คลังเก็บป้ายกำกับ: หน้าร้าน

FamilyMart เตรียมเปิดหน้าร้านแบบไม่ใช้พนักงาน ใช้แต่กล้องวงจรปิดและระบบเซ็นเซอร์

ปลายปี 2024 FamilyMart เตรียมเดินหน้าเปิดร้านอีก 1,000 แห่ง ภายในร้านจะขายสินค้าแบบเดียวกับสาขาทั่วไป แต่ความแตกต่างที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากกว่าสาขาอื่นๆ ที่มีอยู่ทั่วไป เนื่องจากขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก

FamilyMart

ถ้าเทียบอันดับผลิตภาพแรงงานซึ่งมีความสำคัญมากต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับญี่ปุ่นแล้วถือว่าอยู่ในอันดับต่ำที่สุดของกลุ่ม G7 และอยู่อันดับที่ 21 จากสมาชิก 37 ประเทศในกลุ่ม OECD ถือว่าอยู่อันดับต่ำสุดในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง G7 และอยู่ในอันดับที่ไม่สูงมากนักสำหรับกลุ่มประเทศ OECD

เนื่องจากญี่ปุ่นขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก ระบบอัตโนมัติจึงมีบทบาทสำคัญในการรับบทพระเอกเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้แทน

สำหรับธุรกิจค้าปลีกในส่วนของเรื่องสุขอนามัย ความสะอาดต่างๆ ยังต้องใช้บุคลากรเข้าไปดูแลจัดการด้านนี้อยู่ตามที่กฎหมายกำกับ แต่สำหรับระบบจ่ายเงินถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับร้านค้าที่เน้นระบบอัตโนมัติ FamilyMart จะใช้กล้องวงจรปิดติดเพเดานและกล้องที่ใช้ระบบ AI รวมทั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับบนชั้นวางสินค้าเพื่อตรวจสอบขณะลูกค้าหยิบจับสินค้าออกจากชั้น เมื่อลูกค้ายืนอยู่ในช่องจ่ายเงิน ชื่อสินค้าและราคาจะปรากฏบนหน้าจอ จากนั้นลูกค้าก็สามารถจ่ายเงินได้ทั้งเงินสดและระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบจะเอาการอ่านบาร์โค้ดที่ยุ่งยากออก แต่ก็จะทำให้ลูกค้าที่ต้องการขโมยของยากขึ้นด้วย

ระบบดังกล่าวที่ FamilyMart กำลังจะทำนี้จะปกป้องความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้าด้วย โดยเฉพาะข้อมูลที่ยืนยันตัวตน เช่น จะไม่เก็บข้อมูลที่เป็นระบบตรวจจับใบหน้าไว้ ลูกค้าไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไว้ในสมาร์ทโฟนล่วงหน้า ไม่ต้องเตรียมข้อมูลยืนยันตัวตนตามระบบไบโอเมตริกซ์ก่อนเข้าร้านเลย ทางร้านระบุว่าอาจจะมีสินค้าราว 3,000 รายการเหมือนกับหน้าร้านทั่วไป ทั้งนี้ ได้มีการทดลองขายในโตเกียวช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมาแล้ว ร้านมีพื้นที่ขนาด 50 ตารางเมตรหรือราว 30% ของขนาดหน้าร้านปกติ ใช้กล้องตรวจจับประมาณ 50 ตัว มีสินค้าราว 750 รายการ ในกรณีที่มีลูกค้ามาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ก็จะมีการมอนิเตอร์ยืนยันตัวตนในช่องจ่ายเงินด้วย

FamilyMart
Photo: FamilyMart in Malaysia

ปัจจุบัน FamilyMart นี้มีหน้าร้านอยู่ในญี่ปุ่นราว 16,000 แห่ง บริษัทเดินหน้าขยายสาขาจำนวนมากขนาดนี้หลังจากที่มีการยืนยันระบบปฏิบัติการแล้วพบว่าการให้บริการพร้อมกันในคราวเดียว 10 คนนั้น ไม่มีปัญหาติดขัด โดยระบบดังกล่าวใช้บริการจากบริษัท Touch To Go ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับร้านค้าที่ไม่มีพนักงาน เป็นบริษัทในเครือของ East Japan Railway ที่ FamilyMart ถือหุ้นอยู่ด้วย

อย่างไรก็ดี ระบบอัตโนมัตินี้ทำให้ร้านมีต้นทุนเพิ่มขึ้นกว่าร้านทั่วไปราว 20% แต่ในส่วนต้นทุนของแรงงานลดลงเพราะไม่จำเป็นต้องใช้พนักงาน ยกเว้นในส่วนของรับสินค้าและสต็อกสินค้า ผลสำรวจจากคณะกรรมการการค้าที่เป็นธรรมของญี่ปุ่นพบว่าเฉพาะค่าแรงงานในร้านแฟรนไชส์มีค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานราว 60% ด้านประธานบริษัท Kensuke Hosomi กล่าวกับ Nikkei ว่า ตอนนี้ เราสามารถเปิดหน้าร้านในพื้นที่ที่ไม่ทำกำไรได้ เพราะเราต้องการแก้ปัญหาสังคม ช่วยเหลือผู้คนในพื้นที่ที่ขาดแคลนซุปเปอร์มาเก็ต

ญี่ปุ่นมีคอนวีเนียนสโตร์ราว 50,000 แห่งแต่ก็มีจำนวนลดลงครั้งแรกในปี 2019 อีกหลายบริษัทในญี่ปุ่นต่างก็พยายามปรับตัวโดยการใช้ระบบอัตโนมัติเข้าไปในการให้บริการมากขึ้น เช่น 7-Eleven ก็เริ่มใช้ระบบจดจำใบหน้ามาใช้ในการจ่ายเงิน Lawson ก็มีระบบให้ลูกค้าใช้สมาร์ทโฟนตัวเองอ่านบาร์โค้ดสินค้าได้

ที่มา – Nikkei Asia

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post FamilyMart เตรียมเปิดหน้าร้านแบบไม่ใช้พนักงาน ใช้แต่กล้องวงจรปิดและระบบเซ็นเซอร์ first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/familymart-will-launch-unstaff-shop-by-the-end-of-2024/

เมื่อ Reskill เห็นผล: โควิดทำ Microsoft ปิดหน้าร้าน ปรับพนักงานสู่ออนไลน์ สร้างรายได้เกือบ 2 พันล้านบาท

Microsoft
NEW YORK, NEW YORK – AUGUST 03: People wearing protective masks walk by a Microsoft retail store as the city continues Phase 4 of re-opening following restrictions imposed to slow the spread of coronavirus on August 3, 2020 in New York City. The fourth phase allows outdoor arts and entertainment, sporting events without fans and media production. (Photo by Cindy Ord/Getty Images)

Reskill พนักงานเพื่อสู้วิกฤต

ในช่วงวิกฤตโควิด Microsoft ประกาศปิดหน้าร้านหลายสาขาในสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งได้ปรับเปลี่ยน “พนักงานหน้าร้าน” ให้กลายเป็น “พนักงานบริการลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์” กว่า 300 คนนับตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ผลจากการให้พนักงานปรับทักษะ (reskill) เพื่อรับมือกับวิกฤตเห็นผลดี โดย Business Insider ได้รายงานและอ้างอิงจากสไลด์ภายในของ Microsoft ที่ได้มาจากแหล่งข่าวซึ่งไม่เปิดเผยตัวตนว่า:

  • Microsoft มีรายได้ 61.7 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,956 ล้านบาท (จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 73.1 ล้านดอลลาร์ แต่โดยภาพรวมแล้วถือว่าอยู่ในระดับดี เพราะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาถึง 9%) จากการขายโซลูชั่นให้กับธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กและองค์กรด้านการศึกษา (small and medium businesses and educational organizations หรือ SMB/EDU) เช่น อุปกรณ์อย่าง Surface Duo และ HoloLens 2 ซึ่งเป็นแว่นตา AR เพื่อใช้ในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการและรวมถึงภาคการศึกษาที่จำเป็นต้องทำการเรียนการสอนออนไลน์ในช่วงวิกฤตโรคระบาด

อย่างไรก็ตาม รายได้ในส่วน SMB/EDU ไม่ได้รับความนิยมมากนักในสายตานักลงทุน เนื่องจากผลิตภันฑ์อื่นๆ ของ Microsoft ที่หลายคนจับตามองเพราะเป็นที่รู้จักกันดีอย่าง Microsoft Azure, Microsoft Teams และ Office 365 suite มากกว่า

สำหรับธุรกิจ SMB/EDU ของ Microoft ที่ประสบความสำเร็จในแง่รายได้ เครดิตที่ต้องให้คือการ reskill พนักงานจากที่แต่เดิมทำงานหน้าร้านมาสู่การเป็นพนักงานขายออนไลน์ โดยทำหน้าที่ตั้งแต่นำเสนอและขายผลิตภัณฑ์ให้กับภาคธุรกิจรายย่อยและสถานศึกษา จัดอบรมออนไลน์ และสนับสนุนด้านการบริการให้ลูกค้าผ่านทางออนไลน์แบบครบวงจร

ที่มา – Business Insider

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/microsoft-leaked-slides-show-reskill/

เซ็นทรัลจัด”มหกรรมช้อป 11.11”ทั้งหน้าร้านและออนไลน์เป็นปีแรก

เซ็นทรัล รีเทล จัด “มหกรรมช้อป 11.11” ด้วยโปรโมชั่นลดสูงสุด 90 % ให้ลูกค้าช้อปปิ้งได้ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ พร้อมเปิดบริการใหม่รับสินค้าที่ร้านใน 1 ชั่วโมงและบริการส่งสินค้าด่วน ให้สอดรับกับวิถีชีวิตในปัจจุบันและอนาคต

มหกรรมช้อปครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดแคมเปญ “11.11 Mega Sale” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7 – 11 พฤศจิกายน 2562 ด้วยโปรโมชั่นสุดยิ่งใหญ่พร้อมส่วนลดสูงสุด 90% ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ พร้อมเปิดตัวบริการรับสินค้าที่ร้านใน 1 ชั่วโมง (1-hour pick up) และ บริการส่งสินค้าด่วน (Express Delivery)

นิโคโล กาลันเต้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จุดเริ่มต้นของแคมเปญดังกล่าว มาจากคำถาม 2 ข้อ คือ “ทำไมโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ซื้อหน้าร้านจะเหมือนกับซื้อออนไลน์ไม่ได้” และ “ทำไมลูกค้าที่ช้อปออนไลน์จะได้รับบริการ การรับประกันสินค้าของแท้ และคำแนะนำต่าง ๆ เหมือนกับการซื้อหน้าร้านไม่ได้”

ทั้งนี้โดยเฉลี่ยในแต่ละเดือน ร้านค้าในเครือเซ็นทรัล รีเทล และกลุ่มเซ็นทรัล มีจำนวนลูกค้าที่เข้าไปเลือกซื้อสิ่งของประมาณ 100 ล้านครั้ง ขณะที่ร้านค้าบนหน้าเว็บมีผู้เข้าชมกว่า 16 ล้านครั้ง การจัดแคมเปญดังกล่าวเพื่อผสานบริการต่างๆ ทั้งที่หน้าร้านและบนช่องทางออนไลน์ จึงเป็นการสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่สมบูรณ์แบบ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและไร้รอยต่อ

เปิดบริการใหม่ ไวกว่าเดิม

เซ็นทรัล รีเทลได้เปิดตัวบริการใหม่ให้สอดรับกับวิถีชีวิตในปัจจุบันและอนาคต อาทิ

  • บริการรับสินค้าที่ร้านใน 1 ชั่วโมง (1-hour pick up) จากเพาเวอร์บาย ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าออนไลน์และรับสินค้าด้วยตัวเองได้ที่ร้านเพาเวอร์บายสาขาที่สะดวกทั่วประเทศภายใน 1 ชั่วโมงหลังจองสินค้า
  • บริการสั่งซื้อสินค้าด่วน (Express Delivery) จากท็อปส์ ลูกค้าในกรุงเทพฯ สามารถรอรับสินค้าให้มาส่งถึงที่ได้ภายใน 2 ชั่วโมงผ่านบริการของแกร็บ (Grab) พันธมิตรด้านการขนส่งของเซ็นทรัล
  • บริการส่งสินค้าด่วนจาก เซ็นทรัล แชท แอนด์ ช้อป ซึ่งลูกค้าสามารถพูดคุยกับผู้ช่วยส่วนตัวที่คอยให้บริการในการเลือกซื้อสินค้า รวมทั้งให้คำแนะนำสินค้าที่เหมาะกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย และทำการส่งสินค้านั้นถึงมือลูกค้าภายในเวลา 99 นาที สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

เซ็นทรัล รีเทล คาดว่ามหกรรมลดราคาส่งท้ายปีจะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันผลประกอบการในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ของร้านค้าในเครือตลอดช่วงระยะเวลาของแคมเปญเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 4.2 เท่า

สรุป

ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าแคมเปญ 11.11 จะเน้นจัดขึ้นสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์เท่านั้น แต่ปีนี้เป็นครั้งแรกที่ลูกค้าสามารถช้อปได้ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ เป็นการเดินหน้าเพื่อตอบโจทย์กลยุทธ์ Omnichannel ของเซ็นทรัล รีเทล รวมทั้งเปิดตัวบริการใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/central-11-11-online-offline/