Apple Watch 6 ถือว่ามีอายุอานามเกือบๆ ครึ่งปีได้แล้ว หลังจาก Apple ได้นำสมาร์ทวอทช์รุ่นนี้มาเปิดตัวพร้อมกับ Apple Watch SE รุ่นราคาประหยัดในช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ล่าสุด Apple Watch 6 นี้ก็มีรุ่นพิเศษออกมาใหม่แล้ว รอบนี้เป็นเวอร์ชั่น Black Unity เฉลิมฉลองให้กับสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวของกลุ่มแอฟริกันพลัดถิ่น
เอาจริง Apple Watch สามารถใช้งานฟีเจอร์ตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ตั้งแต่รุ่นที่ 4 ที่เดินทางมาเปิดตัวในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2018 แล้ว ทว่าทางสำนักงาน อย. ก็ยังไม่อนุมัติให้ใช้งานซักที แต่ล่าสุดวันนี้ทาง Apple Thailand ประกาศแล้วว่าต่อไปนี้ Apple Watch สามารถใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้แล้ว พร้อมกับจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ประเภท Class I
Apple Thailand ออกมาประกาศว่า สมาร์ทวอทช์ Apple Watch 4, 5 และ 6 จะสามารถใช้งานฟีเจอร์ ECG ในการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้แล้ว โดยความสามารถนี้จะมาพร้อมกับแพทช์อัปเดต Watch OS 7.3 ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบสำหรับนักพัฒนา
หลังจากที่Apple ได้มีการเปิดตัวทั้ง Watch Series 6 และ Watch SE เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ล่าสุดทุกคนสามารถเข้าไปในเว็บไซต์หลักของ Apple ประเทศไทยเพื่อสั่งซื้อนาฬิกาของตัวเองได้แล้วทั้ง 2 รุ่น ตั้วแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยมีข้อสังเกตที่น่าสนใจตรงที่ Watch แต่ละสายสามารถสั่งซื้อได้ทันที แต่ใช้เวลาในการจัดส่งไม่เท่ากัน โดยสายรัดข้อมือแบบถัก BraidedSolo Loop จะใช้เวลาจัดส่งนานสุดถึง 6-8 สัปดาห์เลยทีเดียว
ตอนนี้ถ้าทุกคนเข้าไปที่หน้า Apple Stores จะเห็นว่าตอนนี้สามารถสั่งซื้อ Apple Watch ได้แล้วทั้ง Series 6 และ SE (เฉพาะรุ่น GPS เท่านั้นนะครับ รุ่น Cellular ยังไม่สามารถสั่งซื้อได้) ซึ่งมีข้อสังเกตอยู่ที่การเลือกแบบสายรัดข้อมือ เพราะแต่ละแบบ จะมีระยะเวลาในการจัดส่งที่ไม่เท่ากัน โดยรุ่นสายถัก Solo Loop มีระยะเวลาในการจัดส่งนานสูงสุดถึง 2 เดือน
รูปสั่ง Apple Watch Series 6 แบบสาย Sport Band
จากที่ทางทีมงานได้ลองทดสอบกดสั่ง Apple Watch ในแบบต่าง ๆ ดูแล้ว ส่วนที่ทำให้เวลาต่างกันมากที่สุดก็คือชนิดของสายรัดข้อมูลที่เลือก ซึ่งสาย Sport Band แบบธรรมดาจะใช้เวลาในการส่งเพียง 2-3 วันเท่านั้น ก็พอจะเดาได้ว่ามีของอยู่ในสต็อคอยู่แล้ว
รูปสั่ง Apple Watch Series 6 แบบสาย Solo Loop
ส่วนสายแบบ Solo Loop ที่มีให้เลือกหลายขนาดตามข้อมือของผู้ใช้งาน จะถูกเพิ่มเวลาในการจัดส่งไปเป็น 3-4 สัปดาห์ เข้าไปแล้ว แต่ยังไม่พอ…เพราะสายถักแบบ Braided Solo Loop ยิ่งเพิ่มเวลาจัดส่งที่ยิ่งนานเข้าไปอีก มากถึง 6-8 สัปดาห์เลยทีเดียว
รูปสั่ง Apple Watch SE แบบสาย Braided Solo Loop
ไม่ใช่แค่สายจำพวก Solo Loop เท่านั้นที่ใช้เวลาในการจัดส่งนานขนาดนี้ เพราะสายแบบพิเศษอย่าง Sport Loop ก็ต้องใช้เวลาจัดส่งนานถึง 3-4 สัปดาห์เช่นกัน แต่ใครที่กำลังรีบ ๆ แล้วชอบสีแดงอยู่พอดี ก็สามารถสั่ง Watch Series 6 Product Red กันได้เลย เพราะรุ่นนี้ แม้จะใช้สายแบบ Sport Loop เหมือนกัน แต่กลับมีของพร้อมส่งได้ภายใน 2-3 วัน เท่านั้น
รูปสั่ง Apple Watch Series 6 แบบสาย Sport Band
รวม ๆ ตอนนี้ดูเหมือนความพร้อมสินค้า Apple Watch จะยังค่อนข้างกระจัดกระจายอยู่เพราะ แม้ว่าสาย Sport Band จะพร้อมภายใน 2-3 วันก็จริง แต่ก็จะมีสายบางสีที่ต้องใช้เวลาส่งนานยกตัวอย่าง Sport Band สีกรมท่ากับสีโอรสที่ยังต้องใช้เวลา 3-4 สัปดาห์ในการส่งเลยทีเดียว…สุดท้ายแล้วเราก็สามารถสรุปได้ว่า Apple ยังไม่ได้มีของทุกอย่างที่แสดงผลอยู่บนเว็บไซต์เพราะงั้นตอนซื้อควรตรวจสอบสเปคกับสีให้ดีว่าแบบที่เราต้องการมีพร้อมส่งหรือไม่
หลังจากที่ได้มีการเปิดตัว Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE เราก็ได้เห็นทั้งดีไซน์ กับฟีเจอร์ต่าง ๆ กันไปแล้ว และล่าสุดทาง YouTuber ชื่อดังอย่าง iFixit ก็ได้ปล่อยคลิปชำแหละ Apple Watch Series 6 ให้ชาวเน็ตได้ดูกัน ทำให้เราได้เห็นส่วนประกอบใหม่ ๆ ที่อยู่ด้านในตัวอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่ตัวใหม่ที่มีความจุมากขึ้น และสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่าย แถมยังมากับมอเตอร์สั่นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกเช่นกัน
ทาง iFixit ก็ได้มีการแกะ Apple Watch Series 6 ออกเพื่อดูว่ามีส่วนประกอบอะไรด้านในบ้างซึ่งเราก็จะได้เห็นเซ็นเซอร์ใหม่ที่ถูกใส่เข้ามาอย่างเซ็นเซอร์ตรวจวัดออกซิเจนในเลือด แต่เซ็นเซอร์สำหรับฟีเจอร์ Force Touch ที่เคยมีใน Apple Watch รุ่นก่อน ๆ กลับโดนตัดทิ้งไปซะแล้ว
แต่จุดที่น่าสนใจก็คือ Apple Watch Series 6 กับ Series 5 มีระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่อยู่ที่ 18 ชั่วโมงเท่ากัน ในขณะที่ Series 6 มีขนาดที่ใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ Apple Watch Series 6 มีขนาดใหญ่ขึ้นน่าจะเป็นเพราะว่าหน้าจอรุ่นใหม่มีความสว่างกว่ารุ่นเก่านั่นเอง
iFixit บอกว่า Apple Watch Series 6 เป็นสมาร์ทวอทช์ที่สามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เองอย่างไม่ยากเย็น เพราะเมื่อแงะเปิดตัวเรือนออกมาได้แล้ว ก็จะเจอกับแบตเตอรี่นอนให้เห็นแบบชัดเจน ก็แค่พลิกตัวแบตขึ้นมาจากนั้นก็ใช้ไขควงหมุนคลายล็อคสายไฟออกก็เรียบร้อยครับ
แต่ส่วนที่เปลี่ยนยากก็คือหน้าจอ ซึ่ง iFixit บอกว่าหน้าจอของ Apple Watch Series 6 เปลี่ยนค่อนข้างยาก แต่ก็ไม่ถึงกับทำไม่ได้เลย เพราะมันมีทั้งชิ้นส่วนที่ถูกติดเอาไว้ด้วยกาว แถมยังมีสายไฟที่แสนจะเปราะบางเชื่อมอยู่ด้วย คือถ้ามือไม่นิ่งจริงอาจเสี่ยงทำสายไฟขาดได้ แล้วต้องมานั่งเชื่อมใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เปิดตัวกันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ Apple Watch Series 6 และรุ่นประหยัดราคาถูกลงกับ Apple Watch SE ที่มาพร้อมฟีเจอร์เจ๋ง ๆ มากมายทั้งการวัดระดับออกซิเจนในเลือด (เฉพาะใน Apple Watch Series 6) และชิปเซ็ต S6 รุ่นใหม่ที่แรงขึ้น แถมยังมาพร้อมกับ Always-on Display ที่สว่างขึ้นมองเห็นได้ชัดแม้กระทั่งภายใต้แสงแดด (ใน Series 6 เท่านั้นอีกแล้ว) แต่เอ๊ะ? แล้ว 2 รุ่นใหม่นี้ต่างกันยังไง แล้วเทียบกับรุ่นเก่าจะต่างกันแค่ไหน ไปดูกันครับ
เทียบสเปค Apple Watch Series 6, Watch SE และ Watch Series 3
โดยหลัก ๆ แล้วรุ่น Watch Series 6 ก็จะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับระดับออกซิเจนในเลือด และชิปเซ็ต S6 ที่แรงขึ้น แถมยังมาพร้อมกับวัสดุให้เลือกถึง 3 แบบได้แก่ สแตนแลส อะลูมิเนียม และไทเทเนียม ส่วนทางฝั่ง SE มีให้เลือกแค่อะลูมีเนียมเท่านั้น ส่วนสีก็มีมาให้ได้เลือกซื้อกันด้านล่างเลยครับฟ
(รูปซ้ายสุดคือสี Apple Watch Series 6, กลา Watch SE และขวา Watch Series 3)
ส่วน Apple Watch Series 5 ที่หายไปคือจะเลิกวางจำหน่าย ซึ่งถ้าใครมีอยู่ในข้อมือตอนนี้ก็ไม่ต้องเสียใจเพราะถ้าเทียบระหว่าง Series 5 กับ 6 แล้วมีเพียงบางฟีเจอร์เดียวเท่านั้นที่อัปเดตเพิ่มเข้ามานั่นก็คือเซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในระดับเลือด ECG เท่านั้น ซึ่งก็ยังไม่สามารถเปิดใช้งานในไทยได้ตอนนี้
และถ้าใครที่กำลังจะซื้อ Apple Watch เครื่องใหม่ส่วนตัวแนะนำว่าควรจะซื้อตัว Watch SE มากกว่า Watch 3 เพราะมีฟีเจอร์ที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ทั้งในเรื่องระบบตรวจจับการล้ม, เข็มทิศ และใช้งาน Family Setup ซึ่งส่วนต่างราคาต่างกัน 3,000 บาทถือว่าค่อนข้างคุ้มเลยทีเดียวครับ
หลังจากที่เราได้เห็นงานเปิดตัว Apple Watch Series 6 และ Apple Watch SE ไปแล้วเมื่อวันพุทธที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นหนึ่งในฟีเจอร์น่าสนใจอย่างการตั้งค่าครอบครัว (Family Setup) ที่จะสามารถทำให้คนที่ไม่มี iPhone สามารถใช้งาน Apple Watch ได้ สำหรับใครที่รอใช้ฟีเจอร์นี้อยู่ก็ยิ้มได้เลย เพราะตอนนี้ DTAC ได้เปิดให้บริการ Family Mode เป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ Apple Watch Series 4 ขึ้นไปบน iPhone ที่รองรับ iOS 14 เท่านั้น
ในงานเปิดตัวเราก็ได้เห็นฟีเจอร์การใช้งาน Family Mode มากมายไม่ว่าจะเป็นกาตาม Location ของผู้ใช้งานว่าอยู่ที่ไหนกำลังทำอะไรอยู่เอาไว้แอบส่องพฤติกรรมลูก ๆ ได้ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย แถมน้อง ๆ หนู ๆ ที่ยังไม่มี iPhone ก็สามารถใช้ Family Setup เพื่อที่จะสามารถใช้ Apple Watch เป็นเครื่องมือสื่อสารเดี่ยว ๆ ได้โดยที่ไม่ต้องมี iPhone ซึ่งในงานเปิดตัวเราก็ได้เห็นชื่อผู้ให้บริการเครือข่ายในไทยที่จะรองรับบริการนี้ได้แก่ DTAC, AIS และ TrueMove H
รายชื่อเครือคร่ายผู้ให้บริการที่รองรับ Family Setup
เบอร์ที่เปิดใหม่จะสามารถนำไปใช้บน Apple Watch ได้ก็ต่อเมื่อเป็นเบอร์ที่จดบนเลขบัตรประชาชนเดียวกับที่ใช้บน iPhone เครื่องหลักเท่านั้น
iPhone หนึ่งเครื่องสามารถเชื่อมต่อโหมด Family ได้สูงสุด 5 เครื่อง
ใช้งานได้เฉพาะ Apple Watch 4 เป็นต้นไป และ iPhone เครื่องหลักต้องรองรับ iOS14 เท่านั้น
ควรเป็น Apple Watch รุ่น Cellular เท่านั้น
เงื่อนไขและค่าบริการรายเดือนในการเปิดใช้บริการ Family Setup
สำหรับผู้ใช้งานคนไหนที่สนใจอยากซื้อ Apple Watch ให้คนในครอบครัวใช้ผ่านการใช้งานโหมด Family Setup ก็สามารถเรียนรู้รายละเอียดการตั้งค่าและการใช้งานเบื้องต้นได้ที่นี่เลย หรือเพื่อความสะดวกรวดเร็วสามารถติดต่อศูนย์ DTAC สาขาที่ใกล้บ้านที่สุดเพื่อติดต่อสอบถามได้ตามสะดวกเลย
ภายหลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Apple Event ที่ผ่านมานั้น สำหรับ Apple Watch Series 6, Watch SE, iPad Air 4 และ iPad Gen 8 เรียกได้ว่าขนขบวนมาอัพเกรดฟีเจอร์ใหม่ ๆ ดีไซน์ และสีสัน ที่ชวนให้น่าซื้อกันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามนั้น เราก็ต้องมาดูกันว่า เมื่อมาลองดูฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามากับราคาและประสิทธิภาพนั้น รุ่นใหม่ที่ออกมานี้จะน่าซื้อน่าโดนหรือน่าข้ามไปกันแน่ ทีมงาน Notebookspec จะนำมาสรุปให้อ่านกัน
Apple Watch Series 6
เริ่มต้นที่ผลิตภัณฑ์แรกที่ได้รับการเปิดตัวในงาน Apple Event อย่าง Apple Watch Series 6 ที่มาพร้อมกับสเปค ฟีเจอร์ สีสัน รวมไปถึงสายรัดแบบใหม่ที่ได้รับการเพิ่มเข้ามา ซึ่งโดยปกติแล้วนั้น Apple Watch ถือเป็นอุปกรณ์พกพาที่สามารถสวมใส่ติดตัวไปไหนมาไหนได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนนอน และด้วยเหตุนี้ ใน Series 6 นั้น ทาง Apple ก็ได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ต่าง ๆ รวมถึงปริมาณแบตเตอรี่ที่ให้มามากขึ้น ตัวช่วยในให้การออกกำลังกายรวมไปถึงการดูแลด้านสุขภาพ สิ่งที่น่าสนใจหลัก ๆ เลยก็คือ
หน้าจอ OLED เหมือนกับรุ่น Series 5 แต่จะมีความสว่างในตอนกลางวันเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า
Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS) เริ่มต้น 13,400 บาท
Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS + Cellular) เริ่มต้น 16,900 บาท
Apple Watch SE
มาดูในส่วนของ Apple Watch รุ่นประหยัดที่ทาง Apple ได้ผลิตออกมาตอบโจทย์สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ Apple Watch ที่ราคาที่ไม่สูงมากนักอย่าง Apple Watch SE ที่ก็มาพร้อมสเปคแรงและคุ้มค่าเหมาะสำหรับการเริ่มต้นใช้งาน ผลิตภัณฑ์แบบ Smart Watch
โดยรวมนั้น Apple Watch SE ดูเหมือนจะเป็นรุ่นที่ได้รับการอัพเกรดมาจาก Watch Series 4 โดยจะมีฟีเจอร์หรือสเปคอะไรที่น่าสนใจกันบ้างนั้น มาดูกันเลย
Watch SE มาพร้อมหน้าจอ Retina แบบเดียวกับ Series 4 แต่มีขนาดใหญ่กว่า Series 3 ถึง 30% (เท่ากับ Series 6)
กล่าวโดยสรุปนั้นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Apple ในงาน Apple Event ครั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ออกมานั้นค่อนข้างน่าซื้อเลยทีเดียว แถมยังมีผลิตภัณฑ์ที่ออกมาในราคาที่เอื้อมถึงได้มากขึ้น เหมาะสำหรับใครที่ต้องการผลิตภัณฑ์ดี ๆ สเปคแรง ใช้งานได้นาน ๆ ในราคาที่จำกัด แต่ก็มีข้อน่าสังเกตอยู่ที่ iPad Gen 8th ที่ทีมงานคิดว่า สำหรับใครที่มีรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPad Gen 7 อยู่แล้วนั้น ก็ยังไม่ควรซื้อ แต่สำหรับผู้เริ่มต้นที่มองหา iPad ราคาประหยัด รุ่นนี้ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีมากทางหนึ่ง แต่สำหรับใครที่ต้องการใช้งานที่หนักขึ้น เฉพาะทางมากขึ้น iPad Air 4 เป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ เพราะสเปคที่จัดเต็ม แถมดีไซน์ที่สวยงามและดูดี มาพร้อมฟีเจอร์มากมายที่ไม่น้อยหน้ารุ่นโปร แต่อยู่ในราคาที่ต่ำกว่า ควรค่าแก่หาซื้อมาใช้ไม่น้อยเลยทีเดียว และในส่วนของ Apple Watch นั้น ในรุ่นท็อปอย่าง Series 6 ก็เรียกได้ว่าใส่ฟีเจอร์มาอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้อย่างจัดเต็ม แต่สำหรับใครที่ต้องการ SmartWatch ดี ๆ สักเรือนแต่ไม่อยากจ่ายแพง ในรุ่น SE ก็ตอบโจทย์นี้ได้ดีเลยทีเดียว
และทั้งหมดนี้เป็นสรุปรวม Apple Watch Series 6, Watch SE, iPad Air 4 และ iPad Gen 8 มามีอะไรเด็ด ๆ อัพเดตเพิ่มเข้ามาบ้าง น่าซื้อหามาใช้หรือไม่ และสำหรับใครที่สนใจนั้น สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: Apple TH
Apple Watch เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ในงาน Apple Event ที่จัดขึ้นในวันที่ 15 กันยายน 2020 (เที่ยงคืนวันที่ 16 กันยายน 2020 ตามเวลาประเทศไทย) โดยมาพร้อมกับ Apple Watch Series 6 และรุ่นประหยัดอย่าง Apple Watch SE
Apple Watch Series 6
Apple Watch SE
Apple Watch Series 6 นั้น ยังคงมาพร้อมกับดีไซน์แบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้า แต่แตกต่างด้วยสีสันใหม่มีที่ให้เลือกมากมาย แต่สีที่เป็นไฮไลท์เลยนั่นก็คือ สีน้ำเงินเข้มและสีแดง (PRODUCT)RED โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์เด็ด ๆ ดังนี้