คลังเก็บป้ายกำกับ: APPLE_WATCH_6

เปิดตัว Apple Watch 6 รุ่นพิเศษ Black Unity สนับสนุนความเท่าเทียมและความยุติธรรมทางเชื้อชาติ

Apple Watch 6 ถือว่ามีอายุอานามเกือบๆ ครึ่งปีได้แล้ว หลังจาก Apple ได้นำสมาร์ทวอทช์รุ่นนี้มาเปิดตัวพร้อมกับ Apple Watch SE รุ่นราคาประหยัดในช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ล่าสุด Apple Watch 6 นี้ก็มีรุ่นพิเศษออกมาใหม่แล้ว รอบนี้เป็นเวอร์ชั่น Black Unity เฉลิมฉลองให้กับสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวของกลุ่มแอฟริกันพลัดถิ่น

Apple Watch 6 Black Unity จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 ขนาด ได้แก่ขนาดหน้าปัด 40 มม. และ 44 มม. ตัวของสายนาฬิกาจะประกอบไปด้วยสีดำ สีเขียว และสีแดง โดยความหมายของทั้ง 3 สี จะมีดังนี้

  • สีแดง – สีของโลหิตที่รวมกลุ่มคนแอฟริกันพลัดถิ่นให้เป็นหนึ่ง
  • สีดำ – คนผิวดำ ยืนยันถึงการมีตัวตนของพวกเขา
  • สีเขียว – ความมั่นคั่งทางธรรมชาติของทวีปแอฟริกา

โดยข้างล่างหน้าปัด (แถวเซ็นเซอร์ต่างๆ) ทาง Apple ก็ได้สลักคำว่า “Black Unity” เอาไว้ด้วย นอกจากนี้บริเวณพินล็อคสายก็มีคำว่า “Truth. Power. Solidarity”.  สำหรับราคาก็ตามนี้เลยครับ

  • Apple Watch 6 Black Unity
    • รุ่นหน้าปัด 40 มม. เริ่มต้น 13,400 บาท
    • รุ่นหน้าปัด 44 มม. เริ่มต้น 14,400 บาท

ส่วนใครที่อยากได้แค่สายนาฬิกาเฉยๆ ทาง Apple ก็มีขายเหมือนกัน โดยตั้งราคาเอาไว้ที่ 1,600 บาท

 

ที่มา: Apple

 

from:https://droidsans.com/apple-watch-black-unity-announced/

Apple ไทยประกาศเตรียมเปิดใช้ฟีเจอร์ ECG วัดคลื่นหัวใจบน Apple Watch เร็วๆ นี้

เอาจริง Apple Watch สามารถใช้งานฟีเจอร์ตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ตั้งแต่รุ่นที่ 4 ที่เดินทางมาเปิดตัวในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2018 แล้ว ทว่าทางสำนักงาน อย. ก็ยังไม่อนุมัติให้ใช้งานซักที แต่ล่าสุดวันนี้ทาง Apple Thailand ประกาศแล้วว่าต่อไปนี้ Apple Watch สามารถใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้แล้ว พร้อมกับจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ประเภท Class I

Apple Thailand ออกมาประกาศว่า สมาร์ทวอทช์ Apple Watch 4, 5 และ 6 จะสามารถใช้งานฟีเจอร์ ECG ในการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้แล้ว โดยความสามารถนี้จะมาพร้อมกับแพทช์อัปเดต Watch OS 7.3 ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบสำหรับนักพัฒนา

ECG หรือ EKG (Electrocardiography) คือการตรวจวัดหาความผิดปกติของความสมบูรณ์คลื่นไฟฟ้าในกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งอุปกรณ์ Apple Watch จะมีเซนเซอร์อยู่ด้านล่างของตัวเครื่อง โดยจะทำงานร่วมกับแอป ECG ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทราบและช่วยเหลือตัวเองได้ทัน ผ่านระบบการแจ้งเตือนเมื่อจังหวะการเต้นหัวใจไม่สม่ำเสมอ



อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานก็ควรที่จะต้องต้องปรึกษาแพทย์ควบคู่ไปด้วย เพราะว่าการตรวจวัดนี้ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ดังนั้นจึงไม่สามารถยึดถือได้ 100% และถ้าหากเพื่อน ๆ คนไหนอยากจะทำความเข้าใจว่าการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือ ECG บนอุปกรณ์ Apple Watch นั้นทำงานได้ดีแค่ไหนสามารถไปตามอ่านที่ลิงค์บล็อกนี้ได้เลยครับ

 

ที่มา : Apple

from:https://droidsans.com/apple-announce-ecg-support-on-apple-watch-in-thailand/

นาฬิกา Smart Watch ช่วยเฝ้าระวังโควิด-19 ได้ด้วยฟีเจอร์วัดระดับออกซิเจน SpO2

Smart Watch หรือ Smart Band ทุกวันนี้ต้องบอกว่ามีการใส่เซนเซอร์เข้ามาให้มากมาย เห็นเรือนเล็กๆ แต่ตรวจวัดค่าต่างๆ ได้หลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในฟีเจอร์ที่หลายคนอาจมองข้าม หรือใช้เพียงแค่ตรวจสอบคุณภาพการนอน อย่างเซนเซอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด (SpO2) วันนี้น่าจะเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เมื่อออกซิเจนในเลือดที่ลดลง อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อ COVID-19 ก็เป็นได้

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เริ่มต้นจากเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2564 มีรายงานพบผู้ป่วย COVID-19 ที่ตรวจพบออกซิเจนในเลือดต่ำโดยไม่ได้มีอาการแสดงใด ๆ ที่บ่งบอกถึงภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำเลย ทั้งที่โดยปกติร่างกายเราจะต้องตอบสนองด้วยการหายใจที่บ่อยขึ้น ยาวขึ้น เพื่อรักษาระดับออกซิเจนในร่างกายไปแล้ว ซึ่งมีการเรียกภาวะนี้ว่า Silent hypoxia หรือ Happy hypoxia1

Happy Hypoxia อาการร้ายแรงจากโควิดที่มาแบบเงียบ ๆ

Happy hypoxia ส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย? ปกติแล้วเมื่อออกซิเจนในร่างกายลดลงจนถึงจุด ๆ หนึ่ง จะเกิดการกระตุ้นส่วนที่เรียกว่า Carotid body ซึ่งอยู่ใกล้กับหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณคอ การกระตุ้นนี้จะส่งผลให้ร่างกายตอบสนองด้วยอาการ “หิวอากาศหายใจ” คือผู้ป่วยจะมีอากาศหายใจเร็ว และรู้สึกหายใจไม่อิ่ม (Dyspnea) ซึ่งอาการเหล่านี้จะพบได้ในผู้ป่วยโรคปอดบวม หรือผู้ป่วยที่มีภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว และที่สำคัญคือมันน่าจะเจอในผู้ป่วย COVID-19 ด้วย 

และปัญหามันก็อยู่ตรงที่ว่าผู้ป่วย COVID-19 บางรายอาจจะไม่แสดงอาการหิวอากาศหายใจเลย แถมยังใช้ชีวิตได้ไม่ต่างจากคนปกติเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งระดับออกซิเจนในเลือดลดต่ำลงมากจนร่างกายไม่สามารถทนได้แล้ว ค่อยแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน และอาการเหล่านั้นยังมีความรุนแรงจนอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว

ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าเหตุใดผู้ป่วย COVID-19 จึงไม่แสดงอาการของภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ แต่ก็มีหลักฐานมากพอที่บ่งชี้ว่าการติดเชื้อโคโรนาไวรัส มีส่วนทำให้ Carotid body ทำงานผิดเพี้ยน และไม่เกิดการตอบสนองต่อระดับออกซิเจนในเลือดที่ลดลง

เซนเซอร์ SpO2 ในนาฬิกาช่วยเฝ้าระวังโควิดได้

กลับมาที่ประเด็นของเรากันนะครับ เหตุใด Smart Watch หรือ Smart Band ที่มาพร้อมฟีเจอร์วัดปริมาณออกซิเจนในเลือด  จึงมีประโยชน์ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ?? 

จากความเสี่ยงในการเกิดภาวะ Happy hypoxia ของผู้ป่วย COVID-19 ที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น ทำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ติดเชื้อ สามารถเฝ้าระวังความรุนแรงของโรคได้จากระดับออกซิเจนในเลือด ด้วยเซนเซอร์ SpO2 ใน Smart Watch หรือ Smart Band อย่างน้อยมันก็ช่วยเตือนให้คุณไปตรวจเช็คซ้ำกับแพทย์ในโรงพยาบาล เพื่อดำเนินการตรวจหาเชื้อได้อย่างทันท่วงที 

นอกจากนี้ เนื่องจากการวัดอุณหภูมิร่างกาย (วัดไข้) อาจจะไม่สามารถบ่งบอกถึงการติดเชื้อได้ เพราะเครื่องวัดอุณหภูมิมีความคลาดเคลื่อนได้จากหลายปัจจัย (เช่น อุณหภูมิในสิ่งแวดล้อมรบกวนการตรวจ) หรือผู้ป่วยอาจจะไม่มีไข้เลยก็ได้ ทำให้การวัดอุณหภูมิร่างกายคงไม่เพียงพอต่อการคัดกรอง 

จากรายงานของหน่วยบริการสุขภาพแห่งชาติในประเทศอังกฤษ2 จึงเพิ่มวิธีการคัดกรองโดยใช้เซนเซอร์ SpO2 วัดระดับออกซิเจนในเลือด และยังแนะนำให้ประชาชนซื้อติดไว้คอยคัดกรองบุคคลในครอบครัวที่มีความเสี่ยงต่อการเชื้อ COVID-19 ด้วย หากระดับออกซิเจนในเลือดเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ให้สงสัยว่าคน ๆ นั้นอาจติดโคโรนาไวรัส จำเป็นต้องส่งตรวจเพิ่มเติมและติดตามอาการอย่างใกล้ชิด (แม้เขาจะไม่แสดงอาการป่วยใด ๆ ออกมาเลย)

การทำงานของเซนเซอร์ SpO2

การทำงานของเซนเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด ใน Smart Watch และ Smart Band จะใช้หลักการสะท้อนของแสง หากสังเกตดี ๆ เซนเซอร์จะปล่อยแสงสีแดง (บางแบรนด์ใช้สีเขียว) พร้อมคลื่นอินฟราเรดที่ตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ออกมาพร้อมกัน แสงสีแดงจะทะลุผ่านเฉพาะเม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจนมาก ในขณะที่คลื่นอินฟราเรดจะทะลุผ่านเฉพาะเม็ดเลือดแดงที่มีออกซิเจนน้อย3 


image credit : GARMIN : Pulse Ox

ดังนั้น การประเมินระดับออกซิเจนในร่างกาย จะดูจากปริมาณแสงสีแดงที่สะท้อนกลับสู่อุปกรณ์ของคุณนั่นเอง ซึ่งอุปกรณ์วัดระดับออกซิเจนปลายนิ้วที่นิยมใช้กันในโรงพยาบาล ก็อาศัยหลักการสะท้อนของแสงเช่นเดียวกันครับ

ตัวอย่าง Smart Watch และ Smart Band ที่มีฟีเจอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด

สำหรับ Smart Watch และ Smart Band ที่มาพร้อมฟีเจอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือดมีอยู่หลากแบรนด์หลายรุ่น ซึ่งผมขอยกตัวอย่างในแต่ละแบรนด์ ดังนี้

Apple

  • Apple Watch Series 6

Huawei

  • Huawei Honor Band 5 SpO2
  • Huawei Watch Fit 2020
  • Huawei GT2 Pro/GT2e

Garmin

  • Garmin Forerunner
  • Garmin Vivoactive 4

Fitbit

  • Fitbit Versa 3
  • Fitbit Sense

Xiaomi

  • Mi Band 5
  • Mi Watch

Samsung

  • Samsung Galaxy Watch3

 

SpO2 นับว่าเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว โดยเฉพาะในสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ถึงกระนั้น การป้องกันก็ดีกว่าการตามแก้ไขนะ ยังไงเพื่อน ๆ ก็อย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งก่อนออกจากบ้านกันด้วยนะครับ

 

ที่มา

  • 1 Study explains fluctuation in blood oxygenation levels in COVID-19 patients | Aninews
  • 2 Covid-19: Patients to use pulse oximetry at home to spot deterioration | BMJ
  • 3 Pulse Ox Pulse Oximetry Functionality | Garmin

 

 

from:https://droidsans.com/smart-watch-spo2-detects-covid/

Apple Watch Series 6 และ Watch SE เริ่มวางขายในไทยแล้ว รุ่นสายรัดข้อมือแบบ Solo Loop ใช้เวลาจัดส่ง 1 – 2 เดือน

หลังจากที่ Apple ได้มีการเปิดตัวทั้ง Watch Series 6 และ Watch SE เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ล่าสุดทุกคนสามารถเข้าไปในเว็บไซต์หลักของ Apple ประเทศไทยเพื่อสั่งซื้อนาฬิกาของตัวเองได้แล้วทั้ง 2 รุ่น ตั้วแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยมีข้อสังเกตที่น่าสนใจตรงที่ Watch แต่ละสายสามารถสั่งซื้อได้ทันที แต่ใช้เวลาในการจัดส่งไม่เท่ากัน โดยสายรัดข้อมือแบบถัก Braided Solo Loop จะใช้เวลาจัดส่งนานสุดถึง 6-8 สัปดาห์เลยทีเดียว

ตอนนี้ถ้าทุกคนเข้าไปที่หน้า Apple Stores จะเห็นว่าตอนนี้สามารถสั่งซื้อ Apple Watch ได้แล้วทั้ง Series 6 และ SE (เฉพาะรุ่น GPS เท่านั้นนะครับ รุ่น Cellular ยังไม่สามารถสั่งซื้อได้) ซึ่งมีข้อสังเกตอยู่ที่การเลือกแบบสายรัดข้อมือ เพราะแต่ละแบบ จะมีระยะเวลาในการจัดส่งที่ไม่เท่ากัน โดยรุ่นสายถัก Solo Loop มีระยะเวลาในการจัดส่งนานสูงสุดถึง 2 เดือน

รูปสั่ง Apple Watch Series 6 แบบสาย Sport Band

จากที่ทางทีมงานได้ลองทดสอบกดสั่ง Apple Watch ในแบบต่าง ๆ ดูแล้ว ส่วนที่ทำให้เวลาต่างกันมากที่สุดก็คือชนิดของสายรัดข้อมูลที่เลือก ซึ่งสาย Sport Band แบบธรรมดาจะใช้เวลาในการส่งเพียง 2-3 วันเท่านั้น ก็พอจะเดาได้ว่ามีของอยู่ในสต็อคอยู่แล้ว

รูปสั่ง Apple Watch Series 6 แบบสาย Solo Loop

ส่วนสายแบบ Solo Loop ที่มีให้เลือกหลายขนาดตามข้อมือของผู้ใช้งาน จะถูกเพิ่มเวลาในการจัดส่งไปเป็น 3-4 สัปดาห์ เข้าไปแล้ว แต่ยังไม่พอ…เพราะสายถักแบบ Braided Solo Loop ยิ่งเพิ่มเวลาจัดส่งที่ยิ่งนานเข้าไปอีก มากถึง 6-8 สัปดาห์เลยทีเดียว

รูปสั่ง Apple Watch SE แบบสาย Braided Solo Loop

ไม่ใช่แค่สายจำพวก Solo Loop เท่านั้นที่ใช้เวลาในการจัดส่งนานขนาดนี้ เพราะสายแบบพิเศษอย่าง Sport Loop ก็ต้องใช้เวลาจัดส่งนานถึง 3-4 สัปดาห์เช่นกัน แต่ใครที่กำลังรีบ ๆ แล้วชอบสีแดงอยู่พอดี ก็สามารถสั่ง Watch Series 6 Product Red กันได้เลย เพราะรุ่นนี้ แม้จะใช้สายแบบ Sport Loop เหมือนกัน แต่กลับมีของพร้อมส่งได้ภายใน 2-3 วัน เท่านั้น

รูปสั่ง Apple Watch Series 6 แบบสาย  Sport Band 

รวม ๆ ตอนนี้ดูเหมือนความพร้อมสินค้า Apple Watch จะยังค่อนข้างกระจัดกระจายอยู่เพราะ แม้ว่าสาย Sport Band จะพร้อมภายใน 2-3 วันก็จริง แต่ก็จะมีสายบางสีที่ต้องใช้เวลาส่งนานยกตัวอย่าง Sport Band สีกรมท่ากับสีโอรสที่ยังต้องใช้เวลา 3-4 สัปดาห์ในการส่งเลยทีเดียว…สุดท้ายแล้วเราก็สามารถสรุปได้ว่า Apple ยังไม่ได้มีของทุกอย่างที่แสดงผลอยู่บนเว็บไซต์เพราะงั้นตอนซื้อควรตรวจสอบสเปคกับสีให้ดีว่าแบบที่เราต้องการมีพร้อมส่งหรือไม่

from:https://droidsans.com/apple-watch-series-6-and-se-ready-to-order-in-thailand/

iFixit ชำแหละ Apple Watch Series 6 ให้คะแนนซ่อม 6 เต็ม 10 เผยแบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ง่าย

หลังจากที่ได้มีการเปิดตัว Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE เราก็ได้เห็นทั้งดีไซน์ กับฟีเจอร์ต่าง ๆ กันไปแล้ว และล่าสุดทาง YouTuber ชื่อดังอย่าง iFixit ก็ได้ปล่อยคลิปชำแหละ Apple Watch Series 6 ให้ชาวเน็ตได้ดูกัน ทำให้เราได้เห็นส่วนประกอบใหม่ ๆ ที่อยู่ด้านในตัวอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่ตัวใหม่ที่มีความจุมากขึ้น และสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย แถมยังมากับมอเตอร์สั่นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกเช่นกัน

ทาง iFixit ก็ได้มีการแกะ Apple Watch Series 6 ออกเพื่อดูว่ามีส่วนประกอบอะไรด้านในบ้างซึ่งเราก็จะได้เห็นเซ็นเซอร์ใหม่ที่ถูกใส่เข้ามาอย่างเซ็นเซอร์ตรวจวัดออกซิเจนในเลือด แต่เซ็นเซอร์สำหรับฟีเจอร์ Force Touch ที่เคยมีใน Apple Watch รุ่นก่อน ๆ กลับโดนตัดทิ้งไปซะแล้ว

นอกจากนี้เรายังได้เห็นแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับตัวมอเตอร์สั่นตัวใหม่ที่จะมาช่วยให้ตัวเรือนสั่นแรงขึ้น เมื่อหมุนเม็ดมะยม หรือมีการแจ้งเตือนต่าง ๆ อีกทั้งเรายังได้เห็นแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเดิมถึง 3.5 เปอร์เซ็นต์ ในรุ่นหน้าปัด 44 มม. ส่วนรุ่นหน้าปัดขนาด 40 มม. ก็มีแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นกว่า 9.5 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

แต่จุดที่น่าสนใจก็คือ Apple Watch Series 6 กับ Series 5 มีระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่อยู่ที่ 18 ชั่วโมงเท่ากัน ในขณะที่ Series 6 มีขนาดที่ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ Apple Watch Series 6 มีขนาดใหญ่ขึ้นน่าจะเป็นเพราะว่าหน้าจอรุ่นใหม่มีความสว่างกว่ารุ่นเก่านั่นเอง

iFixit บอกว่า Apple Watch Series 6 เป็นสมาร์ทวอทช์ที่สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เองอย่างไม่ยากเย็น เพราะเมื่อแงะเปิดตัวเรือนออกมาได้แล้ว ก็จะเจอกับแบตเตอรี่นอนให้เห็นแบบชัดเจน ก็แค่พลิกตัวแบตขึ้นมาจากนั้นก็ใช้ไขควงหมุนคลายล็อคสายไฟออกก็เรียบร้อยครับ

แต่ส่วนที่เปลี่ยนยากก็คือหน้าจอ ซึ่ง iFixit บอกว่าหน้าจอของ Apple Watch Series 6 เปลี่ยนค่อนข้างยาก แต่ก็ไม่ถึงกับทำไม่ได้เลย เพราะมันมีทั้งชิ้นส่วนที่ถูกติดเอาไว้ด้วยกาว แถมยังมีสายไฟที่แสนจะเปราะบางเชื่อมอยู่ด้วย คือถ้ามือไม่นิ่งจริงอาจเสี่ยงทำสายไฟขาดได้ แล้วต้องมานั่งเชื่อมใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ทาง iFixit ได้ให้คะแนนความง่ายในการซ่อมของสมาร์ทวอทช์รุ่นนี้เอาไว้ที่ 6 คะแนน โดยมีข้อดีอยู่ที่การเปลี่ยนหน้าจอที่สามารถทำได้เอง (แต่ค่อนข้างยาก) และแบตเตอรี่ที่เปลี่ยนง่าย แต่ส่วนที่ยากก็คือน้อตแบบสามแฉกที่เอาออกยากในหลาย ๆ จุด และสายไฟหลายแห่งที่ต้องใช้ฝีมือในการเชื่อมสูง หากทำขาดระหว่างซ่อมนั่นเองครับ

Source: iFixit

from:https://droidsans.com/ifixit-teardown-apple-watch-series-6-gives-6-repairability-score/

เปรียบเทียบสเปค Apple Watch Series 6, Watch SE และ Watch Series 3 ต่างกันยังไง ซื้อรุ่นไหนดี ?

เปิดตัวกันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ Apple Watch Series 6 และรุ่นประหยัดราคาถูกลงกับ Apple Watch SE ที่มาพร้อมฟีเจอร์เจ๋ง ๆ มากมายทั้งการวัดระดับออกซิเจนในเลือด (เฉพาะใน Apple Watch Series 6) และชิปเซ็ต S6 รุ่นใหม่ที่แรงขึ้น แถมยังมาพร้อมกับ Always-on Display ที่สว่างขึ้นมองเห็นได้ชัดแม้กระทั่งภายใต้แสงแดด (ใน Series 6 เท่านั้นอีกแล้ว) แต่เอ๊ะ? แล้ว 2 รุ่นใหม่นี้ต่างกันยังไง แล้วเทียบกับรุ่นเก่าจะต่างกันแค่ไหน ไปดูกันครับ

เทียบสเปค Apple Watch Series 6, Watch SE และ Watch Series 3

Apple Watch Series 6 Apple Watch SE Apple Watch Series 3
ขนาดหน้าปัด หน้าปัด 40มม และ 44มม จอใหญ่ขึ้น 30% หน้าปัด 40มม และ 44มม จอใหญ่ขึ้น 30% 38mm or 42mm case
หน้าจอ หน้าจอ Always-On Retina LTPO OLED ความสว่าง 1000 Nits หน้าจอ Retina LTPO OLED display, 1000 nits หน้าจอ Retina OLED display 2nd Gen
รุ่นให้เลือก รุ่น GPS และ GPS + Cellular รุ่น GPS และ GPS + Cellular รุ่น GPS
ชิปเซ็ต S6 SiP พร้อม 64-bit dual-core processor; W3 wireless chip; U1 chip (Ultra Wideband) S5 SiP พร้อม 64-bit dual-core processor; W3 wireless chip S2 พร้อม dual-core processor
การควบคุม เม็ดมะยมแบบดิจิตอลพร้อมระบบตอบสนองแบบสั่น เม็ดมะยมแบบดิจิตอลพร้อมระบบตอบสนองแบบสั่น เม็ดมะยมดิจิตอล
เซ็นเซอร์ตรวจร่างกาย ระบบตรวจจับอ๊อกซิเจนในเลือด, ระบบตรวจจับคลื่นหัวใจ (ECG) และระบบตรวจจับชีพจร 2nd Gen ระบบตรวจชีพจร ระบบตรวจจับชีพจร
การแจ้งเตือนร่างกาย ระบบแจ้งเตือนชีพจรต่ำ-สูง, แจ้งเตือนชีพจรเต้นผิดปกติ, แอปพลิเคชั่น ECG ระบบแจ้งเตือนชีพจรต่ำ-สูง, แจ้งเตือนชีพจรเต้นผิดปกติ ระบบแจ้งเตือนชีพจรต่ำ-สูง, แจ้งเตือนชีพจรเต้นผิดปกติ
ระบบตรวจจับการล้ม ระบบโทรฉุกเฉินนานาชาติ, ระบบโทรฉุกเฉิน, ระบบตรวจจับการล้ม ระบบโทรฉุกเฉินนานาชาติ, ระบบโทรฉุกเฉิน, ระบบตรวจจับการล้ม ไม่มี
ระบบกันน้ำ กันน้ำลึก 50 เมตร กันน้ำลึก 50 เมตร กันน้ำลึก 50 เมตร
การเชื่อมต่อ LTE, UMTS, Wi-Fi, และ Bluetooth 5.0 LTE, UMTS, Wi-Fi, และ Bluetooth 5.0 Wi-Fi และ Bluetooth 4.0
ระบบตรวจจับ GPS/GNSS, เข็มทิต, และระบบตรวจจับระดับความสูง GPS/GNSS, เข็มทิต, และระบบตรวจจับระดับความสูง GPS/GNSS
ลำโพง ลำโพงดังขึ้น 50%, ไมโครโฟน ลำโพงดังขึ้น 50%, ไมโครโฟน ลำโพงดังขึ้น, ไมโครโฟน
หน่วยความจำ ความจุ 32GB ความจุ 32GB ความจุ 8GB
แบตเตอรี่ 18 ชั่วโมง 18 ชั่วโมง 18 ชั่วโมง

 

เทียบราคา Apple Watch Series 6, Watch SE และ Watch Series 3

ขนาดหน้าปัด Apple Watch 6 Apple Watch SE Apple Watch 3
38 มม. 6,400
40 มม. 13,400 / 16,900 9,400 / 10,900
42 มม. 7,400
44 มม. 14,400 / 17,900 10,400 / 11,900

หมายเหตุ : ราคาตัวบางจะเป็นรุ่น GPS Only, ราคาตัวหนาจะเป็นรุ่น GPS + Cellular

โดยหลัก ๆ แล้วรุ่น Watch Series 6 ก็จะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับระดับออกซิเจนในเลือด และชิปเซ็ต S6 ที่แรงขึ้น แถมยังมาพร้อมกับวัสดุให้เลือกถึง 3 แบบได้แก่ สแตนแลส อะลูมิเนียม และไทเทเนียม ส่วนทางฝั่ง SE มีให้เลือกแค่อะลูมีเนียมเท่านั้น ส่วนสีก็มีมาให้ได้เลือกซื้อกันด้านล่างเลยครับฟ

(รูปซ้ายสุดคือสี Apple Watch Series 6, กลา Watch SE และขวา Watch Series 3)

ส่วน Apple Watch Series 5 ที่หายไปคือจะเลิกวางจำหน่าย ซึ่งถ้าใครมีอยู่ในข้อมือตอนนี้ก็ไม่ต้องเสียใจเพราะถ้าเทียบระหว่าง Series 5 กับ 6 แล้วมีเพียงบางฟีเจอร์เดียวเท่านั้นที่อัปเดตเพิ่มเข้ามานั่นก็คือเซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในระดับเลือด ECG เท่านั้น ซึ่งก็ยังไม่สามารถเปิดใช้งานในไทยได้ตอนนี้

และถ้าใครที่กำลังจะซื้อ Apple Watch เครื่องใหม่ส่วนตัวแนะนำว่าควรจะซื้อตัว Watch SE มากกว่า Watch 3 เพราะมีฟีเจอร์ที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องระบบตรวจจับการล้ม, เข็มทิศ และใช้งาน Family Setup ซึ่งส่วนต่างราคาต่างกัน 3,000 บาทถือว่าค่อนข้างคุ้มเลยทีเดียวครับ

from:https://droidsans.com/apple-watch-2020-comparison/

DTAC เปิดให้บริการการตั้งค่าครอบครัว Family Mode บน Apple Watch Series 4 เป็นต้นไป เปิดเบอร์ใหม่ฟรีค่าบริการ 3 เดือนแรก

หลังจากที่เราได้เห็นงานเปิดตัว Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE ไปแล้วเมื่อวันพุทธที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นหนึ่งในฟีเจอร์น่าสนใจอย่างการตั้งค่าครอบครัว (Family Setup) ที่จะสามารถทำให้คนที่ไม่มี iPhone สามารถใช้งาน Apple Watch ได้ สำหรับใครที่รอใช้ฟีเจอร์นี้อยู่ก็ยิ้มได้เลย เพราะตอนนี้ DTAC ได้เปิดให้บริการ Family Mode เป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ Apple Watch Series 4 ขึ้นไปบน iPhone ที่รองรับ iOS 14 เท่านั้น

ในงานเปิดตัวเราก็ได้เห็นฟีเจอร์การใช้งาน Family Mode มากมายไม่ว่าจะเป็นกาตาม Location ของผู้ใช้งานว่าอยู่ที่ไหนกำลังทำอะไรอยู่เอาไว้แอบส่องพฤติกรรมลูก ๆ ได้ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย แถมน้อง ๆ หนู ๆ ที่ยังไม่มี iPhone ก็สามารถใช้ Family Setup เพื่อที่จะสามารถใช้ Apple Watch เป็นเครื่องมือสื่อสารเดี่ยว ๆ ได้โดยที่ไม่ต้องมี iPhone ซึ่งในงานเปิดตัวเราก็ได้เห็นชื่อผู้ให้บริการเครือข่ายในไทยที่จะรองรับบริการนี้ได้แก่ DTAC, AIS และ TrueMove H 

รายชื่อเครือคร่ายผู้ให้บริการที่รองรับ Family Setup

แต่ดูเหมือนว่าล่าสุดทาง DTAC จะเป็นผู้ให้บริการเจ้าแรกที่ได้เปิดให้บริการการตั้งค่าครอบครัว (Family Setup) เป็นที่เรียบร้อยแล้วในหน้าเว็บหลักของเครือข่ายโดยการเปิดบริการก็ง่ายนิดเดียวเพียงแค่ทำการเปิดเบอร์ใหม่กับทาง DTAC ก็จะได้รับสิทธิในการเปิดใช้บริการฟรี และได้รับสิทธิใครบริการ Family Setup ฟรี 3 เดือนแรกอีกด้วย โดยเงื่อนไขการใช้บริการก็จะมีดังนี้

  • เบอร์ที่เปิดใหม่จะสามารถนำไปใช้บน Apple Watch ได้ก็ต่อเมื่อเป็นเบอร์ที่จดบนเลขบัตรประชาชนเดียวกับที่ใช้บน iPhone เครื่องหลักเท่านั้น
  • iPhone หนึ่งเครื่องสามารถเชื่อมต่อโหมด Family ได้สูงสุด 5 เครื่อง
  • ใช้งานได้เฉพาะ Apple Watch 4 เป็นต้นไป และ iPhone เครื่องหลักต้องรองรับ iOS14 เท่านั้น
  • ควรเป็น Apple Watch รุ่น Cellular เท่านั้น

เงื่อนไขและค่าบริการรายเดือนในการเปิดใช้บริการ Family Setup

สำหรับผู้ใช้งานคนไหนที่สนใจอยากซื้อ Apple Watch ให้คนในครอบครัวใช้ผ่านการใช้งานโหมด Family Setup ก็สามารถเรียนรู้รายละเอียดการตั้งค่าและการใช้งานเบื้องต้นได้ที่นี่เลย หรือเพื่อความสะดวกรวดเร็วสามารถติดต่อศูนย์ DTAC สาขาที่ใกล้บ้านที่สุดเพื่อติดต่อสอบถามได้ตามสะดวกเลย 😀

Source: DTAC

from:https://droidsans.com/dtac-started-family-setup-service-for-apple-watch-in-thailand/

สรุปรวม Apple Watch Series 6, Watch SE, iPad Air 4 และ iPad Gen 8 น่าซื้อหรือน่าข้าม

ภายหลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Apple Event ที่ผ่านมานั้น สำหรับ Apple Watch Series 6, Watch SE, iPad Air 4 และ iPad Gen 8 เรียกได้ว่าขนขบวนมาอัพเกรดฟีเจอร์ใหม่ ๆ ดีไซน์ และสีสัน ที่ชวนให้น่าซื้อกันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามนั้น เราก็ต้องมาดูกันว่า เมื่อมาลองดูฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามากับราคาและประสิทธิภาพนั้น รุ่นใหม่ที่ออกมานี้จะน่าซื้อน่าโดนหรือน่าข้ามไปกันแน่ ทีมงาน Notebookspec จะนำมาสรุปให้อ่านกัน 

Apple Watch Series 6

Apple Watch

เริ่มต้นที่ผลิตภัณฑ์แรกที่ได้รับการเปิดตัวในงาน Apple Event อย่าง Apple Watch Series 6 ที่มาพร้อมกับสเปค ฟีเจอร์ สีสัน รวมไปถึงสายรัดแบบใหม่ที่ได้รับการเพิ่มเข้ามา ซึ่งโดยปกติแล้วนั้น Apple Watch ถือเป็นอุปกรณ์พกพาที่สามารถสวมใส่ติดตัวไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนนอน และด้วยเหตุนี้ ใน Series 6 นั้น ทาง Apple ก็ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ต่าง ๆ รวมถึงปริมาณแบตเตอรี่ที่ให้มามากขึ้น ตัวช่วยในให้การออกกำลังกายรวมไปถึงการดูแลด้านสุขภาพ สิ่งที่น่าสนใจหลัก ๆ เลยก็คือ

  • หน้าจอ OLED เหมือนกับรุ่น Series 5 แต่จะมีความสว่างในตอนกลางวันเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า
  • ขนาดของตัวเรือน : 40 มม. และ 44 มม.
  • ชิปเซต S6 (SiP) และเป็นโปรเซสเซอร์ Dual-core ใหม่ที่ใช้ A13 Bionic เช่นเดียวกับใน iPhone 11 ช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ และหน้าจอสว่างขึ้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้อยู่กลางแจ้ง
  • มีชิป U1 และ Ultra-wideband ที่จะสามารถเปิดใช้งานแบบไร้สายในระยะสั้นได้ อย่างเช่น กุญแจรถดิจิทัลในรุ่นใหม่ ๆ
  • มีด้วยกัน 2 รุ่น คือ GPS และ GPS + Cellular
  • วัสดุใหม่ เป็นอะลูมิเนียมแบบรีไซเคิล 100%
  • มีสีแดง (Product)RED และ สีน้ำเงิน เป็นสีไฮท์ไลท์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่
  • สายรัดใหม่ เป็นแบบ Solo Loop โดยมีลักษณะเป็นสายเส้นเดียว ไม่มีตัวล็อก ไม่มีเข็มสำหรับปรับขนาด โดยจะคล้าย ๆ กับ Wrist Band 
  • แบตเตอรี่ 303.8 mAh ใช้งานได้ยาวนาน 18 ชั่วโมง
  • ไม่แถม Adapter
  • สามารถวัดออกซิเจนในเลือดได้ โดยมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Blood Oxygen ที่ออกแบบมาเพื่อวัดระดับออกซิเจนในเลือดระหว่าง 70% – 100% หากเกินหรือต่ำกว่านี้ ก็จะมีการแจ้งเตือนขึ้นมาให้รู้ทันที นอกจากนี้ยังมีสัญญาณ ที่บอกถึงระบบทางเดินหายใจ หากมีความเสี่ยงในเรื่องของการเป็น ไข้หวัดใหญ่ และ COVID-19 ด้วย
  • วัดระดับความสูง (barometric) ได้แบบ Real-Time
  • VO2 Max วัดออกซิเจนขณะออกกำลังกาย
  • Family Setup สำหรับติดตามสมาชิกในครอบครัวโดยเฉพาะกับเด็ก ๆ  สามารถส่งข้อความหากันได้ และที่สำคัญรองรับในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีโหมดใหม่ที่เรียกว่า SchoolTime ที่ช่วยจัดตารางการเรียนและการทำการบ้านอีกด้วย
  • Watch Face แบบใหม่ คือ GMT, Time Roman, Memoji Face ที่สามารถใส่หน้าตัวเองที่เป็น Memoji เคลื่อนไหวได้ดูมีลูกเล่นมากขึ้น
  • มีโหมด Always on Display 
  • ยังคงมี Digital Crown ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแบบ Touch ID
  • Apple Watch Collection ลดระดับลงมา มีรุ่นที่เป็น Standard ที่เป็นอะลูมิเนียมกับสแตนเลสสตีล, รุ่น Nike ที่เป็นวัสดุอะลูมิเนียมพร้อมกับสายที่สวยงาม, Apple Watch Hermès วัสดุเป็นสแตนเลสสตีล สายจะเบาบางกว่าใน Series 5 แต่จะมีสีสันที่เพิ่มเข้ามามากยิ่งขึ้น และสุดท้ายคือแบบ Watch Edition ที่วัสดุเป็นไทเทเนียม
  • Fitness+ ที่จะเป็นผู้ช่วยในการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง หรือวิดีโอการสอนออกกำลังกายต่าง ๆ โดยจะลิงก์เข้ากับอุปกรณ์ของ Apple ทั้งยังเชื่อมต่ออัตราการเต้นของหัวใจร่วมด้วย
  • Watch OS7 โดยจะเปิดให้ใช้งานในรุ่น Series 3 ขึ้นไป ในวันที่ 17 กันยายน 2020 และต้องใช้ iPhone 6s หรือรุ่นใหม่กว่าที่มี iOS14 คุณสมบัติบางอันอาจใช้ไม่ได้ในบางเครื่องด้วย
  • ราคาที่จะวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้ ได้แก่
    • Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS) เริ่มต้น 13,400 บาท
    • Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS + Cellular) เริ่มต้น 16,900 บาท

Apple Watch SE

Apple Watch

มาดูในส่วนของ Apple Watch รุ่นประหยัดที่ทาง Apple ได้ผลิตออกมาตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ Apple Watch ที่ราคาที่ไม่สูงมากนักอย่าง Apple Watch SE ที่ก็มาพร้อมสเปคแรงและคุ้มค่าเหมาะสำหรับการเริ่มต้นใช้งาน ผลิตภัณฑ์แบบ Smart Watch

โดยรวมนั้น Apple Watch SE ดูเหมือนจะเป็นรุ่นที่ได้รับการอัพเกรดมาจาก Watch Series 4 โดยจะมีฟีเจอร์หรือสเปคอะไรที่น่าสนใจกันบ้างนั้น มาดูกันเลย 

  • Watch SE มาพร้อมหน้าจอ Retina แบบเดียวกับ Series 4 แต่มีขนาดใหญ่กว่า Series 3 ถึง 30% (เท่ากับ Series 6)
  • ขนาดตัวเรือน 40 มม. และ 44 มม.
  • มีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกัน คือ GPS และ GPS + Cellular
  • มี Cellular เพื่อรองรับ Family Setup เช่นเดียวกับ Series 6
  • มีฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม และส่งสัญญาณ SOS ได้ทันที
  • ตัวเรือนทำจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% มีความเบาและแข็งแรง
  • สาย Solo Loop เช่นเดียวกับใน Series 6
  • มีให้เลือก 3 สี ด้วยกัน คือ สีทอง, สีเงิน และสีเทาสเปซเกรย์
  • ชิปเซต S5 (SiP) และโปรเซสเซอร์ Dual-Core เร็วกว่า Series 3 ถึง 2 เท่า
  • มีเครื่องวัดระดับความสูง (barometric) ได้แบบ Real-Time และเข็มทิศ
  • ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ (ไม่รองรับ ECG)
  • Watch Face ใหม่ เช่นเดียวกับใน Series 6 
  • มีลำโพงและไมโครโฟนรุ่นล่าสุด รองรับ Siri, Walkie-Talkie และ Bluetooth 5.0
  • ราคาที่จะวางจำหน่ายในไทย เร็วๆนี้ ได้แก่
    • Apple Watch SE (GPS) เริ่มต้นที่ 9,400 บาท
    • Apple Watch SE (GPS + Cellular) เริ่มต้นที่ 10,900 บาท

iPad Air 4 

iPad Air 4

มาดูในส่วนไฮไลท์ของงานที่ทำเอาแฟน ๆ Apple ฮือฮากันไปพอสมควรกับ iPad Air 4 ที่เปลี่ยนแปลงดีไซน์ สเปค ชิปประมวล ฯลฯ ไปอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นเหมือนรุ่น Pro ในระดับราคาประหยัดกว่าเลยทีเดียว จะมีอะไรเด็ด ๆ บ้าง ไปดูกันเลย

ด้านดีไซน์

  • เปลี่ยนดีไซน์จาก iPad Air 2019 ไปเป็นทรงเดียวกับรุ่น Pro ในปัจจุบัน
  • ไม่มีปุ่ม Home และทำการย้าย Touch ID ที่ไว้ที่ปุ่ม Power ด้านบนแทน
  • ขอบหน้าจอบางลง ไม่มี Notch หรือติ่งให้รำคาญตา, ลำโพง 4 ตัว
  • เปลี่ยนพอร์ตจาก Lightning ไปเป็น USB Type-C
  • มีมาให้เลือกด้วยกัน 5 สี ได้แก่ สีชมพู (โรสโกลด์), สีฟ้า (สกายบลู), สีเขียว, สีเงิน และสีเทาสเปรซเกรย์

ด้านสเปค

  • หน้าจอ Liquid Retina HD 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล ที่ 264 พิกเซลต่อนิ้ว (ppi)
  • ชิป Apple A14 Bionic ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 5 นาโนเมตร ตัวแรกของโลก
  • หน่วยความจำ 64GB / 256GB
  • กล้องหลัง 12MP เป็นชุดเลนส์ 5 ชิ้น มีรูรับแสงขนาด ƒ/1.8 พร้อมด้วยฟิลเตอร์ Hybrid IR, Live Photos มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว, HDR, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ, บันทึกวิดีโอระดับ 4K สูงสุด 60 fps พร้อมด้วยระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวในคุณภาพระดับภาพยนตร์ (เฉพาะความละเอียด 1080p และ 720p)
  • กล้องหน้า 7MP มีรูรับแสงขนาด ƒ/2.0 บันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p ที่ 60 fps มาพร้อม HDR และระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ
  • รองรับชาร์จเร็ว 20W (มาพร้อม Adapter ชาร์จไว 20W ในกล่อง)
  • รองรับ Apple Pencil 2, Magic Keyboard, WiFi6
  • ไม่รองรับ FaceID แต่รองรับ TouchID
  • มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นคือรุ่น WiFi และรุ่น Cellular (รุ่น WiFi หนัก 458 กรัม | รุ่น Cellular หนัก 460 กรัม)
  • ในส่วนของแบตเตอรี่ ทาง Apple เคลมว่า สามารถท่องเว็บผ่าน Wi‑Fi หรือดูวิดีโอได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง ส่วนท่องเว็บโดยใช้เครือข่ายข้อมูลเซลลูลาร์ได้นานสูงสุด 9 ชั่วโมง

ด้านราคา

ประกอบด้วย 4 รุ่น จะมีด้วยกันดังนี้

  • Wi-Fi 64GB : 19,900 บาท
  • Wi-Fi 256GB : 24,400 บาท
  • Cellular 64GB : 24,900 บาท
  • Cellular 256GB : 29,400 บาท

นอกจากราคาเครื่องแล้วราคาของส่วนเสริมผลิตภัณฑ์ นั่นก็คือ Apple Care+, Apple Pencil 2, Keyboard (Magic Keyboard / Smart Keyboard Folio) ซึ่งจะมีราคาดังนี้

  • Apple Care+ : 2,500 บาท
  • Apple Pencil 2 : 4,490 บาท
  • Keyboard
    • Magic Keyboard : 9,990 บาท
    • Smart Keyboard Folio : 5,990 บาท

แต่สำหรับใครที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษา รวมไปถึงผู้ปกครอง อาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้สอนแบบโฮมสคูลในทุกระดับชั้น ก็สามารถซื้อเครื่องได้ในราคาพิเศษ โดยจะเริ่มต้นที่ 18,300 บาท Apple Pencil รุ่นที่ 2 มีจำหน่ายในราคา 4,190 บาท, Smart Keyboard Folio ในราคา 5,300 บาท และ Magic Keyboard ในราคา 9,300 บาท

iPad Air 4 vs iPad Air 3

iPad Air 4 iPad Air 3
Display Liquid Retina
10.9 นิ้ว
ความละเอียด 2360 x 1640
ขอบเขตสีกว้าง P3
แสดงผลแบบ True Tone
Retina
10.5 นิ้ว
ความละเอียด 2224 x 1668
ขอบเขตสีกว้าง P3
แสดงผลแบบ True Tone
Chipset A14 Bionic A12 Bionic
RAM (ยังไม่มีข้อมูล) 3GB
Memory 64GB / 256GB 64GB / 256GB
Rear Camera 12MP 8MP
Front Camera 7MP 7MP
Size and weight 247.6 มม. x 178.5 มม. x 6.1 มม.
458 กรัม (รุ่น Wi‑Fi)
460 กรัม (รุ่น Wi‑Fi + Cellular)
250.6 มม. x 174.1 มม. x 6.1 มม.
456 กรัม (รุ่น Wi‑Fi)
464 กรัม (รุ่น Wi‑Fi + Cellular)
Price Wi-Fi 64GB : 19,900 บาท
Wi-Fi 256GB : 24,900 บาท
Cellular 64GB : 24,400 บาท
Cellular 256GB : 29,400 บาท
Wi-Fi 64GB : 17,900 บาท
Wi-Fi 256GB : 22,900 บาท
Cellular 64GB : 22,400 บาท
Cellular 256GB : 27,400 บาท

iPad Gen 8th

iPad Gen 8

สำหรับไอแพดราคาประหยัดอย่าง iPad Gen 8th นั้น ถือได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยกันปรับเปลี่ยนชิปประมวลผล ทำให้ตัวผลิตภัณฑ์มีความเร็ว แรง และมีประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น แต่อยู่ในราคาเดิม ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ สำหรับผู้ใช้ที่มีงบประมาณที่จำกัด สำหรับในรุ่นนี้จะมีสเปคอย่างไรบ้าง มาดูกันเลย

ด้านดีไซน์

  • ดีไซน์เดียวกับ iPad Gen 7 ทุกประการ
  • มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเงิน, สีเทาสเปรซเกรย์ และสีทอง 
  • ลำโพง 2 ตัว
  • มีปุ่ม Home อยู่ด้านล่างหน้าจอ รองรับ TouchID 

ด้านสเปค

  • หน้าจอ Retina HD ขนาด 10.2 นิ้ว
  • ชิป Apple A12 Bionic เป็นชิปตัวเดียวกันกับที่อยู่ใน iPhone XS ซึ่งแรงกว่า Apple A10 Fusion ที่อยู่ใน iPad Gen 7 ถึง 40% รองรับการทำงานกราฟฟิก การประมวลผลหนัก ๆ และรวมไปถึงยังสามารถใช้งาน Apple Pencil ได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
  • หน่วยความจำ 32GB / 128GB
  • กล้องหลัง 8MP มีรูรับแสงขนาด ƒ/2.4 ชุดเลนส์ 5 ชิ้น, ฟิลเตอร์ Hybrid IR, Auto Focus, HDR, Panorama, บันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p ที่ 30 fps พร้อมระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหว
  • กล้องหน้า 1.2MP เป็น FaceTime HD ที่มาพร้อม HDR, บันทึกวิดีโอระดับ HD 720p
  • รองรับชาร์จเร็ว 20W (มาพร้อม Adapter ชาร์จไว 20W ในกล่อง)
  • รองรับ Apple Pencil 1, Smart Keyboard

ด้านราคา

สำหรับราคาของ iPad (10.2) Gen 8 เปิดตัวมาในราคาที่เท่าเดิม ด้วยชิปประมวลผลใหม่ แถมมาด้วย Adapter สำหรับชาร์จไว 20W โดยจะมีให้เลือกด้วยกัน 4 รุ่นดังนี้ 

  • Wi-Fi 32GB : 10,900 บาท
  • Wi-Fi 128GB : 13,900 บาท
  • Cellular 32GB : 15,400 บาท
  • Cellular 128GB : 18,400 บาท

นอกจากราคาเครื่องแล้วราคาของส่วนเสริมผลิตภัณฑ์ นั่นก็คือ

  • Apple Pencil 1 : 3,400 บาท
  • Smart Keyboard : 5,290 บาท
  • Smart Cover : 2,290 บาท

แต่สำหรับใครที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษา รวมไปถึงผู้ปกครอง อาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้สอนแบบโฮมสคูลในทุกระดับชั้น ก็สามารถซื้อเครื่องได้ในราคาพิเศษ โดยจะเริ่มต้นที่ 10,200 บาท, Apple Pencil รุ่นที่ 1 มีจำหน่ายในราคา 3,100 บาท และ Smart Keyboard ในราคา 3,100 บาท

iPad Gen 8 vs iPad Gen 7

iPad Gen 8 iPad Gen 7
Display Retina
10.2 นิ้ว
ความละเอียด 2160 x 1620 ที่ 264 ppi
Retina
10.2 นิ้ว
ความละเอียด 2160 x 1620 ที่ 264 ppi
Chipset A12 Bionic A10 Fusion
RAM 3GB 3GB
Memory 32GB / 128GB 32GB / 128GB
Rear Camera 8MP 8MP
Front Camera 1.2MP 1.2MP
Size and weight 250.6 มม. x 174.1 มม. x 7.5 มม.
490 กรัม (รุ่น Wi‑Fi)
495 กรัม (รุ่น Wi‑Fi + Cellular)
250.6 มม. x 174.1 มม. x 7.5 มม.
490 กรัม (รุ่น Wi‑Fi)
495 กรัม (รุ่น Wi‑Fi + Cellular)
Price Wi-Fi 32GB : 10,900 บาท
Wi-Fi 128GB : 13,900 บาท
Cellular 32GB : 15,400 บาท
Cellular 128GB : 18,400 บาท
Wi-Fi 32GB : 10,900 บาท
Wi-Fi 128GB : 13,900 บาท
Cellular 32GB : 15,400 บาท
Cellular 128GB : 18,400 บาท

สรุป

กล่าวโดยสรุปนั้นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Apple ในงาน Apple Event ครั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ออกมานั้นค่อนข้างน่าซื้อเลยทีเดียว แถมยังมีผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในราคาที่เอื้อมถึงได้มากขึ้น เหมาะสำหรับใครที่ต้องการผลิตภัณฑ์ดี ๆ สเปคแรง ใช้งานได้นาน ๆ ในราคาที่จำกัด แต่ก็มีข้อน่าสังเกตอยู่ที่ iPad Gen 8th ที่ทีมงานคิดว่า สำหรับใครที่มีรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPad Gen 7 อยู่แล้วนั้น ก็ยังไม่ควรซื้อ แต่สำหรับผู้เริ่มต้นที่มองหา iPad ราคาประหยัด รุ่นนี้ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีมากทางหนึ่ง แต่สำหรับใครที่ต้องการใช้งานที่หนักขึ้น เฉพาะทางมากขึ้น iPad Air 4 เป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ เพราะสเปคที่จัดเต็ม แถมดีไซน์ที่สวยงามและดูดี มาพร้อมฟีเจอร์มากมายที่ไม่น้อยหน้ารุ่นโปร แต่อยู่ในราคาที่ต่ำกว่า ควรค่าแก่หาซื้อมาใช้ไม่น้อยเลยทีเดียว และในส่วนของ Apple Watch นั้น ในรุ่นท็อปอย่าง Series 6 ก็เรียกได้ว่าใส่ฟีเจอร์มาอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้อย่างจัดเต็ม แต่สำหรับใครที่ต้องการ SmartWatch ดี ๆ สักเรือนแต่ไม่อยากจ่ายแพง ในรุ่น SE ก็ตอบโจทย์นี้ได้ดีเลยทีเดียว

และทั้งหมดนี้เป็นสรุปรวม Apple Watch Series 6, Watch SE, iPad Air 4 และ iPad Gen 8 มามีอะไรเด็ด ๆ อัพเดตเพิ่มเข้ามาบ้าง น่าซื้อหามาใช้หรือไม่ และสำหรับใครที่สนใจนั้น สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Apple TH

อ่านบทความเพิ่มเติม/เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

from:https://notebookspec.com/apple-watch-6-se-ipad-air-4-gen-8/537497/

เปรียบเทียบราคา iPad และ Apple Watch รุ่นปัจจุบันทั้งหมด หลังตัวเปิดตัวรุ่นใหม่ มีเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

หลังจากที่ Apple ได้เปิดตัว iPad และ Apple Watch รวมกันทั้งหมด 4 รุ่นไปเมื่อคืนที่ผ่านมา บนหน้าเว็บไซต์ของแอปเปิ้ลเองพวกสินค้าราคารุ่นเก่าๆ หลายรุ่นก็เริ่มมีการอัปเดตราคากันใหม่แล้ว ซึ่งในบทความนี้เราเปรียบเทียบราคาของ iPad และ Apple Watch ทั้งหมดหลังตัวเปิดตัวรุ่นใหม่ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างมาดูกันครับ

สินค้าที่ Apple เปิดตัวมาเมื่อคืน

  • iPad Gen 8
  • iPad Air 4
  • Apple Watch 6
  • Apple Watch SE

ตารางเปรียบเทียบราคา IPAD ที่มีขายบนเว็บ Apple

ความจุ iPad Gen 8 iPad mini 5 iPad Air 4 iPad Pro 11″ iPad Pro 12.9″
32GB 10,900
64GB 13,900 19,900
128GB 13,900 27,900 34,900
256GB 18,900 24,900 31,400 38,400
512GB 38,400 45,400
1TB 45,400 52,400

หมายเหตุ

  • ราคาในตารางข้างต้นเป็นเฉพาะรุ่น WiFi เท่านั้น
  • สำหรับ iPad Gen 8, iPad mini 5 และ iPad Air 4 ถ้าเป็นรุ่น WiFi + Cellular เพิ่มเงิน +4,500 บาท
  • iPad Pro ถ้าเป็นรุ่น WiFi + Cellular เพิ่มเงิน +5,000 บาท

ตารางเปรียบเทียบราคา Apple Watch ที่มีขายบนเว็บ Apple

ขนาดหน้าปัด Apple Watch 3 Apple Watch SE Apple Watch 6
38 มม. 6,400
40 มม. 9,400 13,400
42 มม. 7,400
44 มม. 10,400 14,400

หมายเหตุ

  • ราคาในตารางข้างต้นเป็นเฉพาะรุ่นเริ่มต้น ที่มีการเชื่อมต่อ GPS เท่านั้น
  • สำหรับ Apple Watch SE ถ้าเป็นรุ่น GPS + Cellular เพิ่มเงิน +1,500 บาท
  • สำหรับ Apple Watch 6 ถ้าเป็นรุ่น GPS + Cellular เพิ่มเงิน +3,500 บาท

อย่างไรก็ตามราคาข้างต้นทั้งหมดเช็คเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2020 หลังที่ Apple ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ ยังไงก็ต้องรอติดตามกันไปครับผม เชื่อว่าหลัง iPhone 12 เปิดตัวมา อาจจะมีการขยับเปลี่ยนแปลงกันอีกทียกใหญ่ครับผม

 

ที่มา :  apple

from:https://droidsans.com/compare-ipad-apple-watch-all-price/

Apple Watch เปิดตัวเป็นทางการแล้ว ทั้ง Series 6 และ SE ราคาเริ่มต้น 8,xxx บาท

Apple Watch เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ในงาน Apple Event ที่จัดขึ้นในวันที่ 15 กันยายน 2020 (เที่ยงคืนวันที่ 16 กันยายน 2020 ตามเวลาประเทศไทย) โดยมาพร้อมกับ Apple Watch Series 6 และรุ่นประหยัดอย่าง Apple Watch SE

Apple Watch

Apple Watch Series 6

Apple Watch

Apple Watch SE

Apple Watch Series 6 นั้น ยังคงมาพร้อมกับดีไซน์แบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้า แต่แตกต่างด้วยสีสันใหม่มีที่ให้เลือกมากมาย แต่สีที่เป็นไฮไลท์เลยนั่นก็คือ สีน้ำเงินเข้มและสีแดง (PRODUCT)RED โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์เด็ด ๆ ดังนี้

  • ใช้ชิปประมวลผล S6 และ U1 Ultra Wideband
  • ใช้เซ็นเซอร์ใหม่ที่สามารถวัดค่าออกซิเจนในเลือดได้
  • หน้าจอให้ความสว่างกว่าเดิมถึง 2.5 เท่า ทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะอยู่กลางแจ้ง
  • มาพร้อมสายรัดข้อมือแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘Solo Loop’ คือมีลักษณะเป็นสายรัดแบบเส้นเดียว ไร้รอยต่อ จะมีทั้ง สายถัก (Braided Solo Loop), สายหนัง (Leather Link) และสายซิลิโคน (Silicone Solo Loop)
  • มีฟีเจอร์ติดตามการนอนหลับ มาพร้อมหน้าปัดแบบใหม่
  • รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 5GHz
  • ชาร์จไวขึ้นถึง 20%
  • ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $399 หรือราว ๆ 12,xxx บาท สำหรับในรุ่น GPS

ในส่วนของรุ่นประหยัดอย่าง Apple Watch SE ก็ไม่น้อยหน้า โดยมาพร้อมฟีเจอร์เด็ด ๆ ดังนี้

  • สายรัดรูปแบบใหม่เช่นเดียวกันกับใน Series 6 ได้แก่ สายถัก (Braided Solo Loop), สายหนัง (Leather Link) และสายซิลิโคน (Silicone Solo Loop)
  • มาพร้อมหน้าปัดใหม่ และฟีเจอร์ Face Sharing และ Family Setup
  • มีฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม, ติดตามการนอนหลับ
  • รองรับการใส่ว่ายน้ำได้ โดยตัวเรือนนั้นจะผลิตจากอะลูมิเนียมที่ผ่านการบวนการรีไซเคิลแบบ 100%
  • ใช้ชิปประมวลผล S5 เช่นเดียวกันกับใน Series 5
  • ชาร์จแบตเตอร์รี่ไวขึ้นกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับ Apple Watch Series 3
  • ราคาเริ่มต้น $279 หรือราว ๆ 8,7xx บาท

ทั้ง 2 รุ่นนี้ พร้อมวางจำหน่ายใน วันศุกร์ ที่ 18 กันยายน 2020 นี้ สำหรับใครที่สนใจก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Apple

from:https://notebookspec.com/apple-watch-series-6-and-se/537371/