คลังเก็บป้ายกำกับ: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ผลประกอบการ ธนาคารกรุงเทพ-กรุงศรีอยุธยา-ทีเอ็มบีธนชาต ประจำปี 2565

มาแล้ว ฤดูรายงานผลประกอบการธนาคารทั้งหลายของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีฯ และธนาคารทีเอ็มบีธนชาต ประจำปี 2565

BBL, Krungsri, TTB

ธนาคารกรุงเทพ กำไรเพิ่มขึ้น 10.6% หรือ 29,306 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิสำหรับปี 2565 จำนวน 29,306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 24.4% ของปริมาณเงินให้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.42% สอดคล้องกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ย

ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง 30.0% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจากธุรกิจหลักทรัพย์และบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวม ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อและบริการการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ธนาคารเตรียมตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตคาดว่าจะเกิดขึ้น 32,647 ล้านบาท ลดลง 4.4% จากปีก่อน

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,682,691 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% มีเงินฝาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 จำนวน 3,210,896 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากสิ้นปี 2564

อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับากอยู่ที่ 83.5% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 19.1%, 15.7% และ 14.9% ตามลำดับ อยู่ในระดับสูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

คาดการณ์ ปี 2566

เศรษฐกิจไทยยังคงเชิญความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ท่ามกลางดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก ความไม่แน่นอนจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังยืดเยื้อ แต่การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนเศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 20 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% เทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19

BBL

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กำไรเพิ่มขึ้น 20% หรือ 30,713 ล้านบาท

เงินให้สินเชื่อของกรุงศรีเติบโตทั่วถึง ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ปี 2565 กำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามปกติในปี 2565 จำนวน 30,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9% หรือ 5,104 ล้านบาท จากปี 2564 ปัจจัยหลักมาจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สอดคล้องการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยปรับตัวดีขึ้น กำไรสุทธิจากการขายหุ้นของบริษัท เงินติดล้อ ลดลง 9.1% หรือ 3,081 ล้านบาท

เงินให้สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 3.1% หรือจำนวน 59,033 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2564 เพิ่มขึ้นครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมขยายตัว 3.8% และ 5.3% ตามลำดับ

เงินรับฝาก เพิ่มขึ้น 1.4% หรือจำนวน 25,553 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม ปี 2564 มีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์ ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้นจาก 3.24% เป็น 3.45% ในปี 2564

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย จากการดำเนินงานตามปกติ ลดลง 4.6% หรือ 1,561 ล้านบาท จากปี 2564 หากรวมรายการพิเศษจากกำไรเงินลงทุนขายหุ้นของเงินติดล้อ ปี 2564 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 12,288 ล้านบาทหรือ 27.4%

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 43.8% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานตามปกติ (ไม่รวมกำไรจากการขายหุ้นเงินติดล้อ) ที่ 43.2% ในปี 2564 ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อยู่ที่ 2.32% เมื่อเทียบกับ 2.20% ปี 2564 ส่วนอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ในระดับแข็งแกร่ง 167.4% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคารอยู่ที่ 17.97% ลดลงจาก 18.53% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564

คาดการณ์ ปี 2566

ปี 2566 มีหลายตัวแปรด้านความเสี่ยง ทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย แต่การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะยังคงเป็นแรงสนับสนุนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย กรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ในอัตรา 3.6% ในปี 2566

Krungsri

ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (TTB) กำไรเพิ่มขึ้น 36% หรือ 14,195 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง มีกำไรสุทธิรวม 14,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากปี 2564 ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังดูแลได้ดี โดยอัตราส่วนหนี้เสียอยู่ที่ 2.73% ลดลงจากปีที่แล้วและต่ำกว่ากรอบที่วางไว้

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 เงินฝากอยู่ที่ 1,399 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากไตรมาสก่อน และ 4.5% จากปี 2564 ด้านสินเชื่ออยู่ที่ 1,376 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.3% เนื่องจากมีการชำระหนี้คืนจากธุรกิจรายใหญ่ ทั้งปียังคงเพิ่มขึ้น 0.4% YTD เป็นผลมาจากการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวัง เน้นที่สินเชื่อรายย่อยเป็นหลัก นำโดยสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

รายได้มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 4 อยู่ที่ 13,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% QoQ หนุนโดยการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยและการบริหารต้นทุนทางการเงินหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 4,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% QoQ จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น ปี 2565 ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 65,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากปีก่อนหน้า ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 29,952 ล้านบาท ลดลง 4.1% YoY อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงอยู่ที่ 45% ลดลงจาก 48% ของปี 2564

TTB

ที่มา – BBL, Krungsri, TTB

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post ผลประกอบการ ธนาคารกรุงเทพ-กรุงศรีอยุธยา-ทีเอ็มบีธนชาต ประจำปี 2565 first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/bbl-krungsri-and-ttb-announce-profit-in-2022/

ชวนฟัง Krungsri Plearn เพลิน PODCAST เปลี่ยนเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย ฟังได้เพลินๆ

ถ้าความรู้ทางการเงินเป็นเรื่องยาก ไม่รู้จะหาข้อมูลจากเว็บไซต์ไหนดี ไม่รู้ว่าข้อมูลที่มีเก่าใหม่แค่ไหน แถมไม่รู้ด้วยว่าข้อมูลที่หาเจอนั้นถูกต้องหรือเปล่า เชื่อว่าหลายๆ คนคงมีปัญหาแบบนี้ แต่ความจริงแล้วเรื่องการเงิน ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากเสมอไป ชวนฟัง PODCAST ทางการเงินรายการใหม่จาก Krungsri Plearn เพลิน PODCAST

รายการ PODCAST ทางการเงินจากกรุงศรี จะช่วยคลายความสงสัย ตอบปัญหาด้านการเงิน และการใช้ชีวิต แก้ปัญหาความยากเรื่องการเงินที่เคยเป็น ที่มีข้อมูลเยอะ ศัพท์ยาก อ่านไม่เข้าใจ ให้กลายเป็นเรื่องง่าย ฟังได้แบบเพลินๆ ทั้งเรื่องการเงิน ประสบการณ์การใช้ชีวิต และไลฟ์สไตล์จากแขกรับเชิญที่เป็นที่รู้จัก 

“กรุงศรีมองเห็นอะไรในตลาด และ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้กรุงศรี เริ่มต้นทำ PODCAST ครั้งนี้” 

Brand Inside พาไปคุยกับ มิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารแบรนด์และการตลาดองค์กร ของกรุงศรี เพื่อหาคำตอบกัน

จุดเริ่มต้น Plearn เพลิน by Krungsri GURU

มิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารแบรนด์และการตลาดองค์กร ของกรุงศรี เล่าถึงที่มาของ Krungsri Plearn เพลิน PODCAST ว่าก่อนหน้านี้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ กรุงศรี มี Plearn เพลิน by Krungsri GURU เป็นช่องทางในการให้ความรู้ด้านการเงิน และการใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบันนับเป็นปีที่ 6 แล้ว ด้วยรูปแบบคอนเทนต์ที่เป็นบทความ อ่านง่าย อ่านได้เพลินๆ ตามชื่อ เพื่อให้ความรู้ด้านการเงินอย่างยั่งยืนกับผู้อ่าน 

ตามสโลแกนของกรุงศรีที่หลายๆ คน คงหุ้นหูคุ้นตา “เรื่องเงิน เรื่องง่าย” โดยในครั้งนี้มาด้วยคอนเซ็ปต์ กรุงศรีอยู่นี่นะ #ความห่วงไม่เคยห่าง ที่ต้องการเป็นเหมือนคนที่คอยอยู่เคียงข้างให้ความช่วยเหลือทั้งด้านการเงิน และการใช้ชีวิตของคนไทยอยู่ไม่ห่าง

โดยคอนเทนต์ของ Plearn เพลิน by Krungsri GURU ไม่ได้มีแค่คอนเทนต์ด้านการเงิน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของกรุงศรี ที่เป็นสถาบันการเงินเท่านั้น แต่ยังมีคอนเทนต์ด้านธุรกิจ ไลฟ์สไตล์ และนวัตกรรมอีกด้วย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อ่านทุกๆ กลุ่ม โดยเฉพาะบทความที่เกี่ยวกับการยื่นภาษี เศรษฐกิจพอเพียง การเล่นหุ้นสำหรับมือใหม่ และการคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อผ่อนรถยนต์ เป็นบทความที่ได้รับความนิยมมาก

ยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้คนทั่วๆ ไป ต้องการหาข้อมูลที่เกี่ยวกับการเงินมากขึ้น เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีหนี้ ต้องการหาทางบรรเทาความเดือดร้อนที่ได้รับ หรือคนที่มีเงิน แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเงินที่มี ข้อมูลที่มีบน Plearn เพลิน by Krungsri GURU ก็สามารถตอบโจทย์ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี

การปรับคอนเทนต์ให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของผู้อ่านในขณะนั้นก็สำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผู้อ่านส่วนใหญ่ ต้องการรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงินมากขึ้น 

ทำให้ปัจจุบัน Plearn เพลิน by Krungsri GURU มีจำนวนการอ่าน (Pageview) เฉลี่ย 850,000 หน้าต่อเดือน โดยมีผู้อ่านรายใหม่ถึง 69%

การต่อยอดสู่ Krungsri Plearn เพลิน PODCAST

พอถามว่าทำไมต้องทำ PODCAST มิ่งขวัญ เล่าว่า ปัจจุบันกระแสการฟังรายการ PODCAST กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยวิถีชีวิตของคนเมืองที่เร่งรีบ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผ่านการฟัง จึงอาจตอบโจทย์มากกว่าการอ่านในยุคนี้ เพราะในขณะที่ฟัง PODCAST สามารถทำกิจกรรมอย่างอื่นไปพร้อมๆ กันได้ โดยเฉพาะในขณะที่กำลังเดินทาง ไม่ว่าจะขับรถ หรือโดยสารรถสาธารณะก็ได้เช่นกัน ซึ่งจากผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า กลุ่มผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ที่มีอายุระหว่าง 16-64 ปี กว่า 44% เป็นผู้ฟัง PODCAST 

กรุงศรี ที่มีคลังคอนเทนต์จำนวนมหาศาลบน Plearn เพลิน by Krungsri GURU จึงต่อยอดเพิ่มช่องทางการเข้าถึงในรูปแบบใหม่ๆ ให้ตอบรับกับวิถีชีวิตของคนในยุคนี้ นั่นก็คือ Krungsri Plearn เพลิน PODCAST

Finance + Entertainment กลายร่างเป็น Financetainment

รูปแบบรายการของ Krungsri Plearn เพลิน PODCAST จะต้องเป็นรายการที่ให้ทั้งความรู้ด้านการเงิน แต่แฝงไปด้วยความสนุก เพราะต้องการให้ผู้ฟังได้ทั้งความรู้ และความสนุกในเวลาเดียวกัน รวมถึงต้องฟังง่าย เข้าใจง่าย ฟังได้แบบเพลินๆ ตามคอนเซ็ปต์ Finance + Entertainment กลายเป็น Financetainment 

Krungsri Plearn เพลิน PODCAST มีทั้งหมด 2 รายการ รายการแรกคือ เรื่องเงิน ย่อยง่าย ให้ความรู้ด้านการเงิน การออม การลงทุน แบบง่ายๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อเพิ่มทักษะด้านการเงิน และสร้างแรงบันดาลใจให้รู้จักการบริหารการเงินของตัวเอง 

ส่วนอีกรายการไม่ได้เกี่ยวกับการเงินเพียงอย่างเดียว แต่จะเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้ชีวิต ที่แฝงไปด้วยแง่คิดทางการเงิน คือ รายการเรื่องชีวิต คิดให้ง่าย เน้นแนวคิดการใช้ชีวิต การท่องเที่ยว ประสบการณ์จากคนดัง และยูทูบเบอร์ ที่จะมาแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจ 

สรุป

Plearn เพลิน by Krungsri GURU นับว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก ที่กรุงศรี ซึ่งเป็นธนาคาร ต้องการเข้ามาสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนทั่วๆ ไป ผ่านการให้ความรู้บน Plearn เพลิน by Krungsri GURU ทั้งในรูปแบบของบทความและ PODCAST ที่จะช่วยสร้างพื้นฐานความรู้ด้านการเงินให้คนไทยในระยะยาว

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/krungsri-plearn-plearn-podcast/

ตามไปดูน้อง “กล้วยกรุงศรี” กลยุทธ์เรื่องยาก… ง่ายได้ ที่ดังไกลถึงประเทศญี่ปุ่น

ช่วงปลายปี 2019 ที่ผ่านมา คนที่ท่องโลกโซเชียล น่าจะมีโอกาสได้เห็นคลิป “กล้วยกรุงศรี” หรือเรียกให้น่ารักว่า “น้องกล้วยกรุงศรี” กลายเป็นคลิปไวรัล ถูกแชร์และถูกพูดถึงจนติดเทรนด์ #กล้วยกรุงศรี อันดับ 1 บนทวิตเตอร์ วันที่ 29 พ.ย.​ 2019

จะกล้วยกรุงศรี หรือ น้องมั่งมี คนก็จำได้เหมือนกัน

มิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารแบรนด์และการตลาดองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) บอกว่า กล้วยกรุงศรี จริงๆ แล้วมีชื่อว่า “น้องมั่งมี” แต่ถ้าจะเรียกว่ากล้วยกรุงศรี ก็ไม่เป็นไร ขอให้เป็นที่จดจำของผู้บริโภค ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในเบื้องต้น

เป็นการสร้าง Conversation บนโลกออนไลน์ มีผู้บริโภคมาตอบให้ด้วยว่า จริงๆ แล้วชื่อ น้องมั่งมี ทางกรุงศรี ก็ดีใจที่มีการจดจำได้

สำหรับที่มาของ น้องมั่งมี เริ่มจากการเป็นมาสคอต (Mascot) ในบริการ QR Payment ดูได้จากพุงของน้องมั่งมี จะมีสัญลักษณ์​ QR Code อยู่ เปิดตัวช่วงเดือน เม.ย. 2019 การใช้​ “กล้วย” เพื่อสื่อสารว่า เป็นเรื่องง่ายๆ สะดวกสบาย ใครๆ ก็ทำได้ เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก กลายเป็นสโลกแกนง่ายๆ ว่า เรื่องเงิน เรื่องง่าย

“จุดที่สร้างความจดจำ ต้องยกความดีความชอบให้กับน้องที่สวมชุดน้องมั่งมีด้วย เพราะจากการไปออกอีเวนต์ มีการอธิบายคาแรกเตอร์ของน้องมั่งมี ให้ดูเฟรนด์ลี่ เข้าถึงง่าย สนุกสนาน นำไปสู่ท่าเต้นน่ารักๆ สร้างเสียงหัวเราะ เหมือนมีชีวิตจริงๆ จนกลายเป็นที่จดจำไม่ใช่แค่ QR Payment เท่านั้น แต่กลายเป็นตัวแทนของธนาคารกรุงศรีไปเลย”

จากนั้นพอมีการอัดคลิปวิดีโอ ก็เกิดการส่งต่อกันบนโลกออนไลน์ กลายเป็นไวรัลที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ปัง! ครั้งแรก

จากนั้นทางกรุงศรี ได้พัฒนาแคมเปญต่อเนื่อง เรื่องญี่ปุ่นต้องกรุงศรี เพราะธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นบริษัทในเครือของ Mitsubishi UFJ Financial Group หรือ MUFG ธนาคารใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นก็ต้องใช้ความเป็นญี่ปุ่นให้เป็นประโยชน์ ทำให้ กรุงศรี เป็นธนาคารแรกที่เข้าไปวางโครงสร้างทำให้คนไทยสามารถจ่ายเงินผ่าน QR Code ที่ตึกม่วง ย่านอุเอะโนะ ที่สำคัญคือ ใช้ได้กับทุกธนาคาร ไม่เฉพาะว่าต้องเป็นกรุงศรีเท่านั้น

แน่นอนว่า การไปญี่ปุ่นครั้งนี้ กรุงศรี จึงพาน้องกล้วยกรุงศรี หรือ น้องมั่งมีไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน พอคนไทยที่ไปเที่ยวเห็นก็มาขอถ่ายรูปด้วย และไม่เฉพาะคนไทย เพราะคนญี่ปุ่นก็ชอบในคาแรกเตอร์และเข้ามาถ่ายรูปเล่นอย่างสนุกสนาน กลายเป็น ไวรัลที่ปัง! กว่าเดิมอีก

พอกลับมาประเทศไทย ก็เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่พอดี มีแคมเปญ “กรุงศรีอยู่นี่นะ” น้องมั่งมีก็ไปสร้างสีสันตลอดเทศกาล จากจุดเริ่มต้น QR Event ได้ขยายผลออกไปจน น้องมั่งมี กลายเป็นคนดังไปแล้ว

มิ่งขวัญ​ บอกว่า กรณีของน้องมั่งมี ถือว่าได้ผลลัพธ์เชิงธุรกิจอย่างดีมาก

  1. Brand Awaeness สร้างการจดจำชื่อ น้องกล้วยกรุงศรี
  2. Brand Consideration ทำให้คนอยากมาเปิดบัญชีมากขึ้น อยากทำธุรกรรมด้วย

ตอนนี้มีผู้บริโภค อยากได้ของพรีเมียม เช่น พวงกุญแจ ตุ๊กตา เป็นน้องกล้วยกรุงศรี น้องมั่งมี ซึ่งปี 2563 น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของหลายๆ แคมเปญมากขึ้นด้วย จากเป็นมาสคอตอีเวนต์ ไปถึงประเทศญี่ปุ่น อาจมี Story ใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อสร้างสีสัน

แต่ทุกอย่างจะอยู่บนแนวทางแคมเปญ “ทุกเรื่องยาก… ง่ายได้ #กรุงศรีอยู่นี่นะ” ซึ่งเป็นธีมหลัก เรื่องเงินเป็นเรื่องง่าย เข้าถึงง่าย เหมือนเพื่อน มีชีวิตชีวามากขึ้น

มุ่งเน้น Corporate Branding มากขึ้น ยอกย้ำ #กรุงศรีอยู่นี่นะ

แนวทางปีหน้า กรุงศรีจะมีน้องกล้วยต่อยอดไปด้วยแน่นอน สำหรับบริการในต่างประเทศ​ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น ก็จะขยายบริการ QR Payment ไปจุดอื่นๆ

ขณะที่การทำ Corporate Branding เคยทำตั้งแต่ปี 2014 เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ธนาคารกรุงศรี ดูเด็กลง ทันสมัยมากขึ้น หลังจากนั้นแคมเปญต่างๆ ก็จะเน้น สินค้าและบริการ เป็นหลักมาตลอด จนมาถึง กรุงศรีอยู่นี่นะ ตั้งแต่ปี 2018 พร้อมตอกย้ำว่า ธนาคารกรุงศรี เป็นส่วนหนึ่งของ MUFG

“MUFG เป็นธนาคารใหญ่ที่ดังในลูกค้า Corporate แต่ปีที่ผ่านมา กรุงศรี ได้สื่อสารไปถึงลูกค้าบุคคลมากขึ้น ไม่ว่าลูกค้าจะไปไหน จะบนมือถือ หรือสาขา กรุงศรี ก็อยู่นี่นะเสมอ”

มิ่งขวัญ บอกว่า สุดท้าย ต้องขอบคุณน้องในชุดน้องกล้วยกรุงศรี ที่ตีความตามบรีฟอย่างดี แล้วเต้นออกมาจนกลายเป็น Talk of the Town สร้างการบอกต่อ แชร์ต่อๆ กัน และทีมงานกรุงศรีเอง ที่ต่อยอดทันทีด้วยการจัดอีเวนต์ ทำ LINE Sticker ออกมาให้คนใช้งาน

ต่อไปจะได้เห็น น้องมั่งมี หรือ น้องกล้วยกรุงศรี ทำหน้าที่โปรโมททั้ง QR Payment และ ธนาคารกรุงศรี ไปพร้อมๆ กับ มาสคอต ตัวจริงของธนาคารกรุงศรี นั่นคือ น้องหมี ชื่อ เบลล่า กับ บิลลี่ ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันไปเรียลร้อย รับรองว่าสนุกกว่าเดิมแน่นอน

น้องมั่งมี และน้องหมี เบลล่า กับ บิลลี่ บน LINE Sticker

สรุป

กล้วยกรุงศรี กลายเป็นความสำเร็จที่คาดไม่ถึงของธนาคารกรุงศรี เกิดจากคาร์แรกเตอร์ กล้วย ที่สื่อสารถึงความง่าย ใครๆ ก็เข้าถึงได้ บวกกับการเต้นที่มีชีวิตชีวา ดูน่ารัก สนุกสนาน ทำให้ น้องมั่งมี หรือ กล้วยกรุงศรี กลายเป็นไวรัล และดังแบบปังๆ มากกว่าเดิม และปิดท้ายด้วยทีมงานที่สามารถต่อยอดความสำเร็จได้ทันท่วงที มารอดูกันว่า ปีนี้ น้องกล้วยกรุงศรี จะมีทีเด็ดอะไรออกมาอีก

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/nong-mung-mee-krungsri-bank/

ธนาคารกรุงศรีฯจัดทริปพาดูธุรกิจจีน สร้างแรงบันดาลใจให้นักธุรกิจไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก

ธุรกิจไทยต้องปรับตัวสูงในยุค Technology Disruption และจีนเองก็ประสบความสำเร็จในฐานะผู้ผลิตเทคโนโลยีมาตรฐานระดับโลกได้ ธุรกิจจีนรวมทั้ง ผู้บริโภคก็ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างจริงจัง

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จึงได้จัดกิจกรรม Krungsri Business Trip: CHINA 5.0, AI /Big Data Management and Smart City ภายใต้บริการ Krungsri Business Empowerment โดยพาลูกค้ากลุ่มเจ้าของธุรกิจ ที่เข้าร่วมโครงการ Krungsri Leadership Academy (KSLA) และ Krungsri Leadership Academy Boot Camp (Mini KSLA Boot Camp) ไปสัมผัสประสบการณ์จริงในการศึกษาดูงาน ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์คือ ให้นักธุรกิจไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแรงในยุคที่ดิจิทัลและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการดำเนินธุรกิจในโลกอนาคต

Krungsri Business Trip ภายใต้แนวคิด CHINA 5.0: AI / Big Data Management and Smart City

ไฮไลท์ 8 บริษัทชั้นนำของทริป เรียกได้ว่าจัดเต็มทั้งความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ ในด้าน Cloud Computing & Big Data Application, Block Chains, IoT, Smart Wearable, AI, Driverless Technology และ Internet Technologyซึ่งมีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรยุคใหม่ 

  • Shanghai Data Exchange Corp” และ “Shanghai Cloud Data Co., Ltd.” ผู้นำด้าน Big Data มีการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลของพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต การเดินทาง กล้อง CCTV และระบบเซ็นเซอร์จากอุปกรณ์ IoT มาทำการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกในการประเมินและเรียนรู้พฤติกรรมของผู้คน เพื่อต่อยอดการพัฒนาสู่ Smart City 
  • Industrial Internet Innovation Center (3IN) ณ เขตอุตสาหกรรมหลินกัง พื้นที่ที่รัฐบาลจีนกำหนดให้ทำการทดลอง Prototypes เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม และวางแผนพัฒนาให้เป็น Hi-Tech Cluster 3IN ยังเป็นหน่วยงานวิจัยของรัฐเทียบเคียงกับ NECTEC เป็นผู้สร้าง Platform เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการกว่า 200 บริษัท เช่น Huawei, Tencent, Cisco และเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่

  • Xiao-I Co., Ltd. ผู้นำการพัฒนาและที่ปรึกษาด้าน AI Solutions ให้กับองค์กรธุรกิจต่างๆ รวมถึง Robot สำหรับการให้บริการลูกค้า Chatbot สำหรับ Customer Services หุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่ตอบคำถามและให้บริการลูกค้า หุ่นยนต์ดูแลผู้ป่วย หุ่นยนต์บริการในโรงแรมครบวงจร ตลอดจนหุ่นยนต์ผู้พิพากษาและแพทย์ 

  • Deep Blue Technology (Shanghai) Co., Ltd. บริษัทผู้พัฒนา AI Solutions ลำดับต้นๆ ของประเทศจีน พัฒนา AI ให้กับหลากหลายธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยี Computer Vision, Autonomous Driving, Biological Intelligence และ Semantic Intelligence ผลงานมากมาย อาทิ รถบัสไร้คนขับ หุ่นยนต์ให้บริการลูกค้า หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย หุ่นยนต์ส่งของ หุ่นยนต์ดับเพลิง ตู้ขายสินค้าอัจฉริยะ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงรูปแบบของธุรกิจและพฤติกรรมการบริโภคสินค้าและบริการ โดยแกนการพัฒนาของ Deep Blue มองว่าการเป็น Smart City ที่สมบูรณ์ต้องเป็น AI City ที่การบริหารจัดการเมืองและธุรกิจ เป็นการบริหารจัดการและควบคุมผ่าน AI ทั้งหมด ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวจะเป็นการผลักดันให้ประชากรและระบบการศึกษา ต้องเร่งพัฒนาขึ้นตามไปด้วย

  • Transwarp Technology (Shanghai) Co., Ltd. ผู้พัฒนาเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม Hadoop สำหรับการจัดการ Big Data รายแรกของประเทศจีน บริษัททำการวิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มข้อมูลขนาดใหญ่ในประเทศจีน นำเสนอแพลตฟอร์มข้อมูล Spark และ Hadoop ที่มั่นคงพร้อมสำหรับองค์กร ในการสื่อสารโทรคมนาคม บริการทางการเงิน และภาครัฐ 
  • Starbucks Reserve Roastery สาขาเซียงไฮ้ เป็นสาขาที่สวยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก พบกับความอลังการของ Main Bar ยาวกว่า 30 เมตร และ Roasting Area ที่โชว์การคั่วเมล็ดกาแฟอย่างเต็มระบบ จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือการใช้เทคโนโลยีมาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ใช้บริการ ด้วย TAOBAO’s AR แสดงขั้นตอนการผลิตกาแฟให้ดูบนสมาร์ทโฟนแบบ Real Time พร้อมบริการอันทันสมัยแบบครบวงจร

  • HEMA Supermarket ที่สร้างขึ้นโดย Jack Ma ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร Alibaba ซูเปอร์มาร์เก็ตสุดไฮเทคภายใต้คอนเซ็ปท์ “Smart Supermarket and Cashless Society by Alibaba” แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นโดยต้องการรวมการซื้อขายแบบออนไลน์และออฟไลน์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ในรูปแบบ “New Retail” โดยตัวกลางในการเชื่อมโยงคือแอพพลิเคชั่น Hema บนสมาร์ทโฟน เชื่อมต่อกับบัญชีลูกค้า Taobao หรือ Alipay เพื่อชำระค่าสินค้า และสามารถสั่งของจากออนไลน์และมารับที่หน้าร้านได้ทันทีในเวลาไม่เกิน 30 นาที พร้อมบริการสินค้าหลากหลายในทุกกลุ่ม 

มากกว่าประสบการณ์ คือเครือข่ายและโอกาสทางธุรกิจ

นอกเหนือจากการดูงานแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับไปและสำคัญไม่แพ้ประสบการณ์จากการเยี่ยมชมบริษัทชั้นนำในจีนคือ การพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเจ้าของธุรกิจ รวมถึงผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อต่อยอดเครือข่ายทางธุรกิจทั้งระหว่างผู้ที่เข้าร่วมโครงการ หรือผู้ร่วมโครงการกับบริษัทชั้นนำในจีน เพื่อให้เจ้าของธุรกิจสามารถนำความรู้ในช่วงเปลี่ยนถ่ายเขาสู่ยุค Digital and Innovation ไม่แน่เราอาจจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ หรือนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นในประเทศของเราที่สร้างมาจากผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้

สำหรับใครอยากเพิ่มเติมความรู้อื่นๆ ก็สามารถไปเช็คข้อมูลกันได้ที่ http://bit.ly/2PYw2ww กับบริการ Krungsri Business Empowerment ที่พร้อมให้ความรู้และเครือข่ายธุรกิจผ่านกิจกรรมสัมนาความรู้ (Business Talk & Business Forum) บริการจัดส่งบทวิเคราะห์และข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจผ่านอีเมล (Business Connect) กิจกรรมศึกษาดูงานต่างประเทศ สำรวจตลาด สร้างเครือข่าย (Business Journey) แพลตฟอร์มออนไลน์จับคู่ธุรกิจเพื่อ SME (Online Business Matching) รวมไปถึงกิจกรรมจับคู่ธุรกิจเพื่อสร้างโอกาสเติบโตให้ลูกค้าธุรกิจไทย สู่ตลาดต่างประเทศ (Krungsri – MUFG Business Matching Fair) เป็นต้น

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/krungsri-business-trip/

ไม่ใช่แค่เงินทุน แต่กรุงศรียังช่วยต่อยอดธุรกิจ ผ่านบริการ Krungsri SME Business Empowerment

ธนาคารคือที่พึ่งสำคัญของผู้ประกอบการ และไม่ใช่เพียงแค่เป็นแหล่งเงินทุน แต่ยังเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำในการทำธุรกิจ ให้ผู้ประกอบการสามารถฝ่าฟันความไม่แน่นอนของโลกธุรกิจและเติบโตได้อย่างยั่งยืน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มี Krungsri SME Business Empowerment บริการด้านข้อมูล ความรู้ และเครือข่าย เพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SME ผ่านการผสานความแข็งแกร่งในประเทศของกรุงศรีและเครือข่ายในต่างประเทศของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) กลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก

เข้าถึงงานสัมมนาเสริมภูมิความรู้ธุรกิจ ดูงานต่างประเทศ เพื่อนำความรู้มาปรับใช้

บริการที่ Krungsri SME Business Empowerment จะช่วยเสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการคือ บรรดางานสัมมนาในหัวข้อสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจที่ทางกรุงศรีจัดอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในกิจกรรมสำคัญของ  Krungsri SME Business Empowerment  คือ การพาผู้ประกอบการไทยศึกษาดูงานต่างประเทศ เช่น พาลูกค้า SME ดูงานธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัลในจีนอย่างเข้มข้น, จับมือ MUFG พาลูกค้าดูงานนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตในญี่ปุ่น, ดูงานธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมอาหารในญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งถือเป็นประสบการณ์สำคัญที่ผู้ประกอบการสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจตัวเองได้ 

จับคู่ธุรกิจ ขยายช่องทางเพิ่มรายได้

บริการ Krungsri SME Business Empowerment ยังมี บริการ Krungsri SME Online Business Matching สร้างโอกาสจับคู่ธุรกิจง่ายๆ กับผู้จัดจำหน่ายชั้นนำในประเทศและต่างประเทศ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายให้กับลูกค้า SME ผ่านแพลตฟอร์มเว็บไซต์ของธนาคารและความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจของกรุงศรีทั้งในและต่างประเทศ ถือเป็นการขยายช่องทางทำรายได้ให้ธุรกิจตัวเองโตทั้งในไทย และไปไกลถึงต่างประเทศได้อีกด้วย

จับคู่ธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น โอกาสที่หาที่ไหนไม่ได้

สำหรับลูกค้า SME ของธนาคารเพื่อขยายตลาดสู่ต่างประเทศ หรือซื้อสินค้าและบริการจากธุรกิจต่างประเทศ การจับคู่เจรจาธุรกิจจากผู้ประกอบการในไทย ญี่ปุ่น และอาเซียนที่กรุงศรีจัดขึ้นทุกปีจะช่วยสร้างโอกาสการเติบโตให้ธุรกิจ สามารถขยายความแข็งแกร่งในเวทีโลก ด้วยเครือข่ายและศักยภาพที่แข็งแกร่งของกรุงศรีและ MUFG โดยปีนี้ มีธุรกิจเข้าร่วมงานมากกว่า 200 บริษัท และการเจรจาจับคู่ธุรกิจมากกว่า 400 คู่ 

สรุป

กรุงศรี พร้อมสนับสนุน SME ไทย ด้วยบริการ Krungsri SME Business Empowerment พร้อมให้ความรู้ ข้อมูล และเครือข่ายที่ก้าวทันกระแสโลกผ่านกิจกรรมและช่องทางต่างๆ 

เข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มได้ที่ http://bit.ly/2YseLQ4 หรือ www.facebook.com/KrungsriBusinessEmpowerment

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/krungsri-sme-business-empowerment/

แบงก์กรุงศรีฯ เผยสัปดาห์นี้ ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าแตะ 31.15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สัปดาห์ที่แล้วค่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 3 เดือน และแข็งค่าที่สุดในเอเชียไปแล้ว ว่าแต่สัปดาห์นี้มีแนวโน้มเป็นอย่างไร?

ภาพจาก Shutterstock

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บอกว่า สัปดาห์นี้ (10-14 มิ.ย.2019) คาดว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.15-31.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุหลักที่ค่าเงินบาทแข็งค่ายังมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลักของโลก

ทั้งนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณว่าพร้อมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเมื่อมีเหตุจำเป็น ซึ่งอาจจะเร็วกว่าที่นักลงทุนคาดไว้ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนก.ค. ทำให้นักลงทุนจับตามองข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐ เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ ยอดค้าปลีก โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐและการเติบโตของค่าจ้างเดือนพ.ค.ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ตามนักลงทุนในตลาดต้องจับตามองสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ โดยนักลงทุนรอดูภายหลังการประชุมผู้นำกลุ่ม G-20 ที่จะจัดขึ้น 28-29 มิ.ย. นี้ ที่ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐ จะตัดสินใจว่าเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือไม่

ในส่วนของประเทศไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (3-7 มิ.ย.)นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยสูงถึง 11,000 ล้านบาท และ 43,000 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยลดลงค่อนข้างแรงตามตลาดสหรัฐฯและกระแสเงินทุนไหลเข้า

ทั้งนี้นักลงทุนยังจับตามองการจัดตั้งรัฐบาลของไทย ว่าทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่จะเป็นอย่างไรเพื่อประเมินมาตรการที่ออกมารับการเติบโตของไทย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/krungsri-expect-baht-appreciate/

ทำไมธนาคารกรุงศรีต้องหันมาโฟกัสเงินฝากจากลูกค้า Corporate ปี 62 ตั้งเป้าฯ เงินฝากโต 19%

ธนาคารในไทยไม่ได้มีรายได้จากธุรกิจรายย่อย อย่างการรับฝาก-โอน-ถอน หรือให้สินเชื่อรายย่อยเท่านั้น แต่อีกส่วนสำคัญคือลูกค้าธุรกิจ (SME ธุรกิจขนาดใหญ่ ฯลฯ) แล้วทำไมกรุงศรี ต้องหาเงินฝากเข้ามาในแบงก์?

ภาพจาก Shutterstock

ทำไม “กรุงศรี” ต้องหันมาเน้นเงินฝากจากลูกค้าธุรกิจรายใหญ่?

ตั้งแต่ปลายปี 2561 หลายธนาคารออกโปรโมชั่นเงินฝากดอกเบี้ยสูง ดอกเบี้ยพิเศษมาดึงดูดให้ลูกค้ารายย่อยฝากเงินกับธนาคาร เพราะปัจจุบันต้นทุนทางการเงินอาจจะเพิ่มขึ้นจากเทรนด์ดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นขาขึ้นทั้งในไทยและทั่วโลก ทำให้ธนาคารหาลู่ทางล็อกต้นทุนเงินฝากให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ดอกเบี้ยธนาคารอาจต้องปรับสูงขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ฐานเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทยมีอยู่ 12-13 ล้านล้านบาท โดยมีส่วนสำคัญมาจากลูกค้าธุรกิจ อย่าง Corporate ดังนั้นจะเห็นธนาคารแข่งขันเข้าถึงลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีรายได้เกิน 1,000 ล้านบาทต่อปี เพราะนอกจากแต่ละบริษัทจะมีเงินสำรองธุรกิจเก็บไว้ในบัญชีเงินฝาก ธนาคารยังต่อยอดธุรกิจ และบริการอื่นๆ ให้ลูกค้าได้มากขึ้น

ส่วนของธนาคารกรุงศรีีอยุธยาที่ปี 2561 มียอดสินเชื่อทั้งหมดอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อรายย่อย 48% สินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ (มีรายได้ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป) 25% สินเชื่อลูกค้า SME 15% และกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น 12% ดังนั้นปีนี้นอกจากขยายเงินฝากรายย่อย ลูกค้าเวลธ์ ยังหันมาดึงเงินฝากจากลูกค้าบริษัทด้วย แสดงว่าแบงก์เตรียมตัว เตรียมเงินสำหรับปล่อยสินเชื่อในปี 2562 นี้

เมธินี จงสฤษดิ์หวัง ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บอกว่า ปี 2562 ทางกรุงศรี จะโฟกัสเงินฝากของลูกค้าธุรกิจรายใหญ่หรือ Corporate มากขึ้น เพราะลูกค้ากลุ่มนี้แต่ละบริษัทจะมีเงินฝากที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวอย่างน้อย 50-100 ล้านบาทอยู่แล้ว หากเข้าถึงเงินฝากของลูกค้าจะสามารถเสนอบริการ Solutions อื่นๆ ให้ลูกค้าได้มากขึ้น

“การที่กรุงศรีหันมาเน้นเงินฝากกลุ่ม Corporate เพราะที่ผ่านมาเงินฝากรายย่อยมีความแข็งแกร่งแล้ว แต่ธนาคารยังไม่เคยเน้นเรื่องเงินฝากในฐานลูกค้ากลุ่ม Corporate มาก่อน ทำให้ปีนี้คาดว่าเงินฝากกลุ่มนี้อาจจะเติบโต 19% สิ้นปีคาดว่าจะมีเงินฝากอยู่ที่ 90,000 ล้านบาท”

พรสนอง ตู้จินดา ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้าธุรกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ปี 2562 กรุงศรีมีกลยุทธ์ขยายสินเชื่อลูกค้า Corporate อย่างไร?

พรสนอง ตู้จินดา ประธานกลุ่มธุรกิจลูกค้าธุรกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บอกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2562 คาดว่า GDP จะเติบโต 3.8% เพราะมีทิศทางที่ดีจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ เช่น EEC (โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) ฯลฯ ที่เริ่มเห็นชัดเจน ขณะเดียวกันการส่งออก การท่องเที่ยว อุปโภคในประเทศคาดว่าทั้งปีนี้จะเติบโตต่อเนื่อง ทำให้การขยายสินเชื่อในกลุ่ม Corporate ยังเติบโตได้ดี

ปี 2562 ทางธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่อยู่ที่ 408,000 ล้านบาท เติบโต 8% จากปี 2561 โดยปัจจุบันรายได้จากธุรกิจ Corporate แบ่งเป็นรายได้จากดอกเบี้ย 70% รายได้จากค่าธรรมเนียม 30% เป้าหมายภายใน 2-3 ปีข้างหน้าจะหันมาขยายรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มสัดส่วนเป็น 40% และลดสัดส่วนรายได้ดอกเบี้ยเหลือ 60% และจะควบคุมหนี้เสียให้เหมาะสม ปัจจุบันอยู่ที่ 1.4%

ทั้งนี้นอกจากธนาคารสามารถบริการสินเชื่อให้ลูกค้า Corporate ธนาคารยังสามารถแนะนำการลงทุนในต่างประเทศ เพราะปัจจุบันลูกค้า Corporate จำนวนมากที่มีความพร้อมเริ่มสนใจไปลงทุน ขยายกิจการหรือตั้งโรงงานในต่างประเทศมากขึ้น ธนาคารจึงสามารถให้บริการทั้งการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ หรือ บริการควบรวมกิจการ ( M&A) ฯลฯ ขณะเดียวกันธนาคารต้องสร้างระบบดิจิตอลเพื่อสร้าง Solutions ใหม่ๆให้ลูกค้า (ตามภาพ)

ส่วนลูกค้า Corporate จากญี่ปุ่นที่สนใจลงทุนในไทย ยังรอดูความชัดเจนจากสถานการณ์ต่างๆ ในเมืองไทย ทั้งความต่อเนื่องของนโยบายการลงทุนของภาครัฐ อย่าง EEC Mega project ฯลฯ

สรุป

ธุรกิจของธนาคารคือการปล่อยสินเชื่อ แต่เมื่อทุกธนาคารโดดลงมาแข่งกันให้สินเชื่อ ดอกเบี้ยก็ถูกลง ธนาคารเลยต้องหาจุดเด่นนอกจากดอกเบี้ยถูก คือบริการเสริมเพื่อดึงดูดให้ลูกค้ายังใช้บริการต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการทำเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนสำหริบบริษัทที่ทำการค้ากับต่างประเทศ การใช้ Blockchain ให้ทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ฯลฯ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/bay-corporate-banking-deposit-2019/

กรุงศรี ฟินโนเวต เปิดแผนลงทุน Startup ปี 2019 บุกต่างประเทศ-ABAC เพิ่มคนไอที

เทคโนโลยีเปลี่ยนไปทุกวัน ธนาคารพาณิชย์ย่อมต้องพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง ว่าแต่ปี 2019 นี้กรุงศรี ฟินโนเวต ขยายลงทุนด้าน IT รับยุค Fintech ครองเมืองอย่างไร

แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด

กรุงศรี ฟินโนเวต เปิดแผนลงทุนปี 2019 AI-Blockchain-Data Analytics

แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด (บริษัทลงทุนด้านเทคโนโลยีของธนาคารกรุงศรีอยุธยา) บอกว่า ปี 2019 ทางบริษัทยังเน้นลงทุนในเทคโนโลยี 3 ด้านได้แก่ AI, Blockchain และ Data Analytics โดยปีนี้คาดว่าจะลงทุนในสตาร์ทอัพใหม่ๆ 5 โครงการ เช่น Silot สตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ โดยผู้ก่อตั้งชาวจีน และให้บริการด้านแพลตฟอร์มด้านการธนาคารแบบครบวงจร ฯลฯ

ทั้งนี้ปี 2019 ทางบริษัทตั้งเป้าหมายสร้าง 80 โปรเจค ที่เกิดจากความร่วมมือกับ 50 สตาร์ทอัพภาพนอก ที่จะร่วมมือกับ 30 Business Unit ภายในธนาคารกรุงศรีอยุธยาเพื่อให้เกิดนวัตกรรม การแก้ปัญหาต่างๆ ผ่านเทคโนโลยีเช่น AI Big Data และ Informations-based Lending (การปล่อยกู้โดยใช้ข้อมูลอื่นที่ใช้ข้อมูลด้านอื่นๆ นอกจากข้อมูลทางการเงิน)

แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด

เร่งหาคนไอที ปีนี้บุก 12 ประเทศ-ลงพื้นที่ มหา’ลัย ABAC

ปัจจุบันหลายบริษัทจับมือกับสตาร์ทอัพในไทยเกือบหมดแล้ว ดังนั้นปี 2019 ทางกรุงศรี ฟินโนเวต มองเห็นแนวทางที่ไทยจะไปลงทุนเทคโนโลยีในต่างประเทศได้ เพราะตอนนี้สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ยังไปลงทุนในประเทศภูมิภาคเอเชียน้อย จึงเป็นโอกาสให้ไทยสามารถหาสตาร์ทอัพในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

โดยปี 2019 ในการจัด Corporate Fintech Accelerator บริษัทจะเดินสาย Roadshow ใน 12 ประเทศทั่วเอเชีย เช่น ปักกิ่ง ฮ่องกง ไทเป โฮจิมินท์ สิงคโปร์ โซล ฯลฯ ส่วนการพัฒนา Startup Ecosystem ในประเทศไทย ปีนี้มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) เปิดโครงการ Krungsri Uni Startup ABAC Hackathon ให้นักศึกษาสามารถเรียนรู้งานด้านไอที และพัฒนาความรู้ที่มีอยู่ได้มากขึ้น

“ปีที่แล้ว เริ่มมีสตาร์ทอัพจากต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ เข้าร่วมโครงการ Accelerator ของเรา ปีนี้เราเลยขยายไป Roadshow ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการ Krungsri Uni Startup ปีที่แล้วร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เด็กที่มาฝึกในโครงการนี้กว่า 50% เข้ามาทำงานในกรุงศรีแล้ว ปีนี้เลยขยายไปที่ ABAC

ทั้งนี้ปี 2018 ที่ผ่านมา กรุงศรี ฟินโนเวต มีสตาร์ทอัพมาร่วมพัฒนาโครงการต่างๆ กว่า 37 โครงการ มีทั้งสตาร์ทอัพในไทยและต่างประเทศ เช่น ความร่วมมือกับ Lalamove เพื่อขยายสินเชื่อให้กลุ่มคนขับที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อธนาคาร ความร่วมมือกับ SIX เพื่อให้ธนาคารเข้าถึงข้อมูลรายได้ของกลุ่ม Freelance ทำให้ปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้ากลุ่มนี้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้มีโครงการที่ลงทุนแล้วได้แก่ Finomina Omise Baania และ SBI Investment

สรุป

ธนาคารต่างๆ เร่งเครื่องพัฒนาด้าน IT อย่างต่อเนื่องเพราะ นอกจากต้องสู้กับ Non-Bank ทั่วโลก ยังต้องแย่งชิงคน IT ในสายงานเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีจำกัด ดังนั้นกรุงศรี ฟินโนเวต เลยเริ่มมองไกลถึงสตาร์ทอัพจากต่างประเทศ แต่ก็ต้องฝังรากในไทยให้ลึกผ่านความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อสร้างคนเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นในไทยด้วย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/krungsri-finnovate-2019-invest-startup-aboard-abac/

กรุงศรีฯ เปิดฟีเจอร์จ่ายเงินผ่าน QRcode ที่ญี่ปุ่น ได้เงินเยนถูกกว่าใช้บัตรเครดิต-เคาน์เตอร์แบงก์

หมดกังวลเรื่องแลกเงินเยนไม่พอเที่ยว หรือบัตรเครดิตวงเงินไม่พอ เพราะตอนนี้ไปญี่ปุ่นก็ใช้โมบายแบงก์กิ้งทุกธนาคารจ่ายเงินผ่าน QRcode ที่ร้านค้าในญี่ปุ่นได้เลย

เที่ยวญี่ปุ่นไม่ต้องแลกเงิน! กรุงศรีฯ เพิ่มบริการใหม่จ่ายเงินที่ญี่ปุ่นผ่าน QRcode

ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิทัลแบงก์กิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บอกว่า ไตรมาส 1 /2019 นี้ธนาคารเตรียมเปิดบริการใหม่ ให้คนไทยไปญี่ปุ่นแล้วสามารถจ่ายเงินผ่าน QRcode ได้ เช่น ตึกม่วง (ทาเคยะ) BigCamera ฯลฯ

โดยคนไทยที่ไปญี่ปุ่นไม่ว่าใช้ธนาคารไหน ก็สามารถใช้โมบายแบงก์กิ้งสแกน QRcode ที่ร้านค้าในญี่ปุ่นและจ่ายเงินได้ โดยทั้งลูกค้าและร้านค้าจะเห็นราคาค่าสินค้าทั้งรูปแบบเงินเยน และเงินบาท ซึ่งเป็นเรทเงินเยนแบบ Real-time

ที่สำคัญลูกค้าที่จ่ายเงินผ่าน QRcode จะได้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนถูกกว่าการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต หรือการแลกเงินเยนที่เคาน์เตอร์ธนาคาร เพราะฝั่งลูกค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการจ่ายเงินผ่าน QRcode

“ธนาคารกรุงศรีฯ ใช้ QRcode พร้อมเพย์ระบบเดียวกับที่ใช้ในไทย ไปใส่ในระบบร้านค้าต่างๆ ในญี่ปุ่นผ่านความร่วมมือกับ MUFG หลังจากนี้เตรียมขยายผ่านร้านค้าเครือข่ายของ MUFG กว่า 2-3 ล้านร้านค้าในญี่ปุ่น”

ต่อยอด QRcode พร้อมเพย์ในสิงค์โปร์ กัมพูชา ฟิลิปปินส์

ฐากร บอกว่า หลังจากการขยายร้านค้ารับชำระเงินผ่าน QRcode ในญี่ปุ่นธนาคารยังมองโอกาสในการขยาย QRcode พร้อมเพย์ในประเทศเพื่อนบ้านไทยที่ MUFG มีเครือข่ายอยู่ เช่น สิงคโปร์ กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพูดคุยกับพันธมิตรเพื่อหารูปแบบการทำธุรกิจร่วมกัน

ทั้งนี้การขยายระบบรับจ่ายเงินผ่าน QRcode ยังต้องรอความพร้อมของฝั่งร้านค้า และโครงสร้างการเงินในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ที่ยังไม่มีระบบกลางเหมือน QRcode พร้อมเพย์ของไทย

อย่างไรก็ตามการทำระบบ QRcode ในต่างประเทศต้องเจรจา พูดคุยกับธนาคารในไทย และธนาคารท้องถิ่น ในเรื่องค่าธรรมเนียมระหว่างแบงก์ และการชำระเงินผ่านระบบตัวกลางต่างๆ โดยรูปแบบหลักคือลูกค้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการใช้บริการ เพื่อกระตุ้นให้คนใช้บริการมากขึ้น

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/bay-qrcode-payment-in-japan-better-than-creditcard-bank/

เปิดตัว Krungsri Finnovate บริษัทในเครือกรุงศรี ลงทุน 30 ล้านดอลลาร์หนุน FinTech

กระแส Startup FinTech ในประเทศไทย ไม่ได้มีเพียงแค่ 2 แบงค์ยักษ์ใหญ่อย่าง SCB และ Kbank เท่านั้น เพราะปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ กรุงศรี ได้เริ่มโครงการหนุน startup ใน batch แรกไปแล้วกับ Krungsri RISE แต่มาปีนี้ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

โดยการเปิดตัวบริษัท Krungsri Finnovate (กรุงศรี ฟินโนเวต) เป็นบริษัทในเครือกรุงศรี โดยเน้น 3 กิจกรรมหลักด้านเทคโนโลยีทางการเงิน คือ ส่งเสริมและพัฒนาการสร้างนวัตกรรม, บริหารจัดการ startup และลงทุนพัฒนา FinTech ด้วยงบลงทุน 30 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 3 ปีแรก

ตั้งบริษัทใหม่ ผลักดัน startup ลงทุนสร้าง FinTech Unicorn

ฐากร ปิยะพันธ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิทัลแบงก์กิ้งและนวัตกรรม ของ ธนาคารกรุงศรี บอกว่า เป้าหมายในเบื้องต้นคือการเข้าไปมีส่วนร่วมใน Ecosystem ของ FinTech ทั้งในไทยและต่างประเทศ และในระยะยาว กรุงศรี ต้องการร่วมผลักดัน startup FinTech ไทยให้สามารถก้าวไปสู่ระดับ Fintech Unicorn ที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ นำไปสู่การต่อยอดพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ของธนาคารต่อไปในอนาคต

กรุงศรี ได้แต่งตั้ง แซม ตันสกุล เป็นกรรมการผู้จัดการ Krungsri Finnovate ดูแลรับผิดชอบดำเนินการใน 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1) การส่งเสริมและพัฒนาการสร้างนวัตกรรม (Accelerator & Academic Collaboration) ซึ่งจะต่อยอดความสำเร็จของโครงการ Krungsri RISE และ Krungsri Uni Startup ในการพัฒนาทั้งในเชิงความรู้และการสนับสนุนเงินทุน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับสตาร์ทอัพ

2) การบริหารจัดการสตาร์ทอัพ (Startup Project Management) โดยจะเปิดโอกาสพูดคุยและทำความรู้จักกับสตาร์ทอัพจากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อบรรลุความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินในส่วนต่างๆ ของกรุงศรี ทั้งในกลุ่มสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบุคคล สินเชื่อ SME รวมทั้งบัตรเครดิต และ 3) การลงทุน (Venture Capital) ร่วมลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน โดยจะใช้งบลงทุนเริ่มต้นที่ 30 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก

FinTech ไทย เตรียมพร้อม กรุงศรีเตรียมงบ 30 ล้านดอลลาร์ลงทุน 9 ด้าน

Krungsri Finnovate มีเป้าที่จะร่วมมือพัฒนาโครงการด้าน FinTech 20 โครงการในปีนี้ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ของกรุงศรี ส่วนการลงทุน จะร่วมลงทุนทั้งในรูปแบบของการลงทุนตรง (Direct Investment) ใน FinTech ไทยที่มีศักยภาพ และลงทุนในกองทุน startup ทั้งในไทยและต่างประเทศ ภายใต้เงินลงทุนเริ่มต้นที่ 30 ล้านดอลลาร์ ซึ่งกรุงศรีได้มีการเจรจาและอยู่ในระหว่างการดำเนินการเรื่องการลงทุนกับสตาร์ทอัพบางรายแล้ว

สำหรับแนวทางการพัฒนาและการลงทุนในด้านเทคโนโลยี 9 ด้าน เพื่อให้บริการทางการเงินในยุคดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบและมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งประกอบด้วย

1) Artificial Intelligence and Machine Learning เพื่อพัฒนาระบบให้เกิดการเรียนรู้และจดจำ
2) Big Data/ Data Analytics เพื่อคิดและวิเคราะห์ข้อมูล สร้างโมเดลการนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสม
3) Blockchain เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและโปร่งใสในการทำธุรกรรม
4) Smart Application Programming Interface เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการที่ดีและรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์
5) Super Mobile App เพื่อรองรับการชำระเงินในรูปแบบต่าง ๆ
6) Biometric Authentication เพื่อนำเทคโนโลยีการใช้ลักษณะทางกายภาพมาใช้ในการเข้าถึงข้อมูล เพิ่มความปลอดภัย
7) Digital Lending Platform การจับมือเป็นพันธมิตรเพื่อร่วมคิดค้น เฟ้นหารูปแบบการบริการ
8) Insurance Technology การพัฒนาเพื่อให้ลูกค้าสามารถทำประกันภัยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
9) Robo-Advisor for Wealth Management การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้คำปรึกษาด้านการเงิน

สรุป

สถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคาร ซึ่งมีโปรดักส์และเซอร์วิสอยู่เป็นจำนวนมาก และที่สำคัญคือ มีฐานลูกค้าในมืออยู่มหาศาล ต้องหาทางร่วมมือกับ FinTech เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ผ่านมา SCB และ Kbank ถือว่ามีความเคลื่อนไหวมากที่สุด และตอนนี้ กรุงศรี ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว เป็นอีกธนาคารที่ FinTech ทั้งหลายน่าจับตามอง

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

from:https://brandinside.asia/open-krungsri-finnovate/