คลังเก็บป้ายกำกับ: DTAC_ACCELERATE

จับตา InnoSpace (Thailand) เล็งซื้อกิจการ dtac Accelerate พร้อมดึงผู้บริหารและทีมงานยกชุด

แหล่งข่าวในวงการ Startup กล่าวว่า ให้ติดตามความเคลื่อนไหวของ InnoSpace (Thailand) หรือ บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย)​ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและกลุ่มพันธมิตรเอกชน เพื่อสนับสนุน Startup ไทยให้เข้มแข็ง ตั้งแต่ระดับ Pre-Seed หรือ Seed ซึ่งมีเงินทุนตั้งต้นประมาณ​ 500-700 ล้านบาทจาก 13 พันธมิตร ที่ร่วมลงทุนรายละประมาณ 50 ล้านบาท ได้แก่

  1. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
  2. บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
  3. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
  4. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  5. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
  6. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
  7. บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด
  8. บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  9. บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
  10. บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
  11. บริษัทในเครือสหพัฒน์
  12. บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
  13. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย

ดังนั้น เพื่อเป็นทางลัดในการเริ่มต้นงานบ่มเพาะและส่งเสริม Startup มีความเป็นไปได้สูงที่ InnoSpace จะอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการ dtac Accelerate ซึ่งจัดโครงการบ่มเพาะ Startup มาเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน (Batch 7)

“dtac Accelerate เป็นต้นแบบความสำเร็จในการบ่มเพาะ Startup และสร้างชื่อเสียงให้กับ dtac อย่างมากในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ในแง่ธุรกิจอาจจะไม่เห็นเม็ดเงินตอบแทนชัดเจนแต่ในด้านอื่นๆ ถือว่าดีสำหรับ dtac แต่ผู้บริหารระดับสูงอาจจะเห็นว่า dtac Accelerate ไม่ได้สร้างรายได้ หรือไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจหลักของบริษัท”

อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการ dtac Accelerate คาดว่าจะมีมูลค่าไม่น้อย เพราะ dtac Accelerate มีการลงทุนในระดับ Pre-Seed กับ Startup ที่ผ่านโครงการตลอด 7 ปี รวมแล้ว 40-50 ราย ซึ่งรายที่โดดเด่นและมีมูลค่าสูง เช่น Claim di สตาร์ทอัพด้านประกันภัย, Finnomena สตาร์ทอัพฟินเทค, Giztix สตาร์ทอัพด้านขนส่ง และ Bitkub ฟินเทคอีกราย เป็นต้น ซึ่งถึงปัจจุบันมูลค่าสูงขึ้นมากแล้ว ดังนั้นการเจรจาเพื่อซื้อขายกิจการจึงต้องใช้เวลาสักระยะ

แหล่งข่าว กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า ทาง InnoSpace ต้องการซื้อตัวผู้บริหารและทีมงานทั้งหมดของ dtac Accelerate นำโดย สมโภชน์​ จันทร์สมบูรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ปลุกปั้นและบริหารงาน dtac Accelerate มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ พร้อมด้วยทีมงานที่มีความรู้ ดังนั้นจึงไม่แปลกหาก InnoSpace จะเริ่มต้น Incubator ด้วยการหาผู้บริหารและทีมงานที่มีประสบการณ์มาเริ่มงานด้วย

ทั้งนี้ จากการสอบถาม สมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ บอกว่า ปัจจุบันยังทำงานอยู่ที่ dtac และให้รอติดตามจะมีการประกาศข่าวดีเร็วๆ นี้ ซึ่งยังไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นข่าวอะไร

สรุป

ถ้า InnoSpace อยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการ dtac Accelerate จริง เพื่อให้ได้หุ้นและ Startup ในโครงการ ก็ถือว่าสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และหากได้ผู้บริหารและทีมงานมากประสบการณ์มาด้วย ก็สามารถเริ่มงาน Incubator ได้ทันที เรียกว่าเหมามาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ต้องรอติดตามว่า ต้นปี 2020 จะมีข้อสรุปอย่างไร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/innospace-dtac-accelerate/

dtac accelerate batch 7 มีสตาร์ทอัพรายใดน่าสนใจบ้าง

เข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว สำหรับ dtac accelerate batch 7 ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทาง dtac เดินหน้าเรื่องนี้มาโดยตลอด เพื่อผลักดันเหล่าสตาร์ทอัพหน้าใหม่ให้เกิดเป็นธุรกิจสร้างโอกาสในการพัฒนาประเทศ เพราะต้องยอมรับว่ากลุ่มสตาร์ทอัพเหล่านี้ หากอยู่รอดได้ก็มีการเติบโตและสร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศได้ ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจที่หลายภาคส่วนอยากผลักดัน

ปัจจุบัน สตาร์ทอัพในโครงการ dtac มีทั้งหมด 60 บริษัท มูลค่ารวมในการเข้าไปลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท ระดมทุนได้แล้วมูลค่าถึง 1,200 ล้านบาทและยังคงได้รับเงินลงทุนต่อเนื่อง (Secured Follow-on funding) ถึง 70% และทาง dtac เองก็ได้รับเลือกให้เป็นพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียวในไทยจาก Google developer launchpad และ Facebook start

นอกจากเรื่องของเงินทุนตั้งต้นที่สตาร์ทอัพทุกรายจะได้รับจากทาง dtac เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ เข้าร่วมหลักสูตรอบรมจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก พื้นที่ทำงาน การสนับสนุนด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ และยังได้นำเสนอสินค้าและบริการในกลุ่มลูกค้าของเทเลนอร์ใน 9 ประเทศ เป็นต้น ความตั้งใจของ dtac คือต้องการสร้าง tech unicorn สัญชาติไทย หรือสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลล่าร์ขึ้นไป

รายละเอียดทีมที่เข้ารอบ

  • Arincare เป็นระบบบริหารร้านขายยา ช่วยบริหารสต็อกสินค้า ลดต้นทุน เพิ่มกำไรอย่างมีประสิทธิภาพ
  • Fingas แพลตฟอร์มกลางระหว่างลูกค้าและหน้าร้านแก๊สหุงต้ม เพื่อช่วยในการซื้อขายและบริหารจัดการระบบ
  • Foodie แพลตฟอร์มสำหรับบริหารจัดการ การสั่งอาหารออนไลน์จากหลายช่องทางสำหรับร้านอาหาร
  • Hisobus บริการเช่ารถตู้ออนไลน์และรถบัส แบบ Sharing economy
  • Instawash แอปพลิเคชั่นล้างรถตามตำแหน่งที่ลูกค้าต้องการ
  • KinKao บริการส่งอาหารเดลิเวอรี่ที่ช่วยให้พนักงานออฟฟิศได้รับสวัสดิการอาหารเที่ยงฟรีตรงเวลา
  • LING แอปวัดแปลงที่ดินใช้คำนวณขนาดที่ดินเพื่อการซื้อ-ขาย ให้เช่าทำประโยชน์ วัดขนาดงานด้านเกษตรกรรม ช่วยให้การทำแผนที่ที่ดินสะดวกและง่ายขึ้น
  • Loops บริการร่วมเดินทาง จองรถตู้หลังกิจกรรมต่างๆ
  • Skooldio การเรียนผ่านห้องเรียนจริงและออนไลน์ที่ช่วยให้มีความเชี่ยวชาญในทักษะสมัยใหม่
  • Sneak แพลตฟอร์มวางแผนการท่องเที่ยวโดยใช้รูปภาพ
  • System Stone แพลตฟอร์มสำหรับช่างวิศวกร ช่วยจัดการงาน PM ปิดใบงานซ่อม เบิกอะไหล่ผ่านมือถือ
  • Trash Lucky บริการเก็บขยะรีไซเคิลเพื่อแลกรับของรางวัล
  • Viabus แอปพลิเคชั่นติดตามและนำทางรถโดยสารประจำทาง ภายในกรุงเทพและปริมณฑล
  • Ztrus ระบบช่วยทำบัญชีให้กับเจ้าของกิจการ SME และองค์

ทางทีมงาน thumbsup ได้เดินสำรวจการจัดงาน demo day และพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับบริการต่างๆ พบว่าแต่ละสตาร์ทอัพมีความโดดเด่นและน่าสนใจมากเลยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น

Trash Lucky บริการเก็บขยะรีไซเคิล เพื่อแลกของรางวัล โดยในยุคที่คนเริ่มใส่ใจธรรมชาติกันมากขึ้น การแยกขยะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บ้านเรือน เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร ออฟฟิศต่างๆ ก็ต้องใช้ขวดน้ำพลาสติก กล่องพลาสติกหรือสินค้าที่นำกลับมาใช้ใหม่กันมากขึ้น แม้ว่าการแยกขยะและส่งให้แก่ Trash Lucky อาจจะยังไม่ได้เป็นตัวเงินเหมือนกับการนำขวดพลาสติกไปชั่งกิโลขายตามร้านขายของเก่า แต่คนที่ไม่สะดวกจะแบกพลาสติกไปส่งร้านขายของเก่าอาจชอบที่ Trash Lucky มารับของที่บ้านเลย เมื่อขวดนั้นรวมกันถึง 6 กิโลกรัมขึ้นไป รวมทั้งมีโอกาสได้ลุ้นรับของรางวัลมากมายด้วย ถือว่าจูงใจคนที่อยากรักษ์โลกแบบไม่ยุ่งยาก

Sneak มีหลายคนที่ท่องอินสตาแกรมเห็นภาพสวยๆ แล้วอยากวางแผนไปเที่ยวในสถานที่เหล่านั้นกันบ้างไหมคะ ความวุ่นวายมักจะเกิดเมื่อเราต้องค้นหาเส้นทางการเดินทาง ที่พัก หรือตามรอยเที่ยวในสถานที่ต่างๆ สาวๆ หนุ่มๆ หลายคนที่ชอบการท่องเที่ยวอาจจะไม่ชอบเรื่องการวางแผนใช่ไหมคะ หากใช้เครื่องมือนี้อาจจะทำให้คุณสะดวกขึ้นได้ รวมทั้งเป็นโอกาสดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น หากจัดโปรโมชั่นให้เด็ดๆ อันนี้ต้องลองใช้กันดู

Instawash บริการล้างรถนอกสถานที่ สะดวกสำหรับคนมีรถแต่ไม่มีเวลาเอารถเข้าไปล้างตามปั๊มหรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพราะนั่งเฉยๆ อยู่ที่ไหนก็เรียกให้เจ้าหน้าที่มาช่วยล้างรถได้ถึงที่ ถ้าไม่มีการล้างภายในก็ไม่ต้องฝากกุญแจช่างให้วุ่นวาย เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็จะมีการแจ้งผ่านระบบ หรือใครอยากล้างภายในเมื่อเสร็จก็จะมีโทรเรียกไปรับกุญแจคืนได้ทันที สะดวกและง่ายสุดๆ อันนี้เคยลองใช้บริการแล้วผ่านที่จอดรถในห้างสรรพสินค้า

ส่วนรางวัลชนะเลิศจะเป็นใคร ทางทีมงาน thumbsup จะมาอัพเดทให้ได้ทราบกันอีกครั้งนึงนะคะ

from:https://www.thumbsup.in.th/dtac-accelerate-batch-7

“ลงทุนชั้นครู กับกูรูชั้นนำ” ครั้งแรกในประเทศไทยกับการจัดพอร์ตลงทุนตามแนวคิดกูรูชั้นแนวหน้า โดย ฟินโนมีนา สตาร์ทอัพดีแทค แอคเซอเลอเรท

 

ฟินโนมีนา (FINNOMENA, www.finnomena.comสตาร์ทอัพจากดีแทค แอคเซอเลอเรทเล็งเห็นปัญหาของการที่นักลงทุนที่ “ลงทุนโดยใช้หู” มักฟังคำแนะนำจากเพื่อนในการลงทุนแทนที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จึงได้คัดเลือก กูรูชั้นนำด้านการเงินของประเทศไทยจัดพอร์ตโชว์ โดยให้ลูกค้าสามารถลงทุนตามกูรูได้ระหว่างที่กำลังศึกษาเรื่องการลงทุน

 

ที่ผ่านมาฟินโนมีนาที่ก่อตั้งโดยคนไทยได้รับการยอมรับในวงกว้างสำหรับสังคมการเงินการลงทุนของประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า80,000 คนเป็นเม็ดเงินลงทุนกว่า 6,700 ล้านบาท อีกทั้งยังได้รับการลงทุนจาก บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวตกลุ่มเบญจจินดาดีแทค แอคเซอเลอเรท Batch 4, และ 500 TukTuks ล่าสุดได้แถลงเปิดตัวเฟสแรกในการนำแพลตฟอร์ม คลาวด์ซอสซิ่ง โรโบ-แอดไวเซอร์ (Crowdsourcing Robo-advisor) เข้าสู่ตลาดในนาม GURUPORT อย่างเป็นทางการ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ www.finno.me/info-guruport)

Crowdsourcing Investment หรือ GURUPORT เป็นแนวทางการลงทุนที่นักลงทุนเลือกลงทุนตามนักลงทุนด้วยกันที่ตนเองชื่นชอบ หรือลงทุนตามกูรูนั่นเอง โดยทั้ง กูรูที่ทางฟินโนมีนาคัดเลือกมา จะเข้ามาให้แนวคิดสำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย ลงทุนได้จริง และทำการวิเคราะห์ร่วมกับทีมงานการลงทุนของ บลน.ฟินโนมีนา ซึ่งจะมีทั้งการจัดพอร์ตสำหรับลงทุนระยะยาวเพื่อเป้าหมายทางการเงิน หรือพอร์ตที่มีลักษณะเป็นธีมการลงทุน (Thematic Portfolio) เช่น ธีม ASEAN ธีมหุ้นเติบโต ธีมเทคโนโลยี เป็นต้น เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับแฟนๆ กูรูแต่ละท่านที่อาจจะติดตามกูรูเหล่านั้นมาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่มีโอกาสได้นำแนวคิดต่างๆ ไปใช้ในการลงทุนจริง

dtac Accelerate

วันนี้ ฟินโนมีนา ได้ทำให้ฝันของนักลงทุนเป็นจริงด้วยระบบ Crowdsourcing Robo-advisor ที่นอกจากแนะนำกองทุนที่จำเป็นต้องลงทุนในครั้งแรกแล้ว นักลงทุนยังสามารถติดตามการปรับกลยุทธ์ลงทุนพร้อมเหตุผลของกูรู รวมถึงรับคำแนะนำการปรับพอร์ตตามสถานการณ์และมุมมองของตัวกูรูที่เปลี่ยนไปอีกด้วย

ที่สำคัญที่สุดคือ ฟรี! ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการแนะนำการจัดพอร์ต เพื่อให้คนไทยส่วนใหญ่ได้ทดลองใช้งาน บลน. ฟินโนมีนา จึงกำหนดเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 20,000 – 50,000 บาท

ลงทุนชั้นครู กับกูรูชั้นนำ” เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเดือน มีนาคม ที่ผ่านมา โดยบลน.ฟินโนมีนาได้จับมือร่วมกับกูรูทางการเงินชั้นนำของประเทศไทย ท่านเพื่อพัฒนาแผนการลงทุนรูปแบบต่างๆ ตามแนวคิดของกูรูแต่ละท่าน นำโดย

1.A.Stotz All-Weather Portfolio – พอร์ตการลงทุนที่พร้อมรับสถานการณ์ทุกสภาวะตลาด

ดร. แอนดรูว สตอทซ์ (Dr. Andrew Stotz) – อดีตนักวิเคราะห์ชื่อดังและนักวิเคราะห์อันดับหนึ่งของประเทศไทยจากผลสำรวจของAsiamoney Brokers ประจำปี 2008 – 2009 และจากรายงานของ All-Asia Research Team ซึ่งจัดทำโดยนิตยสาร Institutional Investor รวมถึงท่านได้เป็นประธาน CFA Society แห่งประเทศไทย

2.RUNNING for Growth – พอร์ตการลงทุนที่เน้นเติบโตไปกับอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในอนาคต

นายแว่นลงทุน” นักลงทุนอิสระ อาจารย์พิเศษ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีชุด “เฟ้นหาหุ้นรวย” โดยเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาแล้วกว่า 20 เล่ม

3.Global Aggressive Hybrid Portfolio – พอร์ตการลงทุนที่เน้นการผสมผสานระหว่างกองทุนประเภท Active และ Passive

“Wealthguru” Head of Financial Consultant จากบริษัท Kompass Wealth ซึ่งกลุ่มที่ปรึกษาการเงินอิสระที่กำลังได้รับความนิยม

4.Best of Risk Adjusted Return – Equity REITs – พอร์ตการลงทุนสไตล์เรียบง่ายที่เน้นลงกองทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกคัดเน้นๆ

“InvestDiary” นักลงทุนอิสระสาย VI เจ้าของ Facebook เพจชื่อดัง InvestDiary เชี่ยวชาญการลงทุนแบบหุ้นรายตัวแนว VI และกองทุนอสังหาริมทรัพย์รวมถึง REIT

5.ASEAN Growth – พอร์ตการลงทุนที่เน้นรับการเติบโตจากภูมิภาค ASEAN

“Investidea.in.th” ผู้เขียนหนังสือ “ผ่าความลับงบการเงิน” เป็นหนังสือที่สอนให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้อย่างง่ายๆ และสามารถเป็นผู้พัฒนาเครื่องมือและระบบการลงทุนผ่านเพจและเว็บไซต์ Labhoon

6.Long Term Defensive Plus – พอร์ตการลงทุนสไตล์ Classic ที่เน้นความเสี่ยงปานกลางถึงต่ำ เหมาะกับเก็บเงินระยะยาว

“DaddyTrader” อดีตผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเงินการลงทุน การออกหลักทรัพย์ รวมถึงเป็นผู้ให้ความรู้ด้านตราสารประเภทอนุพันธ์ เช่น Futures, Options และมีส่วนช่วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ

จากเดือนมีนาคมที่ผ่านมาถึงปัจจุบันมีผู้เข้ารับคำแนะนำการลงทุนแล้วกว่า 2,000 คน ซึ่งฟินโนมีนาตั้งเป้านักลงทุนในแพลตฟอร์มใหม่นี้10,000 คนภายในสิ้นปีนี้ สำหรับนักลงทุนที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.finno.me/info-guruport

นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟินโนมีนา กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้การตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนมักมาจากข้อมูลของบริษัทหลักทรัพย์หรือสถาบันการเงิน (Sell-side Information) หรือคนใกล้ชิด แต่ปัจจุบันการที่ผู้มีความสนใจในเรื่องเดียวกันสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์กันได้บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Social Media หรือแพลตฟอร์มการลงทุนต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดกูรูการลงทุนขึ้นมากมายนับร้อยนับพันซึ่งได้รับการยอมรับจากนักลงทุนจำนวนมาก และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยให้ความรู้เรื่องการเงินการลงทุน (Financial Literacy) เข้าถึงคนไทยในมากขึ้น ยิ่งมีความรู้ก็จะเห็นความสำคัญของการลงทุน และเข้ามาเป็นนักลงทุนกันมากขึ้น”

 

from:http://mobileocta.com/teacher-class-investment-with-leading-gurus-by-finynena-startup-dtac-accelerate/

เจาะลึกแนวคิด Hook Model ของ Nir Eyal ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบธุรกิจ

ธุรกิจยุคนี้แข่งขันกันดุเดือด ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเร็วกินปลาช้า การออกแบบธุรกิจและบริการหัวใจสำคัญต้อง “โดนใจผู้บริโภค” ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่ หรือ สตาร์ทอัพ ก็อยู่รอดยากได้ยาก

นั่นคือเหตุผลที่ dtac accelerate Batch 7 ดึงกูรูอย่าง Nir Eyal (เนีย อียาร์) เจ้าของ Hook Model มาเปิดโลกให้กับสตาร์ทอัพไทยกันอีกรอบ ที่สำคัญแนวคิดนี้ใช้ได้กับทั้งการทำธุรกิจในทุกระดับ และยังใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

4 ขั้นตอนสร้าง Healthy Habbit

Nir บอกว่า สิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องการให้เกิดขึ้นในสินค้าและบริการของตัวเองคือ Healthy Habbit หรือเรียกง่ายๆ ว่า พฤติกรรมที่ดี เข้ามาใช้บริการแล้ว ก็อยู่ด้วยกันนานๆ และกลับมาใช้งานใหม่อย่างสม่ำเสมอ

เหมือนคำกล่าวที่ว่า ลูกค้าใหม่ ไม่สำคัญเท่ากับ ลูกค้าเดิมที่กลับมาใช้บริการ

ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของธุรกิจต้องเรียนรู้ว่า ช่วงเวลาไหนที่เราควรเข้าไป “เบรค” กระบวนการไหนที่ควรเข้าไป “Unhook” ลูกค้าได้อย่างถูกต้อง และ 4 ขั้นตอนใน Hook Model ประกอบด้วย Trigger, Action, Reward และ Investment

Nir บอกว่า Trigger คือขั้นตอนแรกสุดที่เชิญชวนให้คนเข้าไปใช้บริการ

Action คือ ภารกิจหรือกิจกรรมที่ให้คนได้ร่วมกระทำ

Reward คือ ผลประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อดึงดูดให้คนอยู่กับสินค้าและบริการ

Investment คือสิ่งที่เราให้กลับไป เพื่อดึงดูดให้เราอยู่ต่อ หรือ กลับเข้ามาอีกครั้ง

ยกตัวอย่าง Hook Model ให้เห็นภาพกันชัดๆ

ตัวอย่างของ Hook Model ที่เห็นได้ชัดเจน เช่น Facebook มี Trigger คือ เกิดจากความเบื่อของเรา หรือความอยากรู้ว่าเพื่อนๆโพสอะไรกันอยู่ Action คือ การกดเข้าไปในแอพ Facebook และเริ่มอ่านกิจกรรมต่างๆในหน้า Feed 

Reward คือ สิ่งที่ได้รับจากการเข้าไปอ่าน ยิ่งเป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึก Surprise ยิ่งดี เช่น การเลื่อนหน้า Feed ไปเรื่อยๆ เราไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง ทำให้เราอยากเล่นไปเรื่อยๆ สุดท้ายคือ Investment หรือเวลาที่เราเข้าไปกดไลค์ คอมเม้นท์ หรือโพสต์อะไรสักอย่าง

เมื่อครบวงจรของ Hook Model แล้ว การที่มี Notification ขึ้นเตือนเมื่อมีคนมาไลค์หรือคอมเม้นท์โพสเราต่อ นั่นคือการเกิด Trigger อีกครั้ง แล้ววงจรก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

ส่วนตัว Nir บอกว่า แอพที่มีลักษณะของ Hook Model ที่ดีอื่นๆ เช่น Fitbod ที่เป็นแอพออกกำลังกาย มี Trigger คือ การออกแบบการออกกำลังกายที่น่าสนใจให้กับเรา Action การบันทึกและแนะนำการออกกำลังกายที่เหมาะสม Reward คือ บอกผลจากการออกกำลังกาย ปิดท้ายด้วย Investment คือ แนะนำเราว่า ครั้งต่อไปเราควรออกกำลังกายเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด

น่าจะถูกใจคนรักสุขภาพ

ในมุมมองของ Nir ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ Investment เพราะเป็นส่วนที่ทำให้คนอยู่กับสินค้าและบริการนั้นๆ จนวนกลับมาใหม่

และที่สำคัญ​สตาร์ทอัพ มักจะลืมจิ๊กซอว์ส่วนนี้ไป

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้น จะทำอย่างไรเพื่อเรียกความสนใจ

Nir บอกว่านี่เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของสตาร์ทอัพ รวมถึงธุรกิจอื่นๆ คือ จะสร้างความสนใจอย่างไร นอกจาก Internal Trigger ที่ดึงดูดให้คนอยู่ในสินค้าและบริการแล้ว External Trigger ก็มีส่วนสำคัญ

เครื่องมือที่ช่วยสร้างสิ่งเหล่านี้ เช่น Big Data, AI และ Machine Learning 

ทำให้ธุรกิจรู้จักลูกค้ามากขึ้น รู้ความต้องการ และรู้ว่า ทำอย่างไรจะดึงให้ลูกค้าอยู่ด้วยกันนานๆ

ยิ่งรู้จัก Personalize ของลูกค้ามากเท่าไร ก็มีโอกาสแก้ Pain Point ที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วมากขึ้น สร้าง Hook ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา

โอกาสสตาร์ทอัพไทยไปถึงยูนิคอร์น ยังเปิดอยู่

สิ่งที่เป็นคำถามสำหรับสตาร์ทอัพไทย คือ จะมี ยูนิคอร์น เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะทั้งอินโดนีเซีย, เวียดนาม, มาเลเซีย มียูนิคอร์นกันหมดแล้ว แล้วไทยล่ะ

Nir บอกว่า สตาร์ทอัพที่ได้รับความสนใจ เช่น Education, Health, Finance กลุ่มนี้มีโอกาสสูง และสามารถนำ Hook Model มาใช้ได้ 

เช่น Finnomena สตาร์ทอัพด้านการเงินการลงทุน ที่ปกติแล้วการลงทุนไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ดังนั้น Finnomena จึงสร้าง Hook ที่ดึงคนเข้ามามีส่วนร่วมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จากนั้นเมื่อจะลงทุนเมื่อไร ก็จะนึกถึง Finnomena

สรุป

ทุกวันนี้สตาร์ทอัพไทยพัฒนาขึ้น หัวใจสำคัญคือ การมีโครงการ dtac accelerate ที่ช่วยสนับสนุนสตาร์ทอัพ จนมีหลายรายมีรายได้ บางรายได้รับเงินทุน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี

ส่วนในภาพรวมของตลาด มีสตาร์ทอัพหลายราย ที่ได้เงินทุนไปแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว ออกจากธุรกิจไปแล้ว กลับมาลงทุนใหม่ กลับมาเป็นที่ปรึกษาช่วยสตาร์ทอัพทีมใหม่ เป็น ecosystem ที่ดี สร้าง cycle ที่ดีให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมนี้

ปัญหาส่วนหนึ่งคือ สตาร์ทอัพไทย ขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ เพราะโดนดูดไปอยู่บริษัทใหญ่ๆ หมด รวมถึงขาด Global Mindset ขาดการตั้งเป้าเป็นบริษัทระดับโลกที่จะให้บริการคนหลักร้อยล้านพันล้านคน สุดท้ายทำให้ยากในการ Scale up นี่คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/hook-model-nir-eyal/

ซิสเต็มส์สโตนสตาร์ทอัพดีแทค แอคเซอเลอเรท batch 7 ผู้ปฏิวัติรูปแบบการซ่อมบำรุงในโรงงาน รับเงินลงทุนจาก Expara Thailand

 

ซิสเต็มส์สโตน (System Stone) สตาร์ทอัพดีแทค แอคเซอเลอเรท batch 7 สายเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแนวหน้าของประเทศไทย ผู้พัฒนาระบบการทำงานผ่านมือถือให้แก่วิศวกรซ่อมบำรุงในภาคอุตสาหกรรม ประกาศรับเงินลงทุนจาก Expara Thailand บริษัท VC ชั้นนำของอาเซียน ผู้บริหารกองทุน SMEs Private Equity Trust Fund โดยธนาคารออมสิน กองที่ 2 ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารออมสินและตลาดหลักทรัพย์

โดยการเข้าลงทุนในครั้งนี้ เพื่อขยายตลาด เพิ่มยอดขายและก้าวขึ้นสู่ผู้ให้บริการระบบบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงเบอร์หนึ่งของประเทศไทย เตรียมตัวเข้าสู่การขยายตลาดสู่ต่างประเทศในปีหน้า รวมไปถึงการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาโซลูชั่นด้าน Internet of Things สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม

 

System Stone

นายสิทธิกร นวลรอด ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งซิสเต็มส์สโตน กล่าวว่า “ซิสเต็มส์สโตน เติบโตขึ้นท่ามกลางความท้าทายของเทรน Industry 4.0 ซึ่งอุตสาหกรรมทั่วโลกต่างมองหาโซลูชั่นที่จะเข้ามาช่วยสร้างความแตกต่างและความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่บริษัทของเรามีความเชี่ยวชาญก็คือการพัฒนา Mobile Application Platform ซึ่งจะถูกออกแบบให้เข้าไปช่วยสนับสนุนให้วิศวกรและผู้ปฏิบัติงานในโรงงานสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะด้านการซ่อมบำรุงเครื่องจักรได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัวขึ้น เสริมศักยภาพในการทำงาน ยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมไปสู่ยุค Digital Workforces ได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดทั้งต้นทุนและเวลา และเมื่อเราสามารถอัพเกรดภาคอุตสาหกรรมไปสู่ Digital Factory ได้แล้ว การเชื่อมโยงและสร้างEcosystem ร่วมกันก็สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งนั่นจะเป็นเป้าหมายหลักในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่ยุค 4.0”

สำหรับแผนการขยายตลาดนั้น ปัจจุบันบริษัทเน้นการเจาะกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และชิ้นส่วนยานยนต์เป็นหลัก มีลูกค้าในกลุ่มของบริษัทยักษ์ใหญ่อาทิ CPF, Kubota, Mettler Toledo, Oishi, Yokogawa, PFP, Dow (Thailand) และอีกกว่า 50 องค์กร โดยในปีนี้มีแผนเพิ่มฐานลูกค้าอีก 100 โรงงานผ่านดีลเลอร์ที่มีอยู่ 7 ราย และผ่านการสนับสนุนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งยังเน้นการจัดกิจกรรมทางการตลาดและการเพิ่มดีลเลอร์และพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มต่างๆ นอกจากนี้จะมีการเปิดตัวสินค้าและบริการด้าน Industrial Internet of Things ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาเครื่องจักรไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของบริษัทไปสู่ผู้นำด้านเทคโนโลยีการบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรในระดับประเทศ และระดับอาเซียนต่อไป

ในส่วนของนักลงทุนนายอนิกซ์ ลินซ์ พาร์ทเนอร์ บริษัท Expara ผู้จัดการกองทรัสต์ของ SMEs Private Equity Trust Fund โดยธนาคารออมสินกองที่ 2กล่าวว่า “บริษัท ซิสเต็มส์สโตน มีแผนในการปฏิวัติภาคอุตสาหกรรมด้วยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในแพคเกจราคาที่เข้าถึงได้ เรามีความตื่นเต้นที่ได้เห็นกลุ่มผู้ก่อตั้งซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะพัฒนาเทคโนโลยีไปสู่การซ่อมบำรุงในระดับของการคาดการณ์ ( Predictive Maintenance ) ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมากร่วมกับระบบตรวจวัดหรือเซนเซอร์ Internet of Things

ปัจจุบันสิ่งที่โรงงานอุตสาหกรรมกำลังกังวลอย่างมากก็คือเรื่องของการลดต้นทุนการดูแลรักษาและการเพิ่มอายุการใช้งานของอุปกรณ์ เครื่องจักร ซึ่งบริษัทซิสเต็มสโตนสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ ด้วยซอฟแวร์ที่จะช่วยลดระยะเวลาเสียของเครื่องจักร ลดต้นทุนการดำเนินการและต้นทุนการซ่อมบำรุง ตัวอย่างเช่นระบบ IoT ที่จะช่วยลดความผิดพลาดของคน ช่วยป้องกันการ Breakdown ของเครื่องจักรได้ดีกว่าถึง 40-50% และช่วยลดการลงทุนในอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักรได้อีกกว่า 4-5% เราเชื่อว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทย และด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ทั้งในวงการไอทีและแวดวงอุตสาหกรรม จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเห็นได้จากฐานลูกค้าจำนวนมากในปัจจุบัน”

นายสมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท กล่าวว่า “ซิสเต็มสโตน เป็นสตาร์ทอัพสาย Industrial Tech  เฉพาะกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ที่เข้าไม่ถึงคนหมู่มาก ไม่เซ็กซี่และเข้าใจยาก แต่มีเม็ดเงินในอุตสาหกรรมนี้เยอะมากๆ มีตัวเลขประมาณการออกมาเป็นหลักแสนล้านบาทต่อปี และยังเป็นอุตสาหกรรมที่ยังไม่ค่อยมี สตาร์ทอัพเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาเหมือนอุตสาหกรรมอื่นๆ

สิทธิกร ซีอีโอและผู้ก่อตั้งของ ซิสเต็มสโตน เป็น domain expert หรือผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้ มีประสบการณ์ในการทำงานในอุตสาหกรรมนี้มาไม่ต่ำกว่า 11 ปี ทราบถึงปัญหาในเบื้องลึกและมองเห็นโอกาสและช่องทางที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับเจ้าของโรงงานได้อย่างมหาศาล ซิสเต็มสโตน ยังมีโอกาสทางการตลาดในกลุ่มลูกค้า อีกกว่า 90% ของโรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีมากกว่า400,000 โรงงาน ดีลการลงทุนในครั้งนี้จะช่วยให้ ซิสเต็มสโตน ดำเนินธุรกิจบรรลุเป้าหมายไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น”

 

from:http://mobileocta.com/system-stone-a-smart-factory-solution-from-dtac-accelerate-batch-7/

ดีแทค แอคเซอเลอเรท ประกาศผลสตาร์ทอัพเข้าโครงการปี 7 ตั้งเป้าเคี่ยวธุรกิจ‘สเกล’ ให้โตไวขึ้น กว่า 70% ของผู้ก่อตั้ง เป็น ‘Domain Expert’

 

ดีแทค แอคเซอเลอเรท ประกาศผลทีมสตาร์ทอัพ 15 ทีมที่ได้รับการคัดเลือกร่วมโครงการปีที่ จากงาน Pitch Dayโดยทั้ง 15 ทีม ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับเงินทุนทีมละ 5 แสนบาท ถึง 1.5 ล้านบาท

พร้อมรับการสนับสนุนในเชิงพาณิชย์จากดีแทค มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท ต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มเข้าอบรม  Boot Camp เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2562 และนำเสนอผลงานรอบสุดท้ายประกาศผลวัน Demo day ในเดือนกันยายนนี้ ผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งหมด 15 ทีมได้แก่ 

dtac accelerate

1. Arincare Health Tech ระบบบริหารร้านขายยา ที่ใช้งานง่ายที่สุด ช่วยร้านขายยาบริหารสต็อคสินค้า ลดต้นทุน เพิ่มกำไรอย่างมีประสิทธิภาพ

2. Eureka! ที่ปรึกษาทางด้านการเลือกอาชีพที่เหมาะสม โดยใช้ระบบ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ในการแมตช์ผู้สมัครกับตำแหน่งงานที่บริษัทเปิดรับ ผ่านแบบทดสอบทางด้านวัฒนธรรมองค์กรและทักษะเอกลักษณ์เฉพาะ

3. Fingas แพลตฟอร์มกลางระหว่างลูกค้าและหน้าร้านแก๊สหุงต้ม เพื่อช่วยในการซื้อขาย และบริหารจัดการระบบได้ง่ายขึ้น

4. Foodie แพลทฟอร์มสำหรับใช้ในการบริหารจัดการ การสั่งอาหารออนไลน์จากหลายช่องทาง สำหรับร้านอาหาร

5. Hisobus บริการเช่ารถบัสและรถตู้ออนไลน์ เป็น Sharing economy หรือ gig economy ด้วยแนวคิดสังคมเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน

6. Instawash แอปพลิเคชั่นล้างรถตามตำแหน่งที่ลูกค้าต้องการ ให้บริการล้างรถระดับพรีเมี่ยม ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ไม่ต้องรอเข้าคิว เพียงแค่ปักหมุดตำแหน่งที่ต้องการ

7. Kinkao บริการส่งอาหารเดลิเวอรี่ที่ช่วยให้พนักงานออฟฟิศได้รับสวัสดิการอาหารเที่ยงฟรีตรงเวลา เพื่อตอบโจทย์สูงสุดคือให้ทั้งองค์กรและทั้งพนักงานมีความสุขกันทั้ง 2 ฝ่าย

8. LING แอปวัดแปลงที่ดินใช้คำนวณขนาดที่ดินเพื่อการซื้อ-ขาย ให้เช่าทำประโยชน์ วัดขนาดงานด้านเกษตรกรรม ช่วยให้การทำแผนที่ที่ดินสะดวกและง่ายขึ้นอย่างมาก

9. Loops บริการร่วมเดินทาง (Ride-Sharing) จองรถตู้หลังงานคอนเสิร์ต และกิจกรรมบันเทิง

10. Skooldio Education Tech สคูลดิโอคือการเรียนผ่านห้องเรียนจริงและออนไลน์ ที่จะช่วยให้ทุกคนมีความเชี่ยวชาญในทักษะสมัยใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการสูงสุดในปัจจุบัน เช่น การเขียนโปรแกรม วิทยาศาสตร์ข้อมูล กระบวนการคิดเชิงออกแบบ หรือการทำธุรกิจดิจิทัล

11. Sneak แพลตฟอร์มวางแผนการท่องเที่ยวโดยใช้รูปภาพ

12. System Stone แพลตฟอร์มสำหรับช่างวิศวกร ช่วยจัดการงาน PM ปิดใบงานซ่อม เบิกอะไหล่ ทำได้ผ่านมือถือ สะดวก รวดเร็ว

13. Trash Lucky ผู้สร้างแคมเปญ “ขยะลุ้นโชค” ให้สามารถแลกขยะรีไซเคิลเป็นฉลากจับรางวัลเงินสด

14. Viabus แอปพลิเคชันติดตามและนำทางรถโดยสารประจำทาง ภายในกรุงเทพ และปริมณฑล ที่จะทำให้การเดินทางไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป

15. Ztrus ระบบช่วยทำบัญชีให้กับเจ้าของกิจการ SME และองค์กร

นายสมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท กล่าวว่า “ปีนี้เห็นการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยอย่างมีนัยสำคัญ มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการเป็น Domain Expert มากขึ้นและหลากหลายอุตสาหกรรม กว่า 70% ของผู้ก่อตั้งเป็น Domain Expert ที่ช่วยแก้ปัญหาในกลุ่มธุรกิจองค์กร ธุรกิจสตาร์ตอัพเริ่มที่จะเปลี่ยนรูปแบบจาก B2C (Business to Consumer) คือ การที่ธุรกิจขายสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภคทั่วๆไปโดยตรง ไปสู่ B2B (Business to Business) ทำธุรกิจโดยขายสินค้าหรือบริการ ให้กับลูกค้าที่เป็นลูกค้าองค์กรเป็นIndustry Tech ระดับที่องค์กรใหญ่ๆต้องเอามาใช้เป็นระบบหรือเป็นเครื่องมือในพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  นับเป็นปรากฏการณ์ที่ดี เพราะว่าองค์กรใหญ่มีความพร้อมในการลงทุน ที่จะช่วยทำให้แพลตฟอร์มของสตาร์ทอัพขยายหรือ เติบโตแบบก้าวกระโดด (scalable business model) ไปได้อีกอย่างรวดเร็ว”

แม้ว่าจะมีหลายทีมที่ทำธุรกิจ B2B แต่ก็ยังมีปัญหาที่ดีแทค แอคเซอเลอเรท เล็งเห็นและเป็นโจทย์ที่ต้องช่วยกันแก้ไขคือคำว่า ‘Scale’ ธุรกิจสตาร์ทอัพปีนี้จะมาวัดกันที่ scalability ว่าจะมีความสามารถในการ scale ได้มากน้อยแค่ไหนขนาดตลาด market size เป็นอย่างไง บางธุรกิจB2ที่ไม่รู้จะ scale อย่างไร ถ้าสตาร์ทอัพสามารถเจาะจงวิธี scale ได้บนเวที เมนเทอร์ก็จะชอบ หลายๆทีมจะต้องกลับไปปรับปรุงเรื่องscalability ว่าจะสามารถ scale ได้อย่างไรบ้าง นั่นคือโจทย์ที่ต้องทำให้เยอะขึ้นในปีหน้า”

โดยทั้ง 15 ทีมจะเข้าสู่ boot camp ได้รับการโค้ชชิ่ง จากเมนเทอร์ระดับโลก เช่น เจคอป กรีนสแปน (Jacon Greenshpan) หรือรู้จักกันในนาม “โยดาแห่ง UX/UI” เจคอปเป็นวิทยากรให้กับหลักสูตรการออกแบบ UX สิ่งที่เจคอปถนัดคือการสร้าง User Interface อย่างสร้างสรรค์ และเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการให้คำปรึกษาของโครงการ Google Launchpad Accelerator เจค แนป (Jake Knapp) ผู้เขียนหนังสือ “Sprint”หนึ่งในหนังสือขายดีที่สุดของ The New York Times มาสอนเรื่อง Design Sprint หลักสูตรกระบวนการวิเคราะห์ลูกค้า ทดสอบ และวัดผลผลิตภัณฑ์อย่างรวดเร็วภายใน 5 วัน เนีย อียาล (Nir Eyal) เจ้าของทฤษฏี Hooked model ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของสตาร์ตอัพระดับโลกอย่าง Facebook และ Instagram  และไฮ ฮาบอท (Hai Habot) ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นกูรู OKR มือ ของโลกรวมถึงเครื่องมือต่างๆจากทั้งของ Google Cloud, Facebook, AWS เป็นต้น

 

from:http://mobileocta.com/dtac-accelerate-batch-7-announced-startup-finalists-and-aimed-to-help-startups-scale-up-faster/

VC ชี้สตาร์ตอัพไทย 99% ยังไม่พร้อมโต ต้องปรับแนวคิดในการขยายธุรกิจในระดับโลก ตั้งแต่วันแรก

 

ดีแทค แอคเซอเลอเรท ติวเข้มสตาร์ตอัพสู่ระดับ Series A ขนทัพนักลงทุนตัวแม่ ชี้เป้าเดินหน้าให้เป็นยูนิคอร์น กับหลักสูตร A-Academy

VC ระดับโลกระบุสตาร์ตอัพไทยมีจุดอ่อน 3 อันดับ ที่เป็นอุปสรรคในการขยายธุรกิจให้เติบโตได้

อันดับ 1 คือ แนวคิดในการทำธุรกิจที่ช่วยแก้ปัญหาตลาดที่ใหญ่กว่าในประเทศ

อันดับ 2 คือ ผู้ใช้บริการไม่ถึงเป้าหมาย ขั้นต่ำต้องมี 10,000 รายต่อวัน

และอันดับ 3 คือ การขาดแคลนโปรแกรมเมอร์ และการรับมือบริหารองค์กรที่โต แบบก้าวกระโดดไม่ทัน

dtac

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ดีแทค แอคเซอเลอเรท จึงได้จัดโปรแกรม “A Academy” ผลักดันบริษัทสตาร์ตอัพศิษย์เก่าของ ดีแทค แอคเซอเลอเรท ให้สามารถระดมทุน ขึ้นไปสู่ระดับ Series A และไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุดในการเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศไทย

โดยจัด intensive คอร์สแรกผ่านไปแล้ว กับเหล่า VCs นักลงทุนชื่อดังของเอเชียเช่น นางสาวปารดา ทรัพย์ประเสริฐ ผู้อำนวยการ 500 Tuk Tuks เจฟฟรี เพนน์ (Jeffrey Paine) ผู้บริหารกองทุน Golden Gate Ventures อิน ยอง ชุง (In Young Chung)  Global Investment ของ Line Ventures โคอิชิ ไซโตะ (Koichi Saito) ผู้ก่อตั้งและบริหารกองทุน KK Fund

อัลเบิร์ต ชายย์ (Albert Shyy) Principle ของ Burda Principle Investment และ จัสติน เหงียน (Justin Nguyen) Principle ของ Monk’s Hill Venture  มาเป็นเมนเทอร์ เพื่อโค้ชบริษัทสตาร์ตอัพแบบตัวต่อตัว รวมถึงแชร์ทุกเรื่องที่ควรรู้เพื่อให้การระดมทุนในรอบ Series A ให้เป็นไปอย่างราบรื่น

นางสาวอณัฐภิสา จันทะไทย หัวหน้าโปรแกรม A Academy ภายใต้โครงการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท กล่าวว่า ในปีนี้สถานการณ์ในวงการสตาร์ตอัพยังคงดุเดือดเหมือนเดิม สตาร์ตอัพไทยส่วนใหญ่ขาดเงินลงทุน ทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ “Series A Bottleneck” ซึ่งเป็นการกระจุกตัวของสตาร์ตอัพที่ระดับ Seed และไม่สามารถขยายเงินลงทุนขึ้นไปสู่ระดับ Series A ได้ ซึ่งการบริหารบริษัทที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น seed stage มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบริษัทที่เริ่มscale ขยายการเติบโต

หลักสูตร A Academy โฟกัสในการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ก่อตั้งบริษัท ใน 3 เรื่องหลักๆ ที่สำคัญ คือ

1) การระดมทุน (Fund raising) บริษัทสตาร์ตอัพผู้ก่อตั้งได้รับคำแนะนำจาก VC โดยตรง และเข้าใจว่า VC ใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตัดสินใจลงทุน โดยมีVC ที่ลงทุนใน series A และ B มาเป็นเมนเทอร์ให้คำแนะนำลงลึกแบบตัวต่อตัว

2) ทักษะในการบริหาร (Management skill) การออกแบบโครงสร้างองค์กร การบริหารระดับกลาง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับ CEO ที่ ขยายทีมงานจาก 5 -10คนในตอนแรก เป็น 30 – 50 คน ดีแทค แอคเซอเลอเรท เป็นพันธมิตรกับ Google Launchpad Accelerator ในการจัด workshop ‘Leaders Lab’ ให้กับ CEOและ CTO เพื่อปูพื้นฐานหลักการบริหาร เกี่ยวกับทักษะการบริหารธุรกิจแบบมืออาชีพ

3) การขยายธุรกิจให้เติบโต (Growth & Scaling) ดีแทค แอคเซอเลอเรทเชิญกูรู จากซิลิคอล วาลเลย์ มาสอนเรื่อง การทำธุรกิจไปสู่ลูกค้ารายบุคคล B2C และการทำธุรกิจไปสู่กลุ่มลูกค้าองค์กร B2B และยังได้เป็นพันธมิตรกับ Google Cloud และ AWS ที่จะส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเมนเทอร์ เกี่ยวกับการใช้ Machine Learning และ AI เพื่อช่วยขยายธุรกิจให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว

เจฟฟรี เพนน์ ผู้บริหารกองทุน Golden Gate Ventures อิน ยอง ชุง Global Investment ของ Line Ventures และโคอิชิ ไซโตะ (Koichi Saito) ผู้ก่อตั้งและบริหารกองทุน KK Fund ต่างระบุว่า

สตาร์ตอัพไทย มีจุดอ่อนในเรื่องของแนวคิด ตั้งแต่เริ่มต้นในการทำธุรกิจ ที่คิดถึงการแก้ปัญหาเฉพาะตลาดในประเทศ ต้องปรับเรื่องของแนวคิดให้มองธุรกิจ ที่ขยายสเกลได้ระดับโลก หรือภูมิภาค

ถ้ามองว่าไปต่อไม่ได้ต้องตัดใจหยุดทันทีและไปเริ่มธุรกิจใหม่ ประเทศไทยมีสตาร์ตอัพเพียง แค่ 1% เท่านั้นที่มีความพร้อมจะระดมทุนได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัย ในจำนวนของผู้ใช้บริการบนแพลตฟอร์มที่น้อย และการขาดแคลนบุคคลากรทางด้านการคิดวิเคราะห์ดาต้า และโปรแกรมเมอร์ ซึ่งส่งผลให้สตาร์ตอัพไทยโตต่อไปได้ยาก

นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ฟินโนมีนา กล่าวว่า “หลักสูตรนี้ ช่วยให้ ฟินโนมีนา ฟินเทคสตาร์ทอัพที่ได้เข้าร่วมโครงการ A-Academy ซึ่งปัจจุบันมีผู้สมัครสมาชิกแพลตฟอร์มแล้วกว่า 70,000 คน และมีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำการลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นมาระดับหนึ่งก็จะเริ่มเจอความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงไปในการที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง

การเข้าถึงผู้ใช้งานออนไลน์ในวงกว้างเริ่มทำได้ยากมากขึ้น และมีต้นทุนที่สูงมากขึ้น ทำให้บริษัทต้องเริ่มมีโครงการที่จะพาร์ตเนอร์กับบริษัทเทคโนโลยีที่เข้าถึงผู้คนได้จำนวนมาก รวมไปถึงการมองหา CVC ที่สามารถช่วยสเกลขยายธุรกิจให้เติบโตไปอีกขั้น

นอกจากนี้ก็ยังมีความท้าทายด้านบุคลากร เนื่องจากจำนวนพนักงานเริ่มโตเข้าใกล้หลักร้อยคน ทำให้การสร้างวัฒนธรรมองค์กรมีความท้าทายมากขึ้น การเข้าร่วม A-Academy ครั้งนี้ จะทำให้ฟินโนมีนาสามารถก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ไปได้อีกขั้น”

บริษัทสตาร์ตอัพในการดูแลของดีแทค แอคเซอเลอเรทได้รับการระดมทุนคิดเป็นมูลค่ากว่า 17% ของยอดการระดมทุนทั้งหมดของประเทศในปี 2018

โดยมีการระดมทุน Series A ของ Fast Work ดีแทค แอคเซอเลอเรท batch 4 ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในการระดมทุนระดับ Series A ที่ใหญ่ที่สุด และ Ricult ดีแทค แอคเซอเลอเรท batch 5 เป็นการระดมทุนระดับ Seed ของสตาร์ตอัพด้านการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

from:http://mobileocta.com/vcs-said-99-of-thai-startups-cannot-grow-unless-they-think-about-global-expansion-from-day-one/

ฟินโนมีนา สตาร์ตอัพจากดีแทค แอคเซอเลอเรท จับมือกรุงศรี ฟินโนเวต ผงาด Robo-advisor บริหารเงิน 6 พันล้าน

 

ฟินโนมีนา (FINNOMENA) ผู้นำธุรกิจแนะนำการลงทุนด้วยเทคโนโลยี Robo-advisor ฟินเทคที่มีมูลค่าสูงที่สุดจากดีแทค แอคเซอเลอเรท batch ร่วมกับกรุงศรี ฟินโนเวต หนึ่งใน VC ของฟินโนมีนา และบล.กรุงศรี ร่วมกันพัฒนาขยายแพลตฟอร์ม คลาวด์ซอสซิ่ง โรโบแอดไวเซอร์ (Crowdsourcing Robo-advisors) ซึ่งเป็นการใช้ Big Data ประมวลความคิดเห็นของกูรูการลงทุน และมวลชนในแพลตฟอร์มของฟินโนมีนา ให้กลายเป็นการให้คำแนะนำการลงทุน ให้กับลูกค้าบล.กรุงศรีและลูกค้าที่สนใจ

ตอบรับแนวทางการพัฒนาตลาดทุนเรื่องการเปิดเสรีแพลตฟอร์มให้คำแนะนำลงทุนแบบ Crowdsourcing ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ต้องการให้เกิดการขยายฐานความรู้ด้านการลงทุนไปสู่คนไทยในวงกว้าง โดยฟินโนมีน่าเน้นเติบโตด้วยนวัตกรรม Crowdsourcing Robo-advisors และการเป็นแหล่งข้อมูลการลงทุนอันดับหนึ่งในใจคนไทย ตั้งเป้าจำนวนผู้ใช้บริการแพลตฟอร์ม Robo-advisor ของฟินโนมีนา (Subscribers) กว่า 1แสนคน และสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำการลงทุนทะลุหลักหมื่นล้านบาท ระดมทุนพร้อมก้าวขึ้นสู่ Series B ภายในปีนี้

นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ฟินโนมีนา กล่าวว่า เทรนด์ของ Robo-advisors ทั่วโลกเริ่มเห็นการจับมือกันระหว่างบริษัทฟินเทค สตาร์ทอัพ และ สถาบันการเงินมากขึ้น โดยเป็นการผสานจุดแข็งของสถาบันการเงินที่มีฐานลูกค้าจำนวนมาก กับฟินเทค สตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยเทคโนโลยี Robo-advisors เข้ามาช่วยแก้โจทย์หลักคือการทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงคำแนะนำการลงทุนที่มีคุณภาพได้ “ในวันนี้มีคนไทยอีกนับสิบล้านคนที่ยังไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนที่ถูกต้อง และยังเข้าไม่ถึงที่ปรึกษาการลงทุนที่มีคุณภาพ ซึ่ง Robo-advisors เกิดขึ้นมาเพื่อแก้โจทย์ตัวนี้”

ปีที่ผ่านมาฐานผู้ใช้บริการแพลตฟอร์ม Robo-advisor ของฟินโนมีนา เติบโตกว่า 60% มาที่ประมาณ หมื่นคนในปัจจุบัน ซึ่งหลัก ๆ มาจากนักลงทุนที่ชื่นชอบข่าวสารข้อมูลทั้งกองทุน หุ้น และคำแนะนำการลงทุนของฟินโนมีนา โดยนักลงทุนได้สร้างแผนการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มของเราแล้วกว่า หมื่นแผนการลงทุน และลงทุนจริงในแพลตฟอร์ม Fundsupermart แล้วประมาณ พันล้านบาท

เราเชื่อว่าฐานผู้ใช้งานของฟินโนมีนา (Subscribers) สามารถเติบโตได้ถึงหลักล้านคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นจุดที่ฟินโนมีนาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทย ทำให้คนไทยในวงกว้างมีความรู้เรื่องการลงทุนอย่างถูกต้อง สามารถส่งลูกหลานให้มีการศึกษาได้อย่างตั้งใจ และเกษียณโดยพึ่งพาตัวเองได้ในสังคมสูงวัยที่กำลังจะเกิดกับประเทศไทยใน 10 ปีข้างหน้า” นายเจษฎากล่าว

นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ กรุงศรี ฟินโนเวต กล่าวว่า “จากแผนการเติบโตในระยะยาวของฟินโนมีนา ทางกรุงศรี ฟินโนเวต ได้เตรียมพร้อมเพิ่มการลงทุนในรอบการระดมทุน Series B ในปีนี้เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจของฟินโนมีนาในอีก 1 – 3 ปีข้างหน้า ซึ่งฟินโนมีนา นั้นได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตจนมีสินทรัพย์ภายใต้การลงทุนเทียบชั้นกับ Robo Advisor ชั้นนำในสหรัฐ โดยปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการ Roadshow และได้รับผลการตอบรับที่ดี จากนักลงทุน VC ทั้งในและต่างประเทศ โดยในระยะยาวเราตั้งเป้าให้ฟินโนมีนาสร้างปรากฏการณ์เป็นบริษัทฟินเทคแห่งแรกของคนไทยที่สามารถเติบโต และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

FINNOMENA

นายสมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท กล่าวว่า ความร่วมมือในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Crowdsourcing Robo-advisors ของฟินโนมีนากับกรุงศรี ฟินโนเวต ครั้งนี้นับเป็นการส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะมีสตาร์ตอัพสายฟินเทค ที่จะก้าวขึ้นเป็นยูนิคอร์นตัวแรกๆของไทย เพราะเพียงแค่ระยะเวลาไม่ถึง 18 เดือนที่ผ่านบูทแคมป์ของดีแทค แอคเซอเลอเรท ไปฟินโนมีนาก็ติดปีกเติบโตจนกระทั่งมีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำการลงทุนผ่าน แพลตฟอร์มไปแล้วกว่า 6,000 ล้านบาท และก็มีแผนจะระดมทุน Raised Series B ภายในปีนี้ ประกอบกับจุดแข็งของฟินโนมีนา ที่มีทีมผู้บริหารทุกคนและที่ผู้ก่อตั้งที่มีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ในตลาดนี้มาอย่างยาวนานกว่าตลอด 20 ปี ทำให้มั่นใจว่า ฟินโนมีนา จะก้าวเข้ามามีส่วนช่วยให้คนไทยหลักล้านคนสามารถเข้าถึงบริการทางด้านการเงินและการลงทุนได้ง่ายกว่า ถูกกว่า ดีกว่าและเร็วกว่าเดิม

เกี่ยวกับฟินโนมีนา (FINNOMENA)

FINNOMENA แพลตฟอร์มแนะนำการลงทุนด้วยเทคโนโลยี Robo-advisors ชั้นนำของเมืองไทยทั้งในรูปแบบเว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่น ที่เน้นเผยแพร่ความรู้เรื่องการลงทุนในรูปแบบที่เข้าใจง่ายโดยกูรูการลงทุนกว่า 50 ชีวิต ภายใต้สโลแกน “Unlock Your Investment Potential” หมายถึงเป้าหมายของฟินโนมีนาในการปลดล็อคศักยภาพการลงทุนของคนไทยให้มีความรู้เรื่องการลงทุนที่ถูกต้อง นำไปสู่ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในระยะยาว

FINNOMENA PORT คือผลิตภัณฑ์แนะนำการจัดพอร์ตด้วยกองทุนรวม โดย FINNOMENA PORT จัดเป็นฟินเทคประเภท Robo-Advisor ที่ตอบโจทย์การลงทุนเพื่อสะสมความมั่งคั่งในวัยทำงาน และสร้างรายได้จากการลงทุนในวัยเกษียณ ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2561 บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด มีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำการลงทุนกว่า 5,555 ล้านบาท (ข้อมูล ณ ธ.ค. 2561)

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบลน.ฟินโนมีนา ได้ที่ www.finnomena.com หรือโหลดแอพพลิเคชัน FINNOMENA ได้ทาง iOS และAndroid

จากภาพ นายสมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท

ภาพหมู่เรียงลำดับจากซ้ายไปขวา

1. นายกสิณ สุธรรมมนัส ผู้ร่วมก่อตั้งบลน. ฟินโนมีนา

2. นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ฟินโนมีนา

3. นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ กรรมการบริหาร บลน.ฟินโนมีนา

4. นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ กรุงศรี ฟินโนเวต

from:http://mobileocta.com/finnomena-startup-from-dtac-accelerate-and-krungsri-finnovate-become-thailands-number-one-robo-advisory-platform/

dtac Accelerate เปิดรับสมัครทีมสตาร์ตอัพปีที่ 7 พร้อม 2 หลักสูตรใหม่สำหรับผู้เริ่มต้น และรุ่นเก๋าในครอบคัว dtac Accelerate

dtac เปิดรับสมัครทีมสตาร์ตอัพเข้าร่วมการแข่งขัน dtac Accelerate เป็นปีที่ 7 เพื่อเฟ้นหาทีมสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพมากพอที่จะก้าวไปสู่ระดับโลก โดยคราวนี้ยังได้มีการเพิ่มเติมหลักสูตรขึ้นมาเป็น 2 หลักสูตรสำหรับทีมสตาร์ตอัพน้องใหม่ และทีมสตาร์ตอัพที่อยู่ในครอบครัว dtac แล้วอีกด้วย

สำหรับการแข่งขัน dtac Accelerate ในคราวนี้ ทีมที่เข้ารอบจะได้รับเงินลงทุนสูงสุดถึง 1.5 ล้านบาทต่อทีม, ได้เข้าร่วม Bootcamp ที่มีหลักสูตรจาก Silicon Valley เป็นระยะเวลา 4 เดือน, มีเมนเทอร์คนดังในวงการสตาร์ตอัพของประเทศไทยคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด, ได้นำเสนอสตาร์ตอัพต่อหน้านักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ และยังได้มีโอกาสได้รางวัลไปเยี่ยมเยียน Tech Conference ระดับโลก และอื่นๆ อีกมากมาย

โดยมีเหล่าพาร์ทเนอร์และเหล่าผู้ลงทุนทั้งในระดับประเทศและระดับโลกร่วมให้การสนับสนุนโครงการ dtac Accelerate ครั้งนี้ มากมายไม่ว่าจะเป็น ปตท, เมืองไทยประกันชีวิต, IBM, VISA, Samsung และบริษัทดังๆ ใหญ่ๆ อีกเพียบ

นอกจากนี้ dtac Accelerate ปี 7 ยังได้เพิ่มหลักสูตรใหม่ขึ้นมาอีก รวมเป็น 2 หลักสูตร คือ

  1. หลักสูตรสำหรับสตาร์ตอัพน้องใหม่ สำหรับผู้ที่มีไอเดียเจ๋งๆ แต่ยังไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ หรือจะเป็นการเร่งรัดสำหรับผู้ที่เริ่มทำเป็นธุรกิจแล้วให้เติบโตได้เร็วขึ้น
  2. หลักสูตร A Academy สำหรับเหล่าสตาร์ตอัพที่อยู่ในครอบครัว dtac Accelerate ในกลุ่มการลงทุนระดับ Series A เพื่อช่วยสนับสนุนแนวทางในการหาเงินทุนให้ได้สูงสุดถึง 100 ล้านเหรียญ

dtac กำลังเปิดรับสมัครทีมที่สนใจจะเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในครอบครัว dtac Accelerate ปีที่ 7 แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 16 เมษายน 2562 นี้ โดยเข้าไปสมัครกันได้เลยที่ accelerate.dtac.co.th/th/apply/login

 

ข้อมูลเพิ่มเติม : dtac Accelerate

from:https://droidsans.com/dtac-accelerator-batch-7/

ดีแทค แอคเซอเลอเรท ปี 7 ปั้นหลักสูตร A Academy ปลดล็อคสตาร์ตอัพไทยซีรี่ส์ A ขึ้นแท่นยูนิคอร์น

 

ดีแทค แอคเซอเลอเรท เปิดโครงการ ปี 7 จัดหลักสูตรใหม่ A Academy สำหรับสตาร์ตอัพ ที่จัดอยู่ในกลุ่มการลงทุน ระดับซีรี่ส์ A 

ซึ่งเป็นการลงทุนของกลุ่มนักลงทุนในระดับ Venture Capital และ Corporate Venture Capital ที่มีมูลค่าการลงทุนจะอยู่ในช่วง 1 – 15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเป็นเงินไทยที่ 33 – 495 ล้านบาท

เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในภูมิภาคเอเชียและระดับโลก หลังพบว่าสตาร์ตอัพไทยติดกับดัก ซีรี่ส์ A หรือ Series A bottleneck ไม่สามารถโตต่อไปได้

dtac accelerate

นางอเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดีแทคมีความตั้งใจที่จะนำเอาดีแทค แอคเซอเลอเรท สตาร์ตอัพเข้ามาช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจใน 2 ด้านหลักคือ

1.สร้างพลังในการขับเคลื่อนองค์กรใหญ่ของดีแทค ไปสู่ Digital Transformationโดยการปรับวัฒนธรรมการทำงานในองค์กรแบบอไจล์ (Agile) ที่นำเอาแนวคิดการทำงาน และที่ปรึกษาสตาร์ตอัพ จาก ดีแทค แอคเซอเลอเรท เข้ามาช่วยปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของพนักงานในองค์กร เพื่อพัฒนางานให้ได้ประสิทธิภาพตามเป้าหมาย

2.การสร้างระบบนิเวศน์ เป็นหัวใจสำคัญของการเปิดให้บริการ5G รวมทั้งหากรณีศึกษา เพื่อการใช้งานจริงในโลกธุรกิจ ดีแทค แอคเซอเลอเรท เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของดีแทคจะช่วยผลักดันให้เกิดบริการที่สร้างสรรค์ โดยได้นำเอาแพลตฟอร์มของสตาร์ตอัพ มาช่วยสนับสนุนต่อยอดนำเทคโนโลยีมาพัฒนาบริการ ที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจและสังคมโดยการแสวงหาความร่วมมือ จากหลายหน่วยงาน และนำเอาสตาร์ตอัพเข้าร่วมโครงการทดสอบ 5G Testbed สนามทดลองขนาดใหญ่เพื่อเร่งรัดการพัฒนาระบบ 5G โดยมีแพลตฟอร์มจากสตาร์ตอัพ Ooca และ Globlish เข้าร่วมทดสอบด้วย”

ปลดล็อคสตาร์ตอัพไทย ขึ้นแท่นยูนิคอร์น

ปัจจุบันดีแทค แอคเซอเลอเรทมีสตาร์ตอัพที่ผ่านการระดมทุนระดับ Series A จำนวน 6 ธุรกิจในขณะที่ยังมีอีก 23 ธุรกิจที่ผ่านการระดมทุนระดับเริ่มต้น (Seed) โดยมูลค่าของการระดมทุนจะอยู่ในช่วง 20,000 – 50,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 600,000 – 1.5 ล้านบาท ซึ่งยังไม่สามารถระดมทุนต่อไปถึง Series A ได้

ดังนั้นจึงเปิดตัวโครงการ A Academy นี้ขึ้นมาเพื่อที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจสตาร์ตอัพเหล่านั้นให้ก้าวไปสู่การระดมทุนระดับ Series A  โดยในโครงการนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมสำหรับ การระดมทุนในรอบการระดมทุนที่มีมูลค่าสูง รวมไปถึงการเข้าถึงลูกค้าที่มากขึ้น และการนำเทคโนโลยีขั้นสูง เข้ามาปรับใช้กับธุรกิจ เช่น นำการเรียนรู้ของ Machine Learning และAI มาปรับใช้กับธุรกิจ เป็นต้น

ในโครงการนี้ ได้เชิญ VC ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย เช่น 500Tuktuks/ Golden Gate Ventures/ Line Ventures/ KK Fund และ Monk’s Hill Ventures เข้ามาให้ความรู้เกี่ยวกับการระดมทุน การจัดรูปแบบด้านการเงิน และแบ่งปันเทคนิคต่างๆ

และยังได้ร่วมมือกับ Google Launchpad Accelerator นำหลักสูตรผู้บริหาร ของ Google “Leaders Lab” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหลักสูตรผู้บริหารสำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ดีที่สุด มาฝึกอบรมให้กับสตาร์ตอัพ รวมถึงผู้เชียวชาญด้าน Machine Learning และAI จาก Amazon Web Service และ Google Cloud

หลักสูตร A Academy นับเป็นโครงการที่จะช่วยให้ธุรกิจสตาร์ทอัพสามารถที่จะสร้างมูลค่าของบริษัทให้ได้ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสตาร์ตอัพสัญชาติไทยที่เป็นหนึ่งในโครงการดีแทค แอคเซอเลอเรท ให้กลายเป็นยูนิคอร์นต่อไป

สำหรับเป้าหมายของดีแทค แอคเซอเลอเรท ปี 7 คือ มองหาธุรกิจที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมทางด้านสุขภาพ เกษตรกรรม อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน e-commerce การท่องเที่ยวinsurtech และอื่นๆ

การลงทุนในสตาร์ตอัพไทย ตกต่ำลงเป็นปีแรก

นายสมโภชน์ จันทร์สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท กล่าวถึง ในประเทศไทยมีสตาร์ตอัพไม่ถึง 10% ที่ได้รับการลงทุนจาก Seed ไปถึง Series Aอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ดีแทค แอคเซอเลอเรท เข้ามาช่วยปลดล็อคการลงทุนใน Series A เพื่อช่วยให้ สตาร์ตอัพไทย เติบโตต่อไปได้และไม่กลายเป็นซอมบี้ (Zombie)

ซึ่งในกลุ่มสตาร์ตอัพ ดีแทค แอคเซอเลอเรท มีถึง 25% ที่สามารถระดมทุนจาก Seed ถึง Series A ซึ่งเราอยากที่จะเพิ่มอัตราส่วนการลงทุนในสตาร์ตอัพไทยให้ได้มากกว่านี้

การลงทุนในสตาร์ตอัพไทยข้อมูลจาก Techsauce Startup Report 2561 ระบุถึงสถิติการลงทุนในสตาร์ตอัพไทย ตั้งแต่ปี 2558 มีการลงทุนเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จนถึงปี 2561 ที่ผ่านมา การลงทุนลดลงเหลือเพียง 61 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปี 2560 ที่มีจำนวน 105 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะไม่มีการลงทุนในดีลใหญ่ๆที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาท เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา

สาเหตุหลักที่ไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่มี 3 ประการคือ

  1. นักลงทุนหันไปลงทุนในประเทศ กลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มากกว่าในไทย เช่น ไปลงทุนที่เวียดนาม เนื่องจากมีคนที่มีความสามารถทางด้านเทคโนโลยีที่มากขึ้น ทำให้เวียดนามสามารถดึงดูดนักลงทุนให้ไปลงทุนได้มากกว่า ในเวียดนามมีการลงทุนถึง890 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 92 ดีล
  2. การแข่งขันที่รุนแรง จากแพลตฟอร์มซุปเปอร์แอป (super app) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นที่ครอบคลุมทุกบริการ และต้องการให้ผู้บริโภคเข้ามาใช้งานเป็นประจำทุกวัน ทำให้สตาร์ตอัพในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก และขนาดกลาง ต้องออกจากธุรกิจไป เนื่องจากสู้กับซุปเปอร์แอปเหล่านี้ไม่ได้ เช่นLine และ Grab ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซุปเปอร์แอปดังกล่าว แสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตร หรือควบรวมกิจการ สร้างอีโคซิสเต็ม ขยายบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองผู้ใช้งานได้ครบครันในแอปเดียว เช่น บริการ ส่งของ ส่งอาหาร บริการด้านการเงิน ทำให้ผู้ใช้งานสะดวกสบาย โดยไม่ต้องใช้แอปอื่น
  3. ต้นทุนในการได้มาซึ่งลูกค้า(Customer Acquisition Cost: CAC) เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจสตาร์ตอัพจำนวนมากจึงเริ่มที่จะเปลี่ยนรูปแบบจาก B2C (Business to Consumer) คือ การที่ธุรกิจขายสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภคทั่วๆไปโดยตรง ไปสู่ B2B (Business to Business) ทำธุรกิจโดยขายสินค้าหรือบริการ ให้กับ

ลูกค้าที่เป็นลูกค้าองค์กร ไม่ใช่รายบุคคล เพื่อสร้างรายได้ที่มากขึ้น ซึ่งรูปแบบธุรกิจ แบบB2B ที่มีศักยภาพในการเติบโตแบบก้าวกระโดด (scalable business model)ได้นั้นก็ทำได้ยาก

ในปี 2561 ที่ผ่านมา มีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพสัญชาติไทยทั้งสิ้น 34 รายการ โดยมีมูลค่าระดมทุนทั้งสิ้น 61 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมี 7 รายการที่เป็นสตาร์ตอัพจาก ดีแทค แอคเซอเลอเรท โดยมีมูลค่าระดมทุนทั้งสิ้น 11 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่ากับ 17% ของการลงทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2561 ที่ผ่านมา

ซึ่งธุรกิจสตาร์ตอัพไทยที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ Fastwork ซึ่งเป็นสตาร์ตอัพที่มีมูลค่าการระดมทุนสูงที่สุดในระดับ Series A ที่ผ่านมา นอกจากนี้ Ricult เองก็ได้รับการระดมทุนระดับ Seed Fund ที่สูงที่สุดของหมวดเกษตรกรรมประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันดีแทค แอคเซอเลอเรท มีสตาร์ตอัพในโครงการรวมทั้งสิ้น 46 ธุรกิจ ซึ่งมีอัตราความสำเร็จของธุรกิจคิดเป็น 70% โดยคิดเป็นมูลค่ารวมอยู่ที่ 5.1 พันล้านบาท และมีปริมาณการระดมทุนคิดเป็นมูลค่า 870 ล้านบาท

ดีแทค แอคเซอเลอเรท เปิด 2 หลักสูตร สร้างสตาร์ตอัพไทย และสตาร์ตอัพ Series A

ดีแทค แอคเซอเลอเรท ปี 7 เปิด 2 หลักสูตร คือ

  1. หลักสูตรบ่มเพาะสตาร์ตอัพน้องใหม่ ทั้งในระดับIncubator Track สำหรับ ผู้ที่มีไอเดีย แต่ยังไม่เกิดเป็นธุรกิจและ Accelerator Track สำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างรวดเร็ว
  2. หลักสูตรA Academy สำหรับสตาร์ตอัพในครอบครัวดีแทค แอคเซอเลอเรท ที่จัดอยู่ในกลุ่มการลงทุนระดับ ซีรี่ส์ A โดยร่วมกับ Google / 500 สตาร์อัพ และ VCsกลุ่มนักลงทุนชั้นนำในเอเชีย เป็นการสนับสนุนเส้นทางการหาเงินทุน ที่จะช่วยให้สตาร์ตอัพได้เงินทุนในมูลค่าถึง 100 ล้านเหรียญ และช่วยผลักดันสตาร์ตอัพในครอบครัวดีแทค แอคเซอเลอเรท ได้เป็นยูนิคอร์นจากประเทศไทย เป็นรายแรก

 

from:http://mobileocta.com/dtac-accelerate-batch-7-forms-up-a-academy-program-to-help-thai-series-a-round-startups-become-unicorns/