คลังเก็บป้ายกำกับ: CLOUD_MIGRATION

เจาะลึกเทรนด์ Cloud & Data Center ของไทยในงาน TTT 2022 Reinforce: Enterprise IT Infrastructure Day

เจาะลึกเทรนด์ด้าน Data Center และกลยุทธ์ Hybrid Multi-cloud ในไทย การปฏิรูป Data Center ด้วยเทคโนโลยี Hyper-converged Infrastructure แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของการทำ Cloud Migration และการวางสถาปัตยกรรมระบบ Container และ Kubernetes เพื่อการพัฒนา Cloud Native Apps อย่างมั่นคงและยั่งยืน ในงาน TTT 2022 Reinforce: Enterprise IT Infrastructure Day วันที่ 5 ตุลาคม 2020 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม BITEC

📆 วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2022
⏰ เวลา 8:00 – 17:00 น.
🏢 Grand Hall, BITEC Bangna
🇹🇭 บรรยายภาษาไทยทุกเซสชัน

กำหนดการบรรยาย Track 1: Cloud & Data Center

09:00 – 09:30 สรุปเทรนด์ Data Center และกลยุทธ์ Hybrid Multi-Cloud ในไทยปี 2022
คุณณัฐพัชญ์ นราพิมพ์สกุล Head of Consulting & Professional Services, True IDC
09:30 – 10:00 ปรับเปลี่ยนสถาปัตยกรรม Infrastructure อย่างไร เมื่อ Cloud เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจดิจิทัลในยุคปัจจุบันและอนาคต
คุณโชติวิทย์ จารุวรรณสถิตย์ Advisory Solution Architect & Field CTO, Dell Technologies
10:00 – 10:30 Google Cloud Migration – นำระบบขึ้นสู่ Cloud อย่างมั่นใจ
คุณธีระ วิวัฒน์โชติพร Senior Google Cloud Solutions, Tangerine
10:30 – 11:00 พักรับประทานอาหารว่างและเยี่ยมชมบูธ
11:00 – 11:30 วางรากฐานองค์กรให้พร้อมก้าวสู่การทำ Application Modernization
คุณเต็มภูมิ ชัยวัฒนายน Specialist Solution Engineer, VMware Tanzu และคุณธนกร อินทรัตน์ System Engineer, Veeam Software (Thailand)
11:30 – 12:00 มุ่งสู่ Hyper-converged อีกก้าวการปฏิรูป Data Center ให้ทันสมัย
คุณทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี Country Manager, Nutanix (Thailand)
12:00 – 13:30 พักรับประทานอาหารกลางวันและเยี่ยมชมบูธ

งานสัมมนานี้เหมาะสำหรับ: CIO, CTO, CISO, DPO, IT Manager, Compliance Manager, Cloud Architect, Security Engineer, Security Analyst, Network Engineer, IT Admin, IT Auditor และผู้ที่สนใจด้าน Cloud, Data Center, Networking และ Cybersecurity

🎉 พิเศษ!! ลงทะเบียนและเข้าร่วมงานเพื่อลุ้นรับ MacBook Air (M2), AirPods Max และ Sandisk Extreme Portable SSD อย่างละ 2 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 130,000 บาท

ดูรายละเอียด กำหนดการ และลงทะเบียนได้ที่: https://conf.techtalkthai.com/re22/

เกี่ยวกับงานสัมมนา TTT 2022 Reinforce: Enterprise IT Infrastructure Day

จากซีรีส์งานสัมมนาออนไลน์ TTT Virtual Summit ที่มีคนติดตามมากกว่า 8,000 คน สู่งานสัมมนาใหญ่ Enterprise IT Infrastructure Day ส่งท้ายปี 2022 ในรูปแบบ Physical Event ภายใต้แนวคิด Reinforce เสริมแกร่งรากฐานระบบ IT พลิกโฉมสู่ธุรกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืนและมั่นคงปลอดภัย ภายในงานท่านจะได้อัปเดตแนวโน้ม นวัตกรรม แนวทางปฎิบัติ และกรณีศึกษาที่น่าสนใจทางด้าน IT Infrastructure สำหรับองค์กร ครอบคลุมทั้งด้าน Cloud & Data Center, Networking, Cybersecurity และ Standards & Compliance ผ่านการบรรยายรวม 20 เซสชัน

นอกจากนี้ยังมีบูธจัดแสดงนวัตกรรมสำหรับองค์กรอีกกว่า 30 บูธ สำหรับให้ผู้เข้าร่วมงานขอคำปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแชร์ประสบการณ์ด้าน Enterprise IT Infrastructure โดยตรงกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงาน องค์กร และบริษัท IT/Consult ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ

from:https://www.techtalkthai.com/ttt-2022-reinforce-track-1-cloud-and-data-center/

Advertisement

ลดความเสี่ยงการใช้ VMware ในอนาคตด้วย Oracle Cloud VMware Solutions พร้อมต่อยอดสู่ Cloud Native

ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Broadcom ประกาศเข้าซื้อกิจการของ VMware ส่งผลให้หลายองค์กรที่ใช้โซลูชันของ VMware อยู่เริ่มกังวลเกี่ยวกับการใช้งานในอนาคต บทความนี้จะมาแนะนำ Oracle Cloud VMware Solutions (OCVS) ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถย้ายระบบ VMware ขึ้นสู่ Public Cloud ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยใช้ชุดเครื่องมือและทักษะเดิมที่มีอยู่ พร้อมต่อยอดด้วยบริการที่หลากหลายของ Oracle Cloud Infrastructure และปูเส้นทางสู่การเป็นระบบแบบ Cloud Native ในอนาคต ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาแต่เทคโนโลยีของ VMware เพียงอย่างเดียว

จาก VMware แบบดั้งเดิมสู่โลก Cloud Native ต้องใช้เวลา อาจเสียโอกาสทางธุรกิจ

หลังจาก Broadcom ประกาศเข้าซื้อกิจการของ VMware ทำให้หลายองค์กรทั่วโลกต่างตั้งคำถามว่า หลังจากนี้ Broadcom และ VMware จะวางกลยุทธ์แบบไหน ยังคงพัฒนาเทคโนโลยีและฟีเจอร์ใหม่ๆ หรือไม่ และจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในปัจจุบันอย่างไรบ้าง

จากการสำรวจพบว่า VMware ถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะกับแอปพลิเคชันประเภท Mission Critical แต่มากกว่า 80% ของแอปพลิเคชันเหล่านั้นยังคงรันบนสถาปัตยกรรมแบบเก่า คือ On-premises Monolith บน VMware ซึ่งมีข้อจำกัดด้าน Availability และการขยายระบบในอนาคต องค์กรในปัจจุบันโดยเฉพาะ Startup จึงเริ่มมองหาระบบแบบ Cloud Native ที่มีความยืดหยุ่นกว่า อย่างไรก็ตาม Cloud-Native Apps ปัจจุบันมีมากกว่า 1,000 เทคโนโลยี ส่งผลให้ระบบมีความซับซ้อน และพนักงานต้องเรียนรู้ทักษะอีกมาก การเปลี่ยนจาก On-premises Monilith บน VMware ไปสู่โลก Cloud Native (Microservices) รวดเดียวจึงต้องใช้เวลาเตรียมการนานและพัฒนาทักษะหลายอย่าง ระหว่างนั้นอาจทำให้พลาดโอกาสทางธุรกิจบางอย่างไปได้

จะดีกว่าไหมถ้าสามารถย้ายระบบ VMware แบบดั้งเดิมขึ้นสู่ Cloud ไปก่อน และอาศัยศักยภาพของ Cloud ในการทำ Digital Transformation ด้วยการต่อยอดสู่ขุมพลังอื่นๆ เช่น AI/ML หรือ Analytics เพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ระหว่างนั้นก็เตรียมการพัฒนาสู่ระบบแบบ Cloud Native ไปพร้อมๆ กัน

แล้วจะทำอย่างไรจึงจะย้ายระบบ VMware ขึ้นสู่ Cloud ได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้ แก้ไขโค้ด และยังได้ประสบการณ์เหมือนตอนใช้งานบน On-premises ?

ย้าย VMware ขึ้น Oracle Cloud Infrastructure ได้ง่ายด้วย OCVS พร้อมคงประสบการณ์แบบ On-premises

Oracle ได้จัดเตรียมแนวทางการพลิกโฉมระบบ VMware แบบดั้งเดิมสู่การเป็นระบบแบบ Cloud Native โดยแบ่งเป็น 3 เฟส คือ

  1. การย้ายระบบ VMware ขึ้นสู่ Oracle Cloud Infrastructure (OCI)
  2. การต่อยอดไปสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI/ML หรือ Analytics ผ่าน Oracle Cloud Services
  3. การเปลี่ยนไปสู่ระบบ Cloud Native ในอนาคต

ในเฟสแรกนั้น Oracle ได้ร่วมมือกับ VMware เปิดให้บริการ Oracle Cloud VMware Solutions (OCVS) เพื่อให้ลูกค้าของ VMware สามารถย้ายระบบขึ้นสู่ Oracle Cloud Infrastructure ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ผ่านทางการใช้เครื่องมือของ VMware เช่น VMware Hybrid Cloud Extension (HCX) หรือ vMotion เป็นต้น ในขณะที่ Oracle จะเป็นผู้จัดเตรียมระบบโครงสร้างพื้นฐานบน Cloud ไว้ให้โดยใช้เทคโนโลยี VMware Software-Defined Data Center (SDDC) ได้แก่ vSphere, NSX-T Data Center, vSAN และ HCX ซึ่งติดตั้งบน Bare Metal Servers ที่แยกไว้ให้สำหรับลูกค้าแต่ละราย จึงไม่มีการแชร์ทรัพยากรร่วมกับลูกค้ารายอื่นๆ ตอบโจทย์องค์กรที่เข้มงวดเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและ Compliance ได้เป็นอย่างดี

ข้อดีของการใช้ OCVS คือ สามารถทำ Live Migration เพื่อให้การย้ายระบบไม่มี Downtime และพนักงานยังคงใช้เครื่องมือของ VMware ที่คุ้นเคยอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียนรู้ทักษะอะไรเพิ่มเติม ประสบการณ์ยังคงเหมือนกับการใช้ระบบ VMware บน On-premises Data Center ดูแลและบริหารจัดการได้ง่าย ที่สำคัญคือสามารถควบคุมระบบโครงสร้างพื้นฐานบน Oracle Cloud Infrastructure ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Full Root Access หรือ Administrative Control รวมไปถึงเลือกอัปเดตแพตช์ อัปเกรดเวอร์ชันได้ด้วยตนเอง เช่น การใช้ VMware เวอร์ชันก่อนล่าสุด 1 เวอร์ชัน โดยไม่ถูกบังคับใช้อัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดเหมือนผู้ให้บริการ Public Cloud รายอื่นๆ

เมื่อย้ายระบบ VMware ขึ้นสู่ Oracle Cloud Infrastructure แล้ว ย่อมช่วยให้องค์กรสามารถใช้ศักยภาพของ Cloud ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการขยายระบบที่ทำได้ง่าย ทั้งแบบชั่วคราว เฉพาะเทศกาล หรือถาวร ความพร้อมใช้งานที่สูงถึง 99.9% รวมทั้งการเปลี่ยนการลงทุนจาก CapEX ทางด้านฮาร์ดแวร์และ VMware License ไปสู่ OpEx ที่คิดค่าบริการตามการใช้งานจริง ซึ่งช่วยให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้สูงสุดถึง 35%

ต่อยอดสู่บริการ Oracle Cloud อื่นๆ ปูทางสู่ระบบแบบ Cloud Native ในอนาคต

หลังย้ายระบบขึ้นสู่ Oracle Cloud Infrastructure แล้ว องค์กรสามารถเดินหน้าเข้าสู่เฟสที่ 2 เพื่อต่อยอดการใช้งานร่วมกับ Oracle Cloud Services ที่มีมากกว่า 100 บริการ เช่น Data Lake, Analytics, AI/ML และอื่นๆ รวมไปถึง Oracle SaaS อย่าง ERP, CRM, HCM เป็นต้น เพื่อให้ก้าวทันการทำ Digital Transformation และเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

ระหว่างนี้ องค์กรสามารถวางแผนการเปลี่ยนผ่านระบบ On-premises Monolith บน VMware แบบดั้งเดิม ไปสู่ระบบแบบ Cloud Native ที่ทันสมัยได้ โดยอาจเริ่มต้นจากการเปลี่ยนไปใช้ Oracle Database Cloud หรือ Autonomous Cloud ก่อน ในขณะที่แอปพลิเคชันยังคงรันบน VMware ผ่าน OCVS เหมือนเดิม

เฟสที่ 3 คือการทำ Application Modernization เพื่อพัฒนาระบบใหม่ในรูป Microservices โดย Oracle ก็ให้บริการ Cloud Native Services ที่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาให้เป็นเรื่องง่าย ทั้ง Kubernetes Engine, Serverless, Container Registry, API Management และอื่นๆ อีกมาก แล้วค่อยๆ เปลี่ยนผ่านจากระบบเดิมมาสู่ระบบใหม่แบบ Cloud Native ทีละส่วนๆ ซึ่งขั้นตอนนี้อาจกินเวลานานถึง 6 – 12 เดือน แต่เนื่องจากองค์กรก้าวผ่านเฟส 2 มาแล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดโอกาสทางธุรกิจ

เริ่มต้นได้ง่ายในราคาประหยัดเพียง 1 Node เท่านั้น

Oracle Cloud Infrastructure ให้บริการทั้ง 39 Regions ใน 21 ประเทศทั่วโลก สามารถเริ่มต้นใช้ OCVS ได้ง่ายและยืดหยุ่น ตั้งแต่ 1 Node เพื่อทดลองใช้งาน พัฒนาโซลูชันบางอย่าง หรือทดสอบการย้ายระบบขึ้น Oracle Cloud Infrastructureว่าติดปัญหาอะไรหรือไม่ ช่วยให้องค์กรประเมินศักยภาพของ Oracle Cloud Infrastructure ได้ง่ายด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด หลังจากนั้นค่อยขยายไปเป็น 3 Nodes เพื่อให้มี High Availability สำหรับใช้งานระบบจริง และสามารถขยายระบบได้สูงสุดถึง 64 Nodes สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีฟาร์ม VMware หรือต้องการเปลี่ยนผ่านจากการใช้ On-premises Data Center มาสู่ระบบ Cloud 100%

แม้ว่าจะเริ่มต้นใช้งานได้ที่ 1 Node ทาง Oracle ก็ยังจัดเตรียมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่แบ่งแยกให้ลูกค้าแต่ละรายโดยเฉพาะ ในขณะที่ 3 Nodes ก็มีทรัพยากรในการใช้งานสูงถึง 156 OCPUs, 2304 GB Physical Memory และ 153 TB NVMe-based Raw Storage ซึ่งเพียงพอต่อการรองรับ Workload ได้หลากหลายประเภท สำหรับองค์กรที่เข้มงวดเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลหรือจำเป็นต้องปฏิบัติตาม Compliance บางอย่าง สามารถเลือกใช้ OCVS ในรูปแบบ Dedicated Region Cloud@Customer ได้ โดย Oracle จะทำการติดตั้ง Oracle Cloud Infrastructure ที่ Data Center ขององค์กรเลย ทำให้องค์กรสามารถใช้ OCVS และ Oracle Cloud Services อื่นๆ ได้จากภายใน Data Center ของตน ในขณะที่ยังคงมีโมเดลการคิดค่าบริการเหมือนการใช้ Public Cloud ปกติ

นอกจากนี้ Oracle Cloud Infrastructure ยังเปิดให้ใช้งานฟรีหลายบริการ เช่น Ampere A1 Compute, Autonomous JSON Database, NoSQL Database Cloud Service, APEX Application Development และอื่นๆ อีกหลายสิบบริการ เปิดโอกาสให้เหล่านักพัฒนาและองค์กรธุรกิจเริ่มต้นใช้ Oracle Cloud Infrastructure ได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย

ลงทะเบียนเพื่อเริ่มใช้งาน Oracle Cloud Infrastructure ฟรีได้ที่ https://signup.cloud.oracle.com/

ผู้ที่สนใจ Oracle Cloud VMware Solutions หรือต้องการคำปรึกษาในการย้ายระบบ VMware ขึ้นสู่ Cloud สามารถติดต่อ Oracle ประเทศไทยได้ที่เบอร์ 0-2696-4798

from:https://www.techtalkthai.com/from-vmware-legacy-to-cloud-native-with-oracle-cloud-vmware-solutions/

Migrate ระบบขึ้นคลาวด์กับ Elastic Observability เพิ่มการมองเห็น ดูแลทั่วถึงทั้งระบบ

ความต้องการเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันทำให้ธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ต่างก็หันมาให้ความสำคัญกับโครงสร้างทาง IT กันมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน นอกจากการสร้างระบบภายในองค์กรแบบ On-premise หรือบน Public Cloud เต็มตัวแล้ว ก็ยังมีทางเลือกของการวางสถาปัตยกรรมแบบ Hybrid และ Multi-cloud ด้วย รูปแบบต่างๆเหล่านี้มีข้อดีและจุดอ่อนแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่หลายองค์กรต้องเผชิญคล้ายๆกัน คือขั้นตอนของการย้าย หรือ Migrate ระบบของตัวเองไปยังคลาวด์หรือ Data Center อื่นที่ตั้งอยู่ภายนอกองค์กร 

ขั้นตอนการย้าย Workload นั้นอาจเป็นคำสั้นๆที่ครอบคลุมความหมายได้ดี แต่เมื่อนำมาแจกแจงหลายองค์กรอาจพบว่าขั้นตอนนี้เป็นงานยากกว่าที่คิด มีรายละเอียดให้วางแผน รวมไปถึงสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติมจำนวนมาก ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งที่ธุรกิจต้องคำนึงถึงก่อนการย้ายระบบขึ้นไปบนคลาวด์ และแพลตฟอร์มอย่าง Elastic Observability ที่สามารถเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระขององค์กรไปได้ในหลายด้าน

ตอบคำถามก่อนว่าจะย้ายอย่างไร

ความหมายของ Cloud Migration นั้นคือการย้ายระบบที่เคยทำงานอยู่ในสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง แต่ภายใต้คำว่าย้ายนั้นก็ยังมีทางเลือกให้ธุรกิจต้องตัดสินใจอยู่มากมาย โดยทั่วไปแล้ว Migration มีกลยุทธ์แปรผันตาม Service ของคลาวด์ที่ธุรกิจเลือกจะใช้งาน ซึ่งอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ข้อใหญ่ ดังนี้

  • IaaS – การย้ายระบบที่มีอยู่ไปทำงานบนคลาวด์โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนการทำงานของแอปพลิเคชันหรือรูปแบบของสถาปัตยกรรมมากนัก อาจเป็นการนำแอปพลิเคชันที่มีอยู่ไปโฮสต์อยู่บนฮาร์ดแวร์ของระบบคลาวด์ทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนอะไรเลยที่เรียกว่า Lift and shift หรือมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 
  • PaaS – การย้ายไปใช้ประโยชน์จากความสามารถของแพลตฟอร์มบนคลาวด์ในการทำงานของแอปพลิเคชัน โดยการย้ายแบบนี้ธุรกิจจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงโค้ด เปลี่ยนวิธีการ Deploy หรือเขียนแอปพลิเคชันใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ทำงานได้เข้ากับแพลตฟอร์มที่จะใช้งาน ซึ่งทำให้ขั้นตอนในการย้ายใช้เวลาและงบประมาณมากขึ้นนั่นเอง
  • SaaS – การเปลี่ยนไปใช้งานบริการ Software as a Service แทนแอปพลิเคชันหรือ Workload ที่องค์กรใช้งานอยู่เดิม ซึ่งธุรกิจก็ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนองค์ประกอบรอบๆตัวระบบให้ทำงานร่วมกับ SaaS ใหม่ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงการวางแผนเรื่องการย้ายข้อมูลและปรับแต่งซอฟต์แวร์ให้เหมาะสมกับการใช้งานด้วย

แนวทางทั้ง 3 ที่กล่าวไปนี้จะเป็นสิ่งที่กำหนดกลยุทธ์ในการ Migration ให้กับองค์กร โดยคลาวด์ที่เลือกใช้ เวลา งบประมาณ และงานที่ต้องทำเพิ่มในการย้ายระบบล้วนแล้วก็ขึ้นอยู่กับแนวทางที่ธุรกิจเลือกทั้งสิ้น Cloud Migration นั้นเป็นงานที่ธุรกิจต้องวางแผนเป็นอย่างดี และเฝ้าระวังให้ความสมดุลระหว่างการย้ายระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและในขณะเดียวกันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจ

“การมองเห็น” ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเร่งความเร็วของการย้ายระบบ

ไม่ว่าจะเป็นการย้ายระบบในรูปแบบใดก็ตาม การใช้เครื่องมือที่ช่วยให้ทีมงานสามารถมองเห็นและเฝ้าระวังปัญหาได้อย่างทั่วถึงทั้งโครงสร้างจะช่วยให้เส้นทาง Cloud Migration ขององค์กรง่ายขึ้น โดยการมองเห็นจะช่วยทั้งในขั้นตอนการวางแผนการย้าย วางแผนพัฒนาแอปพลิเคชันเพิ่มเติม เฝ้าระวังระหว่างเคลื่อนย้าย รวมไปถึงการวัดผลและดูแลหลังการย้ายเสร็จสิ้นด้วย แพลตฟอร์ม Elastic Observability สามารถมอบการมองเห็นให้กับองค์กร และช่วยให้การย้ายระบบเป็นไปอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้วยความสามารถในการมองเห็นสถานะการทำงานใน Environment ทั้งหมดที่องค์กรมีและ Dependency ของแอปพลิเคชันและโซลูชันต่างๆผ่าน Service Map ธุรกิจจะสามารถวางแผนการย้ายระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ มองเห็นถึงภาพรวมระบบ IT ภายในองค์กร อีกทั้งยังเสริมด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อและเรียกดูสถานะการทำงานของ Service และ Application ได้ภายในแพลตฟอร์ม Observability ทำให้ธุรกิจวัดผลได้ว่าการย้ายระบบนั้นได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้หรือไม่

Service Map จะช่วยแจกแจงโครงสร้างของระบบและบอกถึง Dependency ระหว่างระบบซึ่งช่วยในการวางแผน Migration

Elastic Observability เปิดให้ธุรกิจได้เชื่อมต่อกับ Service บน Public Cloud และแอปพลิเคชัน เช่น Kubernetes, Message Queue, Container รวมไปถึงแอปพลิเคชันอื่นๆผ่าน REST API เพื่อรวมการ Monitoring มาไว้ในแพลตฟอร์มเดียว อีกทั้งยังยังรองรับการ Monitor ระบบรูปแบบต่างๆ เช่น การเก็บ Log, APM, RUM, และ Synthetic Monitoring โดยทั้งหมดถูกจัดเก็บและดูแลโดยเทคโนโลยีของ Elastic Search ที่ช่วยให้การค้นหาข้อมูลขึ้นมาดูนั้นง่ายไม่ว่าสถาปัตยกรรม IT จะมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ตาม

โครงสร้างของแพลตฟอร์มประกอบไปด้วยเครื่องมือ Monitoring ที่ครบครัน แดชบอร์ดสำหรับตรวจสอบการทำงาน ระบบค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ และส่วนเชื่อมต่อกับ Source ต่างๆเพื่อนำข้อมูลเข้ามาแสดงผลในแพลตฟอร์มเดียว

 

แพลตฟอร์ม Elastic Observability มาพร้อมกับ Integration มากมายที่พร้อมให้ธุรกิจเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีที่ใช้งานอยู่ได้ทันที

ความสามารถเหล่านี้ช่วยสร้างการ”มองเห็น”ที่แท้จริงให้กับองค์กร ซึ่งมีประโยชน์ต่อเนื่องไปตลอดการใช้งานและยังเป็นรากฐานของ DevOps ที่มั่นคงสำหรับการนำ Environment และ Service อื่นๆเข้ามาใช้ในอนาคตด้วย 

จ่ายเท่าที่ใช้ ค่าใช้จ่ายไม่บวมตามปริมาณข้อมูล

อีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจของแพลตฟอร์ม Elastic Observability คือการคิดค่าบริการตามฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการเก็บ รวบรวม ค้นหา และวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรมี Service และแอปพลิเคชันในระบบจำนวนมาก ต่างจากการคิดค่าบริการตามจำนวนข้อมูลที่แพลตฟอร์มรับหรือ Agent ที่ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ยากกว่า

สนใจ Migrate และดูแลระบบด้วย Elastic Observability ติดต่อทีมงาน Elastic Thailand ได้ทันที

สำหรับท่านใดที่สนใจนำแพลตฟอร์ม Elastic Observability ไปช่วยในการย้ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลระบบ Hybrid และ Multi-cloud ขององค์กร สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อีเมล teepiyanut.tipakornsaowapak@elastic.co  หรือศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแพลตฟอร์มนี้ได้ที่เว็บไซต์ https://www.elastic.co/observability/cloud-migration และทดลองสมัครเข้าใช้งานได้ฟรีที่ https://cloud.elastic.co/registration

from:https://www.techtalkthai.com/elastic-observability-for-cloud-migration-monitoring/

Elastic Observability และ AWS – Migrate ขึ้นคลาวด์อย่างง่าย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ

เป็นที่ทราบกันดีว่าการใช้บริการคลาวด์นั้นสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างมากทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและค่าใช้จ่าย ทำให้ในปัจจุบันคลาวด์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นใช้บริการบนคลาวด์ สำหรับธุรกิจที่มีระบบ IT ภายในองค์กรอยู่แล้ว ความท้าทายแรกที่จะต้องเจอคือขั้นตอนของการย้ายระบบและโครงสร้าง IT ที่มีอยู่ขึ้นไปบนคลาวด์นั่นเอง 

ในบทความนี้ เราจะมาเล่าถึงปัญหาที่ธุรกิจอาจต้องเผชิญและการเตรียมตัวและวางแผนเพื่อย้ายระบบขึ้นไปบนคลาวด์ หรือที่เรียกกันว่า Cloud Migration รวมไปถึงแพลตฟอร์ม Elastic Observability ที่สามารถเข้ามาช่วยให้การย้ายนี้มีประสิทธิภาพและเกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด โดยจะยกตัวเองถึงการใช้งานร่วมกับคลาวด์ของ AWS ซึ่งถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี

ย้ายไปใช้งานคลาวด์ ต้องวางแผนก่อน

บริการคลาวด์สามารถเข้ามาช่วยธุรกิจได้ในหลายด้าน ตั้งแต่การควบคุมค่าใช้จ่าย การลดภาระการดูแลและซ่อมบำรุงระบบ การขยายขนาดระบบที่ยืดหยุ่น การรักษาความปลอดภัยให้กับระบบและข้อมูล ไปจนถึงการเข้าใช้เทคโนโลยีใหม่ๆที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ประโยชน์เหล่านี้ดึงดูดธุรกิจให้เข้าไปใช้บริการคลาวด์ โดยธุรกิจอาจย้ายระบบทั้งหมดไปอยู่บนคลาวด์ หรือย้ายเพียงบางส่วนและใช้งานในรูปแบบของ Hybrid Cloud ก็ได้

อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นย้ายระบบไปอยู่บนคลาวด์นั้นก็เป็นงานใหญ่ที่มีความซับซ้อน โดยนอกจากเลือกผู้ให้บริการคลาวด์ที่ต้องการแล้ว ธุรกิจยังต้องคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้

  • ความซับซ้อนของระบบ – การดำเนินงานของธุรกิจอาจกำลังใช้งาน Service หรือ Microservices อยู่เป็นจำนวนมาก และ Service เหล่านั้นก็พึ่งพาอาศัย สื่อสาร และเชื่อมต่อกันอย่างซับซ้อน หากธุรกิจไม่พิจารณาแผนผังและ Dependencies ของระบบภายในองค์กรให้ดี ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงตามมา 
  • ระยะเวลา – การย้ายระบบขึ้นคลาวด์นั้นอาจใช้เวลานานนับปี โดยเวลาที่ใช้ในการย้ายระบบก็หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย
  • ขนาดและสเปคของฮาร์ดแวร์ที่ใช้ – องค์กรต้องสำรวจสเปคและขนาดของเครื่องที่ต้องการใช้งาน เช่น ต้องใช้ RAM เท่าไร หน่วยประมวลผลแบบใด เพื่อคำนวณค่าใช้จ่ายให้แม่นยำ
  • การรื้อโครงสร้างระบบ – ในบางครั้ง ธุรกิจอาจต้องออกแบบโครงสร้างและระบบใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับบริการบนคลาวด์เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีและ Services ต่างๆที่คลาวด์มี โดยเฉพาะธุรกิจที่มีระบบแบบ Monolithic อยู่มาก 
  • Performance – การย้ายระบบอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบ โดยอาจทำงานได้ช้าลง หรือมีช่วงเวลาที่ใช้งานไม่ได้ ธุรกิจจึงต้องวางแผนและเตรียมความพร้อมเผื่อกรณีที่ไม่คาดคิดเสมอ
  • ความปลอดภัย – การรักษาความปลอดภัยของระบบบนคลาวด์นั้นแตกต่างจากการรักษาความปลอดภัยในระบบแบบ On-premise อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องการจัดเก็บข้อมูลด้วย 

เมื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆอย่างถี่ถ้วน และศึกษา Service บนคลาวด์ที่ต้องการใช้งานและเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจแล้ว ธุรกิจก็จะวางแผน Cloud Migration ได้ง่ายขึ้น โดยระหว่างการย้ายระบบสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ Visibility (การมองเห็นภาพ) ของทั้งระบบที่จะช่วยให้ธุรกิจได้รู้ถึงแผนผัง สถานะ และปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในขั้นตอน Migration 

Elastic Observability – ช่วยตั้งแต่ก่อนย้าย ดูแลต่อเนื่องหลังย้ายเสร็จ

แพลตฟอร์ม Elastic Observability นั้นถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อช่วยธุรกิจในการดูแลและมอนิเตอร์ระบบ มาพร้อมกับเครื่องมือที่สามารถช่วยในขั้นตอน Cloud Migration ได้เป็นอย่างดี รองรับการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ทุกเจ้า ซึ่งในบทความนี้ เราจะเน้นไปที่การใช้งานเพื่อ Migrate ระบบไปยังคลาวด์ของ AWS 

Elastic Observability จะเข้ามาช่วยตั้งแต่ขั้นตอนของการเตรียมการย้าย ในระหว่างการย้าย และคอยดูแลระบบต่อหลังการย้ายเสร็จสิ้น ดังนี้ 

ก่อนการย้ายระบบ

ช่วยทำความเข้าใจระบบ IT ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้งานอยู่ วาดแผนผังสถาปัตยกรรมและความเชื่อมโยงของแต่ละส่วนด้วย Service Mapping ช่วยดูแลประสบการณ์การใช้งานของเว็บแอปต่างๆในระบบ On-premise ช่วยคำนวณค่าใช้จ่าย วิเคราะห์แอปพลิเคชันว่าใช้งานอะไรบ้าง และแนะนำขนาดและสเปคของเครื่องที่ต้องใช้บนคลาวด์

Service Map ที่จะช่วยองค์กรทำความเข้าใจกับความซับซ้อนของระบบ

ระหว่างการย้ายระบบ 

คอยดูแลระบบทั้งหมดในขณะที่ทำงานแบบ Hybrid อยู่ช่วยวัด Performance และเตือนถึงปัญหาที่ผู้ใช้ในองค์กรอาจต้องเจอ เช่น แอปพลิเคชันที่ย้ายไปบนคลาวด์แล้วทำงานได้ช้าลง ช่วยวาดแผนผัง Service Dependency ภายในระบบ เพื่อให้ธุรกิจเข้าใจภาพรวมและตัดสินใจได้ดีขึ้น 

หลังการย้ายระบบเสร็จสิ้น

หลังย้ายระบบแล้วก็จำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบการทำงานของระบบทั้งหมด Elastic Observability จะช่วยแจ้งเตือนถึงปัญหา จัดการปัญหา และมอนิเตอร์สถานะการทำงานของ Service ทั้งหมดบนคลาวด์ ช่วยให้ธุรกิจพบปัญหาได้รวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถทำ Performance และ Cost Optimization ได้จากข้อมูลการใช้งานจริงด้วย 

Visibility ปัญหาใหญ่ที่ DevOps ทุกคนต้องเจอ

การไม่สามารถมองเห็นถึงสถานะและภาพรวมของการทำงานของระบบได้นั้นเป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับ DevOps มักจะเจอกันบ่อยๆ จากการสำรวจโดย Enterprise Management Associates (EMA) พบว่าทีม DevOps นั้นอาจใช้เวลาถึง 50% ของการทำงานทั้งหมดไปในการพยายามหต้นตอของปัญหาเชิงเทคนิคที่ธุรกิจกำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น แพลตฟอร์มอย่าง Elastic Observability จึงมีประโยชน์เป็นอย่างมาก 

ความสามารถในการตรวจสอบ เฝ้าระวัง และดูแลระบบของ Elastic Observability นั้นนอกจากจะช่วยดูแลในขั้นตอนการ Migrate ระบบไปยังคลาวด์แล้ว ยังสามารถนำมาใช้งานในการดูแลระบบไอทีบนคลาวด์ในทุกๆวัน โดยประกอบไปด้วย

  • Centralized Log Analysis – จัดเก็บ รวบรวม Log ของแอปพลิเคชันและทุกระบบที่องค์กรใช้งานมาไว้ในที่เดียว พร้อมด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ Log และแจ้งเตือนปัญหา
  • Infrastructure Monitoring – เผยทุกสถานะของ Infrastructure ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น Log, Uptime, หรือสถิติอื่นๆ
  • Application Performance Monitoring – ดูแลทุกแง่มุมของแอปพลิเคชัน เก็บสถิติ ตรวจสอบสถานะการทำงาน และวาดแผนผังความเชื่อมโยง (Dependency) ของระบบ เพื่อให้องค์กรสามารถหาข้อผิดพลาดและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว 
  • End-user Experience Monitoring – ดูแลการใช้งานแอปพลิเคชันจากฝั่งผู้ใช้งาน เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ยังทำงานได้ดี ไม่ล่ม ในทุกฟังก์ชัน

โดยในการดูแลระบบ Elastic Observability จะใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลและ Machine Learning เพื่อแนะนำการใช้งาน ตรวจจับความผิดปกติ และค้นหาสาเหตุของการทำงานที่ด้อยประสิทธิภาพ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาจัดแสดงในหน้า Dashboard ที่จะช่วยให้ทีม DevOps สามารถนำข้อมูลไปแก้ไขหรือปรับปรุงระบบได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด

นอกจากนี้ ในด้านของความปลอดภัย Elastic Observability ยังสามารถส่งต่อข้อมูลในแพลตฟอร์มมาทำงานร่วมกับ Elastic Security ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการรักษาความปลอดภัยแบบ XDR (Extended Detection and Response) ที่ช่วยเฝ้าระวังและตรวจสอบความเสี่ยงและการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นกับองค์ประกอบใดๆในระบบอย่างทันท่วงที และเมื่อระบบรักษาความปลอดภัยนี้ทำงานร่วมกับมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงจาก AWS องค์กรจึงสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลและระบบทั้งหมดจะปลอดภัยจากการโจมตีในรูปแบบต่างๆ

Elastic Security สามารถช่วยเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับระบบทั้งหมด โดยการทำงานร่วมกับ Elastic Observability ที่คอยดูแลสถานะการทำงานของระบบในที่ต่างๆอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น On-premise, Data Center หรือบน Public Cloud

สนใจนำ Elastic Observability ไปใช้ย้ายระบบขึ้นคลาวด์ ติดต่อทีมงาน Elastic ได้ทันที

Elastic เป็นพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการของโครงการ AWS ISV Workload Migration Program (WMP) และได้พัฒนาขั้นตอนและฟีเจอร์การทำงานของผลิตภัณฑ์ให้ทำงานในทิศทางเดียวกันกับ Best Practice ต่างๆของ AWS เช่น AWS Well-Architected Framework และ AWS Migration Acceleration Program ดังนั้นธุรกิจจึงมั่นใจได้ว่าขั้นตอนการย้ายระบบนั้นจะได้รับการซัพพอร์ตเป็นอย่างดีจากแพลตฟอร์มที่สร้างด้วยประสบการณ์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับคลาวด์ของ AWS 

หากผู้อ่านท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Elastic Observability หรือต้องการพูดคุยเกี่ยวกับการใช้งานและประสบการณ์ในการทำ Cloud Migration สามารถติดต่อทีมงาน Elastic โดยตรงได้ที่ teepiyanut.tipakornsaowapak@elastic.co 

 

อ้างอิง: https://www.elastic.co/blog/elastic-and-aws-accelerate-your-cloud-migration-journey

from:https://www.techtalkthai.com/elastic-observability-aws-cloud-migration-acceleration/

แห่งเดียวในไทย! True IDC ทะยานสู่การเป็น Strategic Partner ของ HUAWEI CLOUD พร้อมรับรางวัล Excellence Partner Awards 2021

True IDC ผู้นำการให้บริการ Data Center และระบบ Cloud ของไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำและพาร์ตเนอร์อันดับ 1 ของ Huawei Cloud ด้วยรางวัล Excellent HUAWEI CLOUD Sales Partner Award ประจำปี 2021 พร้อมทะยานขึ้นสู่การเป็น Strategic Partner ระดับสูงสุดของ HUAWEI CLOUD รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย การันตีทักษะและความสามารถด้วยการผ่านการรับรอง SCC (Service Capability Certified) ทางด้าน Cloud Migration จาก HUAWEI CLOUD เป็นที่แรก

ย้ำกลยุทธ์ Multi-Cloud ให้องค์กรไทยได้ใช้ Domestic Public Cloud ที่หลากหลาย

True IDC ดำเนินกลยุทธ์ด้าน Multi-Cloud มาอย่างยาวนาน ทั้ง International Public Cloud และ Domestic Public Cloud เพื่อส่งมอบโซลูชัน Cloud ที่เหมาะสมกับความต้องการเชิงธุรกิจขององค์กร True IDC ได้จับมือกับผู้ให้บริการ Public Cloud หลากหลายเจ้า โดย HUAWEI CLOUD ถือเป็นพันธมิตรเจ้าแรกๆ ที่ร่วมมือกับ True IDC ในการให้บริการ Cloud ในประเทศ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจตั้งแต่ระดับ Startup, SMB ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่สามารถเข้าถึงบริการ HUAWEI CLOUD ได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของแอปพลิเคชันสมัยใหม่อย่าง Blockchain และ Trading Apps ต่างๆ ที่ต้องการการรับส่งข้อมูลแบบ Real-time และมี Latency ต่ำ ทั้งยังขจัดความยุ่งยากเรื่องการส่งข้อมูลออกนอกประเทศสำหรับภาครัฐและเอกชนที่เคร่งครัดเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลอีกด้วย

หนึ่งเดียวในไทยที่ก้าวขึ้นเป็น Strategic Partner ระดับสูงสุดของ Huawei Cloud 

ระดับของพาร์ตเนอร์เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในระบบ Cloud นั้นๆ เพราะต้องผ่านข้อกำหนดที่ผู้ให้บริการ Cloud ได้ตั้งไว้ ซึ่ง Strategic Partner ถือเป็นระดับสูงสุด ซึ่งในประเทศไทยขณะนี้ มีเพียง True IDC ที่สามารถก้าวขึ้นสู่ระดับนี้ได้ โดยปัจจุบันนี้ True IDC ครอบครองใบรับรอง HCIA มากถึง 13 คน ใบรับรอง HCIP 5 คน และอยู่ระหว่างการนำเสนอ/ดำเนินโปรเจ็กต์กับลูกค้าทั่วไทยอีกกว่า 100 ราย

“การเป็น Strategic Partner ของ HUAWEI ทำให้ True IDC สามารถส่งต่อความเชี่ยวชาญและการซัพพอร์ตระดับ Premier ซึ่งเป็นระดับสูงสุดให้แก่ลูกค้าได้ เราได้รับการจัดสรร Solution Architect Support จาก HUAWEI CLOUD เพื่อสนับสนุนทีมงานและลูกค้าของเราโดยเฉพาะ ทำให้มั่นใจว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เช่น ขณะขึ้นโปรดักชัน จะมีทีมงานจาก True IDC และ HUAWEI CLOUD คอยสแตนด์บายอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ การเป็น Strategic Partner ยังทำให้เราสามารถเข้าถึงองค์ความรู้และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโซลูชันและ Use Cases ของ HUAWEI CLOUD ได้ง่ายยิ่งขึ้น ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้แก่ลูกค้าอีกด้วย” — คุณธนรรถ สังข์เกษม Head of Cloud Platform Development ของ True IDC กล่าว

ผ่านการรับรอง SCC (Service Capability Certified) ด้าน Cloud Migration รายแรกในไทย

True IDC เป็นพาร์ตเนอร์ของ HUAWEI CLOUD รายแรกที่ได้รับใบรับรอง SCC (Service Capability Certified) ใบรับรองดังกล่าวเป็นสิ่งยืนยันว่าบริการที่ True IDC ส่งมอบให้แก่ลูกค้านั้น ผ่านข้อกำหนดและมาตรฐานของ HUAWEI ทั้งเรื่องแนวทางปฏิบัติและระเบียบวิธีต่างๆ รวมไปถึงฝ่ายเทคนิคมีความรู้และทักษะอย่างเพียงพอ

“การจะได้ใบรับรอง SCC นั้น ต้องมีการส่งแนวทางปฏิบัติและระเบียบวิธีไปให้ HUAWEI CLOUD ตรวจสอบว่าเป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานหรือไม่ พร้อมทั้งรายงานตัวอย่างงานจริงที่ส่งมอบให้ลูกค้า นอกจากนี้ทีมงานต้องมีใบรับรอง HCIA และ HCIP อย่างละ 3 ใบเป็นอย่างน้อย การได้ใบรับรอง SCC ด้าน Cloud Migration นี้ ทำให้ลูกค้าของ True IDC มั่นใจได้ว่า การโยกระบบขึ้นสู่ Cloud ของ HUAWEI จะประสบความสำเร็จและได้มาตรฐานแน่นอน” — คุณธนรรถกล่าว

ได้รับรางวัล Huawei Partner Excellence Awards ประจำปี 2021

ล่าสุด ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา True IDC เป็น 1 ใน 5 พาร์ตเนอร์จากทั่วโลกที่ได้รับรางวัล Excellent HUAWEI CLOUD Sales Partner Award ประจำปี 2021 ซึ่งรางวัลนี้มอบให้กับพาร์ตเนอร์ที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ มากที่สุดในโลก โดย True IDC ได้ช่วยสนับสนุน HUAWEI CLOUD ทั้งทางด้านการร่วมพัฒนาเทคโนโลยี การช่วยให้องค์กรทั่วไทยได้ใช้ HUAWEI CLOUD ที่ได้มาตรฐาน และความเชี่ยวชาญของทีมงาน True IDC จนก้าวสู่การเป็นพาร์ตเนอร์ระดับสูงสุด การได้รับใบรับรอง SCC แต่เพียงผู้เดียวในไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำและพาร์ตเนอร์อันดับ 1 ของ HUAWEI CLOUD ในไทย

“True IDC ไม่ได้เป็นเพียงพาร์ตเนอร์สำหรับนำเสนอโซลูชันของ HUAWEI CLOUD ถึงมือลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่เรามีการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในไทย เช่น ในช่วง COVID-19 ก็มีการพัฒนา True VROOM แอปพลิเคชันสำหรับการประชุมจากระยะไกลและการเรียนการสอนแบบออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้าน IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรมและ Smart Farming สำหรับภาคการเกษตรอีกด้วย”— คุณธนรรถ กล่าวปิดท้าย

ผู้ที่สนใจบริการ HUAWEI CLOUD จาก True IDC สามารถติดต่อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.trueidc.com/th/contact หรือโทร 02-494-8300

from:https://www.techtalkthai.com/true-idc-becomes-the-first-huawei-cloud-strategic-partner/

Oracle เริ่มให้บริการ Cloud Migration ฟรี หวังสร้างฐานลูกค้าเพิ่ม

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Oracle ได้ออกมาประกาศถึงแผนในการให้บริการการทำ Cloud Migration หรือการย้ายระบบขึ้น Cloud ฟรี เพื่อดึงดูดให้ธุรกิจองค์กรหันมาใช้ Oracle Cloud Infrastructure (OCI) กันมากขึ้น

Credit: Oracle

บริการดังกล่าวนี้มีชื่อว่า Cloud Lift Services (https://www.oracle.com/cloud/cloud-lift/) และที่ผ่านมาก็มีลูกค้าใช้บริการนี้มาแล้วมากกว่า 100 ราย โดยมีทีมงานมืออาชีพมากกว่า 1,000 คนทั่วโลกคอยให้บริการ ทำให้ Oracle มั่นใจในบริการนี้ของตนเองและเปิดให้บริการนี้ฟรีทั่วโลกแล้ว

ด้วยความที่ Oracle นั้นมีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ในการ Migrate ระบบสำหรับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับตนเองอย่างครบถ้วน ทำให้บริการ Oracle Cloud Lift Services นี้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย และช่วยลดความเสี่ยงให้กับธุรกิจองค์กรที่เป็นลูกค้าในการย้ายระบบและข้อมูลลง

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริการนี้ยังคงครอบคลุมเฉพาะบาง Application ที่ Oracle รับรองเท่านั้น ดังนั้นถ้าหากใครสนใจก็อาจต้องปรึกษาทีมงาน Oracle ที่ดูแลอยู่ก่อนตัดสินใจ

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Oracle Cloud Infrastructure สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.oracle.com/cloud/ และสามารถทดลองใช้งานฟรีได้ที่ https://www.oracle.com/cloud/free/

ที่มา: https://venturebeat.com/2021/03/31/oracle-offers-free-cloud-migration-to-lure-new-customers/

from:https://www.techtalkthai.com/oracle-offers-free-cloud-migration/

Google เปิดตัวโครงการ Cloud Acceleration Program for SAP ช่วยองค์กรย้าย SAP ขึ้น Google Cloud

Google Cloud ได้ออกมาประกาศเปิดตัวโครงการ Cloud Acceleration Program for SAP สำหรับช่วยให้ธุรกิจองค์กรต่างๆ สามารถย้ายระบบ SAP ขึ้นมายัง Google Cloud Platform โดยเฉพาะ ด้วยการสนับสนุนเชิงเทคนิคและการจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการระบบ SAP ทั่วโลก

Credit: ShutterStock.com

Cloud Acceleration Program for SAP นี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถย้ายระบบขึ้นมายัง Google Cloud Platform ตรงๆ หรือถือโอกาสนี้อัปเกรดมาสู่ SAP S/4HANA ไปเลยก็ได้ โดย Google ระบุว่าแนวทางในการย้ายระบบนี้จะแทบไม่มี Downtime เกิดขึ้น และยังมีบริการเสริมอื่นๆ ร่วมกับเหล่าพันธมิตรและ ISV เพื่อให้การย้ายระบบ SAP ในครั้งนี้ราบรื่นที่สุด

นอกจากบริการย้ายระบบขึ้นไปยัง Google Cloud Platform แล้ว Google เองก็ยังสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ นั้นมีการพัฒนาโซลูชันเสริมต่อยอดจาก SAP โดยใช้ความสามารถของ Google Cloud Platform ด้วย ตัวอย่างเช่น Accenture นั้นสามารถย้ายข้อมูลเก่าๆ ของระบบ SAP ไปยัง Big Query ได้ เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปได้อย่างง่ายดาย และมีการนำ Machine Learning มาช่วยเพื่อให้คำแนะนำในระหว่างการติดตั้งระบบ SAP บน Google Cloud Platform เป็นต้น

สำหรับพันธมิตรของ Google อย่างเช่น Accenture, Atos, Deloitte และ HCL นั้นจะสนับสนุนโครงการนี้ผ่าน Business Unit ที่ถูกตั้งขึ้นมาสำหรับ Google Cloud โดยเฉพาะ และพันธมิตรเหล่านี้รวมถึง Capgemini, DXC Technologies, Hitachi oXya, Infosys, NTT, TCS และ Wipro จะทำการสร้าง SAP Centres of Excellence for Google Cloud ขึ้นมาเพื่อนำเสนอโซลูชันที่จะช่วยให้การย้ายระบบ SAP ไปสู่ Google Cloud Platform นั้นง่ายดายขึ้นด้วย

ที่มา: https://www.arnnet.com.au/article/668844/google-cloud-launches-cloud-acceleration-program-sap/

from:https://www.techtalkthai.com/google-announces-cloud-acceleration-program-for-sap/

Microsoft เข้าซื้อกิจการ Mover บริการย้ายข้อมูลจาก Cloud Storage อื่นมายัง OneDrive

Microsoft ได้ออกมาประกาศเข้าซื้อกิจการของ Mover ผู้พัฒนาโซลูชันด้านการย้ายข้อมูลจาก Cloud Storage อื่นๆ มายัง OneDrive เพื่อให้ผู้ใช้งาน Microsoft 365 สามารถย้ายข้อมูลเดิมที่เคยใช้งานมาได้ง่ายขึ้น

Credit: Mover

หลังจากที่บริการ Cloud ได้กลายเป็นทางเลือกหลักของธุรกิจองค์กร โจทย์ที่เกิดขึ้นตามมาก็คือเมื่อธุรกิจหนึ่งๆ ตัดสินใจย้ายไปใช้งาน Cloud ค่ายอื่นๆ แล้ว จะย้ายข้อมูลการทำงานต่างๆ ที่เคยอยู่บน Cloud เดิมมายัง Cloud ใหม่ได้อย่างไร สำหรับบริการ OneDrive นี้ Microsoft ก็ตอบโจทย์ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Mover มานี่เอง

ที่ผ่านมาการย้ายข้อมูลข้ามบริการ Cloud Storage นี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากข้อมูลของผู้ใช้งานแต่ละคนที่มีปริมาณมหาศาลจะต้องการ Bandwidth จำนวนมากในการ Download และ Upload ข้อมูลแล้ว การจัดการเรื่องรหัสผ่านของผู้ใช้งานเองก็เป็นอีกปัญหา ซึ่งโซลูชันของ Mover ก็จะมาตอบโจทย์ในสองประเด็นนี้หลักๆ โดยเปิดให้ผู้ใช้งานแต่ละคนทำการสั่งย้ายข้อมูลของตนเองได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องเปิดให้ผู้ดูแลระบบ IT เข้าถึงรหัสผ่านของตนเองแต่อย่างใด

โซลูชันของ Mover นี้รองรับการย้ายข้อมูลจากทั้ง Box, Dropbox, Egnyte และ Google Drive มายัง OneDrive และ SharePoint ทำให้สามารถรองรับกรณีการใช้งานเทคโนโลยีของ Microsoft ในตลาดระดับธุรกิจองค์กรได้เป็นอย่างดี

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและเริ่มทดลองใช้งานเทคโนโลยีของ Mover ได้ที่ https://mover.io/

ที่มา: https://blogs.microsoft.com/blog/2019/10/21/microsoft-acquires-mover-to-simplify-and-speed-file-migration-to-microsoft-365/

from:https://www.techtalkthai.com/microsoft-acquires-mover/

ITSM เปิดให้บริการ Cloud Services & Solutions แบบครบวงจร

Cloud Computing นับว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีพลิกโฉมธุรกิจที่สำคัญที่สุดในทศวรรษนี้ หลายองค์กรทั่วโลกต่างนำระบบ Cloud เข้ามาประยุกต์ใช้ภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นในรูปของ Public Cloud, Private Cloud หรือ Hybrid Cloud เพื่อตอบรับกระแสการทำ Cloud Transformation นี้ บริษัท ITSM ผู้นำด้าน Professional Services & Solutions จึงจับมือกับ AWS, INET, SIS, UIH และผู้ให้บริการระบบ Cloud อีกหลายรายเพื่อให้บริการ Cloud Services & Solutions แบบครบวงจร

สร้าง Cloud Journey จากศูนย์ พร้อมก้าวเดินไปด้วยกัน

ITSM พร้อมให้ปรึกษาด้านการทำ Cloud Transformation แบบครบวงจรแก่องค์กรทุกระดับ ตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการเชิงธุรกิจ, การค้นหาโซลูชันและบริการ Cloud ที่เหมาะสม, การประเมินความคุ้มค่าและค่าใช้จ่าย, การออกแบบและติดตั้งโซลูชันตามความต้องการของลูกค้าด้วยแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ไปจนถึงการวางกลยุทธ์สำหรับการย้ายไปใช้ระบบ Cloud โดยให้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ ITSM ยังช่วยดูแลและให้ความช่วยเหลือเมื่อพบปัญหาการใช้ระบบ Cloud รวมไปถึงช่วยปรับแต่งการตั้งค่าการใช้งานต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรสามารถใช้ระบบ Cloud ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการใช้บริการลงให้ได้มากที่สุด

จับมือกับ Cloud Provider ทั้งในและต่างประเทศ ส่งมอบบริการที่ดีที่สุด

ITSM เป็นพันธมิตรกับผู้ให้บริการระบบ Cloud หลายรายทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ AWS, INET, SIS, UIH และอื่นๆ เพื่อส่งมอบบริการทั้งแบบ Private Cloud, IaaS, PaaS และ SaaS ให้แก่ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งยังมีบริการ Cloud Managed Services พร้อมให้บริการอีกมากมาย ได้แก่ Backup as a Service, Disaster Recovery as a Service, Firewall as a Service หรือ Storage as a Service

จุดเด่นสำคัญของบริการ Cloud Services & Solutions ของ ITSM คือ การเป็นผู้ให้บริการ Professional Services & Solutions ที่ไม่ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ซึ่งทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของ ITSM จะสรรหาบริการและโซลูชันระบบ Cloud ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด พร้อมช่วยออกแบบ ติดตั้ง และดูแลตั้งแต่ต้นจนจบแบบครบวงจร สร้างเป็นสภาวะแวดล้อมแบบ Multicloud ที่ซึ่งลูกค้าจะได้ประโยชน์จากการใช้ระบบ Cloud สูงสุด ในขณะที่ยังคงบริหารจัดการระบบ Cloud ทั้งหมดได้อย่างง่ายดายผ่านความช่วยเหลือของทีมงาน ITSM

ประสบการณ์ทำ Cloud Migration สูง พร้อมช่วยย้ายระบบจาก Data Center ไป Cloud

ความท้าทายสำคัญของการ Cloud Transformation คือ การย้ายระบบ IT และข้อมูลจาก Data Center ไปยังระบบ Cloud ทีม Cloud ของ ITSM ประกอบด้วยวิศวกรระบบ Cloud ที่มีประสบการณ์สูงในการทำ Cloud Migration ไม่ว่าจะเป็น Applications หรือ Services แบบใดก็ตาม โดยจะคอยให้คำปรึกษา แนะนำ และช่วยเหลือในการทดลองนำระบบ IT บางส่วนย้ายขึ้นไปบนระบบ Cloud เพื่อตรวจสอบว่าระบบสามารถทำงานบน Cloud ได้จริง และข้อมูลยังคงอยู่อย่างครบถ้วน ก่อนที่จะนำระบบ IT ทั้งหมดขึ้นสู่ Cloud ในกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น ทีมวิศวกรของ ITSM จะช่วยดำเนินการแก้ไข ค้นหาต้นตอสาเหตุของปัญหา และเตรียมการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเดิมขึ้นอีกในอนาคต

เหล่านี้เพื่อให้มั่นใจว่าระบบ IT ของลูกค้าสามารถทำงานบนระบบ Cloud ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีการสูญหายของข้อมูล และมีความเสถียร พร้อมรองรับการขยายระบบตามธุรกิจที่จะขยายตัวในอนาคต

ให้บริการ Cloud Managed Services แบบครบวงจร พร้อมบริการฟรี 2 เดือนแรก

เพื่อให้การบริหารจัดการและดูแลระบบ Cloud กลายเป็นเรื่องง่าย ITSM จึงเปิดให้บริการ Cloud Managed Services ซึ่งพร้อมให้คำปรึกษาและบริหารจัดการระบบ Cloud ของลูกค้าแบบครบวงจร รวมไปถึงการจัดหา จัดจ้าง และบริหารจัดการบุคลากรด้าน IT เพื่อคอยดูแลระบบ Cloud ให้พร้อมให้งานอย่างต่อเนื่อง และคอยแจ้งเตือนลูกค้าเมื่อพบเห็นปัญหา เช่น ระบบ Cloud เกิดขัดข้องหรือถูกโจมตีแบบ DDoS ช่วยให้องค์กรสามารถโฟกัสกับการดำเนินธุรกิจที่ตนเองถนัดได้เต็มที่

และเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจถึงคุณภาพการให้บริการและความมั่นคงปลอดภัยที่ได้รับ ITSM ได้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติและผ่านมาตรฐานสำคัญระดับสากลดังต่อไปนี้

  • ISO/IEC 20000-1:2011: มาตรฐานระบบบริหารจัดการการให้บริการทางด้าน IT
  • ISO/IEC 27001:2013: มาตรฐานระบบบริหารจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ

นอกจากนี้ ITSM มีเครือข่ายศูนย์บริการที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าได้รับการบริการที่รวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าที่มีเครือข่ายสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ

ผู้ที่สนใจบริการ Cloud Services & Solutions ของ ITSM สามารถทดลองใช้บริการได้ฟรีเป็นระยะเวลา 2 เดือนแรก ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อีเมล itsm_sale@itsm.com หรือโทร 0-2062-4940

from:https://www.techtalkthai.com/itsm-cloud-services-and-solutions/

Amazon เข้าซื้อกิจการ CloudEndure ผู้พัฒนาระบบ DR, Backup, Migration 8,000 ล้านบาท

CloudEndure ผู้พัฒนาโซลูชันด้านระบบ Disaster Recovery, Continuous Backup และ Cloud Migration สัญชาติอิสราเอล ได้ออกมาระบุถึงการถูกเข้าซื้อกิจการโดยทีม AWS ของ Amazon

Credit: ShutterStock.com

ถึงแม้การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะได้รับการยืนยันแน่ๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการเปิดเผยมูลค่าการซื้อกิจการอย่างเป็นทางการ แต่จากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยที่มาของ Globes ได้ระบุว่าดีลนี้มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านเหรียญหรือราวๆ 8,000 ล้านบาท

CloudEndure นี้เป็น AWS Advanced Technology Partner มาตั้งแต่ปี 2016 โดยเทคโนโลยีของ CloudEndure นั้นรองรับการทำงานกับทั้ง AWS, Google Cloud Platform, Microsoft Azure และ VMware เพื่อตอบโจทย์ด้านการทำ IT Resilience โดยเฉพาะ ทำให้ภาพของการทำ Hybrid Cloud ในระดับของธุรกิจองค์กรนั้นเป็นไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น และสามารถเลือกใช้ผู้ให้บริการ Cloud ได้อย่างอิสระมากยิ่งขึ้น

ผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CloudEndure สามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ https://www.cloudendure.com/

ที่มา: https://en.globes.co.il/en/article-cloudendure-confirms-acquisition-by-amazon-1001268504

from:https://www.techtalkthai.com/aws-acquires-cloudendure/