คลังเก็บป้ายกำกับ: ลองให้

พรีวิว realme M1 Sonic แปรงสีฟันไฟฟ้าโซนิค ไม่ต้องออกแรงเยอะฟันก็สะอาด

Realme ได้เริ่มขยายไลน์สินค้าจากเพียงแค่สมาร์ทโฟนที่ขายดีขึ้นมาจนติดอันดับ 1 ใน 5 แบรนด์ขายดีที่สุดในประเทศไทย ออกมารุกตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ IoT โดยจะมีทั้งทีวี นาฬิกา กล้องวงจรปิด เครื่องชั่งน้ำหนัก รวมถึงแปรงสีฟันไฟฟ้าโซนิค ที่พักหลังมาได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย เราเลยจะขอเอามาพรีวิวให้ได้ทราบกัน


แปรงสีฟันไฟฟ้าจาก realme ตัวนี้เป็นแบบ sonic ที่กำลังเป็นที่แพร่หลายของแปรงสีฟันไฟฟ้าในยุคนี้ ซึ่งถ้าหากจำแนกแล้ว แปรงสีฟันไฟฟ้าในปัจจุบันน่าจะพอแบ่งออกได้เป็น 3 แบบคือ

  1. Electric : หัวแปรงขยับในทิศทางบนล่าง หรือเป็นแบบหัวแปรงกลมที่จะหมุนขัดฟันเราไปเรื่อยๆ ทำให้เราไม่ต้องคอยสะบัดข้อมือ หรือขยับกล้ามเนื้อเพื่อแปรงฟัน
  2. Sonic : มีการใช้มอเตอร์ความเร็วสูงเพื่อขยับให้ตัวแปรงสั่น จนเกิดคลื่นเสียงฮัมขึ้นมา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อมัน ซึ่งแรงสั่นนี้จะทำให้คราบสกปรก หรือพลัคที่ติดตามผิวฟันหลุดออก โดยจะขยับอยู่ที่ความถี่ตั้งแต่ 200 – 400 Hz หรือคิดเป็นจำนวนการเคลื่อนไหว จะอยู่ที่ราว 24,000 – 48,000 ครั้งต่อนาที
  3. Ultrasonic : จะคล้ายกับโซนิคที่มีการสั่นด้วยความเร็วสูงจนทำให้คราบสกปรก แบคทีเรีย รวมถึงพลัคตามฟันหลุดออกได้ แต่ว่าจะเร็วขึ้นไปอีก ทำงานที่ความถี่ 1.6MHz (1600000Hz) ซึ่งเป็นความถี่ที่สูงเกินความสามารถของหูเราจะได้ยิน เมื่อคิดเป็นจำนวนการเคลื่อนไหว ก็จะอยู่ที่หลายล้านครั้งต่อนาที

โดยแบบที่ได้รับความนิยม และหลากหลายแบรนด์เลือกทำมาวางจำหน่ายในปัจจุบันก็จะเป็นตัว Sonic เช่นเดียวกับของ realme M1 Sonic ตัวนี้

สำหรับสเปคที่น่าสนใจของ realme M1 Sonic ตัวนี้นะครับ

  • มอเตอร์ไฟฟ้าความถี่สูง 34,000 ครั้งต่อนาที
  • ขนแปรง DuPont™ กำจัดแบคทีเรียได้ 99.99%
  • องศาการแกว่งกว้าง 10°
  • หัวแปรงปราศจากโลหะ บางเพียบ 3.5 มม.
  • แบตเตอรี่ 800 mAh ใช้งานได้ราว 90 วันต่อการชาร์จ
  • โหมดการทำงาน 4 โหมด
  • กันน้ำ IPX7

อุปกรณ์ภายในกล่อง realme M1 Sonic

เมื่อเปิดปล่อยออกมาจะเจอตัวด้ามจับของแปรง ที่จะประกอบไปด้วยตัวมอเตอร์ แบตเตอรี่ และปุ่มควบคุม โดยเราจะไม่เห็นรูชาร์จไฟแต่อย่างใด เพราะมันมาพร้อมกับแท่นชาร์จไร้สาย เสียบชาร์จครั้งนึงเพียง 4.5 ชม. ก็ใช้งานได้สูงสุดถึง 90 วัน ซึ่งต้องระวังให้ดีว่า ถ้านานๆใช้ทีแบบนี้ กลับมาหาอีกรอบ อาจจะไม่เจอแล้ว 😛

หัวแปรงมีมาให้ 2 แบบ ปกติ และนุ่มพิเศษ​ โดยตัวแปรงจะมีความพิเศษกว่าหัวแปรงทั่วไปตรงที่มีความหนาแน่นเยอะกว่าราว 40% พร้อมมีการเคลือบสารยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ถึง 99% และเมื่อสังเกตตรงฐานของขนแปรง จะมีความบางกว่าปกติ เพียงแค่ 3.5 มม. เท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากเทคนิคการทำหัวแปรงที่ไม่ใช้ตะขอ แต่ใช้เป็นการหลอมขนแปรงให้เข้าไปเป็นเนื้อเดียวกับหัวไปเลย

ส่วนตัวขนแปรงด้านบนนี้เป็นแบบปลายมน 98% ซึ่งทาง realme บอกว่าจะรักษาเหงือกของเราได้ดีกว่า รวมถึงหัวแปรงแบบปกติ จะมีการใส่สีฟ้าที่ขนแปรงเอาไว้ เพื่อบ่งบอกถึงอายุการใช้งาน หากซีดจางเมื่อไหร่ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว

วิธีการใช้งานก็ไม่ได้ยากอะไรแค่เอาส่วนหัวแปรง และด้ามจับมาประกอบกันก็พร้อมใช้งานได้ทันที กดปุ่มเพื่อเปิดเครื่อง รวมถึงเลือกโหมดที่ต้องการได้เลย โดยเราสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการใช้งานได้ 4 โหมด ระหว่างใช้งานตัวมอเตอร์จะมีเสียงฮัมออกมาแบบเบาๆ ไม่เกิน 60db เท่านั้น

ปรับโหมดต่างๆได้ด้วยการกดปุ่มบนด้ามแปรงได้เลย

โหมดการทำงานทั้ง 4 โหมด จะประกอบไปด้วย

  • Soft : เบาๆ สำหรับคนที่ฟันและเหงือกบอบบาง
  • Clean : โหมดปกติ เลือกใช้ตัวนี้เป็นหลัก
  • White : ทำความสะอาดล้ำลึก สั่นที่ความถี่สูงขึ้นจนทำให้ฟันขาวขึ้น แต่ไม่ทำร้ายเคลือบฟัน
  • Polish : ขัดฟันเพื่อขจัดคราบ เช่น บุหรี่ ชา กาแฟ และทำให้ฟันขาวขึ้น

ทดลองใช้งาน realme M1 Sonic

หลังจากได้ลองทดสอบการใช้งานมาอยู่ 2-3 วัน ขอรวบรวมประสบการณ์ที่เจอและสิ่งที่เพื่อนๆน่าจะสงสัยกัน

วิธีการแปรงที่ไม่เหมือนแปรงปกติ

สิ่งที่สงสัยมากตอนที่แกะกล่องมาครั้งแรกคือเราจะใช้เจ้าแปรงสีฟันไฟฟ้าตัวนี้ยังไง ใช้เหมือนกับแปรงสีฟันปกติเลยรึเปล่า จนต้องไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมว่ามันใช้ยังไงกันแน่ และมีคนบอกว่าหากแปรงผิด หรือแปรงเหมือนแปรงสีฟันธรรมดา อาจจะเหงือกเลือดออกได้เลย และสุดท้ายก็นึกได้ว่าในกล่องมันมีคู่มือแถมมาด้วย

เปิดอ่านในคู่มือเค้าก็มีบอกว่าแค่ให้วางแปรง 45% กับตัวฟัน แล้วก็ค่อยๆเลื่อนไปเรื่อยๆจนครบฟันทั้งปาก ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 นาที โดยตัวแปรงสีฟันจะมีการตั้งเวลาเอาไว้ให้อยู่แล้ว ครบเมื่อไหร่ก็จะหยุดให้ทันทีซึ่งมันต่างจากการแปรงปกติที่ทำอยู่พอสมควร แต่ว่าคำแนะนำที่มีการโพสต์เอาไว้ รวมถึงคลิปสอนต่างๆ ก็ให้ทำคล้าย ๆ กันว่าแปรงสีฟันไฟฟ้าแบบโซนิคนี้ แค่เอาเลื่อนไปวางบนผิวฟันทั้ง 3 ด้านใหญ่ (หน้า-บน-หลัง) ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องปัด หรือบิดข้อมือเพิ่มเติมแต่อย่างใดเลย

รู้สึกสะอาด แต่คนละแบบกับการใช้แปรงปกติ

ผลที่ได้หลังการแปรง คือฟันลื่นสะอาดดี และใช้เวลาน้อยกว่าการแปรงฟันปกติ แต่จะมีความรู้สึกสะอาดที่ต่างกันออกไป ซึ่งน่าจะมาจากการที่แปรงสีฟันไฟฟ้าใช้การสั่นเพื่อขจัดคราบ แต่แปรงปกติใช้การปัดการถู ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ณ ตอนนี้ก็อาจจะบอกได้ยากว่าอันไหนดีกว่ากัน แต่ที่แน่ๆคือ ไม่ว่าคุณจะใช้แบบไหน การแปรงฟันเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถเอาเศษอาหารออกจากร่องฟันได้ทั้งหมด ยังต้องใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดเพิ่มเติมในจุดที่มักจะมีเศษเข้าไปติดเหมือนเดิม

การจับถือมียังไม่ถนัดมือเท่าไหร่

ส่วนที่น่าจะเป็นปัญหาที่สุดของแปรงสีฟันไฟฟ้า realme M1 Sonic น่าจะอยู่ที่ตัวแปรงจะมีขนาดที่ใหญ่และกลม ทำให้เจอปัญหาลื่นหลุดมือ รวมถึงบิดเปลี่ยนท่าได้ลำบาก แล้วด้วยความที่ตัวแปรงมันสั่น จะกัดเอาไว้ก็จะรู้สึกว่ามันกระทบกับฟันเกินไป ถ้าเอาออกจากปากมามันก็สั่นจนสะบัดยาสีฟันกระจายไปทั่วอีก ซึ่งน่าจะต้องลองใช้ไปอีกสักพักกว่าจะเจอท่าจับและจุดที่ลงตัวขึ้นครับ

ประมาณนี้นะครับ สำหรับการพรีวิวแปรงสีฟันไฟฟ้า realme M1 Sonic ถ้าใครสนใจอยากไปลองหามาใช้ดู จะมีค่าตัวอยู่ที่ 1,499 บาท ราคานี้ถือว่าไม่ได้แพงจนเกินไปนัก และจะมีอีกตัวเลือกนึงที่สเปคลดลง และราคาต่ำลงไปอีก คือรุ่น N1 เหลือเพียง 699 บาท เท่านั้น สนใจก็ไปจับจองกันได้แล้วมีขายตามออนไลน์กันเพียบครับ

from:https://droidsans.com/preview-realme-m1-sonic-electronic-toothbrush/

“ลองให้” ช่อง YouTube ของพี่กิม Gimme ได้รับคัดเลือกเป็น Creator on the Rise ครีเอเตอร์ดาวรุ่งประจำสัปดาห์

นับว่าเป็นข่าวดีข่าวใหญ่ของออฟฟิศ DroidSans เลยก็ว่าได้ เพราะล่าสุด YouTube Thailand ได้ออกมาประกาศ 10 ครีเอเตอร์ดาวรุ่ง Creator on the Rise ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีช่อง “ลองให้” ของพี่กิม Gimme ของเราด้วย~~ ว่าแต่อีก 9 อันดับที่เหลือจะมีใครบ้าง มาดูกันเลยดีกว่าครับ

โดยหลักเกณฑ์ในการตัดเลือกครีเอเตอร์ดาวรุ่งของ YouTube Thailand ในแต่ละสัปดาห์นั้น มาจากหลายๆ องค์ประกอบ ไม่ได้จำกัดเพียงแค่จำนวนยอดวิว ชั่วโมงในการดู หรือจำนวนยอดผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ซึ่งตรงนี้จะเป็นครีเอเตอร์คนไทย 10 ช่องแรกที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น Creator on the Rise จาก YouTube Thailand

10 ครีเอเตอร์คนไทย ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น Creator on the Rise ประจำสัปดาห์

  1. Cactus Journey: ช่องเกี่ยวกับการเลี้ยง Cactus ที่ทำให้คุณแมว เจ้าของช่องหายป่วยจากโรคซึมเศร้าและโรคเครียด
  2. ลองให้: คอนเทนต์ตอบโจทย์สายช็อป ด้วยสโลแกน “ถ้าใครอยากจะซื้ออะไร แต่ไม่อยากจะเจ็บเอง ขอให้บอกมา เพราะเราจะลองให้”
  3. Dr.Sidney: ช่องที่มักจะมาแชร์เคล็ดลับและประสบการณ์การใช้ชีวิต การทำธุรกิจ และการต่อยอดโอกาสการลงทุนผ่านมุมมองนักธุรกิจ
  4. อาม่าซัวเถา: อาม่าตัวจริงเสียงจริง มาสอนทำอาหารจีนและของว่างหลากหลายชนิดตามสูตรจีนแต้จิ๋ว และจีนฮกเกี้ยนที่หากินได้ยากในไทย
  5. Wichuda’s Garden: อีกหนึ่งช่องที่มาสอนเทคนิคการเลี้ยงและเพาะชำต้น Cactus และไม้อวบน้ำหลายสายพันธุ์
  6. Fitterminal: คอนเทนต์แบ่งปันความรู้ในการออกกำลังกายและการรับประทานอาหาร ข้อมูลทั้งหมดผ่านการทดลองใช้งานจากเจ้าของช่องมาแล้ว
  7. Pond Review: รีวิวนาฬิกาและแก็ดเจ็ตหลากหลาย รวมไปถึงสินค้าไอทีชนิดอื่นๆ
  8. Keybaht: คลิปที่จะมาสอนและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับงานช่าง งานประดิษฐ์ และงาน DIY ต่างๆ
  9. The 101 Percent: คอนเทนต์ที่มีจุดมุ่งหมายในการให้ความรู้ สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ผ่านมุมมองของทีมงานที่มีอาชีพที่แตกต่างกันออกไป
  10. Jinny Marketing: คอนเทนต์ให้ความรู้ในเรื่องการตลาด เพิ่มทักษะด้านการทำธุรกิจออนไลน์ให้กับสินค้า

จะเห็นว่า YouTuber ที่ได้รับคัดเลือกมาทั้ง 10 ช่องด้านบนนั้น จะมีคอนเทนต์มีหลากหลายและมีประโยชน์กับผู้ชมทุกเพศทุกวัน ม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ทำอาหาร การเงิน ออกกำลังกาย ความรู้รอบตัว หรือการรีวิวสินค้า ฯลฯ

รู้ยังว่า “ลองให้” คือช่องของพี่กิม Gimme ของเราเอง อย่าลืมไปกดติดตาม

หลายคนอาจจะทราบซักพักแล้ว แต่ก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนเหมือนกันที่ยังไม่ทราบว่า พี่กิม Gimme ของเรา ได้เปิดช่องใหม่ใน YouTube ที่มีชื่อว่า “ลองให้” โดยคอนเซปท์ของช่องนี้ก็คือ พี่กิมและทีมงานจะควักเงินในกระเป๋าเสียเงินซื้อสินค้าเครื่องใช้ต่างๆ ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ ณ ตอนนั้น เพื่อที่จะ “ลองให้” เพื่อนๆ ว่ามันคุ้มค่าคุ้มราคาหรือไม่ ถ้าคุ้มก็จะบอกว่าคุ้ม ถ้าไม่คุ้มก็จะบอกว่า…ไม่คุ้ม อย่าหาทำ ฮ่าๆ

ซึ่งใครที่ยังไม่ได้ไปกดติดตาม ก็อย่าช่วยไปกดติดตามด้วยนะคร้าบ หรือใครมีไอเดียอยากให้รีวิวสินค้าตัวไหน ก็แสดงความคิดเห็นทิ้งเอาไว้ด้านล่างบทความนี้ได้เล๊ย

from:https://droidsans.com/youtube-on-the-rise-long-hai/

ทดสอบ Digital Slim เครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Dyson ที่ออกแบบมาเพื่อชาวเอเชีย

Dyson แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าสุดพรีเมียมเปิดตัวเครื่องดูดฝุ่นไร้สายของค่ายตัวใหม่ รุ่น Digital Slim ที่ออกแบบมาสำหรับชาวเอเชีย โดยมีการปรับขนาดให้เล็กลงกว่ารุ่นก่อนถึง 20 % และเบาลงกว่าเดิม 30% โดยที่ทางค่ายเคลมว่ายังสามารถรักษาประสิทธิภาพการดูดเอาไว้ได้ดีเทียบเท่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Dyson V11  จากวิศวกรรมการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ทางเราได้มีโอกาสทดสอบมาแล้วเป็นที่เรียบร้อย เลยจะขอมาเล่าประสบการณ์ให้ได้ทราบกันครับ

Dyson คือใคร?

Dyson เป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษ ก่อตั้งโดย Sir James Dyson ขึ้นมาตั้งแต่ปี 1991 ออกแบบและผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย เครื่องฟอกอากาศ เครื่องเป่าแห้งมือ พัดลมไร้ใบพัด ฮีตเตอร์ หรือที่เป่าผม ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนพนักงานมากกว่า 16,000 รายทั่วโลก ในจำนวนนี้ประกอบไปด้วยวิศวกร-นักวิทยาศาสตร์มากถึง 6,000 รายซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับทั่วไป โดยทางเซอร์เจมส์ผู้ก่อตั้งก็ยังคงเป็นหัวหน้าทีมวิศวกรอยู่ด้วยตัวเอง

ในประเทศไทยหลายคนจะรู้จักแบรนด์นี้กันในนามของเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดหรู ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องของคุณภาพ และการใช้งานจะโดดเด่นกว่าใคร ได้ลองเมื่อไหร่จะรู้ว่ามันดีและแตกต่างสินค้าทั่วไปที่วางจำหน่าย และในอีกด้านจะเป็นเรื่องของภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดี คนที่เห็นหรือได้ใช้จะรู้สึกถึงนวัตกรรมในสินค้าที่ไม่ได้เดินตามใคร โดยสิ่งที่วิศวกรของ Dyson คิดค้นขึ้นมาแต่ละอย่าง ต่างช่วยแก้ไขปัญหาที่แม้บางเรื่องอาจจะดูเล็กน้อยในสายตาบางคน และเลือกที่จะมองข้ามไป แต่แทนที่จะทนๆใช้มันไป พวกเค้ากลับเลือกที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น จนทำให้สร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยสังเกตได้ว่าแต่ละอย่างที่ Dyson คิดค้นมาได้นั้น ได้รับการตอบรับ สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตผู้คนได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น

  • เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย ที่มอเตอร์ทำงานได้แรงสม่ำเสมอ ไฟไม่ตกเมื่อแบตอ่อน
  • พัดลมไร้สายเครื่องแรกของโลก
  • ไดร์เป่าผมสุดแรง ที่ไม่ทำให้ผมเสีย
  • เครื่องฟอกอากาศดีไซน์ใหม่
  • เครื่องเป่ามือ ช่วยลดการใช้กระดาษ
  • หลอดไฟ ที่ทำมาทีเดียวแล้วใช้งานได้อย่างยาวนานหลายสิบปี

ซึ่งของเหล่านี้หลายรุ่น ก็กลายเป็นสินค้าขายดีในแถบประเทศตะวันตก และเป็นต้นแบบที่ทำให้หลายแบรนด์เห็นแล้วต้องเดินตามนั่นเอง

Dyson Digital Slim เครื่องดูดฝุ่นที่ออกแบบมาเพื่อชาวเอเชีย

กลับมาที่ Digital Slim เครื่องดูดฝุ่นตัวล่าสุดจากทาง Dyson ที่เคลมว่าออกมาเพื่อชาวเอเชียโดยเฉพาะ โดยรุ่นที่มีวางจำหน่ายอยู่หลายรุ่นรุ่นในตลาดปัจจุบันนี้ แม้ว่าหลายคนจะใช้แล้วก็รู้สึกไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ทางไดสันเค้าก็ได้ทำการวิจัยและค้นพบว่า การใช้งานของชาวเอเชียแตกต่างออกไปจากชาวตะวันตก ทั้งลักษณะทางกายภาพที่แตกต่าง รวมถึงสภาพที่อยู่อาศัยก็ไม่เหมือนกัน ชาวเอเชียจะเลือกใช้วัสดุพื้นบ้านที่มีความแข็งมากกว่า (ชาวตะวันตกนิยมปูพื้นพรมในบ้าน แต่ชาวเอเชียจะเป็นพื้นไม้หรือกระเบื้องซะมาก) จึงได้มีการพัฒนาและออกแบบเป็นตัว Digital Slim ขึ้นมา ปรับปรุงขนาดให้มีความเล็กกะทัดรัดมากขึ้น ประกอบไปด้วย

  • ตัวแฮนด์เล็กลงกว่า V11 10% จับมีการกระจายน้ำหนักให้จุดศูนย์ถ่วงน้ำหนัก ใกล้กับปุ่มกดจึงมีความบาลานซ์ในการถือ
  • น้ำหนักก็เบาลงกว่ารุ่น V11 ถึง 25% เหลือเพียง 1.9 กิโลกรัม
  • ปรับลดความยาวของท่อจนถึงแฮนด์จับลง 15% ให้พอดีกับความสูงของชาวเอเชีย
  • สามารถเปิดถังเก็บฝุ่นได้ด้วยมือเดียว

มอเตอร์ Hyperdymium ไซโคลน 11 ม้วน กำลังแรงสูง

สิ่งที่เป็นท่อบริเวณหัวมอเตอร์ด้านบนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องดูดฝุ่น Dyson เลยก็ว่าได้ ซึ่งจะมีชื่อเรียกว่าเทคโนโลยี Radial Root Cyclone สร้างลมไซโคลนขึ้นมา โดยในรุ่น Digital Slim นี่จะประกอบไปด้วยท่อทั้งหมด 11 ท่อ ให้กำลังแรงถึง 100AW ดูดหมุนวนฝุ่นเข้าไปยังถังเก็บโดยตรง จึงไม่ทำให้ตัวกรองอุดตัน และไม่ลดทอนกำลังดูด ซึ่งตัว Digital Slim นี้จะมีการปรับให้งานประกอบเปลี่ยนรวมเอาตัวไซโคลนกับมอเตอร์เข้าด้วยกัน จากที่รุ่น V11 จะแยกเป็นสองชิ้น จึงทำให้ Digital Slim ใช้น็อตสกรูที่น้อยกว่า นอกจากนี้ตัวช่องไซโคลนจะมีการขยายบริเวณปลายท่อให้ลมเข้าไปแต่ละไซโคลนกว้างขึ้นกว่ารุ่น V11 และมีการจัดเรียงช่องไซโคลนแบบย้อนกลับ ทั้งสองอย่างนี้จึงทำให้ขนาดและน้ำหนักของ Hyperdymium มอเตอร์บน Digital Slim น้อยและเบาลงกว่าตัว V11 ที่ 15% แต่ยังรักษาความแรงเอาไว้ได้เหมือนเดิม โดยจะหมุนทำรอบได้ถึง 120,000 rpm และด้วยความที่มอเตอร์ต้องหมุนด้วยความเร็วมากขนาดนี้ ทาง Dyson จึงต้องเปลี่ยนวัสดุของมอเตอร์จากเหล็กทั่วไป เป็นเซรามิคที่นำเอาไปหลอมที่อุณหภูมิ 1600℃  ทำให้มีความแข็งที่มากกว่าเหล็ก 3 เท่า แต่มีมวลความหนาแน่นที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง  น้ำหนักจึงยังน้อยเช่นเดิมได้

ภายในของ Radial Root Cyclone

แผนภูมิการไหลเวียนอากาศผ่านตัวกรองของเครื่องดูดฝุ่น Dyson V11

และความพิเศษของเครื่องดูดฝุ่นของ Dyson อีกอย่างจะอยู่ที่เสียงรบกวนที่จะน้อยมาก เพราะมีการออกแบบทางวิศวกรรมด้านเสียงให้ซับแรงสั่นสะเทือน ลดเสียงรบกวนไปได้เป็นอย่างดี เทียบกับรุ่นอื่นๆ ที่ได้ลองมาก็รู้สึกได้ทันทีว่าแตกต่างมากครับ

ฟิลเตอร์ 5 ชั้น ดักฝุ่นหมดจด

ตัวกรองของ Dyson Digital Slim นี้จะเป็นระบบการกรองที่ประกอบไปด้วยชั้นต่างๆ รวม 5 ชั้น ประกอบไปด้วย

  1. Bin cyclone
  2. Mesh -ตาข่าย
  3. Cyclone cones
  4. Pre-motor filter
  5. Post-motor filter

ทั้งหมดนี้ทำให้สามารถกรองเอาเศษต่างๆ รวมถึงฝุ่นเล็กๆ ที่มีขนาดเล็กเพียง 0.3 ไมครอน (ฝุ่น PM2.5 ที่ว่าเล็กมีขนาด 2.5 ไมครอน) ได้ถึง 99.97% มั่นใจได้ว่าลมที่ปล่อยออกมาสะอาดหมดจดแน่นอน ส่วนถังเก็บฝุ่นที่ใช้ก็จะยังคงเอกลักษณ์ที่เป็นแบบใสสามารถมองเห็นข้างในได้ (ซึ่ง Dyson เป็นเจ้าแรกๆ ที่เริ่มใช้วัสดุแบบนี้ และขายดีเทน้ำเทท่า จนเจ้าอื่นทำตามๆ กันมา) สามารถจุฝุ่นได้ที่ปริมาณ 0.35 ลิตร น้อยกว่าตัว V11 เล็กน้อย ที่จุได้ 0.54 ลิตร

หัวดูด 4 แบบ ดูดได้ทุกสภาพพื้นผิว

ภายในกล่องจะมีหัวดูดมาให้ทั้งหมด 4 แบบ สำหรับการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยตัวที่ใช้งานบ่อยสุดจะเป็นตัว Slim Fluffy Aero ที่ใช้ดูดพื้นทั่วไป ซึ่งมีการพัฒนาขึ้นจากเดิมหลายอย่าง หลักๆคือจะเล็กลงและเบาลงรวมถึงดูดฝุ่นและเศษผงต่างๆได้ดีตลอดทั้งแกน ต่างจากเครื่องดูดฝุ่นบางรุ่น ที่หลายตัวแม้จะเป็นลูกกลิ้งหน้าตาดูคล้ายๆ กัน แต่กลับไม่สามารถดูขึ้นได้ดีทั้งแกน ดูดแรงแค่ตรงกลางเท่านั้น

หัวดูด Slim Fluffy Aero | Dyson Digital Slimหัวดูด Slim Fluffy ในรุ่น Digital Slim พัฒนาให้เล็กลงแต่ประสิทธิภาพดีขึ้น

เผื่อใครจะอยากรู้รายละเอียดว่ามันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็ขอสรุปความเปลี่ยนแปลงจากตอน V11 มาให้ประมาณนี้นะครับ

  • ตัวแกนหัวดูดของ V11 จะเป็นพลาสติกที่หนักและหนากว่า ส่วน Slim Fluffy จะใช้เป็น Aluminum ซึ่งจะบางและเบาลงมาก
  • แนวของ Carbon Fibre จะแทรกอยู่ในช่องของแปรง V11 และเรียงเป็นแนวตั้ง แต่ของ Slim Fluffy จะเย็บเข้าไปในลูกกลิ้งเลยและปรับให้มีความเอียงลู่ไปกับลูกกล้ิงเพื่อให้มีน้ำหนักที่เบาลงและยังคงป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ได้เหมือนเดิม
  • มีการเปิดช่องด้านข้างเพื่อให้ลมผ่านเข้าไปได้ดีขึ้น พร้อมปรับขนให้สั้นและนุ่มลง ทำให้เก็บฝุ่นได้ดีขึ้นทั่วทั้งแกน

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ลูกกลิ้งของ Digital Slim เบาลง 40% และยังเล็กลง 20% ซึ่งจะทำให้สอดเข้าไปใต้เฟอร์นิเจอร์ได้ง่ายขึ้นด้วย และแม้ว่าขนาดจะเล็กลง เบาลง แต่ยังรักษาประสิทธิภาพได้ดีเทียบเท่ากับรุ่นที่ใหญ่กว่าอย่าง V11 เอาไว้ได้อยู่

fluffy head digital slim vs v11หัวเล็กลงก็สอดเข้าไปใต้โต๊ะตู้ได้ดีกว่า

สำหรับหัวอื่นๆ ทาง Dyson ได้แนะนำให้ใช้งานตามความแรงแต่ละระดับไป โดยจะมีทั้งหมด 3 ระดับได้แก่ Eco, Med, Boost

  • Eco Mode จะแนะนำสำหรับการดูดทั่วไป ใช้หัว Slim Fluffy แบตจะอยู่ได้นานมากกว่า 40 นาที
  • Med Mode จะเป็นการใส่กับหัวแปรงที่ไม่มีมอเตอร์หมุน เพิ่มแรงในการดูดตามซอกมุม แบตอยู่ได้มากกว่า 25 นาที 
  • Boost Mode แนะนำให้ใช้กับหัวที่เป็น mini motorize สำหรับพื้นที่ต้องการแรงดูดสูงอย่างเตียงนอน จะได้ดูดเอาเหล่าไรฝุ่นขึ้นมาด้วยได้ และด้วยความแรงเบอร์นี้จึงทำให้แบตจะใช้งานได้ 5 นาทีเท่านั้น

ซึ่งถ้าเกิดว่าใครคิดว่ายังไม่พอรุ่นนี้จะสามารถถอดเปลี่ยนแบตได้ ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 ของค่ายที่สามารถเปลี่ยนแบตได้ ต่อจาก Dyson V11 โดยจะมีความจุแบตที่ 2,500 mAh

ทำความสะอาดง่าย ถอดออกมาล้างได้สะดวก

ตัวถังถูกออกแบบมาให้เก็บฝุ่นได้เป็นอย่างดี ซีลเอาไว้อย่างแน่นหนาไม่มีฝุ่นเล็ดรอดออกมาได้ และเมื่อต้องการถอดล้างทำความสะอาดก็ทำได้สะดวก สามารถดันเปิดได้ด้วยมือเดียว โดยตัวถังจะทำการรูดเอาเศษผม เศษฝุ่นออกมาให้ได้เกือบหมด ไม่ต้องใช้มือรูดเอง แต่ถ้าต้องการความสะอาดมากๆหน่อยก็อาจจะต้องมีการดึงเส้นผม หรือปาดเศษฝุ่นที่ตกค้างออกมา และสามารถถอดเอาถังและส่วนต่าง ๆ ออกมาล้างน้ำได้เลย ซึ่งส่วนที่ทาง Dyson บอกว่าสามารถล้างได้จะมี

  • ถังเก็บฝุ่น
  • หัวลูกกลิ้ง Slim Fluffy
  • ฟิลเตอร์
  • หัวดูดปากแคบส่องแสงได้

ซึ่งส่วนหัวลูกกล้ิง Slim Fluffy นี้ให้ถอดเอาเฉพาะหัวลูกกล้ิงมาล้างเท่านั้น อย่าโยนลงไปทั้งหัวนะครับ เพราะด้านในจะมีมอเตอร์สำหรับหมุนอยู่ อาจจะเสียหายได้ และเมื่อถอดออกมาแล้วให้สำรวจเพิ่มเติมบริเวณหัวแกน ซึ่งอาจจะมีผมติดอยู่ ให้ดึงหรือหากรรไกรมาตัดออกด้วยก็จะดีครับ

แชร์ประสบการณ์ใช้งาน Dyson Digital Slim

เป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ดีสมคำร่ำลือ ทั้งเรื่องของงานดีไซน์และประสิทธิภาพในการใช้งาน ประทับใจกับความสมดุลของส่วนต่างๆ ที่ออกแบบมาได้ลงตัว จับถือสะดวก ใช้งานแล้วไม่ได้รู้สึกหนักแต่อย่างใด จะมีแค่ช่วงแรกๆ ที่พลาดไปเกร็งถือตัวเครื่องและกดสลักมากเกิน เมื่อเริ่มชินถึงได้รู้ว่าด้วยสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องกำ-บีบ ไม่ต้องเกร็ง แค่วางลงไปกับพื้น น้ำหนักเครื่องที่กดลงมาก็เพียงพอที่จะกดสลักให้ทำงานได้แล้ว สามารถถือใช้งานได้ยาวนานโดยไม่รู้สึกเมื่อยแต่อย่างใด

ส่วนเรื่องความสะอาดจากหัวดูด Slim Fluffy ที่ใช้เพียงโหมด Eco ก็สามารถดูดเศษฝุ่นได้อย่างหมดจด จากที่ปกติเวลาดูดแป้งในเครื่องรุ่นอื่น จะยังเหลือเศษที่ใช้นิ้วปาดเจอได้บ้าง แต่พอเป็น Digital Slim ของ Dyson กลับไม่เจอเศษหลงเหลืออยู่ สามารถเดินเท้าเปล่าแล้วไม่ได้รู้ว่าเหลือฝุ่นติดเท่าแต่อย่างใดเลย

เรื่องแบตก็ประทับใจที่เค้าไม่ได้พยายามพูดเกินจริง ที่บอกว่ารองรับได้ 40 – 25 – 5 นาที ตามโหมดใช้งาน เมื่อเสียบชาร์จแบตให้เต็มกลับพบว่าใช้งานได้ยาวนานกว่าที่ระบุไว้ราว 20% และหน้าจอ LCD บอกปริมาณแบตคงเหลือ ก็จะใช้เป็นการนับวินาทีลงไปเรื่อยๆ แทนที่จะขึ้นเป็นเกจ์พลัง หรือแค่เม็ดบอกสถานะเท่านั้นอีกต่างหาก คือไม่นึกว่าจะสามารถทำให้ตัวคำนวณพลังงานได้มีความแม่นยำขนาดนี้

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ตัวเครื่องต้องการจะลดน้ำหนักและขนาดลงมาก จึงอาจทำให้เกิดข้อเสียขึ้นมาเล็กน้อย ที่บางส่วนจะดูบอบบาง และวัสดุมีเสียงขยับของพลาสติกออกมาบ้าง  ทำให้รู้สึกว่าต้องใช้งานอย่างระมัดระวังไปหน่อย

สรุปข้อดี – ข้อสังเกต Dyson Digital Slim

  • แรงดูดดีมาก สมชื่อ Dyson แม้จะเป็นเพียงแค่โหมด Eco ก็ดูดฝุ่นทั่วไปได้หมดจด
  • หัวลูกกลิ้งสามารถดูดฝุ่นแบบแป้งได้เกลี้ยงเกลา เอามือปาดก็ไม่เหลือเศษ
  • โหมด Turbo แรงจัดๆ ฝุ่นที่เกาะแน่นในเฟอร์ก็ดูดขึ้นมาได้
  • แบตสามารถใช้งานได้มากกว่าที่เคลมเล็กน้อย บอกระยะเวลาคงเหลือได้เป็นระดับวินาที
  • น้ำหนักเครื่องเมื่อวางลงกับพื้นเพื่อไถดูด ถ่วงน้ำหนักได้ดี ใช้งานนานๆได้
  • ไม่ต้องกำแฮนด์จับเพื่อกดดูด แค่ถือประคอง น้ำหนักเครื่องที่ทิ้งตัวลงมาก็เพียงพอจะกดแล้ว
  • หัวดูด Slim Fluffy aero แม้จะมีข้อดีที่เล็กและเบา แต่ก็ดูบอบบาง ต้องพยายามทนุถนอม
  • ด้วยความที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ทำให้วัสดุส่วนมากเป็นพลาสติก ขยับแล้วมีเสียงดูบอบบาง

สรุปแล้วถ้าใครอยากจะมีเครื่องดูดฝุ่นดีๆ ดีไซน์สวยใช้เป็นเฟอร์ประดับบ้านได้ ก็สามารถไปหาซื้อ Dyson Digital Slim กันได้แล้ววันนี้ ในราคา ราคา 19900 บาท มีแค่รุ่นเดียวไม่มีรุ่นย่อยเพิ่มเติม

from:https://droidsans.com/dyson-digital-slim-test-review/

รีวิวเครื่องดูดฝุ่นจาก Xiaomi YouPin | Deerma DX700, Deerma VC20, Dreame V9

Deerma DX700, Deerma VC20, และ Dreame V9 เรียกได้ว่าเป็นเครื่องดูดฝุ่น 3 รุ่นยอดนิยมในปัจจุบันนี้เลยก็ว่าได้ มีคนตามหาและซื้อมาใช้งานกันให้เพียบ แต่ว่าตัวไหนดีกว่ากัน มันต่างกันอย่างไรนั้น เราเองก็สงสัยเลยจัดมันเอามาทั้งสามตัวทดสอบให้ได้เห็นกันไปเลยว่ามันมีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไง และทั้งสามตัวมันถูกและดีน่าใช้งานจริงๆ หรือเราไม่ควรเสียเงินซื้อมันมาใช้งานกันแน่

แนะนำแต่ละรุ่นกันคร่าวๆนิดนึงละกัน

Deerma DX700 : รุ่นสุดประหยัด ราคาไม่ถึงพัน แต่เสียบสาย

Deerma VC20 : หน้าตาดี การันตีรางวัล iF Design Award ราคาไม่แรง มีแบตให้ใช้

Dreame V9 : หน้าตาคล้ายพวกตัวเป็นหมื่น ราคาแพงกว่าเท่าตัว

เนื้อหาการทดสอบจะแบ่งออกเป็น 2 ตอนใหญ่ๆ คือ แกะกล่อง และทดสอบประสิทธิภาพใช้งานจริง

แกะกล่อง Deerma DX700, Deerma VC20, Dreame V9

สรุปแกะกล่อง Deerma DX700, Deerma VC20, Dreame V9

  • Deerma DX700 วัสดุก็พลาสติกเกรดไม่ได้ดีนัก แต่สมราคาไม่ถึงพัน ต่างจากตัวอื่นที่ไร้ซึ่งแบตก็จะใช้งานยากหน่อย มีหัวแถมมาค่อนข้างเยอะ แต่ไม่มีมอเตอร์ลูกกลิ้งสำหรับปัดฝุ่น
  • Deerma VC20 วัสดุ “ดูดี” เกินราคา แต่พอสัมผัสจริงๆ จะใช้งานยากหน่อยและตัวแปรงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กลไลและตัวกรองต่างๆ จับแล้วเป็นห่วงเรื่องความทนทาน
  • Dreame V9 ดีงามเกินราคา วางเอาไว้ในบ้านใครไปใครมาบอกว่าเป็นของราคาเกินหมื่นก็น่าจะเชื่อ อุปกรณ์ทุกส่วนดูแพง ขนที่หัวลูกกลิ้งก็นุ่มปัดฝุ่นได้ดี มีหัวแปรงมาให้ครบถ้วน
  • สรุปทุกอย่างเป็นไปตามราคา Dreame V9 ตัวแพงสุดมันก็ดีกว่าแบบเห็นได้ชัด

สรุปการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องดูดฝุ่น Deerma DX700, Deerma VC20, Dreame V9

Deerma DX700

  • ความดัง : มีเบอร์เดียว และดังถึง 81.5 dB กลิ่นจากลมที่ออกมาก็จะเหม็นๆหน่อย
  • การจับถือและควบคุม : จับถือง่าย ไม่หนักมากเพราะไม่มีแบต แต่ควบคุมทิศทางหัวดูดลำบาก
  • ความแรงในการดูด : แรงดี แต่ไม่ถึงกับดูดเหรียญได้ และหัวดูดไม่ดี ไม่มีลูกกลิ้ง ทำให้ดูดไม่ค่อยเกลี้ยง
  • เวลาในการใช้งาน(แบต) : ไม่มีแบต ใช้สายลากเท่านั้น
  • เวลาในการชาร์จ : ไม่มีแบต ใช้สายลากเท่านั้น
  • การดูแลรักษาอะไหล่ : ถอดถังเก็บฝุ่นง่าย แต่ตัวกรองมีแค่ฟองน้ำแล้วก็ตัวกรอง HEPA ทำให้มีความเสี่ยงเมื่อเจอฝุ่นหนักๆ เศษผมเศษขยะต่างๆ แต่ยังไม่เจอฝุ่นทะลุ HEPA ออกไปได้ และตัวฟองน้ำถอดยากฉีกขาดง่ายไปหน่อย
  • อะไหล่ : เท่าที่ลองเช็คมีขายตัวกรองอยู่ใน Online Shopping ต่างๆ ราคาไม่แรงแค่หลักสิบถึงร้อย

Deerma VC20

  • ความดัง : มี 2 เบอร์ และเบาแค่ 68-73 dB กลิ่นจากลมที่ออกมาก็จะเหม็นๆเหมือน DX700
  • การจับถือและควบคุม : จับถือไม่ง่ายนัก ไม่เข้ามือเท่าไหร่ ปุ่มเปิดปิดเผลอไปโดยโดยไม่ตั้งใจบ่อย และควบคุมทิศทางหัวดูดก็ลำบาก
  • ความแรงในการดูด : ไม่ค่อยแรง ดูดอะไรไม่ค่อยขึ้น ไม่ค่อยเกลี้ยงเท่าไหร่ แม้จะเปิดเบอร์ 2 แล้วก็ตาม และเจอปัญหามอเตอร์หัวหมุนไม่ทำงานด้วย
  • เวลาในการใช้งาน(แบต) : 
    • เบอร์ 1 : 28 นาที
    • เบอร์ 2 : 18 นาที
  • เวลาในการชาร์จ : ประมาณ 4 ชม.
  • การดูแลรักษาอะไหล่ : ถอดถังเก็บฝุ่นง่าย ถอดออกมาล้างได้หมด แต่ที่น่าเป็นห่วงคือมีเศษฝุ่นทะลุ HEPA ออกไปได้ มีความเสี่ยงที่จะเข้ามอเตอร์สูง
  • อะไหล่ :อะไหล่ที่ขายมีตัว HEPA ราคาหลักร้อย และมีหัวอื่นให้เปลี่ยนด้วย

Dreame V9

  • ความดัง : มี 3 เบอร์ ดังตั้งแต่ 73-82.5 dB แต่กลิ่นจากลมที่ออกมาจะดีกว่าอีกสองรุ่นมาก ไม่เหม็น
  • การจับถือและควบคุม : จับถือค่อนข้างง่าย ถ่วงน้ำหนักดีทำให้ถือแล้วไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ และควบคุมทิศทางของหัวดูดได้ง่าย
  • ความแรงในการดูด : แรงดีมาก เป็นตัวเดียวที่ดูดเหรียญขึ้น และหัวดูดมีลูกกลิ้งที่ดีกว่า ทำให้ดูดเกลี้ยงที่สุดในสามตัวเลย
  • เวลาในการใช้งาน(แบต) : 
    • เบอร์ 1 : 60 นาที
    • เบอร์ 2 : 25 นาที
    • เบอร์ 3 (Turbo) : 8 นาที
  • เวลาในการชาร์จ : ประมาณ 2 ชม.
  • การดูแลรักษาอะไหล่ : เปิดถังเก็บฝุ่นง่าย แต่ควรหาถุงมาครอบก่อนเปิด ถอดออกมาล้างได้ทุกชิ้นส่วน แต่ควรผึ่งแดดแรงๆทิ้งไว้ให้แห้งสนิทก่อนใช้งานอีกครั้ง ไม่เจอปัญหาฝุ่นทะลุแต่อย่างใด
  • อะไหล่ :อะไหล่มีขายทั้งตัว HEPA และลูกกลิ้ง ราคาก็ไม่ได้แรง ไม่กี่ร้อย

สรุปซื้อเครื่องดูดฝุ่นตัวไหน

ตอบง่ายๆว่างบถึงก็ไป Dreame V9 ไปเลยเถอะ ดีที่สุดแล้ว 4-5 พันบาทคือราคาที่หากันได้สบายๆ ถ้าเจอถูกกว่านี้ก็คว้ากันให้ไว เพราะมันดีมาก คุณภาพระดับนี้แบรนด์ดังๆขายกันเป็นหมื่นทั้งนั้นอ่ะบอกเลย ส่วนถ้างบไม่ถึงเอาจริงๆคือหยอดกระปุกไปก่อน อย่ารีบซื้อเลย 😅

 

ยังไงก็ฝากกด Subscribe ให้กับช่องใหม่ที่จะเอา Gadget รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ มาแกะกล่องลองให้เพื่อนๆได้ทราบก่อนที่จะซื้อจริง จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวกันเองนะครับ ตอนนี้เริ่มทยอยปล่อยเนื้อหาลงเรื่อยๆใน YouTube แล้ว ส่วนเพจก็ฝากไปติดตามเพิ่มเติมกันได้จะมีความหลากหลายที่มากกว่าช่องครับ

YouTube : ลองให้

Facebook : ลองให้

 

from:https://droidsans.com/review-deerma-dx700-vc20-dreame-v9/

รีวิว Baseus GaN Charger 65W ชาร์จได้พร้อมกันได้ทั้ง MacBook – iPad – iPhone

เหล่าอุปกรณ์ที่ออกมาใหม่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น Smartphone – Notebook – IoTs เริ่มเปลี่ยนมาใช้เป็นหัว USB Type-C ในการชาร์จไฟกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ทำให้เราสามารถใช้งานที่ชาร์จร่วมกับคนอื่นได้ในกรณีที่ลืม หรือถ้ามีอุปกรณ์หลายชิ้นก็อาจจะพกหัวชาร์จเพียงแค่อันเดียวก็พอ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเกิดหัวชาร์จหัวเดียวสามารถชาร์จได้ทีนึงหลายอุปกรณ์พร้อมกัน นั่นทำให้ผมเริ่มหาหัวชาร์จแบบนี้เอามาใช้งาน เพราะปัจจุบันก็เริ่มพกพาอุปกรณ์ที่รองรับมากขึ้นทุกที

ที่เลือก Baseus GaN Charger 65W นี้ก็เพราะเห็นว่าราคาประหยัดที่สุดตัวนึงในตลาด รวมถึงขนาดและรูปร่างหน้าตาก็ดูน่าใช้ดี จึงไปเอามาลองให้เพื่อนๆได้รู้กันว่าหลังใช้งานแล้วมันโอเคอย่างไรบ้าง สามารถดูรีวิวเป็นคลิปได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับ

สรุปประสบการณ์ใช้งาน Baseus GaN Charger

  • ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ที่รองรับการชาร์จผ่านพอร์ต USB Type-C ได้ทุกชิ้น ออกมาเป็นชาร์จเร็วทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ Samsung, Huawei, iPhone โน้ตบุ๊ต แม็คบุ๊ค ลองมาเป็น 10 ชิ้นมีแค่ชิ้นเดียวที่เจอปัญหาคือชาร์จเข้าโน้ตบุ๊ค ThinkBook จาก Lenovo
  • รองรับ PD3.0, QC4+, QC3.0, SCP, FCP, AFC, PE+
  • ขนาดเล็ก น้ำหนักเบากว่า Adapter โน้ตบุ๊คทั่วไปค่อนข้างมาก พกพาสะดวกขึ้นเยอะ
  • มีช่องให้เสียบชาร์จทั้งหมด 3 ช่อง USB-C x2 และ USB-A x1
  • ความสามารถในการจ่ายไฟ (ใช้งานได้จริง)
    • USB-C #1 ชิ้นเดียว 65W
    • USB-C #2 ชิ้นเดียว 30W
    • USB-A ชิ้นเดียว 30W
    • USB-C #1 (45W) + USB-C #2 (18W)
    • USB-C #1 (45W)+ USB-A (18W)
    • USB-C #2 (10W)+ USB-A (5W)
    • USB-C #1 (45W) + USB-C #2 (10W) + USB-A (5W)
  • ขาปลั๊กเป็นแบบพับเก็บได้
    • ข้อดี : ไม่เกะกะและข่วนอุปกรณ์ชิ้นอื่น
    • ข้อเสีย : เสียงต่อการหักเสียหาย
  • วัสดุค่อนข้างดี จับแล้วรู้สึกแพง ไม่ก๊องแก๊ง
  • มีไฟแสดงสถานะให้เห็นว่าไฟเข้าแล้วรึยัง
  • ข้อเสียหลักเพียงอย่างเดียวที่เจอ คือ เวลาใช้งานตัวปลั๊กจะค่อนข้างร้อนมาก แต่ก็ไม่ต่างกับที่ชาร์จยี่ห้ออื่นเท่าไหร่นัก

from:https://droidsans.com/baseus-gan-charger-65w/

รีวิวเครื่องทำน้ำแข็ง ที่ขายกัน 2-3 พันบาท โอเครึเปล่า กินไฟแค่ไหน

อากาศร้อนๆแบบนี้ น้ำใส่น้ำแข็งเย็นๆสักแก้วนึงก็ชื่นใจดีไม่น้อย แต่ด้วยความที่มีแต่คนอยากจะหยิบออกมาจากตู้เย็น ไม่ค่อยจะมีคนอยากเติมน้ำลงถาดเท่าไหร่ รวมถึงทำน้ำแข็งได้ไม่เร็วทันใจทันกิน ก็น่าจะมีเล็งๆอยากซื้อเครื่องทำน้ำแข็งติดบ้านกันไม่น้อย เราเลยซื้อเอามาลองให้ ว่าเครื่องทำน้ำแข็งที่ขายตามร้านออนไลน์ทั้งหลาย มันโอเคขนาดไหน ใช้ได้ดีรึเปล่ากันครับ

โดยเครื่องนี้เราซื้อมาได้ประมาณปีนึงแล้วนะครับ ราคาก็ราวๆ 2-3 พันบาท ขอไม่ชี้เป้าละกันนะ ลองหากันเอาเอง มีให้เลือกเพียบเลย โดยมากหน้าตาภายนอกแตกต่างกันกัน แต่ฟีเจอร์รวมๆค่อนข้างเหมือนกันมากอยู่ สำหรับการรีวิวก็จะมาเป็นการตอบคำถามเป็นข้อๆ ซึ่งคนที่เล็งๆอยู่น่าจะอยากรู้ละกันนะครับ แต่ถ้าอยากดูรวมๆ เรามีรีวิวเป็นคลิปให้ด้วยนะ ลองกดกันเข้าไปดูได้

น้ำแข็งสองขนาดต่างกันขนาดไหน

  • ความหนาของขอบน้ำแข็งจะต่างกัน แบบ S จะเคี้ยวง่ายกว่าเยอะมาก แต่ก็ละลายเร็วเช่นกัน

แต่ละชุดทำได้เร็วขนาดไหน ใช้เวลาเท่าไหร่

  • ขนาดน้ำแข็งก้อนเล็ก ใช้เวลาประมาณ 9 นาที
  • ขนาดน้ำแข็งก้อนใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 11 นาที

ความจุถังน้ำแข็งเยอะแค่ไหน

  • ทำน้ำแข็งได้ประมาณ 11 รอบ หรือราว 2 ชม. ก็จะแจ้งเตือนว่าเต็ม
  • ทำนำ้แข็งได้ครั้งละ 9 ก้อน รวมเต็ม 99 ก้อน
  • ตัดใส่แก้วแบบเต็มๆได้ราว 3 แก้วใหญ่ หรือถ้าแบ่งๆกัน 5-6 แก้วก็พอได้อยู่

เครื่องทำน้ำแข็งกินไฟขนาดไหน

  • ตามสเปคเครื่องกินไฟราว 105W คิดเป็นค่าไฟ 0.105 หน่วย ต่อ ชม.
  • ถ้าคิดไฟหน่วยละ 5 บาท ทำจนเต็ม 2 ชม. ก็จะคิดเป็นเงินราว 1 บาท ต่อน้ำแข็ง 99 ก้อน
  • ข้อควรรู้ : จำนวนไฟที่ใช้ 105W เยอะกว่าตู้เย็นประตูเดียวบางเครื่องเสียอีก

คุ้มมั้ยที่จะซื้อ ดีกว่าไปซื้อตามร้านยังไง

  • ส่วนตัวไม่ได้มองเรื่องความคุ้มเลย เพราะยังไงก็ไม่คุ้ม 555
  • ได้ความสะดวกไม่ต้องออกไป และเพิ่มจำนวนน้ำแข็งให้เพียงพอกับความต้องการ
  • มั่นใจในความสะอาด เพราะน้ำดื่มของเราเอง

ข้อเสียของเครื่องทำน้ำแข็งหลังจากใช้งาน

  • ทำความสะอาดยาก
  • วัสดุพลาสติกคุณภาพไม่ได้ดีนัก ใช้ไปเกือบปีก็เริ่มเจอปัญหาโก่งงอตรงฝาปิด
  • ปุ่มเริ่มมีปัญหาหลุดลอก
  • ไม่รู้จะส่งไปซ่อมที่ไหนอย่างไร

 

ถ้าใครอยากรู้อะไรเพิ่มเติม ยังไงก็สามารถคอมเม้นต์มาถามเพิ่มเติมได้นะครับ ไว้ยังไงจะมาตอบให้  และฝากไปกด subscribe ให้กับช่อง “ลองให้” ที่เราทำขึ้นมาเพื่อลองสิ่งต่างๆให้แบบไม่จำกัด ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า แกดเจท อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และอื่นๆอีกมากมาย เรียกว่าอยากลองอะไรแต่ไม่อยากซื้อมาลองเอง และไว้ใจให้เราลองให้ก็กดติดตามและมาบอกสิ่งที่อยากให้เราลองกันได้ครับ

YouTube : ลองให้

from:https://droidsans.com/review-ice-maker/