ได้อุปกรณ์ชิ้นนี้มานานแสนนานแล้วก็ใช้งานทุกวันจากแรกๆ ที่ไม่น่าสนใจอะไรเอาไว้แค่ฟังเพลงเท่านั้น แต่วันนี้ผมเริ่มหลงรัก HomePod เข้าแล้ว เพราะอะไร? ท่านจะได้ทราบจากการอ่านรีวิวนี้ครับ
รีวิว HomePod ลำโพงอัจฉริยะรุ่นแรกจาก Apple
สิ่งที่จะได้จากการอ่านรีวิวครั้งนี้
- HomePod คืออะไร? ชมสเปกพร้อมคลิปแกะกล่อง
- HomePod ทำอะไรได้บ้าง
- HomePod แตกต่างกับลำโพงบูลทูธอื่นๆ ยังไง
- คุณภาพเสียงเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
- ใช้งานยังไงและจุดเด่นที่ชอบ
- รองรับภาษาอะไรบ้าง
- ชมตัวอย่างการใช้งานจริง
- เหมาะกับใคร
- ขายที่ไหนบ้างแล้วราคาเท่าไหร่
- สรุป
ดูไปแล้วหัวข้อเยอะเนอะ เอาเป็นว่าผมจะอธิบายในตัวละห้อข้อแบบเนื้อๆ จะไม่ให้ยาวมากครับ จะได้ไม่เบื่อกันซะก่อน
1. HomePod คืออะไร? ชมสเปกพร้อมคลิปแกะกล่อง
HomePod คือ Smart Speaker หรือลำโพงอัจฉริยะหัวสมองหลักของมันคือ Siri จะคอยรับคำสั่งที่เราพูดและนำไปประมวลหาคำตอบและทำตามคำสั่ง เป็นเหมือนคนหนึ่งคนที่คอยรับฟังและพูดคุยกับเรา ซึ่งเราอาจจะเรียกเวลาผู้ช่วยส่วนตัวในบ้านก็ได้
สเปกของ HomePod
- ลำโพงอัจฉริยะที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการในตัว
- มีหน้าจอแบบสัมผัสแสดงผลโลโก้ของ Siri และเครื่องหมาย + – เพื่อเพิ่มลดเสียง ทั้งนี้หน้าจอนั้นสามารถรับคำสั่งด้วยการแตะได้
- หน่วยประมวลผลชิป A8
- ลำโพง Subwoofer ขนาด 4 นิ้ว 1 ตัว
- ลำโพง Tweeter จำนวน 6 ตัว
- ไมค์โครโฟนจำนวน 6 ตัวสำหรับการรับคำสั่ง
- มีระบบปรับเสียงในตัว
- เชื่อมต่อระบบเครือข่ายผ่าน WiFi 802.11ac และ Bluetooth 5.0
- ใช้งานได้กับ iPhone 5s และใหม่กว่า, iPad Pro, iPad (5th generation), iPad Air และใหม่กว่า, iPad mini 2 และใหม่กว่า พร้อมด้วย iPod touch (6th generation) ที่ติดตั้ง iOS 11.2.5 ขึ้นไป
- ต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการเชื่อมต่อ
- ต้องสมัคร Apple Music
- มี 2 สีให้เลือกคือ ขาวและสเปซเกรย์
แกะกล่อง HomePod
อุปกรณ์ที่มีในกล่อง HomePod คือ ลำโพง HomePod 1 ชิ้น คู่มือการใช้งานเบื้องต้นและสายไฟ AC Power Cord ที่ติดตั้งมาแล้ว ไม่แนะนำให้ถอดออกไปชมคลิปแกะกล่อง HomePod กันดูครับ
ช่วงที่ 1
ช่วงที่ 2
2. HomePod ทำอะไรได้บ้าง
เมื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน WiFi เสร็จจะทำให้ HomePod มีชีวิต Siri จะมีพลังในการทำอะไรก็ได้ (ยกเว้นการฟังเราให้รู้เรื่อง 555 ล้อเล่น) สิ่งที่ HomePod ทำได้ก็จะเหมือนๆ กับ Siri บน iPhone iPad ของเรานั่นแหละ เช่น
- ถามข้อมูลทั่วไปที่ต้องการรู้ เช่น เวลาตอนนี้เท่าไหร่, สภาพอากาศเป็นยังไง, สั่งให้ตั้งปลุก, ตั้งเวลานับถอยหลัง, สั่งให้เล่นเพลงจาก Apple Music ฯลฯ
- ทำงานร่วมกับ Apple HomeKit ในการใช้งาน Smart Home ตัวอย่างที่เห็นก็ในรีวิว Philips HUE ก็เช่น สั่งปิดไฟ สั่งเปิดไฟ สั่งเปลี่ยนสีหลอดไฟ, สั่งปลดล็อคกลอนประตูได้, สั่งปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศได้ (ทั้งนี้ต้องหาอุปกรณ์เสริมเพิ่ม)
- เป็นลำโพงไร้สายที่รองรับการส่งสัญญาณเสียงผ่าน AirPlay เช่น เราเปิดเพลงจาก JOOX Music หรือ Spotify บน iPhone แต่อยากให้เสียงออกที่ HomePod ก็สามารถทำได้โดยการส่งสัญญาณเสียงมาที่นี่
- รองรับการทำงานร่วมกับ Apple TV ได้ ถ้าอยากให้เสียงจาก Apple TV มาออกที่ HomePod ก็ทำได้เช่นกัน
3. HomePod แตกต่างกับลำโพงบูลทูธอื่นๆ ยังไง
HomePod มีซอฟต์แวร์ของตัวเองเหมือน iPhone ซึ่งอุปกรณ์นี้ต้องใช้อินเทอร์เน็ตผ่าน WiFi ในการเชื่อมต่อจึงจะใช้งานได้(ไม่มีเน็ตใช้งานไม่ได้นะ) เพราะว่า Siri ต้องเชื่อมต่อเครือข่ายตลอดเวลา ถ้าจะหวังเอามาต่อเป็นลำโพงบลูทูธธรรมดานี่หมดสิทธิ์นะครับ
ด้วยความที่มี Siri ในตัวจึงทำให้ HomePod มีความแตกต่างเพราะเราจะคุยโต้ตอบกับ HomePod ได้ สั่งการได้
HomePod ไม่มีช่องเสียบสาย AUX ไม่มีฟีเจอร์การเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธกับอุปกรณอื่นๆ และสามารถใช้งานกับอุปกรณ์ของ Apple เท่านั้น
4. คุณภาพเสียงเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ที่บ้านผมมี Smart Speaker แค่ 2 ตัวคือ HomePod กับ Google Home mini เรื่องคุณภาพเสียงยังไงก็ต้องยกให้ HomePod เป็นฝ่ายชนะ เสียงที่มีมิติทั้งสูง กลาง ต่ำ ทำได้ดีเยี่ยม จากเดิมผมจะเปิดเพลงผ่าน Soundbar แต่หลังๆ จะเปิดผ่าน HomePod ทั้งหมดเลย ด้วยความที่เสียงดี สะดวกต่อการใช้งาน เพียงนอนอยู่บนเตียงแล้วก็สั่งว่า
Hey Siri, play perfect by ed sheeran.
เพียงเท่านี้ HomePod ก็จะเปิดเพลงดังกล่าวมาให้เราฟังแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาจับ iPhone มาเปิดเลือกเพลงหรือส่งสัญญาณเสียงออกไปยังลำโพงบลูทูธให้เสียเวลา
5. ใช้งานยังไงและจุดเด่นที่ชอบและส่วนที่คิดว่าไม่ชอบ
ใช้งาน HomePod สามารถทำได้โดย สั่งการด้วยเสียงผ่าน Siri ตอนนี้รองรับภาษาอังกฤษเท่านั้น และสามารถควบคุมผ่านหน้าจอระบบสัมผัสด้านบนของ HomePod ทำได้ดังนี้
- แตะหนึ่งครั้งเพื่อเล่นหรือหยุดเพลง
- แตะ + เพื่อเพิ่มเสียงและแตะ – เพื่อลดเสียง
- แตะค้างเพื่อเรียก Siri
- แตะ 2 ครั้งติดกันเพื่อข้ามไปเล่นเพลงถัดไป (Skip)
- แตะ 3 ครั้งติดกันเพื่อไปเล่นเพลงก่อนหน้า (Back)
จุดเด่นที่ชื่นชอบใน HomePod
- เสียงดีมาก มีมิติทั้งทุ้มและแหลม ฟังเพลงได้หลายแนว สามารถสั่งให้ปรับระดับเสียงเป็น % ตามที่ต้องการได้ เช่น ตั้งไปที่ 50% 80% ก็บอกไปเลยว่า Hey siri, set volume to 50% เป็นต้น
- ไมค์ดี อันนี้ดีมาก ผมยืนที่หน้าประตูห่างจาก HomePod ประมาณ 7 เมตร ผมสามารถสั่ง Siri ได้โดยไม่ต้องตะโกน มีอยู่ครั้งนึงสั่งจากห้องเก็บเสื้อผ้า (Closet) นางยังได้ยินและทำตามที่เราบอกเลย ด้วยความที่ HomePod มีไมค์ถึง 6 ตัว ทำให้การรับเสียงนั้นทำได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับ Google Home mini ที่ผมมีอีกตัว
- ใช้งานง่ายแค่สั่งการด้วยเสียงและรองรับ AirPlay จากอุปกรณ์ต่างๆ ได้ด้วย เช่น iPhone, iPad, iPod touch, Mac และ Apple TV
- ใช้งานกับระบบ Home Automation ได้ เช่น สั่งเปิด ปิดหลอดไฟ, สั่งเปลี่ยนสีหลอดไฟหรือสั่งให้ตั้งค่าตามฉากต่างๆ ที่เราได้ตั้งเอาไว้ ทั้งนี้ต้องหาอุปกรณ์เสริมที่รองรับ Apple HomeKit มาใช้ถึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้ ผมชอบมากสุดก็ตอนสั่ง Hey siri good night แล้วไฟทุกดวงในห้องก็จะดับไป
ส่วนที่ยังคิดว่าเป็นจุดด้อย
- Siri ยังไม่ฉลาดพอเมื่อเทียบกับ Google Home หมายถึงความสามารถทำได้พื้นๆ มากซึ่งหากถามอะไรที่ซับซ้อนจะทำไม่ได้ เช่น เช็คเที่ยวบินถัดไปที่เราต้องบินก็ทำไม่ได้แต่ว่า Google Home ทำได้ ซึ่งจุดนี้ Siri ถือว่ายังตามคู่แข็งอยู่มากโข ต้องพัฒนาอีกเยอะ
- เรื่องราคาที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่หากมองในแง่คุณภาพทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ให้มาและแถมยังสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์ได้ในอนาคตก็คิดว่าคุ้มค่ากับราคา
- การใช้งานกับ 3rd party ทำได้น้อย เช่น การฟังเพลงจาก Spotify ได้โดยตรงผ่าน HomePod ซึ่งทาง Apple ควรจะเปิดกว้างมากกว่านี้ถ้าหากต้องการผลักดัน HomePod จริงๆ
- การใช้งานร่วมกับ Apple TV ยังทำไม่ได้ดีมากพอ อย่างน้อยคิดว่าควรจะทำงานร่วมกันได้ดีกว่านี้เช่น การสั่งเปิดหนังบน iTunes Store หรือว่า Netflix บน Apple TV
6. รองรับภาษาอะไรบ้าง
รองรับภาษาอังกฤษเท่านั้นยังไม่มีกำหนดว่าภาษาอื่นๆ อย่าง ภาษาไทยจะใช้งานได้เมื่อไหร่
7. ชมตัวอย่างการใช้งานจริง
8. เหมาะกับใคร
HomePod เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ Apple Music เป็นหลัก ชอบการฟังเพลง ชอบความมีสไตล์ส่วนตัวที่ไม่เหมือนใครและสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องสมาร์ทโฮมจากฝั่ง Apple ซึ่งผมมองมันสะดวกในแง่การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เหล่านั้นและแน่นอนว่า ณ เวลานี้ถ้าต้องการใช้งาน HomePod จริงๆ ภาษาอังกฤษคือสิ่งสำคัญ ถ้าคุณคุยกับ HomePod ได้เรื่อยๆ ทุกวันมันก็จะเป็นการฝึกภาษาไปในตัวด้วย
9. ขายที่ไหนบ้างแล้วราคาเท่าไหร่
เปิดขายเพียง 3 ประเทศเท่านั้นได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษและออสเตรเลียเท่านั้น ทั้งนี้ยังไม่มีกำหนดการขายในประเทศอื่นๆ ก็ต้องรอดูกันว่า Apple จะมีแผนในการปรับปรุงยังไงใน HomePod รุ่นต่อไปถ้าเกิดว่ารุ่นนี้ยังขายไม่ดีตามเป้า ซึ่งมีข่าวลือว่าอาจจะทำขนาดเล็กลงราคาถูกลงให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น
ราคา HomePod อยู่ที่ $349 USD หรือประมาณ 10,888 บาท ส่วนที่ผมซื้อจากออสเตรเลียราคาอยู่ที่ $499 AUD หรือประมาณ 12,125 บาท ยังไม่รวมค่าดำเนินการและขนส่งต่างๆ คิดเฉลี่ยก็ราวๆ 15,000 บาทครับเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย 
10. สรุป
HomePod ยังถือว่าเป็น Smart Speaker น้องใหม่ของวงการที่ทาง Apple เพิ่งส่งเข้าสู่สงคราม Smart Home Devices ทั้งนี้ HomePod ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะในแง่ความฉลาด แต่ถ้าหากถามเรื่องจุดเด่นที่พอจะเหนือคู่แข่งได้ก็คือ คุณภาพเสียงจากลำโพงที่ยอดเยี่ยมในเกรดลำโพงระดับพรีเมี่ยมซึ่งสามารถเปิดแทนเครื่องเสียงเล็กๆ ได้เลย ด้วยไมค์ที่มีมากถึง 6 ตัวทำให้แก้ปัญหา Smart Speaker ไม่ได้ยินคำสั่งที่เราสั่งไป แม้เราจะยืนอยู่ไกลๆ HomePod ก็ยังได้ยิน
ความฉลาดต้องรอว่า Apple จะอัปเดต HomePod Firmware ให้เก่งขึ้นได้เร็วเท่าไหร่ เพราะถ้ายังทำได้แค่นี้เรื่องๆ คำว่า “สมาร์ตก็คงยังห่างไกล” ต้องทำให้ได้มากกว่านี้ AI ต้องฉลาดและเรียนรู้เร็วกว่านี้ อัปเดตข้อมูลเร็วกว่านี้เพราะยังไงซะคำที่ผู้ใช้ถาม Siri นั้นมีทุกวันไม่ว่าจะผ่าน iPhone, iPad, Mac และ HomePod เอง นั่นคือฐานข้อมูลชั้นดีที่ทาง Apple ควรนำมาพัฒนาเพื่อให้ตัว Siri และ HomePod เองฉลาดมากยิ่งขึ้น
หวังว่าในอนาคตอันใกล้อุปกรณ์นี้จะรองรับหลายภาษาและจำหน่ายในหลายประเทศเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึง HomePod ได้มากยิ่งขึ้น
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
รีวิวโดย Admin Tom, iPhoneMod.net
ข้อมูลเพิ่มเติม HomePod
techfeedthai 