัวมือถือ และยังต้องเชื่อมต่อกันผ่านบลูทูธเพื่อใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นบังคับการเล่นเพลง / วิดีโอ, เปลี่ยนสไลด์ Presentation, กดชัตเตอร์กล้องระยะไกล ฯลฯ

แต่ S Pen ของ Galaxy Note 10 และ Note 20 ได้รับการอัปเกรดเพิ่มขึ้นมาอีกด้วยเซ็นเซอร์ Gyroscope และ Accelerometer ทำให้เราสามารถวาดปากกาไปบนอากาศเพื่อสั่งงานได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสะบัดปากกาเพื่อสลับกล้องหน้า-หลัง การวาดปากกาขึ้นลงเพื่อซูมกล้อง ฯลฯ

และสำหรับรุ่นใหม่อย่าง Note 20 ก็ถูกอัดฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาให้อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นค่าความหน่วงที่ลดลงเหลือแค่ 26ms ทำให้ลายเส้นที่ลากบนหน้าจอแทบจะติดๆ กับปลายปากกาเหมือนเขียนด้วยปากกาจริง มีฟีเจอร์แปลงลายมือให้กลายเป็นตัวอักษรได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้หากเราจดเบี้ยวๆ เอียงๆ ก็สามารถปรับให้ตรงเป็นระเบียบได้ด้วย, AUDIO BOOKMARK อัดเสียง พร้อมจดโน้ต, แปลงไฟล์จาก S Note เป็น PowerPoint, คำสั่ง Air Action แบบใหม่ๆ ฯลฯ

กล้องหน้า / หลัง

กล้องหน้าของ Galaxy Note 10 และ 20 มีสเปคโดยรวมที่แทบจะยกมาทั้งชุดเลย ไม่ว่า่จะเป็นความละเอียดเท่ากัน 10MP, ขนาดเซ็นเซอร์, ขนาดพิกเซล, ระบบ Dual Pixel PDAF ก็มีเหมือนกันหมด ส่วน Note 9 จะด้อยกว่าด้วยเซ็นเซอร์ความละเอียด 8MP และไม่มีระบบ Dual Pixel PDAF มาให้

ถัดมาที่กล้องหลังก็จะเริ่มเห็นความเสียเปรียบของรุ่นที่เก่ากว่าแล้ว เพราะ Note 9 ยังคงมีกล้องหลังแค่ 2 ตัว เป็นเลนส์ Wide ความละเอียด 12MP และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12MP ที่มากับระยะซูม Optical 2x และสูงสุด Digital 10x (Focal Length 52 มม.)

Galaxy Note 9

กล้องหลังของ Note 10 แทบจะยกของ Note 9 มาทั้งชุด แต่เพิ่มกล้อง Ultrawide เข้ามาให้อีกตัวนึง รวมเป็นทั้งหมด 3 ตัว คือ กล้อง Wide 12MP + กล้อง Telephoto 12MP ซูม Optical 2x ซูม Digital สูงสุด 10x + กล้อง ultrawide 16MP 

Galaxy Note 10

สุดท้ายกับ Note 20 ที่มากับกล้อง 3 ตัวเหมือนกัน ประกอบด้วยกล้อง Wide 12MP + กล้อง Telephoto 64MP ซูมไฮบริด 3x + กล้อง Ultrawide 12MP โดยกล้อง Telephoto ของ Note 20 จะให้ความละเอียดมาสูงถึง 64MP ทำให้ระบบซูมแบบไฮบริดไปได้มากกว่าที่ 3x เนื่องจากมันใช้การถ่ายภาพแบบเต็มความละเอียดแล้วค่อยใช้ซอฟท์แวร์ช่วย Crop ภาพซูมเข้าไปจนได้ภาพที่ออกมาชัด และเนียนกว่า ส่วนการซูมแบบดิจิตอลสามารถออกไปได้สุดที่ 30x เลยทีเดียว

ยังไม่หมด เพราะ Note 20 ได้รับฟีเจอร์ใหม่ๆ เทพๆ เข้ามาอีก ไม่ว่าจะเป็นโหมด Pro Video ที่ตั้งค่าได้อิสระมากขึ้น แถมยังใช้ไมโครโฟนเสริมได้, Zoom Speed Control โหมดซูมเข้าออกแบบเนียนๆ ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในมือถือ Galaxy รุ่นอื่นๆ ด้วย

Galaxy Note 20

สเปค

สเปคโดยรวมของทั้ง 3 รุ่น นับว่าอยู่ในระดับไฮเอนด์ของปีที่เปิดตัวอยู่แล้ว ก็แน่นอนว่ารุ่นใหม่สุดจะต้องมีสเปคแรงสุดนั่นแหละ โดย Galaxy Note 9 ที่เปิดตัวมาก่อนใครยังคงใช้ RAM แบบ LPDDR4 อยู่ ในขณะที่ Note 10 ใช้ RAM แบบ LPDDR4X ที่แรงกว่า และ Note 20 ก็เป็นแบบ LPDDR5 ที่แรงขึ้นมาอีกขั้น

ส่วนความจุของ Note 10 และ Note 20 เป็นแบบ UFS 3.0 ซึ่งมีความเร็วในการอ่าน-เขียนข้อมูลมากกว่าความจุแบบ UFS 2.1 ที่ใช้ใน Note 9 อยู่หลายเท่าตัวเลยทีเดียว แต่ถึงยังไง Note 9 ก็เป็นแค่หนึ่งในสามรุ่นนี้ที่รองรับการใช้งาน microSD Card ด้วยนะ

ระบบเสียง

ทั้ง 3 รุ่นนี้มีระบบเสียงที่เรียกว่าเหมือนกันทั้งลำโพงสเตอรีโอคู่, ระบบเสียง Dolby Atmos และได้รับการปรับแต่งเสียงโดย AKG เช่นกัน แต่ที่พิเศษกว่าคือรุ่น Note 9 ที่ยังมีรูหูฟัง 3.5 มม. อยู่รุ่นเดียวเท่านั้น

Galaxy Note 9 ที่ยังคงมีรูหูฟัง 3.5 มม. อยู่

DeX

Galaxy Note ทั้ง 3 รุ่น รองรับการใช้งาน DeX ผ่านการเสียบสาย USB-C > HDMI หรือ USB-C > USB-C แต่รุ่น Note 20 และ Note 20 Ultra จะพิเศษกว่าใครเพราะมันไม่จำเป็นต้องเสียบสายอะไรเลย เนื่องจากมันมากับฟีเจอร์ Wireless DeX เชื่อมต่อกับ TV หรือมอนิเตอร์ (ที่รองรับระบบไร้สาย) เพื่อใช้งานได้ทันที ไม่ต้องวุ่นวายหาสาย หา Hub มาเสียบ

Wireless DeX ของ Galax Note 20 และ Note 20 Ultra

แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ

Galaxy Note 9 ให้แบตเตอรี่มา 4000 mAh และรองรับการชาร์จไว 15W, Note 10 ให้แบตเตอรี่มาน้อยสุดอยู่ที่ 3500 mAh แต่มีระบบชาร์จไวกว่าที่ 25W ส่วน Note 20 แบตเตอรี่เยอะที่สุด 4300 mAh และมากับระบบชาร์จไว 25W ด้วย

มาต่อกันที่มือถือรุ่นท็อปของซีรีส์อย่าง Galaxy Note 20 Ultra และ Galaxy Note 10+ กันต่อเลยว่ารุ่นพี่ทั้งคู่มีอะไรแตกต่างกันบ้าง

สเปค Galaxy Note 20 Ultra / Galaxy Note 10+

สเปค Galaxy Note 20 Ultra Galaxy Note 10+
หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.9 นิ้ว Dynamic AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว
กระจกหน้าจอ Gorilla Glass Victus Gorilla Glass 6
ความละเอียด WQHD+ WQHD+
รีเฟรชเรท 120Hz 60Hz
มาตรฐานการแสดงผล HDR10+ HDR10+
CPU Exynos 990 Exynos 9825
GPU Mali G77 MP11 Mali-G76 MP12
RAM (LPDDR5) 8GB / 12GB (LPDDR4x) 8GB
ความจุ (UFS 3.0) 128GB / 256GB / 512GB (UFS 3.0) 256GB
microSD Card รองรับ รองรับ
กล้องหลัง
  • 108MP, f/1.8, 26mm (wide), 1/1.33″, 0.8µm, PDAF, Laser AF, OIS
  • 12MP, f/3.0, 120mm (periscope telephoto), 1.0µm, PDAF, OIS, 5x optical zoom, 50x hybrid zoom
  • 12MP, f/2.2, 120˚, 13mm (ultrawide), 1/2.55″, 1.4µm
  • 12MP, f/1.5-2.4, 27mm (wide), 1/2.55″, 1.4µm, Dual Pixel PDAF, OIS
  • 12MP, f/2.1, 52mm (telephoto), 1/3.6″, 1.0µm, PDAF, OIS, 2x optical zoom
  • 16MP, f/2.2, 12mm (ultrawide), 1/3.1″, 1.0µm, Super Steady video
  • 0.3MP, TOF 3D, (depth)
กล้องหน้า 10MP, f/2.2, 26mm (wide), 1/3.2″, 1.22µm, Dual Pixel PDAF 10MP, f/2.2, 26mm (wide), 1/3″, 1.22µm, Dual Pixel PDAF
Bluetooth 5.0 5.0
WiFi Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band
5G 5G Non-Standalone (NSA), Standalone (SA), Sub6 / mmWave ไม่รองรับ (ในไทยไม่ขายรุ่น 5G)
เซ็นเซอร์ Fingerprint (ใต้หน้าจอ แบบ Ultrasonic), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer Fingerprint (ใต้จอ, ultrasonic), accelerometer, gyro, proximity, compass, barometer
ระบบเสียง ลำโพงสเตอรีโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKG ลำโพงสเตอรีโอคู่, Dolby Atmos, ปรับแต่งเสียงโดย AKG
รูหูฟัง 3.5 มม. ไม่มี ไม่มี
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 IP68
แบตเตอรี่ 4500 mAh 4300 mAh
ระบบชาร์จ ชาร์จไว 25W ชาร์จไว 45W
ระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบด้วย One UI Android 10 ครอบด้วย One UI
ขนาด / น้ำหนัก 164.8 x 77.2 x 8.1 มม. / 208 กรัม 162.3 x 77.2 x 7.9 มม. / 196 กรัม

ดีไซน์ตัวเครื่อง

ทั้ง Galaxy Note 20 Ultra และ Note 10+ ต่างก็เป็นมือถือระดับไฮเอนด์ตัวท็อปที่ใช้วัสดุระดับสูงทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นเฟรมเครื่องโลหะ กระจกหน้าจอ และกระจกหลังเครื่องที่เป็น Gorilla Glass โดย Note 10+ ใช้ Gorilla Glass 6 ทั้งด้านหน้าจอ และด้านหลังเครื่อง ส่วน Note 20 Ultra จะเหนือกว่าด้วยกระจกรุ่นใหม่ Gorilla Glass Victus ที่มีความแข็งแกร่งกว่า Gorilla Glass 6 หลายเท่าเลยทีเดียว

ตัวเครื่องด้านหน้า ทั้งคู่ยังคงใช้หน้าจอแบบ Infinity-O เจาะรูตรงกลางด้านบนสำหรับวางกล้องเซลฟี่ และมีขอบจอโค้งทั้ง 2 ด้านเหมือนกัน แต่ขอบจอด้านบน-ล่าง ของ Note 20 Ultra จะบางกว่านิดนึง และรูกล้องก็เล็กกว่าด้วย

Galaxy Note 10+ / Note 20 Ultra

ตัวเครื่องด้านหลังก็ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะ Note 20 Ultra มีกล้อง 3 ตัว + เซ็นเซอร์ Laser AF + แฟลช วางอยู่บนโมดูลที่นูนออกมาจากตัวเครื่องพอสมควร ส่วน Note 10+ มีกล้อง 3 ตัว เรียงเป็นแนวตั้งอยู่มุมซ้ายบน พร้อมเซ็นเซอร์ ToF ซึ่งไม่ได้นูนออกมาจากตัวเครื่องมากเหมือนกับ Note 20 Ultra

Galaxy Note 20 Ultra

Galaxy Note 10+

หน้าจอ

หน้าจอของทั้งคู่มีขนาดใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกัน โดย Note 20 Ultra อยู่ที่ 6.9 นิ้ว เป็นหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ส่วน Note 10+ อยู่ที่ 6.8 นิ้ว ใช้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED มีความละเอียดระดับเดียวกันที่ WQHD+ และรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+ เหมือนกันด้วย

แต่ Note 20 Ultra จะได้เปรียบสุดๆ ตรงหน้าจอที่มีรีเฟรชเรทสูงถึง 120Hz และเป็นหน้าจอแบบ VRR ที่สามารถปรับค่ารีเฟรชเรทอัตโนมัติตามการใช้งาน ทำให้กินแบตเตอรี่น้อยลงกว่าเดิมด้วย

ปากกา S PEN

ฟีเจอร์ต่างๆ ของปากกา S Pen ทั้งคู่ จะเหมือนกับของเหล่ารุ่นน้องที่บอกไปแล้วด้านบน แต่สำหรับ Note 20 Ultra จะพิเศษกว่าใครด้วยความหน่วงของ S Pen ที่น้อยมากๆ อยู่ที่ 9ms ทำให้ลายเส้นที่ขีดบนหน้าจอตามติดกับปลายปากกาแบบเป๊ะๆ เหมือนเขียนจากปากกาจริงๆ บนกระดาษจริงๆ

กล้องหลัง

กล้องเซลฟี่ของทั้งคู่ก็ยังคงใช้สเปคเดียวกันกับรุ่นน้องของซีรีส์ตัวเองอีกเช่นกัน แต่ที่ต่างกันสุดๆ ก็คือกล้องหลังนั่นเอง โดย Note 10+ มีกล้องทั้งหมด 3 ตัว คือ กล้อง Wide 12MP + กล้อง Telephoto 12MP ซูม Optical 2x ซูม Digital สูงสุด 10x + กล้อง ultrawide 16MP และมีเซ็นเซอร์ 3 มิติ ToF เพิ่มเข้ามาทำให้มันถ่ายภาพ Portrait หรือหน้าชัดหลังเบลอได้เนียนกว่า

แต่สำหรับ Note 20 Ultra กลับโดนตัดเซ็นเซอร์ ToF ออกไป แล้วแทนที่ด้วยเซ็นเซอร์ Laser AF ช่วยให้การโฟกัสภาพมีความแม่นยำ และว่องไวมากกว่าเดิม ส่วนกล้องหลังทั้ง 3 ตัว ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 108MP (f/1.8) + กล้อง Ultrawide ความละเอียด 12MP (f/2.2) + กล้อง Telephoto เลนส์ Periscope ความละเอียด 12MP (f/3.0) ซูม Optical 5x / Digital สูงสุด 50x

สเปค

Galaxy Note 20 Ultra และ Note 10+ ต่างมากับความจุแบบ UFS 3.0 ที่มีความรวดเร็วในการเขียน-อ่านข้อมูลทั้งคู่ แถมยังรองรับ microSD Card ทั้งคู่อีกเหมือนกัน แต่ RAM ของ Note 20 Ultra จะแรงกว่าเพราะเป็นแบบ LPDDR5 ในขณะที่ Note 10+ เป็นแบบ LPDDR4x

ระบบเสียง

ทั้ง 2 รุ่นนี้มีระบบเสียงที่เรียกว่าเหมือนกันทั้งลำโพงสเตอรีโอคู่, ระบบเสียง Dolby Atmos และได้รับการปรับแต่งเสียงโดย AKG เช่นกัน แต่ที่น่าเสียดายคือทั้งคู่ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. ให้อีกแล้ว

DeX

Galaxy Note ทั้ง 2 รุ่น รองรับการใช้งาน DeX ผ่านการเสียบสาย USB-C > HDMI หรือ USB-C > USB-C แต่ Note 20 Ultra จะพิเศษกว่าใครเพราะมันไม่จำเป็นต้องเสียบสายอะไรเลย เนื่องจากมันมากับฟีเจอร์ Wireless DeX เชื่อมต่อกับ TV หรือมอนิเตอร์ (ที่รองรับระบบไร้สาย) เพื่อใช้งานได้ทันที ไม่ต้องวุ่นวายหาสาย หา Hub มาเสียบ

แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ

Galaxy Note 20 Ultra ให้แบตเตอรี่มาที่ 4500 mAh รองรับชาร์จไว 25W ส่วน Note 10+ ให้แบตเตอรี่มาน้อยกว่านิดหน่อยที่ 4300 mAh แต่ตัวเครื่องรองรับการชาร์จไวสูงสุดถึง 45W (ที่ชาร์จในกล่องให้มาแค่ 25W)

และทั้งหมดนั่นก็คือสเปคและฟีเจอร์ต่างๆ ของมือถือซีรีส์ Galaxy Note 9 ไล่มาจนถึงซีรีส์ Note 20 นะครับ ใครที่ได้เห็นฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาแล้วคิดว่ามันว้าวกว่ารุ่นที่เราใช้อยู่ ก็เตรียมตัวเสียเงินกันได้เลย ส่วนใครที่ยังคิดว่าฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาทั้งหมดของ Note 20 และ Note 20 Ultra ยังไม่ค่อยว้าวกว่าเดิมซักเท่าไหร่ (โดยเฉพาะเจ้าของ Note 10) ก็อาจจะหยอดกระปุกรอเอาไว้เตรียมสอยรุ่น Note 21 เลยก็ได้นะ (หรือไม่แน่ว่าอาจจะเป็น Galaxy S21 ก็ได้ เพราะมีข่าวลือว่าซีรีส์ Note กับ S จะมารวมกันในปีหน้า)

from:https://droidsans.com/galaxy-note-20-note-10-note-9-specs-comparison/

รีวิว Galaxy Note 20 Ultra 5G มือถือเรือธงที่ยังน่าใช้แต่อาจยังไม่น่าอัพเกรดมาใช้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดสมาร์ทโฟนเรือธงอิ่มตัวมาหลายปีแล้ว และในแต่ละครั้งที่แบรนด์สมาร์ทโฟนเปิดตัวรุ่นใหม่ กระแส ความน่าสนใจไปจนถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่แทบจะไม่มีหรือมีก็น้อยมาก กล่าวอีกอย่างคือตลาดสมาร์ทโฟนเรือธงขาด wow factor มาหลายปีแล้ว

ซัมซุงที่ยังครองตลาดสมาร์ทโฟนอันดับ 1 ของโลกก็ประสบปัญหาไม่ต่างกัน Galaxy Note 20 Ultra 5G (หลังจากนี้ขอเรียกสั้น ๆ ว่า Note 20 Ultra) เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์เรื่องนี้ อย่างน้อยก็เห็นได้จากกระแสช่วงเปิดตัวที่ค่อนข้างเงียบ ขณะที่เมื่อผมมีโอกาสได้ใช้งานจริง แม้จะยอมรับว่า Note 20 Ultra เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่สมบูรณ์และน่าใช้รุ่นหนึ่ง แต่ด้วยปัจจัยเรื่องราคา และการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Note 10 Plus ที่ไม่มากขนาดสร้างความแตกต่าง ทำให้รู้สึกว่าอาจยังไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักสำหรับคนที่อยากอัพเกรดมาจากเรือธงปลายปีที่แล้ว

No Description

ตัวเครื่องและหน้าจอ

วัสดี Note 20 Ultra เป็นอะลูมิเนียม บอดี้และงานประกอบของ Note 20 Ultra ต้องยอมรับว่าค่อนข้างดี ให้ความรู้สึกพรีเมียม น้ำหนักกำลังดีมือ (208 กรัม เบากว่า S20 Ultra ที่หนัก 222 กรัม) ไม่หนักไปไม่เบาไป ขณะที่สี Mystic Bronze ส่วนตัวรู้สึกว่าค่อนข้างสวยกว่าหลาย ๆ ตัวเลือกสีที่ซัมซุงทำในหลายรุ่นที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม Note 20 Ultra ไม่มีเคสแถมมาให้ในกล่อง ต้องหาซื้อเอง ขณะที่แม้งานประกอบจะออกมาดี สัมผัสของตัวเครื่องดี สีสวย สมควรจะใช้งานได้ดีสำหรับคนที่ไม่อยากใส่เคส แต่ทว่า Note 20 Ultra กลับเป็นสมาร์ทโฟนที่เหมือนถูกออกแบบมาให้ใส่เคส เพราะใช้งานแบบไม่ใส่เคสได้ค่อนข้างยาก จากทั้งตัวกล้องที่นูน วางเครื่องบนโต๊ะแล้วเอาปากกาเขียนไม่ได้ เครื่องจะกระดก และขอบจอที่โค้ง ทำให้การใช้งาน 2 มือไม่ว่าจะไถหน้าจอหรือพิมพ์คีย์บอร์ด จะมีบางส่วนของมือไปโดนจออยู่ตลอดเวลา ซึ่งน่ารำคาญ (มากกกก)

No Description

หน้าจอ Note 20 Ultra สวยงาม สดใสและสู้แสงแดดได้ดีตามสไตล์ซัมซุง ตรงนี้ไม่มีปัญหา หนึ่งในอัพเดตด้านหน้าจอที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการอัพเกรดจริง ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องการรองรับ 120Hz แต่ทว่ามันมาในรูปแบบขอ Adaptive Motion กล่าวคือตัวมือถือไม่ได้แสดงผล 120Hz ตลอดเวลา แต่จะปรับรีเฟรชเรทขึ้นลงตามการใช้งาน เช่นหากเป็นแอปอ่านหนังสือก็อาจปรับรีเฟรชเรทลง แต่หากเป็นช่วงที่เราไถฟีดเฟซบุ๊ก หรือไถหน้าแอปก็จะปรับรีเฟรชเรทเป็น 120Hz ให้ดูลื่น แน่นอนว่าจุดประสงค์ก็เพื่อประหยัดแบต

อย่างไรก็ตาม รีเฟรชเรท 120Hz จะรองรับแค่ที่ความละเอียดต่ำกว่าอย่าง FHD+ และ HD+ เท่านั้น ส่วนความละเอียด WQHD+ (1440p) รองรับแค่ 60Hz ซึ่งส่วนตัวไม่มีปัญหา เพราะคิดว่าความละเอียดระหว่าง 1080p และ 1440p บนหน้าจอ 6.9 นิ้ว ไม่น่าจะแตกต่างขนาดรู้สึกได้เท่าไหร่นัก (แต่ OnePlus 8 Pro ยอมทำ 120Hz ที่ QHD+ นะ)

No Description

S Pen และกล้อง – การอัพเกรดระดับซอฟต์แวร์

ถ้าไม่นับการปรับลดความหน่วงของ S Pen จาก 42ms เหลือ 9ms และการอัพเกรดฮาร์ดแวร์กล้อง การใช้งานรวม ๆ ของ 2 ส่วนนี้แทบไม่แตกต่างจาก Note 10 หรือแม้แต่ S20 มากนัก

เรื่องการใช้งานปากกา รีเฟรชเรทหน้าจอ 120Hz อาจช่วยให้รู้สึกลื่นขึ้นเล็กน้อยเวลาเขียน ขณะที่ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น Air Gesture ใหม่, Samsung Notes ที่รองรับการแก้ไข PDF ในตัว, รองรับการอัดเสียงพร้อมจดโน้ต, AI Neat Note แปลงโน้ตที่เขียนเอียงๆ ปรับมาเป็นแนวนอนและแปลงโน้ตไปเป็น Powerpoint หรือแม้แต่ Samsung Dex ที่เป็นแบบ wireless ก็ล้วนเป็นฟีเจอร์ที่อัพเกรดในเชิงซอฟต์แวร์เท่านั้น ไม่ได้สร้างความแตกต่างระหว่างตระกูล Note 20 กับ Note 10 มากขนาดนั้น และรายหลังก็มีแนวโน้มจะได้รับอัพเดตแบบเดียวกันด้วย หลัง S20 ได้แล้ว

No Description

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยอมรับว่า Samsung Notes น่าจะเป็นแอปจดโน้ตที่ดีพร้อมและสมบูรณ์แบบที่สุดในตลาดแล้ว เมื่อเทียบกับ OneNote หรือแม้แต่ EverNote ยิ่งฟีเจอร์ใหม่อย่างการแก้ไขและเขียนทับ PDF ไปจนถึงการแปลงโน้ตให้เป็น Powerpoint ค่อนข้างมีประโยชน์มาก ๆ

No Description

ขณะที่กล้อง รอบนี้เหมือนซัมซุงพยายามแก้ตัวและปรับปรุงข้อผิดพลาดหรือข้อด้อยจาก S20 ให้กล้อง Note 20 Ultra มีความสมบูรณ์มากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นออโต้โฟกัสที่เป็นปัญหาใน S20 Ultra ก็ถูกแก้ด้วยเลเซอร์สำหรับออโต้โฟกัสโดยเฉพาะ

นอกจากนี้รอบนี้เหมือนซัมซุงจะรู้แล้วว่าการซูม 100 เท่า เป็นเพียงกิมมิคด้านการตลาด (ที่ก็คาดว่าไม่น่าจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก) และสามารถนำไปใช้งานจริงได้น้อยมาก รอบนี้เลยปรับลดว่าสามารถซูมได้สูงสุดแค่ 50 เท่าเท่านั้น (แค่นี้ก็รู้สึกว่าใช้งานยากแล้ว) และครั้งนี้ซัมซุงโปรโมทว่า Note 20 Ultra ทำออพติคัลซูมที่ 5 เท่า (เพิ่มจาก S20 Ultra ที่ออพติคัลแค่ 4 เท่า แต่โปรโมทด้วยคำว่า Hybrid Optical Zoom 10x ที่ผสานดิจิทัลซูมเข้าไปด้วย)

No Description

เซ็นเซอร์กล้องหลักของ Note 20 Ultra ยังคงเป็นตัวเดียวกับ S20 Ultra คือ ISOCELL Bright HMX 108MP ความละเอียดสูงสุด 108 ล้านพิกเซล เฉพาะสัดส่วน 4:3 ซึ่งแทบไม่แตกต่างจากกล้องของ S20 Ultra มากนักในภาพรวม

alt="20200809_114924"

alt="20200817_181749"

alt="20200819_175848"

alt="20200819_180544"
มุมว้าง (0.5x)

alt="20200819_180547"
มุมปกติ (1x)

alt="20200819_180551"
ซูม 4x

alt="20200819_180554"
ซูม 10x

alt="20200819_180557"
ซูม 20x

alt="20200819_180606"
ซูม 50x

alt="20200819_203453"alt="20200819_203500"
ซ้าย Night Mode | ขวา Auto HDR

alt="20200823_120812"
Live Focus

alt="20200816_123443"
กล้องหน้า

ส่วนที่พอจะน่าสนใจสำหรับกล้องของ Note 20 Ultra คือการถ่ายวิดีโอแบบ Pro Mode ที่ผู้ใช้งานสามารถปรับ ISO, Speed Shutter, รูรับแสง, ค่าชดเชยแสง, ไวท์บาลานซ์ ไปจนถึงโฟกัสได้เองทั้งหมด ที่สำคัญคือสามารถปรับทิศทางการรับเสียงจากไมโครโฟนได้ด้วยว่าจะรับจากทุกไมค์ (Omni) หรือเฉพาะทิศทางใดทิศทางหนึ่ง รวมถึงรองรับไมโครโฟนภายนอก ไม่ว่าจะพ่วงด้วย USB หรือบลูทูธ ที่ใช้งานได้แม้แต่หูฟังไร้สายอย่าง Galaxy Buds และ Buds Live ด้วย (ยี่ห้ออื่น ๆ ก็มีรายงานว่าใช้ได้เหมือนกัน)

Pro Mode น่าจะพอช่วยตากล้องมือสมัครเล่นหรือมืออาชีพหลายคนสำหรับการถ่ายงานให้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องพกกล้องหลาย ๆ ตัวได้ไม่มากก็น้อย (และอย่างที่เกริ่นไปว่า S20 ก็ได้ Pro Mode แล้วจากการอัพเดตซอฟต์แวร์)

No Description

การใช้งานทั่วไปและแบตเตอรี่

ด้วยสเปคระดับเรือธงและแรมถึง 12GB ทำให้ Note 20 Ultra แทบไม่มีปัญหาในการใช้งาน รอมเป็น OneUI 2.5 ที่มีฟีเจอร์ใหม่ฝั่งแอนดรอยด์อย่าง Nearby Share มาให้ในตัวและฝั่งไมโครซอฟท์อย่าง Your Phone ใหม่

การสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอค่อนข้างเร็วและแม่นยำ ขณะที่แบตเตอรี่ให้มา 4,500mAh (Note 20 มากกว่าที่ 5,000mAh) ใช้งานแรก ๆ อาจจะเพราะสังเกตแบตเตอรี่บ่อยไป รู้สึกแบตไหลเร็วมาก ตื่น 8 โมง ใช้แต่ Wi-Fi อยู่บ้าน ออกจากบ้านราว 11 โมง สังเกตแบตตอนเที่ยงเหลือราว 70%-80% แต่พอใช้งานจริงไปสักพัก รู้สึกแบต Note 20 Ultra สามารถอยู่ใช้งานได้เต็มวันแม้จะใช้งานหนักอย่างดู Netflix/YouTube หรือเปิดกล้องถ่ายรูปเยอะ ๆ ก็ตาม

No Description

สรุป

ผมกล้าพูดว่า Galaxy Note 20 Ultra 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่สมบูรณ์พร้อมเครื่องหนึ่ง จากการปรับปรุงและแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ จาก Note 10+ และ S20 Ultra

อย่างไรก็ตามปัญหาของ Note 20 Ultra คงหนีไม่พ้นเรื่องราคาที่รุ่นเริ่มต้นก็ปาเข้าไป 38,990 บาทแล้ว ซึ่งถือว่าค่อนข้างแพงมาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจแบบนี้ และยิ่งเมื่อพิจารณาในรายละเอียดว่าจุดแตกต่างของ Note 20 Ultra กับ Note 10 Plus ถ้าไม่นับการอัพเกรดฮาร์ดแวร์ตามรอบปกติ สิ่งที่แตกต่างส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่ Note 10 Plus ก็น่าจะได้ตามมาเร็ว ๆ นี้ด้วย

No Description

อีกประเด็นที่น่าส่ายหน้าให้กับซัมซุงคือการ “กั๊ก” ฟีเจอร์ของรุ่นเล็กอย่าง Note 20 ให้มีความแตกต่างจาก Note 20 Ultra ค่อนข้างมาก (ทั้งที่ Note 10 กับ 10+ ต่างกันไม่เยอะ) ไม่ว่าจะบอดี้เป็นพลาสติก, หน้าจอครอบด้วย Gorilla Glass 5 (Note 10 ยังใช้ Gorilla Glass 6), รีเฟรชเรทจอแค่ 60Hz, ความหน่วงปากกา 26ms (Ultra 9ms), ชิปเซ็ต Snapdragon 865, กล้องหลังไม่มี Laser AF

เรือธงรุ่นย่อยอย่าง Note 20 มันควรเป็นรุ่นที่เอาไว้รองรับคนที่อยากใช้ฟีเจอร์เรือธง แต่งบไม่ถึงและยอมลดความพรีเมียมหลายอย่างลง แต่การกั๊กฟีเจอร์ที่ค่อนข้างส่งผลต่อการใช้งาน (เช่นรีเฟรชเรทหน้าจอที่ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่สุด) อาจยิ่งตัดโอกาสคนที่จะเปลี่ยนมาใช้ Note 20 ลงไปอีกก็ได้ เพราะงบไม่ถึงรุ่น Note 20 Ultra แต่พอมามอง Note 20 (เทียบกับ Ultra) แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า

from:https://www.blognone.com/node/118095

Samsung วางจำหน่าย Galaxy Note 20, Galaxy Buds Live และ Galaxy Watch 3 พร้อมส่วนลดมากมาย!

เปิดวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วทั่วประเทศแล้ววันนี้ สำหรับสมาร์ทโฟนทรงพลังรุ่นล่าสุด Galaxy Note20 และ Note20 Ultra ที่จะเข้ามาเปลี่ยนวิธีการทำงานพร้อมมอบประสบการณ์ความบันเทิงร่วมกับ 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ หูฟังไร้สายดีไซน์ระดับไอคอนิก Galaxy Buds Live และ สมาร์ทวอชท์ระดับพรีเมียมกับฟีเจอร์ด้านสุขภาพสุดล้ำ Galaxy Watch3 ที่ซัมซุงแบรนด์ช็อปและร้านค้าที่ร่วมรายการ

Galaxy Note20 Series สมาร์ทโฟนตระกูลโน้ตที่ทรงพลังที่สุดตั้งแต่ซัมซุงเคยมีมา 

สมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพการทำงานระดับคอมพิวเตอร์พีซี เติมเต็มความต้องการรอบด้านแก่ผู้ใช้ทั้งในด้านการทำงานและความบันเทิง มาพร้อมกับปากกาอัจฉริยะ Advanced Intelligent S Pen ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อมอบการเขียนเสมือนปากกาจริง ที่ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีกับ Samsung Notes ที่ได้รับการพัฒนาให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น รวมถึงความสามารถด้านการถ่ายภาพและวิดีโอระดับมืออาชีพ ในโหมด Pro Video เพื่อภาพละเอียดคมชัดระดับ 8K  โดย Galaxy Note20 Ultra มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ Mystic Bronze และ Mystic Black ราคาเริ่มต้นที่ 38,900 บาท ในขณะที่ Galaxy Note20 มีให้เลือก 3 สี คือ Mystic Bronze, Mystic Gray และ Mystic Green ในราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท

Galaxy Buds Live หูฟังไร้สายรุ่นใหม่ ในรูปทรงสุดไอคอนิกที่ออกแบบให้โค้งรับสรีระหูโดยเฉพาะ

เพิ่มประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทดีไวซ์ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นด้วยหูฟังไร้สายแบบ Open Type ที่มีดีไซน์โดดเด่น ออกแบบมาสำหรับสรีระหูโดยเฉพาะ สวมใส่ง่าย ใส่สบาย ไม่หลุดร่วงง่าย มาพร้อมที่สุดแห่งคุณภาพเสียงจาก AKG มอบพลังเสียงนุ่มลึกมีมิติด้วยลำโพงขนาด 12 มม.และ Bass Duct พร้อมทั้งไมโครโฟน 3 ตัว และเทคโนโลยี Voice Pick-up Unit (VPU) ช่วยให้การสนทนาคมชัดราวกับอยู่ในที่เดียวกัน รวมถึงฟังก์ชัน Active Noise Cancellation (ANC) ช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอก แต่ยังคงไว้ให้ผู้ใส่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นรอบด้าน นอกจากนี้ยังเต็มอิ่มกับการใช้งานได้นานสูงสุดถึง 29 ชั่วโมง หรือชาร์จเพียง 5 นาที สามารถใช้งานได้สูงสุดถึง 1 ชั่วโมง มีมาให้เลือกถึง 3 สีสุดคลาสสิค ได้แก่ Mystic Bronze, Mystic Black และ Mystic White ราคา 6,990 บาท

Galaxy Watch3 สมาร์ทวอชท์ที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น แจ้งเตือนสุขภาพคุณในทุกที่

สมาร์ทวอชท์ที่ผสมผสานความสามารถในการทำงานแบบสมาร์ทโฟนเข้ากับเทคโนโลยีด้านสุขภาพไว้ในอุปกรณ์พรีเมียมสุดคลาสสิกเพียงเครื่องเดียว ช่วยติดตามและแจ้งเตือนสุขภาพของผู้สวมใส่อย่างละเอียด ด้วยเซนเซอร์ที่แม่นยำขึ้นถึง 8 ตัว อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยด้านการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพสูงผ่านทางแอปพลิเคชัน Samsung Health ซึ่งมีฟีเจอร์ครบครัน อาทิ ติดตามการนอนหลับพร้อมแสดงผล สะดวกและง่ายในการติดตามรอบเดือน ฟีเจอร์ช่วยวิเคราะห์การวิ่งจะช่วยปรับปรุงรูปแบบการวิ่งด้วย Running Form Analysis และโปรแกรมการออกกำลังกายที่บ้านกว่า 120 ให้เลือก อีกทั้งยังสามารถดูอัตราการเต้นของหัวใจได้แบบเรียลไทม์ขณะออกกำลังกาย มาพร้อมกับดีไซน์การออกแบบที่เรียบหรูสุดคลาสสิคพร้อมสายหนังแท้คุณภาพสูง และขอบหน้าปัดอันเป็นเอกลักษณ์ที่เพรียวบางกว่าเดิม ทำให้ใช้งานสะดวกด้วยขอบตัวเรือนที่หมุนได้ และสามารถปรับแต่งหน้าจอได้มากถึง 40 แบบให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ มีให้เลือก2 รุ่น ได้แก่ Bluetooth และ LTE มาพร้อมกันทั้ง 2 ขนาด คือ 41 มิลลิเมตร และ 45 มิลลิเมตร ทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Mystic Bronze, Mystic Silver และ Mystic Black ในราคาเริ่มต้น14,900 บาท

พบโปรโมชั่นพิเศษสุด รับส่วนลดสูงสุดถึง 3,000 บาท

ซัมซุงจัดหนักส่งโปรโมชั่น เก่าแลกใหม่ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 3,000 บาท เมื่อนำโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตเครื่องเก่ารุ่นใดยี่ห้อใดก็ได้ มาแลกซื้อ Galaxy Note20 Ultra หรือเลือกรับส่วนลด 2,000 บาทเพื่อแลกซื้อ Galaxy Note20 ถึงวันที่ 30 สิงหาคมนี้เท่านั้น

อุ่นใจด้วย Samsung Care+ ดูแลอุปกรณ์ Galaxy เครื่องใหม่ ด้วยบริการที่มากกว่า

บริการใหม่ล่าสุดจากซัมซุง เพื่อให้คุณเต็มที่กับการใช้งาน ไร้กังวล ผ่านบริการส่งช่างเทคนิคถึงบ้านคุณโดยศูนย์บริการซัมซุง, บริการตรวจเช็คเครื่อง 82 รายการด้วยโปรแกรม IQC และรับฟรีประกันความเสียหายต่อตัวเครื่องอันเกิดจากอุบัติเหตุ เมื่อซื้อ Samsung Care+ ระหว่างวันที่ 21 สิงหาคม 2563 ถึง 31 ตุลาคม 2563 นี้ ที่ซัมซุงแบรนด์ช็อปเท่านั้น โดยมีให้เลือกทั้งหมด 5 แพ็คเกจ ได้แก่ Bronze สำหรับเครื่องราคาต่ำกว่า 6,000 บาท, Silver สำหรับเครื่องราคา 6,001 – 11,000 บาท, Gold สำหรับเครื่องราคา 11,001 – 21,000 บาท, Platinum สำหรับเครื่องราคาตั้งแต่ 21,001 บาท (ยกเว้นรุ่น Galaxy Z Fold2, Z Flip และ Fold) ในราคาค่าบริการเริ่มต้นเพียง 619 บาท* ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/offer/samsung-care-plus/ หรือ ติดต่อสอบถามได้ทุกวัน โทร 02-430-4076 (09:00 – 20:00 น.)

ข่าว: Samsung วางจำหน่าย Galaxy Note 20, Galaxy Buds Live และ Galaxy Watch 3 พร้อมส่วนลดมากมาย! มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/2020/08/24/samsung-galaxy-note-20-and-accessories-unveiled.html