คลังเก็บป้ายกำกับ: TESLA

อดีตพนักงาน Tesla บอกปัญหา FSD เจออุบัติเหตุเยอะ มาจาก Elon ตัดเรดาร์ออกเพื่อลดต้นทุน

The Washington Post มีบทความวิเคราะห์ปัญหา Full Self-Driving (FSD) ของ Tesla ที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จนถูกหน่วยงานความปลอดภัยทางหลวงของสหรัฐ NHTSA สั่งให้เรียกคืน (recall) เพื่ออัพเดตซอฟต์แวร์

แหล่งข่าวของ The Washington Post มาจากการสัมภาษณ์อดีตพนักงานและผู้เกี่ยวข้องหลายราย ซึ่งพูดตรงกันว่าสาเหตุหลักมาจากการที่ Elon Musk ตัดสินใจเลิกใช้ระบบเรดาร์เพื่อลดต้นทุน เปลี่ยนมาใช้กล้องอย่างเดียว ทำให้ระบบ FSD ไม่สามารถตรวจจับวัตถุรอบรถได้ดีพอ

ข้อดีของเรดาร์คือสามารถตรวจจับวัตถุใหญ่ๆ อย่างรถไฟหรือรถบรรทุกได้เสมอ แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็ตาม แต่กล้องที่เป็นการวัดแสงเหมือนที่ตามองเห็น (vision) ต้องนำภาพไปตีความโดยหน่วยประมวลผลก่อนเสมอ ทำให้การตรวจจับผิดพลาดบ่อยครั้ง (เช่น กรณีวิ่งไปชนรถฉุกเฉินที่จอดอยู่ตรงไหล่ทาง) และเกิดอาการที่เรียกว่า “เบรกทิพย์” (phantom braking) จู่ๆ รถยนต์ก็ลดความเร็วลงเองแม้ไม่มีวัตถุใดๆ อยู่รอบรถเลย

หากดูจากสถิติ Tesla ถูกร้องเรียนเรื่องอุบัติเหตุของ FSD รวมถึง “เบรกทิพย์” เพิ่มขึ้นมากหลังออกอัพเดต FSD ที่เปลี่ยนมาใช้กล้องอย่างเดียว ผู้เชี่ยวชาญของ NHTSA ให้ความเห็นว่าสาเหตุมาจากการตัดเรดาร์ออกเป็นหลัก เพราะเรดาร์จะสามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ในระยะไกลได้ดีกว่า ถือเป็นตัวช่วยตรวจสอบความแม่นยำของกล้องอีกชั้น

นอกจากเรื่องการตัดเรดาร์เพื่อลดต้นทุนแล้ว กระบวนการพัฒนาของ Tesla ก็ยังมีปัญหาด้วย เพราะแนวทางการนำงานของ Elon Musk คือเร่งพัฒนาเทคโนโลยี แล้วนำไปให้ผู้คนลองใช้งานก่อนเทคโนโลยีมีความพร้อม ในอีกด้าน Elon ก็ขยันโพสต์โฆษณาว่าเกือบทำสำเร็จแล้ว ทั้งที่จริงๆ งานยังไม่คืบหน้าไปจากเดิมสักเท่าไร แถมวัฒนธรรมองค์กรที่ “Elon เป็นใหญ่” ทำให้พนักงานที่กล้าเถียงมักโดนไล่ออก

John Bernal อดีตพนักงานทดสอบ FSD ที่ถูกไล่ออกในปี 2022 ให้ความเห็นว่า เดิมที Elon ก็ทำงานแบบนี้มานานแล้ว แต่ไปเล่าใครก็ไม่มีใครเชื่อ จนกระทั่ง Elon มาบริหาร Twitter คนถึงได้รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร และผลงานของ Elon ที่ Twitter เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของที่ Tesla เท่านั้น ในบทความยังพูดถึงบริษัท Tesla ติดตั้งซอฟต์แวร์มอนิเตอร์การทำงานของพนักงานแปะป้ายให้ภาพ (image labeling) เพื่อเตรียมข้อมูลก่อนเทรนโมเดล หากพนักงานไม่ขยับเมาส์ตามระยะเวลาที่กำหนดจะถือว่าอู้งาน และมีบทลงโทษตามมา

แนวทางการทำงานของ Elon ยังพยายามรวมทีมวิศวกรซูเปอร์สตาร์เข้าด้วยกัน ให้ทำงานหนัก และเขาเป็นผู้ทดสอบซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดด้วยตัวเอง แล้วทำ “รายการแก้ไข” (fix-it requests) ส่งกลับไปยังทีมวิศวกร แนวทางนี้อาจช่วยให้ระบบดูคืบหน้า แต่เอาจริงเป็นการปะผุ อุดรอยรั่วโดยไม่มีแผนยุทธศาสตร์ภาพใหญ่ ต่างจากแนวทางของคู่แข่งอย่าง Waymo ที่มีโปรโตคอลการทดสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดกว่า ยังไม่รวมถึงเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ที่ใช้ทั้ง radar/lidar คู่ไปกับกล้องด้วย

ตัวอย่างหนึ่งของการปะผุของ Tesla คือในปี 2021 มียูทูบเบอร์ช่อง Tesla Raj ลองนำรถไปขับบนถนนซิกแซก Lombard Street ที่โด่งดังของเมืองซานฟรานซิสโก ปรากฎว่ารถยนต์ Tesla มีปัญหา เหตุการณ์จากคลิปนี้ทำให้วิศวกรของ Tesla “ออกแพตช์แก้” สร้างบาเรียที่มองไม่เห็นมาป้องกันไม่ให้รถไปชนขอบถนน Lombard Street

อดีตผู้บริหาร Tesla รายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าการแก้บั๊กตามคำสั่งของ Elon เปรียบเสมือนโดนเสือวิ่งไล่ ซึ่งคนที่โดนเสือวิ่งไล่ไม่มีทางนำเสนอทางแก้ดีๆ ในระยะยาวได้หรอก

การที่ Elon หันไปสนใจเรื่อง Twitter ยังทำให้เขาให้ความสำคัญกับ Tesla น้อยลงตามไปด้วย วิศวกรของ Tesla จำนวนมากถูกโยกไปทำงานให้ Twitter แทน ผลคือกระบวนการพัฒนาช้าลง อัพเดตที่เคยออกทุกสองสัปดาห์ ยืดเวลากลายมาเป็นหลักเดือนแทน พนักงานบางคนเลือกลาออกไปอยู่กับ Waymo เพราะ “อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่ารถหยุดที่ป้ายหยุดจริงๆ หรือเปล่า”

ลูกค้าที่จ่ายเงินซื้อระบบ FSD ในราคาแพง 15,000 ดอลลาร์ ก็ไม่พอใจที่ Tesla ไม่สามารถทำได้อย่างที่ Elon เคยสัญญาไว้ ลูกค้ารายหนึ่งที่เป็นเจ้าของ Model Y บอกว่าคนซื้อ FSD คาดหวังว่าตอนนี้รถยนต์ของตัวเองควรขับได้เองเป็น robotaxi ได้แล้ว แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่แบบนั้น

ที่มา – The Washington Post

from:https://www.blognone.com/node/133086

Advertisement

Volkswagen เปิดตัว ID 2all รถยนต์ไฟฟ้าล้วน 5 ประตู ราคาประหยัด เริ่มเพียง 9.31 แสนบาท

Volkswagen ประกาศเปิดตัว ID 2all รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นต้นแบบราคาประหยัด เริ่มเพียง 27,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9.31 แสนบาท มี 5 ประตู วิ่งได้ไกล 450 กม. แข่งกันด้วยราคากับ Tesla และแบรนด์อื่น

Volkswagen

Volkswagen เปิดตัว ID 2all

ต่อเนื่องจากการประกาศลงทุนกว่า 200 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6,900 ล้านบาท ตลอด 5 ปีหลังจากนี้เพื่อยกระดับการพัฒนา และผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ทาง Volkswagen ได้ประกาศเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นต้นแบบในชื่อ ID 2all โดยเบื้องต้นจะมีความเอนกประสงค์เหมือนกับรุ่นยอดนิยมอย่าง Golf และมีราคาคุ้มค่าเหมือนรุ่น Polo

ID 2all ถูกวางไว้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนระดับเริ่มต้น เพื่อทำให้ Volkswagen แข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนกับคู่แข่งอย่าง Tesla และแบรนด์อื่น ๆ ในตลาดได้ดีขึ้น ต่อยอดจากบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มประเทศยุโรปเมื่อปี 2022 ผ่านยอดส่งมอบ 5.7 แสนคัน

คุณสมบัติเบื้องต้นของ ID 2all เบื้องต้นคือ วิ่งได้ไกล 450 กม. หลังชาร์จเต็ม และพัฒนาบนโครงสร้าง MEB ที่ Volkswagen จะใช้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าล้วนในเครือหลังจากนี้ และเตรียมขึ้นไลน์ผลิตเพื่อทำตลาดในกลุ่มประเทศยุโรปภายในปี 2025 พร้อมเป้าหมายตั้งราคาจำหน่ายต่ำกว่า 27,000 ดอลลาร์ หรือราว 9.31 แสนบาท

Volkswagen ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ทั่วโลก 1 ใน 5 คัน ต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนภายในปี 2025 และการไปถึงเป้าหมายดังกล่าว บริษัทเตรียมทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนกว่า 10 รุ่น ภายในปี 2026 โดยหลังจากนี้จะมีทั้งรุ่น ID. 3 ที่ปรับโฉมใหม่, รถตู้ ID. Buzz และ SUV รุ่น ID. 7 ทยอยทำตลาดหลังจากนี้

อ้างอิง // Volkswagen, Electrek

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Volkswagen เปิดตัว ID 2all รถยนต์ไฟฟ้าล้วน 5 ประตู ราคาประหยัด เริ่มเพียง 9.31 แสนบาท first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/volkswagen-id-2all/

Elon Musk เผย Tesla Master Plan ตอนที่ 3 โลกต้องเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล มุ่งสู่พลังงานยั่งยืน

ผู้ติดตาม Tesla ช่วงหลังอาจไม่ทราบว่าในยุคแรก Elon Musk ได้เขียน “Master Plan” หรือแผนระยะยาวของบริษัท Tesla ไว้ 2 ตอน ซึ่งตอนแรกเขียนไว้เกือบ 20 ปีแล้ว ส่วนตอนที่สองเขียนเมื่อกลางปี 2016 และล่าสุดที่งาน Investor Day เช้าวันนี้ได้กล่าวถึงตอนที่สาม

ผมจะสรุปแผนตอนที่หนึ่งและสองให้คร่าวๆ ดังนี้

แผนตอนที่ 1

  1. ผลิตรถยนต์จำนวนน้อยๆ และขายแพง (Tesla Roadster รุ่นแรกสุดปี 2008)
  2. ใช้เงินที่ได้จากข้อ 1 มาพัฒนารถยนต์ที่จะขายได้มากขึ้น และราคาถูกลง (Tesla Model S, Model X)
  3. ใช้เงินที่ได้จากข้อ 2 มาพัฒนารถยนต์ที่จะผลิตได้จำนวนมาก และคนส่วนใหญ่สามารถซื้อได้ (Tesla Model 3)
  4. ให้บริการด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (SolarCity)

แผนตอนที่ 2

  1. รวมบริษัท Tesla และ SolarCity เข้าด้วยกันเพื่อให้บริการด้านการผลิตและจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ครบวงจร
  2. ขยายบริษัทไปทำรถภาคอุตสาหกรรม (Tesla Semi)
  3. ทำรถยนต์ไร้คนขับ (Autopilot/Full-Self Driving)
  4. ปล่อยรถยนต์ออกไปวิ่งรับงานเพื่อสร้างรายได้ให้เจ้าของตอนที่ไม่ได้ใช้รถ (Robotaxi)

หากสนใจอ่านรายละเอียดเต็มๆ เราเคยลงบทความอธิบายแผนทั้ง 2 ตอนไว้แล้ว (แผนตอนที่ 1, แผนตอนที่ 2)

alt="e35BH1.png"

สำหรับแผนตอนที่ 3 Elon ได้ขึ้นเวทีร่วมกับ Drew Baglino ผู้บริหารด้านระบบขับเคลื่อนและวิศวกรรมพลังงานของ Tesla (เขาอยู่ที่ Tesla มานานถึง 17 ปีแล้ว) อธิบายว่าปัจจุบันพลังงานที่ใช้ในโลก 80% มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และเชื้อเพลิงก็เปลี่ยนเป็นพลังงานที่ใช้งานได้เพียง 1 ใน 3 นอกนั้นกลายเป็นความร้อนทิ้งไป ซึ่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแล้วเปลี่ยนไปสู่ยุคพลังงานที่ยั่งยืนนั้นทำได้จริง และ Elon ย้ำว่าเศรษฐกิจพลังงานไฟฟ้า (Electrified Economy) จะต้องทำเหมืองน้อยกว่าปัจจุบัน ไม่ใช่มากกว่า โดยแผนนี้แบ่งออกเป็น 5 ขั้นดังนี้

1. เปลี่ยนการจ่ายไฟฟ้ามาใช้แหล่งพลังงานยั่งยืน

alt="e35kgD.png"

การเปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานยั่งยืนคือการใช้ระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าราว 24 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง (24 TWh) รวมไปถึงการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์และลมให้ได้ราว 10 ล้านล้านวัตต์ (10 TW) ใช้เงินลงทุนราว 0.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากทำได้ จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปได้ราว 35% เลยทีเดียว

2. เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า

alt="e353C9.png"

การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องผลิตแบตเตอรี่และระบบจัดเก็บพลังงานให้ได้ราว 115 ล้านล้านวัตต์ชั่วโมง, ต้องผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลมให้ได้ 4 ล้านล้านวัตต์ ใช้เงินลงทุนราว 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีก 21%

alt="e359FJ.png"

นอกจากนี้ยังประเมินว่าจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าของทั้งโลกจะมีรถยนต์ราคาแพง (แบบ Model S, X) ราว 40 ล้านคัน, รถยนต์กลางๆ (Model 3, Y) 380 ล้านคัน, หัวลากรถบรรทุก 20 ล้านคัน, รถอเนกประสงค์ (Cybertruck) 300 ล้านคัน และรถในยุคถัดไปอีก 700 ล้านคัน

ทั้งสองคนเปรียบเทียบให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla Model 3 ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า Toyota Corolla ถึง 4 เท่า หรือยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อน Model 3 ให้ได้ 1 ไมล์นั้นเท่าๆ กับพลังงานที่ใช้ต้มน้ำ 1 หม้อเท่านั้นเอง

3. บ้านเรือน, ธุรกิจ และอุตสาหกรรม ต้องเปลี่ยนไปใช้ฮีทปั๊ม

e35wof.png

บ้านเรือนในเมืองหนาวต้องมีฮีทเตอร์ที่ปกติมักจะใช้ก๊าซในการเปลี่ยนเป็นความร้อน รวมไปถึงโรงงานต่างๆ ที่ต้องใช้ความร้อนในการผลิต ต้องเปลี่ยนมาใช้ฮีทปั๊มหรือปั๊มความร้อนแทน เนื่องจากมันใช้ไฟฟ้าและมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงฮีทปั๊มไม่ได้เปลี่ยนพลังงานเป็นความร้อนโดยตรง แต่ใช้การนำอากาศภายนอกเข้ามาแยกความร้อนออก จากนั้นก็ผ่านคอมเพรสเซอร์ให้ร้อนยิ่งขึ้นก่อนจะนำไปใช้งานต่อ เช่นให้ความอบอุ่น หรือต้มน้ำ ส่วนอากาศเย็นที่แยกออกก็นำไปใช้งานอื่นได้อีก

หากทำขั้นนี้ได้ โลกจะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้อีก 22%

4. เปลี่ยนเครื่องจักรที่สร้างความร้อนสูงไปใช้ไฟฟ้า และใช้ไฮโดรเจนแทนถ่านหิน

alt="e351Ga.png"

สำหรับอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรผลิตความร้อนสูงมากๆ (มากกว่า 400 องศาเซลเซียส) ก็ต้องหาวิธีเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าแต่ปัญหาคือลมและแสงอาทิตย์ไม่ได้มีตลอดจึงต้องทำระบบกักเก็บความร้อนไว้ด้วยเพื่อให้มีพลังงานใช้ตลอดเวลา ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กก็สามารถใช้ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ซึ่งเป็นไฮโดรเจนที่สร้างจากพลังงานหมุนเวียนอีกที มาแทนถ่านหินในขั้นตอนการถลุงเหล็กในสภาพของแข็ง (Direct Reduction Process)

หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 17%

5. เปลี่ยนเรือและเครื่องบินไปใช้พลังงานยั่งยืน

e35c5z.png

Elon Musk กล่าวว่าการเปลี่ยนเรือและเครื่องบินไปใช้ไฟฟ้านั้นทำได้ แต่ไม่ใช่แค่เอาเครื่องออกแล้วยัดแบตเตอรี่เข้าไป แต่ต้องออกแบบใหม่หมด เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องออกแบบใหม่ให้แบตเตอรี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างรถ ไม่ใช่แค่สลับเอาเครื่องออก ส่วนเครื่องบินระยะสั้นก็แน่นอนว่าทำได้ง่ายกว่า แต่เครื่องบินทางไกลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หากทำได้จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ 5 %

เมื่อรวมตัวเลขของทั้ง 5 ขั้นเข้าด้วยกัน โลกเราจะสามารถเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลได้ทั้งหมด กล่าวคือต้องผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์กับลมให้ได้มากขึ้น 3 เท่าจากปัจจุบัน, ผลิตแบตเตอรี่มากขึ้น 29 เท่าจากปัจจุบัน และผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น 11 เท่าจากปัจจุบัน หากทำได้ตามนี้ภายในปี 2030 โลกเราจะอยู่ด้วยพลังงานยั่งยืนได้ภายในปี 2050

alt="e35gH8.png"

ส่วนการทำเหมืองปัจจุบันมีการขุดแร่ออกมาปีละ 68,000 ตัน ใช้ไปในการเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลราว 18,000 ตัน แต่หากเราอยู่ในยุคเศรษฐกิจพลังงานไฟฟ้าจะเหลือส่วนนี้เพียง 4,000 ตันต่อปีเท่านั้น

alt="e35RSR.png"ภาพแสดงการขุดแร่ออกมาจากโลกในปัจจุบัน

alt="e35xi0.png"ภาพแสดงการขุดแร่ออกมาจากโลก เพื่อไปใช้เป็นพลังงานยั่งยืน

สรุปคือ Tesla พยายามบอกว่าการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ทำได้ แต่ยังถูกกว่าการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลอีกด้วย สำหรับใครที่คิดว่าข้อมูลนี้ดูเป็นภาพกว้างมากๆ ก็รออีกสักนิด เพราะ Elon Musk บอกว่าจะปล่อย whitepaper ออกมาให้อ่านกันอย่างละเอียดหลังจากนี้

สุดท้าย Elon Musk กล่าวสรุปว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดเกิดจากการคำนวณและหลักการทางฟิสิกส์ ไม่ได้มโนขึ้นมาเอง และโลกนี้จะเปลี่ยนไปสู่ยุคพลังงานยั่งยืนอย่างแน่นอน และจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราด้วย

e35h7y.png

ที่มา – YouTube: Tesla Investor Day (นาที 31:18 ถึง 58:03)

from:https://www.blognone.com/node/132866

Tesla เตรียมผลิตมอเตอร์แม่เหล็กถาวรรุ่นใหม่ ไม่ใช้แร่โลหะหายากแล้ว

Tesla ประกาศที่งาน Investor Day ว่าบริษัทจะผลิตมอเตอร์แม่เหล็กถาวรรุ่นใหม่แบบไม่ใช้แร่โลหะหายาก (rare-earth elements) แล้ว

ปัจจุบันการผลิตมอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้าต้องใช้แร่โลหะหายากอย่าง Neodymium และมักผสมแร่หายากอื่นเช่น Dysprosium และ Terbium เข้าไปด้วยในแม่เหล็ก Neodymium

Tesla ระบุว่าตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2022 บริษัทได้ลดการใช้แร่หายากลง 25% และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนได้พร้อมกัน แต่ล่าสุดก็ประกาศว่าจะไม่ใช้แร่หายากในการผลิตมอเตอร์แล้ว โดยในสไลด์ของ Tesla ไม่ได้ระบุชื่อของแร่หายากที่ใช้ แต่ระบุว่าปัจจุบันใช้แร่ 3 ชนิดคือแร่ 1, 2 และ 3 โดยใช้เป็นจำนวนราว 500, 10 และ 10 กรัม ตามลำดับ

ทั้งนี้ Tesla ไม่ได้ระบุว่าการพัฒนามอเตอร์รุ่นใหม่อยู่ในขั้นไหนแล้ว หรือจะเริ่มนำมาใช้งานจริงเมื่อใด

ที่มา – Electrek

No Descriptionจำนวนแร่โลหะหายากที่ใช้ในมอเตอร์ของ Tesla Model Y ในปัจจุบัน

No DescriptionTesla จะลดจำนวนแร่โลหะหายากเหลือ 0 กรัม ในมอเตอร์รุ่นใหม่

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/132860

Tesla ตั้งเป้าผลิตรถปีละ 20 ล้านคัน, เตรียมสร้างโรงงาน Gigafactory ที่ประเทศเม็กซิโก

Tesla ประกาศระหว่างงาน Investor Day ว่าจะตั้งโรงงาน Gigafactory ที่ประเทศเม็กซิโก นับเป็น Gigafactory แห่งที่ 6 แล้ว และเป็นแห่งที่ 3 นอกสหรัฐอเมริกา

Giga Mexico จะตั้งอยู่ที่เมือง Santa Catarina รัฐ Nuevo Leon ซึ่งอยู่ติดชายแดนรัฐ Texas ของสหรัฐอเมริกา ห่างจากสำนักงานใหญ่ของ Tesla ราว 400 ไมล์ (640 กม.)

ปัจจุบัน Tesla มีกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ราว 2 ล้านคันต่อปีจาก 4 โรงงาน (Fremont, เซี่ยงไฮ้, Texas และ Berlin) แต่ตั้งเป้าว่าจะผลิตให้ได้ถึง 20 ล้านคันต่อปี (ถ้าจะเทียบให้เห็นภาพ ปี 2022 Toyota ส่งมอบรถได้ 10 ล้านกว่าคัน) จึงต้องสร้างโรงงานเพิ่มอีกมาก คาดว่าต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลราว 1.5 ถึง 1.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Zachary Kirkhorn ซีเอฟโอของ Tesla กล่าวว่ามันอาจจะฟังดูเป็นการลงทุนที่เยอะ แต่จริงๆ แล้วเล็กน้อยมากหากเทียบกับเป้าหมายที่วางไว้

นอกจากนี้ Tesla ยังประกาศว่าบริษัทได้ผลิตรถยนต์คันที่ 4 ล้านไปเมื่อวานนี้

alt="ek5hxE.jpg"ภาพเรนเดอร์ Gigafactory Mexico

ที่มา – CNN

from:https://www.blognone.com/node/132859

Tesla เตรียมลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ลงครึ่งหนึ่ง พร้อมเปิดโรงงานเพิ่มที่เม็กซิโก

Tesla ประกาศแผนลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ลงครึ่งหนึ่ง หวังจับลูกค้าหมู่มาก แต่ยังไม่เผยราคา และรายละเอียดของรุ่นดังกล่าว พร้อมเผยแผนการเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่เม็กซิโก ดันกำลังผลิตแตะ 20 ล้านคัน/ปี

Tesla

Tesla เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2023 สื่อต่างประเทศต่างรายงานเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ Tesla ที่มากับขนาดตัวรถที่เล็กลง และราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น โดยคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าวจะถูกเปิดเผยรายละเอียดในงานพบปะนักลงทุนของ Tesla ในวันที่ 1 มี.ค. 2023 ตามเวลาสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตามในงานดังกล่าวกลับไม่มีรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ มีเพียงทีมวิศวกรของ Tesla ที่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่จะประหยัดต้นทุนครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Model 3 และ Model Y ในปัจจุบัน

การผลิตดังกล่าวมีชื่อเบื้องต้นว่า Unboxed ที่ลดความซ้ำซ้อน และระยะเวลาในการประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังนำข้อมูลการใช้งานของลูกค้ามาวิเคราะห์การออกแบบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เช่น ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Tesla ไม่ได้ใช้งาน Sun Roof ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคจะไม่มีการติดตั้งชิ้นส่วนดังกล่าว เป็นต้น

เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 20 ล้านคัน/ปี

ปัจจุบัน Tesla มีกำลังการผลิตทั่วโลกที่ 2 ล้านคัน/ปี ผ่านโรงงานในสหรัฐอเมริกา, เยอรมนี และจีน แต่ภายในปี 2030 บริษัทต้องการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 20 ล้านคัน/ปี ซึ่ง Zach Kirkhorn ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน ของ Tesla แจ้งว่า บริษัทต้องลงทุนมากกว่าเดิม 6 เท่า หรือคิดเป็นเม็ดเงินกว่า 1.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว Tesla ประกาศแผนเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่เม็กซิโกมูลค่ากว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ มีการจ้างงานกว่า 6,000 ตำแหน่ง และอาจเพิ่มมากกว่านี้เพราะปกติโรงงานแต่ละแห่งของ Tesla จะมีคนทำงานราว 10,000 ตำแหน่ง

ทั้งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่เข้าถึงได้ง่าย และการเปิดโรงงานเพิ่ม คือส่วนหนึ่งของแผนในการบุกตลาดคนหมู่มาก หรือ Mass Market ของ Tesla เพื่อเติบโตได้มากกว่าเดิมในอนาคต โดยปัจจุบัน Tesla ทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 4 รุ่น และทุกรุ่นมีราคาค่อนข้างสูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าคู่แข่งในตลาด

ต้องมีรถยนต์ไฟฟ้า 10 รุ่นถ้าจะบุกตลาด Mass

Elon Musk ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tesla ยอมรับว่า การบุก Mass Market บริษัทจำเป็นต้องมีรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 10 รุ่น เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในภูมิภาคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การเติบโตนั้นต้องควบคู่ไปกับการรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยบริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาแบตเตอรี่เทคโนโลยีใหม่ที่มอบความยั่งยืนกับโลกได้ดีขึ้น

ทั้งนี้จากการไม่มีรายละเอียดรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ รวมถึงเป้าหมายด้านการเงิน ทำให้มูลค่าหุ้นของ Tesla ลดลง 5% ทันทีหลังงานพบปะนักลงทุนเสร็จสิ้น แต่ถึงอย่างไรมูลค่าหุ้นของ Tesla ฟื้นตัวกลับมา 60% ของช่วงสูงสุดในเดือน พ.ย. 2021

หากเปรียบเทียบกับแบรนด์คู่แข่งขันในตลาด Toyota ผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของโลกในแง่จำนวน มีการจำหน่ายรถยนต์รุ่น Corolla ทั่วโลกเฉลี่ยกว่า 1 ล้านคัน/ปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่ Tesla จะสามารถจำหน่ายรถยนต์เพียงรุ่นเดียวได้จำนวนมากขนาดนี้ได้ตามเป้าหมายในปี 2030

สรุป

ถึงจะไม่มีอะไรใหม่ แต่การเปิดโรงงานเพิ่มแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนในการบุก Mass Market ของ Tesla ยิ่งตัวบริษัทมีความได้เปรียบเรื่องเทคโนโลยีในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้คู่แข่งไม่สามารถประมาทการเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้ และต้องติดตามกันว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของ Tesla จะเขย่าตลาดได้มากแค่ไหน

อ้างอิง // Reuters 1, 2

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Tesla เตรียมลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ลงครึ่งหนึ่ง พร้อมเปิดโรงงานเพิ่มที่เม็กซิโก first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/tesla-2023-business-plan/

Automotive News รายงาน: วิศวกร Toyota นิยาม Model Y ว่า งานศิลปะ พร้อมยกเครื่องการผลิต EV

Automotive News รายงานว่า ทีมวิศวกรของ Toyota นิยามการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนของ Tesla รุ่น Model Y คืองานศิลปะ และเตรียมนับหนึ่งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนอีกรอบ หลังไม่พอใจแพลตฟอร์ม e-TNGA ที่ใช้อยู่

Toyota

Toyota กับการกลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง

Toyota ยังวนเวียนกับการกลับมาทบทวนการผลิต และพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า เพราะล่าสุดสำนักข่าว Automotive News รายงานว่า วิศวกร Toyota ได้นำรถยนต์ไฟฟ้าล้วนของ Tesla รุ่น Model Y มาถอดประกอบเพื่อศึกษาคู่แข่ง และเตรียมพร้อมสำหรับข้อมูลในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าหลังจากนี้

วิศวกรรายหนึ่งของ Toyota ได้ออกมายอมรับตรง ๆ ว่า Model Y ของ Tesla คือ Work of Art หรือ งานศิลปะ เพราะการผลิต Model Y ด้วยเทคโนโลยี Giga-Press ที่แบ่งโครงสร้างหลักของตัวรถยนต์ไฟฟ้าเป็น 2 ส่วน ช่วยลดน้ำหนัก และชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้ รวมถึงชุดแบตเตอรี่ยังเป็นหนึ่งในโครงสร้างของตัวรถเช่นกัน

ปัจจัยทั้งหมดนี้ช่วยให้ Model Y มีระยะในการวิ่งที่ไกลขึ้น ทั้งยังใส่การใช้งานใหม่ ๆ ได้ เช่น กระโปรงหน้าเก็บของ หรือ Frunk ต่างกับ e-TNGA ที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่ปี 2015 และเบื้องต้นถูกวางไว้ให้ใช้กับรถยนต์น้ำมัน และรถยนต์ Hybrid จึงไม่สามารถรีดประสิทธิภาพได้เต็มที่เมื่อเทียบกับโครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าล้วน

เมื่อทีมวิศวกร และผู้บริหารไม่พึงพอใจกับ e-TNGA ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่น bZ4X, bZ3 และ Lexus RZ ทำให้พวกเขา และ Koji Sato CEO ใหม่ของ Toyota ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า กลายเป็นความล่าช้ากว่าเดิมเมื่อเทียบกับผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์อื่นเดินนำไปหลายก้าวแล้ว

วิศวกรรายหนึ่งกล่าวย้ำว่า ถึงจะช้า แต่ยังคงคุณภาพของ Toyota ไว้เช่นเดิม อาทิ ถ้า BYD ทดสอบการใช้งานแบตเตอรี่ 1 แสน กม. Toyota จะทดสอบที่ระยะ 2 แสน กม. และบริษัทไม่ได้วางแผนรถยนต์ไฟฟ้าแค่ระยะ 5 ปี แต่มองไปถึง 20 ปี รวมถึงเตรียมความพร้อมเรื่องวัตถุดิบการผลิตแบตเตอรี่ด้วยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการผลิตในอนาคต

สรุป

Toyota ขึ้นชื่อเรื่องความคุ้มค่า และความคงทนของตัวรถยนต์น้ำมัน ซึ่งทีมวิศวกร และผู้บริหารต้องการคงเรื่องนี้ไว้อยู่ ทำให้พวกเขายอมรับว่าถึงจะช้า แต่รถที่ออกมายังมีคุณภาพของ Toyota เช่นเดิม ซึ่งก็น่าสนใจว่าถ้าช้าขนาดนี้ Toyota จะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปมากเท่าไร และเมื่อไร Toyota จะแข็งแกร่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเสียที

อ้างอิง // Autoblog

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Automotive News รายงาน: วิศวกร Toyota นิยาม Model Y ว่า งานศิลปะ พร้อมยกเครื่องการผลิต EV first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/toyota-ev-production-report/

Tesla หยุดปล่อย Full Self Driving เพิ่ม หลังเรียกรถกว่าสามแสนคันให้มาอัพเดตแพตช์

หลังจาก Tesla ประกาศเรียกรถที่เปิดฟีเจอร์ Full Self Driving (FSD) Beta ให้มาอัพเดตแพตช์เนื่องจากรถมีพฤติกรรมอันตรายในหลายกรณี ตอนนี้ Tesla ก็ทำเว็บประกาศข้อมูลเพิ่มเติม โดยระบุว่าจะหยุดปล่อย FSD Beta ให้กับผู้ใช้เพิ่มเติม

ฟีเจอร์ FSD เป็นฟีเจอร์ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมตอนซื้อรถ Tesla โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ 15,000 ดอลลาร์หรือประมาณห้าแสนบาท โดย FSD เป็นรถอัตโนมัติระดับ 2 ที่สามารถควบคุมพวงมาลัยพร้อมกับเร่งหรือเบรกรถได้ แต่ผู้ใช้ต้องพร้อมควบคุมรถตลอดเวลา

ประกาศของ Tesla ยืนยันว่าผู้ที่ได้ใช้ FSD Beta แล้วจะได้ใช้งานต่อไปแม้จะอัพเดตเฟิร์มแวร์ไม่มีการถอนฟีเจอร์ออก

ที่มา – Tesla

Topics: 

from:https://www.blognone.com/node/132810

Twitter ปลดพนักงานเพิ่ม 200 คน คิดเป็น 10% ของบริษัท อ้างอิงแหล่งข่าว New York Times

สำนักข่าว New York Times อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าว ว่า Twitter ได้ปลดพนักงาน 200 คน หรือ 10% ของพนักงานทั้งหมด ถือเป็นการปลดพนักงานรอบล่าสุดหลัง Elon Musk ซื้อกิจการสำเร็จเมื่อเดือน ต.ค. 2022

Twitter

Twitter ยังปลดพนักงานต่อเนื่อง

การปลดพนักงานครั้งนี้มีตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบคือ Product Manager, Data Scientist และกลุ่มวิศวกรคอมพิวเตอร์ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่อง Machine Learning กับ Site Reliability ซึ่งคนกลุ่มดังกล่าวค่อนข้างสำคัญ เพราะเป็นคนที่ดูแลให้บริการต่าง ๆ ของ Twitter ยังทำงานอยู่ได้

Elon Musk ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tesla และ Twitter แจ้งเมื่อเดือน ม.ค. 2023 ว่า Twitter มีพนักงานราว 2,300 คนที่ทำงานอยู่ ส่วนการปลดพนักงานครั้งนี้ตามหลังการปลดพนักงานครั้งใหญ่กว่า 3,700 คน เมื่อเดือน พ.ย. 2022 หลังจากเขาทุ่มเงินกว่า 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อกิจการ Twitter

ทั้งนี้ Twitter ประสบกับปัญหารายได้ลดลงอย่างหนักนับตั้งแต่ถูก Elon Musk ซื้อกิจการ เนื่องจากแบรนด์ และเอเจนซี่ ต่างลดการลงโฆษณาใน Twitter โดยอ้างเรื่องการจัดการเนื้อหารุนแรงบนแพลตฟอร์ม ในทางกลับกัน Twitter มีการเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ เช่น การจำหน่ายแพ็กเกจ Twitter Blue เป็นต้น

นอกจากนี้ Twitter ยังเริ่มแบ่งรายได้จากโฆษณาให้กับ Content Creator บางรายในแพลตฟอร์มเพื่อเติบโตไปด้วยกัน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยสัดส่วนในการแบ่งเม็ดเงินดังกล่าว และถึงอย่างไร สำนักข่าว Reuters มีการสอบถาม Twitter ถึงเรื่องการปลดพนักงาน แต่ทางบริษัทไม่มีการให้คำอธิบายใด ๆ

สรุป

Twitter และบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ยังปลดพนักงานอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมต้นทุนในการดำเนินกิจการ แต่ในกรณีของ Twitter ยังไม่มีความแน่นอนว่าจะมีการปลดพนักงานหลังจากนี้อีกหรือไม่ เพราะนับตั้งแต่ Elon Musk เข้ามาควบคุมกิจการ ก็ไม่มีความแน่นอนใด ๆ ในบริษัทเลย

อ้างอิง // Reuters

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Twitter ปลดพนักงานเพิ่ม 200 คน คิดเป็น 10% ของบริษัท อ้างอิงแหล่งข่าว New York Times first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/twitter-latest-lay-off/

Nissan เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 27 รุ่น เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน 19 รุ่น ภายในปี 2030

Nissan แจ้งอย่างเป็นทางการว่า บริษัทได้ยกระดับเป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น พร้อมกับเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา เพื่อแข่งขันกับ Tesla และผู้เล่นในตลาดอื่น ๆ ได้ดีกว่าเดิม

Nissan

Nissan จากผู้บุกเบิกสู่ผู้ตาม

Nissan คือแบรนด์รถยนต์กลุ่มแรกที่เริ่มจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนอย่างเป็นทางการ มีรุ่น Leaf ที่เปิดตัวเมื่อปี 2010 เป็นเรือธง โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าวมียอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกมากกว่า 5 แสนคัน แต่ปัจจุบันการแข่งขันของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเข้มข้นขึ้น ทำให้ Nissan จะเดินเกมแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป

ล่าสุด Nissan ประกาศเพิ่มเป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบบต่าง ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าล้วน และรถยนต์ไฟฟ้า E-Power เป็นสัดส่วนยอดขาย 55% ของบริษัทภายในปีงบประมาณ 2030 มากกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 50% โดย Nissan จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าแบบต่าง ๆ 27 รุ่นภายในปีดังกล่าว และ 19 รุ่น จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน

ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่จะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าแบบต่าง ๆ 23 รุ่น และเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน 15 รุ่น นอกจากนี้ Nissan เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตระบบส่งกำลังของรถยนต์ไฟฟ้าในโรงงานที่สหรัฐอเมริกาเพื่อยกระดับการผลิตให้เป็นไปตามร่างกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อที่มีการสนับสนุนให้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน Nissan ทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วน 4 รุ่นคือ Nissan Ariya รถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ SUV, Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบ Hatchback, Nissan Sylphy รถยนต์ไฟฟ้าล้วนแบบเก๋ง 4 ประตู (ขายในจีนเท่านั้น) และ Nissan Sakura รถยนต์ไฟฟ้าล้วนขนาดเล็ก (ขายในญี่ปุ่นเท่านั้น)

สรุป

จากผู้บุกเบิกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้ทั่วโลกรู้จัก แถมเป็นผู้นำทั้งในแง่ตัวเลข และการรับรู้ แต่ปัจจุบัน Nissan อาจไม่ได้อยู่ในใจผู้บริโภคอีกแล้วเมื่อนึกถึงรถยนต์ไฟฟ้า เพราะมีทั้ง Tesla รวมถึงแบรนด์จีนต่าง ๆ และแบรนด์ดั้งเดิมเริ่มให้ความสำคัญกับตลาดนี้ และถ้า Nissan ยังยึดติดความสำเร็จเดิม ๆ ก็คงเติบโตได้ยาก

อ้างอิง // Reuters

อ่านเพิ่มเติม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post Nissan เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 27 รุ่น เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน 19 รุ่น ภายในปี 2030 first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/nissan-ev-plan-2030/