คลังเก็บป้ายกำกับ: IPHONE_12_PRO_MAX

เทียบกล้อง iPhone 14 Pro Max, 13 Pro Max, 12 Pro Max, 11 Pro Max, Xs Max ผ่านไป 5 รุ่น ภาพสวยมากขึ้นแค่ไหน?

วันนี้ Droidsans ขอพาทุกคนไปทดลองกล้อง iPhone ด้วยกันถึง 5 เจเนอเรชัน ตั้งแต่รุ่นล่าสุด 14 Pro Max ร่ายเรียงลงไปถึงรุ่น Xs Max เทียบกล้องแต่ละรุ่นในฉาก สภาพแสง และองค์ประกอบแบบเดียวกัน ว่าหากขึ้นชื่อว่าใช้มือถือไอโฟนถ่ายรูปแล้ว ต่างรุ่นจะส่งผลต่อความต่างของภาพมากแค่ไหน โดยคราวนี้เราพา 2 สาวนางแบบมาร่วมกันทดลองในธีมเทศกาลคริสมาสต์ ได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรมาดูกัน!

สเปคกล้อง iPhone 14 Pro Max,  13 Pro Max, 12 Pro Max, 11 Pro Max, XS Max

รุ่น 14 Pro Max 13 Pro Max 12 Pro Max 11 Pro Max XS Max
กล้องหลัก 48MP f/1.8 12MP f/1.5 12MP f/1.6 12MP f/1.8 12MP f/1.8
กล้องอัลตราไวด์ 12 MP, f/2.2 12 MP, f/1.8 12 MP, f/2.4 12 MP, f/2.4 x
กล้องเทเลโฟโต้ 12 MP f/2.8 12 MP f/2.8 12 MP f/2.2 12 MP f/2.0 12 MP f/2.4
กล้องหน้า 12MP f/1.9 12MP f/2.2 12MP f/2.2 12MP f/2.2 7MP f/2.2
Optical Zoom : In/Out x3 / x0.5 x3 / x0.5 x2.5 / x0.5 x2 x2
Digital Zoom (Max) x15 x15 x12 x10 x10

ในการทดสอบครั้งนี้ เราจะอัปเดตให้ iPhone ทุกรุ่นเป็นเวอร์ชัน iOS 16.2 ล่าสุด และตั้งค่ากล้องให้เหมือนกันทุกอย่าง เช่น ใช้โปรไฟล์สี Standard ธรรมดา เปิด Smart HDR และ Prioritize Faster Shooting  สุดท้ายเวลากดถ่าย เราจะยกมือถือให้ปรับแสงเองเลย ไม่มีการแตะชี้นำกล้องครับ

**ภาพในอัลบั้มเรียงจาก iPhone 14 Pro Max > iPhone 13 Pro Max > iPhone 12 Pro Max > iPhone 11 Pro Max > iPhone Xs Max**

กล้องหลักเลนส์ไวด์





ภาพชุดแรก จะเห็นได้ว่ารุ่นที่สีสดที่สุดเป็น  iPhone 14 Pro Max ที่เร่งสีและความสว่างภาพขึ้นไป เห็น Contrast ชัด เหมือนใช้แอปปรับแสง ซึ่งเป็นฉากเดียวในการทดสอบนี้ที่กล้องเร่งสีจัดขนาดนี้ ถัดมา iPhone 13 Pro Max จะพยายามเพิ่มแสงให้สว่างเข้าไว้ ทำเอาสีสันออกขาวซีดไปหน่อย แต่พอเป็นรุ่น iPhone 12 Pro Max จะลดแสงลงไปบ้าง สังเกตได้จากสีกางเกงยีนที่ดำเข้มมากขึ้น แต่ก็ช่วยให้สีสันมีความสดใสขึ้นมาเล็กน้อย

ส่วน iPhone 11 Pro Max จะมีเอกลักษณ์กล้องติดสีฟ้า โทนภาพเลยออกมาเย็น และปรับสีผิวคนให้เพียนไปหน่อย และสุดท้ายเป็นรุ่นเก่าที่สุด iPhone Xs Max จะได้สีสันภาพที่ดูเป็นธรรมชาติ เที่ยงตรง แต่แสงจะมืดกว่ารุ่นอื่นหน่อย





ลดระดับแสงลงมาเล็กน้อย อยู่ในพื้นที่กึ่ง In Door ที่แสงยังสาดเข้ามาได้ ภาพชุดนี้แสดงความแตกต่างของกล้องได้หลายประการ อย่างแรกคือเรื่องการจัดการแสง ที่ต้องยกให้ iPhone 14 Pro Max ว่าสามารถคุมแสงให้ดูเป็นธรรมชาติ เน้นความสว่างช่วงใบหน้าและยังรักษาช่วงสีผมได้ดี สังเกตจากผมของพี่เก่ง (คนซ้าย) ที่ยังมีสีดำลึก และก็ต้องยกนิ้วให้กับ iPhone Xs Max ที่ยังจัดการแสงได้ดีเช่นกัน

ส่วนรุ่นอื่นทั้ง 13, 12, และ 11 Pro Max จะพยายามดึงภาพให้สว่าง ๆ เข้าไว้ ภาพจึงออกมาสีดูฟุ้งไปบ้าง โดยรุ่น iPhone 13 Pro Max ติดโทนสีฟ้า ต่างกับรุ่น iPhone 12 Pro Max ที่โทนสีออกเหลืองสว่าง





ขยับมาโดนแดดแรงสาดลงบนตัวนางแบบ ด้านแสงและสีของ iPhone 13 Pro Max และ iPhone 14 Pro Max มีความใกล้เคียงกันมาก ด้วยการพยายามยกพื้นที่เงาให้สว่างมากขึ้น และโทนสีออกมาติดสีเหลืองอุ่น แม้รุ่น 14 จะออกสีเหลืองมากกว่าหน่อย ในขณะที่ iPhone 12 Pro Max จะได้สีใกล้เคียงกับ iPhone XS Max ที่เป็นสีโทนเย็น และไม่ได้พยายามยกพื้นที่เงาให้สว่างขึ้นมามากนัก

ส่วนรุ่นที่แตกต่างที่สุดเป็น iPhone 11 Pro Max ที่ถ่ายแล้วมีเงาสีขาวคลุมภาพ แถมไม่ค่อยมีการเบลอพื้นหลัง ทำให้ภาพดูไม่มีมิติเท่าไร

กล้องหลักย้อนแสง





**ฉากนี้เลนส์ iPhone 11 Pro Max ไม่สะอาดครับ ขออภัยด้วย**

พอถ่ายย้อนแสงคราวนี้กล้องทุกตัวทำหน้าที่ได้ดี สามารถดึงแสงสีของวัตถุด้านหน้าได้ครบถ้วน แต่น่าเสียดายที่รุ่น iPhone 11 น่าจะเปื้อนคราบเลยทำเอากล้องเพี้ยน เกิดเป็นเงาขาวมัว ๆ

ทั้งนี้ รุ่น iPhone 14 จะเห็นว่ามีมุมที่โดนแดดสาดส่องลงมาเต็ม ๆ เกิดเป็นแฟลร์เล็ก ๆ ใต้สะพาน แต่กล้องก็สามารถจัดการกับแสงได้ดี ได้เป็นภาพสวยมาก ๆ ภาพนึงเลย

อีกเรื่องที่สังเกตุได้เป็นการปรับเกลี่ยผิวหน้า หรือใส่เอฟเฟกต์บิวตี้ ที่รุ่น iPhone 12 และ 13 ดูจะให้แต่งมาให้เยอะกว่ารุ่นอื่น ๆ ในขณะที่รุ่นอื่นยังพอเผยให้เห็นผิวหน้าที่สมจริงกว่าเล็กน้อย

กล้องหลักภาพวิว





ในภาพวิวตึกและสนามหญ้าเรียบ ๆ พบว่ากล้องที่ผ่านมาทั้ง 5 รุ่นนั้นมีความแตกต่างกันไม่มาก ทั้งเรื่องโทนสีและรายละเอียดต่าง ๆ มีจุดสังเกตเล็กน้อย อย่างในรุ่น iPhone 11 ที่ติดสีฟ้าคลุมไปทั่วทั้งภาพ ทำให้ส่วนของเงาและใบไม้สีเป็นโทนเย็น ส่วนท้องฟ้าก็เป็นสีสดใสขึ้นไปอีก และอีกข้อเป็นเรื่องความคมชัดของภาพในรุ่น Xs Max ที่ด้อยกว่ารุ่นอื่นมาก





ลองมาดูฉากวิวรายละเอียดสูง ระบบจะประมวลแสงสีออกมาไม่ต่างกันมากเหมือนกัน แต่มีจุดสังเกตคือรุ่นที่ดันแสงสว่างที่สุดคือ iPhone 13 Pro Max ตรงกันข้ามกับ iPhone Xs Max ที่แสงในภาพสว่างน้อยที่สุด แถมความคมชัดก็จะสู้รุ่นอื่นไม่ได้เลย เวลาซูมเข้าไปจะเห็นภาพแตกอย่างชัดเจน

iPhone 14 Pro Max เปิดปิดโหมดถ่าย 48MP


อีกหนึ่งโหมดที่เพิ่มเข้ามาสำหรับ iPhone 14 Pro Max คือการถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุดของเซนเซอร์ 48MP เราเลยเลือกถ่ายภาพรายละเอียดสูงอย่างต้นคริสต์มาสต์ ยืนถ่ายห่างจากต้นพอสมควร ภาพถ่ายปกติเมื่อซูมเข้าไปก็จะได้ภาพแตก และวัตถุต่าง ๆ เสียรายละเอียดไปเยอะ แต่เมื่อเปิดโหมด 48MP แล้วถ่าย จะได้ภาพที่ซูมเข้าไปไกลก็ยังได้เห็นรายละเอียดได้ครบ เห็นใบไม้เส็นเล็ก ๆ ได้อยู่ นอกจากนี้ยังช่วยเก็บภาพที่สว่างได้มากขึ้น และลด Noise ลงไปด้วย

ภาพถ่าย Portrait





ในโหมดถ่าย Portrait เราจะเทียบกันที่ระยะซูมสูงสุดของแต่ในรุ่น ซึ่งตัว Xs Max และ 11 Pro Max มีระยะซูม 2 เท่า 12 Pro Max อยู่ที่ 2.5 เท่า ส่วน 13 และ 14 Pro Max อยู่ที่ 3 เท่า

ภาพชุดนี้บอกตามตรงว่าแทบไม่มีความแตกต่าง ทั้งความชัด สีสัน อยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด แม้ iPhone 11 Pro Max ดูจะชอบเพิ่มแสงเยอะกว่ารุ่นอื่นนิดดดนึง ทำให้นางแบบดูเหมือนมีแสงเปล่งประกายออกมา แต่ก็ไม่ได้มองเห็นได้ชัด

มีข้อสังเกตุเดียวที่เห็นความแตกต่างชัดเจน คือเรื่องการตัดขอบวัตถุ ที่รุ่นเก่า ๆ ทั้ง Xs Max และ 11 Pro Max เลือกที่จะเบลอขอบใปเลย ทำให้ฉากนี้ทั้งสองรุ่นดูตัดขอบเนียนใช้ได้

แต่ในทางกลับกัน รุ่นใหม่ ๆ อย่าง 12 และ 13 Pro Max มีความพยายามตัดขอบวัตถุละเอียดถึงระดับเส้นผม ทำให้มีส่วนที่ตัดขอบออกมาแปลก ๆ ดูไม่เนียน แต่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนรุ่น 14 Pro Max ที่เก็บส่วนปอยเส้นผมได้ค่อนข้างครบถ้วน แม้ยังดูออกอยู่ว่าเป็นการละลายหลังด้วยซอฟต์แวร์





ฉากถ่ายภาพบุคคลกับแสงแดด ซีนนี้หาความต่างของภาพยากอีกแล้ว พอจะเห็นโทนสีผิวที่ไปทางสีขาวบ้างในรุ่น iPhone 13 และ XS Max แต่ไม่ได้ต่างกับรุ่นอื่นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่เมื่อสังเกตจากสีเสื้อจะพบว่า iPhone 11 มีสีสดกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อย

ส่วนเรื่องการตัดขอบในรุ่น iPhone 14 และ 13 เลือกที่จะเก็บปอยผมเล็ก ๆ ไว้ ต่างกันรุ่นที่เก่ากว่านั้นที่เลือกตัดไปเป็นพื้นหลังเลย





ลองดูท่าโพสต์แกล้ง AI ด้วยช่องว่างแขน ที่หากเป็นกล้องจริง ๆ ก็จะต้องเบลอภาพพื้นหลังออกไปในส่วนนั้นด้วย แต่ดูเหมือนรุ่นเก่า ๆ จะยังรับมือสถานการณ์แบบนี้ไม่ดีเท่าไร อย่าง Xs Max ก็เบลอได้แค่ครึ่งเดียว ส่วน 11 Pro Max ไม่มีการเบลอใด ๆ เลย ต่างกับมือถือรุ่น 12 Pro Max ขึ้นไป ที่จัดการได้อยู่หมัด

ต่อมาเป็นเรื่องแสง ที่ในรุ่น 11 และ 12 Pro Max ติดแสงขาวคลุมทั่วกันทั้งภาพ ในขณะที่รุ่นอื่นมีแสงเข้มเป็นปกติ นอกจากนี้ iPhone 11 Pro Max ยังมีข้อสังเกตเป็นเรื่องสี ที่ปรับความอิ่มตัวสูง จนดูเหมือนเข้าแอปแต่งภาพมา

ด้านการตัดขอบวัตถุ ดูเหมือนว่ามือถือทั้ง 5 รุ่นจัดการได้ไม่ต่างกันเท่าไร ส่วนการเบลอหลังในรุ่น Xs Max เบลอให้น้อยสุด





ถ่าย Portrait คู่สองคน มีข้อสังเกตแรกเป็นการเบลอหลังของ XS Max ที่เบลอมาน้อยที่สุด ส่วนรุ่นอื่นไม่ค่อยต่าง เรื่องต่อมาคือการจับโฟกัสภาพ ที่รุ่น iPhone 12 ถ่ายยังไงก็ไม่ยอมจับโฟกัสให้ชัดเจน เลยจะดูเบลอไปด้วยกันทั้งสองคน ส่วนรุ่น iPhone 13 จับใบหน้าพี่เก่งด้านซ้ายได้คมชัด แต่เบลอน้องด้านขวาที่อยู่ข้างหลังไปอีกนิดเล็กน้อย

สุดท้ายเรื่อง Contrast ของภาพ ที่รุ่น iPhone 14 และ 11 ปรับความต่างแสงสูงทำให้แสงที่กระทบบนใบหน้าดูสว่างเป็นสีขาวกว่ารุ่นอื่น

กล้องเลนส์อัลตราไวด์





เปิดการเทียบกล้องอัลตราไวด์ด้วยฉากคลอง ที่มีมุมมืดเป็นขอบใต้สะพาน และจุดสว่างที่สุดเป็นดวงอาทิตย์ พบว่ามือถือทั้ง 5 รุ่น ผลิตภาพออกมาได้ใกล้เคียงกัน แต่เนื่องจากรุ่น XS Max ไม่มีเลนส์อัลตราไวด์ จึงจะใช้เป็นเลนส์กว้างธรรมดาถ่ายได้มุมภาพที่แคบกว่ารุ่นอื่น สีก็ดูจืดชืด และแสงแดดที่ตกมากระทบเลนส์ก็ฟุ้งกระจายไปทั่วภาพ แต่ส่วนนี้ก็อาจเกิดจากมุมที่ถ่ายแตกต่างกันเล็กน้อย

อีกเรื่องที่น่าสนใจเป็นสีของภาพ ที่สไตล์สีสันสดใสของ iPhone 11 เข้ากับฉากที่มีมุมมืดและแสงสีเหลืองแบบนี้ ช่วยชูพื้นที่ส่วนตึกให้ดูขาวสว่างมากขึ้น





ฉากนี้เป็นอัลตราไวด์แบบย้อนแสง สถานที่จริงทั้งสองคนอยู่ในเงามุมมืดพอสมควร จะเห็นได้ว่ารุ่นใหม่ iPhone 14 และ 13 มีความสามารถจัดการแสงวัตถุได้ดี โดยรุ่น iPhone 14 เพิ่มแสงและสีสันให้ดูสว่างมากขึ้น กำลังพอเหมาะเป็นธรรมชาติ ส่วน iPhone 13 เหมือนจะพยายามเพิ่มแสงให้มากไปหน่อย ทำให้สีดูเข้มไปเล็กน้อย แต่บางคนอาจชอบ

ส่วนรุ่นอื่นเหมือนจะไม่ได้มีการเพิ่มแสงให้วัตถุมากเท่าไร มีรุ่นที่ทำเอานางแบบดูมืดไปหมดคือ iPhone 12 ต่อมา iPhone 11 ก็ยังติดสีฟ้ามาคลุมอีกเช่นเคย สุดท้ายต้องชม iPhone XS Max (ใช้กล้องหลัก) ที่แม้ไม่มีการเพิ่มแสงเท่าไร แต่สีสันออกมาดูเป็นธรรมชาติ สว่างใช้ได้





ปิดท้ายด้วยฉากในสวน ที่ดูไม่ต่างกันเท่าไร พอจะเห็นได้เพียง Contrast ที่เข้มและสีสันที่ไปทางโทนเหลืองมากกว่า ของ iPhone 14 Pro Max และมีรุ่นที่ดันเงาให้สว่างที่สุดเป็น iPhone 11

ถ่ายภาพมาโคร





โหมดถ่ายภาพมาโครจะมีแค่ในรุ่น iPhone 14 Pro และ 13 Pro เท่านั้น โดยใช้เลนส์ Ultrawide ในการถ่าย ส่วนรุ่นอื่น ๆ ที่ไม่มีโหมด Macro หากต้องการถ่ายภาพใกล้วัตถุก็ต้องอาศัยกล้องหลักเอา แต่ก็จะเข้าใกล้วัตถุไม่ได้เท่า 2 รุ่นดังกล่าว โดยรุ่น iPhone 11 Pro Max และ iPhone XS Max มีระยะเข้าใกล้วัตถุเท่ากัน แต่ iPhone 12 Pro Max จะมีระยะเข้าใกล้วัตถุไกลกว่าหน่อย





แต่หากต้องการถ่ายภาพที่ไม่ได้ใกล้วัตถุมากเกินไป กล้องแต่ละตัวก็จะเข้าใกล้ได้ระยะประมาณนี้ จะเห็นว่า iPhone 14 Pro Max ปรับคอนทราสต์สูงจนเห็นดอกไม้ในพื้นหลังเป็นเม็ดสีขาวเด่น ส่วนรุ่นอื่นก็จะเบลอเนียน ๆ รวมกันไป


และเมื่อเทียบสองกล้องที่รองรับโหมดมาโคร จะเห็นว่า iPhone 14 ติดโทนสีเหลืองขาว ส่วน iPhone 13 ออกไปทางสีฟ้าจาง ๆ เห็นได้ชัดจากการถ่ายดอกไม้สีขาวแบบนี้


ระยะถ่ายกล้อง 14 และ 13 นั้นสามารถนำมาถ่ายดวงตาคนได้เลย ซึ่งรุ่น iPhone 14 Pro Max ลองกดถ่ายหลายรอบแล้วแต่กล้องเลือกไปโฟกัสที่ขนตามากกว่าดวงตา สีสันต่าง ๆ ก็ยังคงรักษาตามสไตล์ของกล้อง คือสีออกเข้ม ๆ หม่น ต่างกับ iPhone 13 Pro Max ที่จับโฟกัสดวงตาได้ และปรับสีสันให้ดูสว่างมีชีวิตชีวามากขึ้น

ภาพซูมไกล

ระยะซูม 2 เท่า





แม้ว่าเลนส์ซูมของไอโฟนแต่ละรุ่นจะไม่เท่ากัน ดังนั้นบางรุ่นเวลาซูมระยะ 2 เท่า ก็ต้องใช้ระบบดิจิทัลเข้าช่วย พบว่ารุ่น 14 และ 13 ยังรักษาความคมชัดไว้ได้ดีไม่แพ้รุ่นที่ใช้เลนส์ 2x อยู่แล้ว แต่เหมือนว่า 12 จะเก็บรายละเอียดได้ไม่ดีเท่า ส่วนรุ่น XS Max แม้มีเลนส์ 2x อยู่แท้ ๆ แต่ภาพก็ออกมาไม่คมชัดตามเคย

อีกข้อสังเกตนึงเป็นเรื่องสี ที่ฉากนี้ไอโฟน 11 ไปเอาแสงเหลืองมาจากไหนไม่ทราบ อีกรายก็เป็นไอโฟน 14 ที่ทำภาพออกมาเหลืองเล็กน้อยเช่นกัน

ระยะซูม 10 เท่า





พอซูมไกลไปอีกเป็น 10 เท่า พบว่า iPhone 4 และ 13 ยังเก็บรายละเอียดไว้ได้ครบโดย 14 ทำได้ดีกว่าพอสมควร ไม่มีร่อยรอยภาพเป็นปื้นสีน้ำมันเลย

ส่วนรุ่น iPhone 12 เหมือนจะเก็บรายละเอียดได้ไม่เท่ารุ่น 11 และไม่ได้ดันแสงให้สว่างเท่าด้วย และสุดท้าย XS Max เป็นรุ่นที่ภาพคมชัดน้อยที่สุด

ระยะซูม Optical





นอกจากเทียบดูความสามารถดิจิทัลซูมแล้ว เรายังอยากดูเรื่องการซูมของกล้องแบบ Optical ด้วย โดย iPhone 14, 13, 12, 11, XS Max มีระยะซูม 3x, 3x, 2.5x, 2x, 2x ตามลำดับ ทำให้ได้ภาพออกมาตามนี้ พบว่า iPhone 14 กับ 13 เก็บภาพได้คมชัดและจัดการ noise ได้ดีที่สุด แต่ด้านอื่นกล้องทุกตัวทำหน้าที่ได้ดีพอ ๆ กัน

กล้องหน้าถ่ายภาพเซลฟี่





ภาพเซลฟี่ชุดนี้ปรับให้เป็นมุมถ่ายกว้าง (ยกเว่นรุ่น XS ที่ปรับไม่ได้) เมื่อเทียบกันแล้ว พบว่ารุ่น 14, 13, 12, 11 ถ่ายออกมาแล้วภาพเหมือนกันมาก ชี้ความแตกต่างเด่น ๆ ไม่ได้ มีรุ่นที่แปลกแยกออกมาหน่อยเป็น XS Max ที่ภาพไม่ชัดมากจากความละเอียดที่มีเพียง 7MP (รุ่นอื่น 12MP) สีออกนวล ๆ สีสันตรงใบหน้าก็ออกเป็นสีขาวสว่าง เสียรายละเอียดตรงที่แสงส่องบางส่วน





ฉากนี้ใช้แสงด้านในห้าง และใช้กล้องเซลฟี่ซูมเข้าใกล้มากขึ้น พบว่ารุ่น iPhone 12 ไม่ค่อยจับโฟกัสวัตถุอีกแล้ว อาการเหมือนถ่ายกล้องหลัง Portrait ในซีนเดียวกัน อีกตัวที่ภาพไม่ชัดมากคือกล้อง XS Max ที่เข้าใจได้เพราะมีความละเอียดเพียง 7MP ส่วนรุ่นที่ภาพคมชัดที่สุด ตกเป็นของ iPhone 14 ที่จับรายละเอียดบนใบหน้าและฉากหลังได้ครบถ้วน

เซลฟี่ Portrait คู่





ลองถ่ายเซลฟี่สองคนแบบเปิดโหมด Portrait ให้ได้ละลายพื้นหลังดู สังเกตได้ว่ารุ่น iPhone 14 และ 13 ตัดขอบได้โอเค ส่วนรุ่นที่เหลือมีติดตุ๊กตาหมีข้างหลังมา รายละเอียดของภาพยังได้ผลลัพธ์แบบเดิมกับภาพชุดที่แล้ว รุ่น iPhone 12 ยังไม่ค่อยปรับแสงสีให้สว่างขึ้นอีกแล้ว

ถ่ายภาพอาหาร





ภาพสเต็กเนื้อและผักเครื่องเคียงหลากสีสัน ที่ถ้าบอกว่าใช้กล้องตัวเดียวกันถ่ายก็คงเชื่อได้ไม่ยาก เพราะว่าสีสันเหมือนกันหมดทุกประการ





ฉากนี้ก็พอสังเกตเห็นความแตกต่างได้บ้าง อย่างการที่ iPhone 12 ปล่อยให้สีของอาหารดูหม่นหมองลงไป จากเค้กสีเหลืองสดใสกลายเป็นน้ำตาลเทา ส่วน iPhone 11 ก็ดึงส่วนมืดของภาพให้ออกมาดูเป็นสีขาวมัวอีกแล้ว ส่วนรุ่นอื่น ๆ ดูคล้ายคลึงกันอย่างมาก





แต่พอขยับออกมาให้กล้องได้เห็นมุมกว้าง ถ่ายคนและอาหาร ก็จะเริ่มเห็นความแตกต่าง สังเกตได้ว่ากล้องในรุ่น iPhone 12 และ Xs Max จะเบนความสนใจไปให้ตัวบุคคลและปล่อยเบลออาหารบนโต๊ะไป ส่วน 14 และ 13 จับโฟกัสได้ชัดทั้งภาพ โดย 14 มีรายละเอียดภาพมากที่สุด

การจัดการสีดำเส้นผมคราวนี้ iPhone 14 และ XS Max ยังคุมได้ดีทั้งคู่เช่นเคย เฉดออกมาเป็นธรรมชาติ ด้าน iPhone 13 ซูมดูใกล้ ๆ แล้วยังเห็นสไตล์สีโทนสว่าง ปรับแต่งจนสีดูคล้ายภาพน้ำมันอีกแล้ว ส่วนภาพของ iPhone 11 ก็มีสีขาวฟุ้งจากการพยายามยกแสงภาพ





ได้เวลาทดสอบตัว AI ตัดขอบวัตถุอีกครั้งด้วยเซ็ตภาพเครื่องดื่มกับหลอด มีไอโฟนรุ่น XS Max และ 11 ที่ตัดหลอดเราทิ้งละลายไปกับพื้นหลัง ถ่ายกี่รอบก็ไม่ยอมดึงกลับมา ส่วน 14, 13, 12 ยังดูออกว่าเป็นหลอด และตัดขอบมาเนียนตาใช้ได้ แต่จากภาพเซ็ตนี้ 12 ตัดขอบเนียนที่สุด

โหมดถ่ายภาพกลางคืน NIGHT MODE





เข้าสู่ช่วงถ่ายภาพกลางคืนกัน ฉากแรกอยู่ในพื้นที่แสงสลัว ถ่ายด้วยกล้องหลักธรรมดา และไม่ได้เปิด Night Mode พบว่าแต่ละกล้องมีความแตกต่างกันสูงมาก เริ่มจากรุ่นเก่าสุด XS Max ที่ถ่ายออกมาแล้วภาพมืดที่สุด ไม่ได้มีการชดเชยแสงสีมากเท่าไร แถม Noise เยอะมาก

ถัดมาเป็นรุ่น 11 ที่แม้ Noise ยังมีเยอะอยู่ แต่ได้ปรับแสงให้สว่างขึ้นและภาพคมชัดขึ้นมาก ติดเป็นโทนสีเหลือง แต่ก็ได้พัฒนาต่อไปในรุ่น 12 ที่ลดสีเหลืองลงไปให้ภาพดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น พร้อมลดจำนวน Noise ลงไป แต่ก็ต้องแลกมากับความสว่างที่ลดลงมาเล็กน้อย ออกเป็นโทนมืด ๆ อย่างที่เราได้เห็นกันในภาพชุดก่อน ๆ

แต่พอถ่ายด้วยรุ่น 13 ก็เห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด คราวนี้สีสันดูเป็นธรรมชาติ ไม่ออกโทนสีไหนมากเกินไป ลด Noise ลงไปเยอะ และมีความคมชัดสูง กลายเป็นว่าสไตล์สีที่ดูโดดของ iPhone 13 Pro Max พอมาใช้ถ่ายภาพกลางคืนแล้วออกมาสวยมาก ๆ ครับ

สุดท้ายในรุ่น 14 ได้ปรับลดความอิ่มสีและความสว่างลงไปจากรุ่น 13 ได้เป็นภาพโทนสีออกน้ำเงิน ดูเป็นตอนกลางคืนมากขึ้น และสามารถลด Noise ลงไปได้อีก ทำให้ได้ภาพคมชัด

เปรียบเทียบเปิด-ปิด Night Mode

คราวนี้เราขอลองเทียบระหว่างภาพที่เปิดกับปิด Night Mode โดยมือถือรุ่น XS Max ที่ไม่มีโหมดถ่ายภาพกลางคืนก็จะใช้เป็นภาพเดียวกันทั้งสองอัลบัม มาเริ่มดูภาุดแรกที่ยังไม่ได้เปิดใช้โหมดกลางคืนกันก่อนครับ





ฉากนี้ยังได้ผลลัพธ์ด้านการจัดการ Noise เหมือนเดิม ยิ่งรุ่นใหม่ขึ้นไปก็ยิ่งได้ภาพคมชัด แต่รุ่น iPhone 11 ดูติดเหลืองน้อยลงมา ต้องชูความเหลืองกับความสว่างให้รุ่น 13 ไป





พอเปิด Night Mode พบว่ารุ่น 11 สีสดมาก ๆ สีเขียวต้นไม้โดดออกมาชัดเจน และได้ลด Noise ลงไปเยอะพอสมควร ส่วนรุ่นอื่นก็เหมือนเร่งสไตล์สีของภาพให้ชัดเจนขึ้นไปอีก อย่าง 12 ก็ปรับแสงสว่างขึ้น แต่ยังสว่างน้อยกว่ารุ่นอื่น 13 แสงสว่างที่สุด มีสีสันสดใส และ 14 ก็ลดความสว่างลงมาหน่อย แต่ภาพสวยคม สีไม่โดดเกินไป

กล้องเซลฟี่เปิด-ปิด Night Mode





ลองถ่ายเซลฟี่แบบไม่เปิดโหมดกลางคืนกันก่อน จุดที่ถ่ายมีแสงน้อยมาก ๆ ซึ่งกล้องแต่ละตัวก็มีความสามารถต่างกันไป มีรุ่นที่แสงสว่างสุดเป็น iPhone 14 แต่ก็ได้สีที่จืดชืดลงมาเช่นกัน ส่วนรุ่นที่สีสดที่สุดคงต้องยกให้ iPhone 13 ส่วน iPhone 12 และ 11 ทีโทนสีใกล้เคียงกัน แต่ 11 จะสว่างกว่า สุดท้ายรุ่น XS Max ภาพมืดและไม่ชัดมาก ๆ





ส่วนรุ่นที่เปิดโหมดกลางคืนของกล้องหน้าได้ มีแค่ iPhone 14, 13, และ 12 เท่านั้น ดังนั้นรุ่น 11 และ XS Max จะยังเป็นภาพเดิม พบว่ารุ่น iPhone 13 ปรับ Contrast ภาพมืด ๆ แบบนี้หนักมาก ส่วนมืดก็มืดเข้ม ส่วนสว่างก็แสงจ้า พร้อมเร่งสีให้เข้มขึ้นไปอีก ส่วน iPhone 12 และ iPhone 14 มีโทนสีใกล้เคียงกัน ต่างที่ 14 จะมีความสว่างมากกว่า ได้เป็นภาพที่ดูเป็นธรรมชาติดี





 





ภาพตึกยามค่ำคืนที่เปิด Night Mode (ไม่รวม XS Max) พบว่า iPhone 14 ปรับแสงสว่างมากที่สุด แต่ก็เพิ่ม Noise มากขึ้นไปด้วย ถ่ายท้องฟ้าออกมาโทนสีฟ้าสว่าง ส่วน iPhone 13 ปรับ contrast ภาพทำให้เห็นตึกได้ชัดทุกส่วน โดยรวมแล้วกล้องแต่ละตัวยังยึดสไตล์ภาพได้เหมือนกับฉากอื่น ๆ ในตอนกลางคืนครับ

Ultrawide กลางคืน





ใช้เลนส์อัลตราไวด์มาถ่ายภาพท้องถนนยามค่ำคืนแบบไม่เปิด Night Mode ด้วยความที่เป็นเลนส์รองก็จะได้คุณภาพด้อยลงมาทุกตัว (ยกเว้น XS Max ที่ใช้ได้แค่กล้องหลัก) รุ่นใหม่ล่าสุด 14 ถ่ายออกมาได้ความคมชัดสูง เกลี่ย Noise เนียนกว่า 13 เล็กน้อย แต่กล้องทั้งสองรุ่นเพิ่ม Sharpness เยอะมาก ทำเอาภาพกลายเป็นปื้น ๆ เหมือนภาพวาดน้ำมัน ซึ่งถ้าไม่ซูมเข้าไปดูลึก ๆ ก็จะมองว่าภาพคมชัดดี ส่วน 12 และ 11 ภาพออกมาใกล้เคียงกัน แต่ 11 จะภาพออกมัว ๆ มากกว่า แต่สุดท้ายทุกรุ่นก็มีคุณภาพไม่เท่ากล้องหลักของ XS Max เลย





อีกซีนด้วยเลนส์อัลตราไวด์ ฉากนี้มืดมาก ๆ จนมองอะไรเกือบไม่เห็น ทำเอา 12 ที่ปกติปลอยภาพมืดอยู่แล้วทำต้นไม้ตรงกลางกลืนหายไป ส่วนรุ่น 11 กลายเป็นว่าเร่งสีได้ดียังดึงให้เห็นความเขียวของต้นไม้ได้มากกว่ารุ่นอื่นหน่อย พร้อมเห็นกระถางสีส้มอิฐตั้งอยู่ด้วย ถ้าจะพูดถึงการเก็บรายละเอียดคงต้องยกให้ 14 และ 13 ที่เก็บเส้นลายทางเดินได้อยู่บ้าง แต่สุดท้ายแต่ละรุ่นก็ไม่ต่างกันมากขนาดนั้น

ลักษณะเด่นของกล้อง iPhone ทั้ง 5 รุ่น

iPhone 14 Pro Max – กล้องเก่งสุด แต่อาจสวยไม่ถูกใจ

ไอโฟนรุ่นล่าสุดจากปี 2022 ตัวนี้จะเห็นพัฒนาการในทุกด้าน เช่นในเรื่องความคมชัดและการจัดการภาพแสงน้อย แต่จะมีจุดสังเกตเป็นสีสัน ที่รุ่นนี้จะต่างกับ iPhone 13 Pro Max มาก เพราะไม่เน้นเร่งความอิ่มตัวสีและเลือกที่จะคงแสงให้มืดไว้บ้างเพื่อความสมจริง เลยอาจมองได้ว่าสีจืดชืด หรือแสงติดมืด และมีจุดสังเกตอีกด้านเป็นเรื่อง Contrast ที่ปรับมาสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ เลยจะได้ภาพที่ดูแข็งไปหน่อย เป็นที่มาที่ใครหลายคนไม่ค่อยถูกใจเจ้ากล้องในรุ่นนี้กันนัก

iPhone 13 Pro Max – ราชาสีสดใส ขวัญใจมหาชน

เมื่อย้อนกลับไปดูกล้องจากไอโฟนปีที่แล้ว รุ่น iPhone 13 Pro Max มีจุดเด่นในเรื่องสีที่จัดจ้าน พร้อมพยายามเร่งแสงให้สว่างเยอะ ๆ เข้าไว้ พอรวมกันทั้งสองอย่างกลายเป็นว่าภาพหลาย ๆ ช็อตออกมาแล้วดูไม่ค่อยสมจริง แต่จุดนี้ก็อาจกลายเป็นความชอบของใครหลาย ๆ คนได้ หากเป็นคนชอบให้ภาพออกมาสว่างและมีสีสันสดใสเข้าไว้ ถ้าใช้กล้องรุ่นนี้ถ่ายก็จบในกล้อง ไม่ต้องไปแต่งต่อในแอปนอก

iPhone 12 Pro Max – จอมหม่นหมอง

iPhone 12 Pro Max มีกล้องที่ไม่ค่อยชอบชดเชยแสง ยอมปล่อยวัตถุให้แสงดรอปลงไปตามที่เห็นได้ในหลาย ๆ ฉาก แต่จะยังรักษาโทนสีให้เป็นธรรมชาติไว้ได้ ทำให้ยังได้ภาพออกมาเป็นสไตล์ iPhone ที่ทุกคนคุ้นเคยกันเช่นเดิม โดยรวมแล้วไม่ใช่รุ่นที่มีจุดเด่นหรือจุดด้อยให้สังเกตมากเท่าไร เป็นกล้องที่โอเคมาก ๆ ตัวนึง

iPhone 11 Pro Max – กล้องดินแดนสวรรค์

iPhone 11 Pro Max จากปี 2019 เป็นรุ่นที่เริ่มสร้างความแตกต่างให้กับกล้องไอโฟนด้วยฟีเจอร์ Deep Fusion มาช่วยประมวลผลภาพ เลยอาจเป็นที่มาว่าทำไมกล้องในรุ่นนี้ถึงถ่ายออกมาแล้วได้ภาพที่สีแปลกตาบ้าง และไม่สามารถจัดการกับแสงในที่มืดได้ดีเท่าไหร่ แถมพอเลือกที่จะดันแสงให้สว่างก็จะดึงแสงไปทั่วภาพ เกิดเป็นภาพขาว ๆ ฟ้า ๆ แต่อาการแบบนี้ก็จะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกฉากนะ แต่หากถ่ายภาพในที่สว่างแบบทั่วไป รุ่น iPhone 11 Pro Max ก็ถ่ายออกมาสวยใช้ได้ ไม่แพ้รุ่นอื่นครับ

iPhone XS Max – เก่าแต่ยังเก๋า กล้องไอโฟนสุดคลาสสิก 

รุ่นที่เก่าที่สุดของการทดสอบครั้งนี้ ที่มีข้อดีที่สุดเป็นเรื่องสีสัน ที่ไม่ได้ใช้ระบบจัดการสีแบบใหม่อะไรแต่ยังถ่ายได้ดูเป็นธรรมชาติ แต่ก็จะมีข้อเสียเป็นเรื่องความคมชัดที่ด้อยลงไปมาก ๆ ยิ่งเป็นกล้องหน้าก็จะเห็นความเบลอของภาพเข้าไปใหญ่ นอกจากนี้ยังไม่มีระบบถ่ายภาพตอนกลางคืน ทำให้ภาพออกมามืดและเห็น Noise ได้ชัดเจน หรือหากถ่ายที่ความต่างแสงสูงก็จะไม่ปรับระดับเงาให้เห็นรายละเอียดมากขึ้นได้แต่อย่างใด

สรุป

กล้อง iPhone 14 Pro Max,  13 Pro Max, 12 Pro Max, 11 Pro Max, และ XS Max เวลาถ่ายในฉากปกติ มีแสงสว่าง ก็จะสังเกตเห็นข้อแตกต่างได้ไม่มาก แต่เมื่อลองทดสอบสถานการณ์ยาก ๆ เช่นภาพย้อนแสง ภาพถ่ายในที่มืด ก็จะเริ่มเห็นข้อเด่นข้อด้อยของแต่ละรุ่น ยิ่งเป็นรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้นเท่าไร ก็จะสามารถรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น

สุดท้ายหากใครสนใจเลือกซื้อไอโฟนที่กล้อง ก็เลือกดูว่าเราชอบสไตล์สีสันแบบไหน แล้วอยากถ่ายในฉากแบบไหนบ้าง เพื่อดูว่ากล้องตัวไหนเหมาะ แต่ถ้าอยากได้กล้องที่มีความสามารถหลากหลายรองรับได้ทุกสถานการณ์ มือถือรุ่นใหม่ ๆ อย่าง iPhone 14 Pro Max และ 13 Pro Max ก็น่าจะเป็นตัวที่ตอบโจทย์ได้ดีไม่แพ้กันครับ

from:https://droidsans.com/apple-iphone-camera-5-generation-comparison/

Advertisement

เปรียบเทียบ iPhone X ถึง iPhone 14 ที่ผ่านมา มีอะไรเพิ่มเข้ามา มีอะไรหายไปบ้างนะ?

ในตอนนี้ iPhone ในดีไซน์แบบ Notch Display ได้เดินทางมาถึง iPhone 14 กันแล้ว ซึ่งก็ได้ผ่านการปรับดีไซน์แบบ Minor Change หลายต่อหลายครั้ง และในทุก ๆ ครั้งที่รุ่นใหม่เปิดตัว ก็มักจะมีฟีเจอร์เด่น ๆ ที่ใส่มาเพื่อขายเครื่องรุ่นนั้นโดยเฉพาะ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้ผู้ใช้หลาย ๆ คนสับสนว่า “รุ่นไหนเพิ่มอะไรมาบ้างนะ ?” วันนี้เราเลยได้รวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบ iPhone ในดีไซน์แบบรอยบากทุกรุ่นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาว่าได้เพิ่ม ตัด หรือลดฟีเจอร์ไหนไปบ้าง เพื่อไขข้อสงสัยให้ทุกคนได้กระจ่างกัน

อยากดูรุ่นไหน กดกระโดดข้ามไปดูรุ่นนั้นได้เลย

iPhone X

iPhone X ถือเป็นการนับศักราชใหม่ด้วยการพลิกรูปโฉมแบบหมดจดนับตั้งแต่ปี 2007 มาพร้อมกับอะไรหลาย ๆ อย่างที่ถือเป็น “ครั้งแรก” บน iPhone อย่างเช่น

  • จอ Super Retina HD OLED ไร้ขอบมีรอยบาก
  • กล้องหน้า TrueDepth ที่รวมเซ็นเซอร์ไว้กว่า 6 ตัว เพื่อเก็บใบหน้าผู้ใช้งานแบบ 3 มิติ
  • สร้างมาตรฐานปลดล็อกตัวเครื่องแบบใหม่ Face ID แทนที่ Touch ID บนปุ่ม Home ที่ใช้มาอย่างยาวนานตั้งแต่ iPhone 5s
  • มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A11 Bionic พร้อมชิป Neural Engine เป็นครั้งแรก

iPhone XR / XS / XS Max

ถัดมา 1 ปี Apple ได้เปิดตัว iPhone X  รุ่นใหม่ได้แก่ iPhone XS พร้อมแตกไลน์อัพใหม่ 2 รุ่น อาทิ รุ่นพรีเมียมจอใหญ่อย่าง XS Max และ XR รุ่นเริ่มต้นโดยทั้ง 3 รุ่นได้มีการอัปเกรด (และดาวน์เกรด) แบบ Minor Change ไม่ทิ้งลายจาก iPhone X รุ่นก่อนมากนัก โดยเฉพาะ iPhone XS / XS Max ที่เรียกได้ว่าเหมือนกับ iPhone X แทบจะ 80% เลยก็ว่าได้ ซึ่งถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแบบสเปคประปราย แต่สิ่งที่ 3 รุ่นได้อัปเกรดเหมือนกันก็คือ

  • ชิปเซ็ตประมวลผลตัวใหม่อย่าง Apple A12 Bionic ซึ่งมาพร้อมกับชิป Neural Engine รุ่นที่ 2
  • กล้องหลัก Wide-Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ใช้เซ็นเซอร์ใหม่ที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อน 30%  และมีค่า ISO ที่กว้างกว่าเดิม 
  • รองรับการประมวลผลภาพ HDR แบบใหม่ “Smart HDR” ที่จะช่วยปรับแสง ดึงรายละเอียดภาพออกมาได้ดีขึ้นไม่ว่าถ่ายในแดดจ้า ๆ หรือที่แสงน้อย
  • เพิ่มฟีเจอร์ Advanced bokeh และ Depth Control ในกล้อง Portrait Mode ที่สามารถปรับความเบลอ และระยะตื้นลึกของภาพได้อิสระมากขึ้น
  • เป็นครั้งแรกที่ iPhone รองรับ 2 ซิม ผ่านเทคโนโลยี eSIM
  • อัดวิดีโอกล้องหน้าที่ความละเอียด 1080p ที่ 60fps และอัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอได้แล้ว

สิ่งที่ถูกดาวน์เกรดลงไปส่วนใหญ่จะมีในเฉพาะรุ่น iPhone XR โดยมีการตัดฟีเจอร์ ลดสเปค และลดเกรดวัสดุ เพื่อดั้มป์ราคาให้เบากว่าเดิมเกือบ 1 เท่า โดยสิ่งที่ถูกลดลงไปมีดังนี้

  • ใช้จอ Liquid Retina HD IPS LCD ความละเอียด HD+ แทน OLED แต่ก็ทดแทนมาด้วยขนาดจอที่ใหญ่กว่ารุ่น XS เป็น 6.1 นิ้ว
  • มีกล้องหลังแค่ตัวเดียว แต่ยังใช้ฟีเจอร์กล้องได้ครบครันโดยใช้ Software ช่วย
  • ลดเกรดวัสดุจาก Stainless Steel ขัดเงา เป็น Aluminum แทน
  • ตัด 3D Touch ออก ใช้ Haptic Touch แทนซึ่งภายหลังก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานของ iPhone รุ่นใหม่ ๆ

ตารางเทียบสเปค iPhone X, iPhone XR และ iPhone XS / XS Max

สเปค / รุ่น IPHONE X IPHONE XR IPHONE XS / XS MAX
หน้าจอแสดงผล Super Retina HD OLED 60 Hz Liquid Retina HD (IPS LCD) 60 Hz Super Retina HD OLED 60 Hz
ขนาดจอแสดงผล 5.8″ 6.1″ XS – 5.8″
XS Max – 6.5″
ความละเอียด 2436 x 1125 458ppi 1792 x 828 326 ppi XS – 2436 x 1125 458 ppi
XS Max – 2688 x 1242 458 ppi
CPU A11 Bionic A12 Bionic A12 Bionic
RAM 3GB 3GB 4GB
ความจุ 64GB / 256GB 64GB

128GB

256GB

64GB

256GB

512GB

กล้องหลัก  12MP (Wide) f/1.8, 1.22µm, กันสั่น OIS 12MP (Wide) f/1.8, 1.4µm, กันสั่น OIS 12MP (Wide) f/1.8, 1.4µm, กันสั่น OIS
กล้อง Ultra Wide X X X
กล้อง Telephoto 12 MP f/2.4, 1.0µm, กันสั่น OIS X 12 MP f/2.4, 1.0µm, กันสั่น OIS
Optical Zoom x2 X x2
Digital Zoom x10 x5 x10
กล้องหน้า 7MP f/2.2 TrueDepth 7MP f/2.2 TrueDepth 7MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS
การถ่ายวิดีโอ กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 1080p @ 30 fps

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 1080p @ 30 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 1080p @ 30 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

การเชื่อมต่อ Wi-Fi 5

Blutooth 5.0

5G X

(4G LTE)

ระบบ Dual SIM X

(ผ่าน eSIM)

(ผ่าน eSIM)

ลำโพง ลำโพง Stereo ลำโพง Stereo ลำโพง Stereo

รองรับ Spartial Audio และ Dolby Atmos

มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP67

(ทนน้ำลึกสูงสุด 1 เมตร 30 นาที)

IP67

(ทนน้ำลึกสูงสุด 1 เมตร 30 นาที)

IP68

(ทนน้ำลึกสูงสุด 2 เมตร 30 นาที)

แบตเตอรี่ 2716 mAh 2942 mAh Xs: 2658 mAh
Xs Max: 3174 mAh
ชาร์จไว 15W
ชาร์จไร้สาย Qi Wireless Charge 7.5W

 

iPhone 11 Series

ปี 2019 Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่โดยนับรุ่นเลขรุ่นต่อจาก iPhone X Series และข้ามรุ่นที่ 9 ไปแบบงง ๆ โดยเปิดตัวด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ iPhone 11 ซึ่งเป็นรุ่นมาตรฐานที่มีการอัปเกรดจาก iPhone XR อีกนิดหน่อย เช่น

  • อัปเกรดชิปเซ็ตประมวลผลตัวใหม่อย่าง Apple A13 Bionic ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม 50% – 60% พ่วงด้วยชิป Neural Engine รุ่น 3
  • เพิ่มกล้อง Ultrawide เข้าสู่ครอบครัว iPhone เป็นครั้งแรก
  • เปลี่ยนเซ็นเซอร์กล้องหน้าใหม่เป็นกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
  • กันน้ำกันฝุ่นดีกว่าเป็นมาตรฐาน IP68 หมดทุกรุ่นแล้ว
  • เพิ่มโหมดถ่ายรูปกลางคืน และมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Deep Fusion เข้ามาช่วยประมวลผลรูปถ่ายให้มีคุณภาพดีขึ้น

iPhone 11 Pro และ Pro Max เป็นซีรีส์รุ่นท็อปออกมาให้มีความชัดเจนมากขึ้นภายใต้คำจำกัดความว่า “Pro” ซึ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ใช้งานระดับสูง ได้รับการอัปเกรดที่เหมือนกับ iPhone 11 แต่มากกว่า

เพราะ iPhone 11 Pro และ Pro Max มาพร้อมกับหน้าจอแบบใหม่ Super Retinal Display XDR ที่สว่างขึ้นกว่าเดิมเกือบ 2 เท่า มีกล้องหลัง 3 ตัวเป็นครั้งแรกของ iPhone อีกทั้งยังได้แบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น อึดขึ้นอีกด้วย

ตารางเทียบสเปค iPhone XR/XS Series กับ iPhone 11 Series

สเปค / รุ่น iPhone 11 iPhone XR iPhone 11 / 11 Pro และ 11 Pro Max iPhone XS / XS MAX
หน้าจอแสดงผล Liquid Retina HD (IPS LCD) 60 Hz Liquid Retina HD (IPS LCD) 60 Hz Super Retina XDR OLED 60 Hz Super Retina HD OLED 60 Hz
ขนาดจอแสดงผล 6.1″ 6.1″ 11 Pro – 5.8″ XS – 5.8″
11 Pro Max – 6.5″ XS Max – 6.5″
ความละเอียด 1792 x 828 326 ppi 1792 x 828 326 ppi 11 Pro – 2436 x 1125 458 ppi XS – 2436 x 1125 458 ppi
11 Pro Max – 2688 x 1242 458 ppi XS Max – 2688 x 1242 458 ppi
CPU A13 Bionic A12 Bionic A13 Bionic A12 Bionic
RAM 4GB  3GB 4GB 4GB
ความจุ 64GB

128GB

256GB 

64GB

128GB

256GB

64GB

256GB

512GB

64GB

256GB

512GB

กล้องหลัก  12MP (Wide) f/1.8, 1.4µm, กันสั่น OIS 
กล้อง Ultra Wide 12 MP, f/2.4, มุมกว้าง 120˚ X 12 MP, f/2.4, มุมกว้าง 120˚ X
กล้อง Telephoto X X 12 MP f/2.0, 1.0µm, กันสั่น OIS 12 MP f/2.4, 1.0µm, กันสั่น OIS
Optical Zoom x2 X x2 x2
Digital Zoom x5 x5 x10 x10
กล้องหน้า 12MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS 7MP f/2.2 TrueDepth 12MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS 7MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS
การถ่ายวิดีโอ กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 1080p @ 30 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 1080p @ 30 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

การเชื่อมต่อ Wi-Fi 6
Bluetooth 5.0
Wi-Fi 5
Bluetooth 5.0
Wi-Fi 6
Bluetooth 5.0
Wi-Fi 5
Bluetooth 5.0
5G X (4G LTE)
ระบบ Dual SIM (ผ่าน eSIM)
ลำโพง ลำโพง Stereo

รองรับ Spartial Audio และ Dolby Atmos

ลำโพง Stereo ลำโพง Stereo

รองรับ Spartial Audio และ Dolby Atmos

ลำโพง Stereo

รองรับ Spartial Audio และ Dolby Atmos

มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68

(ทนน้ำลึกสูงสุด 2 เมตร 30 นาที)

IP67

(ทนน้ำลึกสูงสุด 1 เมตร 30 นาที)

IP68

(ทนน้ำลึกสูงสุด 2 เมตร 30 นาที)

IP68

(ทนน้ำลึกสูงสุด 2 เมตร 30 นาที)

แบตเตอรี่ 3110 mAh  2942 mAh 11 Pro: 3046 mAh Xs: 2658 mAh
11 Pro Max: 3989 mAh Xs Max: 3174 mAh
ชาร์จไว 18W  15W 11 Pro: 18W 15W
11 Pro Max: 20W
ชาร์จไร้สาย Qi Wireless Charge 7.5W 

iPhone 12 Series

iPhone 12 Series เปิดตัวมาด้วยการใช้ดีไซน์แบบใหม่ที่จากเดิมเป็นขอบมน เปลี่ยนมาใช้ขอบตัวเครื่องแบบเหลี่ยมที่ทำให้นึกถึง iPhone 4 – 5s อีกทั้งยังเปิดตัวไลน์อัพใหม่อย่าง iPhone 12 mini ที่เป็นซีรีส์สำหรับ iPhone ขนาดเล็ก 5.4 นิ้ว ใช้งานมือเดียวสะดวก แต่ยังได้สเปคแบบเดียวกับเครื่องไซซ์ปกติ ส่วนสเปคหลัก ๆ ที่ได้รับการอัปเกรดมีดังนี้

  • อัปเกรดพาเนลจอภาพเป็น OLED Super Retina XDR ทุกรุ่น
  • ใช้วัสดุกระจกใหม่  Ceramic Shield Screen ทนกว่า iPhone 11 Series ถึง 2 เท่า
  • ได้ชิปใหม่ Apple A14 Bionic
  • รองรับ 5G เป็นครั้งแรก
  • MagSafe ชาร์จแบบไร้สายได้ไวกว่าเดิมจากสูงสุด 7.5W เป็น 15W
  • ฟีเจอร์ใหม่ถ่ายวิดีโอแบบ Dolby Vision HDR 4K@30fps

iPhone 12 Series ยังเริ่มสร้างความแตกต่างระหว่างรุ่นมาตรฐาน และรุ่น Pro ให้มีความชัดเจนมากขึ้นด้วยการเก็บฟีเจอร์กล้องบางอย่างไว้ให้ในรุ่น Pro เท่านั้น ซึ่งสเปคพิเศษของใน iPhone 12 Pro Series มีดังนี้

  • เซ็นเซอร์วัดระยะวัตถุ LiDAR Scanner
  • โหมดถ่ายภาพ Portrait ตอนกลางคืน
  • ฟีเจอร์ถ่ายภาพระดับสูง ProRaw

ตารางเทียบสเปค iPhone 11 Series กับ iPhone 12 Series

สเปค / รุ่น iPhone 12 / 12 mini iPhone 11 iPhone 12 Pro / 12 Pro Max iPhone 11 / 11 Pro และ 11 Pro Max
หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR OLED 60 Hz Liquid Retina HD (IPS LCD) 60 Hz Super Retina XDR OLED 60 Hz Super Retina XDR OLED 60 Hz
ขนาดจอแสดงผล 12 – 6.1″ 6.1″ 12 Pro – 6.1″ 11 Pro – 5.8″
12 mini – 5.4″ 12 Pro Max – 6.7″ 11 Pro Max – 6.5″
ความละเอียด 12 – 2532×1170 460 ppi 1792 x 828 326 ppi 12 Pro – 2532 x 1170 460 ppi 11 Pro – 2436 x 1125 458 ppi
12 Mini – 2340×1080 476 ppi 12 Pro Max – 2778 x 1284 458 ppi 11 Pro Max – 2688 x 1242 458 ppi
CPU A14 Bionic A13 Bionic A14 Bionic A13 Bionic
RAM 4GB 4GB  6GB 4GB
ความจุ 64GB

128GB

256GB 

64GB

128GB

256GB 

128GB

256GB

512GB

64GB

256GB

512GB

กล้องหลัก  12MP (Wide) f/1.6, 1.4µm, กันสั่น OIS 12MP (Wide) f/1.8, 1.4µm, กันสั่น OIS  iPhone 12 Pro
12MP (Wide) f/1.6, 1.4µm, กันสั่น OIS
12MP (Wide) f/1.8, 1.4µm, กันสั่น OIS
iPhone 12 Pro Max
12MP (Wide) f/1.6, 1.7µm, กันสั่น OIS แบบ Sensor Shift
กล้อง Ultra Wide 12 MP, f/2.4, มุมกว้าง 120
กล้อง Telephoto X X iPhone 12 Pro

12 MP f/2.0, 1.0µm, 52mm, กันสั่น OIS

12 MP f/2.0, 1.0µm, 52mm, กันสั่น OIS
iPhone 12 Pro Max

12 MP f/2.2, 1.0µm, 65mm, กันสั่น OIS

Optical Zoom x2 x2 iPhone 12 Pro:

ซูมเข้า: x2 ซูมออก: x2

x2
iPhone 12 Pro Max: 

ซูมเข้า: x2.5 ซูมออก: x2.5

Digital Zoom x5 x5 x12 x10
กล้องหน้า 12MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS
การถ่ายวิดีโอ กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

การเชื่อมต่อ Wi-Fi 6
Blutooth 5.0
5G X

(4G LTE)

X

(4G LTE)

ระบบ Dual SIM (ผ่าน eSIM)
ลำโพง ลำโพง Stereo รองรับ Spartial Audio และ Dolby Atmos
มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 (ทนน้ำลึกสูงสุด 2 เมตร 30 นาที)
แบตเตอรี่ 12 : 2815 mAh 3110 mAh  12 Pro: 2815 mAh 11 Pro: 3046 mAh
12 mini : 2227 mAh 12 Pro Max: 3687 mAh 11 Pro Max: 3989 mAh
ชาร์จไว  20W 18W  12 Pro: 20W 11 Pro: 18W
12 Pro Max: 22W 11 Pro Max: 20W
ชาร์จไร้สาย Qi Wireless Charge 7.5W
MagSafe fast wireless charging 15W
Qi Wireless Charge 7.5W  Qi Wireless Charge 7.5W
MagSafe fast wireless charging 15W
Qi Wireless Charge 7.5W

 

iPhone 13 Series

iPhone 13 Series มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องดีไซน์นิดหน่อย มีการลดขนาดของรอยบากให้เล็กลงจากในรุ่นก่อน 20% เปลี่ยน Layout กล้องจากแนวตั้งมาเป็นแนวทแยงเพื่อให้รับแสงได้มากกว่าเดิม 47% มาพร้อมจอแสดงผลที่สว่างกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย

ในซีรีส์นี้ยังได้ใส่ชิปเซ็ตประมวลผล Apple A15 Bionic รุ่นใหม่ที่ช่วยให้คุณภาพภาพถ่าย และวิดีโอดีขึ้น และประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้น พ่วงด้วย Neural Engine รุ่นใหม่ที่ประมวลผลข้อมูลรวดเร็วกว่าเดิม 44% และทำให้เราได้โหมดกล้องใหม่ ๆ อย่าง Cinematic mode ให้ได้ลองเล่นกันทุกรุ่น แถมยังถ่ายวิดีโอ HDR Dolby Vision ได้สูงสุด 60fps บนความละเอียด 4K ด้วย

ในรุ่น Pro รอบนี้ได้สร้างความแตกต่างด้วยการเลือกใช้พาเนลที่จอ OLED ตัวใหม่ที่มีรีเฟรชเรตแบบ ProMotion ลื่นไหลสูงสุดกว่า 120Hz และใช้ชิปประมวลผล Apple A15 Bionic ที่มีชิป GPU มากกว่าในรุ่นมาตรฐานจาก 4 คอร์ เป็น 5 คอร์ ด้วยประสิทธิภาพชิปประมวลผลที่ดีกว่าทำให้ iPhone 13 Pro Series สามารถถ่ายวิดีโอในคุณภาพระดับสูงอย่าง ProRes ที่ความละเอียด 4k@30fps ได้ อีกทั้งยังใส่กันสั่นแบบ Sensor Shift ให้กับกล้องหลักในรุ่น Pro ด้วย

ตารางเทียบสเปค iPhone 12 Series กับ iPhone 13 Series

สเปค / รุ่น iPhone 13 / 13 mini iPhone 12 / 12 mini iPhone 13 Pro / 13 Pro Max iPhone 12 Pro / 12 Pro Max
หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR OLED 60Hz Super Retina XDR OLED 60Hz Super Retina XDR 120Hz Super Retina XDR OLED 60Hz
ขนาดจอแสดงผล 13 – 6.1″ 12 – 6.1″ 13 Pro – 6.1″ 12 Pro – 6.1″
13 mini – 5.4″ 12 mini – 5.4″ 13 Pro Max – 6.7″ 12 Pro Max – 6.7″
ความละเอียด 13 – 2532 x 1170 460 ppi 12 – 2532 x 1170 460 ppi 13 Pro – 2532 x 1170 460 ppi 12 Pro – 2532 x 1170 460 ppi
13 mini – 2340 x 1080 476 ppi 12 mini – 2340 x 1080 476 ppi 13 Pro Max – 2778 x 1284 458 ppi 12 Pro Max – 2778 x 1284 458 ppi
CPU A15 Bionic
(GPU 4 คอร์)
A14 Bionic A15 Bionic
(GPU 5 คอร์)
A14 Bionic
RAM 4GB 4GB  6GB 6GB
ความจุ 128GB

256GB

512GB

64GB

128GB

256GB 

128GB

256GB

512GB

1TB

128GB

256GB

512GB

กล้องหลัก  12MP (Wide) f/1.6, 1.7µm, กันสั่น OIS แบบ Sensor Shift 12MP (Wide) f/1.6, 1.4µm, กันสั่น OIS 12MP (Wide) f/1.5, 1.9µm, กันสั่น OIS แบบ Sensor Shift iPhone 12 Pro
12MP (Wide) f/1.6, 1.4µm, กันสั่น OIS
iPhone 12 Pro Max
12MP (Wide) f/1.6, 1.7µm, กันสั่น OIS แบบ Sensor Shift
กล้อง Ultra Wide 12 MP, f/2.4, มุมกว้าง 120˚ 12 MP, f/2.4, มุมกว้าง 120˚ 12 MP, f/1.8, มุมกว้าง 120˚ 12 MP, f/2.4, มุมกว้าง 120˚
กล้อง Telephoto X X 12 MP f/2.8, 77mm, กันสั่น OIS iPhone 12 Pro
12 MP f/2.0, 1.0µm, 52mm, กันสั่น OIS
iPhone 12 Pro Max
12 MP f/2.2, 1.0µm, 65mm, กันสั่น OIS
Optical Zoom x2 x2 ซูมเข้า: x3 ซูมออก: x2
ช่วงซูม: x6
iPhone 12 Pro
ซูมเข้า: x2 ซูมออก: x2
iPhone 12 Pro Max
ซูมเข้า: x2.5 ซูมออก: x2.5
Digital Zoom x5 x5 x15 x10
กล้องหน้า 12MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS 12MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS 12MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS 12MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS
การถ่ายวิดีโอ กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

การเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 Blutooth 5.0
5G
ระบบ Dual SIM (ผ่าน eSIM)
ลำโพง ลำโพง Stereo รองรับ Spartial Audio และ Dolby Atmos
มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 (ทนน้ำลึกสูงสุด 2 เมตร 30 นาที)
แบตเตอรี่ 13: 3240 mAh 12 : 2815 mAh 13 Pro: 3095 mAh 12 Pro: 2815 mAh
13 mini : 2438 mAh 12 mini : 2227 mAh 13 Pro Max: 4352 mAh 12 Pro Max: 3687 mAh
ชาร์จไว 13: 23W 20W 13 Pro: 23W 12 Pro: 20W
13 mini : 18W 13 Pro Max: 27W 12 Pro Max: 22W
ชาร์จไร้สาย Qi Wireless Charge 7.5W
MagSafe fast wireless charging 15W

 

iPhone 14 Series

เดินทางมาถึง iPhone 14 Series รุ่นล่าสุดแล้ว ซึ่งรุ่นมาตรฐานในรอบนี้ มีสเปคที่คล้ายกันกับ iPhone 13 และ iPhone 13 mini แบบสุด ๆ ยกเว้นขนาดหน้าจอที่ iPhone 14 Series ได้ตัดรุ่นเล็กไซซ์มินิออกไป และเพิ่มซีรีส์จอใหญ่ที่ห่างหายไปนานอย่าง iPhone 14 Plus ขนาด 6.7 นิ้วเข้ามาแทน

ด้านชิปเซ็ตประมวลผลก็มีความต่างเพียงนิดเดียว เพราะแค่เปลี่ยนมาใช้ชิป A15 Bionic 5 คอร์ จากเดิมที่มีแค่ 4 คอร์ อีกทั้งยังมีฟีเจอร์หลายหลายที่เพิ่มเข้ามาดังนี้

  • กล้องถ่ายภาพอัปเกรดให้ถ่ายในที่แสงน้อยดีขึ้น
  • โหมดถ่ายวิดีโอกันสั่นแบบ Action Mode
  • ฟีเจอร์ส่ง SOS ผ่านดาวเทียม
  • ระบบตรวจจับการชน Crash Detection

iPhone 14 Pro Series ถือว่าได้สร้างความแตกต่างอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะได้อัปเกรดสเปคหลากหลายที่รุ่นมาตรฐานไม่มี เช่น

  • Dynamic Island
  • พาเนลจอแบบใหม่ LTPO OLED
  • รองรับการแสดงผลแบบ Always-on Display
  • เพิ่มความละเอียดกล้องหลักไปที่ 48MP จากความละเอียดเดิม 12MP
  • Photonic Engine

ตารางเทียบสเปค iPhone 13 Series กับ iPhone 14 Series

สเปค / รุ่น iPhone 14 / 14 Plus iPhone 13 / 13 mini iPhone 14 Pro / 14 Pro Max iPhone 13 Pro / 13 Pro Max
 
หน้าจอแสดงผล Super Retina XDR  60Hz Super Retina XDR 60Hz LTPO Super Retina XDR 120Hz Super Retina XDR 120Hz
ขนาดจอแสดงผล 14 – 6.1″ 13 – 6.1″ 14 Pro – 6.1″  13 Pro – 6.1″
14 Plus – 6.7″  13 mini – 5.4″ 14 Pro Max – 6.7″  13 Pro Max – 6.7″
ความละเอียด 14 – 2532 x 1170 460 ppi  13 – 2532 x 1170 460 ppi 14 Pro – 2556 x 1179 460 ppi  13 Pro – 2532 x 1170 460 ppi
14 Plus – 2778 x 1284 458 ppi 13 Mini – 2340 x 1080 476 ppi 14 Pro Max – 2796 x 1290 460 ppi  13 Pro Max – 2778 x 1284 458 ppi
CPU A15 Bionic
(GPU 5 คอร์)
A15 Bionic
(GPU 4 คอร์)
A16 Bionic  A15 Bionic
(GPU 5 คอร์)
RAM 6GB 4GB 6GB  6GB
ความจุ 128GB

256GB

512GB

128GB

256GB

512GB

128GB

256GB

512GB

1TB

128GB

256GB

512GB

1TB

กล้องหลัก  12MP (Wide) f/1.5, 1.9µm, กันสั่น OIS แบบ Sensor Shift  12MP (Wide) f/1.6, 1.7µm, กันสั่น OIS แบบ Sensor Shift 48MP (Wide) f/1.8, 1.22µm, กันสั่น OIS แบบ Sensor Shift, Quad Pixel 12MP (Wide) f/1.5, 1.9µm, กันสั่น OIS แบบ Sensor Shift
กล้อง Ultra Wide 12 MP, f/2.4, มุมกว้าง 120˚ 12 MP, f/2.4, มุมกว้าง 120˚ 12 MP, f/2.2, มุมกว้าง 120˚ 12 MP, f/1.8, มุมกว้าง 120˚
กล้อง Telephoto X X 12 MP f/2.8, 77mm, กันสั่น OIS 12 MP f/2.8, 77mm, กันสั่น OIS
Optical Zoom ซูมเข้า: x2 ซูมออก: x2 x2 ซูมเข้า: x3 ซูมออก: x2
ช่วงซูม: x6
ซูมเข้า: x3 ซูมออก: x2
ช่วงซูม: x6
Digital Zoom x5 x5 x15  x15
กล้องหน้า 12MP f/1.9 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS 12MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS 12MP f/1.9 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS + AutoFocus  12MP f/2.2 TrueDepth + กันสั่น gyro-EIS
การถ่ายวิดีโอ กล้องหลัง: 4K @ 60 fps, กันสั่น Action mode

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps, กันสั่น Action mode

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

กล้องหลัง: 4K @ 60 fps

กล้องหน้า: 4K @ 60 fps

อัดวิดีโอแบบเสียงสเตอริโอ

การเชื่อมต่อ Wi-Fi 6
Blutooth 5.3
Wi-Fi 6
Blutooth 5.0
Wi-Fi 6
Blutooth 5.3
Wi-Fi 6
Blutooth 5.0
5G ✓ 
ระบบ Dual SIM
(ผ่าน eSIM)
ลำโพง ลำโพง Stereo
รองรับ Spartial Audio และ Dolby Atmos
มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68
(ทนน้ำลึกสูงสุด 2 เมตร 30 นาที) 
แบตเตอรี่ 14: 3279 mAh 13: 3240 mAh  14 Pro: 3200 mAh  13 Pro: 3095 mAh
 14 Plus: 4323 mAh 13 mini : 2438 mAh  14 Pro Max: 4323 mAh 13 Pro Max: 4352 mAh
ชาร์จไว ยังไม่มีรายละเอียด  13: 23W ยังไม่มีรายละเอียด   13 Pro: 23W
13 mini : 18W 13 Pro Max: 27W
ชาร์จไร้สาย Qi Wireless Charge 7.5W
MagSafe fast wireless charging 15W

 

และนี่คือทั้งหมดของสเปค iPhone รุ่นรอยบากทุกรุ่นที่เราได้รวบรวมมาเปรียบเทียบให้ชมกัน นอกจากเราจะได้รู้เรื่องฟีเจอร์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่นแล้ว เรายังได้เห็นพัฒนาการของ iPhone ในแต่ละปีที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ด้วย

หลัก ๆ แล้วใครที่ยังถือ iPhone 12 Series อยู่ อาจจะยังไม่คุ้มค่าที่อัปเกรดสักเท่าไหร่ เพราะชิป A14 ก็ยังแรงใกล้ ๆ ชิปรุ่นท็อปในยุคนี้อยู่ แถมฟีเจอร์กล้องที่ได้มา เมื่อเทียบกับ iPhone 14 Series ก็ถือว่ายังไม่ขาดสักเท่าไหร่

แต่หากใครที่กำลังถือ iPhone X Series ลงไปแล้วล่ะก็ อาจจะถึงคราวที่ต้องอัปเกรดกันแล้ว เพราะไม่มีทั้งกล้อง Ultrawide, โหมดถ่ายภาพกลางคืน อีกทั้งชิป A11 และ A12 Bionic ที่ตกรุ่นไปหลายปีแล้ว และในอนาคตเราจะได้เห็น Apple เข็นฟีเจอร์ และสเปคอะไรใหม่มาเพื่อผู้ใช้งานกันอีก ต้องคอยติดตามกันครับ

 

อ้างอิง: Apple, GSMArena

from:https://droidsans.com/from-iphone-x-to-i-phone-14-compare/

Apple ปรับลดราคา iPhone 12, iPhone 11 รุ่นเก่า ลดสูงสุด 4,000 บาท มีผลทันที

Apple ปรับลดราคา iPhone 12 และ iPhone 11 ลงแล้ว อ้างอิง […] More

from:https://www.iphonemod.net/apple-cut-iphone11-and-iphone12-price-update-oct-21.html

เปรียบเทียบ iPhone 13 mini – iPhone 13 – iPhone 13 Pro – iPhone 13 Pro Max สเปคเหมือนต่างกันแค่ไหน ซื้อรุ่นไหนดี

เปิดตัวกันมาตามนัดเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ iPhone 13 Series ที่รอบนี้ Apple ขนมาทั้ง 4 รุ่นเช่นเคย ไล่ตั้งแต่ Mini, รุ่นธรรมดา, Pro ไปจนถึง Pro Max ว่าแต่คำถามที่ใครหลาย ๆ คนสงสัยว่า รุ่นไหนคุ้มค่ากับการซื้อที่สุด ตัวไหนสเปคดีที่สุด มาหาคำตอบได้ในบทความนี้เลยครับ ทีมงาน DroidSans ย่อยข้อมูลมาให้หมดแล้ว

รอบนี้ Apple ถือว่าจัดเต็มแบบสุด ๆ โดยเฉพาะรุ่น Pro และ Pro Max ที่ใส่หน้าจอ ProMotion รีเฟรชเรท 120Hz มาให้ แถมชิปเซ็ตยังอัปเกรดมาเป็นตัวแรง A15 Bionic แรงกว่าเดิมพอสมควร ว่าแต่หากนำมาเทียบสเปคกันจริง ๆ ตัวไหนจะเป็นรุ่นเดอะ ตัวไหนคุ้มที่สุด

ตารางเปรียบเทียบสเปค iPhone 13 mini – iPhone 13 – iPhone 13 Pro – iPhone 13 Pro Max

iPhone 13 mini iPhone 13 iPhone 13 Pro
iPhone 13 Pro Max
หน้าจอแสดงผล OLED
ขนาด 5.4 นิ้ว 6.1 นิ้ว 6.7 นิ้ว
ความละเอียด 2340 x 1080 2532 x 1170 2532 x 1170 2778 x 1284
รีเฟรชเรท 60Hz ProMotion 120Hz
ชิปเซ็ต A15 Bionic + GPU 4 Cores A15 Bionic + GPU 5 Cores
ROM 128GB | 256GB | 512GB 128GB | 256GB | 512GB | 1TB
กล้องหลัง 2 ตัว

  • Wide: 12MP f/1.8 กันสั่น IBIS
  • Ultra-Wide: 12MP f/2.4 มุมกว้าง 120 องศา
3 ตัว + LiDAR

  • Wide: 12MP f/1.5 กันสั่น IBIS
  • Ultra-Wide: 12MP f/1.8 มุมกว้าง 120 องศา
  • Telephoto: 12MP f/2.8 กันสั่น OIS, Optical Zoom 3x
กล้องหน้า TrueDepth 12MP f/2.2 + SL 3D
ถ่ายวิดีโอ บันทึก HDR แบบ Dolby Vision สูงสุด 4K @60fps
5G รองรับ
สแกนลายนิ้วมือ ไม่รองรับ
Face ID รองรับ
พอร์ต Lightning
ชาร์จไว 20W
ชาร์จไร้สาย 15W
ลำโพง คู่แบบสเตอริโอ
การเชื่อมต่อ  WiFi 6e + Bluetooth 5.0
มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น
IP68 กันน้ำลึก 6 เมตร เป็นเวลา 30 นาที
น้ำหนัก 140 กรัม 173 กรัม 203 กรัม 238 กรัม
ราคาเริ่มต้น 25,900 บาท 29,900 บาท 38,900 บาท 42,900 บาท

สรุปสเปค iPhone 13 Series ทั้ง 4 รุ่น เหมือน – ต่างกันอย่างไร?

จากตารางสรุปสเปคของ iPhone 13 Series จะเห็นว่าทั้ง 4 รุ่น ดูจะไม่ค่อยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญสักเท่าไหร่ จะมีต่างกันแบบเห็นได้ชัดก็คือหน้าจอแสดงผลที่รุ่น Pro และ Pro Max อัดมาให้แบบจัดเต็ม ProMotion รีเฟรชเรท 120Hz เหมือน ๆ กับแท็บเล็ตซีรีส์ iPad Pro ของบริษัทฯ

แต่ถ้ามองในแง่ของประสิทธิภาพ ตรงนี้จิ้มตัวไหนก็ได้เหมือนกันหมด เพราะ iPhone 13 Series ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต A15 Bionic บนสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร แรงกว่าเดิม แต่กินไฟน้อยลง เมื่อเทียบกับ A14 Bionic รุ่นก่อนหน้านี้ เร็วแรงทะลุนรกด้วยกันทั้งซีรีส์ แต่รุ่น Pro และ Pro Max อาจซดแบตกว่าเดิมเล็กน้อย เนื่องจากจอรีเฟรชเรทสูงกว่านั่นเอง

ส่วนเรื่องกล้อง รอบนี้เซอร์ไพรส์สุด ๆ เพราะ Apple จัดหนักจัดเต็มใส่เซ็นเซอร์กันสั่นแบบ Sensor-Shift มาให้ทั้งหมด 4 รุ่น ตั้งแต่ mini ยัน Pro Max แต่รุ่น Pro และ Pro Max จะมีเซ็นเซอร์ Telephoto ความละเอียด 12MP เข้ามาเสริมทัพด้วย สามารถซูมแบบ Optical ไม่เสียรายละเอียดได้ 3x ขณะที่รุ่นที่เหลือทำได้เพียงแค่ 2x เท่านั้น

ซื้อ iPhone 13 รุ่นไหนคุ้มที่สุด?

  • iPhone 13 mini : เหมาะกับคนที่ชอบมือถือเครื่องเล็ก ๆ แต่สเปคเรือธง ฟีเจอร์ครบ ๆ น้ำหนักเบา แต่อาจต้องแลกมาด้วยความจุแบตเตอรี่ที่น้อยกว่าคนอื่น ใช้งานหนัก ๆ อาจจะมีแบตหมดระหว่างวัน ต้องพกพาวเวอร์แบงค์ หรือสายชาร์จติดตัวไปด้วย
  • iPhone 13 : เหมาะกับคนที่ชอบมือถือขนาดพอดีมือ สเปคเรือธง น้ำหนักไม่หนักมาก แบตเตอรี่อยู่ในเกณฑ์ปานกลางไปจนถึงดี แต่อาจจะติดในเรื่องของราคาที่แพงกว่า mini อยู่พอสมควร ทั้งที่สเปคไม่ได้หนีกันมาก
  • iPhone 13 Pro : เหมาะกับคนที่อยากได้มือถือแรง ๆ ขนาดกำลังพอดีมือ ฟีเจอร์สุดในรุ่น เป็นรอง Pro Max เพียงแค่หน้าจอ (และขนาดแบตเตอรี่) เท่านั้น
  • iPhone 13 Pro Max : เหมาะกับคนที่ชอบมือถือจอใหญ่ ๆ ฟีเจอร์ระดับเรือธง แต่ราคาก็แอบสูงเอาเรื่อง

 

ราคาและวันวางจำหน่ายของ iPhone 13 Series

รอบนี้น่าสนใจมาก ๆ เพราะปกติประเทศไทยจะเป็นกลุ่ม Tier 3 กว่า Apple จะเข้ามาวางขาย iPhone รุ่นใหม่ ๆ ก็ต้องรอไปเกือบ ๆ สิ้นปี แต่มาวันนี้ทางบริษัทฯ ได้ขยับบ้านเราให้ไปอยู่ใน Tier 2 แล้ว เปิดให้จองวันแรก 1 ตุลาคมนี้ พร้อมกับวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศในอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดไป หรือ 8 ตุลาคม 2021 นั่นเอง

ความจุ iPhone 13 mini iPhone 13 iPhone 13 Pro
iPhone 13 Pro Max
128 GB 25,900 29,900 38,900 42.900
256 GB 29,900 33,900 42,900 46,900
512 GB 37,900 41,900 50,900 54,900
1 TB N/A N/A 58,900 62,900

 

from:https://droidsans.com/iphone-13-series-official-launch/

Apple เพิ่มเอกสารเตือนผู้ใช้ iPhone แรงสั่นจากเครื่องยนต์รถมอเตอร์ไซค์อาจทำให้กล้อง iPhone เสียหายได้

Apple เพิ่มเอกสารสนับสนุนเตือนผู้ใช้ iPhone ว่า เมื่อเร […] More

from:https://www.iphonemod.net/apple-support-document-vibration-can-harm-iphone-camera.html

เปรียบเทียบ iphone 12 series แต่ละรุ่น ต่างกันยังไงบ้าง

เปรียบเทียบ iphone 12 series ต่างกันยังไงบ้าง

ใครกำลังมีความลังเลกับการซื้อโทรศัพท์ไอโฟนอยู่ล่ะก็ วันนี้เราได้เทียบและได้ดึงจุดเด่นของไอโฟน 12 แต่ละ series นี้มาให้ทุกคนได้เลือกตัดสินใจกันแล้วว่า รุ่นไหนตอบโจทย์ที่สุด! ซึ่งขอเกริ่นเลยว่า ความปังของ iPhone 12 นี้ ทุกรุ่นเปิดตัวมาด้วยการรองรับ 5G ซึ่งก็ถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของไอโฟนเช่นเดียวกัน โดยรอบนี้ Apple เขาขนมาให้เลือกถึง 4 รุ่นด้วยกัน ดังนี้ iPhone 12 Mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีฟีเจอร์หลัก ๆ ที่คล้ายกัน แต่ราคามือถือไม่เท่ากัน เพราะอย่างตัวท็อปของ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max เนี่ย เขาก็งัดฟังก์ชั่นเทพ ๆ ใส่เพิ่มเข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็นกล้อง แบตเตอรี่ ความคมชัด ความลื่นไหลในการเล่นเกมต่าง ๆ ในจุดนี้จึงทำให้ราคาของไอโฟนทั้งสองรุ่นนี้จึงมีราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง งั้นมาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยดีกว่าว่า รุ่นไหนคุ้มและเหมาะกับการใช้งานของคุณที่สุด!

 

iPhone 12 Mini

credit : unsplash.com

มาเริ่มกันที่น้องเล็กทรงพลังอย่าง iPhone 12 Mini กันเลยดีกว่า ขอเกริ่นก่อนเลยว่าตัวนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบพกโทรศัพท์แบบพอดีมือ กะทัดรัด ไม่ใหญ่เกิน เพราะว่าเขามีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.4​ นิ้ว และในส่วนของแบตเตอรี่มี​ขนาด​ 2227 mAh เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยติดโทรศัพท์ ไม่ค่อยติดโชเซี่ยล แม้ว่าตัวเครื่องจะมีขนาดเล็กกว่าไอโฟน 12 รุ่นอื่น ๆ แต่ในด้านของสเปค ต้องขอบอกว่าจัดเต็มสุด ๆ ตั้งแต่ชิปขุมพลัง A14 Bionic ที่จะเน้นเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงานที่สูง แต่ว่าเน้นการใข้พลังงานต่ำลง มาพร้อมหน้าจอ OLED และกล้องหลังที่พัฒนาแบบก้าวกระโดด ที่สำคัญรุ่นนี้ยังคงมีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP68 สามารถทนนํ้าได้สูงสุด 6 เมตร นาน 30 นาที ซึ่งทนได้ที่ความลึกมากกว่า iPhone 11 ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว เล็กแต่เจ๋งของจริง! นอกจากนั้นตัวดีไซน์ขอบของ iPhone 12 ทุกรุ่นรวมถึง mini ใช้อะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งรับประกันความแข็งแรงและทนทานแน่นอน! โดยมีสีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีดำ, ขาว, (PRODUCT) RED, เขียว และน้ำเงิน ถ้าพูดถึงภาพรวมของ iPhone 12 Mini ทั้งในด้านของสเปคและฟีเจอร์ ก็ไม่ได้​แตกต่าง​จาก ​iPhone 12 series ตัว​อื่นที่​แพง​กว่า​มาก​เท่าไหร่​ ถ้าพิจารณาถึงราคาและสเปคแล้ว iPhone 12 Mini จึงถือเป็นอีกตัวที่น่าโดนมากทีเดียว


iPhone 12

credit : unsplash.com

รุ่นนี้ถือเป็น series หลักของ iPhone 12 เพราะเขามาพร้อมฟีเจอร์หลักอย่าง A14 Bionic รองรับสัญญาณ 5G แล้ว ยังมาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR พาแนล OLED กับความกว้างหน้าจอที่มีขนาดพอดีที่ 6.1 นิ้ว ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไป จับใช้งานได้อย่างพอดีมือ สำหรับเลนส์กล้องจะมาพร้อม 2 เลนส์ คือ เลนส์กว้าง ความละเอียด 12MP และเลนส์กว้างพิเศษ ความละเอียด 12MP ส่วนกล้องหน้าจะมีเลนส์เดียว ความละเอียด 12MP ซึ่งเหมาะกับคนที่ไม่ได้เน้นใช้งานกล้องมากนัก แต่ก็ยังสามารถใช้ถ่ายได้ทั่วไป จะลงไอจี ลงเฟสบุ๊คก็ยังเลิศอยู่! พูดถึงแบตเตอรี่กันบ้าง ทาง Apple เขาเคลมมาว่า iPhone 12 จะมีแบตเตอรี่ที่เยอะกว่า iPhone 12 Mini เล็กน้อยเท่านั้น ทำให้หลายคนอาจจะกังวลใจได้ว่า ถ้าใช้งาน 5G แบบเต็มสตรีม แบตจะหมดเร็วหรือเปล่า ? อย่างไรก็ตาม สเปคของ iPhone 12 จัดว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดีที่สุดเลย เมื่อเทียบกับมือถือรุ่นอื่น ๆ ในปัจจุบัน โดยมีสีให้เลือกเหมือน iPhone 12 Mini คือ สีดำ, ขาว, (PRODUCT) RED, เขียว และน้ำเงิน


iPhone 12 Pro

credit : unsplash.com

ความปังของ iPhone 12 Pro ได้ยินคำว่าโปร ก็ต้องเป็นที่รู้กันแน่นอนว่า ต้องมีอะไรเทพ ๆ เพิ่มเข้ามาจาก series ก่อน ๆ แน่นอน ซึ่งความเทพแรกที่จะพูดถึงก็คือ กล้องหลังที่มาพร้อมเทคโนโลยี LiDAR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นาซ่านำมาใช้ในการสแกนพื้นที่เพื่อลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคาร นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ได้แก่ เลนส์กว้าง, เลนส์กว้างพิเศษ และเลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 12MP ทำให้การถ่ายภาพกลางคืน รูปที่ออกมาจะสว่างและสวยกว่าไอโฟนรุ่นก่อน ๆ แน่นอน อีกทั้งยังมีระบบกันสั่นที่ช่วยให้การจับภาพมีความชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย ใครสายถ่ายรูป ต้องเลิฟสิ่งนี้! ในส่วนของหน้าจอ เขาจะใช้หน้าจอ Super Retina XDR พาแนล OLED เช่นเดียวกัน โดย iPhone 12 Pro จะมีขนาดอยู่ที่ 6.1 นิ้ว ถือว่าเป็นขนาดที่เหมาะกับคนชอบโทรศัพท์ขนาดใหญ่ ดูซีรี่ส์ เล่นเกมได้แบบจุใจไปเลย อีกเรื่องที่หลายคนถาม คือ แบตเตอรี่ ซึ่งขนาดเขาให้มาที่ 2815 mAh ก็เรียกได้ว่ายังถือว่าเล็กอยู่ ถ้าเทียบกับฟีเจอร์เทพ ๆ ที่ให้มา นอกจากดีไซน์ที่สวยงามของตัวเครื่องแล้ว สีที่เปิดตัวออกมาก็เรียบหรูพรีเมี่ยมมาก นั่นก็คือ สีเงิน, กราไฟต์, ทอง และแปซิฟิกบลู 


iPhone 12 Pro Max

credit : unsplash.com

มากันถึงซีรี่ส์ที่ปังที่สุดอย่าง iPhone 12 Pro Max แล้ว จัดเป็นตัวท็อปที่สุดของซีรี่ส์นี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งทั้งสี ดีไซน์และฟีเจอร์รวม ๆ ก็จะเหมือน iPhone 12 Pro เลย  แต่ขนาดเครื่องจะมีขนาดใหญ่กว่า จะอยู่ขนาดที่ 6.7 นิ้ว เรียกได้ว่าถือเป็นรุ่นที่มีจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ Apple เคยทำมา ในส่วนของกล้องก็มี 3 เลนส์หลักเหมือน 12 Pro แต่เซ็นเซอร์ของ Pro Max จะใหญ่กว่าของ 12 Pro ธรรมดา ทำให้ถือได้นิ่งมากขึ้น แถมยังถูกอัปเกรดกล้องใหม่ โดยกล้องหลักมีพิกเซลใหญ่ขึ้น รูรับแสงที่กว้างขึ้นถึง f/1.6 รองรับ Apple ProRAW และบันทึกวิดีโอ HDR ในแบบ Dolby Vision สูงสุด 60fps เพราะฉะนั้น เวลาถ่ายภาพตอนกลางคืน จะเห็นได้ชัดเลยว่า Noise ลดลงไปได้อย่างเห็นได้ชัดเลย ขอสรุปไฮไลท์ของ iPhone 12 Pro Max แบบรวบรัดเลยว่า นอกจากฟังก์ชั่นเทพ ๆ และดีไซน์ที่ออกแบบมาได้ไฮโซหรูหรากว่าเดิมแล้ว จอแสดงผลชนิด OLED ยังเป็นจอที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ไอโฟนมีมา พร้อมกับระดับเสียงของลำโพงที่ดังขึ้นกว่าในรุ่นก่อน ๆ ในด้านของกล้องก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ เอาเป็นว่าเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย ก็ได้สุดยอดโทรศัพท์มือถือในศตวรรษนี้มาครอบครองแล้ว


เห็นแบบนี้ใครยังเล็งอยู่ คงตัดสินใจได้ง่ายแล้วว่า iphone 12 series ไหนที่ตอบโจทย์ที่สุด ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าหากใครไม่มีปัญหาเรื่องงบ ก็จัดตัวท็อปอย่าง iPhone 12 Pro Max ไปเลย เพราะสเปคที่ได้มานี่ เรียกได้ว่าจัดเต็มจริง ๆ จ่ายครั้งเดียว ใช้ได้ยาว ๆ แต่ใครไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น iPhone 12 Mini ก็ถือเป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับคนที่เน้นโทร หรือซื้อมาปล่อยเน็ตผ่านซิมเทพ อีกทั้งฟังก์ชั่นหรือสเปคต่าง ๆ ก็จะคล้าย ๆ เลย อย่างไรก็ตาม หลังจากเลือกรุ่นได้แล้ว ก็อย่ามองข้ามเรื่องความจุด้วย เนื่องจากการใช้งานของคนเราไม่เหมือนกัน สำหรับบางคนสายถ่ายรูป ชอบเก็บรูป มีรูปในคลังเป็นพัน ก็คงต้องเลือกขนาดความจุที่เพิ่มมากขึ้นหน่อย แนะนํา​ให้​มอง​ไป​ที่​ 128GB หรือ​ 256​GB​ ไป​เลย คิดเผื่อในอนาคตจะได้ไม่ต้องเสียเงินหลายรอบ จ่ายก้อนเดียวแล้วจบ แล้วใช้นาน ๆ ไปโลด!

Shopee 10.10 Brand Festival โปร 10.10 สุดฟินเอาใจขาช้อป! กับขบวนสินค้าจากแบรนด์ดังชั้นนำตลอดทั้งแคมเปญ สินค้าดีลปังจากแบรนด์เพียง 10.- เท่านั้น! พร้อมเก็บโค้ดลด Shopee Mall ลดสูงสุดถึง 1,500.- และโปรโมชั่นส่งฟรีทั่วไทยไม่มีขั้นต่ำ เริ่มช้อปได้ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. – 10 ต.ค. นี้ที่ Shopee 10.10 Brand Festival เท่านั้น!

ข่าว: เปรียบเทียบ iphone 12 series แต่ละรุ่น ต่างกันยังไงบ้าง มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.
from:https://www.appdisqus.com/compare-iphone-12-series-whats-the-difference/

แจกโค้ด iPhone 12 และ iPhone 12 Pro Max เครื่องเปล่า ไม่ติดสัญญา ราคาพิเศษ

TrueMove H SUPER SALE 2021 แจกโค้ด SUP1000 เครื่องเปล่า ไม่ติดสัญญา ราคาสุดคุ้ม แห่งเดือน ก.ย. 2021 ลดราคามือถือ และแท็บเล็ตแบรนด์ดัง! สูงสุด 1,000 บาท แถมให้เลย!! ซิมเน็ตเต็มสปีดฟรี! 10GB/เดือน (แถมฟรีไม่ติดสัญญา) เฉพาะสั่งซื้อออนไลน์ที่ทรูสโตร์เท่านั้น (สินค้ามีจำกัด)

สินค้า Apple ที่สามารถใช้โค้ดลดราคาได้

  • iPhone 12
  • iPhone 12 mini
  • iPhone 12 Pro Max
  • iPhone 11 Pro
  • iPad Air 4

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ https://bit.ly/3jzQJP2

from:https://www.9tana.com/node/iphone-12-true-2021/

ราคา iPhone ล่าสุดจาก Apple, AIS, TrueMove H, DTAC ประจำเดือน ส.ค. 64

ข้อมูลนี้แสดงราคา iPhone เครื่องเปล่ารุ่นที่ Apple วางข […] More

from:https://www.iphonemod.net/phone-price-update-17-aug-2021.html

เทียบหน้าจอและแบตเตอรี่ Samsung Galaxy S21 Ultra vs iPhone 12 Pro Max และ Galaxy S21+ vs iPhone 12 Pro ใช้งานจริงเป็นยังไง?

มือถือเรือธงระดับพรีเมี่ยมทั้ง Samsung Galaxy S21 Series และ iPhone 12 Series เปิดตัวมาได้ซักพักแล้ว ซึ่งทั้ง 2 ค่ายต่างก็ขนเอาสเปค + ฟีเจอร์ล้ำ ๆ แบบจัดเต็มมาให้ทั้งนั้น ซึ่งทาง Droidsans ก็เคยรีวิวการใช้งานของทั้งคู่แบบเต็ม ๆ ไปหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพกล้องรวมถึงการใช้งานด้านอื่น ๆ คราวนี้เราก็เลยขอมาทดสอบจุดเด่นอีกอย่างของมือถือทั้ง 2 ซีรีส์นี้บ้าง นั่นก็คือเรื่อง หน้าจอ และแบตเตอรี่นั่นเองครับ ว่าจากการใช้งานจริงเนี่ยหากเทียบระหว่าง Galaxy S21 Ultra vs iPhone 12 Pro Max และ Galaxy S21+ vs iPhone 12 Pro แต่ละรุ่นจะเป็นยังไงบ้าง

สำหรับการเปรียบเทียบหน้าจอ และแบตเตอรี่คราวนี้ จะขอเทียบเป็นคู่ ๆ ระหว่างตัวท็อปของซีรีส์อย่าง Galaxy S21 Ultra กับ iPhone 12 Pro Max และรุ่นรองท็อปอย่าง Galaxy S21+ กับ iPhone 12 Pro นะครับ ซึ่งการทดสอบนี้เป็นการทดสอบจากการใช้งานจริงของมือถือทั้ง 4 รุ่น ว่าหน้าจอเป็นยังไงใช้งานกลางแจ้งแล้วชัดเจนรึเปล่า ส่วนแบตเตอรี่ก็จะเป็นการใช้จริงในแต่ละวันเหมือนกัน และมีการทดสอบดูหนังเป็นเวลาเท่ากันด้วย ว่าแต่ละรุ่นกินแบตเตอรี่ไปมากแค่ไหนในระยะเวลาที่เท่ากันครับ

หน้าจอ Galaxy S21 Ultra vs iPhone 12 Pro Max

ประเภทหน้าจอ

เริ่มต้นด้วยหน้าจอของตัวท็อป Galaxy S21 Ultra และ iPhone 12 Pro Max กันก่อนเลย โดยทั้งคู่ใช้หน้าจอพาเนล OLED มีขนาดสูสีกัน S21 Ultra 6.8 นิ้ว / iPhone 12 Pro Max 6.7 นิ้ว แต่หากเทียบทางด้านสเปคแล้ว S21 Ultra จะได้เปรียบกว่า แม้จะใช้พาเนล OLED เหมือนกัน แต่ใช้เทคโนโลยี Dynamic AMOLED 2X ที่มีระบบ LTPO เข้ามาช่วยปรับค่ารีเฟรชเรทตามการใช้งานแบบ Real-time และยังให้สีสันที่สดและสว่างกว่าด้วย (แต่เรื่องสีนี่แล้วแต่คนชอบเนอะ)

ความละเอียด

เรื่องความละเอียดหน้าจอ Galaxy S21 Ultra กินขาดด้วยความละเอียดที่สูงถึง 1440 x 3200 (WQHD+) ในขณะที่ iPhone 12 Pro Max มีความละเอียดที่ 1284 x 2778 แต่สำหรับการใช้งานจริง ๆ เช่นเปิดวิดีโอระดับ 4K จาก YouTube มาเทียบกันก็แทบจะไม่สังเกตเห็นความแตกต่างเลย ทั้ง 2 รุ่น มีคุณภาพการแสดงผลที่คมชัดบาดตาบาดใจทั้งคู่ แต่ถ้าเอามาวางเทียบกันแล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่าหน้าจอของ Galaxy S21 Ultra มันสวย คมชัด และให้สีสันที่สดดีจริง ๆ (ต้องดูด้วยตาเปล่านะครับ ใช้กล้องถ่ายแล้วสีมันไม่ตามที่ตาเห็น)

รีเฟรชเรท

แทบจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของมือถือหลาย ๆ รุ่นในตอนนี้แล้ว ที่จะต้องมากับหน้าจอรีเฟรชเรทสูง ซึ่งตรงนี้ Galaxy S21 Ultra ยังคงเอาไปกินด้วยหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X ที่ปรับรีเฟรชเรทอัตโนมัติได้ระหว่าง 10Hz – 120Hz ตามการใช้งาน (เพื่อประหยัดแบตเตอรี่) แน่นอนว่ารีเฟรชเรทยิ่งเยอะ ภาพบนหน้าจอก็จะยิ่งลื่นไหลเนียนตา ไม่ว่าจะเป็นการไถหน้าจอไปมา, การไถ Feed บน Facebook, เวลาเข้าเว็บต่าง ๆ หรือแม้แต่การเล่นเกมที่รองรับมือถือหน้าจอรีเฟรชเรทสูง หากใครที่ได้ลองใช้แล้วจะรู้สึกเลยล่ะ ว่าไม่อยากกลับไปใช้มือถือหน้าจอรีเฟรชเรท 60Hz อีกเลย

สำหรับ iPhone 12 Pro Max ที่ยังคงใช้หน้าจอรีเฟรชเรท 60Hz อยู่ ในการใช้งานจริงก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันหนืดหรือแย่กว่ามือถือจอ 120Hz นะครับ ซึ่งบางคนอาจจะไม่ใส่ใจหรือไม่สังเกตว่ามือถือจะต้องมีหน้าจอรีเฟรชเรทสูงก็ได้ เพราะเอาจริง ๆ มันไม่ได้กระทบกับการใช้งานในชีวิตจริงซักเท่าไหร่ครับ

ความสว่าง

ความสว่างของหน้าจอก็นับเป็นอีกเรื่องสำคัญของมือถือ เพราะการใช้งานกลางแจ้งที่มีแสงแดดจ้า ยิ่งหน้าจอให้ความสว่างได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมองเห็นชัดได้มากเท่านั้นนั่นเอง โดย Galaxy S21 Ultra สามารถทำความสว่างได้สูงสุดถึง 1500 nits แต่ความสว่างระดับนั้นจะเอาไว้ใช้เฉพาะตอนเล่นวิดีโอแบบ HDR เท่านั้นนะครับ ส่วนความสว่างสูงสุดที่ระบบจะปรับให้ตอนอยู่กลางแดดจ้าตอนเที่ยง ๆ จะอยู่ที่ 1023 nits ซึ่งก็เรียกว่าสูงมากอยู่ดี ทำให้ไม่มีปัญหามองไม่เห็นจอเวลาใช้งานกลางแจ้ง หรือถ่ายรูปกลางแดดแล้วมองไม่ชัดว่ากล้องโฟกัสหรือยัง

ของ iPhone 12 Pro Max สามารถทำความสว่างสูงสุดได้ที่ 1200 nits ตอนเล่นวิดีโอ HDR ส่วนความสว่างสูงสุดที่ระบบจะปรับให้ตอนใช้งานกลางแดดจัด ๆ อยู่ที่ 800 nits ถึงแม้จะน้อยกว่าทาง Galaxy S21 Ultra กว่า 200 nits แต่ก็เพียงพอในการใช้งานกลางแจ้งได้แบบชัดเจนเช่นกันครับ

ค่า Contrast

ค่า Contrast หรือ Contrat Ratio ของหน้าจอบางคนอาจไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่สำหรับสายดูหนังดูคลิปความละเอียดสูง ๆ ภาพสวย ๆ ระดับ HDR จะยิ่งถูกใจมาก เพราะหากหน้าจอมี Contrast Ratio สูงเท่าไหร่ การแสดงผลสีดำก็จะดำสุด ๆ ส่วนการแสดงผลสีขาวก็จะขาวสุด ๆ ซึ่งการแสดงผลของทั้ง 2 สี ถ้ายิ่งตัดกันมากเท่าไหร่ ภาพก็จะยิ่งสวยมีมิติสมจริงมากขึ้นเท่านั้นครับ ซึ่งตรงนี้หน้าจอของ Galaxy S21 Ultra มี Contrast Ratio ที่สูงปรี๊ดถึง 3,000,000 : 1 เลยทีเดียว ในขณะที่ iPhone 12 Pro Max อยู่ที่ 2,000,000 : 1

เซนเซอร์สแกนนิ้วมือ

เทคโนโลยีเซนเซอร์สแกนนิ้วมือใต้หน้าจอเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้กับหน้าจอพาเนลประเภท OLED อยู่แล้ว ซึ่งมือถือ Galaxy S21 Series ทุกรุ่นมีระบบนี้ให้ใช้ทั้งหมด ที่ยกเอามาบอกก็เพราะว่าช่วงนี้เวลาออกไปข้างนอกบ้านซึ่งต้องใส่หน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้การปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือดูสะดวกขึ้นมาทันที เพราะไม่ต้องคอยถอดหน้ากากออกมาปลดล็อคเครื่องนั่นเองครับ

แบตเตอรี่ Galaxy S21 Ultra vs iPhone 12 Pro Max

อีกเรื่องหลักของการเลือกซื้อมือถือแต่ละครั้งก็คงหนีไม่พ้นแบตเตอรี่นี่แหละ เพราะหากมือถือรุ่นไหนมีสเปคแรง กล้องงาม หน้าจอสวยแต่ดันตกม้าตายเพราะแบตเตอรี่ใช้งานได้ไม่ถึงวันก็ต้องเรียกหาที่ชาร์จกันแล้ว ซึ่งตรงนี้ Galaxy S21 Ultra และ iPhone 12 Pro Max หมดห่วงไปได้เลย เพราะจากการทดลองใช้งานทั่วไป ใส่ซิม 5G ออกไปใช้งานนอกบ้านนิด ๆ หน่อย ๆ เช่นถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ เข้าบ้านมาก็ต่อ WiFi เล่นเน็ต เล่นเกมบ้าง ดูคลิปจาก YouTube บ้าง และมีแชทเข้าอยู่เรื่อย ๆ พบว่าทั้งคู่สามารถอยู่ได้สบาย ๆ ทั้งวัน (S21 Ultra ปรับความละเอียดหน้าจอไว้ที่ระดับ FHD+)

พอเอามาทดสอบด้วยการดูคลิประดับ Full HD จากแอป YouTube เชื่อมต่อกับ WiFi ความสว่างหน้าจอและลำโพงปรับไว้ที่ 50% ทั้งคู่ ดูคลิปเป็นเวลาประมาณ 4 ชม. พบว่าจากแบตเตอรี่ 100% ทาง Galaxy S21 Ultra เหลือแบตเตอรี่อยู่ที่ 73% ส่วน iPhone 12 Pro Max เหลืออยู่มากกว่าที่ 77% (ตอนทดสอบปิดแอปเบื้องหลังไว้ทั้งหมดนะครับ มีแค่ YouTube ทำงานอยู่เท่านั้น) เรียกว่าทางฝั่ง iPhone 12 Pro Max มีการจัดการพลังงานได้ดีกว่าเพราะขนาดมีแบตเตอรี่ที่น้อยกว่าเป็น 1000 mAh (5000 mAh vs 3687 mAh) ยังใช้งานได้ทั้งวันพอ ๆ กับ S21 Ultra

แต่คาดว่าหากใช้งาน Galaxy S21 Ultra ในชีวิตประจำวันแล้วปรับรีเฟรชเรทหน้าจอให้เหลือ 60Hz ตลอดเวลาแล้ว แบตเตอรี่น่าจะใช้ได้ยาวกว่านี้แน่นอน (ส่วนตัวยอมแบตหมดไวแล้วใช้รีเฟรชเรทสูงนะ เพราะมันลื่นสบายตากว่าจริง ๆ)

 


Galaxy S21 Ultra เหลือ 73% (ซ้าย) / iPhone 12 Pro Max เหลือ 77% (ขวา)

สุดท้ายคือเรื่องการชาร์จแบตเตอรี่ที่ Galaxy S21 Ultra จะได้เปรียบกว่า เพราะรองรับการชาร์จไวที่ 25W สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh จาก 0% – 100% ได้ในเวลาราว 1 ชั่วโมง 30 นาที ส่วนของ iPhone 12 Pro Max รองรับที่ 20W ชาร์จแบตเตอรี่ขนาด 3687 mAh จาก 0% – 100% ได้ในเวลาประมาณ 2 ชม. หน่อย ๆ ครับ

 

หน้าจอ Galaxy S21+ vs iPhone 12 Pro

ประเภทหน้าจอ

ต่อด้วยการเปรียบเทียบระหว่างมือถือรุ่นรองอย่าง Galaxy S21+ และ iPhone 12 Pro กันบ้าง โดยทั้ง 2 รุ่น ยังคงใช้หน้าจอประเภทเดียวกันกับรุ่นพี่อยู่ แต่ขนาดจะลดหลั่นลงมา Galaxy S21+ อยู่ที่ 6.7 นิ้ว และ iPhone 12 Pro หดลงมาเยอะหน่อยอยู่ที่ 6.1 นิ้ว

ความละเอียด

สำหรับความละเอียดหน้าจอของ Galaxy S21+ ถูกลดลงมาเหลือที่ 1080 x 2400 (FHD+) ส่วน iPhone 12 Pro ก็ให้ความละเอียดมามากกว่านิดหน่อยที่ 1170 x 2532 ซึ่งก็ยังเรียกว่าคมชัดบาดตาไม่ต่างกันสำหรับการใช้งานจริงทั้งเล่นเกม ดูหนัง หรือใช้งานอื่น ๆ แต่ก็อีกเช่นเคยที่หน้าจอ AMOLED ของ Galaxy S21+ ให้แสงสีที่สดใสสะใจกว่าแบบเห็นได้ชัดครับ

รีเฟรชเรท

Galaxy S21+ ยังคงใช้หน้าจอแบบ Dynamic AMOLED 2X เหมือนกับรุ่นพี่ ทำให้การเคลื่อนไหวบนหน้าจอสมูทกว่า เนียนกว่าแบบเห็นได้ชัด ส่วน iPhone 12 Pro ก็ใช้หน้าจอรีเฟรชเรท 60Hz เหมือนกับรุ่นพี่ iPhone 12 Pro Max เช่นกันครับ

ความสว่าง

Galaxy S21+ สามารถทำความสว่างได้สูงสุด 1300 nits สำหรับการเล่นวิดีโอแบบ HDR ส่วนความสว่างสูงสุดที่ระบบจะปรับให้ตอนอยู่กลางแดดจะอยู่ที่ 879 nits แม้ว่าจะดูน้อยกว่ารุ่นพี่ S21 Ultra อยู่เกือบ 200 nits แต่จากการใช้งานจริงกลางแจ้ง ก็ยังสามารถมองเห็นได้แบบชัดเจนสบายตาไม่ต้องเพ่งเลย

ส่วนของ iPhone 12 Pro ทำความสว่างหน้าจอสูงสุดได้เท่ากับรุ่นพี่ที่ 1200 nits เวลาเล่นวิดีโอ HDR และความสว่างสูงสุดตอนใช้งานกลางแดดอยู่ที่ 800 nits ซึ่งไม่ต้องห่วงเลยว่าจะมองไม่ชัด หรือจะถ่ายรูปแล้วมองจอไม่เห็นครับ

ค่า Contrast

หน้าจอของ Galaxy S21+ มี Contrast Ratio ที่ลดลงมาจากรุ่นพี่อยู่ที่ 2,000,000 : 1 ซึ่งเท่ากันกับ Contrast Ratio ของ iPhone 12 Pro และ Pro Max ทำให้การดูคลิปดูหนังที่รองรับ HDR มีความสมจริงของสีและให้มิติของภาพที่ดีมาก ๆ ครับ

แบตเตอรี่ Galaxy S21+ vs iPhone 12 Pro

แบตเตอรี่ของ Galaxy S21+ ให้มาน้อยกว่า S21 Ultra ที่ 4800 mAh ส่วนของ iPhone 12 Pro อยู่ที่ 2815 mAh ทดสอบใช้งานจริงทั้งวันเหมือนกับที่ทดสอบกับรุ่นพี่ทั้งคู่ ก็พบว่าสามารถใช้งานได้ทั้งวันสบาย ๆ เช่นกัน และได้ทดสอบเอามาดูคลิปจาก YouTube เชื่อมต่อกับระบบ WiFi เป็นเวลาประมาณ 4 ชม. เปิดแสงสว่างและลำโพงที่ 50% ก็ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกันมาก Galaxy S21+ เหลือแบตเตอรี่ 75% ในขณะที่ iPhone 12 Pro เหลืออยู่ที่ 77% – 78% ครับ


 

สำหรับระบบชาร์จอันนี้ของ Galaxy S21+ ก็ยังได้เปรียบกว่าเพราะรองรับการชาร์จไร้สายได้ 25W ส่วน iPhone 12 Pro ก็รองรับชาร์จไวอยู่ที่ 20W เหมือนรุ่นพี่ครับ

สรุป

ทั้ง Galaxy S21 Ultra, Galaxy S21+, iPhone 12 Pro Max และ iPhone 12 Pro นับว่าเป็นมือถือระดับเรือธงที่มีสเปคอยู่ในระดับไฮเอนด์ทั้งนั้น แต่ละรุ่นก็มีข้อดีข้อด้อยของมันเองอยู่แล้ว แถมยังเป็นมือถือคนละระบบอีกด้วย ซึ่งเราก็ได้เอาสเปคบางส่วนมาเทียบให้ดูเพื่อเป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจนะครับ ทีนี้ก็อยู่ที่ตัวคนใช้งานแล้วล่ะ…ว่ามือถือรุ่นไหนจะเหมาะกับตัวเราใช้แล้วตรงใจที่สุดครับ

from:https://droidsans.com/display-battery-samsung-galaxy-s21-ultra-vs-iphone-12-pro-max-s21-plus-vs-iphone-12-pro/

ราคา iPhone ล่าสุดจาก Apple, AIS, TrueMove H, DTAC ประจำเดือน ก.ค. 64

ข้อมูลนี้แสดงราคา iPhone เครื่องเปล่ารุ่นที่ Apple วางข […] More

from:https://www.iphonemod.net/iphone-price-update-19-july-2021.html