คลังเก็บป้ายกำกับ: SSD_PCIE

รีวิว HyperX Alloy Origins PBT 2023 และ Pulsefire Mat RGB สวยเร้าใจ ไฟ RGB ปรับแต่งสนุก

HyperX Alloy Origins PBT 2023 เล่นเกมสนุก ทนทาน ปรับแต่งง่าย คีย์ไทย ไฟ RGB เล่นได้ทุกเกม

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT จัดเป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ด RGB ในสายของ Alloy ที่ได้รับการพัฒนามาต่อเนื่อง จากรุ่นพี่ที่เป็น Alloy Origins ก่อนหน้านี้ ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก กับเอกลักษณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ใส่ฟีเจอร์มาแน่น กับคีย์สวิทช์เฉพาะของทาง HyperX และแสงไฟ RGB ที่ปรับแต่งได้สวยสดใส และในรุ่นใหม่นี้ ทาง HyperX เพิ่มปุ่มที่เป็นภาษาไทย ยิงเลเซอร์มาให้พร้อมใช้ เอาใจเกมเมอร์คนไทย ที่บางครั้งก็ต้องใช้ในการพิมพ์งาน หรือแชตส่งงาน ทำได้ง่ายกว่าเดิม และยังคงโครงสร้างอะลูมิเนียมที่หนักแน่น ปรับระยะลาดเอียงได้ 3 ระดับ และต่อสายสะดวกในแบบ USB-C เป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่มาพร้อม Game Mode ปรับแต่งมาโครคีย์ได้ และมีทั้ง Anti-Ghostng และ N-Key rollover เป็นฟีเจอร์พื้นฐาน ที่ให้คุณกดรัวๆ บนการเล่นเกมได้ ไม่มีการแจ้งเตือน และกันการกดผิดปุ่ม ปิดการทำงานของปุ่ม Win ได้อีกด้วย เพื่อการเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลนั่นเอง


HyperX Alloy Origins PBT & Pulsefire Mat RGB


Specification

Description
Switch: HyperX Red – Linear
Actuation Point: Mechanical
Backlight: RGB (16,777,216 colors)
Light Effects: Per key RGB lighting and 5 brightness levels
Onboard Memory: 3 profile
Polling Rate: 1000Hz
USB 2.0 Pass-through: No
Anti-ghosting: 100% anti-ghosting
Rollover: N-key
Acceleration: Yes
Game Mode: Yes
USB Specification: USB 2.0 (full-speed)
OS Compatibility: Windows® 10, 8.1, 8, 7
Dimension: 442.5 x 132.5 x 36.39mm
Weight: w/ cable 1.07Kg.
Cable Length: xxm
Operating Force: 45g, 45g, 50g
Actuation Point: 1.8mm
Total Travel Distance: 3.8mm
Price: 3,790 Baht

ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX

Advertisementavw

Unbox

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT มาในกล่องสีแดงสด ตัดกับลวดลายสีขาวและดำ ด้านหน้าเป็นกราฟิกรูปตัวคีย์บอร์ดอย่างชัดเจน และใส่ข้อมูลฟีเจอร์มาในแต่ละจุด เช่น การเป็น Double shot PBT, Red switch และรองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นคอนโซล เช่น PS4/ PS5 หรือ XBox เป็นต้น

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านหลังเพิ่มเติมมาทั้งในส่วนของซอฟต์แวร์ NGENUITY, RGB รวมถึงในแพ๊คเกจ มีสิ่งใดเพิ่มเติมมาให้บ้าง เอาไว้สำหรับเช็คอุปกรณ์ดูได้เลย ว่าได้ครบมั้ย

HyperX Alloy Origins PBT

ชอบในความดีไซน์ของค่ายนี้ เพราะยังคงมีเอกลักษณ์ชัดเจน ทั้งในเรื่องของสีสันและตัวอักษร แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ในหลายปีที่ผ่านมา และในนี้ก็ระบุชื่อรุ่นและฟีเจอร์มาได้สะดุดตา

HyperX Alloy Origins PBT

เมื่อเปิดกล่องออกมา นอกจากจะมีตัวคีย์บอร์ดที่ใส่มาในกล่องแบบพอดีๆ แล้วยังมีคู่มือ เอกสารแนะนำมาให้ตามมาตรฐาน สำหรับคนที่ต้องการปรับแต่งแสงสี โหมดแสงไฟในเบื้องต้น รวมถึงการตั้งมาโครปุ่ม แนะนำเลยครับ ช่วยได้เยอะ

HyperX Alloy Origins PBT

และสิ่งที่มาให้เซอร์ไพรซ์ กับคีย์แคปที่ทาง HyperX เพิ่มเติมมาให้ ทั้งที่เป็นปุ่ม Esc สีแดงสดใส และปุ่ม Spacebar ขนาดใหญ่สีดำ มีลวดลายที่คล้ายกับหิมะ หรือดาวตกอะไรประมาณนั้นครับ

HyperX Alloy Origins PBT

ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนคีย์แคปเองได้ เพราะเค้าให้อุปกรณ์เสริมมาถอดปุ่มได้แบบง่ายๆ ถ้าอยากได้ความแปลกใหม่ หรือต้องการสีสัน ลูกเล่นไปจากคีย์แคปแบบเดิมๆ ก็ถอดออกมาตรงๆ แล้วเปลี่ยนได้เลยครับ

สายสัญญาณเป็นแบบสายถักแบบถอดได้ ยาวประมาณ 1.5m ด้วยพอร์ตแบบ USB-C to USB-A ต่อเข้ากับคีย์บอร์ดด้วยหัว USB-C และปลายสายเข้าคอมพีซี หรือโน๊ตบุ๊คด้วย USB-A ใช้ง่าย เก็บสายได้ค่อนข้างง่าย ดูเรียบร้อยขึ้นไม่น้อยเลย


Design

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT นี้ มาในแบบที่เรียกว่า Compact Design ประหยัดพื้นที่เหมือนเดิม เล็กกว่าในคีย์บอร์ดระดับเดียวกันพอสมควร สังเกตได้จากขอบแต่ละด้านที่กระชับเข้ามา จนชิดปุ่ม จึงประหยัดพื้นที่จัดวาง เหลือพื้นที่บนโต๊ะคอมของคุณอีกเพียบ สำหรับการเลื่อนเมาส์ได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น แม้จะใช้โต๊ะเล็กก็ตาม

ปุ่มมาในโทนสีออกเทาเข้ม-ดำ ตัดกับตัวอักษรสีขาวบนคีย์แคปได้อย่างชัดเจน แต่ฟอนต์จะดูต่างกัน Alloy Origins ตัวเดิมอยู่เล็กน้อย ก่อนหน้านี้อาจจะดูเด่นขึ้นนิดหน่อย เพราะใช้คีย์แคปต่างจาก PBT แต่ที่เจอคือ Origins เดิมจะเริ่มมันวาว เมื่อใช้ไปนานๆ แต่ Origins PBT จะมีพื้นผิว ที่ทำให้ไม่เกิดเงาได้ง่าย

HyperX Alloy Origins PBT

มาถึงบอดี้ของคีย์บอร์ดกันบ้าง ขนาดจัดว่าเล็กในแบบ Compact size ที่เป็นจุดขาย เพราะถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด Alloy Origins PBT รุ่นนี้ทำได้กระชับ ไม่เปลืองพื้นที่ แต่ให้ฟีเจอร์สำคัญมาครบถ้วน

ถ้าดูจากเลย์เอาท์ ก็เรียกว่าแทบจะถอดแบบมาเกือบทุกจุด ยกเว้นตรงที่คีย์แคปบางตัวของ PBT ทำเป็นแบบ 2 หน้า มีพิมพ์ 2 ส่วน ได้ลูกเล่นการปรับแต่งง่ายขึ้น แต่ในเรื่องขนาดปุ่ม การจัดวางก็คล้ายกันมาก

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านหลังหรือด้านใต้ของคีย์บอร์ด มาแบบเรียบๆ ไม่ได้มีสิ่งใดโดดเด่น แต่มีขาพับปรับระดับได้ 3 step เพื่อให้เอียงตามมุมการใช้งานได้

HyperX Alloy Origins PBT

พอร์ตที่มีให้เป็น USB-C ในการต่อสายสัญญาณเข้ากับพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค เป็นแบบเรียบง่าย ไม่ได้เป็นแบบตัวล็อคเสริมเพิ่มความแน่นมาให้เหมือนกับเกมมิ่งคีย์บอร์ดบางค่ายนำมาใช้กัน

และการปรับระดับเทียบกันระหว่างด้านซ้ายเป็นการปรับชันสุด 11 องศา ส่วนถ้าพับขาตั้งเข้าไป จะอยู่ที่ประมาณ 3 องศา อยู่ที่มุมการวางคีย์กับความสูง รวมถึงเก้าอี้นั่งของคุณจะเข้ากันในแบบใด

HyperX Alloy Origins PBT

ส่วนตัวมองว่า HyperX ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ดี แต่เสริมในบางจุดที่คิดว่าจำเป็นเข้ามา แต่พยายามไม่ให้เสียภาพของจำของผู้ใช้ไปมากนัก


Keycap & Switch

HyperX Alloy Origins PBT

ตัวปุ่มถูกปรับให้มีความทนทาน ในแบบที่เรียกว่า PBT keycap ซึ่งมักจะพบกันในเกมมิ่งคีย์บอร์ดคุณภาพสูง และให้พื้นผิวในแบบพ่นทราย เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเกมเมอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ถ้าผู้ใช้จะใช้งานปุ่มแบบนี้ ส่วนใหญ่จะต้องซื้อเพิ่มเพื่อมาเปลี่ยน แต่ HyperX จัดมาให้พร้อมใช้แล้วในรุ่นนี้

HyperX Alloy Origins PBT

นอกจากนี้ยังให้คีย์แคปตกแต่งมาเพิ่มอีก 2 ปุ่ม ประกอบด้วยปุ่ม Esc ที่ใส่เป็นปุ่มแดงโลโก้ HyperX ได้เลย แสงไฟลอดจากปุ่มดูสวยไม่ใช่เล่น

HyperX Alloy Origins PBT

เราสามารถแกะปุ่มคีย์แคปเพื่อเปลี่ยนได้ และด้านใต้ปุ่มเป็นสวิทช์ของทาง HyperX ในรุ่น Red สีแดง ซึ่งคาแรคเตอร์ของปุ่มจะเป็นแบบ Linear ซึ่งมีความนุ่มนวล แต่ให้การตอบสนองได้ดี จะคล้ายกับที่ใช้ใน Origins ก่อนหน้านี้ กับน้ำหนักในการกดประมาณ 45 กรัม ระยะตอบสนอง 1.8mm ใช้งานได้นานระดับ 80 ล้านคลิ๊กเลยทีเดียว

คีย์สวิทช์ของทาง HyperX

HyperX Aqua – Tactile

HyperX Blue – Tactile
HyperX Red – Linear
HyperX Silver – Linear

HyperX Alloy Origins PBT

แต่จุดที่ถือเป็นไฮไลต์ของ Alloy Origins PBT รุ่นนี้ก็คือ การเป็นปุ่มแบบพิมพ์ 2 ด้าน เพราะเมื่อสังเกตจากตรงนี้ จะเห็นว่ามีการพิมพ์ตัวสัญลักษณ์มาตั้งแต่ F1, F3 และ F3 ไปจนถึงปุ่ม RW/ Play/Pause และ FW เรื่อยไปจนถึงปุ่ม F9-F12 สำหรับการ Mute, Volume down/ Up และ Game Mode นั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

แสงไฟลอดผ่านได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ดังนั้นผู้ใช้ทั้งที่เป็นเกมเมอร์ และคนทำงาน ใช้คีย์บอร์ดบ่อย ก็ไม่ต้องกังวล เพราะคุณจะเห็นฟอนต์ได้ชัด ทั้งตอนที่เปิดหรือปิดแสงไฟนั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

จุดสำคัญของคีย์บอร์ดรุ่นนี้ อยู่ที่การใช้ Side-Printing ที่เพิ่มเข้ามาในส่วนของด้านข้างคีย์แคป ทำให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น เพราะไม่ใช่แค่ดูสบายตา แต่ยังใช้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งมาโคร หรือเปลี่ยนโหมด แสงไฟ หรือใช้ฟังก์ชั่นด้านมัลติมีเดียก็ตาม


Backlit

HyperX Alloy Origins

สำหรับแสงไฟ Backlit เป็นแบบไฟ RGB ปรับแต่งได้ทั้งบนปุ่มคีย์บอร์ด ตามโพล์ไฟล์ที่จัดเก็บเอาไว้ หรือจะใช้ซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ในการปรับแต่งก็ได้เช่นกัน โดยแสงไฟสว่างจากบนคีย์สวิทช์ ที่อยู่ด้านบน ซึ่งสว่างมากพอ ที่จะทำให้ฟอนต์ชัดเจนทั้งไทยและอังกฤษบนคีย์แคป

ความสว่างปรับได้ถึง 5 ระดับด้วยกัน ด้วยการกดที่ปุ่มลูกศร ที่อยู่ด้านข้าง NumberPad โดยดูจาก Side-printing บนปุ่มได้เลย แสงไฟให้ความสว่างได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อใช้ในที่มืด เรียกว่าทะลุปุ่มออกมาได้ชัดเจน

HyperX Alloy Origins

HyperX ngenuity

การปรับแสงไฟ RGB ในโหมดต่างๆ สามารถทำได้ 2 วิธีคือ ปรับจากปุ่มโพรไฟล์บนคีย์บอร์ดได้โดยตรง ใช้ปุ่ม F1, F2 และ F3 ซึ่งจะใช้ปรับโหมดสีและเอฟเฟกต์ ตามที่เราได้ตั้งเอาไว้ในซอฟต์แวร์อย่าง HyperX ngenuity ได้อีกด้วย

HyperX Alloy Origins

แบบที่สอง นั่นคือ การปรับในซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity ซึ่งทำได้ค่อนข้างสะดวกทีเดียว เพราะเลือกเอฟเฟกต์ แสง สี แล้ว Apply ดูตามรูปแบบแสงไฟได้ตามต้องการ


Software

ไม่ว่าคุณจะใช้เกมมิ่งเกียร์จาก HyperX ชิ้นเดียวหรือหลายชิ้นร่วมกันก็ตาม ซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity จะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด ให้คุณใช้งาน คีย์บอร์ด เมาส์ หูฟัง ไมโครโฟน และอื่นๆ ที่ง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่ง เพิ่มมาโคร หรือเปลี่ยนเอฟเฟกต์แสงไฟ ก็ทำได้จากซอฟต์แวร์นี้เลย อย่างเช่น ชุดเกมมิ่งคีย์บอร์ด และเมาส์แพดที่เราได้รับมาทดสอบนี้ ไปชมกันครับว่าจะสามารถปรับแต่งส่วนใดได้บ้าง

HyperX Alloy Origins

หน้าตาของเว็บไซต์เมื่อเข้าไปดาวน์โหลด จะใช้ช่องทางของ Microsoft store

HyperX Alloy Origins

เมื่อดาวน์โหลดมาติดตั้งเสร็จแล้ว จะมีหน้าตาเช่นนี้ ระบบจะรายงานเวอร์ชั่นของซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเวลานั้น

HyperX Alloy Origins

หน้าตาของซอฟต์แวร์ เมื่อเปิดเข้าไปและเลือกในแต่ละอุปกรณ์ จะแสดงผลมาแบบนี้ ตัวอย่างที่เราติดตั้ง จะมีทั้งคีย์บอร์ด Alloy Origins PBT, เมาส์แพด Pulsefire Mat และ Armada 27 ที่เป็นจอเกมมิ่ง รวมถึงเมาส์เกมอย่าง Pulsefire Haste ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถเชื่อมต่อเข้ากับซอฟต์แวร์ได้

HyperX Alloy Origins

สำหรับ Pulsefire Mat XL รุ่นนี้มาพร้อมแสงไฟ RGB และยังปรับแต่งเพิ่มเติมได้ ด้วยการเพิ่มในช่อง Effect รวมถึงเพิ่มความสว่าง และจัดเก็บเป็นโพรไฟล์ได้

HyperX Alloy Origins

และคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins PBT นอกจากจะเพิ่มแสงไฟ ปรับแต่งเอฟเฟกต์ได้อย่างสนุกแล้ว ยังปรับใช้มาโครได้อีกด้วย โดยการกำหนดในช่อง Keys ของคีย์บอร์ด เลือกปุ่มแล้ว Assignments แล้ว Save to Keyboard


HyperX Pulsefire Mat RGB

เพิ่มเติมให้อีกอัน เหมือนของที่ต้องอยู่คู่กันบนโต๊ะของเกมเมอร์ เสริมให้โต๊ะคอมดูดีขึ้นอีก 30% กับเมาส์แพดจาก HyperX รุ่นนี้ ที่ไม่ใช่แค่เป็นแพดขนาดใหญ่ ให้คุณสไลด์เมาส์ได้อย่างสะใจเท่านั้น แต่ยังเสริมความหนักแน่น และแสงไฟ RGB มาในตัวอีกด้วย ที่สำคัญยังเชื่อมต่อเข้ากับซอฟต์แวร์ เพื่อปรับแต่งแสงไฟได้ เราไปชมรายละเอียดกัน

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Pulsefire Mat ที่เราได้รับมานี้ จัดว่าอยู่ในกลุ่มของไซส์ XL เพราะยาวถึง 90cm และกว้าง 42cm วางบนโต๊ะ 120-140cm ได้เกือบเต็ม เหมาะกับคนที่เน้นพื้นที่ใช้งานที่กว้าง สามารถวางของบน Mat ได้ และขยับเมาส์ได้แบบลดข้อจำกัด

HyperX Alloy Origins PBT

สำหรับตัวเมาส์แพดนี้ แกะกล่องออกมา ก็เห็นถึงความอลังการได้แล้ว เพราะยัดมาแน่นมาก ติดอยู่อย่างเดียวคือ คุณอาจจะต้องม้วนย้อนกลับไปอีกทางหนึ่ง ก่อนใช้งาน เพื่อให้ไม่เกิดเป็นคลื่นๆ จากการที่ม้วนอยู่ในกล่องมานานนั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

โดยพื้นฐานของแผ่นด้านบนที่เป็นหน้าสัมผัส จัดว่าถักทอมาได้แน่น และมีความหนาพอสมควร ส่วนตัวรู้สึกว่าสัมผัสค่อนข้างดี และมีการทอมาได้เรียบ เน้นไปที่แนวของ Speed มากว่า Control แต่ก็มีพื้นผิวมาคอยให้คุณจัดตำแหน่งได้ง่ายขึ้น ให้ความนุ่มนวลในระดับหนึ่ง แต่ที่น่าทึ่งคือ ด้านใต้เป็นแบบกันลื่น Anti-slip ให้คุณวางบนโต๊ะและจับกับพื้นโต๊ะได้แน่นหนา ไม่สไลด์ขณะที่เล่นเกมแน่ๆ

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านบนจะเป็นวงจรเล็กๆ และไฟแสดงสถานะของโพรไฟล์ ซึ่งจะบันทึกจากซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity ได้ 3 โพรไฟล์ และคุณยังเปลี่ยนเอฟเฟกต์ได้ด้วยการสัมผัสอีกด้วย นับว่าทำออกมาได้แบบล้ำๆ เลยทีเดียว

HyperX Alloy Origins PBT

ขอบที่เป็นเส้นแสงไฟ RGB นี้ ถูกถักและรัดไว้อย่างหนาแน่น ติดกับขอบด้านข้างของเมาส์แพดตลอดทั้งผืน ซึ่งเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว เมื่อเปิดไฟ RGB ก็ดูสวยงาม อย่างไรก็ดี พอให้รู้สึกสัมผัสกับข้อมือมากไปหน่อย เมื่อเลื่อนเมาส์ไปมาขณะเล่นเกม

HyperX Alloy Origins PBT

กางได้แบบเต็มที่ทีเดียว บนโต๊ะระดับ 180cm x 75cm เหลือพื้นที่สำหรับวางจอคอม และอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ ได้สบาย ใครที่ใช้โต๊ะคอมเล็ก แนะนำว่าขยับพื้นที่จัดวางดีๆ ก็ลงตัวแล้วครับ

HyperX Alloy Origins PBT

แสงไฟ RGB ก็จัดว่าเป็นไฮไลต์ของ Pulsefire MAT รุ่นนี้เลยครับ เอฟเฟกต์แสงที่ได้จัดว่าสวยงาม ตัดกับพื้นโต๊ะทั้งสีขาวและสีดำได้เป็นอย่างดีอย่างที่เห็นในตัวอย่างนี้ และจะโดดเด่นยิ่งขึ้น หากใช้งานในห้องที่มีแสงน้อย เหมาะกับเกมเมอร์อย่างแท้จริง

สังเกตว่าแถบแสงไฟเหล่านี้ ไม่ได้สว่างสดใสแค่เพียงด้านบนเท่านั้น เมื่อหงายด้านใต้ Mat ก็ยังสีสดใสไม่แพ้กัน รวมถึงเมื่อมองจากด้านข้าง จะทำให้คุณเล่นเกมได้อย่างสนุกมากขึ้น

HyperX Alloy Origins PBT

โดยความยาวของ HyperX Pulsefire Mat นี้ ไม่เพียงแค่พื้นที่เลื่อนเมาส์ได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังวางคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins PBT ได้สบาย และมีพื้นที่เหลือๆ สำหรับใช้งาน เมือแสงไฟจับคู่กันกับเมาส์ และคีย์บอร์ด ก็ดูล้ำๆ ยิ่งขึ้นอีกด้วย


Conclusion

HyperX Alloy Origins PBT 2023 use 16

สัมผัสแรกในการกดปุ่มคีย์บน Alloy Origins PBT มีความต่างจากที่เคยใช้บน Alloy Origins เดิมอยู่พอสมควร โดยเฉพาะพื้นผิวของปุ่ม ที่ไม่ได้เรียบลื่น PBT ให้ความสะดุด และนิ้วไปแตะได้หนักแน่นกว่า น้ำหนักการกดค่อนข้างใกล้กัน และระยะตอบสนองแทบไม่ได้ต่างกันเลย เพราะถ้าดูจากตัวเลขที่ระบุมาในสเปค ก็เรียกว่าเกือบจะเหมือนกัน ดังนั้นในการเล่นเกม แทบจะไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ถ้ามองในแง่ของความต่อเนื่อง การกดของ PBT บางทีก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เล็กน้อย ถ้าคนเคยใช้คีย์บอร์ดแบบที่คีย์แคปเรียบๆ สัมผัสก็อาจจะลื่นไหล ไม่สะดุดนิ้ว แต่ก็ยอมรับว่าปุ่มมีโอกาสขึ้นเงาได้มากกว่าแบบ PBT พอสมควร แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการเล่นเกมมากนัก เมื่อใช้ไปจนชิน

HyperX Alloy Origins PBT

การวางมือด้วยการเป็นคีย์บอร์ดไซส์คอมแพค จึงไม่ได้มีส่วนยื่นออกมา เผื่อไว้สำหรับการวางอุ้งมือ หรือไม่มี Hand rest ให้วาง ต้องไปหาเพิ่มเติม แต่ก็ทำให้คุณจัดโต๊ะได้แบบกระชับ ลดการใช้พื้นที่ และไม่เปลืองพื้นที่โต๊ะมาก โดยเฉพาะเกมเมอร์ที่มีโต๊ะจำกัดจริงๆ คีย์บอร์ดแนวนี้ช่วยได้เยอะ

แต่ความรู้สึกกับเสียงในการกด ด้วยฟิลลิ่งของ Red switch ก็อาจจะไม่ได้โบ๊ะบ๊ะ เสียงแบบ Clicky มาอย่างชัดเจนนัก แต่จังหวะและน้ำหนัก คนที่ใช้ Blue switch อาจจะรู้สึกว่าเสียงและจังหวะขาดๆ ไปบ้าง เพราะคาแรกเตอร์เค้าเป็นแบบ Linear แต่เพิ่มจังหวะการกดเข้ามานั่นเอง ข้อดีคือ คุณยังเล่นได้สนุก โดยที่ไม่ไปรบกวนคนอื่นมากนัก เมื่อต้องใช้พื้นที่ในห้องเดียวกัน

HyperX Alloy Origins PBT

ขยับมาที่ HyperX Pulsefire MAT กันบ้าง ส่วนตัวค่อนข้างชอบกับเมาส์แพดผืนใหญ่ๆ แบบนี้ ที่วางกันแบบเกือบคลุมได้ทั้งโต๊ะ วางได้ทั้งคีย์บอร์ด และยังเหลือที่เลื่อนเมาส์ได้กว้าง มีประโยชน์ทั้งการเล่นเกมและทำงาน แต่ในทางกลับกัน หลายคนอาจมองว่าการวางของบางส่วนก็ยากขึ้น หากพื้นที่โต๊ะจำกัด เช่น จอคอม หรือวางพรินเตอร์และอื่นๆ ที่วางได้ไม่เต็มหรือกลัวจะเป็นรอยบน Mat นั่นเอง

แต่ในแง่ของคุณภาพเต็ม 10 ผมไม่หักเลย โดยเฉพาะความลื่นไหล และเคลื่อนไหวได้แทบไม่สะดุด ได้เมาส์ดีๆ ก็แทบจะไม่ต้องยกมือขึ้นมาให้เสียจังหวะอีกด้วย การถักทอแน่นมาก ไม่ต้องกลัวจะเสียสภาพในเร็ววัน และแสงไฟที่ขอบโดยรอบนั้น ก็เพิ่มอรรถรสในการเล่นได้ไม่น้อย และที่ชอบสุดก็คือ แทบจะไม่ลื่นหลุดไปจากโต๊ะ เพราะพื้นด้านใต้ทำออกมาได้ดีทีเดียว

HyperX Alloy Origins PBT

คีย์แคปแบบ Side-printing จัดว่าเข้าท่าดี เพราะไม่เคยมีอยู่ใน Alloy Origins รุ่นก่อนหน้านี้ ก็ช่วยลดความตาลายดูสบายมากขึ้น แม้จะเป็นลูกเล่นเล็กๆ แต่ก็เหมาะกับการใช้งาน และการเล่นเกมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่ยังสัมผัสไม่แม่น และต้องอาศัยดูแป้นพิมพ์อยู่เป็นระยะ

แต่สิ่งหนึ่งที่ดูแปลกตาไปบ้าง คือตัวฟอนต์บนคีย์แคปที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นตัวพิมพ์หนาเหมือนในรุ่นก่อน ทำให้แสงไฟที่ลอดมา บางครั้งก็ไม่สว่างชัดมากนัก ซึ่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องมองแป้นพิมพ์บ่อยๆ แนะนำว่าให้เปิดความสว่างแบบสุด

HyperX Alloy Origins PBT

สุดท้ายนี้ก็อยากให้ได้ไปลองใช้งานกันครับ สำหรับคนที่จะเริ่มกับเกมมิ่งคีย์บอร์ด ในราคา 3,790 บาท ก็ถือว่า HyperX Alloy Origins PBT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ปุ่มแน่น กดสนุก ไฟสวย ปรับแต่งได้ และใช้งานง่าย มีซอฟต์แวร์เสริม และ Pulsefire Mat RGB ที่จัดว่าให้พื้นที่ขนาดใหญ่ เลื่อนเมาส์ได้ลื่นไหล ถักทอแน่น พร้อมไฟ RGB ลิงก์กันกับเมาส์ คีย์บอร์ด และหูฟังจาก HyperX ได้ ซิงก์แสงไฟกันได้ต่อเนื่อง ราคาประมาณ 1,390 บาท เท่านั้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: HyperX


from:https://notebookspec.com/web/691460-hyperx-alloy-origins-pbt-keyboard

Advertisement

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย 10 รุ่น ปี 2023 ท่องเน็ต เทรดหุ้น ลื่นไหล ดีไซน์สวย แบตอึด

เมาส์ไร้สาย 10 รุ่น 2023 หลักร้อย สวย แบตอึด เล่นเน็ต ดูหนัง ทำงานในบ้านหรือที่ทำงานก็เพลิน

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย จัดว่าเป็นไอเทมยอดฮิตของคนทำงาน ที่ชอบความสะดวก ใช้งานง่าย พกพาไปใช้นอกสถานที่ก็แสนสบาย เพราะขนาดเล็ก และส่วนใหญ่ใช้ถ่านก้อนเดียว ก็ใช้กันจนลืมและปี 2023 นี้ เราก็ได้รวบรวมเมาส์ Wireless น่าใช้มาให้คุณได้เลือก 10 รุ่นด้วยกัน จากทั้งหมด 8 ค่าย มีทั้งมิติที่มีความกระทัดรัด แบตอึด ใช้ได้นาน หรือบางรุ่นก็เป็น 2 ระบบ ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth รวมถึงเน้นที่ดีไซน์ที่สวยงาม เพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่นำไปใช้ในโอกาสต่างๆ ได้ดีอีกด้วย ให้ความละเอียดมากพอสำหรับงานในบ้าน เช่น ทำเอกสาร ท่องเน็ตและเทรดหุ้น ไปจนถึงใช้ในสำนักงาน กับซอฟต์แวร์ออฟฟิศ การทำพรีเซนเทชั่น ไปจนถึงการนำเสนองาน มาชมกันครับว่า มีรุ่นใดที่ถูกใจคุณกันบ้าง

เมาส์ไร้สาย

  1. Philips SPK7344
  2. Anitech W226
  3. RAPOO M100
  4. Microsoft MBL 1850
  5. Logitech M190
  6. GENIUS NX-7015
  7. Logitech M221
  8. Xiaomi Mi Wireless
  9. Lenovo 530
  10. Logitech M331B

1.Philips SPK7344

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้ามองในแง่ของความเป็นเมาส์ไร้สายมินิมอล ราคาประหยัด จับกระชับมือ กับบอดี้ที่มาความโค้งไม่มากนัก ทำให้พกพาง่าย เหมาะกับคนที่ชอบจับแบบ Grip หรือ Claw เน้นปลายนิ้วกด ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ให้ระยะการกดได้ประมาณ 3 ล้านครั้ง ปุ่มกดที่ตอบสนองไว วัสดุเป็น ABS ผิวเรียบลื่น จับสบายมือ แถมยังให้ความละเอียดมาถึง 1600DPI เมาส์ไร้สายรุ่นนี้ ตอบโจทย์ได้ดี เหมาะกับคนที่ชอบท่องเน็ต เล่นเกมออนไลน์เบาๆ ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และรับประกัน 2 ปี ราคาประมาณ 219 บาทเท่านั้น

Advertisementavw
จุดเด่น ข้อสังเกต
ราคาประหยัด ดีไซน์ค่อนข้างเรียบง่าย
ให้ความละเอียดถึง 1600 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: Philips


2.Anitech W226

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายในราคาเบา หลักร้อย ที่ออกแบบรูปทรงมาได้ทันสมัยเลยทีเดียว และยังรองรับได้ถึง 2 ระบบ ทั้ง Wireless และ Bluetooth ทำให้ใช้งานได้กับพีซี โน๊ตบุ๊คและสมาร์ทโฟน หรือแท็ปเล็ตกับรูปทรงกระทัดรัด ไซส์ขนาดกลาง รองรับการใช้งานทั้งมือซ้ายและขวา ทนทานต่อการคลิ๊กได้ถึง 5 ล้านครั้ง จุดเด่นอยู่ที่นอกจากปุ่มซ้าย-ขวา ที่ออกแบบมาให้มีเสียงที่เบา และ Scroll wheel ที่มีให้เป็นพื้นฐาน ยังเพิ่มปุ่มตั้งค่า DPI ได้ถึง 3 ระดับ ตั้งแต่ 800, 1200 และ 1600 DPI พร้อมปุ่มมาโครที่อยู่ด้านข้าง ใช้งานร่วมกับถ่าน AA 1 ก้อน ราคา 359 บาท กับการรับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด
ต่อได้ทั้ง WiFi และ Bluetooth

ข้อมูลเพิ่มเติม: Anitech


3.RAPOO M100

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายราคาดี แถมยังต่อได้ 2 ระบบ ทั้ง Bluetooth และ Wireless แบตใช้ได้ยาวถึง 9 เดือน ใครที่มองหาเมาส์กระทัดรัด ดีไซน์ทันสมัย จับกระชับมือรุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว แม้จะมาในไซส์เล็กๆ เหมาะกับมือสาวๆ แต่ก็ปรับความสูง ให้เข้ากับอุ้งมือได้ดี ปุ่มคลิ๊กเสียงค่อนข้างเบา แต่กดได้หนักแน่น ให้การตอบสนองที่ 1300 DPI เป็นเซ็นเซอร์ในแบบออพติคอล โดยเลือกเชื่อมต่อได้ง่าย ระยะเวลาใช้งานได้ถึง 9 เดือนด้วยกัน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อนเท่านั้น พร้อมปุ่มสลับโหมดสัญญาณใต้เมาส์ ราคา 399 บาท รับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เชื่อมต่อได้ 2 ระบบ มิติค่อนข้างเล็ก
เซ็นเซอร์ 1300 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: RAPOO


4.Microsoft MBL 1850

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ Wireless ของไลฟ์สไตล์ ทำงาน และความบันเทิง ที่ค่อนข้างโดดเด่นมีให้เลือก 7 โทนสีด้วยกัน เน้นที่การพกพา กับขนาดกระทัดรัด แต่ออกแบบให้มีความโค้งด้านท้าย ลาดลงต่ำมายังด้านหน้า ทำให้การจับกระชับขึ้น ใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา กับพื้นผิวพลาสติกแบบลื่น แต่จับได้ถนัด ปุ่มคลิ๊ก 3 ปุ่ม ให้อารมณ์ในการคลิ๊กได้สนุก Scroll wheel เป็นจังหวะ ไม่ไหลฟรี เพราะมีระดับการกดไม่ลึกมาก เหมาะกับการท่องเน็ตและเช็คข้อมูล ใช้แบตจากถ่าน AA 1 ก้อน ระยะเวลาในการใช้งานได้นานถึง 6 เดือน เก็บตัวรับส่งสัญญาณด้านใต้ได้เลย พร้อมปุ่มเปิด-ปิด ราคา 430 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปุ่มกดตอบสนองไว แบตใช้นาน 6 เดือน
รับประกัน 3 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม: Microsoft


5.Logitech M190

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์กึ่งเกมมิ่งสไตล์ ที่มีขนาดค่อนไปทางใหญ่ แต่ยังอยู่ในไซส์ของการพกพา ถือว่าเป็นรุ่นยอดฮิตอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งจับถือได้สบายมือ โดยทาง Logitech เลือกเทรนด์ของการใช้วัสดุรีไซเคิล แต่ก็ทำให้ดูทันสมัย จุดเด่นคือ แบตใช้งานได้ 18-24 เดือน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และปุ่มคลิ๊กที่ทนทาน กดตื้น ตอบสนองไว มีปุ่มเปิดปิด และซ่อนตัว USB รับส่งสัญญาณด้านใต้ได้ การรับประกัน 1 ปี ราคา 449 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย จับถนัดมือ
แบตใช้งานได้นาน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


6.GENIUS NX-7015

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย ราคาหลักร้อยอีกรุ่นหนึ่ง ที่ดีไซน์ออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว กับความโค้งเว้า ให้จับถนัดมือ จุดโค้งรับอุ้งมือ ค่อนข้างสูง ความยาวเหมาะกับทั้งชายและหญิง และใช้ลวดลายมาเสริม ทำให้ดูน่าใช้ จุดขายไม่ได้อยู่ที่ฟังก์ชั่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเสริมลูกเล่นให้ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้อีกด้วย ปรับเซ็นเซอร์ได้ถึง 1600 DPI มีเมาส์ฟีตด้านล่างขนาดใหญ่ ปุ่มคลิ๊กซ้ายขวามีขนาดใหญ่ กดได้แม่นยำ แต่จะมีระยะการกดที่ลึกลงหน่อย รวมถึง Scroll wheel ที่ดูใหญ่พอสมควร แต่ก็ใช้งานได้ดี ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน พร้อมปุ่มเปิดปิด เพื่อประหยัดแบต รับประกัน 3 ปี ราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เมาส์ขนาดกลาง จับกระชับมือ Scroll wheel ค่อนข้างใหญ่
ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม: GENIUS


7.Logitech M221

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายที่มีให้เลือกแบบวาไรตี้มาก กับดีไซน์ที่กระชับ กระทัดรัด พกพาสะดวก วัสดุถือว่าดีในราคาไม่ถึง 500 บาท Logitech ชูในเรื่องของการลดเสียงรบกวนในเวลาทำงานได้มากขึ้น กับความโค้งรับอุ้งมือได้ดี แต่อาจจะเหมาะกับมือสาวๆ ที่เล็ก เนื่องจากความยาวไม่มากนัก ปุ่มหลัก 3 ปุ่ม พื้นฐาน กับการตอบสนองที่ 1000DPI กับเซ็นเซอร์แบบออพติคอล ใช้พลังงานจากแบต AA เพียงก้อนเดียว สามารถใช้งานได้นานถึง 18 เดือนด้วยกัน สามารถเก็บตัวรับส่งสัญญาณได้ในตัวเมาส์อีกด้วย พร้อมสวิทช์เปิด-ปิด ตรงนี้ผมคิดว่าสำคัญมากๆ สำหรับเมาส์แบบพกพาเช่นนี้ เคาะราคาอยู่ที่ 499 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
มีปุ่มเปิด-ปิด มิติเมาส์ค่อนข้างเล็ก
ใช้ได้นาน 18 เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


8.Xiaomi Mi Wireless

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายขนาดกลางที่ออกแบบมาสำหรับคนเอเซียโดยเฉพาะ สามารถจับได้ทั้งแบบ Claw และ Palm Grip ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา โดยมีปุ่มกดที่ให้ความหนักแน่น เสียงค่อนข้างเบา เหมาะกับสายทำงานเป็นหลัก เคลื่อนไหวได้ลื่นไหล กับเมาส์สเกตด้านใต้ขนาดใหญ่ จุดเด่นคือ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Wireless และ Bluetooth เช่นเดียวกับปุ่มกดด้านข้าง ที่เสริมเข้ามาให้ปรับใช้งานได้มากขึ้น ใช้ถ่านแบบ AAA จำนวน 2 ก้อน ให้การรับประกัน 1 ปี กับราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth ขนาดค่อนข้างใหญ่
ใช้ถ่านแบบ AAA 2 ก้อน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Xiaomi


9.Lenovo 530

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้าคุณมีงบสัก 500 นิดๆ คิดว่าเมาส์รุ่นนี้ มีดีให้คุณจับต้องได้ กับดีไซน์ที่จับกระชับมือ ในโทนสีที่ดูทันสมัย พื้นผิวเป็นแบบซอฟท์ทัช ที่ดูเป็นกันเองจับถนัด ขนาดกลางๆ ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ความโค้งตรงอุ้งมือ เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่าย ไม่ได้ใส่ปุ่มมาโครด้านข้างมาด้วย เคลื่อนไหวได้แม่นยำกับเซ็นเซอร์ออพติคอล 1200DPI และปุ่มเมาส์ ที่ให้การคลิ๊กได้ระดับ 8 ล้านครั้ง ใช้ถ่านแบบ AA ก้อนเดียว ใช้ได้นานประมาณ 12 เดือน ราคาอยู่ที่ 590 บาท รับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เซ็นเซอร์ 1200 DPI
รองรับการคลิ๊กได้ 8 ล้านครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lenovo


10.Logitech M331

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

แต่ถ้าใครชอบสไตล์ที่จับกระชับมือ มีเว้าในส่วนของ Grip ให้ถนัดมากขึ้น อาจจะช่วยให้เลื่อนได้ไว และเล่นเกมได้ในบางโอกาส รุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจ ขนาดใกล้เคียงกับ M221 แต่จะเป็นแบบใช้มือขวา ด้านข้างออกแบบให้มีพื้นผิวจับถนัด ด้านหลังจากโค้งลาดลงเล็กน้อย และยังคงเป็น Silence Mouse คือลดเสียงคลิ๊กลงถึง 90% และใช้บนพื้นผิวต่างๆ ได้ดี ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ออพติคอล 1000DPI ในส่วน Scroll mouse รองรับการคลิ๊กได้ โดยใช้พลังงานจากถ่าน AA เพียงก้อนเดียว ใช้ได้ยาวถึง 24 เดือน ที่สำคัญตัวเมาส์รองรับ Unifying ได้อีกด้วย ราคา 590 บาท การรับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
จับกระชับมือ เน้นผู้ใช้มือขวา
แบตใช้ได้นาน 24เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


Conclusion

Model Sensor Wireless Buttons Dimension (mm) Battery Batt life (Month) Price
1.Philips SPK7344 1600DPI 2.4GHz 3 101 x 61 x 33 1x AA 219
2.Anitech W226 1600DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 5 103 x 65 x 37 1x AA 359
3.RAPOO M100 1300DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 3 98 x 61 x 38 1x AA 9 399
4.Microsoft MBL 1850 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58.1 x 32 1x AA 6 430
5.Logitech M190 1000DPI 2.4GHz 3 115.4 x 66 x 40.3 1x AA 18 449
6.GENIUS NX-7015 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58 x 38.5 1x AA 499
7.Logitech M221 1000DPI 2.4GHz 3 99 x 60 x 39 1x AA 18 499
8.Xiaomi Mi Wireless 1200DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 4 103 x 65 x 37 2x AAA 499
9.Lenovo 530 Wireless 1200DPI 2.4GHz 3 120 x 197 x 33 1x AA 12 590
10.Logitech M331 1000DPI 2.4GHz 3 105.4 x 67.9 x 38.4 1x AA 24 590

สำหรับเมาส์ไร้สาย หลักร้อยที่นำมาให้ได้ชมกันในวันนี้ เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมาส์อีกมากมายเลยทีเดียว ที่จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานของหลายคนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยากได้ความคล่องตัว เพราะลดความวุ่นวายจากสายที่พันกันยุ่งเหยิง และไม่ทำให้โต๊ะทำงานที่อาจจะมีพื้นที่น้อยนิดดูรกอีกด้วย การเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ เพราะเมาส์แต่ละรุ่น ก็มีความโดดเด่นต่างกันออกไป เช่น เน้นราคา Philips ให้คุณได้ หรือต้องการมิติเล็กกระทัดรัด Genius, Microsoft และ Logitech M221 ให้การพกพาได้ดี แต่ในเรื่องความสะดวกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลาย Xiaomi, Rapoo และ Anitech รองรับได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth และเรื่องแบตอึด เท่าที่ข้อมูลของแต่ละค่ายระบุมา ส่วนใหญ่จะเกิด 6 เดือนต่อการใช้แบต AA 1 ก้อน แต่จะมี Logitech ที่ส่วนใหญ่จะเกิน 12 เดือนขึ้นไป แต่ในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานด้วยครับ ใครที่กำลังมองหาเมาส์เล็กๆ ต่อไร้สาย สไตล์น่ารักเหล่านี้ ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่ใส่ลิงก์เอาไว้ให้กันครับ

from:https://notebookspec.com/web/686108-10-wireless-mouse-under-1k-2023

10 อันดับ เคสคอม 2023 เปิดตัวใหม่ ไฟ ARGB ประกอบง่าย สุด Cool! เย็นสุดขั้ว

10 อันดับ เคสคอมสุด Cool เปิดตัวใหม่ CES2023 งานดี เทคโนโลยีสุด พร้อมไฟ RGB จัดเต็ม

10 อันดับ

10 อันดับ เคสคอมรุ่นใหม่ปี 2023 ที่เรารวบรวมมาให้ในครั้งนี้ จัดมาตั้งแค่เคสสุดล้ำ ดีไซน์หรู ไปจนถึงเคสคอม สำหรับเกมเมอร์ และนักโอเวอร์คล็อก กับเทคโนโลยีใหม่ ที่ช่วยในการระบายความร้อน และเพิ่มฟังก์ชั่น สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ได้สะดวกมากยิ่ง ซึ่งนับว่าในปี 2023 จะมีเคสรุ่นใหม่ๆ มาให้กับเหล่านักประกอบคอมเลือกใช้งานกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมเรื่องของการระบายความร้อน และการปรับแต่งที่น่าสนใจกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างเช่นที่เรานำเสนอนี้ จะมีบางรุ่นที่เสริมกลไกการระบายอากาศ บางรุ่นมาพร้อมกระจกเทมเปอร์ที่ดีไซน์ทันสมัยมากขึ้น และบางรุ่นก็มาพร้อมชุด Liquid Cooling ในตัว ส่วนใหญ่เป็นผลดีต่อการเล่นเกม และการปรับแต่งในปัจจุบัน รวมถึงรองรับกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ๆ อีกด้วย วันนี้เรามาชมกันครับว่า จะมีเคสคอมรุ่นใด ที่ถูกใจคุณบ้าง เผื่อใครจะอยากเปลี่ยนเคสใหม่กันในปีนี้

10 อันดับ เคสคอม 2023

  1. Cyberpower Kinetix 360V
  2. Fractal Design – Torrent Compact Nano
  3. Lian Li – Lancool III
  4. Hyte Y60
  5. Thermaltake CTE
  6. Cooler Master Cooling X
  7. InWin POC Case
  8. COUGAR CRATUS
  9. MSI MEG Prospect 700
  10. ASUS HYPERION

1.Cyberpower Kinetix 360V

Cyberpower Kinetix 360V เป็นเคสคอมที่ออกแบบในแนวที่เรียกว่า Kinetic Enclosure หรือเป็นกล่องที่ขยับปรับเลื่อนได้ ซึ่งเมื่อปีก่อนก็จะมีของ Cyber Power ที่ทำออกมา แต่ตอนนั้นก็ลุ้นกันว่าจะออกมาวางตลาดมั้ย แต่ก็มีออกมาในบางรุ่น แต่สำหรับปีนี้ เป็นโมเดลพิเศษที่เรียกว่า Cyberpower Kinetix 360V Intelligent Airflow Series ที่มาโชว์ตัวในงาน CES 2023 เข้ามาใน 10 อันดับ เคสคอมครั้งนี้

Advertisementavw
10 อันดับ

ความโดดเด่นของเคสรุ่นนี้ อยู่ที่กลไกด้านหน้าของเคส ที่ขยับไปมาได้ เป็นแบบบานพับรูปทรงสามเหลี่ยม เลขาคณิต เปิดและปิดดูแล้วหวือหวา คล้ายกลไกของชุดไอรอนแมน ไม่ว่าจะเป็นสีสัน หรือการขยับของบานพับเหล่านี้

เคสรุ่นนี้ อาจจะไม่ได้นำเสนอเรื่องของ airflow เป็นหลักอย่างเดียว แต่มองว่าน่าจะเป็นการออกแบบเชิงนวัตกรรม ด้วยการใส่กลไกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในเคส ซึ่งถ้าถามว่าดีกว่าเคสปกติ หรือเคสที่มีพัดลมเคสด้านหน้าอย่างไร? 

10 อันดับ

ถ้าสังเกต เคสคอมบางเคสก็มีฝาเคสปิดทึบด้านหน้ามา บางทีต้องการจะให้ลมเข้ามากๆ ในช่วงที่ทำงานแบบ Full load ให้มีอากาศระบายได้ดีก็ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ต้องการเคสที่ว่า เปิดให้ลมไหลเข้าตลอดเวลา เพราะบ้านเราเรื่องฝุ่นเป็นปัญหาสำคัญ การมีกลไกเปิด-ปิดแบบนี้ ก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียวครับ อยากได้ลมก็เปิด ไม่ใช้ก็ปิดง่ายมากๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม: Cyberpowerpc


2.Fractal Design – Torrent Compact Nano

สำหรับเคสคอมจาก Fractal Design นี้ ดูเป็นที่รู้จักกันดีในบ้านเรา ด้วยคาแรคเตอร์ที่ดูหรูหรา พรีเมียม และเป็นที่คุ้นหูคุ้นตากันหลายรุ่น เช่นเดียวกับ Torrent Nano ที่เป็นเคสขนาด Mid-Tower แต่ใส่ Air flow มาขั้นสุด กับรูปลักษณ์เคสในโทนสีขาว มีช่องระบายอากาศด้านหน้า ออกแบบมาได้ลึกล้ำดีทีเดียว

10 อันดับ

ความโดดเด่นอยู่ที่ พัดลมขนาดใหญ่ 18cm พร้อมแสงไฟ RGB สวยงาม สามารถควบคุมรอบพัดลมได้ เสียงรบกวนน้อย ส่วนพื้นที่ภายในดูกว้างขวาง เพราะย้ายช่องติดตั้งเพาเวอร์ซัพพลายไปไว้ด้านบน ให้เดินสายได้สะดวก และมีทางลมดูดลมร้อนจากซีพียูได้โดยตรง

10 อันดับ

ส่วนภายในรองรับเมนบอร์ด mATX และมีช่อง PCI-Express ได้ถึง 3 สล็อต ติดตั้งการ์ดจอรุ่นใหม่ๆ ที่เป็น RTX40 series ได้และการ์ดความยาวระดับ 33.5cm เลยทีเดียว ใครที่ชอบเคสแนวนี้ เค้ามีให้เลือกถึง 5 สีด้วยกัน สำหรับผมนะ สวยทุกสี ตามที่ปรากฏในคลิปนี้เลยครับ บ้านเรามีจำหน่ายแล้ว ราคาประมาณ 5 พันกว่าบาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: Fractal Design


3.Lian Li – Lancool III

เป็นเคสคอมที่เรียกว่า ถอดรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์ LANCOOL มาอย่างเต็มเปี่ยม แต่ที่โดดเด่น เราผมชอบมากคือ การเปิดช่องทางในส่วนต่างๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็น ฝาข้าง หน้า และฝาปิดเพาเวอร์ซัพพลายที่อยู่ด้านล่าง กระจกข้างใสเทมเปอร์ ถอดออกง่าย รวมถึงมีพัดลมไฟ RGB มาให้แล้วถึง 4 ตัวด้วยกัน แบ่งเป็นหน้า 3 ตัว หลัง 1 ตัว พร้อมตะแกรงด้านหน้าให้ Air flow แบบสุดๆ

10 อันดับ
10 อันดับ

ด้านในรองรับ Radiator ชุดน้ำ 3 ตอน 360 ได้อีก 3 ตัว คือ ด้านบน ด้านล่างและด้านหน้า ติดตั้งพัดลม รวมกันได้ถึง 10 ตัว ผมว่าดีไซน์ได้ค่อนข้างอลังการทีเดียว เหมาะสำหรับคนที่จะใช้ชุดน้ำสำหรับซีพียู การ์ดจอ และอื่นๆ เพิ่มเติม

10 อันดับ

แถมด้วยช่อง Mount เพื่อติดตั้ง Storage ได้สูงสุดถึง 12 ตัว ในจุดต่างๆ ที่เค้าเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเท่าที่ผมสังเกต เพลตที่อยู่ด้านบนของเพาเวอร์ สามารถปรับเลื่อนได้หลายรูปแบบ ตรงนี่ถือเป็นจุดสำคัญในการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ เท่าที่ผมเช็คมาในบ้านเราพอมีจำหน่ายบ้างแล้ว ราคาประมาณ 4 พันปลายๆ เท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lian Li


4.Hyte Y60

แต่ถ้าจะเป็นเคสคอมที่ดูโดดเด่น เป็นกระแสมากที่สุดใน CES 2023 ปีนี้ ก็ต้องเป็นค่ายนี้ครับ HYTE ในรุ่น Y60 ล่าสุด ดีไซน์แนวตู้ปลา ราคาดี มีกระจกเทมเปอร์ 3 ด้าน งานดูพรีเมียม น่าสนใจไม่น้อยเลย เป็นเคสแนวที่คล้ายๆ กับเคสกระจกหลายรุ่นในบ้านเรา เมืองนอกเค้ายกให้เป็น Good compact, Good Material เลยทีเดียว แล้วถ้าถามว่าแปลกหรือเด่นอย่างไร

10 อันดับ

ก็ยังคงต้องเริ่มกันตั้งแต่ดีไซนกระทัดรัด ดีไซน์พรีเมียม ด้านหน้าตัดมุม 45 องศา ไม่เหมือนใคร ส่วนตัวผมรู้สึกว่า มันมองฮาร์ดแวร์ได้ในหลายมิติ ดูแล้วกว้าง แถบด้านบนและล่างกว้างขวาง ให้พื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์ได้มากขึ้น เช่น ปั้มน้ำ หรือชุดพัดลม Radiator ช่องตะแกรง ทั้งด้านบน และด้านล่าง ช่วยระบายอากาศ 

10 อันดับ

ติดตั้งชุด Radiator ได้อย่างน้อย 2 ชุด ด้านหลัง และด้านบน สามารถวางการ์ดจอแนวตั้งได้ ด้านหลังเหลือพื้นที่มากมาย ให้เก็บสายหรือประกอบฮาร์ดแวร์อื่นเพิ่มได้ เช่น SSD เป็นต้น

10 อันดับ

นอกจากนี้ภายในเคสยังมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้งกราฟิกการ์ดแบบ Low-Profile ขนาดเล็กได้ ไม่ต้องไปหาแปลง Bracket ให้เสียเวลา และเสริมขาแขวนสายเพาเวอร์ที่ต่อการ์ดจอมาให้ในตัว พื้นที่ภายในรองรับการ์ดจอได้ยาวแบบ 3 พัดลมได้อีกด้วย บ้านเราพอมีให้ Pre-Order ในราคาประมาณ 8,000 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: HYTE


5.Thermaltake CTE

เป็นเคสคอมในซีรีส์ที่เปิดตัวในงานได้สุดอลังการ สำหรับ Thermaltake CTE ที่ดีไซน์ออกมาในแบบที่เรียกว่า Centralized Thermal Efficiency ซึ่งเน้นที่การระบายความร้อน ปรับจูนอากาศให้ไหลเวียนได้ดี และจุดเด่นอยู่ที่การปรับหมุนเมนบอร์ดได้ในแบบ 90 องศา 

10 อันดับ

ตัวเคสผมว่าคล้ายกับการนำเอาจุดเด่นของหลายๆ รุ่นมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็น Tower, V หรือ View ก็ตาม นำมาผสมผสานกันให้ลงตัว และภายในมีความยืดหยุ่น ปรับเลื่อน แกะ ประกอบได้หลากหลาย โดยเฉพาะการวางเมนบอร์ด ที่ปรับมุมได้ 90 องศา เพื่อให้รับลมหรือต่อเข้ากับ Block น้ำได้ลงตัวมากขึ้น

10 อันดับ

พัดลมและชุดน้ำก็วางกันได้แบบจุใจครับ ไม่มีกั๊ก ตามสไตล์ของค่ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า หรือด้านหลัง ที่ใส่ Radiator แบบ 360mm ได้ 2 ชุด ยังไม่รวมด้านล่างเคส และด้านบนก็ติดตั้งแบบ 240mm ได้ โดยที่ทาง Thermaltake เค้าดีไซน์ทางลมให้เป็นแบบ ดูดลมเข้าทางด้านหน้าและหลัง และระบายลมร้อนออกทางด้านบน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

10 อันดับ

หลายคนอาจสงสัยว่า แบบนี้จะมีพื้นที่ติดตั้งเพาเวอร์ตรงจุดใด? ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเพาเวอร์ในแต่ละรุ่น จะวางไม่เหมือนกัน บางรุ่นข้างล่าง หรือบางรุ่นก็อยู่ด้านหลังเคส และบางทีก็อยู่ด้านบน เพราะซีรีส์นี้ออกมาถึง 6 รุ่นด้วยกัน และการจัดวางก็ต่างกันไปตามดีไซน์นั่นเอง

10 อันดับ

ส่วนความยาวของการ์ดจอไม่น่ากังวล เพราะเท่าที่ดู นอกจากจะวางได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอนแล้ว ยังปรับ 90 องศาได้อีกด้วย การ์ดแบบ 3 พัดลมก็วางได้ ไม่ได้ดูติดขัดแต่อย่างใด ใครที่รอราคา คงต้องอดใจอีกนิดครับ เพราะบ้านเรากำลังเปิดตัวครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: Thermatake


6.Cooler Master Cooling X

ถ้าพูดถึงเคสคอมและชุดระบายความร้อน ไม่มีค่ายนี้ไม่ได้เลยครับ และใน CES 2023 ครั้งนี้ เค้าก็จัดแบบพิเศษมาให้กับ Cooling X ที่เป็นเคสออกแบบใหม่ ซึ่งมาพร้อมชุด Liquid Cooling มาในตัว สำหรับซีพียูและการ์ดจอ โดยใช้พื้นที่ฐานของตัวเคสแบบ Tower ด้วยบอดี้ทื่ใหญ่ วางตำแหน่งเอาไว้สำหรับเกมเมอร์ระด้บไฮเอนด์ รูปทรงคล้ายกับ Cosmos และยังผสมกับหน้าตาของรุ่นอื่นๆ มาไว้อีกด้วย ซึ่งช่วงหลังๆ ผมเองรู้สึกว่า ดีไซน์เค้าเริ่มไปไกลมาก

10 อันดับ

อย่างที่เห็นคือ ด้านหน้ามาพร้อมกับโลหะแบบตะแกรงดูดอากาศด้านนอก พร้อม Strip แสงไฟ ด้านข้างและด้านหลัง ก็เป็นช่องขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้ถึงกับจะเป็นช่องลมทะลุไปยังภายในได้ทั้งหมด ซึ่งคล้ายกับว่าโครงสร้างภายนอก จะเป็นเหมือนครีบระบายความร้อน และใช้เป็นจุดไหลเวียนของเหลว โดยมีตัวปั้มและ Block อยู่ภายใน 

10 อันดับ

โดยเท่าที่ดูทิศทางการไหลของ Liquid Cooling ถ้าดูตามชาร์ทนี้แล้ว จะเป็นเหมือน มาจากด้านข้างซ้ายของเคส เข้าปั้ม ไหลไปยังซีพียู และ GPU แล้วไปยังฝาข้างด้านขวา แล้วไปเวียนที่ Radiator จากนั้นก็จะไหลกลับไปยังฝาข้างด้านซ้ายอีกครั้งหนึ่งแบบนี้

10 อันดับ

เปิดฝาข้างออกได้ทั้ง 2 ด้าน จัดวางเพาเวอร์ไว้ด้านล่าง ด้านหลังมี Radiator 1 ชุดสำหรับซีพียู แต่ที่แอบสงสัยคือ ช่องด้านหลังที่เป็นพอร์ตแสดงผลด้านบนเคสนี้ เอาไว้ให้การเชื่อมต่อในแบบใดกันแน่ หรืออาจจะเป็นการวางอีกแนว และเปิดฝาด้านบน เพื่อต่อจอก็เป็นได้ครับ ใครชอบเคสแนวนี้ อดใจรอครับ ถ้ามีข้อมูลมาเพิ่มเติม จะเอามานำเสนออีกครั้งหนึ่งนะครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: wccftech.com


7.InWin POC Case

ใครที่เป็นนัก Mod ชอบเคสแบบมีสไตล์ มีชิ้นส่วนประกอบได้เองแบบอิสระ เคสรุ่นนี้ที่ InWin นำมาโชว์ในงาน น่าจะถูกใจคุณ ใช้แนวคิดคือ POC ออกแบบมาเป็นแผงโลหะ SECC แข็งแรงแบบโครงสร้างเคสปกตินี่เลย คุณสามารถนำมาประกอบจนกลายเป็นเคส Mini-ITX ได้ คล้ายกับการพับกระดาษ Origami อะไรแบบนั้น เคสจะเน้นสีสันที่สดใสหน่อย เพราะมีให้เลือกโทน เขียว/เหลือง (Tropical Sweetheart) และ น้ำเงิน/ดำ (Race Blue)

10 อันดับ

ตัวเคสมาพร้อมพัดลมขนาด 120mm มาให้ 1 ตัว รองรับการติดตั้งเพาเวอร์ยาว 16cm แต่ที่น่าสนใจคือ มีช่องสำหรับติดตั้งการ์ดจอแบบแนวตั้งได้อีกด้วย มี PCI-Express 4.0 riser cable ให้ และรองรับการ์ดจอรุ่นใหญ่ 3.5 สล็อต ยาวถึง 34cm ได้อีกด้วย

10 อันดับ

อย่างไรก็ดีในงานนี้ เท่าที่ได้เห็นไม่ได้มีความแปลกตากับโครงสร้างเคสเพียงอย่างเดียว แต่บรรจุภัณฑ์ที่เค้าใส่มาในแต่ละชิ้นนั้น ยังเป็นแบบซองกระดาษ รีไซเคิล ห่อมาให้อีกด้วย เซอร์ไพรซ์กันไปใหญ่ 

10 อันดับ

เคสแบบนี้ ชวนให้ผมนึกถึงบ้านน็อคดาวน์ในปัจจุบัน ที่คุณสามารถจัดการได้เอง เพราะเมื่อแกะของออกมาจากห่อ จะเป็นโลหะแบนเรียบ และคุณต้องมาพับงอในบางจุด แล้วไขน็อตยึดเพิ่มความแข็งแรง  เพื่อประกอบให้กลายเป็นเคสแบบ 3 มิติให้พร้อมใช้งาน

ตอนที่เห็นภาพเคสที่ประกอบสำเร็จแล้ว ส่วนตัวรู้สึกค่อนข้างทึ่ง แล้วน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีกับเคส Custom ในอนาคต ถ้ามีเรื่องของราคาเราจะมาอัพเดตให้ฟังกันอีกครั้งครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: InWin


8.COUGAR CRATUS

ถ้าพูดถึงเคสล้ำๆ หลายคนก็น่าจะนึกถึงค่ายนี้ COUGAR ที่มีเคสสวยล้ำอีกรุ่นหนึ่งมาลงตลาด ในชื่อ CRATUS สำหรับผมมองว่า มันเหมือนกับแชสซีส์ของรถแข่งเลยทีเดียว กับรูปลักษณ์ที่ดูดุดัน โครงสร้างท่อโลหะ ผสานกับกระจกเทมเปอร์ ที่มีการดัดโค้ง ให้ดูลงตัว ภายในกว้างขวาง เหมาะกับการติดตั้งอุปกรณ์ และสายนักโมดิฟาย ที่แทบจะสวยมาจากโรงงาน 

10 อันดับ

กระจกเทมเปอร์ เป็นคีย์หลักที่สร้างความโดดเด่น เพราะมีให้ถึง 4 ด้าน ด้านหน้าดัดโครงให้เข้ากับโครงเคส ยาวไปจนถึงด้านบน และ

10 อันดับ

การจัดทิศทางลม ใช้การดูดลมเย็นจากด้านหน้า และด้านล่าง ให้หมุนเวียนภายในเคส แล้วปล่อยลมร้อนออกทางด้านหลัง พร้อมแสงไฟ ARGB สวยเวอร์วัง ปรับแต่งได้ ด้วยการกดปุ่ม RGB บนตัวเคส แต่ก็มีหัวต่อ เพื่อเสียบเข้ากับเมนบอร์ด ในการใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ได้อีกด้วย 

10 อันดับ

จัดวางเคสได้ตั้งแต่ ATX ไปจนถึง E-ATX ซึ่งทำให้การวางการ์ดจอ ใส่ได้ยาวถึง 46cm ถ้าไม่ได้ติดตั้ง Radiator ด้านข้างเมนบอร์ด พร้อมพื้นที่ด้านหลังติดตั้ง SSD 2.5″ ได้ถึง 3 ตัวด้วยกัน และช่องสำหรับ HDD 3.5″ การติดตั้งชุดระบายความร้อน ทำได้ทั้งชุดพัดลมได้สูงสุด 9 ตัว และชุดน้ำ ติดตั้ง Radiator 360mm ได้ 

ที่ชอบเลยก็คือ ด้านหลังมีช่องเก็บสายเคเบิล ที่เปิดออกได้ ไม่ต้องแกะให้วุ่นวาย ความหนาที่มากพอสำหรับ ม้วนสายเอาไว้ในนั้น แทบจะมองไม่เห็นสายต่อเลยก็ว่าได้

10 อันดับ

เรื่องของราคายังไม่ได้เคาะออกมาเป็นทางการ ส่วนตัวมองว่า ถ้าคุณชอบเคสแบบนี้ ที่เปิดให้ลมเข้าหลายด้าน กระจกเทมเปอร์ที่โชว์ได้เกือบทุกอณู พร้อมกับดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร กำเงินรอไว้ได้เลยครับ ไตรมาสแรกปีนี้ได้ลุ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: COUGAR


9.MSI MEG Prospect 700

มาถึงเคสที่ 9 แล้ว เคสนี้ ไม่ได้ถือว่าใหม่มาก เพราะเปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2565 และสื่อบ้านเราก็ได้รีวิวกันไปบ้างแล้ว แต่ที่นำมาเพราะความล้ำสมัย มีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดี โดยเฉพาะการมีพาแนลบนตัวเคส สำหรับปรับแต่งสิ่งต่างๆ ภายใน 

10 อันดับ

กระจกเทมเปอร์สวยใสด้านข้าง เปิดกางได้ง่าย รวมถึงฝาปิดข้าง ที่เก็บสายไฟ ก็กว้างขวางดีทีเดียว

10 อันดับ

จอเป็นแบบทัชสกรีนขนาดใหญ่ ปรับโหมดไฟ ARGB ได้ เลือกได้หลายแบบ รวมถึงปรับรอบพัดลม มีโพรไฟล์ ตั้งเวลาเปิด-ปิดหน้าจอ ซิงก์กับซอฟต์แวร์บนเมนบอร์ดได้เช่นกัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับที่มีอยู่บนเกมมิ่งพีซีบางรุ่นของ MSI 

10 อันดับ

ภายในติดตั้งชุดน้ำ Radiator 360mm ได้ มีพัดลมให้เป็นแบบ ARGB จำนวน 4 ตัว หน้า 3 หลัง 1 ขนาด 140mm พาแนลด้านหลังปรับเลื่อนได้ สำหรับการวาง Radiator หรือจะใช้เป็นพัดลมก็ได้เช่นกัน พื้นที่ภายในวางการ์ดจอตัวใหญ่ๆ 3 พัดลมได้สบายๆ กว้างขวาง

10 อันดับ

แต่เรื่องของมิติ ก็อาจจะดูใหญ่พอสวมควร แต่ถ้ามองว่า ตั้งใจจะจับฮาร์ดแวร์แรงๆ รุ่นใหญ่ ยัดเข้าไปให้ได้ รวมถึงชุดน้ำ ผมว่า MSI รุ่นนี้ตอบโจทย์คุณได้เลย เคาะราคาอยู่ที่ประมาณ 14,900 บาทครับ มีจำหน่ายแล้ว สนใจก็ไปตำกันได้เลย

ข้อมูลเพิ่มเติม: MSI


10.ASUS HYPERION

เป็นเคสเกมมิ่งสำหรับคอเกม ที่มีความโดดเด่นในด้านการออกแบบ ซึ่งหากคุณเป็นแฟนบอยของ ASUS ROG เคสนี้ น่าจะเป็นทางของคุณ ตัวเคสขนาดใหญ่ เพิ่มระดับความสูง ให้อากาศไหลเวียนได้มากขึ้น และรองรับ Radiator ขนาด 420mm ได้ถึง 2 ตัวด้วยกัน กับการออกแบบรูปลักษณ์ที่ยังล้ำสมัย พร้อมใส่สีสันไฟ RGB มาเป็นทางเลือกให้กับการแต่งคอม กับการจัดวางเคส ที่ใช้โครงรูปตัว X ในการกระจายน้ำหนัก

10 อันดับ

ภายในเปิดให้เป็นห้องขนาดใหญ่ รับการติดตั้งเมนบอร์ด E-ATX ได้ พร้อมพื้นที่ขนาดใหญ่ ให้สามารถรองรับการ์ดจอรุ่นใหญ่อย่าง GeForce RTX4090 ได้สบาย ซึ่งสามารถใส่การ์ดจอได้ยาวสุดถึง 46cm เลยทีเดียว โดยให้พื้นที่แนวตั้งสูงสุด 13cm เผื่อการ์ดจอตัวใหญ่ จะได้ไม่ติดขอบฝาเคส

นอกจากนี้ยังมาพร้อมโครงอะลูมิเนียม สำหรับรับกราฟิกการ์ดแบบ 2-way ยึดไม่ให้ตัวการ์ดห้อย หรือเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง รวมถึงยังจัดสายเคเบิลได้ง่ายกว่าเดิม

10 อันดับ

พื้นที่ด้านหลังเมนบอร์ดกว้างพอในการจัดเก็บสาย พร้อมกับแถบยาง เพื่อใช้ในการรัดจัดเก็บให้เป็นระเบียบ เช่นเดียวกับฝาปิดอะคลิลิคทางด้านหลัง ให้เปิดออก และใส่สายเข้าไปได้ โดยมีคอนโทรลเลอร์ ARGB มาในตัว เพื่อใช้ต่อเข้ากับบรรดาอุปกรณ์ที่รองรับ AURA Sync ซึ่งติดตั้งชุดอุปกรณ์ไฟ RGB เพิ่มได้ถึง 8 ชิ้นและพัดลมแบบ PWM 6 ตัว

10 อันดับ

นับว่าเป็นเคสคอมอีกรุ่นหนึ่ง ที่สามารถปรับเปลี่ยนและโมดิฟายได้ง่าย เหมาะกับคนที่ชอบประกอบคอมเซ็ตด้วยตัวเอง และเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปได้สะดวก การระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS


Conclusion

10 อันดับ เคสคอม 2023 ที่เราได้รวบรวมมาในครั้งนี้ ในแต่ละรุ่นถือว่ามีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ซึ่งหากมองกันที่นวัตกรรมแล้ว CYBERPOWERPC ถือว่ามีลูกเล่นที่น่าสนใจทีเดียว แต่ถ้าจะเน้นที่การระบายความร้อน MSI, COUGAR และ Cooler Master ก็มีทิศทางในการปรับแต่งเคสของตน เพื่อให้ผู้ใช้ได้นำไปใช้งานได้เลย แทบจะไม่ต้องเพิ่มเติมสิ่งอื่นใดมากนัก และยังรองรับการติดตั้ง Radiator ได้มากกว่า 1 ชุดอีกด้วย แต่ถ้าชอบความล้ำสมัย สวยงามเคสจาก COUGAR, MSI และ ASUS ก็ตอบโจทย์เกมเมอร์ และนักโมดิฟายได้ดี แต่ถ้าชอบความเก๋ไก๋ ดูไม่ซ้ำใคร สวยได้แม้จะมินิมอล เคสจาก InWin และ Hyte น่าจะเป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบได้เป็นอย่างดีครับ ความชอบของคุณเป็นแบบใด เลือกใช้กันได้ตามสะดวก แล้วอย่าลืมคอมเมนต์ให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันบ้างนะครับ แล้วพบกันกับการรวบรวมข้อมูลไอทีครั้งต่อไปครับ

from:https://notebookspec.com/web/684474-10-pc-case-ces-2023

4TB SSD External 5 รุ่นเด็ด เก็บได้เยอะ โอนถ่ายข้อมูลไว เพื่อเกมเมอร์ ครีเอเตอร์ 2023

4TB SSD External 5 รุ่น เก็บข้อมูล โอนถ่ายไฟล์ เร็ว สายทำงาน เล่นเกม ต้องโดน! ความจุเหลือๆ

4TB SSD External

4TB SSD External เก็บข้อมูลแบบจัดเต็ม ไม่เกรงใจใคร ใครที่มีข้อมูลเยอะมาทางนี้ เรามี 5 SSD แบบต่อภายนอกมาแนะนำ กับความจุระดับ 4TB ให้พื้นที่ในการจัดเก็บงานปริมาณมากๆ และให้ความเร็วในการทำงาน ไม่ว่าจะโอนถ่ายไฟล์ ย้ายข้อมูล หรือจัดเก็บได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเกมเมอร์ในการสำรองไฟล์เกมที่ชื่นชอบ เอาไว้ใช้กับเครื่องอื่นได้ หรือนักสร้างคอนเทนต์ ที่ใช้สำรองข้อมูล ไฟล์ภาพ วีดีโอและเสียง ที่มีขนาดใหญ่และนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว หรือเหล่ายูทูปเบอร์ และสตรีมเมอร์ ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บวีดีโอความละเอียดสูง เอาไว้ใช้ในการตัดต่อ หรือนำเสนอผลงาน ข้อดีคือ ทำงานได้ไวกว่าที่เป็นแบบฮาร์ดดิสก์ต่อภายนอก รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หากกำลังมองหาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลความจุ และความเร็วสูงไปพร้อมๆ กัน มาติดตามบทความนี้ไปพร้อมๆ กันครับ


4TB SSD External

  1. WD MYPASSPORT 4TB
  2. Kingston SXS2000 4TB
  3. SANDISK Extreme 4TB
  4. SANDISK Extreme Pro 4TB
  5. LaCie Rugged SSD 4TB
  6. Crucial X8 4TB

External SSD vs HDD แบบไหนดี?

4TB SSD External

จากคำถามนี้ เชื่อว่าถ้าย้อนไป 4-5 ปีก่อน หลายคนอาจตอบเลยว่า External HDD ยังน่าใช้กว่า ทั้งราคาและความจุ ที่ดูไปด้วยกันได้ ซึ่งในปัจจุบันก็อาจจะยังเป็นเช่นนี้อยู่ เพราะอย่าง External HDD 1TB เริ่มที่พันกว่าบาท แต่ถ้าเป็น SSD 1TB แบบต่อภายนอก ราคาเริ่มต้น 3 พันกว่าบาท ซึ่งแพงกว่าเกือบเท่าตัว แต่เวลานี้ ผู้ใช้บางกลุ่ม ไม่ได้เน้นที่ราคาเป็นหลักอีกต่อไป แต่มองที่ศักยภาพ ความเร็ว และการตอบสนองกับงานได้ดี และให้ความสำคัญกับเวลา เนื่องจาก External SSD แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่ออยู่บ้าง แต่ก็ยังให้ความเร็วในการค้นหาข้อมูลได้ดีกว่า และการโอนถ่ายข้อมูลที่รวดเร็ว อย่างเช่น

Advertisementavw
4TB SSD External
source: Crucial

External HDD เมื่อเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB 3.0 Type-A เป็นส่วนใหญ่ และเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟส SATA ซึ่งให้ความเร็วในการทำงานจะอยู่ที่ประมาณ 5Gbps ดังนั้นอัตราการ Read หรืออ่านข้อมูลสูงสุดที่ 120MB/s โดยประมาณ แต่ถ้าดูจาก Host ของการเชื่อมต่อบน USB รุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น USB 3.1 Gen1 ให้ความเร็วในระดับ 5Gbps, แต่ถ้าเป็น Gen2 จะขยับไปที่ 10Gbps และสุดท้ายคือ Thunderbolt 3 ก็จะให้ได้ถึง 40Gbps เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อ SSD มีความเร็วมากพออยู่แล้ว มาเชื่อมต่อกับ Host ในแบบ External รุุ่นใหม่ๆ ก็ทำให้ความเร็วเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างเช่น SSD External รุ่นใหม่ๆ เมื่อเชื่อมต่อกับ USB 3.1 Type-C ก็ให้ความเร็วในระดับ 1,000MB/s ได้ ความเร็วก็จะเหนือกว่า External HDD เกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว


เลือกอย่างไร?

4TB SSD External
source: WD

แล้วถ้าต้องการใช้ External SSD หรือ SSD แบบต่อภายนอกนี้ จะต้องเลือกอย่างไร?

ความจุ: เรื่องนี้อาจจะต้องให้มองว่า คุณมีการใช้งานข้อมูลในแต่ละวันมากน้อยเพียงใด พิจารณาถึงการเก็บข้อมูลระยะสั้น และระยะยาว บางครั้งอาจจะต้องสำรองข้อมูลที่จำเป็นบ่อยครั้ง เช่น ไฟล์วีดีโอที่เป็นฟุดเทจ ถ่ายเก็บ และนำมาใช้ตัดวีดีโอในภายหลัง หรือเป็นไฟล์งานที่ต้องอัพเดตบ่อย รวมถึงเกมเมอร์ ที่ชอบสำรองตัวเกมที่ชอบเอาไว้ และลบไฟล์เกมจากไดรฟ์หลัก ให้เหลือพื้นที่ติดตั้งเกมใหม่เอาไว้เล่นนั่นเอง หากประเมินได้แล้ว ก็ให้เผื่อพื้นที่เอาไว้สักหน่อย กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นอาจใช้ประมาณ 400GB ก็เลือก 500-512GB ได้เช่นกัน แต่ถ้างบประมาณมากหน่อย ตัวเลือก 1TB ก็น่าสนใจไม่น้อย

ดีไซน์และมิติ: เรื่องของดีไซน์ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งในปัจจุบันก็มีตัวเลือกหลายแบบ เช่น บางเบา กระทัดรัด พกพาสะดวก บางรุ่นมีความแข็งแรง ทำบอดี้มาเป็นพิเศษ กันกระแทกและกันฝุ่น ละอองน้ำเป็นต้น หรือบางรุ่นมีที่แขวน จัดเก็บง่าย ตรงนี้ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเลือกแบบใด แต่ถ้าจะแนะนำ วัสดุที่แข็งแรง ปกป้อง SSD ที่อยู่ภายในได้ดี มีกันกระแทก ไม่ต้องเล็กมาก หากกลัวว่าจะหาย และให้อยู่ในงบประมาณที่ไม่สูงเกินไปนัก

การเชื่อมต่อ: เวลานี้จะเป็นแบบเดียวกันเกือบทั้งหมด นั่นคือต่อผ่าน USB-C แต่จะเป็นมาตรฐานใดนั้น ก็ต้องเช็คที่สเปคกันอีกครั้ง โดยจะมีให้เลือกหลักๆ 2 แบบคือ USB 3.2 Gen1 x2 จะให้ความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูล ประมาณ 1,000MB/s ทั้งการ Read/ Write และ USB 3.2 Gen2 x2 ที่ให้ความเร็วได้มากกว่า อยู่ที่ประมาณ 2,000MB/s ทั้งการ Read/ Write จะเห็นได้ว่าความเร็วมากกว่าถึงเท่าตัว แต่ราคาก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ราคาและการรับประกัน: การประกันจะคล้ายกับ SSD Internal มีอยู่ 2 แบบ ขึ้นอยู่กับซีรีส์ของ SSD ในแต่ละรุ่น แต่ละค่าย เช่น SANDISK Extreme การรับประกันอยู่ที่ 5 ปี ส่วน SANDISK Portable รุ่นพื้นฐานประกัน 3 ปี หรือจะเป็น WD Element ประกัน 3 ปี ส่วน MYPASSPORT จะรับประกัน 5 ปีเป็นต้น


1.WD MYPASSPORT 4TB

4TB SSD External

ถือว่าเป็น External SSD ของเจ้าตลาดอีกรุ่นหนึ่ง ราคาดีใน 4TB SSD External คร้ังนี้ ที่ทำออกมาตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เคลื่อนย้ายสะดวก และมีความทนทาน ทาง WD เลือกวัสดุที่เป็นเปลือกภายนอก มีความแข็งแรง ทนต่อการตกกระแทกได้ มีให้เลือก 4 สี แดง ทอง น้ำเงินและสีเทา โดยรุ่นที่เป็น 4TB เป็นสีเทา ดูพรีเมียมทีเดียว มาในมิติประมาณฝ่ามือเท่านั้น 100.08 x 55.12 x 8.89mm จัดว่าเล็กกว่ารีโมททีวีที่บ้านด้วยซ้ำ ให้การเชื่อมต่อผ่าน USB-C ในแบบ USB 3.2 Gen 1 จึงให้ความเร็วในการทำงานที่ 1050MB/s (Read) และ 1,000MB/s (Write) จัดว่าเร็วกว่าการที่เราใช้ External HDD พื้นฐานบน USB-A อยู่ไม่น้อยเลย เหมาะกับการทำงานพื้นฐานทั่วไป การจัดเก็บไฟล์จำนวนมาก และการอัพเดตไฟล์อย่างต่อเนื่อง พกพกสะดวก โดยปกติจะเชื่อมต่อแบบ Type-C to Type-C ได้ แต่หากมีโน๊ตบุ๊คหรือพีซีที่เป็นพอร์ตรุ่นเก่า ก็ใช้สายแบบ USB-C to Type-A ได้เช่นกัน การรับประกัน 5 ปี ราคา 15,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด ความเร็วในการทำงานที่ 1050MB/s
ราคาค่อนข้างดี

ข้อมูลเพิ่มเติม: WD


2.Kingston SXS2000 4TB

4TB SSD External

Kingston SXS2000 จัดว่าเป็น External SSD ในกลุ่มพรีเมียม ที่ออกแบบมาสำหรับงานที่สำคัญ และการพกพาที่สะดวก ด้วยมิติตัวไดรฟ์ 69.54 x 32.58 x 13.5mm ที่ถือว่าใกล้เคียงกับกุญแจรีโมทรถยนต์ในแบบ Keyless ในปัจจุบัน น้ำหนักประมาณ 29 กรัมเท่านั้น วัสดุโครงสร้างโลหะ และมีชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติก ให้ทั้งความทนทาน และน้ำหนักที่เบา ซึ่งว่ากันตามมาตรฐาน IP55 ซึ่งมียางรองกันกระแทก เมื่อตกหล่นและกันละอองน้ำ รวมถึงกันฝุ่นได้ค่อนข้างดี ด้านในเป็น NAND Flash ที่ให้ความเร็วในการทำงานสูงถึง 2,000MB/s ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล จึงมั่นใจได้ว่าไฟล์ขนาดใหญ่ อย่างเช่น วีดีโองานระดับ 4K/ 8K จะถูกจัดเก็บ และเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว โดยให้การเชื่อมต่อผ่านทาง USB 3.2 Gen2 x2 ซึ่งหากคุณมีพอร์ตนี้อยู่ที่เครื่องคอมหรือโน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่ ก็จะใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ การรับประกันอยู่ที่ 5 ปี สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 15,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เล็กสุดในรุ่น เบา วามเร็วในการทำงานสูงถึง 2,000MB/s
ความทนทาน IP55

ข้อมูลเพิ่มเติม: Kingston


3.SANDISK Extreme 4TB

4TB SSD External

จัดว่าเป็น 4TB SSD External ที่เป็นตัวเริ่มต้นของใครหลายคนได้เลย และยังเป็นตัวใช้สำรองงาน โอนถ่ายข้อมูลแบบจริงจัง สำหรับงานที่ต้องให้ความสำคัญทั้งในด้านความเร็ว และความจุ กับระดับ 4TB จาก SANDISK รุ่นนี้ ช่วยให้การทำงานไหลลื่นขึ้นไม่น้อยเลย มาพร้อมดีไซน์ของสีดำตัดเส้นสายสีส้ม อันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ วัสดุภายนอกอะลูมิเนียมกับขอบยาง ที่ช่วยป้องกันแรงกระแทก และมีส่วนในการระบายความร้อนในการใช้งานได้ พอร์ตการเชื่อมต่อมาเป็น USB-C ในแบบ USB 3.2 Gen 2 เสียบใช้งานง่าย ให้มาตรฐาน IP55 เพิ่มความมั่นใจในการเคลื่อนย้าย กันฝุ่น ละอองน้ำได้ดีพอสมควร ให้ความเร็วที่ระดับ 1,050MB/s (Read) และ 1,000MB/s (Write) มิติอยู่ที่ประมาณ 102mm x 53mm x 10mm เท่านั้น ราคา 16,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย ความเร็วกานอ่านที่ระดับ 1,050MB/s
ความทนทาน IP55

ข้อมูลเพิ่มเติม: SANDISK


4.SANDISK Extreme Pro 4TB

4TB SSD External

อีกหนึ่งที่เข้ามาใน 4TB SSD External เป็นรุ่น Extreme Pro series นี้ ที่ขยายขีดความสามารถขึ้นมาจาก Extreme ทั้งในเรื่องความเร็ว ประสิทธิภาพและการเชื่อมต่อ โดยที่ใช้ในแบบ USB-C เช่นเดียวกัน แต่เป็นอินเทอร์เฟสแบบ USB 3.2 Gen 2 x2 นั่นก็ทำให้ความเร็วในการทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 2,000MB/s ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล เหมาะกับสายทำงานจริงจัง ที่ต้องจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ หรือไฟล์จำนวนมาก หรือบางครั้งอาจจะต้องพรีวิวงานผ่านทาง External Drive ได้อย่างรวดเร็ว หรือมีข้อมูลที่จะต้องอัพเดตในแต่ละวันบ่อย รวมถึงเหล่าเกมเมอร์ ที่อยากจะสำรองไฟล์ตัวโปรดเอาไว้ใช้ จะได้ไม่ต้องดาวน์โหลดกันบ่อยๆ บอดี้เป็นอะลูมิเนียม ที่ช่วยในการระบายความร้อนไปในตัว ดีไซน์ค่อนข้างทันสมัย เป็นสีเทาดำ ตัดด้วยเส้นสายสีส้ม ดูสปอร์ต พร้อมช่องสำหรับแขวนที่คล้องกุญแจได้ ขนาดประมาณ 110.26 x 57.34 x 10.22mm เรียกว่าแทบจะเท่ารีโมททีวีขนาดเล็กได้เลย โดยมีขอบเคสเป็นซิลิโคนโดยรอบ ทำให้ปกป้องได้ดียิ่งขึ้น กับมาตรฐาน IP55 กันน้ำและฝุ่น รวมถึงการหล่นกระแทก พร้อมการรับประกัน 5 ปี สนนราคาอยู่ที่ 19,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ความเร็วสูง 2,000MB/s
บอดี้พร้อมระบายความร้อนในตัว

ข้อมูลเพิ่มเติม: SANDISK


5.LaCie Rugged SSD 4TB

4TB SSD External

สำหรับค่าย Lacie เชื่อได้เลยว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จัก เพราะโด่งดังในตลาดด้าน Storage มายาวนาน โดยเฉพาะไดรฟ์ที่ให้การ Protect มาเป็นพิเศษ โดยในรุ่น RUGGED นี้ก็เช่นกัน ที่ออกแบบมาให้มีความทนทาน ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันฝุ่น ละอองน้ำ หล่นกระแทก บนมาตรฐาน IP67 ที่มากกว่าในรุ่นอื่นๆ หรือจะเป็นการเข้ารหัสไฟล์ โดยใช้ SSD ในแบบ NVMe ขนาดเล็ก ให้ความเร็วในการทำงานที่ 1,050MB/s (Read) เชื่อมต่อผ่านพอร์ตในแบบต่างๆ ได้ เช่น Thunderbolt 4, USB 3.2 Gen 2 ในแบบ USB-C เชื่อมต่อง่าย กับการออกแบบภายนอกที่ดูแปลกตา ในโทนสีส้มสดใส มิติอยู่ที่ประมาณ 97.9 x 64.9 x 17mm และน้ำหนักประมาณ 100 กรัมเท่านั้น การรับประกัน 5 ปี ราคาค่อนข้างจะโหดสักหน่อย เพราะอยู่ที่ราว 35,590 บาท แต่ก็มีความโดดเด่นในหลายด้าน จัดเป็น 4TB SSD External อีกรุ่นที่น่าสนใจ

จุดเด่น ข้อสังเกต
แข็งแรง ทนทานระดับ IP67 มิติค่อนข้างหนาเล็กน้อย

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lacie


Crucial X8 4TB

4TB SSD External

รุ่นสุดท้ายนี้ผมขอเป็นตัวเสริมใน 4TB SSD External เผื่อเป็นทางเลือกของเพื่อนๆ แต่เท่าที่เช็คยังไม่เห็นจำหน่ายในบ้านเรา เคาะราคาต่างประเทศอยู่ที่ราวๆ หมื่นกว่าบาท ก็ถือว่าทำราคาได้ดีทีเดียว และบอดี้ก็ยังออกแบบมาค่อนข้างดี ตัวเคสรับหน้าที่ในการระบายความร้อนไปในตัว กับโทนสีดำ ตัดด้วยโลโก้สีขาว กับมิติที่อาจจะใหญ่กว่ารายอื่นๆ อยู่เล็กน้อย 110 x 53 x 10mm ให้การเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟส USB 3.2 Gen 2 ในแบบ USB-C ให้ความเร็วในการอ่านข้อมูล 1,050MB/s ใช้งานง่าย เป็น SSD ที่เหมาะกับคนทำงาน เก็บข้อมูลบ่อย หรืออัพเดตข้อมูลเป็นประจำ และอยู่กับข้อมูลปริมาณมากๆ ซึ่งจะทำให้การโอนถ่ายข้อมูลทำได้รวดเร็ว ไม่ว่าจะทำงานเอกสาร หรือทำด้านงานวีดีโอและงานตัดต่อเป็นต้น โดยให้การรับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
รูปลักษณ์ทันสมัย ความเร็วในการอ่านข้อมูล 1,050MB/s

ข้อมูลเพิ่มเติม: Crucial


Conclusion

Model ความจุ มิติ อินเทอร์เฟส Sequential
Read
การรับประกัน (ปี) ราคา
1.WD MYPASSPORT 4TB 100.08 x 55.1 x 8.89mm USB 3.2 Gen 1 1,050MB/s 5 15,900
2.Kingston SXS2000 4TB 69.54 x 32.58 x 13.5mm USB 3.2 Gen 1 1,050MB/s 5 15,900
3.SANDISK Extreme 4TB 102 x 53 x 10mm USB 3.2 Gen 2 1,050MB/s 5 16,900
4.SANDISK Extreme Pro 4TB 110.26 x 57.34 x 10.22mm USB 3.2 Gen 2 2,000MB/s 5 19,900
5.LaCie Rugged 4TB 97.9 x 64.9 x 17mm USB 3.2 Gen 2 2,000MB/s 5 35,590
6.Crucial X8 4TB 110 x 53 x 10mm USB 3.2 Gen 2 1,050MB/s 3 249.99USD

ถ้ามองกันในภาพรวม 4TB SSD External ทั้ง 5-6 รุ่น ที่เรานำมาให้ชมกันในวันนี้ หลายรุ่นมีความน่าสนใจ สำหรับคนที่ทำงานจริงจัง และการใช้ในการบันทึกข้อมูลที่สำคัญ แม้ว่าความจุระด้บ 4TB อาจจะดูห่างไกลจากการใช้งานจริงของหลายคน แต่สำหรับบางท่าน ที่มีข้อมูลจำเป็นต้องใช้อยู่บ่อย อาจจะเป็นความจุที่กำลังพอเหมาะ ซึ่งถ้ามองว่าเยอะไป ยังมีตัวเลือก 1-2TB ให้ได้ใช้กัน ในเรื่องของประสิทธิภาพและความเร็ว SANDISK Extreme Pro ก็ดูน่าสนใจไม่น้อย เพราะราคาเพิ่มจากรุ่นปกติที่ให้ความเร็วระดับ 1,050MB/s ขึ้นมาประมาณ 3,000-4,000 บาท แต่ได้ความเร็วในการอ่านข้อมูลเพิ่มขึ้นมาเท่าตัว ส่วนคนที่ชอบความเล็กกระทัดรัด ตัวเลือกอย่าง Kingston SXS2000 ก็น่าสนใจ แต่ถ้าสายอึด ถึก ทน ก็มีตัวเลือกอย่าง LaCie Rugged ที่ทนกระแทก น้ำและฝุ่น พร้อมมาตรฐาน IP67 อุ่นใจได้ในทุกสภาวะ ส่วนถ้าเน้นราคาดี หาซื้อง่าย WD MYPASSPORT SSD ก็น่าใช้ไม่น้อยเลย ทั้งหมดนี้เป็น SSD รุ่นใหญ่ 4TB แบบต่อภายนอกที่นำมาฝากกันครับ สนใจรุ่นไหน ก็ไปจับจองกันได้เลย เวลานี้มีจำหน่ายเกือบครบทุกรุ่นแล้วครับ และถ้าคุณมองหา SSD ต่อภายในแบบ Internal สามารถเข้าไปชม ที่นี่ ได้เลย มีให้เลือกเพียบ

from:https://notebookspec.com/web/682248-5-4tb-ssd-external-2023

SSD โน๊ตบุ๊ค 1TB งบ 3,000 บาท 8 รุ่นเด็ด M.2 PCIe เร็ว เก็บข้อมูลเยอะ เปิดเครื่องไว ทนทาน

SSD โน๊ตบุ๊ค 8 รุ่นเด็ดงบ 3,000 บาท เร่งความเร็ว เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค M.2 PCIe รุ่นใหม่ ติดตั้งเกม ลงโปรแกรม เก็บข้อมูลเหลือๆ

SSD โน๊ตบุ๊ค

SSD โน๊ตบุ๊คก็ถือว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญ ที่ทำให้โน๊ตบุ๊คสามารถทำงานได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเครื่อง เปิดโปรแกรม เข้าสู่ระบบ เปิดไฟล์ และโอนถ่ายไฟล์ รวมถึงมีส่วนต่อการเล่นเกมอยู่ไม่น้อยเลย ซึ่งการเลือกใช้ SSD ก็มีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย โดยในวันนี้เราจะมาพูดถึงการเลือกซื้อ และข้อพิจารณาในการใช้งานให้เหมาะสม พร้อมทั้งนำ SSD 8 รุ่นที่น่าสนใจในงบ 3,000 บาท ที่เป็นแบบ M.2 NVMe PCIe มาฝากกัน ส่วนจะมีรุ่นใดบ้าง ไปชมกันเลยครับ


SSD โน๊ตบุ๊ค 1TB ลงเกม ติดตั้งโปรแกรม งบ 3,000


SSD โน๊ตบุ๊ค เลือกอย่างไร?

การเลือก SSD ที่นำมาใช้กับโน๊ตบุ๊คเงื่อนไขแทบไม่ได้ต่างไปจากการใช้บนพีซีมากนัก จะมีเพียง 1-2 เรื่องที่ต้องพิจารณา และต้องดูตามการสนับสนุนของโน๊ตบุ๊คแต่ละรุ่นด้วยว่าจะรองรับมาตรฐานใด หรือความจุเท่าใดได้บ้าง การเลือก SSD ให้ตรงกับความเหมาะสมในการใช้งาน และราคาที่คุ้มค่า จะทำให้คุณสามารถใช้งานโน๊ตบุ๊คได้เร็วขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนโน๊ตบุ๊คตัวเก่าของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม

Advertisementavw
Unbox KIOXIA SSD 40

อินเทอร์เฟส: ตรงนี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะโน๊ตบุ๊คเวลานี้ผ่านมาหลายเจนเนอเรชั่นแล้ว สิ่งที่ต้องสังเกตก็คือ โน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่นั้น มีพอร์ตหรือสล็อตรองรับ SSD แบบใดได้บ้าง หากเป็นโน๊ตบุ๊คที่ย้อนไปสัก 5-6 ปีก่อน อาจจะมีเพียง SATA ที่รองรับ HDD ในแบบ 2.5″ ก็ต้องเลือกใช้ SSD แบบ 2.5″ SATA III แม้ว่าจะไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ข้อดีคือ ให้ความเร็วได้มากกว่า HDD ปกติถึง 3-4 เท่าตัวเลย อีกทั้งปัจจุบันก็มีให้เลือกมากกว่า 1TB อีกด้วย

ถัดมาโน๊ตบุ๊คบางรุ่นอาจจะมีสล็อตแบบ M.2 มาให้ แต่จะเป็น M.2 SATA ซึ่งจะใช้ร่วมกับ SSD SATA ในแบบ M.2 สังเกตง่ายๆ จะมีรอยบาก 2 จุดบนหน้าสัมผัส ประสิทธิภาพแทบไม่ต่างไปจาก SSD 2.5″ แต่สะดวกกว่า เพราะไม่ต้องต่อสายไฟเลี้ยงให้วุ่นวาย อีกทั้งขนาดเล็กกว่าเยอะ

Kingston NVq SSD

และในแบบปัจจุบัน จะมีเป็นแบบ M.2 NVMe PCIe รูปแบบนี้จะมีสล็อตคล้ายกับ M.2 SATA แต่จะมีรอยบากเพียงจุดเดียวบนหน้าสัมผัส ข้อดีคือ ให้ความเร็วสูง ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล เพราะมีการเชื่อมต่อกับช่องทาง PCI-Express กับซีพียูโดยตรง โดยเวลานี้จะมีทั้งแบบ PCIe Gen3, Gen4 และที่กำลังจะมาก็เป็น PCIe Gen5 ซึ่งความเร็วจะสูงขึ้นตามลำดับ และล่าสุดความเร็วมีให้เห็นมากกว่า 7,000MB/s แล้ว ซึ่งหากเทียบกับ Gen3 ที่มีความเร็วประมาณแค่ 3,000-4,000MB/s เท่านั้น และถือว่าเร็วกว่า HDD แบบ SATA อยู่หลายสิบเท่าอีกด้วย แต่ถ้าต้องการจะใช้มาตรฐานใหม่นี้ ก็ต้องเช็คด้วยว่าโน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่ เป็น PCIe ในเจนเนอเรชั่นใด

Gigabyte SSD P7000s 1TB 34

ความจุ: ให้มองที่การใช้งานเป็นหลัก หากเป็นโน๊ตบุ๊คทั่วไป ไม่ได้เก็บไฟล์เยอะ โปรแกรมไม่มาก และใช้ร่วมกับ Clou storage 480-500GB ก็เพียงพอต่อการใช้งาน เหลือพื้นที่จัดเก็บไฟล์ใช้บ่อยอีกพอสมควร ลงโปรแกรมเพิ่มได้ แต่ถ้าเป็นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค และมีเกมมากกว่า 3 เกมใหญ่ขึ้นไป ความจุที่มากกว่า 500GB หรือทางเลือกอย่าง 960GB และ 1TB เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะช่วยให้คุณสามารถติดตั้งเกม ลงโปรแกรม และเก็บไฟล์ข้อมูลได้ แบบที่ไม่อึดอัดมากไปนัก

ความเร็ว: ความเร็วที่ดี ก็บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของ SSD รุ่นนั้นๆ ได้ดี อย่างตัวเลข Sequential Read/ Write มีหน่วยเป็น MB/s (เมกะไบต์ต่อวินาที) ตรงนี้ให้ดูจากตัวเลขที่ยิ่งมาก ก็จะหมายถึง การเปิดไฟล์ โอนถ่ายไฟล์ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการ Copy file และเข้าสู่ระบบด้วย ขึ้นอยู่กับอินเทอร์เฟสและ NAND Flash ที่มีอยู่บน SSD รวมถึงคอนโทรลเลอร์บนโมดูล SSD ด้วย อย่างไรก็ดียิ่งตัวเลขที่สูง ราคาก็จะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน สำหรับคนที่ใช้โน๊ตบุ๊ค ถ้าเป็น PCIe Gen4 ก็แนะนำให้เลือกใช้ SSD PCIe 4.0 คุณจะได้ความเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยเลย

ความทนทาน: MTBF (Mean Time Between Failures): เป็นตัวเลขที่มีอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ และอยู่ใน SSD ซึ่งเป็นค่าที่บอกถึงอัตราเฉลี่ยของระยะเวลาในการทำงานจนกว่าจะเกิดความเสียหายหรือบกพร่อง จะมีหน่วยคำนวณเป็นชั่วโมง คล้ายกับค่า BTW คือตัวเลขยิ่งมาก ก็ยิ่งหมายถึงมีสมรรถนะที่ดี มั่นใจได้ ตัวเลขจะนับเป็นล้านชั่วโมงขึ้นไป อย่างเช่น SSD รุ่นกลางๆเวลานี้ ตัวเลขก็มีให้เห็นมากกว่า 1-2 ล้านชั่วโมง นั่น แต่ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงค่าเฉลี่ย อาจมากหรือน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน การเลือก SSD ยี่ห้อไหนดี ก็อาจจะต้องใช้ค่านี้มาใช้ในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน


1.ADATA LEGEND 710 1TB ราคา 2,590 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

เริ่มจาก SSD น้องเล็กสุดในงบไม่ถึง 3 พันบาท จาก ADATA ที่มาพร้อมความจุ 1TB รุ่นนี้เหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นเรื่องของความจุ หาซื้อง่าย ราคาค่อนข้างประหยัด เบียดบี้กับรุ่น 512GB ได้อย่างสูสี แต่ยังเป็นอินเทอร์เฟส PCIe 3.0 x4 จึงให้ความเร็วในการอ่าน/เขียน ในแบบมาตรฐาน คือประมาณ 2,400MB/s (Read) กับดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย ความทนทานจากค่า MTBF อยู่ที่ 1.5 ล้านชั่วโมง และการเขียนซ้ำทำได้ที่ 520TB การรับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เขียนซ้ำได้ถึง 520TB เป็นแบบ PCIe 3.0 x4
ราคาประหยัด

ข้อมูลเพิ่มเติม: ADATA


2.PNY CS1031 1TB ราคา 2,890 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

เป็น SSD ในระดับเริ่มต้น สำหรับผู้ที่ต้องการอัพเกรดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนโน๊ตบุ๊ค หรือเป็นตัวเก็บข้อมูลสำรอง กรณีที่มีสล็อต M.2 ว่างอีกหนึ่งช่อง ราคาประหยัด โดยรุ่นนี้มีให้เลือกตั้งแต่ 256GB จนถึง 2TB เชื่อมต่อบนอินเทอร์เฟส PCIe 3.0 x4 เช่นเดียวกัน และให้ความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 2,400MB/s สำหรับรุ่น 1TB และค่า Endurance 240TB (TBW) และ MTBF 2 ล้านชั่วโมง แต่ที่น่าสนใจก็คือ ให้ระยะการรับประกันถึง 5 ปีเลยทีเดียว ราคา 2,890 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ราคาไม่ถึง 3 พันบาท การอ่านระดับมาตรฐาน
รับประกัน 5 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม: PNY


3.Kingston NV2 1TB ราคา 2,890 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

จัดว่าเป็น SSD ความจุ 1TB ในแบบ PCIe 4.0 x4 รุ่นใหม่ ที่ทำราคาได้ดีที่สุดในเวลานี้ ขยับต่อยอดจาก NV1 ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย กับดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย เป็นแบบ Single-side M.2 2280 มาตรฐาน เหมาะทั้งการเป็นตัวบูตหลักภายในโน๊ตบุ๊ค และสำรองไฟล์ได้ในตัว เพราะให้ความเร็วได้ถึง 3,500MB/s (Read) ให้ค่า Endurance อยู่ที่ 1.5 ล้านชั่วโมง MTBF และการเขียนซ้ำอยู่ที่ 320TB เลยทีเดียว จัดว่าตัวเลขค่อนข้างสูง และให้การรับประกัน 3 ปี ราคา 2,890 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
PCIe 4.0 x4 รุ่นใหม่ รับประกัน 3 ปี
3,500MB/s (Read)

ข้อมูลเพิ่มเติม: Kingston


4.Crucial P2 1TB ราคา 2,900 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

ถ้าใครเคยได้ใช้งาน SSD ในช่วงแรกๆ Crucial ต้องถือว่าเป็นค่ายหลักๆ ที่เข้ามาในบ้านเรา ให้ได้ใช้งานกันก่อน กับความโดดเด่นในเรื่องเมมโมรีและเทคโนโลยี เช่นเดียวกับในรุ่น P2 นี้ ที่เป็นซีรีส์ต่อมา ซึ่งพัฒนามาเพื่อผู้ใช้โน๊ตบุ๊คด้วยเช่นกัน บนอินเทอร์เฟสแบบ PCIe 3.0 x4 ให้ความเร็วอยู่ที่ระดับ 2,400MB/s (Read) ตามมาตรฐาน พร้อมค่า Endurance อยู่ที่ 300TBW ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่การรับประกันถึง 5 ปี ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย ราคา 2,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
รับประกัน 5 ปี เป็นแบบ PCIe 3.0 x4

ข้อมูลเพิ่มเติม: Crucial


5.HIKVISION E3000 1TB ราคา 2,990 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

สำหรับค่ายนี้ ก็จัดว่าเป็น SSD ที่มีตัวเลือกค่อนข้างเยอะทีเดียว และยังเคาะราคาได้ถูกใจผู้บริโภค ทำให้ผู้ใช้ที่กำลังมองหา SSD สำหรับโน๊ตบุ๊ค จะเอามาเป็นตัวบูตหรือเพิ่มเติมสำหรับเก็บข้อมูล ก็น่าสนใจมาในอินเทอร์เฟส PCIe 3.0 x4 แต่ให้ความเร็วได้มากถึง 3,400MB/s (Read) และเขียนอยู่ที่ประมาณ 3,100MB/s ใช้ NAND ในแบบ 3D TLC ให้ค่า Endurance อยู่ที่ 1.5 ล้านชั่วโมง และ 448TBW แต่ที่น่าสนใจคือ รับประกันถึง 5 ปีเลยทีเดียว กับราคา 2,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
3,400MB/s (Read) Endurance 1.5 ล้านชั่วโมง
เขียนซ้ำได้ 448TBW

ข้อมูลเพิ่มเติม: HIKVISION


6.Apacer AS2280P4U PRO ราคา 3,090 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

กับทาง Apacer เชื่อว่าหลายคนจะคุ้นหูคุ้นตากันดีอยู่แล้ว กับผลิตภัณฑ์หลายๆ โมเดล ซึ่งก็รวมถึง SSD ที่ออกมาใหม่ กับความจุ 1TB ออกแบบลวดลายมาได้อย่างล้ำสมัยทีเดียว เหมาะกับคนที่ใช้โน๊ตบุ๊ค หรือพีซี ที่ต้องการทั้งความเร็วและความจุ โดยมากับอินเทอร์เฟส PCIe 3.0 x4 ให้ความเร็ว 3,500MB/s (Read) และจุดเด่นคือ เขียนได้เร็วสุดในครั้งนี้คือ 3,000MB/s อีกด้วย รวมถึงค่า MTBF 1.8 ล้านชั่วโมง และการรับประกันอีก 5 ปี อีกด้วย ราคา 3,090 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
3,500MB/s (Read) เป็นแบบ PCIe 3.0 x4
รับประกัน 5 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม: Apacer


7.WD GREEN SN350 1TB ราคา 3,090 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

ต้องถือว่าเป็น SSD ในใจใครหลายคน กับค่าย WD นี้ ที่มีให้เลือกกันหลายซีรีส์ และปัจจุบัน WD Green ก็ดูน่าสนใจไม่น้อย เพราะได้รับการปรับปรุงด้านความเร็ว และราคาที่จับต้องง่าย พร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สะดวกมากขึ้น อินเทอร์เฟสการเชื่อมต่อ PCIe 3.0 x4 และ NAND ในแบบ QLC มีความเร็วในการอ่านระดับ 3,200MB/s และค่า Endurance 100TBW ส่วนค่า MTTF 1 ล้านชั่วโมง พร้อมการรับประกันอีก 3 ปี ราคา 3,090 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
3,200MB/s (Read) MTTF 1 ล้านชั่วโมง

ข้อมูลเพิ่มเติม: WD


8.TEAM CARDEA Z44L 1TB ราคา 3,150 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

เป็น SSD โน๊ตบุ๊คความเร็วสูงรุ่นใหม่ เหมาะกับโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน ที่จะใช้เป็นตัวบูตระบบ ลงโปรแกรมก็ได้ หรือจะเน้นที่เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คก็ลงตัว เพราะมาพร้อมอินเทอร์เฟส PCIe 4.0 x4 รุ่นใหม่ พร้อมใช้กับแพลตฟอร์มโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ได้ดี ค่า Endurance สูงถึง 600TBW เรียกว่าทำตัวเลขได้ดีมาก และประสิทธิภาพทำได้ที่ 3,500MB/s (Read) และความทนทานระดับ 3 ล้านชั่วโมงเลยทีเดียว พร้อมกับการรับประกันอีก 5 ปี แม้ราคา 3,150 บาท จะสูงที่สุดในการรวม SSD โน๊ตบุ๊คในครั้งนี้ แต่ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย

จุดเด่น ข้อสังเกต
เป็นแบบ PCIe Gen4 x4 ความเร็วในการอ่านมาตรฐาน
ค่า Endurance สูงถึง 600TBW

ข้อมูลเพิ่มเติม: TEAM


Conclusion

Interface Read/Write (MB/s) MTBF
(Hours)
TBW (TB) Warranty
(Year)
Price (Baht)
1.ADATA LEGEND 710 PCIe Gen3 x4 2,400/1,800 1,500,000 520 3 2,590
2.PNY CS1031 PCIe Gen3 x4 2,400/1,750 2,000,000 240 5 2,890
3.KINGSTON NV2 PCIe Gen4 x4 3,500/2,100 1,500,000 320 3 2,890
4.CRUCIAL P2 PCIe Gen3 x4 2,400/1,800 300 5 2,900
5.HIKVISION E3000 PCIe Gen3 x4 3,500/3,150 1,500,000 448 5 2,990
6.APACER AS2280P4U PRO PCIe Gen3 x4 3,500/3,000 1,800,000 760 3 3,090
7.WD GREEN SN350 PCIe Gen3 x4 3,200/2,500 1,000,000 100 3 3,090
8.TEAM CARDEA Z44L PCIe Gen4 x4 3,500/3,000 3,000,000 600 5 3,150

SSD โน๊ตบุ๊คทั้ง 8 รุ่นจากตารางข้อมูลด้านบนนี้ ก็น่าจะเป็นทางเลือกให้กับลายๆ คนที่กำลังมองหา SSD มาอัพเกรดให้กับโน๊ตบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คทำงาน หรือเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คก็ตาม สำหรับ ADATA ก็ค่อนข้างโดดเด่น ในเรื่องของราคา และการเขียนซ้ำได้ถึง 520TBW บนความเร็วพื้นฐาน แต่มองที่ความเร็วเป็นหลัก TEAMGROUP, WD และ HIKVISION ก็น่าสนใจ ได้ทั้งอินเทอร์เฟสใหม่ และ Read/ Write สูง รวมถึง MTBF ทะลุ 3 ล้านไปแล้ว ส่วน APACER ก็น่าสนใจในแง่ของความเร็วและค่า TBW สูงสุด ส่วนจะเลือกใช้รุ่นไหน ก็สามารถพิจารณาจากข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ในลิงก์ของแต่ละรุ่นที่เราจัดวางไว้ให้ และเรื่องของราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนถ้าต้องการจะเช็คอุปกรณ์ และจัดสเปคคอม สามารถเข้าไปลองจัดสเปคได้ที่ Notebookspec.com/pc/spec กันได้เลยครับ

from:https://notebookspec.com/web/679768-8-ssd-1tb-3000-m2-pcie

รีวิว Kingston KC3000 โคตรแรง สายคุ้ม ใช้ได้ยาว

Kingston KC3000 ที่กลับมาพร้อมสเปคขั้นสุด แรงที่สุดของ Kingston ด้วยสเปคที่รองรับ PCIe 4.0 เต็มรูปแบบ เพิ่มความจุขึ้น และยังเน้นในเรื่องความทนทาน แต่จะมีหน้าตา สเปคเต็มๆเป็นอย่างไร ตามไปอ่านกันเลยครับ

Kingston KC3000

Advertisementavw

Kingston KC3000 เป็น SSD แบบ NVMe รุ่นล่าสุดจาก Kingston ที่มาพร้อมจุดเด่นด้วยการรองรับ PCIe 4.0 เต็มรุปแบบ ทำให้มีความเร็วการอ่านและเขียนสูงสุดถึงระดับ 7,000 MB/s ซึ่งถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับ SSD แบบที่ไม่มีฮีทซิงค์ โดยมีรุ่นเริ่มต้นที่ 512 GB และสูงสุดที่ 4 TB โดยมีอายุการอ่านเขียนสูงสุดถึงระดับ 3.2PBW ซึ่งถือว่าเยอะมาก พร้อมการรับประกันยาวถึง 5 ปี แต่จะแรงจริงขนาดไหน ต้องตามไปชมกัน

Kingston KC3000

ฟอร์มแฟคเตอร์ M.2 2280
อินเทอร์เฟซ PCIe 4.0 NVMe
ความจุ 512GB, 1024GB, 2048GB, 4096GB
ชุดควบคุม Phison E18
NAND 3D TLC
อ่าน/เขียนตามลำดับ 512GB – 7,000/3,900MB/s
1024GB – 7,000/6,000MB/s
2048GB – 7,000/7,000MB/s
4096GB – 7,000/7,000MB/s
อ่าน/เขียน 4K แบบสุ่ม 512GB – สูงสุด 450,000/900,000 IOPS
1024GB – สูงสุด 900,000/1,000,000 IOPS
2048GB – สูงสุด 1,000,000/1,000,000 IOPS
4096GB – สูงสุด 1,000,000/1,000,000 IOPS
จำนวนไบต์ทั้งหมดสำหรับเขียนข้อมูล (TBW) 512GB – 400TBW
1024GB – 800TBW
2048GB – 1.6PBW
4096GB – 3.2PBW
อัตราสิ้นเปลืองพลังงาน 512GB – เปิดทิ้ง 5mW / เฉลี่ย 0.34W / อ่านข้อมูล 2.7W (สูงสุด) / เขียนข้อมูล 4.1W (สูงสุด)
1024GB – ไม่ได้ใช้งาน 5mW / เฉลี่ย 0.33W / อ่านข้อมูล 2.8W (สูงสุด) / เขียนข้อมูล 6.3W (สูงสุด)
2048GB – ไม่ได้ใช้งาน 5mW / เฉลี่ย 0.36W / อ่านข้อมูล 2.8W (สูงสุด) / เขียนข้อมูล 9.9W (สูงสุด)
4096GB – ไม่ได้ใช้งาน 5mW / เฉลี่ย 0.36W / อ่านข้อมูล 2.7W (สูงสุด) / เขียนข้อมูล 10.2W (สูงสุด)
อุณหภูมิการจัดเก็บ -40°C~85°C
อุณหภูมิการทำงาน 0°C~70°C
ขนาด 80 x 22 x 2.21 มม. (512GB-1024GB)
80 x 22 x 3.5 มม. (2048GB-4096GB)
น้ำหนัก 512GB-1024GB – 7 ก.
2048GB-4096GB – 9.7 ก.
แรงสั่นสะเทือนขณะทำงาน สูงสุด 2.17G (7-800Hz)
แรงสั่นสะเทือนขณะไม่ทำงาน สูงสุด 20G (20-1000Hz)
MTBF 1,800,000 ชั่วโมง
การรับประกัน/บริการรองรับ รับประกันแบบจำกัดเงื่อนไข 5 ปีพร้อมบริการทางเทคนิคฟรี

Kingston KC3000 01

Kingston KC3000 02 Kingston KC3000 05

Kingston KC3000 มาในแพ็คกระดาษแข็งสีขาว ตัดแดง พร้อมกับโลโก้ Kingston ชัดเจน บอกรายละเอียดด้านหน้าทั้งความจุ และสเปคความเร็วการอ่านเขียน ซึ่งชัดเจนกว่ารุ่นอื่นๆมาก พร้อมโชว์หน้าตา SSD ให้เห็นว่าไม่ผิดรุ่นแน่นอน

Kingston KC3000 07

Kingston KC3000 08 Kingston KC3000 09

Kingston KC3000 มากับแผงวงจรสีดำเทา พร้อมฉลากระบุสเปค รายละเอียดชัดเจน ตั้งแต่ชื่อรุ่น PCIe 4.0 ไปจนถึงความจุ ซึ่งรุ่นที่ทีมงานได้มาทดสอบเป็นรุ่นความจุ 2,048 GB หรือ 2 TB

Kingston KC3000 10

พอร์ตเชื่อมต่อ PCIe รองรับมาตรฐาน 4.0 

Kingston KC3000 14

Kingston KC3000 15 Kingston KC3000 17

ทดสอบบนเมนบอร์ด ASRock B560M Steel Legend ที่รองรับ PCI3 4.0

Kingston D Properties 12 24 2021 10 18 42 AM

Kingston KC3000 รุ่นทีทีมงานได้มาทดสอบเป็นรุ่นความจุ 2 TB ซึ่งสามารถใช้งานได้จริงราว 1.86 TB

CrystalDiskInfo 8.0.0 12 24 2021 10 18 14 AM

ข้อมูลจาก CrystalDiskInfo แจ้งข้อมูลของ SSD Kingston KC3000 ความจุ 2TB และการเชื่อมต่อในแบบ PCIe 4.0 x4 และสเปคอื่นๆอย่างครบครัน

CrystalDiskMark 6.0.2 x64 1 4 2022 10 48 15 AM Screenshot 1 4 2022 10 06 11 AM 

AS SSD Benchmark 1.7.4739.38088 12 24 2021 11 00 27 AM

ผลการทกสอบในบ้างโปรแกรมอาจจะยังอ่านเขียนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่กับ CrystalDiskMark 8 ที่สามารถแสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ ด้วยความเร็วการอ่านที่ทะลุไปถึง 7,222 MB/s ส่วนความเร็วการเขียนคร๊อปลงเล้กน้อยที่ 6,838 MB/s แต่ก็ยังอยู่ในระดับมาตรฐานตามสเปคที่ Kingston ระบุไว้ แรงแน่นอน

Kingston KC3000 18

Kingston KC3000 เป็นการอัพเกรทมา PCIe 4.0 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยความเร็วการอ่านเขียนถึงระดับ 7,000 MB/s พร้อมสเปคอื่นๆที่ครบครัน ความร้อนระหว่างการทำงานที่ไม่สูงจนน่าตกใจแม้จะไม่มีฮีทซิงค์ช่วยระบายความร้อน และยังมีรุ่นความจุสูงถึง  4TB

แต่รุ่นที่จะได้ความจุสูงมีแค่ 2 และ 4 TB เท่านั้น ส่วนรุ่นเริ่มต้นอย่าง 512 GB และ 1 TB จะมีแค่ความเร็วการอ่านที่สูงถึง 7,000 MB/s แต่จะเขียนเริ่มต้นที่ 3,900 และ 6,000 MB/s ตามลำดับ

ในส่วนของราคา

  • 512 GB ราคา 4,190 บาท
  • 1TB ราคา 6,890 บาท
  • 2 TB ราคา 15,900 บาท
  • 4 TB ราคา $1,000 ประมาณ 33,000 บาท

จุดเด่น

  • ความเร็วการอ่านเขียนสูงถึง 7,000 MB/s
  • อายุการใช้งานยาวนาน ทนทาน
  • อุณหภูมิระหว่างการทำงานไม่ได้สูงจนน่ากังวล

ข้อสังเกต

  • ความเร็วการเขียนถึง 7,000 MB/s แต่รุ่นบนราคาแพง
  • รุ่น 4 TB ยังไม่วางจำหน่ายในบ้านเรา

from:https://notebookspec.com/web/631170-review-kingston-kc3000

SSD PCIe 5.0 ทางเลือกใหม่ เพิ่มความเร็วให้คอเกมและงานตัดต่อบน Intel Gen 12 และ AMD AM5

SSD PCIe 5.0 เพิ่มความเร็วให้ระบบ เปิดเครื่อง เข้าโปรแกรม เล่นเกม โอนถ่ายไฟล์ เสร็จได้ไวในพริบตา

SSD PCIe 5.0

SSD PCIe 5.0 มาถึงชั่วโมงนี้ คงต้องบอกว่า เลข 5 มาแรงจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ ได้นำเสนอ ในส่วนของ RAM DDR5 ที่คาดว่าจะมาพร้อมกับซีพียู Intel Gen 12 รุ่นใหม่ แล้วไหนจะเรื่องของซีพียู AMD ที่กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นซ็อกเก็ต AM5 ในสถาปัตยกรรมใหม่เร็วๆ นี้ แต่สิ่งที่มีความสอดคล้องกันอย่างที่สุดของทั้ง 2 แพลตฟอร์มนี้ก็คือ การมาของ PCIe 5.0 หรือ Gen 5 ที่คาดว่าน่าจะมาถึงเร็วกว่ากำหนด และไม่ใช่แค่มีผลเพียงเรื่องอินเทอร์เฟสการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ความเร็วสูงอย่างกราฟิกการ์ดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงส่วนของ Storage อย่าง SSD อีกด้วย

SSD PCIe 5.0

KIOXIA SSD PCIe 5.0

ซึ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ก็มีค่ายผู้ผลิต SSD รายใหญ่ระดับโลก อย่าง KIOXIA ที่เคยได้รีวิวกันแบบยกโซลูชั่น ไปก่อนหน้านี้ ก็ได้เขย่าตลาดไอทีอีกครั้ง ด้วยการนำ SSD PCIe 5.0 รุ่นใหม่ล่าสุด มาปรากฏสู่สายตาชาวโลก ด้วยความเร็วที่มากกว่า SSD SATAIII อยู่ถึง 20 เท่า กับความเร็วระดับ 14,000MB/s หรือ 14GB/s ที่เร็วกว่า SSD PCIe Gen4 ที่ว่าแรงๆ อยู่ถึงเท่าตัวเลยทีเดียว เพราะรุ่นที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ยังอยู่ที่ราว 6,000-7,500MB/s เท่านั้น เรียกว่าเป็นการปฏิวัติวงการการจัดเก็บข้อมูลแบบเงียบๆ แต่สะเทือนถึงดวงดาวเลยทีเดียว

SSD PCIe 5.0

แต่ก่อนเราจะไปดู SSD PCIe 5.0 ที่ทาง KIOXIA เค้าจะนำเสนอนั้น เรามาดูกันก่อนว่า โลกของการเปลี่ยนแปลงของ Storage ที่เป็นแบบ PCIe จากเดิม ผ่านมายังไง แล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง เอาแบบสั้นๆ

SSD PCIe 5.0

SATA to PCIe

ก่อนหน้านี้ เมื่อประมาณสัก 10 กว่าปีที่แล้ว เราได้เห็นการปรับเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลเดิมที่เป็น SATA ในเวอร์ชั่นแรกๆ ไม่ขอลงรายละเอียดมากนักครับ เดี๋ยวจะเบื่อกัน มาเป็นมาตรฐานใหม่ SATAIII ที่ให้ประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลได้เร็วถึง 550MB/s ในเวอร์ชั่นล่าสุดที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ อย่างที่ได้เห็นกันใน SSD แบบ 2.5″ แบบเดียวกับฮาร์ดดิสก์โน๊ตบุ๊คนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันมีความจุให้เลือกถึง 2TB สำหรับกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป หรือ End-User แต่ถ้าเป็นกลุ่มองค์กร ก็จะมีตัวเลือกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงฟีเจอร์พิเศษต่างๆ เช่นเดียวกับประสิทธิภาพการทำงาน ที่ถูกออกแบบมาให้ตอบสนองกับงานแต่ละงานได้ดียิ่งขึ้น

SSD PCIe 5.0

หลังจากนั้นมา ถ้าเราพูดถึงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลในแบบโมดูลแบบ SATA ก็ยังมีรูปแบบของ M.2 มาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก แต่ส่วนใหญ่จะเห็นบนโน๊ตบุ๊คกันมากกว่า โดยโมดูลนี้เป็น SSD ในแบบที่เรียกว่า M.2 SATA ซึ่งมีขนาดให้เลือกอยู่หลายไซส์ แต่ความเร็วก็ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับอินเทอร์เฟสแบบ SATA นั่นเอง

SSD PCIe 5.0

และในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน M.2 ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่า SATA 2.5″ จะเลือนหายไป แต่ยังคงวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด สำหรับคนที่ต้องการอัพเกรดพีซีหรือโน๊ตบุ๊ครุ่นเก่า ที่มีข้อจำกัดคือ เมนบอร์ดไม่มีสล็อต M.2 มาให้ อีกทั้งราคาก็ประหยัด และยังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพีซีหรือโน๊ตบุ๊คเครื่องเก่าๆ อย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับการปลุกชีพ ของเก่าให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น

ในช่วงนี้เองก็เริ่มมีแพลตฟอร์มของซีพียูรุ่นใหม่ออกมามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Intel หรือ AMD ก็ตาม ประมาณปี 2011 ก็เริ่มมองเห็นโพรโตคอลของ NVMe แบบใหม่เข้ามา เปลี่ยนช่องทางการเชื่อมต่อของ SSD SATA จากเดิมผ่านช่องทางของชิปเซ็ตหรือคอนโทรลเลอร์บนเมนบอร์ด มาเป็นการสื่อสารเชื่อมต่อกับ CPU ได้โดยตรง ผ่านช่องทางของ PCIe ที่เป็นช่องทางที่กว้าง และยังพัฒนาต่อไปได้อีกไกลเลยทีเดียว

SSD PCIe 5.0

เช่นเดียวกับในปี 2014 ที่เริ่มมีแพลตฟอร์มของ Intel รุ่นใหม่ๆ โดยเริ่มจากระดับไฮเอนด์อย่าง LGA2011 v3 บนชิปเซ็ต X99 เริ่มมีสล็อต PCI-Express 2.0 และขยับมาที่ PCI-Express 3.0 ที่เป็นแบบ x4 มาให้ได้ใช้งานกัน ในช่วงนั้นแบนด์วิทธิ์สูงสุด สามารถไปได้ถึง 3.9GB/s เลยทีเดียว รวมไปถึงทาง AMD เองก็ออกแพลตฟอร์ม AM4 ที่ใช้ชิปเซ็ต AMD 300 series ไม่ว่าจะเป็น X370, B350 หรือ A320 ที่สนับสนุนซีพียู AMD Ryzen และรองรับ Storage M.2 NVMe PCIe เต็มรูปแบบ บนมาตรฐาน PCI-Express 3.0 ซึ่งให้แบนด์วิทธิ์ได้สูงถึง 7.8GB/s นั่นเอง

10 Cooling AIO 2021

หลังจากนั้นมาเมนบอร์ดในรุ่นต่างๆ ของทั้ง Intel และ AMD ต่างก็สนับสนุน SSD ในแบบ M.2 NVMe PCIe กันอย่างครบถ้วน แต่จะรองรับได้กี่ช่องทาง กี่สล็อตหรือกี่ Lanes นั้น ก็ขึ้นอยู่กับซีพียูที่ใช้ และเมนบอร์ดที่ทำงานร่วมด้วยนั่นเอง และในปัจจุบันจากเดิมที่หลายคนคุ้นเคยกันดีบน SSD PCIe Gen3 x4 ให้แบนด์วิทธิ์และความเร็วในการอ่านข้อมูลระดับ 1,xxx – 3,500MB/s ก็ก้าวมาสู่ PCIe Gen4 x4 ซึ่งให้ความเร็วได้สูงถึง 7,xxxMB/s เลยทีเดียว ซึ่งพบบนแพลตฟอร์ม Intel Gen11 หรือ AMD Ryzen 3000 series เป็นต้นมานั่นเอง

SSD PCIe 5.0

แต่สิ่งที่ว่าทั้งหมดนั้น กำลังจะเป็นอดีต เพราะล่าสุดทาง KIOXIA ได้เผยว่า SSD PCIe 5.0 นั้น รวดเร็วกว่า SSD PCIe 4.0 อย่างเห็นได้ชัด โดยให้แบนด์วิทธิ์ได้ถึง 32GB/s ต่อช่องทางหรือ Lanes และ SSD ต้นแบบของค่ายนี้ สามารถให้ความเร็วในการอ่านข้อมูลได้สูงถึง 14,000MB/s หรือเร็วกว่า PCIe 4.0 อยู่สองเท่าเลยทีเดียว

SSD PCIe 5.0

และไม่ใช่แค่การอ่านข้อมูลเท่านั้น แต่ความเร็วในการเขียนข้อมูล ก็รวดเร็วไม่แพ้กัน จะทำให้คุณลืมความเร็วระดับ 2,000-4,000MB/s บน SSD PCIe 3.0 หรือ PCIe 4.0 กันไปได้เลย เพราะ SSD PCIe 5.0 ของทาง KOIXIA นั้นมีความเร็วในการเขียนข้อมูลสูงถึง 7,000MB/s เร็วกว่าเดิมเกือบ 70% ซึ่งความสามารถในระดับนี้ แม้ว่าจะเป็นผลดีต่อผู้ใช้โดยทั่วไป ทั้งเกมเมอร์ และคนทำงานซอฟต์แวร์เฉพาะทางก็ตาม แต่ในช่วงแรกนี้ ยังคงเน้นไปที่งานเซิร์ฟเวอร์ในระดับไฮเอนด์ก่อนมากกว่า เพราะการอัพเกรดความสามารถในด้านการเก็บข้อมูลในปัจจุบันนั้น ได้รับความสนใจมากกว่าการอัพเกรด CPU หรือ GPU เสียอีกสำหรับกลุ่มนี้

SSD PCIe 5.0
ที่มา: Techpowerup

Performance

ซึ่งจากในภาพที่ปรากฏในหลายๆ สื่อ ในงานโปรโมตของ KIOXIA จัดขึ้นนั้น จะเห็นกราฟเปรียบเทียบระหว่าง KIOXIA CM6 (PCIe 4.0)

  • Sequential Read จากเวอร์ชั่น 4.0 อยู่ที่ 6,900MB/s แต่เวอร์ชั่น 5.0 เพิ่มขึ้น 103% หรือสูงถึง 14,000MB/s เลยทีเดียว
  • Sequential Write จากเวอร์ชั่น 4.0 อยู่ที่ 4,200MB/s แต่เวอร์ชั่น 5.0 เพิ่มขึ้น 67% หรือสูงถึง 7,000MB/s
  • Response Time จากเวอร์ชั่น 4.0 อยู่ที่ 90ms แต่เวอร์ชั่น 5.0 จะอยู่ที่ 70ms เท่านั้นลดลงมาอย่างน้อยถึง 70% เลยทีเดียว
SSD PCIe 5.0
ที่มา: HardwareTime

แต่ก็ไม่ใช่แค่ KIOXIA เท่านั้น ที่ออกมาลุยตลาด PCIe 5.0 ซึ่งในช่วงประมาณกลางปี Samsung เอง ก็ได้ออกมาพรีเซนท์ Samsung PM1743 ที่เป็น SSD ในกลุ่ม High Performance สำหรับ Application ในระดับ Enterprise ด้วยเช่นกัน โดยอ้างอิงถึง PCIe 5.0 x4 ที่มาในอินเทอร์เฟส Single-port และ Dual-port ซึ่งออกแบบบมาสำหรับเพิ่มความจุและประสิทธิภาพให้กับเซิร์ฟเวอร์ โดยอัตราทรูพุตของอินเทอร์เฟสใหม่นี้ สูงถึง 15.7GB/s เลยทีเดียว และข้อมูลล่าสุดที่ออกมา เผยว่าทาง KIOXIA นั้น จะเปิดตัว SSD PCIe 5.0 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ อาจเป็นช่วงพฤศจิกายนหรือธันวาคม โดยคาดว่าจะลงตลาดเซิร์ฟเวอร์ก่อนในช่วงแรก และเอนด์ยูสเซอร์จะเป็นช่วงถัดไป

SSD PCIe 5.0
Credit: Seby9123, ที่มา: pcgamer

Platform

สิ่งสำคัญคือ แม้ว่า SSD PCIe 5.0 อาจจะมาลงตลาดก็ตาม แต่ก็ต้องมีแพลตฟอร์มหรือเมนบอร์ด รวมถึงซีพียูที่สนับสนุนด้วย ซึ่งถ้ามองไปในเวลานี้ Intel Gen 12 น่าจะเป็นรายแรกๆ ที่พร้อมจะให้คุณได้สัมผัสกับความเร็วขั้นเทพเช่นนี้ แม้ว่าจะยังไม่ได้เป็นข้อมูลอย่างเป็นทางการออกมาก็ตาม รวมถึงชิปเซ็ตที่คาดว่าน่าจะเป็น Intel Z690 หรือไม่? เช่นเดียวกับทาง AMD ที่มีความเป็นไปได้สูงว่า AMD AM5 ที่จะเป็นแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งมีข่าวว่าจะลงตลาดในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน คือ ประมาณไตรมาสที่ 2 ของปี 2022 ก็น่าจะให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับ PCIe 5.0 นี้ด้วย

SSD PCIe 5.0

ตัวอย่างที่น่าสนใจบนเมนบอร์ดบางรุ่น ซึ่งคาดว่ารองรับการทำงานของ PCI-Express 5.0 โดยเป็นการทำงานบนพื้นฐานของซีพียู และชิปเซ็ตบนเมนบอร์ด จะมีทั้งในช่องทาง PCIe ของซีพียูโดยตรง แบ่งเป็น 2 สล็อตบน ที่รองรับ PCIe 5.0 x16 (ทำงานในแบบ x16 หรือ x8/x8) ส่วนสล็อตที่เหลือ หรือเป็นสล็อตที่ 3 ก็มีความเป็นไปได้ว่า จะใช้ช่องทางผ่านชิปเซ็ต Z690 ซึ่งจะรองรับ PCIe 4.0 x16 (รองรับในโหมด x4, x4/x4)

ขยับมาที่การสนับสนุน M.2 บนบอร์ดกันบ้าง อาจติดตั้งได้หลายโมดูล เช่น สามารติดตั้งโมดูล SSD ในแบบ PCIe 5.0 x4 ได้ แต่ถ้าใช้ โมดูลที่สอง อาจใช้เป็น PCIe 4.0 x4 หรือ 3.0 x4 และสล็อตสุดท้าย ก็อาจจะรองรับ PCIe 4.0 x4 และ SATA III ได้เช่นเดียวกัน

SSD PCIe 5.0

สำหรับซีพียู Intel Gen 12 ที่ใกล้จะลงตลาดเข้าไปทุกที ด้วยซีพียูเกือบครบทุกไลน์ ตั้งแต่ Core i5 ไปจนถึง Core i9 (แต่ยังไม่เห็น Core i3 นะ) สนนราคาไม่ได้ต่างไปจาก Intel Gen 11 มากนัก แต่ปรับเปลี่ยนภายในเกือบทั้งหมดเลย ด้วยสถาปัตยกรรม Alder Lake กระบวนการผลิต 10 nm หรือล่าสุดเรียกว่า Intel 7 ไปแทน มาถึงเวลานี้ คู่แข่งตลอดกาลอย่าง AMD ก็เตรียมไม้เด็ด ด้วยซีพียูรุ่นใหม่ สถาปัตยกรรม Zen 4 เปลี่ยนแพลตฟอร์มใหม่เป็น AM5 และยังชูฟีเจอร์ อย่างการสนับสนุน RAM DDR5 และ PCI-Express 5.0 ด้วยเช่นกัน ในชื่อของ Raphael แต่อาจจะลงตลาดช้ากว่าเล็กน้อย รวมถึงแพลตฟอร์มที่เป็น APU รุ่นใหม่ ซึ่งคาดว่าจะลงตลาดในช่วงปลายปี 2021 นี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งน่าจะมาพร้อมการสนับสนุนฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ ได้อีกด้วย

Conclusion

แต่ก็ต้องไม่ลืมครับว่า การที่จะได้ใช้ SSD รุ่นใหม่อย่าง PCIe 5.0 นี้ ก็ต้องรอการมาของซีพียูรุ่นใหม่ รวมถึงแพลตฟอร์มชิปเซ็ตเมนบอร์ดใหม่ ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ในช่วงปีหน้า และค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็คงไม่เบา เพราะเปลี่ยนกันแบบยกเครื่อง รวมถึงราคาของ SSD ก็คงจะไม่ได้เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าของใครหลายคนมากนัก ซึ่งหากตัวเลขที่ออกมาตามข่าวนี้จริง ก็คงต้องวัดใจกันว่า คุณอยากจะได้ประสิทธิภาพระดับนี้ ไปใช้สำหรับงานหรือความบันเทิงในรูปแบบใด เช่น การเล่นเกมทุกวันนี้ ด้วยแบนด์วิทธิ์ของ PCIe 3.0 หรือ 4.0 ก็น่าจะตอบโจทย์ได้แล้ว แต่ถ้าในกลุ่ม Content Creator หรือคนที่ทำงานกราฟิก ตัดต่อวีดีโอ น่าจะเห็นประสิทธิภาพได้ชัดเจนมากกว่าเดิมไม่น้อยเลย เอาเป็นว่าคุณคิดอย่างไรกับข้อมูลเหล่านี้ และความสำคัญของ Storage ความเร็วสูงรุ่นใหม่ๆ จะมีผลอย่างไรกับคุณบ้าง คอมเมนต์กันเข้ามาให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันบ้างนะครับ

from:https://notebookspec.com/web/617469-ssd-pcie-5-0-intel-gen-12

รวม 5 SSD 500GB M.2 PCIe แค่ 2,xxx เปิดเครื่องไว เข้าเกมเร็ว ประกัน 5 ปี

ต้องโดนแล้ว SSD 500GB ชั่วโมงนี้ จัดว่าเป็นความจุที่คุ้มสุด น่าใช้ เพราะรองรับการใช้งานได้พอเหมาะ ไม่ว่าจะเป็นการลงวินโดวส์ ติดตั้งโปรแกรมทำงาน หรือจะเป็นการติดตั้งเกมระดับ AAA ได้ถึง 3-4 เกม นอกจากนี้ความเร็วที่ได้จาก SSD M.2 NVMe ในแบบ PCIe ดูจะน่าสนใจกว่าแบบ SATA พื้นฐาน อีกทั้งราคาก็สูงกว่ากันไม่มากนัก ทำให้ใครที่มีคอมในช่วงสัก 2-3 ปีก่อนหรือโน้ตบุ๊กที่มีสล็อต PCIe มาให้ ควรจะอัพเกรดเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้ายังเลือกไม่ได้ วันนี้แอดไปส่องมาให้ 5 รุ่นด้วยกัน ราคา 2,xxx บาท เท่านั้น

SSD 500GB
SSD 500GB

ADDLINK S68 – 512GB ราคา 2,850 บาท
จัดเป็น SSD ที่ดูลงตัวทั้งสเปคและราคา เรียกว่าอยู่ในช่วงที่ดี สำหรับคนที่กำลังมองหา SSD 500GB ในแบบ PCIe กับความเร็วกลางๆ ระดับ 1,700MB/s (Read) อินเทอร์เฟส PCIe Gen3 x4 กับการใช้ 3D NAND ในแบบ TLC ให้ค่า MTBF 1.5 ล้านชั่วโมงมาตรฐาน และค่า TBW หรือค่า Endurance 400TBW เลยทีเดียว การรับประกัน 5 ปี
ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

SSD 500GB

WD BLUE SN550 – 500GB ราคา 2,650 บาท
เป็น SSD 500GB อีกรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อยในท้องตลาด กับผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในตลาด Storage มายาวนาน มาพร้อมอินเทอร์เฟส PCIe Gen3 x4 ให้ความเร็วในการอ่านที่ 2,400MB/s พร้อมค่าการใช้งาน 300TBW และ MTTF 1.7 ล้านชั่วโมง ให้การรับประกันอีก 5 ปี จัดว่าทำราคาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

SSD 500GB

Intel 660P – 512GB ราคา 2,490 บาท
มาถึงรุ่น ที่ราคาลดสุดๆ ในครั้งนี้ แม้ว่าจะยืนระยะในตลาดมานาน แต่ก็ยังคงคุณภาพได้คับแก้ว อินเทอร์เฟสเป็นแบบ PCIe Gen3 x4 มาตรฐาน เพียงแต่รุ่นนี้จะเป็น 3D NAND QLC ให้ความเร็วระดับ 1,500MB/s (Read) จัดว่าสบายๆ ตัวเลข MTBF แจ้งไว้ที่ 1.6 ล้านชั่วโมง รวมถึง Endurance ประมาณ 100TBW กับการรับประกัน 5 ปีเช่นกัน
ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

SSD 500GB

Transcend 110S – 512GB ราคา 2,990 บาท
เรียกว่าเป็นอีกซีรีส์หนึ่งที่อยู่กันยาวๆ ในบ้านเรา ด้วยอินเทอร์เฟส PCIe Gen3 x4 และใช้ 3D NAND กับความเร็วในการอ่านข้อมูลที่ 1,700MB/s แต่ Write ตัวเลขอาจจะน้อยไปบ้าง แต่ก็ได้ค่า TBW ถึง 200TBW และตัวเลข Endurance 1 ล้านชั่วโมง พร้อมการรับประกัน 5 ปี
ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

SSD 500GB

ADATA XPG SX8200 Pro – 512GB ราคา 3,090 บาท
มาถึงในรุ่นพี่ SSD 500GB ที่ดูราคาอาจจะดุนิดนึง เพราะไปแตะที่ 3 พันบาท แต่สิ่งที่ได้มาก็ถือว่าน่าใช้ เพราะเพิ่มไม่กี่ร้อยบาท เพราะต้องจัดว่าเป็นตัวแรงน่าใช้ สำหรับคนที่อยากได้ SSD ตัวเดียวจบ ตั้งแต่ 3D NAND TLC ให้ความเร็วระดับ 3,500MB/s (Read) สูงกว่าใคร และ MTBF 2 ล้านชั่วโมง รวมถึง Endurance 320TBW อีกด้วย พร้อมการรับประกัน 5 ปี แม้ราคาจะสูงหน่อย แต่สิ่งที่ได้มาก นับว่าจัดเต็ม
ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

from:https://notebookspec.com/5-ssd-m-2-pcie-500gb-2xxx-gaming/526021/

ชี้เป้า 5 SSD 250GB PCIe ความเร็ว 3,000MB/s แค่ 1,900 บาท

หลายท่านอาจกำลังลุ้นกันกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่กำลังออกมา โดยเฉพาะซีพียู AMD Ryzen 4000 ที่เปิดมา 2 หมื่นกลางๆ ก็ทำให้ตลาดเดือด ส่วนคนที่อาจจะมีงบไม่ถึง ซื้อใหม่ไม่ไหว มาลองอัพเกรด SSD กันดีกว่า โน้ตบุ๊กที่ซื้อกันมา ถ้าเป็นรุ่นถอยไปสักปีหรือสองปี ก็น่าจะมีสล็อต PCIe มาให้สำหรับอัพเกรด ซึ่งนอกจากการเพิ่มแรมแล้ว การใส่ SSD รุ่นใหม่เข้าไป ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ได้ไม่น้อย เช่นเดียวกับพีซี ที่อาจจะใช้ SSD ไม่ต้องใหญ่ ใส่สัก 240-256GB ความเร็วสูง ก็เปิดเครื่องไว ทำงานได้คล่องขึ้น เช่นเดียวกับในวันนี้ ที่แอดไปส่อง SSD 250GB ความเร็วสูงระดับ 3,000MB/s ในงบแค่ 1,900 บาท มาให้ได้อัพเกรดกัน

  • ความเร็วในการ Read data ดีที่สุด: ADATA GAMMIX S11
  • ค่า TBW สูงสุด: Corsair MP510
  • ค่า MTBF สูงสุด: 2 ล้านชั่วโมง
  • ราคาถูกสุด: ADDLINK S70

ssd 250gb

 

ssd 250gb

WD Black SN750-250GB (ดูรีวิวเพิ่มเติม)

  • NAND flash: 3D NAND TLC
  • Speed: Read 3,100MB/s และ Write 1,600MB/s
  • TBW: 200
  • MTBF: 1.75 ล้านชั่วโมง
  • การปรับประกัน: 5 ปี

ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

 

ssd 250gb

Kingston KC2000-250GB

  • NAND flash: 3D NAND TLC
  • Speed: Read 3,000MB/s และ Write 1,100MB/s
  • TBW: 150
  • MTBF: 2.0 ล้านชั่วโมง
  • การปรับประกัน: 5 ปี

ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

 

ssd 250gb

ADDLINK S70-256GB

  • NAND flash: 3D NAND TLC
  • Speed: Read 3,000MB/s และ Write 1,000MB/s
  • TBW: 350
  • MTBF: 1.8 ล้านชั่วโมง
  • การปรับประกัน: 5 ปี

ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

 

ssd 250gb

ADATA GAMMIX S11-240GB

  • NAND flash: 3D NAND TLC
  • Speed: Read 3,200MB/s และ Write 1,700MB/s
  • TBW: 160
  • MTBF: 2 ล้านชั่วโมง
  • การปรับประกัน: 5 ปี

ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

 

ssd 250gb

Corsair MP510-240GB

  • NAND flash: 3D NAND TLC
  • Speed: Read 3,100MB/s และ Write 1,050MB/s
  • TBW: 400
  • MTBF: 1.8 ล้านชั่วโมง
  • การปรับประกัน: 5 ปี

ไปช้อปกันได้ที่ คลิ๊ก

 

from:https://notebookspec.com/5-ssd-250gb-pcie-speed-3000mbps/519279/

SSD – มาตรฐาน PCIe มียอดขายสูงขึ้น จน SATA จะหายไป อาจจะแย่งส่วนแบ่งในปี 2019 นี้ได้สูงถึง 50%

ในปัจจุบันนี้เราจะเห็นกันได้อย่างชัดเจนเลยครับว่าแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ทุกรูปแบบนั้นมีราคาจำหน่ายลดลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2018 ที่ผ่านมา สาเหตุหนึ่งนั้นก็เนื่องมาจากการที่ชิป NAND flash ที่ใช้บนตัวแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD นั้นถูกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นเลยทำให้มีการคาดการณ์กันครับว่าแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD นั้นจะมียอดจำหน่ายเติบโตขึ้นถึง 20-25% ภายในปี 2019 นี้ ซึ่งแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่จะได้รับความนิยมจำทำให้มีส่วนแบ่งในตลาดมากที่สุดนั้นก็หนีไม่พ้น PCIe SSD ครับ

ตามข้อมูลนั้นได้มีการระบุเอาไว้ครับว่าในปี 2019 นี้นั้น SSDs จะมีความจุเริ่มต้นที่วางจำหน่ายอยู่ที่ 256 GB โดยหากมองที่ความจุแล้วนั้นจะพบว่าในปี 2019 นี้นั้นแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSDs ที่จะได้รับความนิยมมากที่สุดจะมาพร้อมกับความจุที่ 480 GB ซึ่งจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาดสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปครับ

นอกไปจากนั้นแล้วทางประธานของบริษัท Apacer Technology อย่างคุณ CK Chang ได้ออกมากล่าวไว้ครับว่าการที่แหล่งเก็บข้อมูลแบบ PCIe SSD จะสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดได้มากกว่า SATA SSD นั้นก็เนื่องมาจากประสิทธิภาพที่สูงกว่า แถมราคานั้นก็ยังลดลงเรื่อยๆ โดยในปี 2019 นี้นั้นคาดว่าแหล่งเก็บข้อมูลแบบ PCIe SSD นั้นจะมีราคาลดลงอย่างต่อเนื่องไปอยู่ที่ 11% อย่างในไตรมาสที่ 1 ของปี 2019 ที่ผ่านมาครับ

ที่มา : digitimes

from:https://notebookspec.com/pcie-ssd-rising-as-mainstream-to-grab-50-market-share-in-2019/476455/