คลังเก็บป้ายกำกับ: IPHONE_14_PRO_MAX

ผุดภาพเคส iPhone 14 สีใหม่ คาดเป็น “Spring Collection” เปิดตัวเปิดขายเร็ว ๆ นี้

Majin Bu เผยภาพเคส iPhone 14 สีใหม่ 2 สีอย่าง Deep Viol […] More

from:https://www.iphonemod.net/iphone-14-spring-collection-cases-leak.html

เมสซี่สั่งทำ iPhone 14 Pro ทองคำ 35 เครื่อง แจกเพื่อนทีมอาร์เจนฯ มูลค่าร่วม 7.2 ล้านบาท

ระดับเมสซี่ไม่มีคำว่าแพง ฉลองทีมอาร์เจนตินาคว้าแชมป์โลก สั่งทำพิเศษมือถือ iPhone 14 Pro ทองคำทั้งหมด 35 เครื่องแจกให้เพื่อน ๆ และสตาฟไปใช้กัน ใช้แค่เศษเงินก้นกระเป๋าราว 7.2 ล้านบาทเท่านั้น ตัวไอโฟนที่ถูกเคลือบทองก็ไม่ได้ธรรมดา แต่ได้สลักลายตราประจำทีม และชื่อกับเลขของแต่ละคนไว้

หลังอาร์เจนตินาเอาชนะฝรั่งเศส คว้าถ้วย FIFA World Cup 2022 ก็แน่นอนว่าต้องฉลองกันซะหน่อย ในฐานะแข้งอาวุโส ‘ลิโอเนล เมสซี่’ ก็ไม่เคยปล่อยให้ใครต้องผิดหวัง ได้ไปสั่งทำมือถือ iPhone 14 Pro รุ่นพิเศษ

ภายนอกเลี่ยมทองคำแท้ 24 กะรัตแบบจัดเต็ม แต่ละเครื่องสลักชื่อและเลขเอาไว้ พร้อมโลโก้ทีมอาร์เจนตินาใหญ่ ๆ ตรงกลาง แจกเพื่อนนักเตะ โค้ช และสตาฟในทีม รวมแล้ว 35 เครื่อง ใช้เงินไป 175,000 ปอนด์สเตอร์ลิง คิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,200,000 บาท

 

ที่มา : latestly, idesigngold

from:https://droidsans.com/messi-order-gold-iphone-14-for-team/

Advertisement

iPhone 14 Pro Max จอเบิร์น เป็นรอย Dynamic Island และ Always-on Display

เรือธงล่าสุดอย่าง iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อท้ายปีที่แล้ว ตอนนี้มีรายงานว่าเกิดปัญหาจอเบิร์น  เป็นผลจากการเปิดใช้ฟีเจอร์ใหม่ Always-on Display และ Dynamic Island ขึ้นเป็นลายค้างบนหน้าจอ ซึ่งก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับจอเทคโนโลยี OLED โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแสดงผลทรงเดิมค้างไว้นาน ๆ

ผู้ใช้ในจีนเจอปัญหาจอเบิร์นใน iPhone 14 Pro Max เวลาเปิดหน้าจอที่เป็นสีเดียวกัน เห็นเป็นรอยภาพพื้นหลัง และตัวเลขนาฬิกาพร้อมข้อมูลค้างอยู่บนจอ

และฟีเจอร์ใหม่ Dynamic Island ที่อยู่ตรงกล้องหน้าก็ไม่รอด เห็นแถบสีดำจาง ๆ อยู่ข้าง ๆ แบบนี้

นอกจากนี้ผู้ใช้รายอื่นก็เคยเจอปัญหานี้กันมาบ้าง บางคนบอกว่าเพิ่งใช้มา 3 เดือนก็เป็นรอยเบิร์นซะแล้ว ทั้งนี้ บางคนบอกว่าสามารถไปเปลี่ยนจอได้หากอยู่ในประกัน Apple Care+

แต่ตอนนี้ Apple ยังไม่ได้ออกมายืนยันปัญหาหรือชี้แจงอะไร และก็ยังมีรายงานเกี่ยวกับอาการจอเบิร์น iPhone 14 Pro ไม่มากเท่าไหร่ คงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ลุกลามไปถึงผู้ใช้รายอื่นมากกว่านี้หรือเปล่า ส่วนใครที่กลัวจะเปิดอาการแบบนี้ แนะนำให้ไปปรับ Always-on Display ให้เป็นสีดำสนิท (แม้จะเหลือข้อมูลนาฬิกาอยู่) หรือปรับภาพพื้นหลังบ่อย ๆ จะได้ไม่เป็นรอยค้างครับ

 

ที่มา : gizchina, mydrivers

from:https://droidsans.com/iphone-14-pro-max-burn-in-screen/

HUAWEI กำลังพัฒนาฟีเจอร์ Dynamic Island คล้ายใน iPhone 14 Pro

ดีไซน์มือถือที่ใหญ่มาก ๆ ของปีที่แล้ว ดูเหมือนจะเป็น Dynamic Island ในมือถือ iPhone 14 Pro / Pro Max ที่ฉีกทุกตำราการวางกล้องหน้าให้เนียน ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์ถมดำแล้วใช้แอนิเมชันมาทำให้ดูล้ำขึ้น และเหมือนว่า Apple จะนำเทรนด์ด้านนี้ไปสู่ผู้ผลิตมือถือค่ายอื่นอย่าง HUAWEI ที่กำลังพัฒนาฟีเจอร์คล้าย ๆ กันอยู่

HUAWEI นำ Dynamic Island มาสู่แอนดรอยด์

ที่ผ่านมามือถือรุ่น Huawei Nova ก็จะมีดีไซน์กล้องหน้าแบบเจาะรูไว้ตรงกลาง หรือเจาะเป็นทรงแคปซูลไว้ด้านซ้ายบน ตามที่เห็นในรุ่น HUAWEI nova 10 Pro / nova 10

แต่ต่อไปนี้คงเข้าสู่ยุคดีไซน์กล้องหน้าใหม่ จากภาพที่หลุดออกมา คาดว่า Huawei Nova 11 Series จะมีดีไซน์กล้องหน้าคล้าย Dynamic Island ดังนั้นตรงด้านบนจอก็จะมีรูเจาะกล้อง พร้อมถมดำให้เป็นทรงแคปซูลด้วยซอฟต์แวร์  เหมือนใน iPhone 14 Pro และก็คงมีแอนิเมชันรองรับการแจ้งเตือนต่าง ๆ เช่นกัน

ฟีเจอร์ Dynamic Island ใน iPhone 14 Pro เป็นเรื่องฮือฮาพอสมควรหลังมีการเผยโฉมออกมา พร้อมมีการพยายามทำฟีเจอร์เลียนแบบมาแล้วด้วยแอปมือถือแอนดรอยด์ Dynamic Spot แถมทาง Xiaomi ก็เคยทำทีถามผู้ใช้ว่าอยากได้ไดนามิกไอแลนด์ด้วยมั้ย


ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ Huawei Nova 11 Series ออกมาบ้างเลย แต่คาดว่าจะใช้ระบบ HarmonyOS พร้อมระบบกล้อง XMAGE สุดล้ำของเค้าเช่นเคย

ที่มา : gizmochina

from:https://droidsans.com/huawei-to-feature-dynamic-island-like-iphone/

Apple เผยรายได้จากมือถือไตรมาส 1 ปี 2023 ลดลงจากปีก่อน เหตุเพราะ iPhone 14 Pro ผลิตไม่ทัน

วันนี้ทาง Apple ได้เปิดเผยตัวเลขรายได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งตัวเลขในกลุ่มธุรกิจมือถือ iPhone ทำให้นักวิเคราะห์ผิดหวังจากรายได้ที่ลดลงไป และล่าสุด Tim Cook ซีอีโอคนดังก็ได้ออกมายืนยันกับนักวิเคราะห์แล้วว่า สาเหตุที่ทำให้ตัวเลขรายได้รวมของแผนก iPhone ลดลงเป็นเพราะ iPhone 14 Pro ขาดตลาดหนัก ผลิตไม่ทันขาย

สิ่งที่ Tim Cook ออกมายืนยันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อช่วงปีที่แล้วมือถือซีรีส์ท็อปสุด และยอดนิยมที่สุดอย่าง iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เกิดขาดตลาดอย่างหนักในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ชาวตะวันตกมักจะออกมาจับจ่ายซื้อของขวัญ จนส่งกระทบทำให้รายได้รวมของไตรมาส 1 ปี 2023 ลดลงไปกว่าหมื่นล้านเหรียญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว

  • รายได้รวมจาก iPhone ไตรมาส 1 ปี 2023 : $65.78 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • รายได้รวมจาก iPhone ไตรมาส 1 ปี 2022: $71.63 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

iPhone 14 Pro Series

จากตัวเลขที่กล่าวมาด้านบน นักวิเคราะห์คาดว่า iPhone 14 Pro แค่รุ่นเดียวส่งผลให้บริษัทมีรายได้รวมที่ลดลงกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้นักวิเคราะห์ยังได้ถาม Tim Cook ว่าปัญหาการขาดแคลน iPhone 14 Pro ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อ, ไป iPhone ซื้อรุ่นอื่น หรือยกเลิกการซื้อด้วยหรือไม่ Tim Cook ก็ได้ตอบว่าเขายังไม่มีข้อมูลที่จะตอบคำถามเหล่านี้ พร้อมเสริมว่าถึงแม้ว่าจะมีปัญหาขาดแคลนตัวเครื่องเกิดขึ้น แต่ยอดขายทั่วโลกยังคงเติบโตเรื่อย ๆ

ทั้งนี้ตัวเลขรายได้โดยรวมไตรมาสแรกปี 2023 ของ Apple อยู่ที่ $117.15 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตกลงกว่า 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และมีผลกำไรอยู่ที่ $29.99 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ น้อยลงกว่า 13% ในตอนนี้สถานการณ์ขาดแคลน iPhone 14 Pro ได้กลับมาปกติเป็นที่เรียบร้อย คาดว่าในไตรมาสหน้าอาจจะได้เห็นตัวเลขที่ดีขึ้นบ้าง

 

ที่มา: 9to5mac

from:https://droidsans.com/apple-q1-2023-iphone-revenue-decline/

เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S23, S23+, S23 Ultra กับ iPhone 14 Pro Series ใครจะชนะในศึกครั้งนี้

การกลับมาของ Samsung Galaxy S23 / S23+ / S23 Ultra ในครั้งนี้ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ เพราะเค้าได้ยกเครื่องสเปคใหม่แบบจัดเต็ม ในดีไซน์เดิมที่เราคุ้นเคย ในเมื่อระดับท็อปจากฝั่งแอนดรอยด์เขาเปิดตัวมากันขนาดนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะต้องมาเปรียบเทียบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง Apple iPhone 14 Pro Series เราก็จะมาเปรียบเทียบกันชัด ๆ หมัดต่อหมัดว่า มือถือเรือธงจาก 2 ค่ายตัวท็อปจะมีจุดที่แตกต่างกันอย่างไร เผื่อใครที่ยังลังเล จะได้ตัดสินใจกันถูกนั่นเอง

เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S23 กับ iPhone 14 Pro 

Galaxy S23 Series vs iPhone 14 Pro Series

การกลับมาในครั้งนี้ของมือถือเรือธงรุ่นเริ่มต้นอย่าง Samsung S23 ยังมากับสเปคโดยรวมที่เรียกได้ว่า ยังคง “เหนือกว่า” iPhone 14 รุ่นมาตรฐานในหลายแง่มุม จนดูเหมือนไม่แฟร์หากต้องมาเทียบกัน เราจึงตัดสินใจเลือก iPhone 14 Pro มาเทียบกันแบบจัง ๆ ว่า ในระดับราคาที่ห่างกันหนึ่งหมื่นบาท Samsung Galaxy S23 จะทำได้ดีกว่ายังไงบ้าง  

จอแสดงผล

Samsung Galaxy S23 Screen
iPhone 14 Pro Screen

ในเรื่องของจอแสดงผล Samsung Galaxy S23 มาพร้อมกับจอ Dynamic AMOLED 2X ที่แพ้ให้กับ OLED Super Retina XDR อย่างราบคาบทั้งในเรื่องของความละเอียด ที่ถึงมาว่าจะมาในขนาดจอเดียวกัน แต่พาเนลจากฝั่ง Samsung ทำความละเอียดได้น้อยกว่านิดหน่อย แถมยังดันรีเฟรชเรทลงต่ำสุดได้เพียง 48 – 120Hz ต่างจาก iPhone 14 Pro ที่ดันไปได้ต่ำสุด ๆ ตั้งแต่ 1 – 120Hz

กล้องถ่ายภาพ และวิดีโอ

Samsung-Galaxy-S23-Camera
iPhone 14 Pro Camera

หากเทียบกันในด้านสเปคหน้ากระดาษแล้ว Samsung Galaxy S23 และ iPhone 14 Pro เรียกได้สูสีกันอยู่พอสมควร เพราะกล้องของทั้งสองรุ่นมีด้วยกันทั้งหมด 3 ตัว ซึ่งกล้องทั้ง 3 เลนส์กันมีจุดดีจุดด้อยที่ต่างกันออกไป

Samsung-Galaxy-S23-Camera 2

Samsung Galaxy S23 มาพร้อมกับกล้องหลักที่ความละเอียดสูงกว่าอยู่ที่ 50MP ซึ่งใน iPhone 14 Pro ได้แค่เพียง 48 ล้านพิกเซล แต่ iPhone 14 Pro มาเหนือกว่าในส่วนของกล้อง Telephoto ที่มาพร้อมกับความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ส่วน Samsung S23 ให้มาแค่ 10MP เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าจะละเอียดน้อยกว่า แต่รูรับแสงกว้างกว่า ซึ่งอาจจะชดเชยข้อด้อยตรงนี้ได้

นอกจากนี้ ในเรื่องของงานวิดีโอ Samsung Galaxy S23 ยังถือไพ่ที่ยังคงเหนือกว่าแบบเห็น ๆ ในเรื่องของความละเอียด เพราะในตอนนี้ Galaxy S23 สามารถถ่ายวิดีโอได้สูงสุดที่ความละเอียด 8K@30FPS แล้ว ในขณะที่ iPhone 14 Pro ยังคงถ่ายได้แค่เพียง 4K@60FPS เหมือนเดิม แต่อย่างไรก็ตาม ฟากของ iPhone 14 Pro มีโหมด ProRes ถ่ายวิดีโอคุณภาพระดับสูงมากลบข้อเสียในข้อนี้ไปได้แบบฉิวเฉียด

ส่วนในด้านของกล้องหน้า Galaxy S23 ได้ขยับสเปคกล้องหน้าให้มีความละเอียดกว่ารุ่นก่อนจาก 10MP เป็น 12MP ให้เทียบเท่ากับ iPhone 14 Series เป็นที่เรียบร้อย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว กล้อง 12MP ของฝั่ง Samsung มีค่ารูรับแสงที่แคบกว่า อาจทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยออกมาด้อยกว่านิดหน่อย

แต่อย่างไรก็ตาม เราจะดูกันที่สเปคหน้ากระดาษไม่ได้ เพราะทั้งสองค่ายต่างใช้ซอฟต์แวร์ปรับจูนให้ภาพถ่ายออกมาในสไตล์ของแบรนด์นั้น ๆ ต้องมารอดูตัวอย่างภาพของจริงก่อน ว่าชอบกล้องในสไตล์ไหนมากกว่ากัน

ประสิทธิภาพ

Samsung-Galaxy-S23-Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy

Samsung S23 มีภาษีที่ดีกว่าในด้านชิปประมวลผลที่ใหม่กว่า อย่าง Snapdragon 8 Gen 2 ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ แถมยังเป็นชิปตัวท็อปรุ่นพิเศษที่ทาง Samusng จับมือกับ Qualcomm ร่วมกันปรับจูนประสิทธิภาพให้มีความแรงจัดเต็มยิ่งกว่าเดิม ในฟากของ iPhone 14 Pro ก็มาพร้อมกับชิป A16 Bionic ที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของมือถือยุคนี้

แต่เอาเข้าจริงประสิทธิภาพของชิปทั้งสองรุ่นอาจจะห่างกันไม่ค่อยมาก จะเลือกฝั่งไหนก็ยังคงเล่นเกมกราฟิกโหดได้ลื่น ๆ อยู่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy ที่ถูกปรับให้แรงกว่าเดิมจะทำความแรงแซง Apple A16 Bionic ได้หรือไม่ ต้องมารอลุ้นผลทดสอบกันเร็ว ๆ นี้

Apple A16 Bionic

สิ่งที่ต่างกันจนอาจส่งผลต่อเรื่องประสิทธิภาพ เห็นจะเป็นเรื่องของ RAM ที่ทางฝั่ง Samsung ให้มาที่ 8GB ส่วน iPhone 14 Pro มีเพียงแค่ 6GB ซึ่งอาจทำให้ Galaxy S23 และ Galaxy S23+ ทำได้ดีกว่าในเรื่อง Multi-Tasking สามารถสลับแอปไปมาได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไม่ต้องมาคอยรอโหลดเข้าแอปใหม่

แบตเตอรี่และการชาร์จ

Battery

ทั้งสองรุ่นล่าสุดนี้ ทาง Samsung ได้เพิ่มความจุของแบตเตอรี่ให้นิดหน่อย ทำให้ Galaxy S23 มีความจุมากขึ้นอยู่ที่ 3,900 mAh กลับกันในฟากของ Apple ไม่เคยออกมาเผยตัวเลขแบตเตอรี่อย่างเป็นทางการ แต่ถ้าอ้างอิงจาก GSMArena แล้ว พบว่าตัวเลขแบตเตอรี่ของ iPhone 14 Pro ดันน้อยกว่า Galaxy S23 ที่ 700 mAh (3,200 mAh)  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวเลขแบตเตอรี่ไม่ได้เป็นมาตรกำหนดว่าจะอึดหรือไม่อึดเสมอไป ต้องวัดกันอีกทีจากประสิทธิภาพชิปของ Snapdragon 8 Gen 2 for Galaxy ว่าจะซดแบตกันสักแค่ไหน

ด้านการชาร์จนั้น Galaxy S23 ทำความเร็วการชาร์จผ่านสายได้ดีกว่าที่ 25W (iPhone 14 Pro 20W) ส่วนการชาร์จไร้สายนั้นทั้ง Galaxy S23 และ iPhone 14 Pro Series ทำได้สูงสุด 15W เท่ากัน

สเปค Galaxy S23 iPhone 14 Pro
 
หน้าจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X OLED Super Retina XDR
ขนาด 6.1 นิ้ว 6.1 นิ้ว
ความละเอียด 2340 x 1080 FHD+  2532 x 1170
รีเฟรชเรท 48 – 120Hz 1- 120Hz
ความสว่างหน้าจอ ยังไม่มีรายละเอียด สูงสุด 2,000 nits
กระจกนิรภัย Gorilla Glass Victus 2 Ceramic Shield
CPU Snapdragon 8 Gen 2
for Galaxy
A16 Bionic
RAM LPDDR5 8GB 6GB
ความจุ UFS 3.1 128GB / UFS 4.0 256GB 128GB / 256GB / 512GB / 1TB
กล้องหลัง กล้องหลัง 3 ตัว

Wide : 50MP Dual Pixel AF, OIS, (f/1.8)
Ultrawide : 12MP มุมกว้าง 120 องศา (f/2.2)
Telephoto : 10MP, OIS, Optical Zoom 3x (f/2.4)
กล้องหลัง 3 ตัว

Wide : 48MP (ƒ/1.8), dual pixel PDAF, OIS

Ultrawide : 12MP (ƒ/2.2), 120°, dual pixel PDAF

Telephoto : 12MP (ƒ/2.8),  PDAF, OIS, 3x optical zoom

กล้องหน้า 12MP (f/2.2) 12MP (f/1.9)
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Ultrasonic สแกนนิ้วใต้จอ ไม่มี
สแกนใบหน้า มี Face ID
สแกนใบหน้าแบบ 3D
การเชื่อมต่อ 5G / Wi-Fi 6E / Bluetooth 5.3 / NFC / USB Type-C 5G / Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC (เฉพาะ Apple Wallet) / Ultra-Wideband  / Lightning
ลำโพง ลำโพงคู่สเตอริโอ ลำโพงคู่สเตอริโอ
มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 IP68
แบตเตอรี่ 3,900 mAh 3,200 mAh
ชาร์จไว 25W 20W
ชาร์จไร้สาย 15W 7.5W / MagSafe 15 W
ระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย One UI 5.1 iOS 16
ขนาด / น้ำหนัก 70.9 x 146.3 x 7.6 มม.
167g
71.5 x 147.5 x 7.9 มม.

206 กรัม

ราคาเริ่มต้น 30,900 บาท 41,900 บาท

 

เปรียบเทียบ Samsung Galaxy S23+ / S23 Ultra กับ iPhone 14 Pro Max

Galaxy S23 Series vs iPhone 14 Pro Series 2

การแข่งขันระหว่าง Samsung Galaxy S23+, Galaxy S23 Ultra และ iPhone 14 Pro Max เรียกได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมาก ๆ เลยทีเดียว เพราะทั้ง 3 รุ่นนี้ต่างมาพร้อมกับจอที่ใหญ่ และสเปคที่จัดเต็มแบบไม่มีใครยอมใคร ถึงแม้จะมีจุดด้อยบางอย่าง แต่อีกฝ่ายก็พร้อมที่จะเอาสเปคด้านอื่นมาเข้าสู้ ส่วนจะมีอะไรน่าสนใจบ้างเรามาดูกัน

จอแสดงผล

Samsung-Galaxy-S23 Plus Screen

โดยรวมแล้วนอกจาก Samsung S23+ จะมีจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากรุ่นมาตรฐานจาก 6.1 นิ้ว เป็น 6.6 นิ้ว แต่สเปคในด้านความละเอียด และความสว่างต่าง ๆ ยังคงเหมือนกันทุกอย่าง ซึ่งนี่เป็นข้อเสียเปรียบให้กับ iPhone 14 Pro Max อย่างชัดเจนในทุก ๆ ด้าน เพราะรุ่นคู่แข่งมาพร้อมกับจอที่ใหญ่กว่า ละเอียดกว่า แถมยังมีรีเฟรชเรทที่ดีกว่า ทำให้ในรอบนี้ Samsung S23+ แพ้ iPhone 14 Pro Max แบบขาดลอย

 

ส่วน Galaxy S23 Ultra ถือว่ามาเหนือในด้านของความละเอียดของจอภาพ เพราะเค้าให้ความละเอียดมาถึง 2K (QHD+) ต่างจาก iPhone 14 Pro Max ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวท็อปที่สุดแต่ก็ยังให้จอความละเอียดมาแค่ FHD+ ตามมาตรฐานเท่านั้น 

 

นอกจากนี้แล้ว ขนาดของจอแสดงผลของ Samsung S23 Ultra ยังใหญ่กว่า iPhone 14 Pro Max รุ่นท็อปสุดด้วย (S23U 6.8 นิ้ว / iPhone 14 Pro Max 6.7 นิ้ว) แต่ถึงแม้ว่าจอของฝั่ง Samsung จะใหญ่กว่า ละเอียดกว่า แต่ทาง Apple ก็ชดเชยมาด้วยจอที่สว่างสูงสุด 2,000 nits

 

กล้องถ่ายภาพและวิดีโอ

Samsung S23 Ultra เปิดศักราชใหม่ด้วยการยกระดับการถ่ายภาพในที่แสงน้อยให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้ปรับปรุงการซูมแบบดิจิตอล 100 เท่าให้นิ่งในระดับที่ดีจนน่าขนลุก ซึ่งนอกจากจะเด่นในด้านฟีเจอร์แล้ว ด้านฮาร์ดแวร์ก็ถือว่ายังได้เปรียบ iPhone 14 Pro Max ที่เพิ่งอัปเกรดกล้องหลังจาก 12MP เป็น 48M ด้วย 

 

ที่ได้เปรียบกว่าเป็นเพราะกล้องหลังใน Galaxy S23 Ultra ได้มีการปรับปรุงอัปเกรดเซนเซอร์กล้องหลังใหม่ ที่มีความละเอียดโคตรสูง 200MP พร้อมอัปเกรดเซนเซอร์อัลตราไวด์เป็นเซนเซอร์รุ่นที่ใหม่กว่าอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีกล้อง Telephoto 2 ตัว มากกว่า iPhone 14 Pro Max ที่มีเพียงแค่ 1 ตัวเท่านั้น ทำให้การถ่ายภาพแบบซูมไกลนั้นทำได้ไกลกว่า และดีกว่ามาก ๆ

 

กล้องหลังของ Samsung S23+ ยังคงมีสเปคที่เหมือนกับรุ่นมาตรฐานทุกประการ ซึ่งเมื่อเทียบกับ iPhone 14 Pro Max ก็ถือว่าแลกกันไปคนละหมัด สองหมัด แต่ถึงอย่างนั้น iPhone 14 Pro Max ก็ถือว่ายังแพ้ Samsung Galaxy S23+ แบบขาดลอยในเรื่องอของการซูม เพราะ S23+ ซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุดถึง 30 เท่า โดยที่แทบจะไม่สั่น ในขณะที่ iPhone 14 Pro Max ซูมได้สูงสุดเพียง 15 เท่า แถมตอนถ่ายยังสั่นเป็นเจ้าเข้าอีกด้วย

 

ส่วนสเปคกล้องหน้าของ Samsung Galaxy S23 Ultra นั้น ใช้เซนเซอร์เดียวกับรุ่นน้องทั้ง 2 รุ่น ถึงแม้ว่าในสองรุ่นน้องจะเรียกว่าเป็นการอัปเกรด แต่ในรุ่นท็อปถือเป็นการดาวน์เกรดลดสเปคจากกล้อง 48MP เหลือเพียง 12MP ทำให้ครั้งนี้จากที่กล้องหน้าของ S22 Ultra ที่เคยเหนือกว่า iPhone 14 Pro Max ในรุ่นนี้กลับกลายเป็นจุดที่ด้อยกว่าเสียอย่างนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ขอปักธงว่าคุณภาพของรูปถ่ายของใครด้อยกว่าใคร ต้องมารอดูกันว่า คุณภาพรูปถ่ายจากกล้องหน้าของรุ่นใดจะทำได้ดีกว่ากัน

 

ในเรื่องของงานวิดีโอนั้น iPhone 14 Pro Max เก่งกว่าในเรื่องของฟีเจอร์พิเศษระดับมืออาชีพอย่าง ProRes ที่สามารถถ่ายวิดีโอได้แบบเต็มคุณภาพ ลดการบีบอัด ทำให้ได้ไฟล์วิดีโอแบบ RAW ง่ายต่อการปรับสีในโปรแกรมตัดต่อ แต่อย่างไรก็ตาม ความสามารถนี้ก็จำกัดอยู่เพียงแค่ความละเอียด 4K@30FPS เท่านั้น

 

กลับกันถึงแม้ว่า Samsung Galaxy S23+ และ Samsung S23 Ultra จะไม่สามารถถ่ายวิดีโอแบบไฟล์ RAW ได้ แต่ก็มีการทดแทนด้วยความสามารถในการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 8K@30FPS ซึ่งพัฒนาจากรุ่นก่อน ที่ทำไว้ได้สูงสุด 8K@24FPS ส่วนคุณภาพจะสู้ได้หรือไม่ได้ ต้องรอติดตามผลทดสอบกล้องกันอีกทีเร็ว ๆ นี้

 

ประสิทธิภาพ

iPhone 14 Pro Max มาพร้อมกับชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดจากฝั่ง Apple อย่าง A16 Bionic ซึ่งถือเป็นชิปจากฝั่งมือถือที่แรงที่สุดเป็นอันดับ 1 ส่วน Snapdragon 8 Gen 2 ได้ภาษีที่ดีกว่านิดหน่อยจาก GPU ที่แรงกว่า แต่โดยรวมแล้วยังตามหลังกันไม่มาก แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าชิป Snapdragon 8 Gen 2 ที่มากับ Samsung Galaxy S23+ และ S23 Ultra เป็นชิปรุ่นพิเศษที่มีการปรับแต่งให้แรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะแรงแซงหน้าคู่แข่งคนสำคัญมั้ย ต้องรอติดตามผล Bechmark กันอย่างใกล้ชิดอีกที

 

ส่วนเรื่อง Multi-Tasking ในฝั่ง Samsung ก็ยังหายห่วง เพราะเขาให้ RAM มาสูงสุดถึง 8-12GB ซึ่งมากกว่า iPhone 14 Pro Max ที่มีให้ราว ๆ 6GB ดังนั้น เรื่องความเร็วในการสลับใช้งานแอปต่าง ๆ ต้องบอกว่าเร็วเหลือ ๆ ไม่มีปัญหาต้องรอแอปเปิดใหม่ให้กวนใจแน่นอน  

แบตเตอรี่และการชาร์จ

Samsung Galaxy S23 Ultra ยังคงมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh เหมือนเดิม ส่วน Samsung Galaxy S23+ ก็ได้เพิ่มความจุเป็น 4,700 mAh ซึ่งถ้าเทียบกันในด้านความจุแล้ว ยังไงก็ถือว่าชนะ iPhone 14 Pro Max แบบขาดลอยอยู่ดี ส่วนแบตรุ่นไหนจะอึดกว่ากันนั้น อาจจะยังตอบไม่ได้เพราะต้องดูประสิทธิภาพการจัดการพลังงานของชิป Snapdragon 8 Gen 2 For Samsung Galaxy เสียก่อนว่าจะมีปัญหาเรื่องกินไฟ แบตไหลหรือไม่

แต่ในด้านการชารจ์ไร้สายทั้ง Galaxy S23+ และ Galaxy S23 Ultra ยังคงเสมอกับ iPhone 14 Pro Max เพราะทั้ง 3 รุ่นสามารถชาร์จไร้สายได้สูงสุด 15W เท่ากัน แต่การชาร์จผ่านสาย Galaxy S23 ทั้งสองรุ่นก็ยังถือว่าเป็นแชมป์อยู่ดี เพราะทั้งสองรุ่นชาร์จได้ที่กำลังไฟสูงสุด 45W มากกว่า iPhone 14 Pro Max ไปแบบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว

 

สเปค Galaxy S23+ Galaxy S23 Ultra iPhone 14 Pro Max
 
หน้าจอแสดงผล Dynamic AMOLED 2X OLED Super Retina XDR
ขนาด 6.6 นิ้ว 6.8 นิ้ว 6.7 นิ้ว
ความละเอียด 2340 x 1080 FHD+  3088 x 1440 QHD+  2778 x 1284
รีเฟรชเรท 48 – 120Hz 1 – 120Hz 1- 120Hz
ความสว่างหน้าจอ ยังไม่มีรายละเอียด ยังไม่มีรายละเอียด สูงสุด 2,000 nits
กระจกนิรภัย Gorilla Glass Victus 2 Ceramic Shield
CPU Snapdragon 8 Gen 2
for Galaxy
A16 Bionic
RAM 8GB 8GB / 12GB 6GB
ความจุ 256GB / 512GB 256GB / 512GB / 1TB 128GB / 256GB / 512GB / 1TB
กล้องหลัง กล้องหลัง 3 ตัว

Wide : 50MP Dual Pixel AF, OIS, (f/1.8)

Ultrawide : 12MP มุมกว้าง 120 องศา (f/2.2)

Telephoto : 10MP, OIS, Optical Zoom 3x (f/2.4)

กล้องหลัง 4 ตัว

Wide : 200MP (f/1.7) PDAF, OISUltrawide : 12MP (f/2.2) กว้าง 120°, Dual Pixel AFTelephoto : 10MP (f/2.4), Dual Pixel AF, OIS, Optical Zoom 3xPeriscope Telephoto :10MP (f/4.9), Dual Pixel AF, OIS, Optical Zoom 10x
กล้องหลัง 3 ตัว

Wide : 48MP (ƒ/1.8), dual pixel PDAF, OIS

Ultrawide : 12MP (ƒ/2.2), 120°, dual pixel PDAF

Telephoto : 12MP (ƒ/2.8),  PDAF, OIS, 3x optical zoom

กล้องหน้า 12MP (f/2.2) 12MP (f/1.9)
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Ultrasonic สแกนนิ้วใต้จอ ไม่มี
สแกนใบหน้า มี Face ID
สแกนใบหน้าแบบ 3D
การเชื่อมต่อ 5G / Wi-Fi 6E / Bluetooth 5.3 / NFC / USB Type-C / Ultra-Wideband 5G / Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC (เฉพาะ Apple Wallet) / Ultra-Wideband / Lightning
ลำโพง ลำโพงคู่สเตอริโอ ลำโพงคู่สเตอริโอ
มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 IP68
แบตเตอรี่ 4,700 mAh 5,000 mAh 4,323 mAh
ชาร์จไว 45W 20W
ชาร์จไร้สาย 15W 7.5W / MagSafe 15 W
ระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบทับด้วย One UI 5.1 iOS 16
ขนาด / น้ำหนัก 76.2 x 167.8 x7.6 มม.
196g
78.1 x 163.4 x 8.9 มม.
233g
77.5 x 160.7  x 7.85
240 กรัม
ราคาเริ่มต้น 37,900 บาท 43,900 บาท 44,900 บาท

สรุปการเปรียบเทียบ

Samsung Galaxy S23 เทียบกับ iPhone 14 Pro

ในราคาที่ต่างกันถึงหลักหมื่น Samsung Galaxy S23 ถือว่าชนะในเรื่องของความคุ้มค่า

from:https://droidsans.com/samsung-galaxy-s23-series-vs-iphone-14-pro-series/

IDC เผย ปลายปี 2022, iPhone ขายได้น้อยลง แต่ก็ยังมากกว่าแบรนด์อื่น!

IDC รายงาน ช่วงไตรมาสปลายปี 2022, Apple ขาย iPhone ได้น […] More

from:https://www.iphonemod.net/iphone-holiday-2022-quarter-drop-sales-idc-report.html

รีวิวแอปซูม กล้อง iPhone 14 Pro Max เปรียบเทียบกับ Samsung Galaxy S22 Ultra

แอปซูมใน กล้อง iPhone ช่วงนี้เป็นที่สนใจกันมาก เพราะทาง Samsung เองก็พัฒนากล้องซูมให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างใน Galaxy S22 Ultra ก็เป็นที่ขนานนามกันว่าซูมไกลแล้วยังได้ภาพสวย ทำเอาหลายคนพยายามหาวิธีทดแทนการซูมด้วยแอปต่าง ๆ กันใหญ่ เราเลยอยากพาทุกคนไปชมภาพกันจริง ๆ ว่าซูมด้วยแอปใน iPhone 14 Pro Max จะได้ผลลัพธ์ออกมายังไง เมื่อเทียบกับ S22 Ultra

กล้อง iPhone 14 Pro Max

เทียบซูมภาพ กล้อง iPhone 14 Pro Max กับ แอป SuperZoom Camera

ก่อนอื่นเรามาดูกันดีกว่าว่าระหว่างใช้กล้องเดิม ๆ ของไอโฟน กับแอปซูมมาช่วยในการถ่ายภาพ แบบไหนจะสวยกว่ากัน แอปที่เราใช้ชื่อว่า SuperZoom Camera สามารถดาวน์โหลดได้ใน App Store ครับ

เรียงภาพตามนี้ กล้องไอโฟนธรรมดา > แอป SuperZoom


iPhone 14 Pro Max มีระยะซูมภาพสูงสุด 15 เท่า เราเลยจะกำหนดระยะซูมในแอปเป็น 15 เท่าด้วยเช่นกัน พบข้อสังเกตแรกในภาพจากแอป SuperZoom เป็นปริมาณ Noise ที่มีเยอะมาก ๆ เห็นเป็นจุดได้ชัดเจน ในขณะที่กล้องเดิม ๆ ของ iPhone จะใช้ซอฟต์แวร์ช่วยเกลี่ยให้ภาพเนียน ส่วนเรื่องแสงของภาพจับได้เท่ากัน แต่ในแอปจะได้ท้องฟ้าสีสว่างกว่า

โดยรวมยังไงก็ต้องให้ฝั่งกล้องไอโฟนแบบเดิม ๆ ชนะไปในเซ็ตนี้

เทียบซูมวิดีโอ กล้อง iPhone 14 Pro Max กับ แอป SuperZoom Camera

ทดสองการซูมของกล้อง กล้อง iPhone 14 Pro Max ธรรมดาเทียบกับแอปบ้าง  เริ่มวิดีโอแรกด้วยกล้องถ่ายวิดีโอของ iPhone แบบธรรมดา ซูมได้เต็มที่ 9x

ต่อมาเป็นวิดีโอที่ได้จากแอป SuperZoom Camera ที่ไม่มีปุ่มอัดวิดีโอ เลยต้องกดอัดหน้าจอแทนครับ

ความแตกต่างหลักเลยคือเรื่องกันสั่น ที่แอปแบบนี้ไม่สามารถดึงระบบกันสั่นที่มีอยู่ในไอโฟนมาใช้ได้ ทำให้ได้วิดีโอที่ขยับอยู่ตลอดเวลา เอามาใช้อะไรไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องสีที่แตกต่างกัน ทางกล้อง iPhone ธรรมดาจะติดเหลือง ๆ นวล ๆ ส่วน SuperZoom จะสีออกมาน้ำเงิน มืด ๆ และสุดท้ายเลยคือการเก็บรายละเอียด ที่กล้องไอโฟนเก็บจุดต่าง ๆ ได้ดีกว่า

Samsung S22 Ultra

เทียบซูมภาพ iPhone 14 Pro Max ด้วยแอป กับ Galaxy S22 Ultra

ได้เวลาเปรียบเทียบกันกับ Galaxy S22 Ultra ในภาพซูมไปได้ระยะประมาณ 15 เท่า ก็ได้ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างกันมาก ๆ แล้ว

เรียงภาพตามนี้ แอป SuperZoom ในไอโฟน > กล้อง Galaxy S22 Ultra ธรรมดา

แอป SuperZoom ใน iPhone 14 Pro Max

ซูมเข้าไปใกล้วัตถุที่สุด ที่ระยะ 30 เท่า ได้ภาพประมาณนี้

แอป SuperZoom ใน iPhone 14 Pro Max
Galaxy S22 Ultra

จะเห็นได้ว่าฝั่งของ Galaxy S22 Ultra จะเก็ยรายละเอียดและสีสันได้เยอะมาก ๆ แม้ภาพจะออกมาลักษณะเหมือนภาพสีน้ำมัน แต่ก็ดูออกชัดว่าเป็นภาพอะไร ส่วนในฝั่งแอป SuperZoom จะเห็นภาพแตก และสีสันขาดหายไปกลายเป็นเงาดำไปหมดเลยครับ

เทียบซูมวิดีโอ iPhone 14 Pro Max ด้วยแอป กับ Galaxy S22 Ultra 

สุดท้ายเป็นการเทียบงานวิดีโอ แอป SuperZoom ในไอโฟน กับกล้องธรรมดาของ S22 Ultra เริ่มกันด้วยฝั่ง iPhone 14 Pro Max

จากนั้นเป็นฝั่งกล้องของ Samsung ถ่ายวิดีโอไกล 20 เท่าครับ

ได้ผลออกมาคล้ายตอนเทียบภาพ คือสีของแอป SuperZoom ในไอโฟนออกดำ ๆ หม่น ๆ เก็บรายละเอียดได้ไม่มาก ส่วนทาง Samsung ก็ยังสามารถจับสีสันและมีกันสั่นที่นิ่ง วิดีโอออกมาใช้ได้ครับ

กล้องมือถือซูมที่ดีที่สุด

กล้องสมาร์ทโฟนซูมไกลอันดับ 1 ตอนนี้ยังเป็น Samsung Galaxy S22 Ultra ที่คงจะให้มือถือค่ายลื่นติดตั้งแอปแล้วจะมาซูมแข่งเทียบกันยังไม่ได้ ตามที่เราได้ทดลองไปกับ iPhone 14 Pro Max

ซึ่งเหตุผลก็เพราะแอปกล้องพวกนี้ ไม่สามารถหยิบระบบประมวลผลภาพที่มีในมือถือมาใช้ได้โดยตรง ทำให้ไม่มีฟังก์ชันกั่นสั่น Deep Fusion และเทคโนโลยีล้ำ ๆ ของ Apple มีแค่ภาพจากฮาร์ดแวร์กล้องธรรมดาเท่านั้น

ทั้งนี้ก็ต้องติดตามวิวัฒนาการระบบซูมต่อไป ซึ่งคงจะเป็นจุดขายใน Samsung Galaxy S23 Ultra ที่ใกล้จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ครับ

from:https://droidsans.com/iphone-14-pro-max-zoom-app-vs-galaxy-s22-ultra/

Apple เตรียมปล่อย iOS แก้ปัญหาจอขีดเขียวใน iPhone 14 Pro เร็ว ๆ นี้

MacRumors รายงานข้อมูลอ้างอิงจากเอกสารภายในว่า Apple กำ […] More

from:https://www.iphonemod.net/iphone-14-pro-horizontal-lines-flashing-on-fix-report.html

เทียบกล้อง iPhone 14 Pro Max, 13 Pro Max, 12 Pro Max, 11 Pro Max, Xs Max ผ่านไป 5 รุ่น ภาพสวยมากขึ้นแค่ไหน?

วันนี้ Droidsans ขอพาทุกคนไปทดลองกล้อง iPhone ด้วยกันถึง 5 เจเนอเรชัน ตั้งแต่รุ่นล่าสุด 14 Pro Max ร่ายเรียงลงไปถึงรุ่น Xs Max เทียบกล้องแต่ละรุ่นในฉาก สภาพแสง และองค์ประกอบแบบเดียวกัน ว่าหากขึ้นชื่อว่าใช้มือถือไอโฟนถ่ายรูปแล้ว ต่างรุ่นจะส่งผลต่อความต่างของภาพมากแค่ไหน โดยคราวนี้เราพา 2 สาวนางแบบมาร่วมกันทดลองในธีมเทศกาลคริสมาสต์ ได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรมาดูกัน!

สเปคกล้อง iPhone 14 Pro Max,  13 Pro Max, 12 Pro Max, 11 Pro Max, XS Max

รุ่น 14 Pro Max 13 Pro Max 12 Pro Max 11 Pro Max XS Max
กล้องหลัก 48MP f/1.8 12MP f/1.5 12MP f/1.6 12MP f/1.8 12MP f/1.8
กล้องอัลตราไวด์ 12 MP, f/2.2 12 MP, f/1.8 12 MP, f/2.4 12 MP, f/2.4 x
กล้องเทเลโฟโต้ 12 MP f/2.8 12 MP f/2.8 12 MP f/2.2 12 MP f/2.0 12 MP f/2.4
กล้องหน้า 12MP f/1.9 12MP f/2.2 12MP f/2.2 12MP f/2.2 7MP f/2.2
Optical Zoom : In/Out x3 / x0.5 x3 / x0.5 x2.5 / x0.5 x2 x2
Digital Zoom (Max) x15 x15 x12 x10 x10

ในการทดสอบครั้งนี้ เราจะอัปเดตให้ iPhone ทุกรุ่นเป็นเวอร์ชัน iOS 16.2 ล่าสุด และตั้งค่ากล้องให้เหมือนกันทุกอย่าง เช่น ใช้โปรไฟล์สี Standard ธรรมดา เปิด Smart HDR และ Prioritize Faster Shooting  สุดท้ายเวลากดถ่าย เราจะยกมือถือให้ปรับแสงเองเลย ไม่มีการแตะชี้นำกล้องครับ

**ภาพในอัลบั้มเรียงจาก iPhone 14 Pro Max > iPhone 13 Pro Max > iPhone 12 Pro Max > iPhone 11 Pro Max > iPhone Xs Max**

กล้องหลักเลนส์ไวด์





ภาพชุดแรก จะเห็นได้ว่ารุ่นที่สีสดที่สุดเป็น  iPhone 14 Pro Max ที่เร่งสีและความสว่างภาพขึ้นไป เห็น Contrast ชัด เหมือนใช้แอปปรับแสง ซึ่งเป็นฉากเดียวในการทดสอบนี้ที่กล้องเร่งสีจัดขนาดนี้ ถัดมา iPhone 13 Pro Max จะพยายามเพิ่มแสงให้สว่างเข้าไว้ ทำเอาสีสันออกขาวซีดไปหน่อย แต่พอเป็นรุ่น iPhone 12 Pro Max จะลดแสงลงไปบ้าง สังเกตได้จากสีกางเกงยีนที่ดำเข้มมากขึ้น แต่ก็ช่วยให้สีสันมีความสดใสขึ้นมาเล็กน้อย

ส่วน iPhone 11 Pro Max จะมีเอกลักษณ์กล้องติดสีฟ้า โทนภาพเลยออกมาเย็น และปรับสีผิวคนให้เพียนไปหน่อย และสุดท้ายเป็นรุ่นเก่าที่สุด iPhone Xs Max จะได้สีสันภาพที่ดูเป็นธรรมชาติ เที่ยงตรง แต่แสงจะมืดกว่ารุ่นอื่นหน่อย





ลดระดับแสงลงมาเล็กน้อย อยู่ในพื้นที่กึ่ง In Door ที่แสงยังสาดเข้ามาได้ ภาพชุดนี้แสดงความแตกต่างของกล้องได้หลายประการ อย่างแรกคือเรื่องการจัดการแสง ที่ต้องยกให้ iPhone 14 Pro Max ว่าสามารถคุมแสงให้ดูเป็นธรรมชาติ เน้นความสว่างช่วงใบหน้าและยังรักษาช่วงสีผมได้ดี สังเกตจากผมของพี่เก่ง (คนซ้าย) ที่ยังมีสีดำลึก และก็ต้องยกนิ้วให้กับ iPhone Xs Max ที่ยังจัดการแสงได้ดีเช่นกัน

ส่วนรุ่นอื่นทั้ง 13, 12, และ 11 Pro Max จะพยายามดึงภาพให้สว่าง ๆ เข้าไว้ ภาพจึงออกมาสีดูฟุ้งไปบ้าง โดยรุ่น iPhone 13 Pro Max ติดโทนสีฟ้า ต่างกับรุ่น iPhone 12 Pro Max ที่โทนสีออกเหลืองสว่าง





ขยับมาโดนแดดแรงสาดลงบนตัวนางแบบ ด้านแสงและสีของ iPhone 13 Pro Max และ iPhone 14 Pro Max มีความใกล้เคียงกันมาก ด้วยการพยายามยกพื้นที่เงาให้สว่างมากขึ้น และโทนสีออกมาติดสีเหลืองอุ่น แม้รุ่น 14 จะออกสีเหลืองมากกว่าหน่อย ในขณะที่ iPhone 12 Pro Max จะได้สีใกล้เคียงกับ iPhone XS Max ที่เป็นสีโทนเย็น และไม่ได้พยายามยกพื้นที่เงาให้สว่างขึ้นมามากนัก

ส่วนรุ่นที่แตกต่างที่สุดเป็น iPhone 11 Pro Max ที่ถ่ายแล้วมีเงาสีขาวคลุมภาพ แถมไม่ค่อยมีการเบลอพื้นหลัง ทำให้ภาพดูไม่มีมิติเท่าไร

กล้องหลักย้อนแสง





**ฉากนี้เลนส์ iPhone 11 Pro Max ไม่สะอาดครับ ขออภัยด้วย**

พอถ่ายย้อนแสงคราวนี้กล้องทุกตัวทำหน้าที่ได้ดี สามารถดึงแสงสีของวัตถุด้านหน้าได้ครบถ้วน แต่น่าเสียดายที่รุ่น iPhone 11 น่าจะเปื้อนคราบเลยทำเอากล้องเพี้ยน เกิดเป็นเงาขาวมัว ๆ

ทั้งนี้ รุ่น iPhone 14 จะเห็นว่ามีมุมที่โดนแดดสาดส่องลงมาเต็ม ๆ เกิดเป็นแฟลร์เล็ก ๆ ใต้สะพาน แต่กล้องก็สามารถจัดการกับแสงได้ดี ได้เป็นภาพสวยมาก ๆ ภาพนึงเลย

อีกเรื่องที่สังเกตุได้เป็นการปรับเกลี่ยผิวหน้า หรือใส่เอฟเฟกต์บิวตี้ ที่รุ่น iPhone 12 และ 13 ดูจะให้แต่งมาให้เยอะกว่ารุ่นอื่น ๆ ในขณะที่รุ่นอื่นยังพอเผยให้เห็นผิวหน้าที่สมจริงกว่าเล็กน้อย

กล้องหลักภาพวิว





ในภาพวิวตึกและสนามหญ้าเรียบ ๆ พบว่ากล้องที่ผ่านมาทั้ง 5 รุ่นนั้นมีความแตกต่างกันไม่มาก ทั้งเรื่องโทนสีและรายละเอียดต่าง ๆ มีจุดสังเกตเล็กน้อย อย่างในรุ่น iPhone 11 ที่ติดสีฟ้าคลุมไปทั่วทั้งภาพ ทำให้ส่วนของเงาและใบไม้สีเป็นโทนเย็น ส่วนท้องฟ้าก็เป็นสีสดใสขึ้นไปอีก และอีกข้อเป็นเรื่องความคมชัดของภาพในรุ่น Xs Max ที่ด้อยกว่ารุ่นอื่นมาก





ลองมาดูฉากวิวรายละเอียดสูง ระบบจะประมวลแสงสีออกมาไม่ต่างกันมากเหมือนกัน แต่มีจุดสังเกตคือรุ่นที่ดันแสงสว่างที่สุดคือ iPhone 13 Pro Max ตรงกันข้ามกับ iPhone Xs Max ที่แสงในภาพสว่างน้อยที่สุด แถมความคมชัดก็จะสู้รุ่นอื่นไม่ได้เลย เวลาซูมเข้าไปจะเห็นภาพแตกอย่างชัดเจน

iPhone 14 Pro Max เปิดปิดโหมดถ่าย 48MP


อีกหนึ่งโหมดที่เพิ่มเข้ามาสำหรับ iPhone 14 Pro Max คือการถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุดของเซนเซอร์ 48MP เราเลยเลือกถ่ายภาพรายละเอียดสูงอย่างต้นคริสต์มาสต์ ยืนถ่ายห่างจากต้นพอสมควร ภาพถ่ายปกติเมื่อซูมเข้าไปก็จะได้ภาพแตก และวัตถุต่าง ๆ เสียรายละเอียดไปเยอะ แต่เมื่อเปิดโหมด 48MP แล้วถ่าย จะได้ภาพที่ซูมเข้าไปไกลก็ยังได้เห็นรายละเอียดได้ครบ เห็นใบไม้เส็นเล็ก ๆ ได้อยู่ นอกจากนี้ยังช่วยเก็บภาพที่สว่างได้มากขึ้น และลด Noise ลงไปด้วย

ภาพถ่าย Portrait





ในโหมดถ่าย Portrait เราจะเทียบกันที่ระยะซูมสูงสุดของแต่ในรุ่น ซึ่งตัว Xs Max และ 11 Pro Max มีระยะซูม 2 เท่า 12 Pro Max อยู่ที่ 2.5 เท่า ส่วน 13 และ 14 Pro Max อยู่ที่ 3 เท่า

ภาพชุดนี้บอกตามตรงว่าแทบไม่มีความแตกต่าง ทั้งความชัด สีสัน อยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด แม้ iPhone 11 Pro Max ดูจะชอบเพิ่มแสงเยอะกว่ารุ่นอื่นนิดดดนึง ทำให้นางแบบดูเหมือนมีแสงเปล่งประกายออกมา แต่ก็ไม่ได้มองเห็นได้ชัด

มีข้อสังเกตุเดียวที่เห็นความแตกต่างชัดเจน คือเรื่องการตัดขอบวัตถุ ที่รุ่นเก่า ๆ ทั้ง Xs Max และ 11 Pro Max เลือกที่จะเบลอขอบใปเลย ทำให้ฉากนี้ทั้งสองรุ่นดูตัดขอบเนียนใช้ได้

แต่ในทางกลับกัน รุ่นใหม่ ๆ อย่าง 12 และ 13 Pro Max มีความพยายามตัดขอบวัตถุละเอียดถึงระดับเส้นผม ทำให้มีส่วนที่ตัดขอบออกมาแปลก ๆ ดูไม่เนียน แต่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนรุ่น 14 Pro Max ที่เก็บส่วนปอยเส้นผมได้ค่อนข้างครบถ้วน แม้ยังดูออกอยู่ว่าเป็นการละลายหลังด้วยซอฟต์แวร์





ฉากถ่ายภาพบุคคลกับแสงแดด ซีนนี้หาความต่างของภาพยากอีกแล้ว พอจะเห็นโทนสีผิวที่ไปทางสีขาวบ้างในรุ่น iPhone 13 และ XS Max แต่ไม่ได้ต่างกับรุ่นอื่นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่เมื่อสังเกตจากสีเสื้อจะพบว่า iPhone 11 มีสีสดกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย

ส่วนเรื่องการตัดขอบในรุ่น iPhone 14 และ 13 เลือกที่จะเก็บปอยผมเล็ก ๆ ไว้ ต่างกันรุ่นที่เก่ากว่านั้นที่เลือกตัดไปเป็นพื้นหลังเลย





ลองดูท่าโพสต์แกล้ง AI ด้วยช่องว่างแขน ที่หากเป็นกล้องจริง ๆ ก็จะต้องเบลอภาพพื้นหลังออกไปในส่วนนั้นด้วย แต่ดูเหมือนรุ่นเก่า ๆ จะยังรับมือสถานการณ์แบบนี้ไม่ดีเท่าไร อย่าง Xs Max ก็เบลอได้แค่ครึ่งเดียว ส่วน 11 Pro Max ไม่มีการเบลอใด ๆ เลย ต่างกับมือถือรุ่น 12 Pro Max ขึ้นไป ที่จัดการได้อยู่หมัด

ต่อมาเป็นเรื่องแสง ที่ในรุ่น 11 และ 12 Pro Max ติดแสงขาวคลุมทั่วกันทั้งภาพ ในขณะที่รุ่นอื่นมีแสงเข้มเป็นปกติ นอกจากนี้ iPhone 11 Pro Max ยังมีข้อสังเกตเป็นเรื่องสี ที่ปรับความอิ่มตัวสูง จนดูเหมือนเข้าแอปแต่งภาพมา

ด้านการตัดขอบวัตถุ ดูเหมือนว่ามือถือทั้ง 5 รุ่นจัดการได้ไม่ต่างกันเท่าไร ส่วนการเบลอหลังในรุ่น Xs Max เบลอให้น้อยสุด





ถ่าย Portrait คู่สองคน มีข้อสังเกตแรกเป็นการเบลอหลังของ XS Max ที่เบลอมาน้อยที่สุด ส่วนรุ่นอื่นไม่ค่อยต่าง เรื่องต่อมาคือการจับโฟกัสภาพ ที่รุ่น iPhone 12 ถ่ายยังไงก็ไม่ยอมจับโฟกัสให้ชัดเจน เลยจะดูเบลอไปด้วยกันทั้งสองคน ส่วนรุ่น iPhone 13 จับใบหน้าพี่เก่งด้านซ้ายได้คมชัด แต่เบลอน้องด้านขวาที่อยู่ข้างหลังไปอีกนิดเล็กน้อย

สุดท้ายเรื่อง Contrast ของภาพ ที่รุ่น iPhone 14 และ 11 ปรับความต่างแสงสูงทำให้แสงที่กระทบบนใบหน้าดูสว่างเป็นสีขาวกว่ารุ่นอื่น

กล้องเลนส์อัลตราไวด์





เปิดการเทียบกล้องอัลตราไวด์ด้วยฉากคลอง ที่มีมุมมืดเป็นขอบใต้สะพาน และจุดสว่างที่สุดเป็นดวงอาทิตย์ พบว่ามือถือทั้ง 5 รุ่น ผลิตภาพออกมาได้ใกล้เคียงกัน แต่เนื่องจากรุ่น XS Max ไม่มีเลนส์อัลตราไวด์ จึงจะใช้เป็นเลนส์กว้างธรรมดาถ่ายได้มุมภาพที่แคบกว่ารุ่นอื่น สีก็ดูจืดชืด และแสงแดดที่ตกมากระทบเลนส์ก็ฟุ้งกระจายไปทั่วภาพ แต่ส่วนนี้ก็อาจเกิดจากมุมที่ถ่ายแตกต่างกันเล็กน้อย

อีกเรื่องที่น่าสนใจเป็นสีของภาพ ที่สไตล์สีสันสดใสของ iPhone 11 เข้ากับฉากที่มีมุมมืดและแสงสีเหลืองแบบนี้ ช่วยชูพื้นที่ส่วนตึกให้ดูขาวสว่างมากขึ้น





ฉากนี้เป็นอัลตราไวด์แบบย้อนแสง สถานที่จริงทั้งสองคนอยู่ในเงามุมมืดพอสมควร จะเห็นได้ว่ารุ่นใหม่ iPhone 14 และ 13 มีความสามารถจัดการแสงวัตถุได้ดี โดยรุ่น iPhone 14 เพิ่มแสงและสีสันให้ดูสว่างมากขึ้น กำลังพอเหมาะเป็นธรรมชาติ ส่วน iPhone 13 เหมือนจะพยายามเพิ่มแสงให้มากไปหน่อย ทำให้สีดูเข้มไปเล็กน้อย แต่บางคนอาจชอบ

ส่วนรุ่นอื่นเหมือนจะไม่ได้มีการเพิ่มแสงให้วัตถุมากเท่าไร มีรุ่นที่ทำเอานางแบบดูมืดไปหมดคือ iPhone 12 ต่อมา iPhone 11 ก็ยังติดสีฟ้ามาคลุมอีกเช่นเคย สุดท้ายต้องชม iPhone XS Max (ใช้กล้องหลัก) ที่แม้ไม่มีการเพิ่มแสงเท่าไร แต่สีสันออกมาดูเป็นธรรมชาติ สว่างใช้ได้





ปิดท้ายด้วยฉากในสวน ที่ดูไม่ต่างกันเท่าไร พอจะเห็นได้เพียง Contrast ที่เข้มและสีสันที่ไปทางโทนเหลืองมากกว่า ของ iPhone 14 Pro Max และมีรุ่นที่ดันเงาให้สว่างที่สุดเป็น iPhone 11

ถ่ายภาพมาโคร





โหมดถ่ายภาพมาโครจะมีแค่ในรุ่น iPhone 14 Pro และ 13 Pro เท่านั้น โดยใช้เลนส์ Ultrawide ในการถ่าย ส่วนรุ่นอื่น ๆ ที่ไม่มีโหมด Macro หากต้องการถ่ายภาพใกล้วัตถุก็ต้องอาศัยกล้องหลักเอา แต่ก็จะเข้าใกล้วัตถุไม่ได้เท่า 2 รุ่นดังกล่าว โดยรุ่น iPhone 11 Pro Max และ iPhone XS Max มีระยะเข้าใกล้วัตถุเท่ากัน แต่ iPhone 12 Pro Max จะมีระยะเข้าใกล้วัตถุไกลกว่าหน่อย





แต่หากต้องการถ่ายภาพที่ไม่ได้ใกล้วัตถุมากเกินไป กล้องแต่ละตัวก็จะเข้าใกล้ได้ระยะประมาณนี้ จะเห็นว่า iPhone 14 Pro Max ปรับคอนทราสต์สูงจนเห็นดอกไม้ในพื้นหลังเป็นเม็ดสีขาวเด่น ส่วนรุ่นอื่นก็จะเบลอเนียน ๆ รวมกันไป


และเมื่อเทียบสองกล้องที่รองรับโหมดมาโคร จะเห็นว่า iPhone 14 ติดโทนสีเหลืองขาว ส่วน iPhone 13 ออกไปทางสีฟ้าจาง ๆ เห็นได้ชัดจากการถ่ายดอกไม้สีขาวแบบนี้


ระยะถ่ายกล้อง 14 และ 13 นั้นสามารถนำมาถ่ายดวงตาคนได้เลย ซึ่งรุ่น iPhone 14 Pro Max ลองกดถ่ายหลายรอบแล้วแต่กล้องเลือกไปโฟกัสที่ขนตามากกว่าดวงตา สีสันต่าง ๆ ก็ยังคงรักษาตามสไตล์ของกล้อง คือสีออกเข้ม ๆ หม่น ต่างกับ iPhone 13 Pro Max ที่จับโฟกัสดวงตาได้ และปรับสีสันให้ดูสว่างมีชีวิตชีวามากขึ้น

ภาพซูมไกล

ระยะซูม 2 เท่า





แม้ว่าเลนส์ซูมของไอโฟนแต่ละรุ่นจะไม่เท่ากัน ดังนั้นบางรุ่นเวลาซูมระยะ 2 เท่า ก็ต้องใช้ระบบดิจิทัลเข้าช่วย พบว่ารุ่น 14 และ 13 ยังรักษาความคมชัดไว้ได้ดีไม่แพ้รุ่นที่ใช้เลนส์ 2x อยู่แล้ว แต่เหมือนว่า 12 จะเก็บรายละเอียดได้ไม่ดีเท่า ส่วนรุ่น XS Max แม้มีเลนส์ 2x อยู่แท้ ๆ แต่ภาพก็ออกมาไม่คมชัดตามเคย

อีกข้อสังเกตนึงเป็นเรื่องสี ที่ฉากนี้ไอโฟน 11 ไปเอาแสงเหลืองมาจากไหนไม่ทราบ อีกรายก็เป็นไอโฟน 14 ที่ทำภาพออกมาเหลืองเล็กน้อยเช่นกัน

ระยะซูม 10 เท่า





พอซูมไกลไปอีกเป็น 10 เท่า พบว่า iPhone 4 และ 13 ยังเก็บรายละเอียดไว้ได้ครบโดย 14 ทำได้ดีกว่าพอสมควร ไม่มีร่อยรอยภาพเป็นปื้นสีน้ำมันเลย

ส่วนรุ่น iPhone 12 เหมือนจะเก็บรายละเอียดได้ไม่เท่ารุ่น 11 และไม่ได้ดันแสงให้สว่างเท่าด้วย และสุดท้าย XS Max เป็นรุ่นที่ภาพคมชัดน้อยที่สุด

ระยะซูม Optical





นอกจากเทียบดูความสามารถดิจิทัลซูมแล้ว เรายังอยากดูเรื่องการซูมของกล้องแบบ Optical ด้วย โดย iPhone 14, 13, 12, 11, XS Max มีระยะซูม 3x, 3x, 2.5x, 2x, 2x ตามลำดับ ทำให้ได้ภาพออกมาตามนี้ พบว่า iPhone 14 กับ 13 เก็บภาพได้คมชัดและจัดการ noise ได้ดีที่สุด แต่ด้านอื่นกล้องทุกตัวทำหน้าที่ได้ดีพอ ๆ กัน

กล้องหน้าถ่ายภาพเซลฟี่





ภาพเซลฟี่ชุดนี้ปรับให้เป็นมุมถ่ายกว้าง (ยกเว่นรุ่น XS ที่ปรับไม่ได้) เมื่อเทียบกันแล้ว พบว่ารุ่น 14, 13, 12, 11 ถ่ายออกมาแล้วภาพเหมือนกันมาก ชี้ความแตกต่างเด่น ๆ ไม่ได้ มีรุ่นที่แปลกแยกออกมาหน่อยเป็น XS Max ที่ภาพไม่ชัดมากจากความละเอียดที่มีเพียง 7MP (รุ่นอื่น 12MP) สีออกนวล ๆ สีสันตรงใบหน้าก็ออกเป็นสีขาวสว่าง เสียรายละเอียดตรงที่แสงส่องบางส่วน





ฉากนี้ใช้แสงด้านในห้าง และใช้กล้องเซลฟี่ซูมเข้าใกล้มากขึ้น พบว่ารุ่น iPhone 12 ไม่ค่อยจับโฟกัสวัตถุอีกแล้ว อาการเหมือนถ่ายกล้องหลัง Portrait ในซีนเดียวกัน อีกตัวที่ภาพไม่ชัดมากคือกล้อง XS Max ที่เข้าใจได้เพราะมีความละเอียดเพียง 7MP ส่วนรุ่นที่ภาพคมชัดที่สุด ตกเป็นของ iPhone 14 ที่จับรายละเอียดบนใบหน้าและฉากหลังได้ครบถ้วน

เซลฟี่ Portrait คู่





ลองถ่ายเซลฟี่สองคนแบบเปิดโหมด Portrait ให้ได้ละลายพื้นหลังดู สังเกตได้ว่ารุ่น iPhone 14 และ 13 ตัดขอบได้โอเค ส่วนรุ่นที่เหลือมีติดตุ๊กตาหมีข้างหลังมา รายละเอียดของภาพยังได้ผลลัพธ์แบบเดิมกับภาพชุดที่แล้ว รุ่น iPhone 12 ยังไม่ค่อยปรับแสงสีให้สว่างขึ้นอีกแล้ว

ถ่ายภาพอาหาร





ภาพสเต็กเนื้อและผักเครื่องเคียงหลากสีสัน ที่ถ้าบอกว่าใช้กล้องตัวเดียวกันถ่ายก็คงเชื่อได้ไม่ยาก เพราะว่าสีสันเหมือนกันหมดทุกประการ





ฉากนี้ก็พอสังเกตเห็นความแตกต่างได้บ้าง อย่างการที่ iPhone 12 ปล่อยให้สีของอาหารดูหม่นหมองลงไป จากเค้กสีเหลืองสดใสกลายเป็นน้ำตาลเทา ส่วน iPhone 11 ก็ดึงส่วนมืดของภาพให้ออกมาดูเป็นสีขาวมัวอีกแล้ว ส่วนรุ่นอื่น ๆ ดูคล้ายคลึงกันอย่างมาก





แต่พอขยับออกมาให้กล้องได้เห็นมุมกว้าง ถ่ายคนและอาหาร ก็จะเริ่มเห็นความแตกต่าง สังเกตได้ว่ากล้องในรุ่น iPhone 12 และ Xs Max จะเบนความสนใจไปให้ตัวบุคคลและปล่อยเบลออาหารบนโต๊ะไป ส่วน 14 และ 13 จับโฟกัสได้ชัดทั้งภาพ โดย 14 มีรายละเอียดภาพมากที่สุด

การจัดการสีดำเส้นผมคราวนี้ iPhone 14 และ XS Max ยังคุมได้ดีทั้งคู่เช่นเคย เฉดออกมาเป็นธรรมชาติ ด้าน iPhone 13 ซูมดูใกล้ ๆ แล้วยังเห็นสไตล์สีโทนสว่าง ปรับแต่งจนสีดูคล้ายภาพน้ำมันอีกแล้ว ส่วนภาพของ iPhone 11 ก็มีสีขาวฟุ้งจากการพยายามยกแสงภาพ





ได้เวลาทดสอบตัว AI ตัดขอบวัตถุอีกครั้งด้วยเซ็ตภาพเครื่องดื่มกับหลอด มีไอโฟนรุ่น XS Max และ 11 ที่ตัดหลอดเราทิ้งละลายไปกับพื้นหลัง ถ่ายกี่รอบก็ไม่ยอมดึงกลับมา ส่วน 14, 13, 12 ยังดูออกว่าเป็นหลอด และตัดขอบมาเนียนตาใช้ได้ แต่จากภาพเซ็ตนี้ 12 ตัดขอบเนียนที่สุด

โหมดถ่ายภาพกลางคืน NIGHT MODE





เข้าสู่ช่วงถ่ายภาพกลางคืนกัน ฉากแรกอยู่ในพื้นที่แสงสลัว ถ่ายด้วยกล้องหลักธรรมดา และไม่ได้เปิด Night Mode พบว่าแต่ละกล้องมีความแตกต่างกันสูงมาก เริ่มจากรุ่นเก่าสุด XS Max ที่ถ่ายออกมาแล้วภาพมืดที่สุด ไม่ได้มีการชดเชยแสงสีมากเท่าไร แถม Noise เยอะมาก

ถัดมาเป็นรุ่น 11 ที่แม้ Noise ยังมีเยอะอยู่ แต่ได้ปรับแสงให้สว่างขึ้นและภาพคมชัดขึ้นมาก ติดเป็นโทนสีเหลือง แต่ก็ได้พัฒนาต่อไปในรุ่น 12 ที่ลดสีเหลืองลงไปให้ภาพดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น พร้อมลดจำนวน Noise ลงไป แต่ก็ต้องแลกมากับความสว่างที่ลดลงมาเล็กน้อย ออกเป็นโทนมืด ๆ อย่างที่เราได้เห็นกันในภาพชุดก่อน ๆ

แต่พอถ่ายด้วยรุ่น 13 ก็เห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด คราวนี้สีสันดูเป็นธรรมชาติ ไม่ออกโทนสีไหนมากเกินไป ลด Noise ลงไปเยอะ และมีความคมชัดสูง กลายเป็นว่าสไตล์สีที่ดูโดดของ iPhone 13 Pro Max พอมาใช้ถ่ายภาพกลางคืนแล้วออกมาสวยมาก ๆ ครับ

สุดท้ายในรุ่น 14 ได้ปรับลดความอิ่มสีและความสว่างลงไปจากรุ่น 13 ได้เป็นภาพโทนสีออกน้ำเงิน ดูเป็นตอนกลางคืนมากขึ้น และสามารถลด Noise ลงไปได้อีก ทำให้ได้ภาพคมชัด

เปรียบเทียบเปิด-ปิด Night Mode

คราวนี้เราขอลองเทียบระหว่างภาพที่เปิดกับปิด Night Mode โดยมือถือรุ่น XS Max ที่ไม่มีโหมดถ่ายภาพกลางคืนก็จะใช้เป็นภาพเดียวกันทั้งสองอัลบัม มาเริ่มดูภาุดแรกที่ยังไม่ได้เปิดใช้โหมดกลางคืนกันก่อนครับ





ฉากนี้ยังได้ผลลัพธ์ด้านการจัดการ Noise เหมือนเดิม ยิ่งรุ่นใหม่ขึ้นไปก็ยิ่งได้ภาพคมชัด แต่รุ่น iPhone 11 ดูติดเหลืองน้อยลงมา ต้องชูความเหลืองกับความสว่างให้รุ่น 13 ไป





พอเปิด Night Mode พบว่ารุ่น 11 สีสดมาก ๆ สีเขียวต้นไม้โดดออกมาชัดเจน และได้ลด Noise ลงไปเยอะพอสมควร ส่วนรุ่นอื่นก็เหมือนเร่งสไตล์สีของภาพให้ชัดเจนขึ้นไปอีก อย่าง 12 ก็ปรับแสงสว่างขึ้น แต่ยังสว่างน้อยกว่ารุ่นอื่น 13 แสงสว่างที่สุด มีสีสันสดใส และ 14 ก็ลดความสว่างลงมาหน่อย แต่ภาพสวยคม สีไม่โดดเกินไป

กล้องเซลฟี่เปิด-ปิด Night Mode





ลองถ่ายเซลฟี่แบบไม่เปิดโหมดกลางคืนกันก่อน จุดที่ถ่ายมีแสงน้อยมาก ๆ ซึ่งกล้องแต่ละตัวก็มีความสามารถต่างกันไป มีรุ่นที่แสงสว่างสุดเป็น iPhone 14 แต่ก็ได้สีที่จืดชืดลงมาเช่นกัน ส่วนรุ่นที่สีสดที่สุดคงต้องยกให้ iPhone 13 ส่วน iPhone 12 และ 11 ทีโทนสีใกล้เคียงกัน แต่ 11 จะสว่างกว่า สุดท้ายรุ่น XS Max ภาพมืดและไม่ชัดมาก ๆ





ส่วนรุ่นที่เปิดโหมดกลางคืนของกล้องหน้าได้ มีแค่ iPhone 14, 13, และ 12 เท่านั้น ดังนั้นรุ่น 11 และ XS Max จะยังเป็นภาพเดิม พบว่ารุ่น iPhone 13 ปรับ Contrast ภาพมืด ๆ แบบนี้หนักมาก ส่วนมืดก็มืดเข้ม ส่วนสว่างก็แสงจ้า พร้อมเร่งสีให้เข้มขึ้นไปอีก ส่วน iPhone 12 และ iPhone 14 มีโทนสีใกล้เคียงกัน ต่างที่ 14 จะมีความสว่างมากกว่า ได้เป็นภาพที่ดูเป็นธรรมชาติดี





 





ภาพตึกยามค่ำคืนที่เปิด Night Mode (ไม่รวม XS Max) พบว่า iPhone 14 ปรับแสงสว่างมากที่สุด แต่ก็เพิ่ม Noise มากขึ้นไปด้วย ถ่ายท้องฟ้าออกมาโทนสีฟ้าสว่าง ส่วน iPhone 13 ปรับ contrast ภาพทำให้เห็นตึกได้ชัดทุกส่วน โดยรวมแล้วกล้องแต่ละตัวยังยึดสไตล์ภาพได้เหมือนกับฉากอื่น ๆ ในตอนกลางคืนครับ

Ultrawide กลางคืน





ใช้เลนส์อัลตราไวด์มาถ่ายภาพท้องถนนยามค่ำคืนแบบไม่เปิด Night Mode ด้วยความที่เป็นเลนส์รองก็จะได้คุณภาพด้อยลงมาทุกตัว (ยกเว้น XS Max ที่ใช้ได้แค่กล้องหลัก) รุ่นใหม่ล่าสุด 14 ถ่ายออกมาได้ความคมชัดสูง เกลี่ย Noise เนียนกว่า 13 เล็กน้อย แต่กล้องทั้งสองรุ่นเพิ่ม Sharpness เยอะมาก ทำเอาภาพกลายเป็นปื้น ๆ เหมือนภาพวาดน้ำมัน ซึ่งถ้าไม่ซูมเข้าไปดูลึก ๆ ก็จะมองว่าภาพคมชัดดี ส่วน 12 และ 11 ภาพออกมาใกล้เคียงกัน แต่ 11 จะภาพออกมัว ๆ มากกว่า แต่สุดท้ายทุกรุ่นก็มีคุณภาพไม่เท่ากล้องหลักของ XS Max เลย





อีกซีนด้วยเลนส์อัลตราไวด์ ฉากนี้มืดมาก ๆ จนมองอะไรเกือบไม่เห็น ทำเอา 12 ที่ปกติปลอยภาพมืดอยู่แล้วทำต้นไม้ตรงกลางกลืนหายไป ส่วนรุ่น 11 กลายเป็นว่าเร่งสีได้ดียังดึงให้เห็นความเขียวของต้นไม้ได้มากกว่ารุ่นอื่นหน่อย พร้อมเห็นกระถางสีส้มอิฐตั้งอยู่ด้วย ถ้าจะพูดถึงการเก็บรายละเอียดคงต้องยกให้ 14 และ 13 ที่เก็บเส้นลายทางเดินได้อยู่บ้าง แต่สุดท้ายแต่ละรุ่นก็ไม่ต่างกันมากขนาดนั้น

ลักษณะเด่นของกล้อง iPhone ทั้ง 5 รุ่น

iPhone 14 Pro Max – กล้องเก่งสุด แต่อาจสวยไม่ถูกใจ

ไอโฟนรุ่นล่าสุดจากปี 2022 ตัวนี้จะเห็นพัฒนาการในทุกด้าน เช่นในเรื่องความคมชัดและการจัดการภาพแสงน้อย แต่จะมีจุดสังเกตเป็นสีสัน ที่รุ่นนี้จะต่างกับ iPhone 13 Pro Max มาก เพราะไม่เน้นเร่งความอิ่มตัวสีและเลือกที่จะคงแสงให้มืดไว้บ้างเพื่อความสมจริง เลยอาจมองได้ว่าสีจืดชืด หรือแสงติดมืด และมีจุดสังเกตอีกด้านเป็นเรื่อง Contrast ที่ปรับมาสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ เลยจะได้ภาพที่ดูแข็งไปหน่อย เป็นที่มาที่ใครหลายคนไม่ค่อยถูกใจเจ้ากล้องในรุ่นนี้กันนัก

iPhone 13 Pro Max – ราชาสีสดใส ขวัญใจมหาชน

เมื่อย้อนกลับไปดูกล้องจากไอโฟนปีที่แล้ว รุ่น iPhone 13 Pro Max มีจุดเด่นในเรื่องสีที่จัดจ้าน พร้อมพยายามเร่งแสงให้สว่างเยอะ ๆ เข้าไว้ พอรวมกันทั้งสองอย่างกลายเป็นว่าภาพหลาย ๆ ช็อตออกมาแล้วดูไม่ค่อยสมจริง แต่จุดนี้ก็อาจกลายเป็นความชอบของใครหลาย ๆ คนได้ หากเป็นคนชอบให้ภาพออกมาสว่างและมีสีสันสดใสเข้าไว้ ถ้าใช้กล้องรุ่นนี้ถ่ายก็จบในกล้อง ไม่ต้องไปแต่งต่อในแอปนอก

iPhone 12 Pro Max – จอมหม่นหมอง

iPhone 12 Pro Max มีกล้องที่ไม่ค่อยชอบชดเชยแสง ยอมปล่อยวัตถุให้แสงดรอปลงไปตามที่เห็นได้ในหลาย ๆ ฉาก แต่จะยังรักษาโทนสีให้เป็นธรรมชาติไว้ได้ ทำให้ยังได้ภาพออกมาเป็นสไตล์ iPhone ที่ทุกคนคุ้นเคยกันเช่นเดิม โดยรวมแล้วไม่ใช่รุ่นที่มีจุดเด่นหรือจุดด้อยให้สังเกตมากเท่าไร เป็นกล้องที่โอเคมาก ๆ ตัวนึง

iPhone 11 Pro Max – กล้องดินแดนสวรรค์

iPhone 11 Pro Max จากปี 2019 เป็นรุ่นที่เริ่มสร้างความแตกต่างให้กับกล้องไอโฟนด้วยฟีเจอร์ Deep Fusion มาช่วยประมวลผลภาพ เลยอาจเป็นที่มาว่าทำไมกล้องในรุ่นนี้ถึงถ่ายออกมาแล้วได้ภาพที่สีแปลกตาบ้าง และไม่สามารถจัดการกับแสงในที่มืดได้ดีเท่าไหร่ แถมพอเลือกที่จะดันแสงให้สว่างก็จะดึงแสงไปทั่วภาพ เกิดเป็นภาพขาว ๆ ฟ้า ๆ แต่อาการแบบนี้ก็จะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกฉากนะ แต่หากถ่ายภาพในที่สว่างแบบทั่วไป รุ่น iPhone 11 Pro Max ก็ถ่ายออกมาสวยใช้ได้ ไม่แพ้รุ่นอื่นครับ

iPhone XS Max – เก่าแต่ยังเก๋า กล้องไอโฟนสุดคลาสสิก 

รุ่นที่เก่าที่สุดของการทดสอบครั้งนี้ ที่มีข้อดีที่สุดเป็นเรื่องสีสัน ที่ไม่ได้ใช้ระบบจัดการสีแบบใหม่อะไรแต่ยังถ่ายได้ดูเป็นธรรมชาติ แต่ก็จะมีข้อเสียเป็นเรื่องความคมชัดที่ด้อยลงไปมาก ๆ ยิ่งเป็นกล้องหน้าก็จะเห็นความเบลอของภาพเข้าไปใหญ่ นอกจากนี้ยังไม่มีระบบถ่ายภาพตอนกลางคืน ทำให้ภาพออกมามืดและเห็น Noise ได้ชัดเจน หรือหากถ่ายที่ความต่างแสงสูงก็จะไม่ปรับระดับเงาให้เห็นรายละเอียดมากขึ้นได้แต่อย่างใด

สรุป

กล้อง iPhone 14 Pro Max,  13 Pro Max, 12 Pro Max, 11 Pro Max, และ XS Max เวลาถ่ายในฉากปกติ มีแสงสว่าง ก็จะสังเกตเห็นข้อแตกต่างได้ไม่มาก แต่เมื่อลองทดสอบสถานการณ์ยาก ๆ เช่นภาพย้อนแสง ภาพถ่ายในที่มืด ก็จะเริ่มเห็นข้อเด่นข้อด้อยของแต่ละรุ่น ยิ่งเป็นรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้นเท่าไร ก็จะสามารถรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น

สุดท้ายหากใครสนใจเลือกซื้อไอโฟนที่กล้อง ก็เลือกดูว่าเราชอบสไตล์สีสันแบบไหน แล้วอยากถ่ายในฉากแบบไหนบ้าง เพื่อดูว่ากล้องตัวไหนเหมาะ แต่ถ้าอยากได้กล้องที่มีความสามารถหลากหลายรองรับได้ทุกสถานการณ์ มือถือรุ่นใหม่ ๆ อย่าง iPhone 14 Pro Max และ 13 Pro Max ก็น่าจะเป็นตัวที่ตอบโจทย์ได้ดีไม่แพ้กันครับ

from:https://droidsans.com/apple-iphone-camera-5-generation-comparison/