คลังเก็บป้ายกำกับ: SSD

S-GEAR SCYLLA เกมมิ่งคีย์บอร์ด Custom ได้เปลี่ยนคีย์ที่ใช่ สวิทช์ที่ชอบ ได้ตามใจ

S-GEAR SCYLLA คีย์บอร์ด 2023 Custom Hot Swap เลือกคีย์แคป เปลี่ยนคีย์สวิทช์เองได้ตามใจ ไฟ RGB สวย

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA เกมมิ่งคีย์บอร์ดที่มีความโดดเด่น ในรูปแบบของ Mechanical keyboard รุ่นนี้ ไม่ใช่แค่ความเป็นคีย์บอร์ดที่มีแสงไฟสวยงาม หรือมาในแบบ TKL ที่มีขนาดกระทัดรัด เท่านั้น แต่ลูกเล่นในการปรับแต่ง ผมถือว่าเป็นหัวใจของคีย์บอร์ดรุ่นนี้เลย ว่ากันตั้งแต่ในเรื่องฮาร์ดแวร์ ที่เปลี่ยนได้ทั้งคีย์แคป ไปจนถึงปุ่มสวิทช์ ให้คุณเลือกใช้ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าคุณจะชอบแบบใด แถมยังมี Switch จาก Gateron มาให้ จัดว่าเป็นคีย์สวิทช์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาด และยังเพิ่มสวิทช์มาให้เปลี่ยนได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังปรับแสงสีไฟ RGB ได้อย่างสวยงาม มีเอฟเฟกต์ให้เลือกเยอะ ใช้งานก็ง่าย อีกทั้งคุณยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ได้ทั้ง 3 รูปแบบต่อสาย และไร้สาย รวมถึงต่อบลูทูธเข้ากับอุปกรณ์โมบาย เรียกว่าว่าคล่องตัว พกพาไปใช้งานข้างนอกได้ แบตเตอรี่ชาร์จครั้งเดียวอยู่ได้นาน ราคาเพียง 3,590 บาทเท่านั้น

จุดเด่น

  • ขนาดกระทัดรัดในแบบ TKL
  • Custom ได้ง่าย เปลี่ยนทั้งสวิทช์และคีย์แคป
  • ต่อได้ทั้งมีสายและไร้สาย Wireless, Bluetooth
  • มีสวิทช์มาให้เปลี่ยนมาในกล่อง
  • มีปุ่มฮอตคีย์ให้ใช้มากมาย
  • มาพร้อมแสงไฟ RGB ปรับโหมดได้

ข้อสังเกต

  • การปรับแต่งเน้นที่ปุ่มเป็นหลัก
  • แสงไฟ Backlight ออกที่ EN

S-GEAR SCYLLA คีย์บอร์ด Hot swap


Specification

Description
Form Factor 87 Keys
Switch Type Gateron Blue / Red
Lighting RGB Fully Customizable
Keycaps Material ABS Two-Color injection molding
Sandwich Cotton EVA Sandwich Cotton
Multimedia function Keys PCB Board 5 Pins
Connectivity Cable USB-A to C, Bluetooth 3.0/5.0 ,Wireless 2.4GHz
Cable Length 1.6 Braided Cable
Special Feature Power Saving Modes
Warranty 2 Years
Price 3,590

ข้อมูลคีย์บอร์ดเพิ่มเติม: S-GEAR

Advertisementavw

Facebook: S-GEAR


Unbox

S-GEAR SCYLLA

สำหรับกล่องและแพ็คเกจของ S-GEAR SCYLLA จัดทำออกมาได้มาตรฐาน ให้ข้อมูลต่างๆ ไว้ครบถ้วนพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่าง สเปค การเชื่อมต่อ อุปกรณ์บันเดิลและคีย์สวิทช์เป็นต้น และยังมี QR code ที่ให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกด้วย ตัวกล่องมาในโทนสีชมพูตัดดำ และมีกราฟิกของคีย์บอร์ดมาเต็มหน้ากล่อง กับโทนสี RGB รอบๆ เพิ่มมาให้

เพิ่มเติมข้อมูลของ Red Switch มาอย่างชัดเจน และเสริมลูกเล่น กับรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Gateron Switch เขื่อมต่อได้ 3 โหมด และเป็นแบบ และที่สำคัญเป็นเลย์เอาท์ไทย ฟอนต์ไทยชัดเจนด้วย และที่สำคัญ Trusted by Synnex อีกด้วย มั่นใจได้เลย

S-GEAR SCYLLA

ด้านหลังกล่อง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมมาครบเลย ใครจะส่องข้อมูลก่อนตัดสินใจ ดูได้จากจุดนี้ เพราะมีทั้งสเปค ฟีเจอร์ รายละเอียดของบันเดิล และ QR มาให้ในการสแกนดูข้อมูล ขนาดกล่องไม่ใหญ่ ตามไซส์ของคีย์บอร์ดเลย

S-GEAR SCYLLA

แกะกล่องออกมา ภายในมีซองพลาสติกที่พิมพ์โลโก้มาแบบเท่ๆ กับสโลแกน Make it More ประมาณทำได้มากกว่า ตามลูกเล่นของคีย์บอร์ดที่จัดมาให้มากมาย ทั้งในแง่การเชื่อมต่อและโมดิฟาย

S-GEAR SCYLLA

อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง ประกอบด้วยสายสัญญาณเป็นแบบสายถัก ค่อนข้างแน่นหนา หัวต่อเป็นแบบ USB-C จากตัวคีย์บอร์ด ไปยัง USB-A บนพีซี ความยาวสายประมาณ 1.6 เมตร

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA ให้อุปกรณ์ที่เป็น Remover สำหรับถอดคีย์แคป และอีกด้านจะเป็นตัวถอดคีย์สวิทช์

S-GEAR SCYLLA

คู่มือสำหรับหลายๆ คน ผมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากทีเดียว หากจะใช้คีย์บอร์ดแบบให้ครบทุกฟังก์ชั่น เพราะ คุณจะสามารถใช้คีย์ลัดหรือ Hot key ในการปรับแต่งเอฟเฟกต์สี สลับโหมดการทำงาน การเชื่อมต่อ ซึ่งแนะนำว่าให้ถ่ายภาพ หรือเก็บเอาไว้ให้ดีๆ เลยครับ

S-GEAR SCYLLA

นอกจากนี้ในกล่อง S-GEAR SCYLLA ยังใส่คีย์แคป WASD สีสดใสมาให้ โดยเป็นคีย์แคปแบบ ABS Doubleshot ซึ่งเป็นแบบที่ได้รับความนิยม และมีความทนทานสูง พร้อมกันนี้ยังมีแสงไฟลอดออกมาอีกด้วย ทำออกมาได้ค่อนข้างปราณีตเลยทีเดียว สามารถเปลี่ยนกับคีย์แคปเดิมได้ทันที

S-GEAR SCYLLA

และสิ่งนี้ถือเป็นไฮไลต์ นั่นคือ Blue switch ที่มีให้ถึง 10 ชิ้นด้วยกัน โดยเป็นแบบ Clicky เข้าใจว่าทาง S-GEAR น่าจะเล็งเห็นว่า ผู้ที่ใช้สวิทช์แบบเดิมๆ ที่เป็น Linear บางครั้งอาจจะอยากได้ฟิลของการเล่นในแบบที่สนุกมากยิ่งขึ้น ด้วยสวิทช์ที่ให้คุณเปลี่ยนใช้ได้ง่ายกว่า ในจุดนี้เราจะไปดูวิธีการถอดเปลี่ยนสวิทช์กันอีกครั้ง

S-GEAR SCYLLA

และสุดท้ายกับตัวคีย์บอร์ด SCYLLA ที่มาในแบบ TKL หน้าตาดูกระชับ แต่ก็ดุดันเลยทีเดียว กับบอดี้ในโทนสีดำ


Design

S-GEAR SCYLLA

คีย์บอร์ด S-GEAR SCYLLA มาในโทนสีดำทั้งตัว วัสดุเป็นแบบโครงสร้างอะลูมิเนียม มีชั้นพลาสติกซ้อนอยู่อีกชั้น บนบอดี้สีออกเทาเข้มไปทางดำ กับปุ่มคีย์แคปแบบ Double-shot ดำสนิด วางเลย์เอาท์มาได้มาตรฐาน ทำให้มีพื้นที่วางปุ่มได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น Shift Right และ Enter ที่มีไซส์ขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ได้ทั้งการทำงานและเล่นเกม เช่นเดียวกับ Arrow ที่มาในแบบเต็มปุ่ม ไม่ลดทอนขนาด โดยมีปุ่มมาให้ 87 คีย์ ซึ่งจะไม่ได้มีเป็น Number Pad มาให้ แต่ในส่วนของ Hotkey และฟังก์ชั่น จัดมาให้ครบ

S-GEAR SCYLLA

ด้านข้างความกว้างประมาณ 130mm เท่านั้น จัดว่าทำออกมาได้กระชับ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของคีย์บอร์ดในกลุ่มนี้ ซึ่งจะไม่ได้ปล่อยให้พื้นที่เหลือขอบเยอะมาก เพื่อประหยัดพื้นที่ รูปทรงของคีย์แคปจะออกไปทาง Cherry MX แต่ก็มีความคล้ายกับ SA อยู่ด้วย แต่ก็ดูใช้ง่ายดี

S-GEAR SCYLLA

วัสดุเป็นแบบ ABS Double-shot มีความแข็งแรง และมีแสงไฟลอดออกมาจากปุ่ม ให้พิ้นผิวสัมผัสมา เพื่อการกดที่แม่นยำ และเป็นเงาง่าย

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA มีปุ่มฟังก์ชั่น ใช้ได้ตั้งแต่ F1 ไปจนถึง F12 โดยให้การทำงานมาดังนี้

  • F1 เปิดโปรแกรม Media Player
  • F2 Volume Down
  • F3 Volume Up
  • F4 Mute
  • F5 Stop
  • F6 RW
  • F7 Play/ Pause
  • F8 FW
  • F9 เข้าอีเมล์
  • F10 กลับสู่ Home
  • F11 File Explorer
  • F12 Calculator
S-GEAR SCYLLA

ปุ่มลูกศร Arrow ปรับขึ้นลง-ซ้ายขวา มาแบบเต็มปุ่ม และใช้สำหรับการปรับแต่งเอฟเฟกต์แสงไฟอีกด้วย Arrow-up เพิ่มแสง, Arrow-down ลดแสง ที่เหลือซ้าย-ขวา ใช้เปลี่ยนโหมดแสงไฟ

S-GEAR SCYLLA

ปุ่มคีย์แคปเป็นแบบ Double-shot โดยเท่าที่เราสังเกตนั้น ไฟจะลอดในส่วนของฟอนต์ EN อย่างชัดเจน แต่ไม่ลอดส่วนที่เป็น TH ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของ keycap ในรูปแบบนี้ ซึ่งจะเน้นไปที่การเล่นเกมเป็นหลัก แต่สำหรับคนที่พิมพ์สัมผัสอยู่แล้ว หรือไม่ได้ใช้พิมพ์งานมากมายนัก ก็ไม่ได้มีผลในการใช้งานแต่อย่างใด

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA การปรับทำมุมวางมือของคีย์บอร์ดแบบไม่กางขาตั้งออก อยู่ในแนวราบปกติจะอยู่ที่ราว 3 องศา และเมื่อตั้งขาตั้ง ซึ่งจะปรับได้เพียงสเตปเดียว จะอยู่ที่ 8 องศา ซึ่งอยู่ในระดับมาตรฐาน โดยคีย์บอร์ดมีการไล่สเตป ให้เรียงเป็น Curve ลงมาตั้งแต่สูงจากแถบ Function ด้านบนสุด ไล่ลงมาเป็นระยะต่ำสุดที่แถวล่างตรง Spacebar ซึ่งถ้ามองจากองศา ในการวางแนวราบ ดูเหมาะกับการเล่นเกมอย่างมาก จะต่างจากคีย์บอร์ด TKL บางรุ่น ที่ใช้ความสูงปุ่มเป็นระยะเท่ากันหมด

ในการใช้งานถ้าคุณเป็นสายโน๊ตบุ๊คมาก่อน แนะนำว่าอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย เพื่อให้คุ้นกับระยะของปุ่มที่ปรับไล่สเตปเช่นนี้ โดยเฉพาะในตอนที่พิมพ์งานจริงจัง อาจจะต้องเผื่อระยะในการกดและการวางมือเล็กน้อย เพื่อความรวดเร็ว แต่ข้อดีคือ การวางเลย์เอาท์ แทบจะไม่ต่างไปจากคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คกลุ่ม 14″ หรือเล็กกว่า แต่ได้ปุ่ม Arrow ขนาดใหญ่ และปุ่ม Enter ที่กดได้สะใจเลยทีเดียว

S-GEAR SCYLLA

ตัวคีย์บอร์ดมาพร้อมการเชื่อมต่อสัญญาณแบบ USB-C ไปเป็น USB-A บนเครื่องพีซี รวมถึงใช้ในการชาร์จไฟอีกทางหนึ่งด้วย โดย SCYLLA รุ่นนี้ มาพร้อมแบตขนาด 2500mAh เลยทีเดียว ใช้งานได้นาน

S-GEAR SCYLLA

ด้านหลังของคีย์บอร์ด มาในแบบเรียบง่าย แต่ที่ชอบที่สุดก็คือ การวางชุดควบคุมและตัวรับ-ส่งสัญญาณมาในส่วนเดียวนี้เลย เพิ่มความสะดวกในการใช้งานและการจัดเก็บ

USB Receiver ขนาดเล็ก ถูกเก็บไว้ใกล้กับฝั่งทางด้านใต้ขาตั้ง โดยมีปุ่มสวิทช์เปิด-ปิดการทำงาน ผมว่าการจัดวางแบบนี้ ดีและสะดวกต่อผู้ใช้งาน ไม่ต้องไปเปิดฝาครอบ เสียบเก็บให้ดูซับซ้อนอีกด้วย

S-GEAR SCYLLA

เมื่อเทียบมิติความหนาของคีย์บอร์ดกับหนังสืออ่านเล่น จะเห็นได้ว่าหนากว่ากันเพียงเล็กน้อย ทำให้ผู้ใช้จัดเก็บและเคลื่อนย้ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งลงตัวกับผู้ใช้ในกลุ่มนี้ ที่มักจะพกคีย์บอร์ดไปใช้งานนอกบ้าน แม้จะไม่ได้บางขนาดเท่านิตยสาร แต่ก็เชื่อว่าความกว้าง-ยาว ที่มาให้กระชับ ก็เข้ามาทดแทนกันได้พอสมควร


Function

S GEAR SCYLLA Exp 5 1

ฟังก์ชั่นและการปรับแต่ง S-GEAR SCYLLA จัดว่ามีมาให้ครบ โดยไฮไลต์นั้นอยู่ที่การปรับโหมดในการเชื่อมต่อ คีย์บอร์ดรุ่นนี้ให้ผู้ใช้ สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยการติดต่อสัญญาณ 3 รูปแบบคือ แบบใช้สาย (Wired) ใช้ร่วมกับพีซี หรือโน๊ตบุ๊ค ด้วยการต่อสาย USB-C จากคีย์บอร์ด ไปยัง USB-A บนเครื่องคอม เป็นรูปแบบขั้นพื้นฐานในการใช้งาน และยังเป็นการชาร์จไฟให้กับคีย์บอร์ดไปพร้อมกัน

S Gear SCYLLA 43

และในโหมดการเชื่อมต่อไร้สาย สามารถเลือกได้ทั้งการต่อ สัญญาณ WiFi 2.4GHz บนโน๊ตบุ๊ค หรือจะใช้ร่วมกับ Bluetooth ก็ได้อีกด้วย อย่างเช่น กรณีที่คุณใช้งานกับพีซี ด้วยการต่อสัญญาณ Wireless ร่วมกับ USB Receiver ที่มากับตัวคีย์บอร์ด แล้วต้องการสลับไปใช้กับแท็ปเล็ตหรือสมาร์ทโฟน ผ่านทางสัญญาณบลูทูธ ก็เพียงกดปุ่ม Fn+Q บนคีย์บอร์ด และอย่าลืมเปิดบลูทูธบนสมาร์ทโฟน ค้นหาสัญญาณ จะขึ้นเป็น SCYLLABT ให้คุณเลือก Connect เท่านี้ก็ใช้งานคีย์บอร์ดร่วมกันได้แล้ว

S Gear SCYLLA BT1

โดยจากตัวอย่างนี้ เราเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟน ผ่านทางบลูทูธ ก็สามารถใช้งานได้ทันที โดยใช้ชื่อว่า SCYLLABT ไม่ต้องมีการเซ็ตค่าอื่นใด หลังจากที่เชื่อมต่อสัญญาณกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานร่วมกับโปรแกรมแชต Line, Gmail หรือการพิมพ์งานแต่งภาพทั่วไป ที่จะต้องใส่ข้อมูลที่เป็น Text หรือปุ่มที่ใช้งานร่วมกันได้

แต่สิ่งที่สำคัญอย่างที่ได้กล่าวไปในตอนต้นก็คือ เก็บคู่มือเอาไว้ให้ดีๆ ครับ เพราะคุณอาจจะต้องใช้ในการสลับ เปลี่ยนโหมดการทำงาน เอฟเฟกต์แสง หรือการเชื่อมต่อ โดยผมสรุปคร่าวๆ ในการใช้งานเอาไว้ให้ดังนี้ครับ เอาแบบที่ต้องได้ใช้งานกันบ่อยๆ

S-GEAR SCYLLA

การใช้คีย์ลัดบนคีย์บอร์ด S-GEAR SCYLLA

  • Fn+X ถ้าต้องการเปิดหรือปิดแสงไฟ Backlight บนคีย์บอร์ด
  • Fn+Q เชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วย Bluetooth ในแชนแนล 1
  • Fn+W เชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วย Bluetooth ในแชนแนล 2
  • Fn+E เชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วย Bluetooth ในแชนแนล 3
  • Fn+R เชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วย Wireless 2.4GHz Bluetooth ในแชนแนล 1
  • โหมดแสงไฟ RGB 3 รูปแบบ
  • Fn+1 แสงไฟ RGB ในโหมดเกม FPS
  • Fn+2 แสงไฟ RGB ในโหมดเกม LOL
  • Fn+3 แสงไฟ RGB ในโหมด ทำงาน 37 ปุ่ม ที่จะมีไฟสว่างขึ้น
  • Fn+ Up Arrow เพิ่มความสว่างแสงไฟ RGB มีให้ 5 ระดับ
  • Fn+ Down Arrow ลดความสว่างแสงไฟ RGB มีให้ 5 ระดับ
  • Fn+ Left Arrow ปรับแนวการวิ่งของแสงไฟ
  • Fn+ Right Arrow ปรับสีของไฟ RGB กรณีที่เป็นแบบสีเดียว
  • Fn+ _ ลดความเร็วในการเคลื่อนไหวของแสงไฟ
  • Fn+ + เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวของแสงไฟ

การปรับโหมดแสงสีต่างๆ ทำได้หลายรูปแบบเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้ใช้ซอฟต์แวร์ก็ตาม แต่ก็ใช้ปุ่มในการปรับเลือกเอฟเฟกต์แสงไฟได้ตามใจชอบ ความสว่างสดใสอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะแสงที่ลอดมานั้นโดดเด่น การเคลื่อนที่ของแสงไฟสมูทลื่นไหล เลือกแยกสี แยกโซนได้อย่างสวยงาม รวมถึงแสงไฟในแต่ละปุ่มที่ทำให้ S-GEAR SCYLLA ดูน่าสนใจไม่น้อยเลย คอเกมที่ชอบความหวือหวา เพิ่มอรรถรสในการเล่น ลองปรับใช้งานจะชอบครับ

S-GEAR SCYLLA

แต่ด้วยการเป็น Double-shot ที่แสงไฟลอดฟอนต์ EN เป็นหลัก ก็ทำให้การใช้งานในบางโอกาส โดยเฉพาะคนที่พิมพ์งาน แล้วต้องมองแป้นพิมพ์ อาจจะติดขัดอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นคนพิมพ์สัมผัส ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่วุ่นวายแต่อย่างใด ในทางกลับกันเกมเมอร์บางคน ชื่นชอบการที่ RGB ลอดเฉพาะคีย์ EN เท่านั้น เพราะไม่ดึงดูดสายตาขณะที่เล่นมากเกินไป จนทำให้เสียสมาธิได้ แต่โดยส่วนตัวมองว่า หากคุณคุ้นเคยกับแสงไฟอยู่แล้ว การปรับใช้ไฟสีเดียว ก็เหมาะกับการเล่นเกมได้ดีครับ


Keycap

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA ให้เป็น Gateron Switch จัดว่าเป็นสวิทช์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ Cherry MX ด้วยทั้งคุณภาพและความทนทาน โดยเฉพาะในกลุ่ม Linear switch อย่างเช่นที่ใส่มาให้เป็น Gateron Red จัดว่าเป็นแบบที่ขึ้นชื่อของทางค่ายนี้ ให้ความนุ่มนวล กดได้ลื่นไหล และมีลูกเล่นน่าใช้อยู่ในกลุ่มที่เป็นตัวเลือกของผู้ใช้จำนวนมาก รวมถึงกลุ่ม Custom keyboard อีกด้วย เพราะราคาไม่สูงมากนัก

โดย Gateron Switch นั้น มีด้วยกัน 6 รูปแบบ ประกอบด้วย Blue กับ Green จะเป็นแบบ Clicky ส่วน Red, Yellow, White และ Black จะเป็น Linear สุดท้ายคือ Brown จะเป็นแบบ Tactile นอกจากนี้ก็ยังมีสวิทช์รุ่นใหม่ๆ ออกมาให้ใช้กันอีกเพียบ

คีย์สวิทช์ที่ให้มาเป็นแบบ Gateron Red Switch ฟิลลิ่งจะเป็นแบบ Linear กดได้แบบนุ่มๆ แต่ก็ให้น้ำหนักกับแรงต้านที่สนุกดี เสียงจะออกเป็นแบบ Clicky นิดๆ พอให้ได้สัมผัส แต่ยังเป็นแบบกดจังหวะเดียว เหมาะกับการพิมพ์งานได้แบบลื่นๆ

S-GEAR SCYLLA

และปุ่มคีย์แคปก็ถอดเปลี่ยนได้ มีสมดุลที่ดี ตัวล็อคที่แน่นหนา ถอดใส่ได้ง่าย เปลี่ยนได้ในทุกคีย์ ถ้าคุณเบื่อก็ลองหาคีย์แคปแปลกๆ มาใส่ได้ เพื่อเปลี่ยนสไตล์การใช้งาน ตัว Stem เป็นแบบ + มาตรฐานครับ หาคีย์แคปมาใช้งานด้วยง่าย

S-GEAR SCYLLA

และอย่างที่ได้กล่าวไปในตอนต้นคือ SCYLLA มาในแบบ 87 ปุ่ม ปรับเปลี่ยนได้อิสระตามต้องการ และ S-GEAR ก็ยังให้คีย์สวิทช์ในแบบ Gateron Blue ที่เป็นแบบ Clicky มาให้อีก 10 ชิ้น มาให้ได้ลองเปลี่ยนอารมณ์การคลิ๊กกันบ้าง

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA ถอดเปลี่ยนสวิทช์ได้ง่ายมาก ตามสไตล์ของคีย์บอร์ดแบบ Custom แค่นำเครื่องมือตัวคีบที่ให้มาในกล่อง หนีบเข้าไปที่บริเวณด้านข้างของสวิทช์ จะมีช่องให้หนีบเข้าไป แล้วดึงออกมาตรงๆ ทำได้ง่ายดายทีเดียว

S-GEAR SCYLLA

เราได้ลองเปลี่ยนจำนวน 4 ปุ่ม ที่เป็น WASD ที่เน้นการเล่นเกมโดยเฉพาะ ตรงนี้ถ้าคุณเล่นเกมแนว Action Shooting หรือ FPS แนะนำให้กดปุ่ม Fn+1 ได้เลยครับ แสงไฟจะสว่างในปุ่มเหล่านี้ ให้คุณคอนโทรลได้สนุกสะใจยิ่งขึ้น


Let’s Play

S-GEAR SCYLLA

เตรียมมาพร้อมขนาดนี้ ก็ได้เวลาสนุกกันแล้วครับ มาทดสอบใช้งานกับฟิลลิ่งของ S-GEAR SCYLLA รุ่นนี้กัน ในเบื้องต้นสิ่งที่สัมผัสได้คือ การเชื่อมต่อที่ง่าย และขนาดที่กระทัดรัด ประหยัดพื้นที่โต๊ะไปได้มากทีเดียว ยิ่งคนที่ใช้โต๊ะคอมเล็กๆ 120cm จะเหลือพื้นที่สำหรับการใช้เมาส์ได้มากขึ้น การเชื่อมต่อก็เลือกได้เลย อยากให้โต๊ะดูกว้าง เหลือพื้นที่วางสิ่งอื่นๆ ด้วย ไม่มีสายเกะกะ ก็ใช้ไร้สาย ต่อกับ USB Receiver ได้

S-GEAR SCYLLA

แต่ถ้าในกรณีที่ต้องการเซฟแบต เผื่อจะนำไปใช้นอกสถานที่ด้วย และสามารถจัดเก็บสายที่โต๊ะได้ดี ก็ใช้แบบมีสายได้เช่นกัน ต่อสายชาร์จไฟ ก็สามารถเปิดแสงไฟ RGB เล่นได้สบายใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะแบตหมดกลางทาง แต่แบตก็อึดอยู่นะครับ ชาร์จตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้รับ ใช้ทดสอบบ้าง เล่นเกมบ้าง ยังอยู่ได้อีกหลายวัน ที่สำคัญแบตมีระบบสแตนบาย ช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย

S-GEAR SCYLLA

ในแง่การใช้งาน งานพิมพ์งานเอกสารทั่วไป จนถึงการใช้ในชีวิตประจำวัน Red Switch ตอบโจทย์ได้หมด ด้วยคาแรกเตอร์ที่พิมพ์นิ่มและลื่น ให้ความรู้สึกต่างจาก Mechanical ที่เป็น Blue switch ที่ใช้อยู่ประจำพอสมควรเลย แต่ใครที่เคยใช้คีย์บอร์ดขนาดใหญ่ Full-size อาจต้องปรับตัวเล็กน้อย เพราะคุณจะต้องวางมือแคบเข้ามา แต่ผมเองก็มองว่า ใช้เวลาไม่นาน แถมยังโฟกัสกับการพิมพ์ได้ดีขึ้น

แต่ในแง่ของการเล่นเกม Red Switch ก็ตอบโจทย์ได้ แต่ความเป็น Gateron Blue มันช่วยให้เร้าใจมากขึ้นทีเดียว แต่โดยพื้นฐานผมเล่นเกมสลับกันไปมาระหว่าง Action FPS กับ Racing จังหวะของการเล่นแอ็คชั่นอย่าง PUBG, COD หรือจะเป็น Valorant ส่วนใหญ่ไปลงตัวที่ Blue Switch แต่พอเล่น Forza Horizon การใช้ Red Switch ก็ตอบโจทย์ได้ดี การสลับคีย์ได้แบบนี้ ก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย แต่ก็ต้องเลือกว่า เราจะเล่นแนวใดมากที่สุด เพราะไม่ต้องเปลี่ยนสวิทช์กันบ่อยๆ นั่นเอง


Conclusion

S-GEAR SCYLLA

S-GEAR SCYLLA เกมมิ่งคีย์บอร์ดแบบไร้สาย ใช้งานได้ 3 โหมด ไม่ว่าจะเป็นต่อสาย ไร้สาย และบลูทูธ จึงเป็นคีย์บอร์ดอเนกประสงค์ ที่ใช้ได้ในทุกๆ วันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน พิมพ์เอกสาร หรือใช้ในด้านความบันเทิง เพราะปุ่มสวิทช์ Red กดง่าย พิมพ์ได้ลื่น มีแรงต้านเล็กๆ ช่วยให้กดได้สนุก แสงไฟมีความสว่างสดใส ปรับเปลี่ยบนได้ในโหมดต่างๆ ในรูปลักษณ์ของ TKL keyboard ไซส์กระทัดรัด ประหยัดพื้นที่บนโต๊ะ อีกทั้งมาพร้อมแบตขนาดใหญ่ ให้ใช้งานได้นานขึ้น ยิ่งถ้าปิดไฟ RGB ก็จะยืดระยะการใช้งานได้มากทีเดียว จุดที่น่าสนใจนั่นคือ การเป็น Custom keyboard ที่เปลี่ยนได้ตั้งแต่ คีย์แคปจนถึงสวิทช์ เลือกได้ตามความเหมาะสม ชอบสไตล์ไหนก็เลือกใช้ตามใจชอบ Stem เป็นแบบมาตรฐาน เข้ากันได้กับคีย์แคปมาตรฐานในปัจจุบัน

ในแง่ของการปรับแต่งใช้งาน มีให้เยอะทั้งในเรื่องการใช้งานคีย์ลัด หรือจะเป็นการตั้งมาโคร หรือการปรับเปลี่ยนแสงไฟ แต่จะมีในบางจุดที่คิดว่าทาง S-GEAR น่าจะเพิ่มเติมเข้ามาในภายหลัง นั่นคือ ซอฟต์แวร์และการเพิ่มคีย์แคปทางเลือกมาให้ เพื่อให้การใช้งานลงตัวมากขึ้น เพราะคุณอาจจะต้องจดจำรูปแบบการเปลี่ยน และปุ่มการใช้โพรไฟล์แสงสี กับการสลับการเชื่อมต่อ และคู่มือจะเป็นสิ่งที่ช่วยคุณได้มากที่สุดนั่นเอง

ฃในภาพรวมถือว่า SCYLLA ทำได้คุ้มค่าเกินราคา เพราะค่าตัว 3,590 บาทเท่านั้น ถือว่าเป็น Custom keyboard ในราคาย่อมเยา ที่ให้คุณได้ไปต่อกับการเล่นคีย์บอร์ดให้ถูกใจ คุณจะนำไปใช้ เปลี่ยนคีย์แคปหรือสวิทช์ ก็ง่าย รวมถึงจะไปลูป (Lube switch) กันต่อ ให้ใช้งานถูกใจมากขึ้นก็ยังได้อีกด้วย ใครที่สนใจไปช้อปกันได้ในร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ และร้านค้าออนไลน์ในเวลานี้


การรับประกัน

  • รับประกันสินค้า 2 ปี จาก Trusted by Synnex
  • สินค้ามีปัญหาเปลี่ยนให้ใหม่ทันที ไม่ต้องรอซ่อม
  • ช้อปสินค้า S-GEAR ได้แล้วที่
  • Lazada https://bit.ly/3Q0VNZN
  • SHOPEE https://bit.ly/3KC2BvV
  • ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ

ข้อมูลคีย์บอร์ดเพิ่มเติม: S-GEAR

Facebook: S-GEAR

from:https://notebookspec.com/web/692212-s-gear-scylla-gaming-keyboard

Advertisement

รีวิว HyperX Alloy Origins PBT 2023 และ Pulsefire Mat RGB สวยเร้าใจ ไฟ RGB ปรับแต่งสนุก

HyperX Alloy Origins PBT 2023 เล่นเกมสนุก ทนทาน ปรับแต่งง่าย คีย์ไทย ไฟ RGB เล่นได้ทุกเกม

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT จัดเป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ด RGB ในสายของ Alloy ที่ได้รับการพัฒนามาต่อเนื่อง จากรุ่นพี่ที่เป็น Alloy Origins ก่อนหน้านี้ ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก กับเอกลักษณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ใส่ฟีเจอร์มาแน่น กับคีย์สวิทช์เฉพาะของทาง HyperX และแสงไฟ RGB ที่ปรับแต่งได้สวยสดใส และในรุ่นใหม่นี้ ทาง HyperX เพิ่มปุ่มที่เป็นภาษาไทย ยิงเลเซอร์มาให้พร้อมใช้ เอาใจเกมเมอร์คนไทย ที่บางครั้งก็ต้องใช้ในการพิมพ์งาน หรือแชตส่งงาน ทำได้ง่ายกว่าเดิม และยังคงโครงสร้างอะลูมิเนียมที่หนักแน่น ปรับระยะลาดเอียงได้ 3 ระดับ และต่อสายสะดวกในแบบ USB-C เป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่มาพร้อม Game Mode ปรับแต่งมาโครคีย์ได้ และมีทั้ง Anti-Ghostng และ N-Key rollover เป็นฟีเจอร์พื้นฐาน ที่ให้คุณกดรัวๆ บนการเล่นเกมได้ ไม่มีการแจ้งเตือน และกันการกดผิดปุ่ม ปิดการทำงานของปุ่ม Win ได้อีกด้วย เพื่อการเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลนั่นเอง


HyperX Alloy Origins PBT & Pulsefire Mat RGB


Specification

Description
Switch: HyperX Red – Linear
Actuation Point: Mechanical
Backlight: RGB (16,777,216 colors)
Light Effects: Per key RGB lighting and 5 brightness levels
Onboard Memory: 3 profile
Polling Rate: 1000Hz
USB 2.0 Pass-through: No
Anti-ghosting: 100% anti-ghosting
Rollover: N-key
Acceleration: Yes
Game Mode: Yes
USB Specification: USB 2.0 (full-speed)
OS Compatibility: Windows® 10, 8.1, 8, 7
Dimension: 442.5 x 132.5 x 36.39mm
Weight: w/ cable 1.07Kg.
Cable Length: xxm
Operating Force: 45g, 45g, 50g
Actuation Point: 1.8mm
Total Travel Distance: 3.8mm
Price: 3,790 Baht

ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX

Advertisementavw

Unbox

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT มาในกล่องสีแดงสด ตัดกับลวดลายสีขาวและดำ ด้านหน้าเป็นกราฟิกรูปตัวคีย์บอร์ดอย่างชัดเจน และใส่ข้อมูลฟีเจอร์มาในแต่ละจุด เช่น การเป็น Double shot PBT, Red switch และรองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นคอนโซล เช่น PS4/ PS5 หรือ XBox เป็นต้น

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านหลังเพิ่มเติมมาทั้งในส่วนของซอฟต์แวร์ NGENUITY, RGB รวมถึงในแพ๊คเกจ มีสิ่งใดเพิ่มเติมมาให้บ้าง เอาไว้สำหรับเช็คอุปกรณ์ดูได้เลย ว่าได้ครบมั้ย

HyperX Alloy Origins PBT

ชอบในความดีไซน์ของค่ายนี้ เพราะยังคงมีเอกลักษณ์ชัดเจน ทั้งในเรื่องของสีสันและตัวอักษร แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ในหลายปีที่ผ่านมา และในนี้ก็ระบุชื่อรุ่นและฟีเจอร์มาได้สะดุดตา

HyperX Alloy Origins PBT

เมื่อเปิดกล่องออกมา นอกจากจะมีตัวคีย์บอร์ดที่ใส่มาในกล่องแบบพอดีๆ แล้วยังมีคู่มือ เอกสารแนะนำมาให้ตามมาตรฐาน สำหรับคนที่ต้องการปรับแต่งแสงสี โหมดแสงไฟในเบื้องต้น รวมถึงการตั้งมาโครปุ่ม แนะนำเลยครับ ช่วยได้เยอะ

HyperX Alloy Origins PBT

และสิ่งที่มาให้เซอร์ไพรซ์ กับคีย์แคปที่ทาง HyperX เพิ่มเติมมาให้ ทั้งที่เป็นปุ่ม Esc สีแดงสดใส และปุ่ม Spacebar ขนาดใหญ่สีดำ มีลวดลายที่คล้ายกับหิมะ หรือดาวตกอะไรประมาณนั้นครับ

HyperX Alloy Origins PBT

ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนคีย์แคปเองได้ เพราะเค้าให้อุปกรณ์เสริมมาถอดปุ่มได้แบบง่ายๆ ถ้าอยากได้ความแปลกใหม่ หรือต้องการสีสัน ลูกเล่นไปจากคีย์แคปแบบเดิมๆ ก็ถอดออกมาตรงๆ แล้วเปลี่ยนได้เลยครับ

สายสัญญาณเป็นแบบสายถักแบบถอดได้ ยาวประมาณ 1.5m ด้วยพอร์ตแบบ USB-C to USB-A ต่อเข้ากับคีย์บอร์ดด้วยหัว USB-C และปลายสายเข้าคอมพีซี หรือโน๊ตบุ๊คด้วย USB-A ใช้ง่าย เก็บสายได้ค่อนข้างง่าย ดูเรียบร้อยขึ้นไม่น้อยเลย


Design

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT นี้ มาในแบบที่เรียกว่า Compact Design ประหยัดพื้นที่เหมือนเดิม เล็กกว่าในคีย์บอร์ดระดับเดียวกันพอสมควร สังเกตได้จากขอบแต่ละด้านที่กระชับเข้ามา จนชิดปุ่ม จึงประหยัดพื้นที่จัดวาง เหลือพื้นที่บนโต๊ะคอมของคุณอีกเพียบ สำหรับการเลื่อนเมาส์ได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น แม้จะใช้โต๊ะเล็กก็ตาม

ปุ่มมาในโทนสีออกเทาเข้ม-ดำ ตัดกับตัวอักษรสีขาวบนคีย์แคปได้อย่างชัดเจน แต่ฟอนต์จะดูต่างกัน Alloy Origins ตัวเดิมอยู่เล็กน้อย ก่อนหน้านี้อาจจะดูเด่นขึ้นนิดหน่อย เพราะใช้คีย์แคปต่างจาก PBT แต่ที่เจอคือ Origins เดิมจะเริ่มมันวาว เมื่อใช้ไปนานๆ แต่ Origins PBT จะมีพื้นผิว ที่ทำให้ไม่เกิดเงาได้ง่าย

HyperX Alloy Origins PBT

มาถึงบอดี้ของคีย์บอร์ดกันบ้าง ขนาดจัดว่าเล็กในแบบ Compact size ที่เป็นจุดขาย เพราะถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด Alloy Origins PBT รุ่นนี้ทำได้กระชับ ไม่เปลืองพื้นที่ แต่ให้ฟีเจอร์สำคัญมาครบถ้วน

ถ้าดูจากเลย์เอาท์ ก็เรียกว่าแทบจะถอดแบบมาเกือบทุกจุด ยกเว้นตรงที่คีย์แคปบางตัวของ PBT ทำเป็นแบบ 2 หน้า มีพิมพ์ 2 ส่วน ได้ลูกเล่นการปรับแต่งง่ายขึ้น แต่ในเรื่องขนาดปุ่ม การจัดวางก็คล้ายกันมาก

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านหลังหรือด้านใต้ของคีย์บอร์ด มาแบบเรียบๆ ไม่ได้มีสิ่งใดโดดเด่น แต่มีขาพับปรับระดับได้ 3 step เพื่อให้เอียงตามมุมการใช้งานได้

HyperX Alloy Origins PBT

พอร์ตที่มีให้เป็น USB-C ในการต่อสายสัญญาณเข้ากับพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค เป็นแบบเรียบง่าย ไม่ได้เป็นแบบตัวล็อคเสริมเพิ่มความแน่นมาให้เหมือนกับเกมมิ่งคีย์บอร์ดบางค่ายนำมาใช้กัน

และการปรับระดับเทียบกันระหว่างด้านซ้ายเป็นการปรับชันสุด 11 องศา ส่วนถ้าพับขาตั้งเข้าไป จะอยู่ที่ประมาณ 3 องศา อยู่ที่มุมการวางคีย์กับความสูง รวมถึงเก้าอี้นั่งของคุณจะเข้ากันในแบบใด

HyperX Alloy Origins PBT

ส่วนตัวมองว่า HyperX ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ดี แต่เสริมในบางจุดที่คิดว่าจำเป็นเข้ามา แต่พยายามไม่ให้เสียภาพของจำของผู้ใช้ไปมากนัก


Keycap & Switch

HyperX Alloy Origins PBT

ตัวปุ่มถูกปรับให้มีความทนทาน ในแบบที่เรียกว่า PBT keycap ซึ่งมักจะพบกันในเกมมิ่งคีย์บอร์ดคุณภาพสูง และให้พื้นผิวในแบบพ่นทราย เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเกมเมอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ถ้าผู้ใช้จะใช้งานปุ่มแบบนี้ ส่วนใหญ่จะต้องซื้อเพิ่มเพื่อมาเปลี่ยน แต่ HyperX จัดมาให้พร้อมใช้แล้วในรุ่นนี้

HyperX Alloy Origins PBT

นอกจากนี้ยังให้คีย์แคปตกแต่งมาเพิ่มอีก 2 ปุ่ม ประกอบด้วยปุ่ม Esc ที่ใส่เป็นปุ่มแดงโลโก้ HyperX ได้เลย แสงไฟลอดจากปุ่มดูสวยไม่ใช่เล่น

HyperX Alloy Origins PBT

เราสามารถแกะปุ่มคีย์แคปเพื่อเปลี่ยนได้ และด้านใต้ปุ่มเป็นสวิทช์ของทาง HyperX ในรุ่น Red สีแดง ซึ่งคาแรคเตอร์ของปุ่มจะเป็นแบบ Linear ซึ่งมีความนุ่มนวล แต่ให้การตอบสนองได้ดี จะคล้ายกับที่ใช้ใน Origins ก่อนหน้านี้ กับน้ำหนักในการกดประมาณ 45 กรัม ระยะตอบสนอง 1.8mm ใช้งานได้นานระดับ 80 ล้านคลิ๊กเลยทีเดียว

คีย์สวิทช์ของทาง HyperX

HyperX Aqua – Tactile

HyperX Blue – Tactile
HyperX Red – Linear
HyperX Silver – Linear

HyperX Alloy Origins PBT

แต่จุดที่ถือเป็นไฮไลต์ของ Alloy Origins PBT รุ่นนี้ก็คือ การเป็นปุ่มแบบพิมพ์ 2 ด้าน เพราะเมื่อสังเกตจากตรงนี้ จะเห็นว่ามีการพิมพ์ตัวสัญลักษณ์มาตั้งแต่ F1, F3 และ F3 ไปจนถึงปุ่ม RW/ Play/Pause และ FW เรื่อยไปจนถึงปุ่ม F9-F12 สำหรับการ Mute, Volume down/ Up และ Game Mode นั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

แสงไฟลอดผ่านได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ดังนั้นผู้ใช้ทั้งที่เป็นเกมเมอร์ และคนทำงาน ใช้คีย์บอร์ดบ่อย ก็ไม่ต้องกังวล เพราะคุณจะเห็นฟอนต์ได้ชัด ทั้งตอนที่เปิดหรือปิดแสงไฟนั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

จุดสำคัญของคีย์บอร์ดรุ่นนี้ อยู่ที่การใช้ Side-Printing ที่เพิ่มเข้ามาในส่วนของด้านข้างคีย์แคป ทำให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น เพราะไม่ใช่แค่ดูสบายตา แต่ยังใช้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งมาโคร หรือเปลี่ยนโหมด แสงไฟ หรือใช้ฟังก์ชั่นด้านมัลติมีเดียก็ตาม


Backlit

HyperX Alloy Origins

สำหรับแสงไฟ Backlit เป็นแบบไฟ RGB ปรับแต่งได้ทั้งบนปุ่มคีย์บอร์ด ตามโพล์ไฟล์ที่จัดเก็บเอาไว้ หรือจะใช้ซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ในการปรับแต่งก็ได้เช่นกัน โดยแสงไฟสว่างจากบนคีย์สวิทช์ ที่อยู่ด้านบน ซึ่งสว่างมากพอ ที่จะทำให้ฟอนต์ชัดเจนทั้งไทยและอังกฤษบนคีย์แคป

ความสว่างปรับได้ถึง 5 ระดับด้วยกัน ด้วยการกดที่ปุ่มลูกศร ที่อยู่ด้านข้าง NumberPad โดยดูจาก Side-printing บนปุ่มได้เลย แสงไฟให้ความสว่างได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อใช้ในที่มืด เรียกว่าทะลุปุ่มออกมาได้ชัดเจน

HyperX Alloy Origins

HyperX ngenuity

การปรับแสงไฟ RGB ในโหมดต่างๆ สามารถทำได้ 2 วิธีคือ ปรับจากปุ่มโพรไฟล์บนคีย์บอร์ดได้โดยตรง ใช้ปุ่ม F1, F2 และ F3 ซึ่งจะใช้ปรับโหมดสีและเอฟเฟกต์ ตามที่เราได้ตั้งเอาไว้ในซอฟต์แวร์อย่าง HyperX ngenuity ได้อีกด้วย

HyperX Alloy Origins

แบบที่สอง นั่นคือ การปรับในซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity ซึ่งทำได้ค่อนข้างสะดวกทีเดียว เพราะเลือกเอฟเฟกต์ แสง สี แล้ว Apply ดูตามรูปแบบแสงไฟได้ตามต้องการ


Software

ไม่ว่าคุณจะใช้เกมมิ่งเกียร์จาก HyperX ชิ้นเดียวหรือหลายชิ้นร่วมกันก็ตาม ซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity จะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด ให้คุณใช้งาน คีย์บอร์ด เมาส์ หูฟัง ไมโครโฟน และอื่นๆ ที่ง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่ง เพิ่มมาโคร หรือเปลี่ยนเอฟเฟกต์แสงไฟ ก็ทำได้จากซอฟต์แวร์นี้เลย อย่างเช่น ชุดเกมมิ่งคีย์บอร์ด และเมาส์แพดที่เราได้รับมาทดสอบนี้ ไปชมกันครับว่าจะสามารถปรับแต่งส่วนใดได้บ้าง

HyperX Alloy Origins

หน้าตาของเว็บไซต์เมื่อเข้าไปดาวน์โหลด จะใช้ช่องทางของ Microsoft store

HyperX Alloy Origins

เมื่อดาวน์โหลดมาติดตั้งเสร็จแล้ว จะมีหน้าตาเช่นนี้ ระบบจะรายงานเวอร์ชั่นของซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเวลานั้น

HyperX Alloy Origins

หน้าตาของซอฟต์แวร์ เมื่อเปิดเข้าไปและเลือกในแต่ละอุปกรณ์ จะแสดงผลมาแบบนี้ ตัวอย่างที่เราติดตั้ง จะมีทั้งคีย์บอร์ด Alloy Origins PBT, เมาส์แพด Pulsefire Mat และ Armada 27 ที่เป็นจอเกมมิ่ง รวมถึงเมาส์เกมอย่าง Pulsefire Haste ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถเชื่อมต่อเข้ากับซอฟต์แวร์ได้

HyperX Alloy Origins

สำหรับ Pulsefire Mat XL รุ่นนี้มาพร้อมแสงไฟ RGB และยังปรับแต่งเพิ่มเติมได้ ด้วยการเพิ่มในช่อง Effect รวมถึงเพิ่มความสว่าง และจัดเก็บเป็นโพรไฟล์ได้

HyperX Alloy Origins

และคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins PBT นอกจากจะเพิ่มแสงไฟ ปรับแต่งเอฟเฟกต์ได้อย่างสนุกแล้ว ยังปรับใช้มาโครได้อีกด้วย โดยการกำหนดในช่อง Keys ของคีย์บอร์ด เลือกปุ่มแล้ว Assignments แล้ว Save to Keyboard


HyperX Pulsefire Mat RGB

เพิ่มเติมให้อีกอัน เหมือนของที่ต้องอยู่คู่กันบนโต๊ะของเกมเมอร์ เสริมให้โต๊ะคอมดูดีขึ้นอีก 30% กับเมาส์แพดจาก HyperX รุ่นนี้ ที่ไม่ใช่แค่เป็นแพดขนาดใหญ่ ให้คุณสไลด์เมาส์ได้อย่างสะใจเท่านั้น แต่ยังเสริมความหนักแน่น และแสงไฟ RGB มาในตัวอีกด้วย ที่สำคัญยังเชื่อมต่อเข้ากับซอฟต์แวร์ เพื่อปรับแต่งแสงไฟได้ เราไปชมรายละเอียดกัน

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Pulsefire Mat ที่เราได้รับมานี้ จัดว่าอยู่ในกลุ่มของไซส์ XL เพราะยาวถึง 90cm และกว้าง 42cm วางบนโต๊ะ 120-140cm ได้เกือบเต็ม เหมาะกับคนที่เน้นพื้นที่ใช้งานที่กว้าง สามารถวางของบน Mat ได้ และขยับเมาส์ได้แบบลดข้อจำกัด

HyperX Alloy Origins PBT

สำหรับตัวเมาส์แพดนี้ แกะกล่องออกมา ก็เห็นถึงความอลังการได้แล้ว เพราะยัดมาแน่นมาก ติดอยู่อย่างเดียวคือ คุณอาจจะต้องม้วนย้อนกลับไปอีกทางหนึ่ง ก่อนใช้งาน เพื่อให้ไม่เกิดเป็นคลื่นๆ จากการที่ม้วนอยู่ในกล่องมานานนั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

โดยพื้นฐานของแผ่นด้านบนที่เป็นหน้าสัมผัส จัดว่าถักทอมาได้แน่น และมีความหนาพอสมควร ส่วนตัวรู้สึกว่าสัมผัสค่อนข้างดี และมีการทอมาได้เรียบ เน้นไปที่แนวของ Speed มากว่า Control แต่ก็มีพื้นผิวมาคอยให้คุณจัดตำแหน่งได้ง่ายขึ้น ให้ความนุ่มนวลในระดับหนึ่ง แต่ที่น่าทึ่งคือ ด้านใต้เป็นแบบกันลื่น Anti-slip ให้คุณวางบนโต๊ะและจับกับพื้นโต๊ะได้แน่นหนา ไม่สไลด์ขณะที่เล่นเกมแน่ๆ

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านบนจะเป็นวงจรเล็กๆ และไฟแสดงสถานะของโพรไฟล์ ซึ่งจะบันทึกจากซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity ได้ 3 โพรไฟล์ และคุณยังเปลี่ยนเอฟเฟกต์ได้ด้วยการสัมผัสอีกด้วย นับว่าทำออกมาได้แบบล้ำๆ เลยทีเดียว

HyperX Alloy Origins PBT

ขอบที่เป็นเส้นแสงไฟ RGB นี้ ถูกถักและรัดไว้อย่างหนาแน่น ติดกับขอบด้านข้างของเมาส์แพดตลอดทั้งผืน ซึ่งเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว เมื่อเปิดไฟ RGB ก็ดูสวยงาม อย่างไรก็ดี พอให้รู้สึกสัมผัสกับข้อมือมากไปหน่อย เมื่อเลื่อนเมาส์ไปมาขณะเล่นเกม

HyperX Alloy Origins PBT

กางได้แบบเต็มที่ทีเดียว บนโต๊ะระดับ 180cm x 75cm เหลือพื้นที่สำหรับวางจอคอม และอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ ได้สบาย ใครที่ใช้โต๊ะคอมเล็ก แนะนำว่าขยับพื้นที่จัดวางดีๆ ก็ลงตัวแล้วครับ

HyperX Alloy Origins PBT

แสงไฟ RGB ก็จัดว่าเป็นไฮไลต์ของ Pulsefire MAT รุ่นนี้เลยครับ เอฟเฟกต์แสงที่ได้จัดว่าสวยงาม ตัดกับพื้นโต๊ะทั้งสีขาวและสีดำได้เป็นอย่างดีอย่างที่เห็นในตัวอย่างนี้ และจะโดดเด่นยิ่งขึ้น หากใช้งานในห้องที่มีแสงน้อย เหมาะกับเกมเมอร์อย่างแท้จริง

สังเกตว่าแถบแสงไฟเหล่านี้ ไม่ได้สว่างสดใสแค่เพียงด้านบนเท่านั้น เมื่อหงายด้านใต้ Mat ก็ยังสีสดใสไม่แพ้กัน รวมถึงเมื่อมองจากด้านข้าง จะทำให้คุณเล่นเกมได้อย่างสนุกมากขึ้น

HyperX Alloy Origins PBT

โดยความยาวของ HyperX Pulsefire Mat นี้ ไม่เพียงแค่พื้นที่เลื่อนเมาส์ได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังวางคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins PBT ได้สบาย และมีพื้นที่เหลือๆ สำหรับใช้งาน เมือแสงไฟจับคู่กันกับเมาส์ และคีย์บอร์ด ก็ดูล้ำๆ ยิ่งขึ้นอีกด้วย


Conclusion

HyperX Alloy Origins PBT 2023 use 16

สัมผัสแรกในการกดปุ่มคีย์บน Alloy Origins PBT มีความต่างจากที่เคยใช้บน Alloy Origins เดิมอยู่พอสมควร โดยเฉพาะพื้นผิวของปุ่ม ที่ไม่ได้เรียบลื่น PBT ให้ความสะดุด และนิ้วไปแตะได้หนักแน่นกว่า น้ำหนักการกดค่อนข้างใกล้กัน และระยะตอบสนองแทบไม่ได้ต่างกันเลย เพราะถ้าดูจากตัวเลขที่ระบุมาในสเปค ก็เรียกว่าเกือบจะเหมือนกัน ดังนั้นในการเล่นเกม แทบจะไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ถ้ามองในแง่ของความต่อเนื่อง การกดของ PBT บางทีก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เล็กน้อย ถ้าคนเคยใช้คีย์บอร์ดแบบที่คีย์แคปเรียบๆ สัมผัสก็อาจจะลื่นไหล ไม่สะดุดนิ้ว แต่ก็ยอมรับว่าปุ่มมีโอกาสขึ้นเงาได้มากกว่าแบบ PBT พอสมควร แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการเล่นเกมมากนัก เมื่อใช้ไปจนชิน

HyperX Alloy Origins PBT

การวางมือด้วยการเป็นคีย์บอร์ดไซส์คอมแพค จึงไม่ได้มีส่วนยื่นออกมา เผื่อไว้สำหรับการวางอุ้งมือ หรือไม่มี Hand rest ให้วาง ต้องไปหาเพิ่มเติม แต่ก็ทำให้คุณจัดโต๊ะได้แบบกระชับ ลดการใช้พื้นที่ และไม่เปลืองพื้นที่โต๊ะมาก โดยเฉพาะเกมเมอร์ที่มีโต๊ะจำกัดจริงๆ คีย์บอร์ดแนวนี้ช่วยได้เยอะ

แต่ความรู้สึกกับเสียงในการกด ด้วยฟิลลิ่งของ Red switch ก็อาจจะไม่ได้โบ๊ะบ๊ะ เสียงแบบ Clicky มาอย่างชัดเจนนัก แต่จังหวะและน้ำหนัก คนที่ใช้ Blue switch อาจจะรู้สึกว่าเสียงและจังหวะขาดๆ ไปบ้าง เพราะคาแรกเตอร์เค้าเป็นแบบ Linear แต่เพิ่มจังหวะการกดเข้ามานั่นเอง ข้อดีคือ คุณยังเล่นได้สนุก โดยที่ไม่ไปรบกวนคนอื่นมากนัก เมื่อต้องใช้พื้นที่ในห้องเดียวกัน

HyperX Alloy Origins PBT

ขยับมาที่ HyperX Pulsefire MAT กันบ้าง ส่วนตัวค่อนข้างชอบกับเมาส์แพดผืนใหญ่ๆ แบบนี้ ที่วางกันแบบเกือบคลุมได้ทั้งโต๊ะ วางได้ทั้งคีย์บอร์ด และยังเหลือที่เลื่อนเมาส์ได้กว้าง มีประโยชน์ทั้งการเล่นเกมและทำงาน แต่ในทางกลับกัน หลายคนอาจมองว่าการวางของบางส่วนก็ยากขึ้น หากพื้นที่โต๊ะจำกัด เช่น จอคอม หรือวางพรินเตอร์และอื่นๆ ที่วางได้ไม่เต็มหรือกลัวจะเป็นรอยบน Mat นั่นเอง

แต่ในแง่ของคุณภาพเต็ม 10 ผมไม่หักเลย โดยเฉพาะความลื่นไหล และเคลื่อนไหวได้แทบไม่สะดุด ได้เมาส์ดีๆ ก็แทบจะไม่ต้องยกมือขึ้นมาให้เสียจังหวะอีกด้วย การถักทอแน่นมาก ไม่ต้องกลัวจะเสียสภาพในเร็ววัน และแสงไฟที่ขอบโดยรอบนั้น ก็เพิ่มอรรถรสในการเล่นได้ไม่น้อย และที่ชอบสุดก็คือ แทบจะไม่ลื่นหลุดไปจากโต๊ะ เพราะพื้นด้านใต้ทำออกมาได้ดีทีเดียว

HyperX Alloy Origins PBT

คีย์แคปแบบ Side-printing จัดว่าเข้าท่าดี เพราะไม่เคยมีอยู่ใน Alloy Origins รุ่นก่อนหน้านี้ ก็ช่วยลดความตาลายดูสบายมากขึ้น แม้จะเป็นลูกเล่นเล็กๆ แต่ก็เหมาะกับการใช้งาน และการเล่นเกมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่ยังสัมผัสไม่แม่น และต้องอาศัยดูแป้นพิมพ์อยู่เป็นระยะ

แต่สิ่งหนึ่งที่ดูแปลกตาไปบ้าง คือตัวฟอนต์บนคีย์แคปที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นตัวพิมพ์หนาเหมือนในรุ่นก่อน ทำให้แสงไฟที่ลอดมา บางครั้งก็ไม่สว่างชัดมากนัก ซึ่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องมองแป้นพิมพ์บ่อยๆ แนะนำว่าให้เปิดความสว่างแบบสุด

HyperX Alloy Origins PBT

สุดท้ายนี้ก็อยากให้ได้ไปลองใช้งานกันครับ สำหรับคนที่จะเริ่มกับเกมมิ่งคีย์บอร์ด ในราคา 3,790 บาท ก็ถือว่า HyperX Alloy Origins PBT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ปุ่มแน่น กดสนุก ไฟสวย ปรับแต่งได้ และใช้งานง่าย มีซอฟต์แวร์เสริม และ Pulsefire Mat RGB ที่จัดว่าให้พื้นที่ขนาดใหญ่ เลื่อนเมาส์ได้ลื่นไหล ถักทอแน่น พร้อมไฟ RGB ลิงก์กันกับเมาส์ คีย์บอร์ด และหูฟังจาก HyperX ได้ ซิงก์แสงไฟกันได้ต่อเนื่อง ราคาประมาณ 1,390 บาท เท่านั้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: HyperX


from:https://notebookspec.com/web/691460-hyperx-alloy-origins-pbt-keyboard

ก่อนที่คุณจะอัปเกรด Microsoft Exchange คุณควรรู้จัก Synology MailPlus ก่อน

การอัปเดตเวอร์ชันของเมลเซิร์ฟเวอร์เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสำหรับผู้ดูแลระบบ IT ขององค์กร ยกตัวอย่างระบบเมล Microsoft Exchange ที่องค์กรหลายแห่งนำมาใช้เป็นตัวอย่าง เวอร์ชัน 2013 กำลังจะ EoL อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายนปีนี้ ซึ่งหมายความว่าองค์กรจะสูญเสียการซัพพอร์ตทางเทคนิคทั้งหมด

หากองค์กรเลือกที่จะไม่อัปเกรด Exchange และยังคงใช้เวอร์ชันเก่าอยู่ อาจพบปัญหาด้านความปลอดภัยกับเวอร์ชันของเซิร์ฟเวอร์อีเมล์ ด้วยกฎที่ว่า Exchange เวอร์ชันเก่าจะถูกยกเลิกทุกๆ 10 ปี เมื่อเวอร์ชันเก่าผ่านระยะการสนับสนุนแล้ว ปัญหาด้านความปลอดภัยจะไม่ได้รับการแก้ไขอีกต่อไป และผู้ใช้อาจพบสถานการณ์ที่จดหมายจาก Exchange เวอร์ชันเก่าถูกพิจารณาว่ามาจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยโดยเซิร์ฟเวอร์อื่น ๆ และไม่สามารถส่งได้ อาจก่อให้เกิดปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น อย่างเช่นช่องโหว่ที่มีความเสี่ยงสูงหลายรายการที่เกิดขึ้นใน Exchange เดือนมีนาคม 2021 หากไม่มีการอัปเดตความปลอดภัยสำหรับเวอร์ชันเก่าในช่วงเวลานี้ อาจเปิดช่องโหว่ให้เซิร์ฟเวอร์อีเมลองค์กรเสี่ยงต่อสภาพแวดล้อมเครือข่ายที่อันตราย และสามารถส่งผลให้มีการรั่วไหลของการสื่อสารและข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กรเกิดขึ้นได้

เหตุการณ์ที่คล้ายกันก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งในโลกแห่งความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น CMC Magnetics Corporation บริษัทที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใช้ระบบอีเมลของ Microsoft Exchange เวอร์ชันเก่าในอดีต ซึ่งสอดคล้องกับการระงับแพตช์ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างเป็นทางการของ Microsoft ทำให้จดหมายที่ส่งออกไปถูกส่งกลับมาบ่อยครั้ง เมื่อพิจารณาจากค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดระบบรวมไปถึงค่าบำรุงรักษารวมถึงข้อกำหนดด้านฟังก์ชันของเมลเซิร์ฟเวอร์ ในที่สุด CMC Magnetics Corporation จึงเลือกที่จะแทนที่ระบบเก่าด้วยอีเมลเซิร์ฟเวอร์ Synology MailPlus

ธุรกิจต้องเผชิญกับโครงสร้างค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นหลังจากการอัปเกรดหรือย้ายไปใช้ระบบคลาวด์

เมื่อเผชิญกับความท้าทายเช่นนี้ สิ่งแรกที่องค์กรประเมินคือการอัปเกรดเป็น Exchange เวอร์ชันใหม่ ซึ่งช่วยให้สามารถใช้สถาปัตยกรรม Exchange On-prem ต่อไปได้ แต่ภาคธุรกิจยังต้องพบกับความท้าทายที่มากขึ้นจากประกาศอย่างเป็นทางการของ Exchange เวอร์ชันใหม่ที่จะปรับเปลี่ยนระบบการซื้อเพียงครั้งเดียวให้เป็นระบบการสมัครสมาชิก (subscription) สำหรับองค์กรที่ใช้ Exchange 2013, 2016 และ 2019 อยู่ในปัจจุบัน สิ่งแรกที่องค์กรต้องพิจารณาคือการวางแผนค่าใช้จ่ายโดยรวมและคำนวณงบประมาณใหม่เพื่อเตรียมการก่อนหรือหลังการอัพเกรด สำหรับองค์กรที่กำลังเติบโตเมื่อองค์กรขยายตัว จำนวนบัญชีผู้ใช้ที่ต้องการก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ค่าบริการสมัครสมาชิกจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดภาระการเงินจากค่า subscription ในระยะยาว

(ภาพประกอบ: องค์กรที่กำลังใช้ Exchange จะพบกับหลายๆคำถาม เช่น ควรอัปเกรดไปยังเวอร์ชันใหม่ของ Exchangeหรือเปลี่ยนไปใช้ไปใช้งานโซลูชั่นอีเมลอื่นๆ)

ผู้ใช้ Exchange ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะต้องเผชิญกับการเลือกอัพเกรดเป็นรุ่นใหม่ของ Exchange หรือเปลี่ยนไปใช้โซลูชั่นอีเมลอื่นๆ นอกจากการอัพเกรดเป็น Exchange เวอร์ชันใหม่ แบบ On-prem ยังมีตัวเลือกที่จะอัพเกรดโดยตรงไปยังเซิร์ฟเวอร์อีเมล์บนคลาวด์ของ Microsoft 365 อย่างไรก็ตาม โซลูชันอีเมลระบบคลาวด์หรือ SaaS ทั่วไปที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบันมักไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในระดับองค์กร ตัวอย่างเช่น โซลูชันอีเมล SaaS ขาดฟังก์ชันการสำรองข้อมูลและตรวจสอบอีเมล จึงไม่สามารถกู้คืนอีเมลสำคัญหลังจากถูกลบโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นและเป็นไปไม่ได้ที่จะค้นหาอีเมลที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว ต้องค้นหาแบบ manual ตามวันที่เท่านั้น ทำให้ยากต่อการตรวจสอบหลังจากนั้น และโครงสร้างค่าใช้จ่ายของการสมัครใช้งานระบบคลาวด์ตามจำนวนผู้ใช้มีแนวโน้มจะเป็นภาระหนักกับการเติบโตของขนาดของบริษัท ตัวอย่างเช่น หากโซลูชั่นเมล์ของ Google มีราคา $6 ต่อผู้ใช้ต่อเดือน บริษัทที่มีผู้ใช้ 100 คนจะต้องจ่ายราคาสูงถึง $7,200 ต่อปี และต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการเพิ่มราคาของ Google ได้อย่างไม่คาดคิด

นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าทุกธุรกิจจะเหมาะสมกับการใช้งานระบบคลาวด์สาธารณะ สำหรับธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงความลับขององค์กรและความปลอดภัยสูง เช่น อุตสาหกรรมการเงินและการแพทย์ การเข้าสู่ระบบคลาวด์ก็เหมือนการเอาบริการของบุคคลภายนอกมาใช้ ทำให้ยากต่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบการตรวจสอบที่ต้องการสำหรับการดำเนินการตามข้อกำหนดต่าง ๆ และความเป็นเจ้าของข้อมูล

องค์กรจะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ฟังก์ชั่นการจัดการ และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเมื่ออัพเกรดเซิร์ฟเวอร์ Exchange ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง On-prem หรือเลือกย้ายไปใช้บริการเมลในรูปแบบของคลาวด์ ธุรกิจที่เคยใช้บริการอีเมล Exchange หรือ SaaS บนระบบคลาวด์มาก่อน จึงสนใจเกี่ยวกับเซิร์ฟเวอร์อีเมล Synology MailPlus

Synology MailPlus เป็นระบบเมลบนคลาวด์ส่วนตัวที่ใช้ NAS ของ Synology ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการอัพเกรดรวมถึงความปลอดภัยและความเป็นเจ้าของข้อมูลให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดี

ลงทุนเพียงครั้งเดียว ไม่มีค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนรายเดือน

เพื่อแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายที่เป็นเรื่องหนักใจที่สุดสำหรับธุรกิจ Synology MailPlus เป็นระบบใบอนุญาตถาวร ดังนั้นบริษัทเพียงแค่ซื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์ NAS และฮาร์ดดิสก์ตามความต้องการของประสิทธิภาพและความจุ และจากนั้นซื้อใบอนุญาตถาวรตามจำนวนผู้ใช้จริง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียวเพื่อสร้างระบบบริการอีเมลขององค์กร

(ภาพประกอบ: Synology MailPlus เป็นโซลูชันอีเมลที่รวมสิทธิ์ใช้งานเซิร์ฟเวอร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน)

หากพิจารณาตัวอย่างการคำนวณต้นทุนรวมของเครื่องเซิร์ฟเวอร์จดหมายอีเล็กทรอนิกส์สำหรับองค์กรที่มีพนักงาน 100 คนภายในระยะเวลา 3 ปี หากใช้เซิร์ฟเวอร์ Microsoft Exchange นอกจากต้นทุนการซื้อฮาร์ดแวร์แล้ว ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อใบอนุญาตระบบปฏิบัติการและค่าสมาชิกตามจำนวนบัญชี ทำให้ต้นทุนรวมเป็น $29,500 สำหรับการติดตั้งและงบประมาณการอัปเกรดหากเซิร์ฟเวอร์ต้องได้รับการอัปเกรดในภายหลัง

ในขณะที่การเปลี่ยนไปใช้ Synology MailPlus ต้องการเพียงค่าธรรมเนียมการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์เริ่มต้น ($1,900 สำหรับ DS1621xs+ ระดับองค์กร) บวกกับการซื้อสิทธิ์ใช้งานถาวร (พนักงาน 100 คนลบสิทธิ์ใช้งานฟรี 5 รายการที่ MailPlusมอบให้) รวมเป็น $6,650 ซึ่งประหยัดได้มากถึง 77% เมื่อเทียบกับ Exchange

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนสิทธิ์การใช้งาน Synology MailPlus

อัปเกรดภายในคลิกเดียวพร้อมสิทธิ์เข้าถึงฟีเจอร์ใหม่และการอัปเดตด้านความปลอดภัยตลอดอายุการใช้งาน

นอกจากต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดแล้ว ธุรกิจยังจำเป็นต้องพิจารณาความง่ายของกระบวนการอัปเกรดด้วย ระบบ Synology MailPlus ยังมีข้อดีของการอัปเกรดด้วยคลิกเดียวจากภายในระบบ ช่วยลดความยุ่งยากและต้นทุนของการอัพเกรดรุ่นของระบบทั้งหมด

Synology MailPlus Server สนับสนุนระบบบัญชี LDAP และ AD โดยไม่จำเป็นต้องผูก Windows AD เช่น Exchangeทำให้มีความยืดหยุ่นในการจัดการมากขึ้น นอกจากนี้ MailPlus ยังมีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่ายกว่า โดยทุกฟังก์ชั่นของเซิร์ฟเวอร์สามารถใช้ได้บน UI ด้วย ตัวอย่างเช่น MailPlus Server อนุญาตให้คุณตั้งค่า DKIM โดยตรงจาก UI ในขณะที่ Exchange ต้องใช้เครื่องมือจาก third-party เพื่อทำเช่นนั้น

(ภาพประกอบ: MailPlus Server สามารถตั้งค่า DKIM ได้โดยตรงบน UI ซึ่งแตกต่างจาก Exchange ที่ต้องใช้เครื่องมือของ third-party ในการดำเนินการดังกล่าว)

ความเป็นส่วนตัวและความพร้อมใช้งานสำหรับธุรกิจในขณะที่เพิ่มเวลาให้บริการสูงสุด

สำหรับองค์กรที่ใช้งาน Synology MailPlus ระบบการจัดการเดียว ช่วยให้สามารถจัดการกระบวนการที่สำคัญและการปฏิบัติตามความปลอดภัย การควบคุมและความต้องการการสำรองข้อมูลได้ดีกว่า ตัวอย่างเช่นในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ MailPlus Server สามารถจัดการเก็บรวบรวมข้อมูลและส่งข้อมูลความลับของผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งคุณสมบัติการจัดการอีเมลธุรกิจทั้งหมดของ Synology MailPlus อยู่บน NAS ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดใช้งานแอปพลิเคชันการจัดการ เช่น การตรวจสอบและการสำรองข้อมูลได้ตามความต้องการ

นอกจากจะง่ายต่อการการปฏิบัติตามข้อบังคับการป้องกันข้อมูลทั้งหมดและอนุญาตให้ธุรกิจเป็นเจ้าของข้อมูลแบบเต็มรูปแบบ MailPlus ยังสามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจในการปรับปรุงความพร้อมให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยให้ความยืดหยุ่นที่มากขึ้นในการสำรองข้อมูลอีเมลด้วยแพ็กเกจที่เกี่ยวข้องกับการสำรองข้อมูลของ Synology ในขณะที่ Exchange ระบบอาจจะล่มได้หลายชั่วโมง แต่ระยะเวลาในการหยุดทำงานของระบบของ MailPlus น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงหรือแม้กระทั่งน้อยกว่านั้น ด้วยการปรับใช้ Synology MailPlus High Availability หรือ Synology High Availability (SHA) หรือปรับใช้ทั้งสองอย่าง จะช่วยลดการขัดข้องของบริการและเวลาในการหยุดให้บริการของอีเมลที่ต่ำที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินธุรกิจจะไม่หยุดชะงัก

ในปัจจุบันตัวเลือกบริการอีเมลสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลางมีหลากหลาย ได้แก่ เซิร์ฟเวอร์อีเมลที่ใช้ฮาร์ดแวร์และบริการคลาวด์แบบสมัครสมาชิก นอกจากนี้ยังมี Microsoft Exchange เป็นตัวเลือกอีกด้วย แต่ในขณะที่องค์กรขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พวกเขาต้องการระบบเมลที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ด้วยงบประมาณและการจัดการที่เหมาะสม หากคุณยังสงสัยว่าควรจะจะอัพเกรด Microsoft Exchange หรือไม่ ขอให้คุณพิจารณา Synology MailPlus เป็นตัวเลือกที่จะตอบโจทย์ความต้องการให้กับธุรกิจของคุณ

ติดต่อ Synology สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม: https://sy.to/sbkjf

from:https://www.enterpriseitpro.net/sinology-mailplus-for-microsoft-exchange-upgrade/

รีวิว Lexar E10 ตัวแรง 10Gbps ขวัญใจสายไอที บอดี้อลูมิเนียมแข็งแรงทนทานกับราคาเบาๆ แค่ 940 บาท!

Lexar E10 กล่อง SSD น่ามีติดกระเป๋าเอาไว้ใช้สักตัว!

NBS 230313 image link template 3 2 1

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้หลายคนอาจจะหลงลืม แต่มีเอาไว้ก็มีประโยชน์มากอย่างกล่อง SSD นั้น ช่วยให้ผู้ที่อยากย้าย Windows จาก SSD เก่าไปใหม่นั้น ก็มี Lexar E10 เป็นกล่อง SSD ประสิทธิภาพดีอีกรุ่นให้ผู้ใช้ได้เลือกซื้อและราคาก็ย่อมเยาว์เพียง 940 บาทเท่านั้น ภายในกล่องก็มีอุปกรณ์เสริมครบครันพร้อมใช้งาน แค่เอา M.2 NVMe หรือ M.2 SATA SSD ที่มีมาใส่ก็ใช้งานได้เลย และชื่อชั้นของแบรนด์ Lexar ที่สั่งสมมานาน 20 ปี ก็ถือว่าไว้ใจชื่อชั้นแบรนด์นี้ได้อย่างแน่นอน เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญสินค้ากลุ่มเมมโมรี่ที่มีสินค้าใน Portfolio ของทางบริษัทหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะแฟลชไดรฟ์ความเร็วสูงพร้อมเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ, เมมโมรี่การ์ด, Card Reader, RAM และ M.2 NVMe SSD ก็มีเช่นกัน

Advertisementavw

ข้อดีของ Lexar E10 นอกจากบอดี้แข็งแรงและมีซิลิโคนสำหรับสวมป้องกันตัวไดรฟ์แถมมาให้ ยังได้สายเชื่อมต่อ USB-C to C และ USB-C to A กับไขควงมาพร้อมใช้ เอา SSD ตัวที่ต้องการใช้งานไม่ว่าจะ NVMe หรือ SATA SSD มาใส่เพื่อใช้งานได้เลยและยังรับส่งข้อมูลได้เร็วถึง 10Gbps หรือราว 1,000 MB/s เทียบชั้น External SSD ราคาครึ่งหมื่นหลายๆ รุ่นได้สบายๆ แถมยังรองรับความจุสูงสุด 2TB อีกด้วย ใครคิดจะหากล่อง SSD (SSD Enclosure) ดีๆ เอาไว้โอนไฟล์เข้าออกไดรฟ์, เซฟงาน, แบ็คอัพคอม ก็น่ามีติดตัวเอาไว้สักชิ้นมาก

Lexar E10

NBS Verdicts

Lexar E10 DSC01228

หากใครหากล่อง SSD เอาไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะเอาไว้แปลง M.2 NVMe SSD ลูกเก่าเอาไว้เซฟงานหรือใช้ย้าย Windows จาก SSD ลูกเก่าไปลูกใหม่ Lexar E10 ตัวนี้จัดว่าน่าสนใจมาก ได้ตัวเคสอลูมิเนียมและเคสซิลิโคนเอาไว้ใส่ป้องกันความเสียหายแล้ว ยังได้สาย USB มาครบถ้วน ต่อใช้งานได้ทั้ง Windows และ macOS ครบถ้วน แถมยังเป็นแบบ Plug & Play ต่อคอมแล้วใช้งานได้เลยไม่ต้องลงไดรเวอร์เพิ่มให้วุ่นวายอีกด้วย

ข้อดีของการมีกล่อง SSD เอาไว้ใช้ นอกจากใช้ทำคอมได้แล้ว ยังเอาไว้ใช้เป็น External SSD ก็ได้ แค่ซื้อ M.2 NVMe SSD หรือ M.2 SATA มาใส่ไดรฟ์ก็พร้อมใช้งานแล้ว และถ้าไดรฟ์เริ่มเต็มก็ถอดเปลี่ยนเอา SSD ตัวอื่นมาใส่เซฟงานได้ทันที และถ้าใครต้องการพกกล่อง Lexar E10 ไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกลัว เพราะมันแข็งแรงทนทานรองรับแรงกระแทกได้ 1500G จะใส่กระเป๋าไปเที่ยวหรือไปทำงานก็ได้ จะปัดโดนแล้วตกกระแทกพื้นก็ไม่ส่งผลให้ SSD ในตัวกล่องเสียหายอย่างแน่นอน แถมยังโอนถ่ายข้อมูลได้เร็ว 10Gbps หรือราว 1,000 MB/s จึงหา SSD 1TB ราคาพันบาทต้นๆ เอามาเซฟงานได้เลย

ข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ จากที่ทดลองใช้งาน มีแค่เรื่องช่องใส่สาย USB ของตัวเคส แม้จะมีให้เก็บสายได้สะดวกก็ตาม แต่ตอนใช้งานจริงผู้เขียนพบว่าหัวสลักเลื่อนเอาสายเข้าออกนั้นจะถอดออกดึงเข้าได้ค่อนข้างยากอยู่บ้าง ต้องใช้เล็บสะกิดดันให้มันเลื่อนออกมาระดับหนึ่งถึงจะดึงมันออกมาใช้งานได้ ถือเป็นข้อสังเกตหนึ่งที่ผู้เขียนพบเวลาเอาไดรฟ์ตัวนี้มาใช้งาน และไขควงที่แถมมาแม้จะใช้งานได้แต่หัวแฉกจะเล็กไม่สมกับขนาดร่องน็อตเท่าไหร่ พอใช้ในยามจำเป็นได้แต่น่าหาไขควงหัวใหญ่พอดีมาขันจะถอดใส่ SSD ได้ง่ายกว่ามาก

ข้อดีของ Lexar E10
  1. กล่อง SSD ทำจากอลูมิเนียมแข็งแรงทนทาน รับแรงกระแทกได้ถึง 1500G
  2. มีเคสซิลิโคนแถมมาให้ซับแรงกระแทกอีกชั้น ช่วยเสริมความปลอดภัยได้
  3. รองรับ M.2 SATA, M.2 NVMe ได้ 4 ขนาดยอดนิยม ตั้งแต่ 2230/2242/2260/2280
  4. รองรับ M.2 SSD ทั้ง M Key และ B&M Key จึงใส่ SSD ได้แทบทุกรุ่นในปัจจุบัน
  5. รองรับ SSD ความจุสูงสุดถึง 2TB เอาไว้ทำเป็น External SSD ได้สบายๆ
  6. อินเตอร์เฟสรับส่งข้อมูลเป็น USB-C 3.2 Gen 2 รับส่งข้อมูลได้เร็ว
  7. ทำงานแบบ Plug & Play ต่อคอมพิวเตอร์ใช้งานได้เลยไม่ต้องลงไดรเวอร์เพิ่ม
  8. ถอดถาดใส่ SSD ออกจากเคสได้ง่าย เพียงกดปุ่มท้ายเคสแล้วดันเพียงครั้งเดียว
  9. มีสาย USB กับไขควงแถมมาให้ในกล่องครบถ้วน นำไปใส่ SSD ใช้งานได้ทันที
  10. รับส่งข้อมูลได้เร็ว 10Gbps (1,000 MB/s) เทียบเท่า External SSD ดีๆ หลายรุ่นในปัจจุบัน
ข้อสังเกตของ Lexar E10
  1. หัวสลักเลื่อนสาย USB ออกจากช่องเคสเก็บสายดีแต่เลื่อนออกมาใช้ไม่ถนัดนัก
  2. ไขควงที่แถมมาให้มีหัวแฉกเล็กไปไม่พอดีกับหัวน็อตในตัวกล่อง SSD แต่พอใช้ยามจำเป็นได้

รีวิว Lexar E10

Specification

Lexar E10 DSC01223

Lexar E10 จัดเป็นกล่อง M.2 SSD จากแบรนด์ชั้นนำผู้ผลิตอุปกรณ์ประเภทที่เก็บข้อมูล บอดี้เป็นอลูมิเนียมพร้อมเคสซิลิโคนและมีสายเชื่อมต่อแถมมาให้ครบถ้วนพร้อมใช้งาน โดยสเปคมีรายละเอียดดังนี้

สเปคของ Lexar E10
Interface&Speed USB 3.2 Gen 2 ความเร็ว 6~10Gbps
Supported SSD M Key, B&M Key ไซซ์ 2230/2242/2260/2280
Max Capacity 2TB
Price 940 บาท (PS Link Lazada)

Unboxing & Design

Lexar E10 DSC01223

Lexar E10 DSC01224
Lexar E10 DSC01227
Lexar E10 DSC01226
Lexar E10 DSC01225

บรรจุภัณฑ์ของ Lexar หน้ากล่องจะสกรีนรูปตัวกล่อง SSD E10 เอาไว้พร้อมบอกความเร็วรับส่งข้อมูลสูงสุด 10Gbps ไว้หน้ากล่องพร้อมประเภท SSD ที่รองรับว่าสามารถใส่ M.2 NVMe หรือ M.2 SATA ไว้ใช้งานก็ได้ทั้งคู่ มีภาพอธิบายวิธีการประกอบใส่ SSD และอุปกรณ์ที่มีมาให้ในกล่อง ด้านข้อมูลอื่นๆ ถูกสกรีนไว้ข้างหลังกล่องผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้ใช้ได้อ่านเพื่อรับทราบก่อนใช้งาน แต่อย่างไรก็ตาม บรรจุภัณฑ์ของกล่อง SSD E10 นั้นค่อนข้างแข็งและแกะยาก แนะนำให้ดึงเปิดจากท้ายกล่องจะเปิดง่ายกว่า

Lexar E10 DSC01228

เมื่อเปิดออกมาแล้ว กล่อง SSD E10 จะถูกสวมเคสซิลิโคนมาให้จากโรงงาน สามารถถอดแยกจากกันได้หากไม่ต้องการ ส่วนอุปกรณ์เสริมอื่นๆ จะมีสาย USB-C to A, USB-C to C และไขควงหัวแฉก Philips Head แถมมาให้อย่างละชิ้น ให้ผู้ใช้สามารถใช้งาน M.2 NVMe / SATA ได้ทันทีโดยไม่ต้องหาไขควงตัวอื่นมาใช้ด้วยให้เสียเวลามาก แต่อย่างไรก็ตาม ไขควงในกล่องมีหัวแฉกเล็กกว่าร่องน็อตยึด SSD ภายในกล่องเล็กน้อย พอไขเพื่อปลดน็อตได้แต่ถ้าเลือกได้แนะนำให้หาไขควงที่หัวใหญ่กว่านี้มาขันจะง่ายกว่า

Lexar E10 DSC01230

Lexar E10 DSC01234
Lexar E10 DSC01233
Lexar E10 DSC01235

สาย USB-C to A และ USB-C to C ทั้งสองเส้นเป็นหัวยางทั้งสองฝั่งและมีตุ่มสลักเอาไว้ดึงสายเข้าออกช่องเก็บสาย USB ของเคสได้ มีความยาวราว 10 เซนติเมตร รองรับความเร็ว USB-A 3.2 Gen 2 ตัวสายเป็นสายถักแข็งแรงมาก ไม่ต้องห่วงว่าใช้ไปนานๆ แล้วสายจะหักในอย่างแน่นอนและยังมีให้ 2 แบบ ไว้ต่อกับคอมพิวเตอร์, สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้อย่างแน่นอน

Lexar E10 DSC01236

Lexar E10 DSC01243
Lexar E10 DSC01245

ตัว Lexar E10 เมื่อถอดเคสออกมาแล้ว ตัวกล่องจะเป็นอลูมิเนียมสีเงินอมฟ้าติดโลโก้ Lexar เอาไว้ ทำลวดลายเป็นเส้นแนวตั้ง 6 เส้น ด้านหลังไม่มีลวดลายแต่สกรีนเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรมไว้ และตัดร่องสำหรับสไลด์สาย USB เข้าออกช่องเก็บได้ง่ายๆ อยู่คู่กับช่อง USB-C 3.2 Gen 2 และไฟ LED สีขาวแสดงสถานะการทำงานของตัวกล่อง SSD ส่วนท้ายตัวเคสจะแบ่งพื้นที่เอาไว้ 70/30 โดยฝั่งที่มีจุด 3 จุดติดอยู่จะเป็นปุ่มสปริงเอาไว้ดันให้ตัวถาด SSD ด้านในหลุดออกจากตัวเคสได้

Lexar E10 DSC01246

Lexar E10 DSC01247
Lexar E10 DSC01259

เมื่อถอดออกมาแล้ว Lexar E10 จะใช้ถาด SSD แบบพลาสติกเป็นฐานให้ติดแผ่นวงจรสำหรับใส่ M.2 NVMe / SATA SSD โดยถาดด้านหลังฝั่งเดียวกับร่องใส่สาย USB เป็นชุดวงจรกับชิปคอนโทรลเลอร์สำหรับคุมการทำงานของตัวกล่องและ SSD ในเคส เว้นระยะจากตัวเคสพลาสติกเล็กน้อยไม่ให้กระแทกเข้ากับตัวเคสอลูมิเนียม ลดโอกาสเกิดความเสียหายได้

Lexar E10 DSC01249

Lexar E10 DSC01260
Lexar E10 DSC01255
Lexar E10 DSC01252
Lexar E10 DSC01251

อีกด้านมีหัวอินเตอร์เฟสแบบ 4 ขีด รองรับทั้ง M Key และ B&M Key จึงใส่ M.2 NVMe / SATA ได้ทั้งคู่กับร่องใส่น็อตที่ฐานแผ่นปริ้นท์เอาไว้ใส่น็อตฐานตัวเมียสำหรับปรับระยะให้พอดีกับ SSD ที่ใช้งานแล้วเอาน็อตตัวผู้ขันล็อค SSD ให้เข้าที่ได้ โดยน็อตตัวเมียใช้นิ้วหมุนออกจากฐานได้เลยแต่ตัวผู้ต้องใช้ไขควงขันเข้าและออกแต่ยังพอจ่อหัวน็อตหน้ารูแล้วหมุนนำร่องได้ รองรับขนาดยอดนิยม ได้แก่ M.2 2230/2242/2260/2280 ครบถ้วน สามารถหาซื้อ M.2 SSD รุ่นที่ต้องการมาใส่กล่องใช้งานได้เลย

Testing

Lexar E10 DSC01261

ในการทดสอบ ผู้เขียนจะใช้ Patriot P300 ความจุ 1TB เป็น M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 3.0 x4 ขนาด M.2 2280 มีความเร็วอ่านเขียนข้อมูล Sequential Read 2,100 MB/s และ Sequential Write 1,650 MB/s ทนทานต่อการเขียนไฟล์เข้าออกไดรฟ์ได้ 480 TBW จะเห็นว่าตอนใส่ไดรฟ์เข้าไปในกล่อง Lexar E10 แล้วจะมีขนาดพอดีกับช่องน็อตตัวสุดท้าย แล้วสามารถสไลด์ปิดกล่องได้เลย

Screenshot 2023 03 11 092838

จากการทดสอบด้วยโปรแกรม CrystalDiskMark 8 จะเห็นว่าแม้ Patriot P300 ความจุ 1TB จะเขียนอ่านข้อมูลได้เร็วพอสมควรก็ตาม แต่อินเตอร์เฟสของกล่อง SSD E10 นี้ ทำความเร็ว Sequential Read ได้ 910.01 MB/s และ Sequential Write ได้ 927.60 MB/s เนื่องจากตัวกล่องสามารถรับส่งข้อมูลได้เพียง 10Gbps เท่านั้น แต่ความเร็วนี้ก็ถือว่าเทียบชั้นกับ External SSD คุณภาพสูงราคา 5~6,000 บาท หลายๆ รุ่นในท้องตลาดได้แล้ว หากไม่เกี่ยงเรื่องซอฟท์แวร์แบ็คอัพงานหรือเข้ารหัสป้องกันข้อมูลใน SSD แล้ว วิธีซื้อ M.2 NVMe SSD มาใส่กล่องเพื่อเซฟงานก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีและประหยัดเงิน และกรณีถ้า SSD ในตัวเกิดเสียหายก็ไม่ต้องทิ้งทั้งไดรฟ์ แค่เปลี่ยนใส่อันใหม่ก็ทำงานต่อได้แล้ว

User Experience

Lexar E10 DSC01262

Lexar E10 เป็นอุปกรณ์สำคัญอีกชิ้นที่ควรมีติดโต๊ะติดกระเป๋าสายไอทีหลายๆ คน มีประโยชน์หลายแบบทั้งทำเป็น External SSD เอาไว้เซฟงานเก็บไฟล์สำคัญไว้ใช้งานก็ได้และยังรับส่งข้อมูลได้เร็ว 10Gbps หรือราว 1,000 MB/s ด้วยพอร์ต USB 3.2 Gen 2 เท่ากับ External SSD สำเร็จรูปหลายๆ รุ่นได้สบายๆ ซึ่งไดรฟ์ที่มีความเร็ว 10Gbps เท่ากับตัว E10 ที่ราคาถูกสุดก็เริ่ม 3,990 บาทแล้ว แต่กล่องนี้ค่าตัวกล่องแค่ 940 บาท สมมติว่าซื้อ Seagate Barracuda Q5 ความจุ 1TB ความเร็ว Sequential Read 2,400 MB/s และ Sequential Write 1,800 MB/s ราคา 2,190 บาท มาใช้ก็จ่ายแค่ 3,130 บาท ประหยัดไป 860 บาททีเดียว ยังไม่รวมการใช้งานระยะยาวว่าถ้าไปซื้อ M.2 NVMe SSD 1TB ตัวที่ 2, 3 มาเพิ่ม ก็เอาใส่ Lexar E10 ตัวนี้สลับเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ แถมยังรองรับความจุสูงสุด 2TB อีกด้วยจึงน่าจะตอบโจทย์คนที่มีงานเยอะๆ อย่างแน่นอน ขอแค่หาที่เก็บ SSD เหล่านี้สักนิดก็ช่วยได้มากแล้ว

ในกรณีจำเป็นก็เอากล่อง SSD ไปใช้ Clone Windows จาก SSD ตัวเก่าไปใส่ตัวใหม่เพื่อใช้งานต่อได้ทันที ไม่ต้องล้างเครื่องลง Windows ใหม่ให้เสียเวลาโดยไม่จำเป็นและยังทำงานได้เร็วยิ่งกว่าเดิมด้วย และยังมีสาย USB-A to C, USB-C to C แถมมาให้ใช้ จึงเอาไปต่อเข้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ อย่างแท็บเล็ต, สมาร์ทโฟนหรือโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ที่มีพอร์ต USB-C ได้สะดวกและมีประโยชน์มากกว่าที่คิดอย่างแน่นอน และถ้าใครชอบเผลอทำข้าวของตกบ่อยๆ ก็ไม่ต้องกลัวเพราะ Lexar E10 ทนแรงกระแทกได้มากถึง 1500G จะปัดกล่อง SSD ตัวนี้ตกจากโต๊ะทำงานบ้างก็ไม่ต้องกลัวว่า SSD ในกล่องเสียหาย เพราะผู้เขียนได้ทดลองทำตกจากโต๊ะ UTESPELARE ของ IKEA สูงราว 70 ซม. ก็ยังหยิบมาต่อคอมพิวเตอร์ใช้งานต่อได้ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งใส่เคสซิลิโคนยิ่งปลอดภัยแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเลื่อนเอาสาย USB ออกจากช่องใส่ของตัวเคสนั้นทำได้ค่อนข้างยากเพราะตัวสลักเลื่อนแทบจะพอดีกับตัวรางสไลด์เลย เวลาหยิบออกมาใช้งานอาจต้องเอาเล็บดันมันออกหรือใช้กุญแจบ้านช่วยดันสักนิดจะดึงออกมาใช้งานได้ง่ายขึ้น แต่ตอนเก็บไม่มีปัญหาอะไรนัก

Summary

Lexar E10 DSC01236

ถ้ามองหากล่อง SSD เอาไว้ใช้งานสักตัว ไม่ว่าจะทำเป็น External SSD หรือเผื่อเอาไว้ใช้ Clone Windows จาก SSD ตัวเก่าไปตัวใหม่อยู่ล่ะก็ Lexar E10 นี้จัดว่าน่าสนใจมาก เพราะนอกจากแข็งแรงทนทานไม่เสียหายง่าย ใส่ SSD ได้ทุกขนาดในปัจจุบันและยังเร็วถึง 10Gbps เทียบชั้น External SSD ราคาแพงๆ หลายรุ่นในปัจจุบันได้สบายๆ แค่ลงทุนเพียง 940 บาทก็ซื้อเอาไว้ใช้ได้ยาวและอเนกประสงค์กว่าที่คิดอย่างแน่นอน


บทความที่เกี่ยวข้อง

ตัวรับWifi

8ตัวปล่อยสัญญาณWiFi 1

ReviweLogaMouse jpg

from:https://notebookspec.com/web/691673-review-lexar-e10-ssd-enclosure

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย 10 รุ่น ปี 2023 ท่องเน็ต เทรดหุ้น ลื่นไหล ดีไซน์สวย แบตอึด

เมาส์ไร้สาย 10 รุ่น 2023 หลักร้อย สวย แบตอึด เล่นเน็ต ดูหนัง ทำงานในบ้านหรือที่ทำงานก็เพลิน

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย จัดว่าเป็นไอเทมยอดฮิตของคนทำงาน ที่ชอบความสะดวก ใช้งานง่าย พกพาไปใช้นอกสถานที่ก็แสนสบาย เพราะขนาดเล็ก และส่วนใหญ่ใช้ถ่านก้อนเดียว ก็ใช้กันจนลืมและปี 2023 นี้ เราก็ได้รวบรวมเมาส์ Wireless น่าใช้มาให้คุณได้เลือก 10 รุ่นด้วยกัน จากทั้งหมด 8 ค่าย มีทั้งมิติที่มีความกระทัดรัด แบตอึด ใช้ได้นาน หรือบางรุ่นก็เป็น 2 ระบบ ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth รวมถึงเน้นที่ดีไซน์ที่สวยงาม เพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่นำไปใช้ในโอกาสต่างๆ ได้ดีอีกด้วย ให้ความละเอียดมากพอสำหรับงานในบ้าน เช่น ทำเอกสาร ท่องเน็ตและเทรดหุ้น ไปจนถึงใช้ในสำนักงาน กับซอฟต์แวร์ออฟฟิศ การทำพรีเซนเทชั่น ไปจนถึงการนำเสนองาน มาชมกันครับว่า มีรุ่นใดที่ถูกใจคุณกันบ้าง

เมาส์ไร้สาย

  1. Philips SPK7344
  2. Anitech W226
  3. RAPOO M100
  4. Microsoft MBL 1850
  5. Logitech M190
  6. GENIUS NX-7015
  7. Logitech M221
  8. Xiaomi Mi Wireless
  9. Lenovo 530
  10. Logitech M331B

1.Philips SPK7344

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้ามองในแง่ของความเป็นเมาส์ไร้สายมินิมอล ราคาประหยัด จับกระชับมือ กับบอดี้ที่มาความโค้งไม่มากนัก ทำให้พกพาง่าย เหมาะกับคนที่ชอบจับแบบ Grip หรือ Claw เน้นปลายนิ้วกด ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ให้ระยะการกดได้ประมาณ 3 ล้านครั้ง ปุ่มกดที่ตอบสนองไว วัสดุเป็น ABS ผิวเรียบลื่น จับสบายมือ แถมยังให้ความละเอียดมาถึง 1600DPI เมาส์ไร้สายรุ่นนี้ ตอบโจทย์ได้ดี เหมาะกับคนที่ชอบท่องเน็ต เล่นเกมออนไลน์เบาๆ ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และรับประกัน 2 ปี ราคาประมาณ 219 บาทเท่านั้น

Advertisementavw
จุดเด่น ข้อสังเกต
ราคาประหยัด ดีไซน์ค่อนข้างเรียบง่าย
ให้ความละเอียดถึง 1600 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: Philips


2.Anitech W226

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายในราคาเบา หลักร้อย ที่ออกแบบรูปทรงมาได้ทันสมัยเลยทีเดียว และยังรองรับได้ถึง 2 ระบบ ทั้ง Wireless และ Bluetooth ทำให้ใช้งานได้กับพีซี โน๊ตบุ๊คและสมาร์ทโฟน หรือแท็ปเล็ตกับรูปทรงกระทัดรัด ไซส์ขนาดกลาง รองรับการใช้งานทั้งมือซ้ายและขวา ทนทานต่อการคลิ๊กได้ถึง 5 ล้านครั้ง จุดเด่นอยู่ที่นอกจากปุ่มซ้าย-ขวา ที่ออกแบบมาให้มีเสียงที่เบา และ Scroll wheel ที่มีให้เป็นพื้นฐาน ยังเพิ่มปุ่มตั้งค่า DPI ได้ถึง 3 ระดับ ตั้งแต่ 800, 1200 และ 1600 DPI พร้อมปุ่มมาโครที่อยู่ด้านข้าง ใช้งานร่วมกับถ่าน AA 1 ก้อน ราคา 359 บาท กับการรับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด
ต่อได้ทั้ง WiFi และ Bluetooth

ข้อมูลเพิ่มเติม: Anitech


3.RAPOO M100

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายราคาดี แถมยังต่อได้ 2 ระบบ ทั้ง Bluetooth และ Wireless แบตใช้ได้ยาวถึง 9 เดือน ใครที่มองหาเมาส์กระทัดรัด ดีไซน์ทันสมัย จับกระชับมือรุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว แม้จะมาในไซส์เล็กๆ เหมาะกับมือสาวๆ แต่ก็ปรับความสูง ให้เข้ากับอุ้งมือได้ดี ปุ่มคลิ๊กเสียงค่อนข้างเบา แต่กดได้หนักแน่น ให้การตอบสนองที่ 1300 DPI เป็นเซ็นเซอร์ในแบบออพติคอล โดยเลือกเชื่อมต่อได้ง่าย ระยะเวลาใช้งานได้ถึง 9 เดือนด้วยกัน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อนเท่านั้น พร้อมปุ่มสลับโหมดสัญญาณใต้เมาส์ ราคา 399 บาท รับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เชื่อมต่อได้ 2 ระบบ มิติค่อนข้างเล็ก
เซ็นเซอร์ 1300 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: RAPOO


4.Microsoft MBL 1850

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ Wireless ของไลฟ์สไตล์ ทำงาน และความบันเทิง ที่ค่อนข้างโดดเด่นมีให้เลือก 7 โทนสีด้วยกัน เน้นที่การพกพา กับขนาดกระทัดรัด แต่ออกแบบให้มีความโค้งด้านท้าย ลาดลงต่ำมายังด้านหน้า ทำให้การจับกระชับขึ้น ใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา กับพื้นผิวพลาสติกแบบลื่น แต่จับได้ถนัด ปุ่มคลิ๊ก 3 ปุ่ม ให้อารมณ์ในการคลิ๊กได้สนุก Scroll wheel เป็นจังหวะ ไม่ไหลฟรี เพราะมีระดับการกดไม่ลึกมาก เหมาะกับการท่องเน็ตและเช็คข้อมูล ใช้แบตจากถ่าน AA 1 ก้อน ระยะเวลาในการใช้งานได้นานถึง 6 เดือน เก็บตัวรับส่งสัญญาณด้านใต้ได้เลย พร้อมปุ่มเปิด-ปิด ราคา 430 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปุ่มกดตอบสนองไว แบตใช้นาน 6 เดือน
รับประกัน 3 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม: Microsoft


5.Logitech M190

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์กึ่งเกมมิ่งสไตล์ ที่มีขนาดค่อนไปทางใหญ่ แต่ยังอยู่ในไซส์ของการพกพา ถือว่าเป็นรุ่นยอดฮิตอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งจับถือได้สบายมือ โดยทาง Logitech เลือกเทรนด์ของการใช้วัสดุรีไซเคิล แต่ก็ทำให้ดูทันสมัย จุดเด่นคือ แบตใช้งานได้ 18-24 เดือน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และปุ่มคลิ๊กที่ทนทาน กดตื้น ตอบสนองไว มีปุ่มเปิดปิด และซ่อนตัว USB รับส่งสัญญาณด้านใต้ได้ การรับประกัน 1 ปี ราคา 449 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย จับถนัดมือ
แบตใช้งานได้นาน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


6.GENIUS NX-7015

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย ราคาหลักร้อยอีกรุ่นหนึ่ง ที่ดีไซน์ออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว กับความโค้งเว้า ให้จับถนัดมือ จุดโค้งรับอุ้งมือ ค่อนข้างสูง ความยาวเหมาะกับทั้งชายและหญิง และใช้ลวดลายมาเสริม ทำให้ดูน่าใช้ จุดขายไม่ได้อยู่ที่ฟังก์ชั่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเสริมลูกเล่นให้ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้อีกด้วย ปรับเซ็นเซอร์ได้ถึง 1600 DPI มีเมาส์ฟีตด้านล่างขนาดใหญ่ ปุ่มคลิ๊กซ้ายขวามีขนาดใหญ่ กดได้แม่นยำ แต่จะมีระยะการกดที่ลึกลงหน่อย รวมถึง Scroll wheel ที่ดูใหญ่พอสมควร แต่ก็ใช้งานได้ดี ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน พร้อมปุ่มเปิดปิด เพื่อประหยัดแบต รับประกัน 3 ปี ราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เมาส์ขนาดกลาง จับกระชับมือ Scroll wheel ค่อนข้างใหญ่
ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม: GENIUS


7.Logitech M221

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายที่มีให้เลือกแบบวาไรตี้มาก กับดีไซน์ที่กระชับ กระทัดรัด พกพาสะดวก วัสดุถือว่าดีในราคาไม่ถึง 500 บาท Logitech ชูในเรื่องของการลดเสียงรบกวนในเวลาทำงานได้มากขึ้น กับความโค้งรับอุ้งมือได้ดี แต่อาจจะเหมาะกับมือสาวๆ ที่เล็ก เนื่องจากความยาวไม่มากนัก ปุ่มหลัก 3 ปุ่ม พื้นฐาน กับการตอบสนองที่ 1000DPI กับเซ็นเซอร์แบบออพติคอล ใช้พลังงานจากแบต AA เพียงก้อนเดียว สามารถใช้งานได้นานถึง 18 เดือนด้วยกัน สามารถเก็บตัวรับส่งสัญญาณได้ในตัวเมาส์อีกด้วย พร้อมสวิทช์เปิด-ปิด ตรงนี้ผมคิดว่าสำคัญมากๆ สำหรับเมาส์แบบพกพาเช่นนี้ เคาะราคาอยู่ที่ 499 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
มีปุ่มเปิด-ปิด มิติเมาส์ค่อนข้างเล็ก
ใช้ได้นาน 18 เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


8.Xiaomi Mi Wireless

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายขนาดกลางที่ออกแบบมาสำหรับคนเอเซียโดยเฉพาะ สามารถจับได้ทั้งแบบ Claw และ Palm Grip ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา โดยมีปุ่มกดที่ให้ความหนักแน่น เสียงค่อนข้างเบา เหมาะกับสายทำงานเป็นหลัก เคลื่อนไหวได้ลื่นไหล กับเมาส์สเกตด้านใต้ขนาดใหญ่ จุดเด่นคือ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Wireless และ Bluetooth เช่นเดียวกับปุ่มกดด้านข้าง ที่เสริมเข้ามาให้ปรับใช้งานได้มากขึ้น ใช้ถ่านแบบ AAA จำนวน 2 ก้อน ให้การรับประกัน 1 ปี กับราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth ขนาดค่อนข้างใหญ่
ใช้ถ่านแบบ AAA 2 ก้อน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Xiaomi


9.Lenovo 530

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้าคุณมีงบสัก 500 นิดๆ คิดว่าเมาส์รุ่นนี้ มีดีให้คุณจับต้องได้ กับดีไซน์ที่จับกระชับมือ ในโทนสีที่ดูทันสมัย พื้นผิวเป็นแบบซอฟท์ทัช ที่ดูเป็นกันเองจับถนัด ขนาดกลางๆ ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ความโค้งตรงอุ้งมือ เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่าย ไม่ได้ใส่ปุ่มมาโครด้านข้างมาด้วย เคลื่อนไหวได้แม่นยำกับเซ็นเซอร์ออพติคอล 1200DPI และปุ่มเมาส์ ที่ให้การคลิ๊กได้ระดับ 8 ล้านครั้ง ใช้ถ่านแบบ AA ก้อนเดียว ใช้ได้นานประมาณ 12 เดือน ราคาอยู่ที่ 590 บาท รับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เซ็นเซอร์ 1200 DPI
รองรับการคลิ๊กได้ 8 ล้านครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lenovo


10.Logitech M331

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

แต่ถ้าใครชอบสไตล์ที่จับกระชับมือ มีเว้าในส่วนของ Grip ให้ถนัดมากขึ้น อาจจะช่วยให้เลื่อนได้ไว และเล่นเกมได้ในบางโอกาส รุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจ ขนาดใกล้เคียงกับ M221 แต่จะเป็นแบบใช้มือขวา ด้านข้างออกแบบให้มีพื้นผิวจับถนัด ด้านหลังจากโค้งลาดลงเล็กน้อย และยังคงเป็น Silence Mouse คือลดเสียงคลิ๊กลงถึง 90% และใช้บนพื้นผิวต่างๆ ได้ดี ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ออพติคอล 1000DPI ในส่วน Scroll mouse รองรับการคลิ๊กได้ โดยใช้พลังงานจากถ่าน AA เพียงก้อนเดียว ใช้ได้ยาวถึง 24 เดือน ที่สำคัญตัวเมาส์รองรับ Unifying ได้อีกด้วย ราคา 590 บาท การรับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
จับกระชับมือ เน้นผู้ใช้มือขวา
แบตใช้ได้นาน 24เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


Conclusion

Model Sensor Wireless Buttons Dimension (mm) Battery Batt life (Month) Price
1.Philips SPK7344 1600DPI 2.4GHz 3 101 x 61 x 33 1x AA 219
2.Anitech W226 1600DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 5 103 x 65 x 37 1x AA 359
3.RAPOO M100 1300DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 3 98 x 61 x 38 1x AA 9 399
4.Microsoft MBL 1850 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58.1 x 32 1x AA 6 430
5.Logitech M190 1000DPI 2.4GHz 3 115.4 x 66 x 40.3 1x AA 18 449
6.GENIUS NX-7015 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58 x 38.5 1x AA 499
7.Logitech M221 1000DPI 2.4GHz 3 99 x 60 x 39 1x AA 18 499
8.Xiaomi Mi Wireless 1200DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 4 103 x 65 x 37 2x AAA 499
9.Lenovo 530 Wireless 1200DPI 2.4GHz 3 120 x 197 x 33 1x AA 12 590
10.Logitech M331 1000DPI 2.4GHz 3 105.4 x 67.9 x 38.4 1x AA 24 590

สำหรับเมาส์ไร้สาย หลักร้อยที่นำมาให้ได้ชมกันในวันนี้ เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมาส์อีกมากมายเลยทีเดียว ที่จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานของหลายคนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยากได้ความคล่องตัว เพราะลดความวุ่นวายจากสายที่พันกันยุ่งเหยิง และไม่ทำให้โต๊ะทำงานที่อาจจะมีพื้นที่น้อยนิดดูรกอีกด้วย การเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ เพราะเมาส์แต่ละรุ่น ก็มีความโดดเด่นต่างกันออกไป เช่น เน้นราคา Philips ให้คุณได้ หรือต้องการมิติเล็กกระทัดรัด Genius, Microsoft และ Logitech M221 ให้การพกพาได้ดี แต่ในเรื่องความสะดวกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลาย Xiaomi, Rapoo และ Anitech รองรับได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth และเรื่องแบตอึด เท่าที่ข้อมูลของแต่ละค่ายระบุมา ส่วนใหญ่จะเกิด 6 เดือนต่อการใช้แบต AA 1 ก้อน แต่จะมี Logitech ที่ส่วนใหญ่จะเกิน 12 เดือนขึ้นไป แต่ในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานด้วยครับ ใครที่กำลังมองหาเมาส์เล็กๆ ต่อไร้สาย สไตล์น่ารักเหล่านี้ ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่ใส่ลิงก์เอาไว้ให้กันครับ

from:https://notebookspec.com/web/686108-10-wireless-mouse-under-1k-2023

10 อันดับ เคสคอม 2023 เปิดตัวใหม่ ไฟ ARGB ประกอบง่าย สุด Cool! เย็นสุดขั้ว

10 อันดับ เคสคอมสุด Cool เปิดตัวใหม่ CES2023 งานดี เทคโนโลยีสุด พร้อมไฟ RGB จัดเต็ม

10 อันดับ

10 อันดับ เคสคอมรุ่นใหม่ปี 2023 ที่เรารวบรวมมาให้ในครั้งนี้ จัดมาตั้งแค่เคสสุดล้ำ ดีไซน์หรู ไปจนถึงเคสคอม สำหรับเกมเมอร์ และนักโอเวอร์คล็อก กับเทคโนโลยีใหม่ ที่ช่วยในการระบายความร้อน และเพิ่มฟังก์ชั่น สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ได้สะดวกมากยิ่ง ซึ่งนับว่าในปี 2023 จะมีเคสรุ่นใหม่ๆ มาให้กับเหล่านักประกอบคอมเลือกใช้งานกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมเรื่องของการระบายความร้อน และการปรับแต่งที่น่าสนใจกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างเช่นที่เรานำเสนอนี้ จะมีบางรุ่นที่เสริมกลไกการระบายอากาศ บางรุ่นมาพร้อมกระจกเทมเปอร์ที่ดีไซน์ทันสมัยมากขึ้น และบางรุ่นก็มาพร้อมชุด Liquid Cooling ในตัว ส่วนใหญ่เป็นผลดีต่อการเล่นเกม และการปรับแต่งในปัจจุบัน รวมถึงรองรับกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ๆ อีกด้วย วันนี้เรามาชมกันครับว่า จะมีเคสคอมรุ่นใด ที่ถูกใจคุณบ้าง เผื่อใครจะอยากเปลี่ยนเคสใหม่กันในปีนี้

10 อันดับ เคสคอม 2023

  1. Cyberpower Kinetix 360V
  2. Fractal Design – Torrent Compact Nano
  3. Lian Li – Lancool III
  4. Hyte Y60
  5. Thermaltake CTE
  6. Cooler Master Cooling X
  7. InWin POC Case
  8. COUGAR CRATUS
  9. MSI MEG Prospect 700
  10. ASUS HYPERION

1.Cyberpower Kinetix 360V

Cyberpower Kinetix 360V เป็นเคสคอมที่ออกแบบในแนวที่เรียกว่า Kinetic Enclosure หรือเป็นกล่องที่ขยับปรับเลื่อนได้ ซึ่งเมื่อปีก่อนก็จะมีของ Cyber Power ที่ทำออกมา แต่ตอนนั้นก็ลุ้นกันว่าจะออกมาวางตลาดมั้ย แต่ก็มีออกมาในบางรุ่น แต่สำหรับปีนี้ เป็นโมเดลพิเศษที่เรียกว่า Cyberpower Kinetix 360V Intelligent Airflow Series ที่มาโชว์ตัวในงาน CES 2023 เข้ามาใน 10 อันดับ เคสคอมครั้งนี้

Advertisementavw
10 อันดับ

ความโดดเด่นของเคสรุ่นนี้ อยู่ที่กลไกด้านหน้าของเคส ที่ขยับไปมาได้ เป็นแบบบานพับรูปทรงสามเหลี่ยม เลขาคณิต เปิดและปิดดูแล้วหวือหวา คล้ายกลไกของชุดไอรอนแมน ไม่ว่าจะเป็นสีสัน หรือการขยับของบานพับเหล่านี้

เคสรุ่นนี้ อาจจะไม่ได้นำเสนอเรื่องของ airflow เป็นหลักอย่างเดียว แต่มองว่าน่าจะเป็นการออกแบบเชิงนวัตกรรม ด้วยการใส่กลไกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในเคส ซึ่งถ้าถามว่าดีกว่าเคสปกติ หรือเคสที่มีพัดลมเคสด้านหน้าอย่างไร? 

10 อันดับ

ถ้าสังเกต เคสคอมบางเคสก็มีฝาเคสปิดทึบด้านหน้ามา บางทีต้องการจะให้ลมเข้ามากๆ ในช่วงที่ทำงานแบบ Full load ให้มีอากาศระบายได้ดีก็ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ต้องการเคสที่ว่า เปิดให้ลมไหลเข้าตลอดเวลา เพราะบ้านเราเรื่องฝุ่นเป็นปัญหาสำคัญ การมีกลไกเปิด-ปิดแบบนี้ ก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียวครับ อยากได้ลมก็เปิด ไม่ใช้ก็ปิดง่ายมากๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม: Cyberpowerpc


2.Fractal Design – Torrent Compact Nano

สำหรับเคสคอมจาก Fractal Design นี้ ดูเป็นที่รู้จักกันดีในบ้านเรา ด้วยคาแรคเตอร์ที่ดูหรูหรา พรีเมียม และเป็นที่คุ้นหูคุ้นตากันหลายรุ่น เช่นเดียวกับ Torrent Nano ที่เป็นเคสขนาด Mid-Tower แต่ใส่ Air flow มาขั้นสุด กับรูปลักษณ์เคสในโทนสีขาว มีช่องระบายอากาศด้านหน้า ออกแบบมาได้ลึกล้ำดีทีเดียว

10 อันดับ

ความโดดเด่นอยู่ที่ พัดลมขนาดใหญ่ 18cm พร้อมแสงไฟ RGB สวยงาม สามารถควบคุมรอบพัดลมได้ เสียงรบกวนน้อย ส่วนพื้นที่ภายในดูกว้างขวาง เพราะย้ายช่องติดตั้งเพาเวอร์ซัพพลายไปไว้ด้านบน ให้เดินสายได้สะดวก และมีทางลมดูดลมร้อนจากซีพียูได้โดยตรง

10 อันดับ

ส่วนภายในรองรับเมนบอร์ด mATX และมีช่อง PCI-Express ได้ถึง 3 สล็อต ติดตั้งการ์ดจอรุ่นใหม่ๆ ที่เป็น RTX40 series ได้และการ์ดความยาวระดับ 33.5cm เลยทีเดียว ใครที่ชอบเคสแนวนี้ เค้ามีให้เลือกถึง 5 สีด้วยกัน สำหรับผมนะ สวยทุกสี ตามที่ปรากฏในคลิปนี้เลยครับ บ้านเรามีจำหน่ายแล้ว ราคาประมาณ 5 พันกว่าบาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: Fractal Design


3.Lian Li – Lancool III

เป็นเคสคอมที่เรียกว่า ถอดรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์ LANCOOL มาอย่างเต็มเปี่ยม แต่ที่โดดเด่น เราผมชอบมากคือ การเปิดช่องทางในส่วนต่างๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็น ฝาข้าง หน้า และฝาปิดเพาเวอร์ซัพพลายที่อยู่ด้านล่าง กระจกข้างใสเทมเปอร์ ถอดออกง่าย รวมถึงมีพัดลมไฟ RGB มาให้แล้วถึง 4 ตัวด้วยกัน แบ่งเป็นหน้า 3 ตัว หลัง 1 ตัว พร้อมตะแกรงด้านหน้าให้ Air flow แบบสุดๆ

10 อันดับ
10 อันดับ

ด้านในรองรับ Radiator ชุดน้ำ 3 ตอน 360 ได้อีก 3 ตัว คือ ด้านบน ด้านล่างและด้านหน้า ติดตั้งพัดลม รวมกันได้ถึง 10 ตัว ผมว่าดีไซน์ได้ค่อนข้างอลังการทีเดียว เหมาะสำหรับคนที่จะใช้ชุดน้ำสำหรับซีพียู การ์ดจอ และอื่นๆ เพิ่มเติม

10 อันดับ

แถมด้วยช่อง Mount เพื่อติดตั้ง Storage ได้สูงสุดถึง 12 ตัว ในจุดต่างๆ ที่เค้าเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเท่าที่ผมสังเกต เพลตที่อยู่ด้านบนของเพาเวอร์ สามารถปรับเลื่อนได้หลายรูปแบบ ตรงนี่ถือเป็นจุดสำคัญในการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ เท่าที่ผมเช็คมาในบ้านเราพอมีจำหน่ายบ้างแล้ว ราคาประมาณ 4 พันปลายๆ เท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lian Li


4.Hyte Y60

แต่ถ้าจะเป็นเคสคอมที่ดูโดดเด่น เป็นกระแสมากที่สุดใน CES 2023 ปีนี้ ก็ต้องเป็นค่ายนี้ครับ HYTE ในรุ่น Y60 ล่าสุด ดีไซน์แนวตู้ปลา ราคาดี มีกระจกเทมเปอร์ 3 ด้าน งานดูพรีเมียม น่าสนใจไม่น้อยเลย เป็นเคสแนวที่คล้ายๆ กับเคสกระจกหลายรุ่นในบ้านเรา เมืองนอกเค้ายกให้เป็น Good compact, Good Material เลยทีเดียว แล้วถ้าถามว่าแปลกหรือเด่นอย่างไร

10 อันดับ

ก็ยังคงต้องเริ่มกันตั้งแต่ดีไซนกระทัดรัด ดีไซน์พรีเมียม ด้านหน้าตัดมุม 45 องศา ไม่เหมือนใคร ส่วนตัวผมรู้สึกว่า มันมองฮาร์ดแวร์ได้ในหลายมิติ ดูแล้วกว้าง แถบด้านบนและล่างกว้างขวาง ให้พื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์ได้มากขึ้น เช่น ปั้มน้ำ หรือชุดพัดลม Radiator ช่องตะแกรง ทั้งด้านบน และด้านล่าง ช่วยระบายอากาศ 

10 อันดับ

ติดตั้งชุด Radiator ได้อย่างน้อย 2 ชุด ด้านหลัง และด้านบน สามารถวางการ์ดจอแนวตั้งได้ ด้านหลังเหลือพื้นที่มากมาย ให้เก็บสายหรือประกอบฮาร์ดแวร์อื่นเพิ่มได้ เช่น SSD เป็นต้น

10 อันดับ

นอกจากนี้ภายในเคสยังมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้งกราฟิกการ์ดแบบ Low-Profile ขนาดเล็กได้ ไม่ต้องไปหาแปลง Bracket ให้เสียเวลา และเสริมขาแขวนสายเพาเวอร์ที่ต่อการ์ดจอมาให้ในตัว พื้นที่ภายในรองรับการ์ดจอได้ยาวแบบ 3 พัดลมได้อีกด้วย บ้านเราพอมีให้ Pre-Order ในราคาประมาณ 8,000 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: HYTE


5.Thermaltake CTE

เป็นเคสคอมในซีรีส์ที่เปิดตัวในงานได้สุดอลังการ สำหรับ Thermaltake CTE ที่ดีไซน์ออกมาในแบบที่เรียกว่า Centralized Thermal Efficiency ซึ่งเน้นที่การระบายความร้อน ปรับจูนอากาศให้ไหลเวียนได้ดี และจุดเด่นอยู่ที่การปรับหมุนเมนบอร์ดได้ในแบบ 90 องศา 

10 อันดับ

ตัวเคสผมว่าคล้ายกับการนำเอาจุดเด่นของหลายๆ รุ่นมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็น Tower, V หรือ View ก็ตาม นำมาผสมผสานกันให้ลงตัว และภายในมีความยืดหยุ่น ปรับเลื่อน แกะ ประกอบได้หลากหลาย โดยเฉพาะการวางเมนบอร์ด ที่ปรับมุมได้ 90 องศา เพื่อให้รับลมหรือต่อเข้ากับ Block น้ำได้ลงตัวมากขึ้น

10 อันดับ

พัดลมและชุดน้ำก็วางกันได้แบบจุใจครับ ไม่มีกั๊ก ตามสไตล์ของค่ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า หรือด้านหลัง ที่ใส่ Radiator แบบ 360mm ได้ 2 ชุด ยังไม่รวมด้านล่างเคส และด้านบนก็ติดตั้งแบบ 240mm ได้ โดยที่ทาง Thermaltake เค้าดีไซน์ทางลมให้เป็นแบบ ดูดลมเข้าทางด้านหน้าและหลัง และระบายลมร้อนออกทางด้านบน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

10 อันดับ

หลายคนอาจสงสัยว่า แบบนี้จะมีพื้นที่ติดตั้งเพาเวอร์ตรงจุดใด? ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเพาเวอร์ในแต่ละรุ่น จะวางไม่เหมือนกัน บางรุ่นข้างล่าง หรือบางรุ่นก็อยู่ด้านหลังเคส และบางทีก็อยู่ด้านบน เพราะซีรีส์นี้ออกมาถึง 6 รุ่นด้วยกัน และการจัดวางก็ต่างกันไปตามดีไซน์นั่นเอง

10 อันดับ

ส่วนความยาวของการ์ดจอไม่น่ากังวล เพราะเท่าที่ดู นอกจากจะวางได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอนแล้ว ยังปรับ 90 องศาได้อีกด้วย การ์ดแบบ 3 พัดลมก็วางได้ ไม่ได้ดูติดขัดแต่อย่างใด ใครที่รอราคา คงต้องอดใจอีกนิดครับ เพราะบ้านเรากำลังเปิดตัวครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: Thermatake


6.Cooler Master Cooling X

ถ้าพูดถึงเคสคอมและชุดระบายความร้อน ไม่มีค่ายนี้ไม่ได้เลยครับ และใน CES 2023 ครั้งนี้ เค้าก็จัดแบบพิเศษมาให้กับ Cooling X ที่เป็นเคสออกแบบใหม่ ซึ่งมาพร้อมชุด Liquid Cooling มาในตัว สำหรับซีพียูและการ์ดจอ โดยใช้พื้นที่ฐานของตัวเคสแบบ Tower ด้วยบอดี้ทื่ใหญ่ วางตำแหน่งเอาไว้สำหรับเกมเมอร์ระด้บไฮเอนด์ รูปทรงคล้ายกับ Cosmos และยังผสมกับหน้าตาของรุ่นอื่นๆ มาไว้อีกด้วย ซึ่งช่วงหลังๆ ผมเองรู้สึกว่า ดีไซน์เค้าเริ่มไปไกลมาก

10 อันดับ

อย่างที่เห็นคือ ด้านหน้ามาพร้อมกับโลหะแบบตะแกรงดูดอากาศด้านนอก พร้อม Strip แสงไฟ ด้านข้างและด้านหลัง ก็เป็นช่องขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้ถึงกับจะเป็นช่องลมทะลุไปยังภายในได้ทั้งหมด ซึ่งคล้ายกับว่าโครงสร้างภายนอก จะเป็นเหมือนครีบระบายความร้อน และใช้เป็นจุดไหลเวียนของเหลว โดยมีตัวปั้มและ Block อยู่ภายใน 

10 อันดับ

โดยเท่าที่ดูทิศทางการไหลของ Liquid Cooling ถ้าดูตามชาร์ทนี้แล้ว จะเป็นเหมือน มาจากด้านข้างซ้ายของเคส เข้าปั้ม ไหลไปยังซีพียู และ GPU แล้วไปยังฝาข้างด้านขวา แล้วไปเวียนที่ Radiator จากนั้นก็จะไหลกลับไปยังฝาข้างด้านซ้ายอีกครั้งหนึ่งแบบนี้

10 อันดับ

เปิดฝาข้างออกได้ทั้ง 2 ด้าน จัดวางเพาเวอร์ไว้ด้านล่าง ด้านหลังมี Radiator 1 ชุดสำหรับซีพียู แต่ที่แอบสงสัยคือ ช่องด้านหลังที่เป็นพอร์ตแสดงผลด้านบนเคสนี้ เอาไว้ให้การเชื่อมต่อในแบบใดกันแน่ หรืออาจจะเป็นการวางอีกแนว และเปิดฝาด้านบน เพื่อต่อจอก็เป็นได้ครับ ใครชอบเคสแนวนี้ อดใจรอครับ ถ้ามีข้อมูลมาเพิ่มเติม จะเอามานำเสนออีกครั้งหนึ่งนะครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: wccftech.com


7.InWin POC Case

ใครที่เป็นนัก Mod ชอบเคสแบบมีสไตล์ มีชิ้นส่วนประกอบได้เองแบบอิสระ เคสรุ่นนี้ที่ InWin นำมาโชว์ในงาน น่าจะถูกใจคุณ ใช้แนวคิดคือ POC ออกแบบมาเป็นแผงโลหะ SECC แข็งแรงแบบโครงสร้างเคสปกตินี่เลย คุณสามารถนำมาประกอบจนกลายเป็นเคส Mini-ITX ได้ คล้ายกับการพับกระดาษ Origami อะไรแบบนั้น เคสจะเน้นสีสันที่สดใสหน่อย เพราะมีให้เลือกโทน เขียว/เหลือง (Tropical Sweetheart) และ น้ำเงิน/ดำ (Race Blue)

10 อันดับ

ตัวเคสมาพร้อมพัดลมขนาด 120mm มาให้ 1 ตัว รองรับการติดตั้งเพาเวอร์ยาว 16cm แต่ที่น่าสนใจคือ มีช่องสำหรับติดตั้งการ์ดจอแบบแนวตั้งได้อีกด้วย มี PCI-Express 4.0 riser cable ให้ และรองรับการ์ดจอรุ่นใหญ่ 3.5 สล็อต ยาวถึง 34cm ได้อีกด้วย

10 อันดับ

อย่างไรก็ดีในงานนี้ เท่าที่ได้เห็นไม่ได้มีความแปลกตากับโครงสร้างเคสเพียงอย่างเดียว แต่บรรจุภัณฑ์ที่เค้าใส่มาในแต่ละชิ้นนั้น ยังเป็นแบบซองกระดาษ รีไซเคิล ห่อมาให้อีกด้วย เซอร์ไพรซ์กันไปใหญ่ 

10 อันดับ

เคสแบบนี้ ชวนให้ผมนึกถึงบ้านน็อคดาวน์ในปัจจุบัน ที่คุณสามารถจัดการได้เอง เพราะเมื่อแกะของออกมาจากห่อ จะเป็นโลหะแบนเรียบ และคุณต้องมาพับงอในบางจุด แล้วไขน็อตยึดเพิ่มความแข็งแรง  เพื่อประกอบให้กลายเป็นเคสแบบ 3 มิติให้พร้อมใช้งาน

ตอนที่เห็นภาพเคสที่ประกอบสำเร็จแล้ว ส่วนตัวรู้สึกค่อนข้างทึ่ง แล้วน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีกับเคส Custom ในอนาคต ถ้ามีเรื่องของราคาเราจะมาอัพเดตให้ฟังกันอีกครั้งครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: InWin


8.COUGAR CRATUS

ถ้าพูดถึงเคสล้ำๆ หลายคนก็น่าจะนึกถึงค่ายนี้ COUGAR ที่มีเคสสวยล้ำอีกรุ่นหนึ่งมาลงตลาด ในชื่อ CRATUS สำหรับผมมองว่า มันเหมือนกับแชสซีส์ของรถแข่งเลยทีเดียว กับรูปลักษณ์ที่ดูดุดัน โครงสร้างท่อโลหะ ผสานกับกระจกเทมเปอร์ ที่มีการดัดโค้ง ให้ดูลงตัว ภายในกว้างขวาง เหมาะกับการติดตั้งอุปกรณ์ และสายนักโมดิฟาย ที่แทบจะสวยมาจากโรงงาน 

10 อันดับ

กระจกเทมเปอร์ เป็นคีย์หลักที่สร้างความโดดเด่น เพราะมีให้ถึง 4 ด้าน ด้านหน้าดัดโครงให้เข้ากับโครงเคส ยาวไปจนถึงด้านบน และ

10 อันดับ

การจัดทิศทางลม ใช้การดูดลมเย็นจากด้านหน้า และด้านล่าง ให้หมุนเวียนภายในเคส แล้วปล่อยลมร้อนออกทางด้านหลัง พร้อมแสงไฟ ARGB สวยเวอร์วัง ปรับแต่งได้ ด้วยการกดปุ่ม RGB บนตัวเคส แต่ก็มีหัวต่อ เพื่อเสียบเข้ากับเมนบอร์ด ในการใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ได้อีกด้วย 

10 อันดับ

จัดวางเคสได้ตั้งแต่ ATX ไปจนถึง E-ATX ซึ่งทำให้การวางการ์ดจอ ใส่ได้ยาวถึง 46cm ถ้าไม่ได้ติดตั้ง Radiator ด้านข้างเมนบอร์ด พร้อมพื้นที่ด้านหลังติดตั้ง SSD 2.5″ ได้ถึง 3 ตัวด้วยกัน และช่องสำหรับ HDD 3.5″ การติดตั้งชุดระบายความร้อน ทำได้ทั้งชุดพัดลมได้สูงสุด 9 ตัว และชุดน้ำ ติดตั้ง Radiator 360mm ได้ 

ที่ชอบเลยก็คือ ด้านหลังมีช่องเก็บสายเคเบิล ที่เปิดออกได้ ไม่ต้องแกะให้วุ่นวาย ความหนาที่มากพอสำหรับ ม้วนสายเอาไว้ในนั้น แทบจะมองไม่เห็นสายต่อเลยก็ว่าได้

10 อันดับ

เรื่องของราคายังไม่ได้เคาะออกมาเป็นทางการ ส่วนตัวมองว่า ถ้าคุณชอบเคสแบบนี้ ที่เปิดให้ลมเข้าหลายด้าน กระจกเทมเปอร์ที่โชว์ได้เกือบทุกอณู พร้อมกับดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร กำเงินรอไว้ได้เลยครับ ไตรมาสแรกปีนี้ได้ลุ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: COUGAR


9.MSI MEG Prospect 700

มาถึงเคสที่ 9 แล้ว เคสนี้ ไม่ได้ถือว่าใหม่มาก เพราะเปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2565 และสื่อบ้านเราก็ได้รีวิวกันไปบ้างแล้ว แต่ที่นำมาเพราะความล้ำสมัย มีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดี โดยเฉพาะการมีพาแนลบนตัวเคส สำหรับปรับแต่งสิ่งต่างๆ ภายใน 

10 อันดับ

กระจกเทมเปอร์สวยใสด้านข้าง เปิดกางได้ง่าย รวมถึงฝาปิดข้าง ที่เก็บสายไฟ ก็กว้างขวางดีทีเดียว

10 อันดับ

จอเป็นแบบทัชสกรีนขนาดใหญ่ ปรับโหมดไฟ ARGB ได้ เลือกได้หลายแบบ รวมถึงปรับรอบพัดลม มีโพรไฟล์ ตั้งเวลาเปิด-ปิดหน้าจอ ซิงก์กับซอฟต์แวร์บนเมนบอร์ดได้เช่นกัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับที่มีอยู่บนเกมมิ่งพีซีบางรุ่นของ MSI 

10 อันดับ

ภายในติดตั้งชุดน้ำ Radiator 360mm ได้ มีพัดลมให้เป็นแบบ ARGB จำนวน 4 ตัว หน้า 3 หลัง 1 ขนาด 140mm พาแนลด้านหลังปรับเลื่อนได้ สำหรับการวาง Radiator หรือจะใช้เป็นพัดลมก็ได้เช่นกัน พื้นที่ภายในวางการ์ดจอตัวใหญ่ๆ 3 พัดลมได้สบายๆ กว้างขวาง

10 อันดับ

แต่เรื่องของมิติ ก็อาจจะดูใหญ่พอสวมควร แต่ถ้ามองว่า ตั้งใจจะจับฮาร์ดแวร์แรงๆ รุ่นใหญ่ ยัดเข้าไปให้ได้ รวมถึงชุดน้ำ ผมว่า MSI รุ่นนี้ตอบโจทย์คุณได้เลย เคาะราคาอยู่ที่ประมาณ 14,900 บาทครับ มีจำหน่ายแล้ว สนใจก็ไปตำกันได้เลย

ข้อมูลเพิ่มเติม: MSI


10.ASUS HYPERION

เป็นเคสเกมมิ่งสำหรับคอเกม ที่มีความโดดเด่นในด้านการออกแบบ ซึ่งหากคุณเป็นแฟนบอยของ ASUS ROG เคสนี้ น่าจะเป็นทางของคุณ ตัวเคสขนาดใหญ่ เพิ่มระดับความสูง ให้อากาศไหลเวียนได้มากขึ้น และรองรับ Radiator ขนาด 420mm ได้ถึง 2 ตัวด้วยกัน กับการออกแบบรูปลักษณ์ที่ยังล้ำสมัย พร้อมใส่สีสันไฟ RGB มาเป็นทางเลือกให้กับการแต่งคอม กับการจัดวางเคส ที่ใช้โครงรูปตัว X ในการกระจายน้ำหนัก

10 อันดับ

ภายในเปิดให้เป็นห้องขนาดใหญ่ รับการติดตั้งเมนบอร์ด E-ATX ได้ พร้อมพื้นที่ขนาดใหญ่ ให้สามารถรองรับการ์ดจอรุ่นใหญ่อย่าง GeForce RTX4090 ได้สบาย ซึ่งสามารถใส่การ์ดจอได้ยาวสุดถึง 46cm เลยทีเดียว โดยให้พื้นที่แนวตั้งสูงสุด 13cm เผื่อการ์ดจอตัวใหญ่ จะได้ไม่ติดขอบฝาเคส

นอกจากนี้ยังมาพร้อมโครงอะลูมิเนียม สำหรับรับกราฟิกการ์ดแบบ 2-way ยึดไม่ให้ตัวการ์ดห้อย หรือเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง รวมถึงยังจัดสายเคเบิลได้ง่ายกว่าเดิม

10 อันดับ

พื้นที่ด้านหลังเมนบอร์ดกว้างพอในการจัดเก็บสาย พร้อมกับแถบยาง เพื่อใช้ในการรัดจัดเก็บให้เป็นระเบียบ เช่นเดียวกับฝาปิดอะคลิลิคทางด้านหลัง ให้เปิดออก และใส่สายเข้าไปได้ โดยมีคอนโทรลเลอร์ ARGB มาในตัว เพื่อใช้ต่อเข้ากับบรรดาอุปกรณ์ที่รองรับ AURA Sync ซึ่งติดตั้งชุดอุปกรณ์ไฟ RGB เพิ่มได้ถึง 8 ชิ้นและพัดลมแบบ PWM 6 ตัว

10 อันดับ

นับว่าเป็นเคสคอมอีกรุ่นหนึ่ง ที่สามารถปรับเปลี่ยนและโมดิฟายได้ง่าย เหมาะกับคนที่ชอบประกอบคอมเซ็ตด้วยตัวเอง และเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปได้สะดวก การระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS


Conclusion

10 อันดับ เคสคอม 2023 ที่เราได้รวบรวมมาในครั้งนี้ ในแต่ละรุ่นถือว่ามีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ซึ่งหากมองกันที่นวัตกรรมแล้ว CYBERPOWERPC ถือว่ามีลูกเล่นที่น่าสนใจทีเดียว แต่ถ้าจะเน้นที่การระบายความร้อน MSI, COUGAR และ Cooler Master ก็มีทิศทางในการปรับแต่งเคสของตน เพื่อให้ผู้ใช้ได้นำไปใช้งานได้เลย แทบจะไม่ต้องเพิ่มเติมสิ่งอื่นใดมากนัก และยังรองรับการติดตั้ง Radiator ได้มากกว่า 1 ชุดอีกด้วย แต่ถ้าชอบความล้ำสมัย สวยงามเคสจาก COUGAR, MSI และ ASUS ก็ตอบโจทย์เกมเมอร์ และนักโมดิฟายได้ดี แต่ถ้าชอบความเก๋ไก๋ ดูไม่ซ้ำใคร สวยได้แม้จะมินิมอล เคสจาก InWin และ Hyte น่าจะเป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบได้เป็นอย่างดีครับ ความชอบของคุณเป็นแบบใด เลือกใช้กันได้ตามสะดวก แล้วอย่าลืมคอมเมนต์ให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันบ้างนะครับ แล้วพบกันกับการรวบรวมข้อมูลไอทีครั้งต่อไปครับ

from:https://notebookspec.com/web/684474-10-pc-case-ces-2023

ทดสอบ Mac mini (M2) และ MacBook Pro (M2 Pro) ได้ SSD ช้าลงกว่าเดิม 30-50% ซ้ำรอยปีก่อน (รุ่น 512GB ก็ไม่รอด)

ประเด็นเรื่อง MacBook รุ่นใหม่ได้ความเร็ว SSD ลดลงมีมาตั้งแต่ตอน MacBook Pro (M2) 256GB ปี 2022 ที่ตอนนั้นโดนหยิบมาเทียบกับรุ่นชิป M1 ตัวเก่า พบความเร็วทั้งอ่านและเขียนลดลงกว่าเดิม 50% และ 30% ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ชิป NAND Flash สองตัววางต่อกันให้ทำงานแบบขนาน ส่งผลให้ช้าลง ไม่เหมือนโมเดลอื่นที่ใช้ความจุก้อนเดียวไปเลย ซึ่งได้ความเร็วที่เต็มกว่า

ล่าสุด Apple เปิดตัวทั้ง MacBook Pro และ Mac mini 2023 ที่มากับชิปตระกูล M2 ทั้งคู่พบปัญหาเดิมคือได้ SSD ช้าลงกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ครั้งนี้ไม่ได้โดนแค่รุ่นความจุเล็กสุด 256GB แล้ว เพราะ MacBook Pro รุ่น 512GB ก็โดนด้วยเหมือนกันคราวนี้

ช่อง Brandon Geekabit จับ Mac mini (M2) ความจุ 256GB ตัวเริ่มต้นมาทดสอบความเร็วอ่านเขียน SSD ด้วยโปรแกรม Blackmagic Disk Speed Test พบความเร็วทั้งอ่านทั้งเขียนอยู่ที่ประมาณ 1,500 MB/s เท่า ๆ กัน เทียบแล้วคือมันลดลงจากรุ่นชิป M1 ความจุเดิม 43-57% เลย สาเหตุก็คือเพราะโดนแยกก้อนชิป NAND แบบเดียวกับที่ MacBook บางโมเดลโดนเมื่อปีก่อน

เช่นเดียวกับ MacBook Pro (M2 Pro) รุ่น 512GB ที่ก็ไม่นึกว่าจะโดนเหมือนกันแต่ก็ช้าลงด้วย เว็บ 9to5Mac ทดสอบอ่านเขียนได้อยู่ที่ 2,973 MB/s และ 3,154 MB/s ตามลำดับ ซึ่งช้ากว่าตัว MacBook Pro (M1 Pro) 512GB ที่อ่านเขียนได้ 4,900 MB/s และ 3,950 MB/s เห็นชัดเจนเลยว่าตัวเลขหายไปคิดเป็นอ่าน 39% และเขียน 20% ซึ่งถือว่าเยอะมากเหมือนกัน


MacBook Pro (M2 Pro) 512GB vs. MacBook Pro (M1 Pro) 512GB (ความเร็ว SSD)

สรุปความเร็ว SSD โดยประมาณของทั้งตัวเก่าและตัวใหม่

  • Mac mini (M1) รุ่น 256GB | อ่าน 2,705 MB/s เขียน 3,527 MB/s
  • Mac mini (M2) รุ่น 256GB | อ่าน 1,520 MB/s เขียน 1,513 MB/s
  • MacBook Pro 14” (M1 Pro) | รุ่น 512GB อ่าน 4,900 MB/s เขียน 3,950 MB/s
  • MacBook Pro 14” (M2 Pro) | รุ่น 512GB อ่าน 2,973 MB/s เขียน 3,154 MB/s

อย่างที่เคยกล่าวไปในบทความเก่าตอนที่เจอปัญหานี้บน MacBook Pro M2 ว่า ความเร็วที่ลดลงของ SSD นั้นส่งผลโดยตรงต่ออัตราการโอนถ่ายข้อมูล ทำให้ก๊อปปี้ไฟล์ได้ช้าลง และกระทบไปตัวถึง macOS เองที่มักจะเรียกใช้งาน SSD มาเป็น Virtual Memory ในกรณีที่ RAM เต็มด้วย เลยมีแนวโน้มจะทำให้แอบช้าได้เหมือนกันเวลาเปิดแอปพร้อมกันเยอะ ๆ ฉะนั้นลำพังการอัปชิปใหม่เพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ช่วยเพิ่มความรู้สึกรวดเร็วขึ้นให้เราได้มากขนาดนั้น หากปัจจัยด้านสตอเรจไม่ได้แปรผันตามกันด้วย

 

 

ที่มา : 9to5Mac, MacRumors

from:https://droidsans.com/mac-mini-and-macbook-pro-2023-ssd-speed-drop/

Mac mini ชิป M2 ความจุ 256GB, MacBook Pro ชิป M2 Pro ความจุ 512GB ความเร็ว SSD ช้ากว่ารุ่นก่อนหน้า

YouTuber ทดสอบ Mac mini ชิป​ M2 ความจุ 256GB ความเร็วอ่ […] More

from:https://www.iphonemod.net/mac-mini-m2-and-macbook-pro-m2-pro-ssd-slow-previous-model.html

4TB SSD External 5 รุ่นเด็ด เก็บได้เยอะ โอนถ่ายข้อมูลไว เพื่อเกมเมอร์ ครีเอเตอร์ 2023

4TB SSD External 5 รุ่น เก็บข้อมูล โอนถ่ายไฟล์ เร็ว สายทำงาน เล่นเกม ต้องโดน! ความจุเหลือๆ

4TB SSD External

4TB SSD External เก็บข้อมูลแบบจัดเต็ม ไม่เกรงใจใคร ใครที่มีข้อมูลเยอะมาทางนี้ เรามี 5 SSD แบบต่อภายนอกมาแนะนำ กับความจุระดับ 4TB ให้พื้นที่ในการจัดเก็บงานปริมาณมากๆ และให้ความเร็วในการทำงาน ไม่ว่าจะโอนถ่ายไฟล์ ย้ายข้อมูล หรือจัดเก็บได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเกมเมอร์ในการสำรองไฟล์เกมที่ชื่นชอบ เอาไว้ใช้กับเครื่องอื่นได้ หรือนักสร้างคอนเทนต์ ที่ใช้สำรองข้อมูล ไฟล์ภาพ วีดีโอและเสียง ที่มีขนาดใหญ่และนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว หรือเหล่ายูทูปเบอร์ และสตรีมเมอร์ ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บวีดีโอความละเอียดสูง เอาไว้ใช้ในการตัดต่อ หรือนำเสนอผลงาน ข้อดีคือ ทำงานได้ไวกว่าที่เป็นแบบฮาร์ดดิสก์ต่อภายนอก รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หากกำลังมองหาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลความจุ และความเร็วสูงไปพร้อมๆ กัน มาติดตามบทความนี้ไปพร้อมๆ กันครับ


4TB SSD External

  1. WD MYPASSPORT 4TB
  2. Kingston SXS2000 4TB
  3. SANDISK Extreme 4TB
  4. SANDISK Extreme Pro 4TB
  5. LaCie Rugged SSD 4TB
  6. Crucial X8 4TB

External SSD vs HDD แบบไหนดี?

4TB SSD External

จากคำถามนี้ เชื่อว่าถ้าย้อนไป 4-5 ปีก่อน หลายคนอาจตอบเลยว่า External HDD ยังน่าใช้กว่า ทั้งราคาและความจุ ที่ดูไปด้วยกันได้ ซึ่งในปัจจุบันก็อาจจะยังเป็นเช่นนี้อยู่ เพราะอย่าง External HDD 1TB เริ่มที่พันกว่าบาท แต่ถ้าเป็น SSD 1TB แบบต่อภายนอก ราคาเริ่มต้น 3 พันกว่าบาท ซึ่งแพงกว่าเกือบเท่าตัว แต่เวลานี้ ผู้ใช้บางกลุ่ม ไม่ได้เน้นที่ราคาเป็นหลักอีกต่อไป แต่มองที่ศักยภาพ ความเร็ว และการตอบสนองกับงานได้ดี และให้ความสำคัญกับเวลา เนื่องจาก External SSD แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่ออยู่บ้าง แต่ก็ยังให้ความเร็วในการค้นหาข้อมูลได้ดีกว่า และการโอนถ่ายข้อมูลที่รวดเร็ว อย่างเช่น

Advertisementavw
4TB SSD External
source: Crucial

External HDD เมื่อเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB 3.0 Type-A เป็นส่วนใหญ่ และเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟส SATA ซึ่งให้ความเร็วในการทำงานจะอยู่ที่ประมาณ 5Gbps ดังนั้นอัตราการ Read หรืออ่านข้อมูลสูงสุดที่ 120MB/s โดยประมาณ แต่ถ้าดูจาก Host ของการเชื่อมต่อบน USB รุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น USB 3.1 Gen1 ให้ความเร็วในระดับ 5Gbps, แต่ถ้าเป็น Gen2 จะขยับไปที่ 10Gbps และสุดท้ายคือ Thunderbolt 3 ก็จะให้ได้ถึง 40Gbps เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อ SSD มีความเร็วมากพออยู่แล้ว มาเชื่อมต่อกับ Host ในแบบ External รุุ่นใหม่ๆ ก็ทำให้ความเร็วเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างเช่น SSD External รุ่นใหม่ๆ เมื่อเชื่อมต่อกับ USB 3.1 Type-C ก็ให้ความเร็วในระดับ 1,000MB/s ได้ ความเร็วก็จะเหนือกว่า External HDD เกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว


เลือกอย่างไร?

4TB SSD External
source: WD

แล้วถ้าต้องการใช้ External SSD หรือ SSD แบบต่อภายนอกนี้ จะต้องเลือกอย่างไร?

ความจุ: เรื่องนี้อาจจะต้องให้มองว่า คุณมีการใช้งานข้อมูลในแต่ละวันมากน้อยเพียงใด พิจารณาถึงการเก็บข้อมูลระยะสั้น และระยะยาว บางครั้งอาจจะต้องสำรองข้อมูลที่จำเป็นบ่อยครั้ง เช่น ไฟล์วีดีโอที่เป็นฟุดเทจ ถ่ายเก็บ และนำมาใช้ตัดวีดีโอในภายหลัง หรือเป็นไฟล์งานที่ต้องอัพเดตบ่อย รวมถึงเกมเมอร์ ที่ชอบสำรองตัวเกมที่ชอบเอาไว้ และลบไฟล์เกมจากไดรฟ์หลัก ให้เหลือพื้นที่ติดตั้งเกมใหม่เอาไว้เล่นนั่นเอง หากประเมินได้แล้ว ก็ให้เผื่อพื้นที่เอาไว้สักหน่อย กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นอาจใช้ประมาณ 400GB ก็เลือก 500-512GB ได้เช่นกัน แต่ถ้างบประมาณมากหน่อย ตัวเลือก 1TB ก็น่าสนใจไม่น้อย

ดีไซน์และมิติ: เรื่องของดีไซน์ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งในปัจจุบันก็มีตัวเลือกหลายแบบ เช่น บางเบา กระทัดรัด พกพาสะดวก บางรุ่นมีความแข็งแรง ทำบอดี้มาเป็นพิเศษ กันกระแทกและกันฝุ่น ละอองน้ำเป็นต้น หรือบางรุ่นมีที่แขวน จัดเก็บง่าย ตรงนี้ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเลือกแบบใด แต่ถ้าจะแนะนำ วัสดุที่แข็งแรง ปกป้อง SSD ที่อยู่ภายในได้ดี มีกันกระแทก ไม่ต้องเล็กมาก หากกลัวว่าจะหาย และให้อยู่ในงบประมาณที่ไม่สูงเกินไปนัก

การเชื่อมต่อ: เวลานี้จะเป็นแบบเดียวกันเกือบทั้งหมด นั่นคือต่อผ่าน USB-C แต่จะเป็นมาตรฐานใดนั้น ก็ต้องเช็คที่สเปคกันอีกครั้ง โดยจะมีให้เลือกหลักๆ 2 แบบคือ USB 3.2 Gen1 x2 จะให้ความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูล ประมาณ 1,000MB/s ทั้งการ Read/ Write และ USB 3.2 Gen2 x2 ที่ให้ความเร็วได้มากกว่า อยู่ที่ประมาณ 2,000MB/s ทั้งการ Read/ Write จะเห็นได้ว่าความเร็วมากกว่าถึงเท่าตัว แต่ราคาก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ราคาและการรับประกัน: การประกันจะคล้ายกับ SSD Internal มีอยู่ 2 แบบ ขึ้นอยู่กับซีรีส์ของ SSD ในแต่ละรุ่น แต่ละค่าย เช่น SANDISK Extreme การรับประกันอยู่ที่ 5 ปี ส่วน SANDISK Portable รุ่นพื้นฐานประกัน 3 ปี หรือจะเป็น WD Element ประกัน 3 ปี ส่วน MYPASSPORT จะรับประกัน 5 ปีเป็นต้น


1.WD MYPASSPORT 4TB

4TB SSD External

ถือว่าเป็น External SSD ของเจ้าตลาดอีกรุ่นหนึ่ง ราคาดีใน 4TB SSD External คร้ังนี้ ที่ทำออกมาตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เคลื่อนย้ายสะดวก และมีความทนทาน ทาง WD เลือกวัสดุที่เป็นเปลือกภายนอก มีความแข็งแรง ทนต่อการตกกระแทกได้ มีให้เลือก 4 สี แดง ทอง น้ำเงินและสีเทา โดยรุ่นที่เป็น 4TB เป็นสีเทา ดูพรีเมียมทีเดียว มาในมิติประมาณฝ่ามือเท่านั้น 100.08 x 55.12 x 8.89mm จัดว่าเล็กกว่ารีโมททีวีที่บ้านด้วยซ้ำ ให้การเชื่อมต่อผ่าน USB-C ในแบบ USB 3.2 Gen 1 จึงให้ความเร็วในการทำงานที่ 1050MB/s (Read) และ 1,000MB/s (Write) จัดว่าเร็วกว่าการที่เราใช้ External HDD พื้นฐานบน USB-A อยู่ไม่น้อยเลย เหมาะกับการทำงานพื้นฐานทั่วไป การจัดเก็บไฟล์จำนวนมาก และการอัพเดตไฟล์อย่างต่อเนื่อง พกพกสะดวก โดยปกติจะเชื่อมต่อแบบ Type-C to Type-C ได้ แต่หากมีโน๊ตบุ๊คหรือพีซีที่เป็นพอร์ตรุ่นเก่า ก็ใช้สายแบบ USB-C to Type-A ได้เช่นกัน การรับประกัน 5 ปี ราคา 15,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด ความเร็วในการทำงานที่ 1050MB/s
ราคาค่อนข้างดี

ข้อมูลเพิ่มเติม: WD


2.Kingston SXS2000 4TB

4TB SSD External

Kingston SXS2000 จัดว่าเป็น External SSD ในกลุ่มพรีเมียม ที่ออกแบบมาสำหรับงานที่สำคัญ และการพกพาที่สะดวก ด้วยมิติตัวไดรฟ์ 69.54 x 32.58 x 13.5mm ที่ถือว่าใกล้เคียงกับกุญแจรีโมทรถยนต์ในแบบ Keyless ในปัจจุบัน น้ำหนักประมาณ 29 กรัมเท่านั้น วัสดุโครงสร้างโลหะ และมีชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติก ให้ทั้งความทนทาน และน้ำหนักที่เบา ซึ่งว่ากันตามมาตรฐาน IP55 ซึ่งมียางรองกันกระแทก เมื่อตกหล่นและกันละอองน้ำ รวมถึงกันฝุ่นได้ค่อนข้างดี ด้านในเป็น NAND Flash ที่ให้ความเร็วในการทำงานสูงถึง 2,000MB/s ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล จึงมั่นใจได้ว่าไฟล์ขนาดใหญ่ อย่างเช่น วีดีโองานระดับ 4K/ 8K จะถูกจัดเก็บ และเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว โดยให้การเชื่อมต่อผ่านทาง USB 3.2 Gen2 x2 ซึ่งหากคุณมีพอร์ตนี้อยู่ที่เครื่องคอมหรือโน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่ ก็จะใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ การรับประกันอยู่ที่ 5 ปี สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 15,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เล็กสุดในรุ่น เบา วามเร็วในการทำงานสูงถึง 2,000MB/s
ความทนทาน IP55

ข้อมูลเพิ่มเติม: Kingston


3.SANDISK Extreme 4TB

4TB SSD External

จัดว่าเป็น 4TB SSD External ที่เป็นตัวเริ่มต้นของใครหลายคนได้เลย และยังเป็นตัวใช้สำรองงาน โอนถ่ายข้อมูลแบบจริงจัง สำหรับงานที่ต้องให้ความสำคัญทั้งในด้านความเร็ว และความจุ กับระดับ 4TB จาก SANDISK รุ่นนี้ ช่วยให้การทำงานไหลลื่นขึ้นไม่น้อยเลย มาพร้อมดีไซน์ของสีดำตัดเส้นสายสีส้ม อันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ วัสดุภายนอกอะลูมิเนียมกับขอบยาง ที่ช่วยป้องกันแรงกระแทก และมีส่วนในการระบายความร้อนในการใช้งานได้ พอร์ตการเชื่อมต่อมาเป็น USB-C ในแบบ USB 3.2 Gen 2 เสียบใช้งานง่าย ให้มาตรฐาน IP55 เพิ่มความมั่นใจในการเคลื่อนย้าย กันฝุ่น ละอองน้ำได้ดีพอสมควร ให้ความเร็วที่ระดับ 1,050MB/s (Read) และ 1,000MB/s (Write) มิติอยู่ที่ประมาณ 102mm x 53mm x 10mm เท่านั้น ราคา 16,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย ความเร็วกานอ่านที่ระดับ 1,050MB/s
ความทนทาน IP55

ข้อมูลเพิ่มเติม: SANDISK


4.SANDISK Extreme Pro 4TB

4TB SSD External

อีกหนึ่งที่เข้ามาใน 4TB SSD External เป็นรุ่น Extreme Pro series นี้ ที่ขยายขีดความสามารถขึ้นมาจาก Extreme ทั้งในเรื่องความเร็ว ประสิทธิภาพและการเชื่อมต่อ โดยที่ใช้ในแบบ USB-C เช่นเดียวกัน แต่เป็นอินเทอร์เฟสแบบ USB 3.2 Gen 2 x2 นั่นก็ทำให้ความเร็วในการทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 2,000MB/s ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล เหมาะกับสายทำงานจริงจัง ที่ต้องจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ หรือไฟล์จำนวนมาก หรือบางครั้งอาจจะต้องพรีวิวงานผ่านทาง External Drive ได้อย่างรวดเร็ว หรือมีข้อมูลที่จะต้องอัพเดตในแต่ละวันบ่อย รวมถึงเหล่าเกมเมอร์ ที่อยากจะสำรองไฟล์ตัวโปรดเอาไว้ใช้ จะได้ไม่ต้องดาวน์โหลดกันบ่อยๆ บอดี้เป็นอะลูมิเนียม ที่ช่วยในการระบายความร้อนไปในตัว ดีไซน์ค่อนข้างทันสมัย เป็นสีเทาดำ ตัดด้วยเส้นสายสีส้ม ดูสปอร์ต พร้อมช่องสำหรับแขวนที่คล้องกุญแจได้ ขนาดประมาณ 110.26 x 57.34 x 10.22mm เรียกว่าแทบจะเท่ารีโมททีวีขนาดเล็กได้เลย โดยมีขอบเคสเป็นซิลิโคนโดยรอบ ทำให้ปกป้องได้ดียิ่งขึ้น กับมาตรฐาน IP55 กันน้ำและฝุ่น รวมถึงการหล่นกระแทก พร้อมการรับประกัน 5 ปี สนนราคาอยู่ที่ 19,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ความเร็วสูง 2,000MB/s
บอดี้พร้อมระบายความร้อนในตัว

ข้อมูลเพิ่มเติม: SANDISK


5.LaCie Rugged SSD 4TB

4TB SSD External

สำหรับค่าย Lacie เชื่อได้เลยว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จัก เพราะโด่งดังในตลาดด้าน Storage มายาวนาน โดยเฉพาะไดรฟ์ที่ให้การ Protect มาเป็นพิเศษ โดยในรุ่น RUGGED นี้ก็เช่นกัน ที่ออกแบบมาให้มีความทนทาน ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันฝุ่น ละอองน้ำ หล่นกระแทก บนมาตรฐาน IP67 ที่มากกว่าในรุ่นอื่นๆ หรือจะเป็นการเข้ารหัสไฟล์ โดยใช้ SSD ในแบบ NVMe ขนาดเล็ก ให้ความเร็วในการทำงานที่ 1,050MB/s (Read) เชื่อมต่อผ่านพอร์ตในแบบต่างๆ ได้ เช่น Thunderbolt 4, USB 3.2 Gen 2 ในแบบ USB-C เชื่อมต่อง่าย กับการออกแบบภายนอกที่ดูแปลกตา ในโทนสีส้มสดใส มิติอยู่ที่ประมาณ 97.9 x 64.9 x 17mm และน้ำหนักประมาณ 100 กรัมเท่านั้น การรับประกัน 5 ปี ราคาค่อนข้างจะโหดสักหน่อย เพราะอยู่ที่ราว 35,590 บาท แต่ก็มีความโดดเด่นในหลายด้าน จัดเป็น 4TB SSD External อีกรุ่นที่น่าสนใจ

จุดเด่น ข้อสังเกต
แข็งแรง ทนทานระดับ IP67 มิติค่อนข้างหนาเล็กน้อย

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lacie


Crucial X8 4TB

4TB SSD External

รุ่นสุดท้ายนี้ผมขอเป็นตัวเสริมใน 4TB SSD External เผื่อเป็นทางเลือกของเพื่อนๆ แต่เท่าที่เช็คยังไม่เห็นจำหน่ายในบ้านเรา เคาะราคาต่างประเทศอยู่ที่ราวๆ หมื่นกว่าบาท ก็ถือว่าทำราคาได้ดีทีเดียว และบอดี้ก็ยังออกแบบมาค่อนข้างดี ตัวเคสรับหน้าที่ในการระบายความร้อนไปในตัว กับโทนสีดำ ตัดด้วยโลโก้สีขาว กับมิติที่อาจจะใหญ่กว่ารายอื่นๆ อยู่เล็กน้อย 110 x 53 x 10mm ให้การเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟส USB 3.2 Gen 2 ในแบบ USB-C ให้ความเร็วในการอ่านข้อมูล 1,050MB/s ใช้งานง่าย เป็น SSD ที่เหมาะกับคนทำงาน เก็บข้อมูลบ่อย หรืออัพเดตข้อมูลเป็นประจำ และอยู่กับข้อมูลปริมาณมากๆ ซึ่งจะทำให้การโอนถ่ายข้อมูลทำได้รวดเร็ว ไม่ว่าจะทำงานเอกสาร หรือทำด้านงานวีดีโอและงานตัดต่อเป็นต้น โดยให้การรับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
รูปลักษณ์ทันสมัย ความเร็วในการอ่านข้อมูล 1,050MB/s

ข้อมูลเพิ่มเติม: Crucial


Conclusion

Model ความจุ มิติ อินเทอร์เฟส Sequential
Read
การรับประกัน (ปี) ราคา
1.WD MYPASSPORT 4TB 100.08 x 55.1 x 8.89mm USB 3.2 Gen 1 1,050MB/s 5 15,900
2.Kingston SXS2000 4TB 69.54 x 32.58 x 13.5mm USB 3.2 Gen 1 1,050MB/s 5 15,900
3.SANDISK Extreme 4TB 102 x 53 x 10mm USB 3.2 Gen 2 1,050MB/s 5 16,900
4.SANDISK Extreme Pro 4TB 110.26 x 57.34 x 10.22mm USB 3.2 Gen 2 2,000MB/s 5 19,900
5.LaCie Rugged 4TB 97.9 x 64.9 x 17mm USB 3.2 Gen 2 2,000MB/s 5 35,590
6.Crucial X8 4TB 110 x 53 x 10mm USB 3.2 Gen 2 1,050MB/s 3 249.99USD

ถ้ามองกันในภาพรวม 4TB SSD External ทั้ง 5-6 รุ่น ที่เรานำมาให้ชมกันในวันนี้ หลายรุ่นมีความน่าสนใจ สำหรับคนที่ทำงานจริงจัง และการใช้ในการบันทึกข้อมูลที่สำคัญ แม้ว่าความจุระด้บ 4TB อาจจะดูห่างไกลจากการใช้งานจริงของหลายคน แต่สำหรับบางท่าน ที่มีข้อมูลจำเป็นต้องใช้อยู่บ่อย อาจจะเป็นความจุที่กำลังพอเหมาะ ซึ่งถ้ามองว่าเยอะไป ยังมีตัวเลือก 1-2TB ให้ได้ใช้กัน ในเรื่องของประสิทธิภาพและความเร็ว SANDISK Extreme Pro ก็ดูน่าสนใจไม่น้อย เพราะราคาเพิ่มจากรุ่นปกติที่ให้ความเร็วระดับ 1,050MB/s ขึ้นมาประมาณ 3,000-4,000 บาท แต่ได้ความเร็วในการอ่านข้อมูลเพิ่มขึ้นมาเท่าตัว ส่วนคนที่ชอบความเล็กกระทัดรัด ตัวเลือกอย่าง Kingston SXS2000 ก็น่าสนใจ แต่ถ้าสายอึด ถึก ทน ก็มีตัวเลือกอย่าง LaCie Rugged ที่ทนกระแทก น้ำและฝุ่น พร้อมมาตรฐาน IP67 อุ่นใจได้ในทุกสภาวะ ส่วนถ้าเน้นราคาดี หาซื้อง่าย WD MYPASSPORT SSD ก็น่าใช้ไม่น้อยเลย ทั้งหมดนี้เป็น SSD รุ่นใหญ่ 4TB แบบต่อภายนอกที่นำมาฝากกันครับ สนใจรุ่นไหน ก็ไปจับจองกันได้เลย เวลานี้มีจำหน่ายเกือบครบทุกรุ่นแล้วครับ และถ้าคุณมองหา SSD ต่อภายในแบบ Internal สามารถเข้าไปชม ที่นี่ ได้เลย มีให้เลือกเพียบ

from:https://notebookspec.com/web/682248-5-4tb-ssd-external-2023

SSD แบบ QLC และ TLC ต่างกันอย่างไร แบบไหนที่ควรซื้อ

SSD ในปัจจุบันนั้นเริ่มมีราคาลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หลายๆ ท่านเริ่มซื้อแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาใช้งานมากขึ้น แต่จริงๆ แล้ว SSD ก็มีประเภทของมันอยู่ มาดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้างและแบบไหนเหมาะกับคุณ

SSD
SSD

จากบทความ RAM vs Storage ความเหมือนที่แตกต่าง ที่ทาง NBS ได้เคยยกให้ท่านได้เห็นความแตกต่างระหว่างหน่วยความจำกับแหล่งเก็บข้อมูลไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนั้นเรามีความก่ำกึ่งกันอยู่ระหว่างหน่วยความจำ(RAM) และแหล่งเก็บข้อมูบแบบ Solid State Drive (SSD) อยู่ซึ่งนั่นก็คือจริงๆ แล้วทั้งคู่นั้นใช้หน่วยความจำที่มาจากแหล่งเดียวกันในการเก็บข้อมูลซึ่งนั่นก็คือ NAND Flash ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจานหมุนแบบแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(HDD) ที่ต้องใช้เข็มในการอ่านข้อมูลอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามสิ่งที่อาจจะทำให้หลายๆ ท่านได้งงงวยกันต่อนั้นก็คือแล้วเจ้าหน่วยความจำ(RAM) และแหล่งเก็บข้อมูลแบบ Solid State Drive (SSD) ที่ใช้ NAND Flash เหมือนกันนั้นมันต่างกันอย่างไร ในวันนี้ทาง NBS เลยขอนำเอาหัวข้อนี้มาชี้แจงแถลงไขให้ทุกท่านได้รับทราบกัน จะเป็นเช่นไรนั้นไปติดตามกันได้เลย

Advertisementavw


หน่วยความจำแฟลช NAND คืออะไร

NAND Flash 001

หน่วยความจำแฟลช NAND เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบไม่ลบเลือนประเภทหนึ่งที่ไม่ต้องการพลังงานในการเก็บข้อมูล เป้าหมายสำคัญของการพัฒนาแฟลช NAND คือการลดต้นทุนต่อบิตและเพิ่มความจุชิปสูงสุด เพื่อให้หน่วยความจำแฟลชสามารถแข่งขันกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบแม่เหล็ก(เช่น ฮาร์ดดิสก์) NAND flash พบตลาดในอุปกรณ์ที่มีการอัปโหลดและแทนที่ไฟล์ขนาดใหญ่บ่อยครั้ง, เครื่องเล่น MP3, กล้องดิจิตอลและแฟลชไดรฟ์ USB ใช้เทคโนโลยี NAND

แฟลช NAND บันทึกข้อมูลเป็นบล็อกและอาศัยวงจรไฟฟ้าในการจัดเก็บข้อมูล เมื่อไฟฟ้าถูกถอดออกจากหน่วยความจำแฟลช NAND สารกึ่งตัวนำที่เป็นโลหะออกไซด์จะให้ประจุไฟฟ้าเพิ่มเติมแก่เซลล์หน่วยความจำ เพื่อเก็บข้อมูลไว้ โดยทั่วไปแล้วเซมิคอนดักเตอร์โลหะออกไซด์ที่ใช้คือโฟลตติ้งเกททรานซิสเตอร์ (FGT) FGT มีโครงสร้างคล้ายกับลอจิกเกต NAND

เซลล์หน่วยความจำ NAND สร้างขึ้นด้วยเกทสองประเภท เกทควบคุมและเกทลอย ประตูทั้งสองจะช่วยควบคุมการไหลของข้อมูล ในการโปรแกรมเซลล์เดียว ประจุไฟฟ้าจะถูกส่งไปยังประตูควบคุม

หน่วยความจำแฟลชเป็นชิปหน่วยความจำแบบอ่านอย่างเดียว (EEPROM) ที่ตั้งโปรแกรมได้แบบลบข้อมูลได้ทางอิเล็กทรอนิกส์ วงจรแฟลชสร้างตารางของคอลัมน์และแถว แต่ละจุดตัดกันของกริดจะมีทรานซิสเตอร์สองตัวคั่นด้วยชั้นออกไซด์บางๆ ทรานซิสเตอร์ตัวหนึ่งเรียกว่าโฟลตติ้งเกท และอีกตัวหนึ่งเรียกว่าเกทควบคุม ประตูควบคุมเชื่อมต่อประตูลอยกับแถวตามลำดับในกริด

ตราบใดที่ประตูควบคุมมีลิงค์นี้ เซลล์หน่วยความจำจะมีค่าดิจิตอลเป็น 1 ซึ่งหมายความว่าบิตนั้นจะถูกลบ หากต้องการเปลี่ยนเซลล์เป็นค่าดิจิตอล 0 — เพื่อตั้งโปรแกรมบิตอย่างมีประสิทธิภาพ — ต้องดำเนินการที่เรียกว่า Fowler-Nordheim tunneling หรือเรียกง่ายๆ ว่า tunneling

3D NAND Die with M2 SSD

ประเภททั่วไปของที่เก็บข้อมูลแฟลช NAND ได้แก่ SLC, MLC, TLC, QLC และ 3D NAND สิ่งที่แยกแต่ละประเภทคือจำนวนบิตต่อเซลล์ ยิ่งเก็บบิตในแต่ละเซลล์มากเท่าใด พื้นที่จัดเก็บแฟลช NAND ก็จะมีราคาถูกลง

  • แฟลชเซลล์ระดับเดียว (SLC): หนึ่งบิตต่อเซลล์ สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้สองสถานะ
  • แฟลชเซลล์หลายระดับ (MLC): สองบิตต่อเซลล์ สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้สี่สถานะ
  • แฟลชเซลล์ระดับสามระดับ (TLC): สามบิตต่อเซลล์ สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้แปดสถานะ
  • แฟลช Quad-level Cell (QLC): สี่บิตต่อเซลล์ 16 สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้

ในปัจจุบันนี้นั้นหน่วยความจำแฟลช NAND ที่ถูกนิยมเอามาใช้งานบนแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดคือ QLC และ TLC ด้วยสาเหตุที่ว่าหน่วยความจำแฟลช NAND ทั้ง 2 รูปแบบนี้นั้นมีประสิทธิภาพคุ้มค่ากับราคามากที่สุดในการที่จะนำเอามาผลิตเป็น SSD


หน่วยความจำแฟลช QLC NAND คืออะไร

หน่วยความจำแฟลชจัดเก็บข้อมูลในเซลล์หน่วยความจำแต่ละเซลล์ที่ทำจากทรานซิสเตอร์ฟิลด์เอฟเฟกต์โลหะออกไซด์และสารกึ่งตัวนำลอยเกท (MOSFET) ตามเนื้อผ้า แต่ละเซลล์มีสองสถานะที่เป็นไปได้คือหนึ่งหรือศูนย์ ตามระดับแรงดันไฟฟ้าหนึ่งระดับ SLC ใช้สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้สองสถานะนี้เพื่อเก็บข้อมูลบิตเดียว โดยค่า 1 คือเมื่อประจุไฟฟ้าใกล้หมดและเป็น 0 เมื่อประจุไฟฟ้าใกล้เต็ม

ในทางกลับกัน MLC SSD แบบสองบิตใช้ค่าหรือระดับของประจุที่เป็นไปได้สี่ค่าต่อเซลล์เพื่อเก็บข้อมูลมากกว่าหนึ่งบิต โดยกำหนดระดับประจุให้กับชุดค่าผสมของหนึ่งและศูนย์ทั้งหมดที่เป็นไปได้ดังต่อไปนี้

  • 11 เมื่อใกล้จะเต็ม 25%
  • 01 เมื่อใกล้จะเต็ม 50%
  • 00 เมื่อใกล้จะเต็ม 75%
  • 10 เมื่อใกล้เต็ม 100%

QLC SSD ขยายแนวคิดนี้ได้ง่ายๆ โดยใช้เกณฑ์แรงดันไฟฟ้าที่แตกต่างกัน 16 แบบเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ได้ถึงสี่ส่วนต่อเซลล์ เอาง่ายๆ เลยก็คือหน่วยความจำแฟลช QLC NAND เก็บข้อมูลสี่บิตต่อเซลล์ ทำให้สามารถเก็บค่าไบนารีได้ 16 ค่า ซึ่งหากเทียบกับ MLC แล้วนั้นก็จะสามารถหน่วยความจำแฟลช QLC NAND จะกำหนดระดับประจุให้กับชุดค่าผสมของหนึ่งและศูนย์ทั้งหมดที่เป็นไปได้ดังต่อไปนี้

  • 0011 เมื่อใกล้จะเต็ม 25%
  • 0001 เมื่อใกล้จะเต็ม 50%
  • 0000 เมื่อใกล้จะเต็ม 75%
  • 0010 เมื่อใกล้เต็ม 100%

QLC เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 และได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ อาจเป็นเพราะราคาที่ถูก นอกจากนี้ QLC SSD เหล่านี้ยังมีความจุที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ TLC, MLC หรือ SLC SSD ที่มีราคาใกล้เคียงกัน จึงทำให้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายสำหรับแอปพลิเคชันการใช้งานของผู้บริโภคส่วนใหญ่ในปัจจุบัน


หน่วยความจำแฟลช TLC NAND คืออะไร

micron 92 layer nand

หน่วยความจำแฟลช TLC NAND เก็บข้อมูลสามบิตต่อเซลล์ ทำให้สามารถเก็บค่าไบนารีได้เก้าค่า ยิ่งจำนวนบิตต่อเซลล์สูง ความหนาแน่นของหน่วยเก็บข้อมูลก็จะยิ่งสูงขึ้น และต้นทุนต่อบิตก็จะยิ่งต่ำลง ดังนั้น ในทางเทคนิคแล้ว TLC มีประสิทธิภาพต่ำกว่าในด้านความหนาแน่นของพื้นที่จัดเก็บและต้นทุนเมื่อเทียบกับ QLC

อย่างไรก็ตาม เซลล์ใน SSD มีรอบการอ่านและเขียนจำนวนจำกัดตลอดอายุการใช้งาน ดังนั้น หากคุณจัดเก็บบิตในเซลล์มากกว่า แต่ละเซลล์จะผ่านวงจรมากกว่า SSD ที่มีความหนาแน่นในการจัดเก็บน้อยกว่า ซึ่งหมายความว่าน่าจะมีความทนทานต่ำกว่าและประสิทธิภาพการอ่าน/เขียนช้ากว่า TLC SSD เล็กน้อย

ในปี 2021 TLC ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นใน SSD สำหรับผู้บริโภคทั้งหมด TLC NAND ใช้ในไดรฟ์ประสิทธิภาพสูงสำหรับเว็บโฮสติ้งเซิร์ฟเวอร์, พีซีสำหรับเล่นเกมและ SSD ระดับเริ่มต้นสำหรับการใช้งานทั่วไปของผู้บริโภค


ktc content solutions pc performance difference between slc mlc tlc 3d nand infographic th

QLC และ TLC SSD เป็นสองตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการจัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ให้ประโยชน์และการแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกัน QLC SSD ให้พื้นที่จัดเก็บมากขึ้นในราคาที่กำหนดได้ แต่ช้ากว่าและทนทานน้อยกว่า TLC SSD

TLC SSD มอบประสิทธิภาพที่เร็วกว่าและความทนทานที่มากกว่า แต่มีความหนาแน่นในการจัดเก็บข้อมูลที่ต่ำกว่าและมีราคาสูงกว่า เมื่อเลือกระหว่างทั้งสอง สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาความต้องการเฉพาะและงบประมาณของคุณเพื่อหา SSD ที่เหมาะกับคุณที่สุด


เปรียบเทียบความเร็วระหว่าง QLC SSD กับ TLC SSD

Samsung SSD backing up files on a MacBook

ประสิทธิภาพของ QLC และ TLC SSD อาจแตกต่างกันอย่างมากในแง่ของการเข้าถึงข้อมูลและความเร็วในการถ่ายโอน TLC SSD โดยทั่วไปมีความเร็วในการเข้าถึงและถ่ายโอนข้อมูลที่เร็วกว่า QLC SSD เนื่องจากประสิทธิภาพที่เร็วกว่าของ TLC NAND

ตัวอย่างเช่น TLC SSD อาจมีความเร็วในการอ่านและเขียน 550 MB/s และ 520 MB/s ตามลำดับ ในขณะที่ QLC SSD อาจมีความเร็วในการอ่านและเขียน 500 MB/s และ 450 MB/s ตามลำดับ

ความแตกต่างของความเร็วระหว่าง QLC และ TLC SSD นั้นไม่สำคัญเสมอไปสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้มันเป็นไดรฟ์จัดเก็บสำรองและไม่ใช่เป็นไดรฟ์สำหรับบู๊ตหลัก ในกรณีเหล่านี้ ความเร็วที่เพิ่มขึ้นของ TLC SSD อาจไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตามคุณควรทราบด้วยว่าความเร็วของ SSD ได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่นๆ เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เฟซและปริมาณงานปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว ทั้ง QLC และ TLC SSD เหมาะสำหรับกรณีการใช้งานส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน แต่ TLC SSD มอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเล็กน้อยในบางสถานการณ์ที่มีความต้องการสูง


เปรียบเทียบความจุระหว่าง QLC SSD กับ TLC SSD

sandisk portable ssd

เมื่อพูดถึงความจุ QLC และ TLC SSD ให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน QLC SSD มีความหนาแน่นในการจัดเก็บข้อมูลสูงกว่า TLC SSD ซึ่งหมายความว่าจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าในพื้นที่ที่กำหนด สิ่งนี้ทำให้ QLC SSD เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับช่างภาพ, นักตัดต่อวิดีโอหรือผู้ใช้มืออาชีพที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลจำนวนมาก

อย่างไรก็ตามหากคุณใช้ SSD เพื่อจัดเก็บโปรเจ็กต์สำคัญหรือทำงานกับไฟล์ขนาดใหญ่จำนวนมาก คุณอาจต้องการความน่าเชื่อถือที่ดีกว่าและความเร็วที่เร็วกว่าเล็กน้อยของ TLC SSD


เปรียบเทียบราคาระหว่าง QLC SSD กับ TLC SSD

tlc ssd product listings

โดยทั่วไป QLC SSD จะมีราคาต่ำกว่า TLC SSD เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าของ QLC NAND อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของราคาระหว่าง SSD ทั้งสองประเภทลดลงเนื่องจาก TLC NAND แพร่หลายมากขึ้น เป็นผลให้ช่องว่างราคาระหว่าง QLC และ TLC SSD ไม่กว้างเท่าที่เคยเป็นมา

เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาของ SSD ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ยี่ห้อ ความจุ ฟอร์มแฟคเตอร์ และตัวแปรอื่นๆ ที่คุณควรพิจารณาก่อนซื้อ SSD หากต้องการรับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับ SSD ให้เลือกซื้อและเปรียบเทียบราคาจากผู้ค้าปลีกหลายราย โปรดจำไว้ว่าตัวเลือกที่ถูกที่สุดอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดเสมอไป เนื่องจาก SSD ที่มีราคาถูกกว่าอาจมีประสิทธิภาพหรือความทนทานต่ำกว่า

Capacity TLC SSD QLC SSD
500GB 1,970 – 2,630 บาท 1,640 – 2,300 บาท
1TB 2,630 – 3,950 บาท 2,300 – 3,285 บาท
2TB 5,255 – 8,540 บาท 4,600 – 6,570 บาท
ค่าประมาณเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อ, รุ่นและผู้ค้าปลีก

เปรียบเทียบความทนทานระหว่าง QLC SSD กับ TLC SSD

solid state drive

ความทนทานของ SSD จะแตกต่างกันไปตามความทนทานหรือจำนวนครั้งที่สามารถเขียนและลบข้อมูลออกจากไดรฟ์ได้ QLC NAND มีความทนทานต่ำกว่า TLC NAND ซึ่งหมายความว่า QLC SSD มีความทนทานน้อยกว่าและมีอายุการใช้งานสั้นกว่า นี่อาจเป็นข้อกังวลสำหรับผู้ที่ใช้ SSD เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญและต้องการไดรฟ์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน

ในทางตรงกันข้าม TLC NAND มีความทนทานสูงกว่า QLC NAND ซึ่งแปลว่ามีความทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าสำหรับ TLC SSD สิ่งนี้ทำให้ TLC SSD เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการไดรฟ์ที่สามารถทนต่อเวิร์กโหลดจำนวนมากและมีอายุการใช้งานยาวนาน

เมื่อเลือกระหว่าง QLC และ TLC SSD คุณต้องคำนึงถึงความต้องการด้านความทนทาน TLC SSD อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมหากคุณต้องการไดรฟ์ที่สามารถรองรับเวิร์กโหลดจำนวนมากและมีอายุการใช้งานยาวนาน ในทางกลับกัน หากคุณยอมสละความทนทานในราคาที่ถูกลง QLC SSD อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า


ตัวเลือกไหนดีกว่าสำหรับคุณ

SSD ประเภทใดที่เหมาะกับคุณ QLC หรือ TLC คำตอบขึ้นอยู่กับความต้องการและลำดับความสำคัญของคุณ หากคุณต้องการประสิทธิภาพที่รวดเร็วและยินดีจ่ายเพิ่มเล็กน้อย TLC SSD น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

ในทางกลับกัน หากคุณต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจำนวนมากและยินดีลดความเร็วลงในราคาที่ถูกลง QLC SSD อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ท้ายที่สุด ตัวเลือกระหว่าง QLC และ TLC SSD จะขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณเฉพาะของคุณ แต่ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหาทางออกที่ดีที่สุดของคุณคือซื้อ SSD แบบ TLC (หรือแม้แต่ MLC หรือ SLC)

ที่มา : makeuseof, purestorage

from:https://notebookspec.com/web/682755-qlc-vs-tlc-ssd-what-is-faster-and-what-should-you-buy