คลังเก็บป้ายกำกับ: โน๊ตบุ๊คจอสัมผัส

เช็คสเปคคอมฟรี 2023 อัพเกรดคอม เช็คสเปค อัพเกรด และตรวจสอบง่าย ไม่กี่คลิ๊ก Windows 11

เช็คสเปคคอมฟรี อัพเกรด แก้ปัญหาปี 2023 รู้จักฮาร์ดแวร์ก่อนซ่อม มือใหม่ เทิร์นโปร ก็ทำได้บน Windows

เช็คสเปคคอม

เช็คสเปคคอม จัดเป็นด่านแรกก่อนแกะคอมอัพเกรด ซ่อมหรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ด้วยตัวเอง เพราะคุณจะได้รู้จักข้อมูลและการเช็ครายละเอียดต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งการเช็คสเปคนั้น มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้และทราบถึงอุปกรณ์ที่มีในเครื่อง หรือเป็นตัวช่วยในการอัพเกรด ยิ่งกรณีที่คุณไม่ได้ซื้อเครื่องมาเอง ได้มาจากคนอื่นบ้าง หรือคิดว่าจะเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ การเช็คให้มั่นใจ ก็จะทำให้คุณไม่พลาดในการเลือกซื้อ และที่สำคัญยังทราบถึงปัญหา เมื่อเกิดอาการผิดปกติกับคอมที่ใช้อยู่ และแก้ไขได้ถูกจุด เช่นเดียวกับคนที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ ก็ช่วยให้ทราบถึงรุ่น เวอร์ชั่นของฮาร์ดแวร์ เพื่อเลือกอัพเดตไดรเวอร์ได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น ไดรเวอร์เมนบอร์ด คอนโทรลเลอร์ต่างๆ รวมถึงการ์ดจอและอื่นๆ ดังนั้นเรามาลองดูกันว่าจะเช็คสเปคคอมอย่างไรได้บ้าง


เช็คสเปคคอม


เช็คสเปคคอมไปเพื่ออะไร?

การเช็คสเปคคอม ถือว่ามีประโยชน์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊คทั้งมือโปร และมือใหม่ สามารถใช้ข้อมูลต่างๆ จากการเช็ค มาเพื่อการเลือกซื้อ อัพเกรดและการเช็คความผิดปกติ เรียกว่าครอบคลุมในทุกเรื่องก็ว่าได้ แต่จะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

Advertisementavw
Deepcool cg540 cg560 case 50

1.เช็คเพื่อติดตั้งไดรเวอร์

แม้ว่าในปัจจุบันการอัพเดตไดรเวอร์ จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นแล้ว เพราะบางครั้งก็ใช้ซอฟต์แวร์เมนบอร์ด ช่วยอัพเดตอัตโนมัติ แต่หลายครั้งเราก็ต้องเป็นผู้เลือกดาวน์โหลดไดรเวอร์ด้วยตัวเอง ดังนั้นการรู้จักฮาร์ดแวร์ของตนเอง ว่าเป็นรุ่นใด เวอร์ชั่นไหน การเช็คสเปคคอมของตัวเองได้ในเบื้องต้น ก็ทำให้เราสามารถอัพเดตไดรเวอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2.เช็คเพื่อการเลือกซื้ออัพเกรด

หลายคนได้อุปกรณ์หรือคอมมาจากคนอื่น หรือบางทีก็ซื้อคอมมานาน จนจำไม่ได้ว่าซื้อรุ่นใดมา หรือเริ่มมาชำนาญในภายหลัง จะอัพเกรดคอมเอง การเช็คสเปคคอมได้ ก็ช่วยให้คุณทราบว่า จะซื้อซีพียูรุ่นใด ซ็อกเก็ตไหนมาใช้ แรมเป็นแบบใด และติดตั้งไปเท่าไรแล้ว รวมถึงการเช็คว่าจะเลือกการ์ดจอใหม่ ให้แรงขึ้นจากรุ่นเดิมอย่างไรนั่นเอง

3.เช็คเพื่อดูความผิดปกติ

การเช็คสเปคคอม ก็ช่วยให้เราเช็คความผิดปกติของคอมได้ อย่างเช่น อยู่ๆ เครื่องช้าลง เดิมเราติดตั้งแรม 16GB เป็น 8GB x2 สล็อต แต่อยู่ๆ ระบบเช็คว่าแรมเหลือแค่ 8GB แสดงว่าอาจเกิดปัญหาจากแรมแถวใดแถวหนึ่งได้ เป็นต้น รวมถึงฮาร์ดแวร์อื่นๆ อีกด้วย


เช็คได้ตั้งแต่ยังไม่เข้า Windows

เช็คสเปคคอม

BIOS เป็นสิ่งแรกที่คุณจะเห็นสเปคคอมได้ง่ายๆ เพราะในนี้ ก็แทบจะเหมือนเช็คฮาร์ดแวร์เบื้องต้นของระบบ โดยจะบอกทุกสิ่งสำคัญ เท่าที่คุณจะทราบได้ ในปัจจุบันใช้งานง่ายขึ้น ในรูปแบบของ UEFI ที่คุณสามารถใช้เมาส์คลิ๊กเพื่อใช้งาน โดยส่วนใหญ่ในหน้าแรก ก็แทบจะรวมหรือ Summary ให้คุณเห็นได้เกือบครบ ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู เมนบอร์ด แคช แรม และ Storage ที่เหลือคุณสามารถคลิ๊กเข้าไปในส่วนของ Advance เพื่อดูเพิ่มได้

สิ่งที่สำคัญของ BIOS นี้ก็คือ ทำให้คุณดูรายละเอียด เช่น แรม Storage ติดตั้งครบตามที่คุณใส่ไว้หรือไม่ หรือเวอร์ชั่นของ BIOS ที่ให้คุณอัพเดตให้ใหม่กว่าเดิมได้ เพื่อรองรับซีพียูรุ่นใหม่ หรือจะใช้แก้ไขบั๊กบางอย่าง เพื่อให้เมนบอร์ดทำงานได้สมบูรณ์กว่าเดิม และการตรวจสอบอุณหภูมิ รอบพัดลม เพื่อเช็คความผิดปกติได้เลย ตรงนี้สำคัญ เพราะบางครั้งการติดตั้งฮีตซิงก์ไม่แน่น ซิลิโคนน้อย หรือการระบายความร้อนไม่ดีพอ ก็เช็คจากตรงนี้ได้ ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบปฏิบัติการนั่นเอง และยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น การปรับแต่งโอเวอร์คล๊อก หรือเปิด-ปิดการใช้งานฟังก์ชั่นอื่นๆ ของเมนบอร์ดได้อีกด้วย


ดูจาก About

เช็คสเปคคอม

เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าคุณใช้ Windows 11 แล้วอยากจะเช็คว่าซีพียูรุ่นอะไร แรมเท่าไร มาเช็คตรงนี้ได้ ถ้าแรมคุณ 16GB แล้วตรงนี้บอกว่า 8GB แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติ รวมถึงกรณีที่คุณจะอัพเดตไดรเวอร์ อยากรู้ว่าใช้ Windows อะไร เวอร์ชั่นไหน ก็ดูได้จากตรงนี้เช่นกัน

วิธีการเข้าไปใน About ให้คลิ๊กขวาที่โลโก้ Windows แล้วเลือก System แล้วเลื่อนมาด้านล่างสุด คลิ๊กที่ About หรืออีกวิธีหนึ่งกดปุ่มคีย์บอร์ด Win+I แล้วเลือกที่ About ได้เช่นกัน

ดูจาก Device Manager

เช็คสเปคคอม

เรียกว่าเป็นฟังก์ชั่นบนวินโดว์ ที่ให้ข้อมูลของฮาร์ดแวร์ได้แบบฟรีๆ และมีรายละเอียดเกือบครบถ้วน บอกถึงการเป็นฮาร์ดแวร์อะไร รุ่นไหน ซีรีส์ใด รวมถึงรายละเอียดบางรายการ เช่น ซีพียู ก็จะบอกถึง Core/ Thread ได้อีกด้วย และที่สำคัญยังลึกลงไปในรายละเอียด เพื่อให้คุณทราบว่าใช้ไดรเวอร์ เวอร์ชั่นใดอยู่ และการอัพเดตไดรเวอร์ ได้ในฟังก์ชั่นนี้อีกด้วยครับ กับข้อดีต่างๆ เหล่านี้

  • บอกถึงรุ่นฮาร์ดแวร์: ระบุไว้ชัดเจน เช่น ซีพียู Intel Core i5-1135G7 ความเร็ว 2.4GHz และมีกี่ Core/ Thread
  • บอกถึงเวอร์ชั่นและความผิดปกติได้: ซึ่งคุณจะเห็นได้จากเครื่องหมายที่ปรากฏอยู่บริเวณชื่อรุ่นของฮาร์ดแวร์ จะทราบได้ทันทีว่า เปิดใช้งานปกติ หรือถูกปิด หรือเกิดปัญหา จะได้เช็คและแก้ไขได้ทันที
  • เช็คและอัพเดตไดรเวอร์: ตรงนี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะคุณจะทราบได้ว่า ฮาร์ดแวร์ควรได้รับการอัพเดตไดรเวอร์หรือไม่ เช่น ไดรเวอร์เก่ามาก ดูจากปีและเวอร์ชั่น ด้วยการคลิ๊กขวาที่ชื่อฮาร์แวร์ แล้วเลือก Properties หากเก่าไป ก็สามารถเลือกที่ Update Driver ได้

สุดท้ายหากฮาร์ดแวร์ที่ใช้อยู่ทำให้เกิดปัญหากับระบบ เช่น ค้าง แฮงก์ จอฟ้า ก็สามารถ Disable Device หรือ Uninstall Driver ได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นเครื่องมือเช็คสเปคคอมที่มีครบเครื่อง แถมยังฟรี ให้การใช้งานได้ครอบคลุมทีเดียว

Control Panel ใช้งานง่าย บอกรายละเอียด และจัดการฮาร์ดแวร์ได้สะดวกแบบฟรีๆ

วิธการเข้าถึง Device Manager หากเป็น Windows 11 หรือ Windows 10 ที่อัพเดตแล้ว ให้คลิ๊กขวาที่รูปโลโก้ Windows ตรง Taskbar ด้านล่างหน้าจอ จากนั้นเลือกที่ Device Manager ได้เลยครับ


ดูจาก System Information

เช็คสเปคคอม

เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยในการเช็คสเปคคอมได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ดูง่ายเหมือนกับ Device Manager แต่ในเรื่องรายละเอียดต่างๆ มีให้อย่างครบครัน มองว่าน่าจะเหมาะกับสายฮาร์ดแวร์จริงจัง หรือบรรดาช่าง ที่จะเข้ามาเช็คข้อมูลเพื่อทำการแก้ไข หรือทีมไอทีซัพพอร์ต ที่จะคอยดูแลความเรียบร้อยให้กับคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในองค์กรมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป เพราะหลักๆ จะเป็นการบอกรายละเอียดในเชิงลึก เช่น Hardware ID, Driver, Type, IP และอื่นๆ ที่ผู้ดูแล จะเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้ รวมถึงการแก้ไขปัญหา เมื่อเกิดความผิดปกตินั่นเอง

แต่ก็สามารถเข้าไปดูสเปคต่างๆ ได้ เช่น Name, Manufacturing, Type หรือ Description ในหัวข้อฮาร์ดแวร์ต่างๆ ได้ ซึ่งจะมีชื่อ รายละเอียดและไดรเวอร์ ให้ได้ตรวจเช็คกัน

วิธีการเข้าถึง System Information ให้กดปุ่ม Win แล้วพิมพ์ System Information ได้เลย


เช็คสเปคจาก DirectX Diagnostic tool

เช็คสเปคคอม

การเช็คสเปคคอมด้วยฟังก์ชั่นบน Windows การเข้าไปใน DirectX Diagnostic Tool ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเช็คฮาร์ดแวร์เบื้องต้นได้ อย่างเช่น OS เวอร์ชั่น ซีพียู แรม กราฟิก เป็นต้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับกราฟิก และมัลติมีเดียเป็นหลัก จึงอาจจะไม่เหมาะสำหรับการดูข้อมูลในเชิงลึก และฮาร์ดแวร์อื่นๆ ส่วนวิธีเข้าไปในฟังก์ชั่นนี้ ให้กดปุ่ม Win จากนั้นพิมพ์ “dxdiag” และกด Enter เท่านั้น


Task Manager

Windows Task manager

สำหรับ Task Manager ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของฟังก์ชั่นการเช็คสเปคคอมของเราได้ และยังทำได้ง่ายอีกด้วย แม้ว่าหัวใจหลักจะเน้นไปที่การตรวจเช็ค ดูความผิดปกติ และการจัดการปัญหาของระบบก็ตาม แต่ก็ยังดูได้ว่าฮาร์ดแวร์ หรือสเปคที่ติดตั้งระบบของเรามีอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู แรม Storage รวมถึงกราฟิก และ WiFi ซึ่งข้อดีของ Task Manager นี้ ก็มีอยู่มากมาย เช่น

  • Process: ตรวจเช็คได้ว่าระบบของคุณรันโปรแกรมอะไร และใช้ Resource ไปกับสิ่งใดบ้าง หากมีอะไรที่รันระบบของคุณผิดปกติ เช่น ไวรัสหรือซอฟต์แวร์แฝง ก็สามารถเช็คได้จากตรงนี้ หากไม่มั่นใจก็เลือก End Task เพื่อหยุดการทำงานไปได้เลย
  • Performance: สำหรับการเช็คประสิทธิภาพของระบบ ให้คุณมอนิเตอร์ ตรวจเช็คความผิดปกติ หรือโหลดการทำงานของระบบได้ ในปัจจุันลงรายละเอียดได้ลึกถึงระดับ Core/ Thread, Clock speed และ Cache อีกด้วย
  • App History: บอกได้ว่ามีการใช้โปรแกรมใดบ้างแบบย้อนหลัง เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีซอฟต์แวร์แปลกปลอมเข้ามาแอบรันบนระบบ และเช็คว่าใช้การเชื่อมต่อด้วยหรือไม่ หากมีจะได้แก้ไขได้ทัน
  • Startup App: มีหลายโปรแกรมที่เปิดขึ้นมาพร้อมกับระบบ หากคุณไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพราะอาจทำให้ระบบเปิดช้า หรือบางโปรแกรมก็ทำงานเบื้องหลัง เราสามารถลด Process เหล่านี้ได้ด้วยการ Disable

อยากดูสเปคคอมให้ละเอียดขึ้น ทำอย่างไร?

เช็คสเปคคอม

อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ฟังก์ชั่นบนวินโดว์ให้ผลในการเช็คสเปคคอมแค่เบื้องต้นเท่านั้น แม้ว่าบางฟังก์ชั่น จะมาพร้อมการปรับแต่ง อัพเดตหรือลงลึกในส่วนของฮาร์ดแวร์ได้ แต่เรื่องของอินเทอร์เฟส ก็ไม่ได้ง่ายและสะดวกมากนัก หากคุณต้องการจะใช้งานเช่น การเช็คเวอร์ชั่น การดูรายละเอียด และการทดสอบ การใช้ซอฟต์แวร์ในการตรวจเช็ค ดูจะทำได้ง่ายกว่า และช่วยให้การเพิ่มประสิทธิภาพทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย เราไปดูกันครับว่า มีซอฟต์แวร์ตรวจเช็คสเปคคอมแบบไหนน่าใช้บ้างและแบบฟรีมีมั้ย?


เทียบสเปคคอมใน Notebookspec.com

และถ้าคุณอยากจะทราบข้อมูลของฮาร์ดแวร์ หรือต้องการเปรียบเทียบสเปคของอุปกรณ์ ในหน้าจัดสเปคคอมของทาง Notebookspec.com สามารถให้คุณเช็ครายละเอียด สเปค พร้อมกับราคาของฮาร์ดแวร์แต่ละรุ่นได้สะดวกมากขึ้น รวมถึงการจัดอันดับของฮาร์ดแวร์แต่ละชิ้น ให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

Notebookspec pc spec 1

จากตัวอย่างด้านบนนี้ คุณสามารถเลือกดูรายละเอียด สเปคของซีพียู ราคาและการรับประกัน พร้อมกับตัวเปรียบเทียบของซีพียูในรุ่นใกล้เคียงกันได้ เพื่อใช้ในการพิจารณา ก่อนจะจัดสเปคและสั่งซื้อได้จากในเครื่องมือนี้ หรือต้องการเข้าไปดูสเปคคอมที่หลายคนจัดเอาไว้ ก็มี Ranking หรืออันดับของสเปคที่ได้รับความนิยมเอาไว้ให้ชมด้วย เผื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดสเปคกันต่อไป

Notebookspec pc spec Rank

CPUz

เช็คสเปคคอม

CPUz ถือว่าเป็นซอฟต์แวร์เช็คสเปคคอมฟรี ตัวเริ่มต้นได้ดีทีเดียว เพราะบอกรายละเอียดได้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ร่น ซีรีส์ เวอร์ชั่น และการทดสอบ รวมถึงยังบอกได้ตรง แม้จะเป็นซีพียูรุ่นใหม่ๆ ก็ตาม มักจะมีให้อัพเดตเป็นรายแรกๆ

จุดเด่นของ CPUz คือ ใช้ง่าย เป็นไฟล์ติดตั้งขนาดเล็ก แต่บอกรายละเอียดทั้ง ซีพียู เมนบอร์ด ชิปเซ็ต แรมและกราฟิกได้ รวมถึงการทดสอบประสิทธิภาพของซีพียูแบบง่ายๆ ได้อีกด้วย ในแท็ปของ Bench ให้คุณวัดประสิทธิภาพของซีพียูในระบบ กับซีพียูรุ่นอื่นๆ ได้ เป็นการช่วยตัดสินใจในการอัพเกรดซีพียูได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังช่วยให้มือใหม่หรือมืออาชีพ สามารถเช็คได้ว่า อุปกรณ์ที่ติดตั้งลงไป หรือที่เคยใช้งานอยู่ ยังเป็นปกติดีหรือไม่ เช่น แรมหาย สล็อตแรมเสีย ก็เช็คได้เลยว่าครบหรือไม่ ความเร็วลดลงหรือเปล่า เพราะบางครั้งตั้งค่า Intel XMP หรือ AMD EXPO เมื่อเกิดความเสียหายที่แรม ก็อาจจะทำให้ความเร็วลดลงได้เช่นกัน

ดาวน์โหลด: CPUz


GPUz

เช็คสเปคคอม

GPUz ก็เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งในการเช็คสเปคคอมที่น่าสนใจ รับหน้าที่สำหรับกราฟิกการ์ด หรือการ์ดจอเป็นหลัก เหมาะกับผู้ใช้หลากหลาย ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ เพราะมีข้อมูลสำคัญของการ์ดจอ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อรุ่น GPU กระบวนการผลิต ไบออส รวมถึงลงลึกถึงชุดโครงสร้างภายใน เช่น Shader, CUDA, Clock, Memory หรือจะเป็น Memory Type ก็ตาม

ประโยชน์ของ GPUz นอกจากจะบอกรายละเอียดของกราฟิกการ์ดได้ละเอียดแบบลงลึกแล้ว ยังมีฟีเจอร์ในการตรวจเช็คว่า การ์ดจอรุ่นนั้น มีการปรับเปลี่ยน แก้ไขหรือดัดแปลงมาหรือไม่ โดยจะบอกเป็น Fake Graphic อยู่บนโลโก้ด้านขวาของซอฟต์แวร์ หรือจะเช็คจะ BIOS Version ก็ได้ ตรงนี้จะช่วยให้คุณเช็คการ์ดจอมือสองได้ค่อนข้างดีทีเดียว

เช็คสเปคคอม

และสุดท้ายจะสามารถความผิดปกติได้ในแท็ป Sensor ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณนาฬิกา อุณหภูมิ โหลดการทำงาน และแรงดันไฟ เอาไว้เทียบกับการ์ดมาตรฐานโรงงานได้ หรือใครที่กำลังจะอัพเกรดการ์ดจอ ก็นำมาใช้เปรียบเทียบสเปคเบื้องต้นได้เช่นกัน

ดาวน์โหลด: GPUz


CPUID HWMonitor

เช็คสเปคคอม

CPUID HWMonitor เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการตรวจเช็คการทำงานของอุปกรณ์เป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้เช็คฮาร์ดแวร์และสเปคคอมได้อีกด้วย เพราะสามารถบอกรายละเอียดของฮาร์ดแวร์ที่ติดตั้งมาบนพีซีหรือโน๊ตบุ๊คได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู แรม Storage กราฟิกการ์ด และเมนบอร์ด

จุดเด่นของซอฟต์แวร์นี้อยู่ที่การตรวจเช็ค โดยเฉพาะการรายงานข้อมูลแบบเรียลไทม์ คือ คุณสามารถดูสถานะของระบบได้ ณ ตอนนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น ความเร็ว ความจุ อุณหภูมิ แรงดันไฟ ทำให้ตรวจเช็คความผิดปกติได้ง่าย ซึ่งมีผลต่อการใช้งานหลายประเภท

สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ดูสถานะของฮาร์ดแวร์ ทำงานปกติดีหรือไม่ ได้ของตรงรุ่นหรือเปล่า คนที่ซื้อของมือสอง เช็คได้ว่า มีความร้อนเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงได้ ของที่ได้ตรงรุ่นกับที่จำหน่ายในตลาดมั้ย นักโอเวอร์คล็อก ก็เช็คได้ว่าได้ผลดีต่อระบบหรือไม่ ความเร็วเพิ่มขึ้นตามที่ตั้งไว้มั้ย หรือคนที่เน้นความปลอดภัย ก็สามารถเช็คความร้อนได้ ร้อนเกินไปก็ทาซิลิโคนใหม่ หรือต้องเปลี่ยนฮีตซิงก์ ก็เช็คได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

ดาวน์โหลด: CPUID HWMonitor


CrystalDiskInfo

เช็คสเปคคอม

ถ้าคุณมองว่าการตรวจเช็คฮาร์ดแวร์ควรจะครอบคลุมอุปกรณ์ในหลายๆ ด้าน ไม่ใช่แค่เพียงซีพียู แรม การ์ดจอ หรือเมนบอร์ดเท่านั้น ส่วนของ Storage อาจจะหาโปรแกรมที่ช่วยดูหรือจัดการได้ค่อนข้างยากทีเดียว ยิ่งต้องให้เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ดูง่าย จัดการสะดวกด้วยแล้ว CrystalDiskInfo ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว

หน้าที่ของโปรแกรมนี้ คือการเช็คสเปค Storage โดยเฉพาะ SSD ที่สามารถบอกรายละเอียดได้แบบลงลึก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบรนด์ ความจุ อินเทอร์เฟา หรือจะเป็นฟีเจอร์ที่อยู่ใน Storage ชิ้นนั้นๆ

แต่ที่น่าสนใจคือ คุณสามารถเช็คระยะเวลาในการใช้งานของ SSD เพื่อประเมินระยะเวลาการทำงาน เผื่อเอาไว้สำหรับการสำรองข้อมูลได้อีกด้วย เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดจากความเสียหาย รวมถึงการรายงานอุณหภูมิของอุปกรณ์ ว่ามีความร้อนสูงเกินไปหรือไม่ เพราะบางครั้งการติดตั้งใกล้กับจุดที่เกิดความร้อนสูง หรือ SSD ทำงานหนัก ก็ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลได้เช่นกัน ซอฟต์แวร์นี้สามารถใช้คู่กับซอฟต์แว์ทดสอบประสิทธิภาพอย่าง CrystalDiskMark ในการเช็คความเร็วการทำงานของ SSD ได้อีกด้วย

ดาวน์โหลด: CrystalDiskInfo


OCCT

เช็คสเปคคอม

OCCT จัดเป็นซอฟต์แวร์เอนกประสงค์ของคอมที่คุณใช้งานได้ดีทีเดียว เพราะมาพร้อมกับระบบตรวจเช็คครบครัน ไม่ใช่แค่เพียงการดูสเปคอุปกรณ์เท่านั้น แต่ยังใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพ และการมอนิเตอร์ฮาร์ดแวร์ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สัญญาณนาฬิกา อุณหภูมิ แรงดันไฟ รอบพัดลมและโหลดการทำงาน ให้มาครบเลยทีเดียว

จุดเด่นที่น่าสนใจของซอฟต์แวร์นี้ อยู่ที่การตรวจเช็คฮาร์ดแวร์ได้ครบเครื่อง โดยในส่วนของการบอกสเปค OCCT บอกได้ตั้งแต่ชื่อรุ่น ซีรีส์ ความเร็วสัญญาณนาฬิกา แรงดันไฟ ทำให้ผู้ใช้มือใหม่ สามารถเช็คการทำงานของอุปกรณ์ได้แบบเรียลไทม์ หรืออยากจะเช็คความผิดปกติ เช่น แรงดันไฟสูงเกินไป หรือความร้อนเพิ่มขึ้นแค่ไหน หลังจากที่ปรับแต่ง ก็สามารถทำได้ หรือจะเป็นนักโอเวอร์คล็อก ก็เช็คได้ทั้งความร้อน สัญญาณนาฬิกาที่เปลี่ยนไป และเสถียรภาพ เพราะระบบออกแบบมาให้เช็คด้วยการรันการทำงานของ ซีพียูและกราฟิกการ์ดแบบ Full-load 100% หากระบบทำงานไม่ไหว ระบายความร้อนไม่ทัน ก็จะเห็นได้จากโปรแกรมนี้

ถ้าจะเช็คฮาร์ดแวร์ ดูสถานะ และวัดเสถียรภาพ OCCT คือคำตอบ

OCCT แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือการมอนิเตอร์ หรือเช็คสถานะทั่วไปจะเลือกดูทีเดียวทั้งหมดก็ได้ หรือจะแยกดูแค่บางสถานะบางอย่างก็ได้เช่นกัน โดยจะมีรายงานทั้งแบบตัวเลขและเป็นกราฟ ส่วนที่ 2 จะเป็นโหมดของการทดสอบ เพื่อเช็คสถานะและความเสถียร เมื่อโหลดใช้งานจริง และยังทดสอบประสิทธิภาพของบางฮาร์ดแวร์ได้อีกด้วย อินเทอร์เฟสไม่ยุ่งยากนัก และทำงานได้คล่องตัว

ดาวน์โหลด: OCCT


HWiNFO

เช็คสเปคคอม

อีกหนึ่งโปรแกรมที่อยากจะแนะนำก็คือ HWInfo ซึ่งในบรรดาโปรแกรมเช็คสเปคคอม ต้องถือว่ามีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะรายงานได้ทั้งฮาร์ดแวร์ และสถานะในการทำงานอย่างละเอียด

เช็คสเปคคอม

ละเอียดแค่ไหน เราจะไล่กันทีละจุดเลย เริ่มตั้งแต่การรายงานฮาร์ดแวร์ อย่างเช่น ซีพียู สามารถบอกถึง Stepping และ Code Name รวมถึงเทคโนโลยีภายใน ทำงานบนสัญญาณนาฬิกา ตัวคูณ และบัสเท่าไร บอกได้ชัดเจน ส่วนแรมนั้น บอกระดับค่า CL บนสัญญาณนาฬิกาที่ต่างกันได้ รวมถึงค่า Timing และ Mode ในแบบเรียลไทม์ ส่วนการ์ดจอยังบอกรุ่น โมเดลและ VRAM ได้

HWiNFO โปรแกรมแนะนำสำหรับคนที่ชอบส่องฮาร์ดแวร์ เช็คสถานะ และตรวจสอบหลังการโอเวอร์คล็อก ดูความผิดปกติ ใช้ง่าย รายละเอียดเยอะ

แต่อีกส่วนหนึ่งก็ทำหน้าที่เป็น Hardware monitor ได้อย่างละเอียดอีกด้วย และที่น่าสนใจก็คือ ทำงานในแบบเรียลไทม์อีกด้วย เพราะบอกสถานะปัจจุบัน สูงสุด ต่ำสุด และค่าเฉลี่ย ทำให้ผู้ใช้ ที่ต้องการตรวจเช็คผลจากการปรับแต่ง นักโอเวอร์คล็อก หรือเช็คความผิดปกติ ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมนี้ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด และที่สำคัญคือ ไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย

ดาวน์โหลด: HWiNFO


Conclusion

จุดเด่น
About ใช้งานง่าย บอกข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ได้
Device Manager บอกรายละเอียด โมเดลฮาร์ดแวร์ และใช้จัดการไดรเวอร์ได้
System Information บอกข้อมูลพื้นฐานทั่วไป
DirectX Diagnostic tool ใช้ดูรุ่นฮาร์ดแวร์ และเวอร์ชั่นของไดรเวอร์ได้
Task Manager ดูรุ่น และสถานะในการทำงานได้เกือบทั้งหมด
CPUz บอกรายละเอียดฮาร์ดแวร์สำคัญในเครื่องได้
GPUz เน้นไปที่รายละเอียดของการ์ดจอเป็นหลัก
CPUID HWMonitor แจ้งสถานะการทำงานของฮาร์ดแวร์ อุณหภูมิ แรงดันไฟ พัดลม
CrystalDiskInfo บอกรายละเอียด สถานะ และข้อมูลของ SSD
OCCT ตรวจเช็ค ดูสถานะ ทดสอบฮาร์ดแวร์ได้
HWInfo บอกรายละเอียดได้เกือบครบ ลงลึกและเช็คสถานะได้

ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการเช็คสเปคคอมสำหรับผู้ใช้ทั้งมืออาชีพหรือมือใหม่ ที่จะเริ่มต้นกับการตรวจสอบฮาร์ดแวร์ หรือการดูแลคอมของตนให้เรียบร้อยอยู่เสมอ หากคุณไม่ได้คิดว่าจะลงลึกในข้อมูลเทคนิคมากนัก ฟังก์ชั่นบนวินโดว์ อย่างเช่น About, Task Manager หรือ Device Manager ก็เพียงพอ แต่ถ้าจะอยากได้รายละเอียดเพิ่มขึ้น เพื่อการอัพเกรด CPUz, GPUz, HWMonitor ก็ใช้งานได้ดีแล้ว แต่ถ้าต้องการตรวจเช็ค ทดสอบแนะนำ OCCT, CrystalDiskMark ก็ถือว่าใช้งานได้ดีพอสมควร เหมาะกับกลุ่มใช้งานทั่วไป รวมถึงช่างคอม และนักโอเวอร์คล็อกก็ใช้ได้เช่นกัน แล้วแต่ความสะดวกในการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีฮาร์ดแวร์อีกมากมายนอกเหนือจากนี้ให้เลือกใช้กันอีกด้วย

from:https://notebookspec.com/web/690480-free-check-pc-spec-2023-windows-11

Advertisement

คอมช้า คอมกระตุก จอฟ้า จบใน 7 ขั้นตอนฟรี! คอมลื่นเหมือนใหม่ 2023

คอมช้า คอมกระตุก 2023 รีสตาร์ท เปิดคอมใหม่ก็เป็น จบใน 7 ขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้

solve pc slowly and crash 2023 cov

คอมช้า คอมกระตุกเกิดได้จากหลายสาเหตุ 7 วิธีนี้ช่วยลดปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นคอมเก่าใช้มานาน หรือคอมใหม่เพิ่งซื้อ ก็อาจเกิดอาการช้า หรือจอฟ้า BSOD ได้เช่นกัน แต่ถ้าหาต้นเหตุของอาการได้ ก็แก้ไขได้ไม่ยาก แต่อาจจะต้องมีขั้นตอนวิธีในการเช็ค ว่าเกิดจากฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ โดยในบางกรณีอาจเกิดจากปัญหาเล็กๆ เช่น ไดรเวอร์ หรือการติดตั้งฮาร์ดแวร์ผิดปกติเท่านั้น เมื่อแก้ไขก็กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม อาการเหล่านั้นก็หายไป ดังนั้นมาลองดูกันครับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นและทำให้คอมคุณช้า กระตุกหรือทำงานไม่ได้ตามปกติ ต้องทำอย่างไร กับวิธีง่ายๆ เหล่านี้

คอมช้า คอมกระตุกจบปัญหาใน 8 ขั้นตอน


แก้ปัญหาคอมช้า

ปัญหาคอมช้า คอมอืด กระตุกหรือหนักขึ้น จนเกิดอาการจอฟ้า BSOD สิ่งเหล่านี้ อาจจะต้องเริ่มที่การแก้ไขในแบบที่เราคุ้นเคย หรือสามารถทำได้ก่อน เช่น การใช้ฟีเจอร์จากบน Windows มาช่วยในการปรับปรุงแก้ไข และค่อยๆ ใช้ซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์เข้ามาลองปรับเปลี่ยนตามลำดับ อย่างไรก็ดีการปรับลดหรือเพิ่มในฟังก์ชั่นบางอย่าง ก็มีส่วนช่วยลดอาการได้เช่นกัน ดังนั้นแล้วควรทำควบคู่กันไป ตามอาการที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น การใช้วิธีต่างๆ เหล่านี้

Advertisementavw

โซลูชั่นแก้ปัญหาคอมช้า คอมกระตุก แบบเร่งด่วน

เริ่มจากการเช็ค สแกน > อัพเดต > ตรวจสอบระบบฮาร์ดแวร์ > อัพเกรดหรือเปลี่ยน


1.ปิดโปรแกรมที่ไม่ใช้บ้าง

หลานท่านชอบใช้งานคอมหลายอย่างพร้อมกัน เช่น ดูหุ้น พร้อมกับทำงานเอกสาร และเปิดเพลงฟัง หรือบางคนก็อาจจะแต่งภาพ ไปพร้อมๆ กับการดูหนัง ฟังเพลง รวมถึงเปิดเว็บไซต์หาข้อมูล หรือใช้ในการโอนถ่ายไฟล์งานต่างๆ สิ่งเหล่านี้ หากเป็นคอมที่สเปคกลางๆ ขึ้นไป เช่น ซีพียูระดับ Intel Core หรือ AMD Ryzen มีแรม 8GB หรือมากกว่า การทำงานระดับนี้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก แต่ถ้าเป็นคอมที่สเปคไม่แรง หรือเป็นรุ่นเก่า ใช้งานมานาน ใช้งานระดับนี้ก็อาจกระตุกหรือค้างได้ในบางจังหวะ

คอมช้า

สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือ ลองเช็คดูว่าคุณใช้งานโปรแกรมเยอะเกินไปหรือไม่ รวมถึงเปิดใช้เว็บเบราว์เซอร์ ไม่ว่าจะเป็น Chrome หรือ Microsoft Edge มากเกินไปหรือเปล่า เพราะอย่าลืมว่า เมื่อเปิดแต่ละแท็ปหรือแต่ละหน้าต่าง ก็ใช้แรมเพิ่มมากขึ้น หากคุณมีแรมน้อย ก็ย่อมส่งผลทำให้คอมช้า คอมกระตุกได้เลย

วิธีการแก้ไข

คอมช้า
  1. ปิดโปรแกรม ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในขณะนั้น
  2. เข้าไปดูใน Startup program ด้วยการกด Ctrl+Shift+Del ปิดโปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังออก
  3. ปิดแท็ปหรือหน้าต่างหรือเว็บไซต์บนเว็บเบราว์เซอร์ เหลือไว้เท่าที่ใช้งาน
  4. รีสตาร์ทระบบ เพื่อเคลียร์สิ่งต่างๆ ให้เหลือพื้นที่แรมเพิ่มขึ้น

2.ฮาร์ดดิสก์หรือ SSD เต็มหรือเปล่า

เรียกว่าเป็นปัญหาใหญ่ของใครหลายคนก็ว่าได้ เก็บข้อมูลไฟล์ ลงเกม ติดตั้งโปรแกรมเพลิน จนลืมไปว่าแทบไม่เหลือพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์หรือ SSD แล้ว ยิ่งเป็นโน๊ตบุ๊คบางรุ่น มี SSD มาให้น้อยมาก ลงโปรแกรมที่จำเป็นกับเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้อีกหน่อย ก็เกือบจะเต็มพื้นที่อยู่แล้ว เป็นแบบนี้ใช้งานไม่นาน คอมหรือโน๊ตบุ๊คก็ช้าลงได้ เพราะไม่มีพื้นที่ให้จัดการไฟล์ ระบบไม่สามารถทำงานได้ตามปกตินั่นเอง

คอมช้า

สิ่งที่ต้องแก้ไข ก็คงต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรมของผู้ใช้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดสรรพื้นที่เก็บไฟล์ การเคลียร์ไฟล์ที่ไม่จำเป็น ลดโปรแกรมที่ไม่ใช้ รวมไปถึงเกม และยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากมาย ช่วยให้คุณได้พื้นที่เก็บข้อมูลกลับมา

วิธีการแก้ไข

  • เคลียร์ไฟล์ขยะและ Temporary file หรือไฟล์ตกค้างจากการทำงานของ Windows ที่ไม่ได้ลบทิ้ง
  • ให้เข้าไปที่ Disk Cleanup เลือกไดรฟ์ C: จากนั้นใส่เครื่องหมายหน้ารายการต่างๆ เลือก OK แล้ว Clean up ได้เลย จะลดไฟล์เหล่านั้นไปได้อีกหลาย GB เลยทีเดียว
  • ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้ออกไป ด้วยการเข้าไปที่ Program & Feature จากนั้น Uninstall or change a program แล้วเลือกโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน หมดอายุ หรือเป็นโปรแกรมเก่า ที่ไม่ได้ใช้มาเนิ่นนานออกไป ด้วยการ Remove จะได้พื้นที่กลับมาในระดับ GB หรือมากกว่า 10GB เลยทีเดียว
  • เกมที่ไม่ได้เล่น ไม่ว่าจะติดตั้งโดยตรงหรือลงผ่าน Game Platform ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Steam, Origins หรือ EPIC เป็นต้น ลบโดยตรงจากโปรแกรมได้เลย ตรงนี้ใครที่เล่นเกมใหญ่ๆ จะได้คืนมาระดับ 100GB เลยทีเดียว
  • ลบไฟล์ซ้ำๆ ออกบ้าง เพราะบางคนเก็บไฟล์เดียวกัน แต่เอาไว้หลายที่ เพราะไม่ได้วางแผนจัดเก็บที่ดี ทำให้กลายเป็นไฟล์ขยะ เปลืองพื้นที่บน Storage อย่างมากเลย วิธีลบถ้าทำแบบ Manual ไม่ได้ ก็เลือกใช้โปรแกรมที่ใช้ลบไฟล์ซ้ำ เช่น Duplicate file Cleaner, AllDup หรืออื่นๆ ตามที่พอหาได้
  • แต่ถ้าสุดท้ายอั้นไม่ไหว ไม่อยากลบ เพราะมีแต่ไฟล์ที่จำเป็น ก็ลองขยายพื้นที่จัดเก็บ เช่น การเปลี่ยน SSD, เพิ่มความจุฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่ หรือจะใช้แบบจัดเก็บข้อมูลต่อภายนอก และสุดท้ายคือ ใช้บริการ Cloud Storage ก็ได้เช่นกัน
อุปกรณ์ ค่าใช้จ่าย
SSD 1TB เริ่ม 2,900 บาท
ฮาร์ดดิสก์ 2.5″ SATA 1TB เริ่ม 1,000 บาท
External HDD 1TB เริ่ม 1,400 บาท
External SSD 1TB เริ่ม 3,300 บาท
Cloud storage MEGA ฟรี 20GB
Google One ฟรี 15GB
iCloud ฟรี 5GB
Dropbox ฟรี 2GB
Google One 2TB, 350 บาท/ด
iCloud 2TB, 349 บาท/ด
Dropbox 2TB, 350 บาท/ด
MEGA 2TB, 391 บาท/ด

3.แรมหาย คอมก็ช้าได้

แรมหายจากการที่ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเรียกใช้งาน อย่างเช่น บางโปรแกรมที่เปิดอยู่กำลังทำงาน อาจจะเรียกใช้อยู่ไม่กี่ MB แต่เมื่อรวมการใช้งานร่วมกับภาพไฟล์ข้อมูลเข้าไปด้วย ก็ยิ่งใช้แรมมากขึ้น หรือแม้กระทั่งเว็บเบราว์เซอร์เอง ก็มีการเรียกใช้แรม เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนหน้าหรือแท็ปที่เปิดใช้งานอยู่เวลานั้น ยิ่งทำให้คอมช้าลง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของแรมหาย จากความเสียหายทางกายภาพอีกด้วย มาดูสาเหตุกัน

คอมช้า

แรมไม่พอ: เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย และสังเกตได้ อาการจะมีหลายแบบ เช่น เปิดโปรแกรมช้า เปิดไฟล์ไม่ได้ หรือบางครั้งก็จะแฮงก์ค้างไปดื้อๆ

วิธีการแก้ไข

  1. เริ่มจากปิดหน้าเว็บเบราว์เซอร์ที่ไม่จำเป็น หรือปิดไปทั้งหมด แล้วจึงเปิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ถ้าเป็น Chrome หรือ Edge สามารถกดปุ่ม Ctrl+Shift+ปุ่ม T พร้อมกัน ก็จะเรียกหน้าต่างที่เราปิดไป กลับคืนมาให้
  2. กดปุ่ม Ctrl+Shift+Esc แล้วเข้าไปใน Task manager เลือกปิดโปรแกรมที่ใช้ Memory มากผิดปกติ แล้วคลิ๊กที่ End Task
  3. Restart ระบบ แล้วกลับมาใช้งานอีกครั้ง เพื่อเป็นการ Clear พื้นที่การใช้งานแรม ให้เหลือมากขึ้น
คอมช้า

แรมเสีย: อาการนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ โดยที่ผู้ใช้ไม่ทันรู้ตัว จนกว่าจะมีอาการช้าจนผิดปกติ เพราะจากเดิมอาจมีแรม 8GB แบ่งเป็น 4GB จำนวน 2 ตัว ก็ยังทำงานได้ลื่น แต่พอแรมพังไป 1 ตัว เหลือแค่ 4GB เราทำงานแบบเดิม แต่ก็จะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ สำหรับคนที่ไม่ทราบข้อมูล หรือไม่ได้มีความรู้ด้านฮาร์ดแวร์มากนัก แต่ก็มีวิธีสังเกตง่ายๆ คือ

คอมช้า
  • คุณอาจจะต้องหาข้อมูลที่แท้จริงว่า โน๊ตบุ๊คหรือพีซีที่คุณใช้อยู่นั้น มีแรมอยู่เท่าไร โดยดูจากโบรชัวร์ หรือสอบถามจากร้านหรือคนที่ซื้อมาให้คุณ
  • เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ให้เช็คจากในเครื่องคุณว่ามีแรมครบถูกต้องมั้ย ทำได้หลายวิธี เช่น ดูจาก Task manager, ฟังก์ชั่น System ของระบบ หรือจะใช้โปรแกรมเสริมก็ได้
  • ดูจาก Task Manager ไปที่แท็ป Performance แล้วดูที่ Memory จะบอกความจุแรมให้ชัดเจน
  • ดูจาก System สำหรับ Windows 11 ให้คลิ๊กขวาที่ปุ่ม Start จากนั้นเลือก System เข้าไปดูใน Device Specification ลงมาตรง Installed RAM ตรงนี้จะบอกความจุที่ระบบมองเห็น ครบหรือไม่ครบ ก็ทราบได้เลย
  • แต่ถ้ายังรู้สึกคลุมเครือ มีคนสามารถวางใจได้ หรือมีสกิลในการแกะอยู่บ้าง ก็แกะดูได้ เป็นพีซีจะมองได้ง่าย แต่โน๊ตบุ๊คอาจจะยากนิดหน่อย
  • หากเสีย ก็เช็คอีกทีว่าเสียจริงมั้ย หรือแค่สกปรก หรืออาจจะเสียจากสล็อตแรมก็เป็นได้ ถ้าเป็นแบบสุดท้าย ก็ต้องพึ่งพาช่างซ่อมแล้วครับ

4.อัพเดตไดรเวอร์หรือ Windows บ้าง

เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำและทำได้ง่ายมากที่สุด อาจจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา คอมช้า คอมกระตุกโดยตรง แต่ก็มีส่วนช่วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะระบบจะได้รับการปรับปรุง แก้ไข หรือเพิ่มประสิทธิภาพ ก็มาจากการ Update Windows หรือ Update Driver นั่นเอง วิธีการค่อนข้างง่าย

คอมช้า

Update Windows: ให้คลิ๊กขวาที่ปุ่ม Win จากนั้นเลือก System แล้วเลือก Windows Update ที่อยู่ทางซ้ายมือ คลิ๊กที่ Check for Updates จากนั้นเลือก Download & Install รอจนกว่าจะติดตั้งเสร็จ แล้วรีสตาร์ทระบบใหม่อีกครั้ง

คอมช้า

Update Driver: สามารถใช้วิธีการเดียวกับ Update Windows ได้ แต่ให้เลือกที่ Advance Options แล้วเลือกที่ Additional options ทางด้านขวา แล้วคลิ๊กที่ Optional Updates ใส่เครื่องหมายด้านหน้าอุปกรณ์ในช่อง แล้วเลือก Download & Install

วิธีที่ 2 ในการอัพเดตไดรเวอร์ ด้วยการดาวน์โหลดจากหน้าเว็บไซต์ผู้ผลิต เพียงแต่คุณต้องทราบว่าคุณใช้โน๊ตบุ๊คหรือฮาร์ดแวร์ ซีรีส์ใด รุ่นใด จากนั้นดาวน์โหลดไฟล์มาติดตั้งได้ทันที

วิธีที่ 3 เข้าไปใน Device Manager จากนั้นคลิ๊กขวาบนฮาร์ดแวร์ตัวที่คุณจะอัพเดต แล้วเลือก Update Driver ได้ทันที


5.ปิดการใช้แอนิเมชั่นบางอย่าง

เราเคยสังเกตหรือไม่ว่า ระบบสามารถแสดงผล มีหน้าตาที่สวย โปร่งแสงดูทันสมัย เพราะสิ่งเหล่านั้นได้มาจากฟังก์ชั่นของ Windows ที่เพิ่มความสวยงามในการใช้งาน แต่ก็มาพร้อมกับการใช้ทรัพยากรของระบบอยู่ด้วยเช่นกัน การปิดใช้งานสิ่งเหล่านี้ ก็มีส่วนช่วยลดปัญหาคอมช้าได้

คอมช้า

ผลที่ได้จากการปิดเอฟเฟกต์แอนิเมชั่นของระบบ ทำให้ลดภาระในการสร้างกราฟิกและเอฟเฟกต์ต่างๆ ลง โดยเฉพาะกับแรมและซีพียู แม้จะไม่มาก แต่ถ้าทำร่วมกับวิธีการอื่นๆ ก็ลดปัญหาคอมช้าได้เช่นกัน อย่างไรก็ดีการเปิดหน้าต่าง เลื่อน การแสดงผล เปลี่ยนหน้าอาจลื่นไหล แต่ก็ยังสบายตา รวมถึงเอฟเฟกต์โปร่งแสงจะหายไป แต่ได้ Process ที่ดีกลับมา ทำให้เครื่องลื่นขึ้น

วิธีการแก้ไข

ให้คลิ๊กขวาบนหน้าเดสก์ทอป > เลือก Personalize > เลือก Accessibility ทางด้านซ้าย > เลือก Visual ที่อยู่ด้านขวา > Transparency effects ให้เลือกเป็น Off และ Animation effectss ก็เป็น Off เช่นเดียวกัน

คอมช้า

นอกจากนี้คุณอาจจะเลือกการตั้งค่า Theme เป็นแบบสีพื้น ไม่ต้องมีการเปลี่ยนไปมาแบบ Slide พร้อมกันไปด้วย อาจดูเรียบง่ายธรรมดา แต่ก็ช่วยให้ไหลลื่นมากขึ้น


6.สแกนระบบอย่างสม่ำเสมอ

บางครั้งที่เราเจอกับปัญหาคอมช้า คอมกระตุก อาจจะไม่ได้เกิดจากฮาร์ดแวร์เสีย ทำงานบกพร่องหรือไดรฟ์เต็มเพียงเท่านั้น แต่บางครั้งอาจเกิดจากความบกพร่องของระบบหรือซอฟต์แวร์ ที่ทำงานผิดปกติ มีสิ่งที่รบกวนการทำงาน หลังจากที่คุณทำการอัพเดตไดรเวอร์หรือ Windows Updates ไปแล้ว ก็อยากให้เพิ่มในส่วนของ Windows Security, Internet Security หรือบรรดาป้องกันไวรัส มัลแวร์เอาไว้ด้วย และอย่าลืมสั่ง Scan ทั้งหมด

คอมช้า

Scan Virus: ไวรัส มัลแวร์ โทรจัน มีส่วนอย่างมากในการรบกวนระบบ ทำให้คอมช้า คอมกระตุกได้เช่นกัน ยิ่งบางครั้งแฝงตัวอยู่แอบทำงานเบื้องหลัง ไม่ให้เรารู้ กว่าจะไปไล่หาเจอว่าตัวไหน บางทีก็ช้าไป ใช้การสแกนหาง่ายกว่าเยอะ จะใช้ Windows Security หรือ Internet Security หรือ Anti Virus มาช่วยเสริมก็ดีไม่น้อย

เลือกใช้ Anti-Virus ที่เหมาะสมกับระบบของคุณ ซึ่งมีทั้งป้องกันไวรัส และแบบครอบคลุมถึงการเชื่อมต่อต่างๆ เช่น Internet Security สำหรับผู้ใช้ที่มีธุรกรรมและการทำงานออนไลน์เต็มรูปแบบ เลือกที่มีการอัพเดตได้บ่อย เพื่อเพิ่มความทันสมัยในการตรวจจับภัยคุกคาม และหมั่นสแกนไวรัสแบบละเอียด หรือตั้งค่าการ Scan ให้ไม่กระทบต่อการใช้งานในแต่ละวันของคุณ

คอมช้า

Error checking: เพื่อ Scan ระบบเช็คความผิดปกติ เป็นตัวช่วยที่ดี ในการแก้ปัญหาจะซอฟต์แวร์ หรือระบบ เมื่อเกิดขึ้นในขณะที่ใช้งาน ซึ่งส่งผลต่อระบบ ทำให้คอมช้า คอมกระตุกได้เช่นกัน โดยวิธีใช้ตามขั้นตอนนี้ เปิด File Explorer (กดปุ่ม Win+E) จากนั้นคลิ๊กขวาที่ไดรฟ์ C: แล้วเลือก Properties > เข้าไปที่แท็ป Tools > คลิ๊กที่ Error checking แล้วคลิ๊กที่ Check รอจนกว่าระบบจะทำงานเสร็จสิ้น

คอมช้า

Optimize: เป็นการเสริมระบบการทำงานได้เช่นกัน ใช้วิธีเดียวกับการทำ Error checking เมื่อเข้าไปที่แท็ป Tools > ให้เลือกที่ Optimized and Defragment Drive แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม Optimized

คอเกมที่อยากเล่นเกมลื่นๆ มาทางนี้เลยครับ ทิปเล่นเกมลื่น


7.เช็ค Error Code เมื่อเกิดจอฟ้า

ปัญหาจอฟ้า เป็นผลข้างเคียง เมื่อคอมช้า ซึ่งอาจเกิดจากไฟล์ระบบหรือฮาร์ดแวร์ทำงานไม่เข้ากัน หรือไฟล์ระบบบางตัวเสีย ซึ่งจะมีผลออกมาในแต่ละ Code ไม่เหมือนกัน เราสามารถสังเกตรหัสที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาได้ง่ายขึ้น

คอมช้า

แต่ก่อนที่จะไปเช็ค Code ของ BSOD ได้นั้น คุณต้องมองเห็น Code ได้ทัน แต่ส่วนใหญ่ ระบบมักจะรีสตาร์ท จนเรามองไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือ ให้ระบบค้างหน้าจอ Stop Code ไม่ต้องรีสตาร์ท เมื่อเกิดปัญหากับระบบ ไม่ว่าจะเป็น Error หรือ BSOD ก็ตาม ให้ค้างหน้าจอเอาไว้นิ่งๆ วิธีการคือ

วิธีหยุดไม่ให้ระบบรีสตาร์ทอัตโนมัติ: เข้าไปที่ Control Panel จากนั้นเลือก System and Security จากนั้นเลือก System ไปที่ Advanced system settings คลิ๊กที่ Settings แล้วเลื่อนลงมาด้านล่าง ให้เอาเครื่องหมายหน้า Automatically restart แล้วคลิ๊ก Ok เพื่อบันทึกการตั้งค่า

วิธีการแก้ไข

สามารถหาข้อมูล Stop Code เพิ่มเติมมากกว่า 300 Code จากทาง Microsoft

สามารถเช็ค Stop Code ได้ตามข้อมูลในตารางนี้

Error Cause Solution
DATA_BUS_ERROR

Memory failure Check RAM stick function with MemTest, replace hardware if necessary
INACCESSIBLE_BOOT_DEVICE
 

 

Missing driver

Virus/Malware

Update or install driver

Antivirus scan, Switch from “IDE” to “AHCI” in BIOS under “SATA Mode Selection”

UNEXPECTED_KERNEL_MODE_TRAP Hardware error

Temperature too high

Uninstall and reinstall device driver (primarily for recently added devices)

Check fan performance, clean PC or check environment if necessary

NTFS_FILE_SYSTEM

High CPU memory usage Search for costly processes in the Task Manager; uninstall/reinstall programs in question if necessary; check hard drive on which Windows is installed for errors in Windows processes (Right-click, then “Properties”, “Tools”, and “Check”)
IRQL_NOT_LESS_OR_EQUAL

Incompatible or outdated device driver Deactivate drivers for recently installed devices via the device manager (search and run “mmc devmgmt.msc” command in Start menu); then obtain the newest version of the driver from the device manufacturer and install
BAD_POOL_CALLER

Unwanted memory access Deactivate drivers for recently installed devices (see above); then obtain the newest version of the driver from the device manufacturer and install
FAT_FILE_SYSTEM

Corrupt file system Check hard drive function; search and run “chkdsk” in Start menu
OUT_OF_MEMORY

Memory failure Check RAM stick function with MemTest, replace hardware if necessary
PAGE_FAULT_IN_NON_PAGED_AREA

Memory failure Check RAM stick function with MemTest, replace hardware if necessary
UNABLE_TO_LOAD_DEVICE_DRIVER

Defective device driver Deactivate drivers for recently installed devices (see above); then obtain the newest version of the driver from the device manufacturer and install
KMODE_EXCEPTION_NOT_HANDLED

 

Defective software

With .sys file: System file error

Uninstall/reinstall recently used software (newest or system-compatible version)

For system file error: Run Windows Repair Tool (see below: “Check and repair system files”)

ที่มา: ionos.com

Conclusion

สรุปส่งท้ายสำหรับคนที่เจอปัญหาคอมช้า คอมกระตุก ก็อย่าเพิ่งตระหนกไปว่าเจอกับปัญหาใหญ่ บางครั้งแค่รีสตาร์ทเครื่องใหม่ ก็กลับมาไหลลื่นได้เหมือนเดิมแล้ว เพียงแต่ขั้นตอนต่างๆ ที่เราแนะนำมานี้ บางอย่างก็จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำในภายหลัง และยังช่วยให้การทำงานไหลลื่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปิดหรือลบโปรแกรมบางอย่าง ที่แอบทำงานเบื้องหลัง หรือการป้องกันไวรัส และบรรดามัลแวร์ ที่มักจะสร้างความรำคาญ และเข้ามาล้วงตับข้อมูลของคุณได้ การอัพเดตและการสแกนบ่อยๆ จะช่วยให้เครื่องของคุณปลอดภัย ใช้งานได้อย่างอุ่นใจ สุดท้ายคือ การจัดเรียงไฟล์ ให้เป็นหมวดหมู่ จะช่วยให้คุณทราบว่า ไฟล์ไหนควรเก็บ ไฟล์ใดควรลบ จะได้ไม่รกพื้นที่ภายในเครื่อง และทำให้คอมช้าลงนั่นเองครับ

from:https://notebookspec.com/web/688897-7-tip-solve-problems-pc-slowdown

จอพับได้! โน๊ตบุ๊ค 2-in-1 ราคาถูก 7 รุ่น เบา จอสัมผัส เริ่มแค่หมื่นกว่า ได้ทั้งโน๊ตบุ๊คและแท็ปเล็ต ปี 2023

จอพับได้ โน๊ตบุ๊ค Convertible 7 รุ่น สุดประหยัด 2023 เป็นโน๊ตบุ๊คและแท็ปเล็ตได้ในตัว สะดวกเวอร์

จอพับ

วันนี้เรารวบรวมโน๊ตบุ๊คในแบบ 2-in-1 หรือ Convertible Notebook ที่จอพับได้ ราคาประหยัดมาฝากกัน 7 รุ่น สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการโน๊ตบุ๊ค ที่มีความหลากหลาย รองรับการใช้งานได้หลายอย่าง ด้วยความสามารถในการพับจอ 360 องศาหรือแบบถอดจอได้นี้ ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คโหมดทำงานทั่วไป โหมดแท็ปเล็ต ด้วยการทัชสกรีน และรองรับ Digital Pen ก็เหมาะอย่างยิ่งกับแอพพลิเคชั่นในเวลานี้ และยังจับถือได้สะดวกขึ้น รวมถึงโหมดอื่นๆ เช่น Tent/ Stand mode ที่ใช้กับความบันเทิง ดูหนัง เล่นเกม และในปัจจุบันได้ดีทีเดียว ใครที่กำลังมองหาโน๊ตบุ๊คจอพับ จอสัมผัสราคาเบาๆ ติดตามกันได้เลยครับ

จอพับ! โน๊ตบุ๊ค Convertible 7 รุ่น ราคาถูก 2023

  1. เลือกโน๊ตบุ๊ค Convertible อย่างไร?
  2. ASUS Vivobook Go 14 Flip
  3. Lenovo DUET 3 10
  4. Lenovo Flex5 14
  5. Microsoft Surface GO 3
  6. ASUS Vivobook S 14 Flip
  7. ASUS ExpertBook B3 Flip
  8. HP Pavilion X360 14

เลือกโน๊ตบุ๊ค Convertible อย่างไร?

พับจอหรือถอดจอได้?: เรื่องนี้อยู่ที่ผู้ใช้เองจะเลือกแบบใด ถอดจอได้ข้อดีคือ พกพาสะดวก ประหยัดพลังงาน และบอดี้ง่ายต่อการจับถือ ส่วนพับจอได้ ทำให้การจัดวางในแบบต่างๆ ง่ายขึ้น แบตเยอะขึ้น แต่ก็ทำให้การจับถือในโหมดแท็ปเล็ตดูเทอะทะพอสมควร ซึ่งถ้ามองที่การพกพาเป็นหลัก แยกจอได้อาจจะสะดวก แต่ถ้าทำงานด้วย วางบนโต๊ะเป็นส่วนใหญ่ จอพับได้น่าจะเป็นคำตอบ

Advertisementavw
ASUS ExpertBook B5 Flip 6

สเปค: ถ้าคุณให้ความสำคัญกับการทำงาน มากกว่าฟังก์ชั่นอื่นใด ทำงานบนโต๊ะ หรือเน้นการอยู่กับที่ มีสายชาร์จ จะเลือกแบบที่ซีพียูแรง แรมเยอะ ก็ได้ เพราะทำให้งานคุณเสร็จได้ไวขึ้น ตัวอย่างเช่น ซีพียู Intel Core i family รุ่นใหม่หรือเป็น AMD Ryzen ก็น่าสนใจ แต่ในทางกลับกัน คุณใช้แค่พรีวิวภาพ ตรวจเช็คงาน ท่องอินเทอร์เน็ต หรือเทรดหุ้น สเปคพื้นฐาน ไม่ได้เปิดงานเยอะ ซีพียูรุ่นประหยัด แรม 8GB และมี SSD 256GB ก็เพียงพอ อยากเก็บข้อมูลหรือทำงาน ก็ใช้ระบบ Cloud มาเสริม ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และประหยัดไฟมากขึ้นอีกด้วย

จอแสดงผล: จอที่เราเลือกมานั้น ส่วนใหญ่จะเป็น Full-HD แต่มีหน้าจอหลายขนาด เริ่มตั้งแต่ 10.5″ ไปจนถึง 14″ โดยความละเอียดเป็นแบบ Full-HD ซึ่งถือว่าเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี แต่อาจจะต้องคำนึงถึงการใช้งานจริง เพราะพื้นที่การมองเห็นต่างกัน จอเล็กก็สะดวกต่อการพกพา นำไปใช้งานในโอกาสต่างๆ ได้ง่าย แต่เรื่องพื้นที่ใช้งานอาจมีน้อยกว่า ส่วนจอ 14″ มองเห็นได้ชัด เพราะเป็นขนาดพื้นฐานที่ใช้กันอยู่ทั่วไป แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการจับถือที่ยาก อาจจะสะดวกต่อการวางบนโต๊ะเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งมีผลต่อการใช้แบตเตอรี่ที่มากขึ้นอีกด้วย

Expertbook B3 DSC00221

ความถนัดมือ: เป็นสิ่งสำคัญมากๆ หากคุณจะต้องใช้งานอยู่ด้วยทั้งวัน หากคุณจะต้องพกโน๊ตบุ๊คพับจอได้ขนาดใหญ่ เดินเข้าไปในไซต์งาน นอกสถานที่บ่อยๆ อาจไม่สะดวกเท่ากับการถือแค่จอไปเพียงอย่างเดียว เลือกใช้การทัชสกรีนที่คล่องตัวกว่า แต่ถ้างานที่คุณต้องทำ ยังอยู่กับการพิมพ์เป็นหลัก และอยู่กับในสำนักงาน อยู่ในบ้าน ปรับโหมดทำงานได้ง่าย และต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลายตลอดเวลา การเป็นโน๊ตบุ๊คพับจอได้น่าจะถนัดมือมากที่สุด


1.ASUS Vivobook Go 14 Flip

จอพับ

เป็นโน๊ตบุ๊คจอพับได้ในแบบ 2-in-1 จาก ASUS ใช้สำหรับการเริ่มต้นการเรียนรู้ ในชีวิตประจำ เช่น การเทรดหุ้น ดูหนัง พิมพ์เอกสาร แม้กระทั่งการแต่งภาพแบบเบาๆ ดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย น้ำหนักแค่ 1.6Kg จอ 14″ Full-HD คมชัด พับจอได้ 360 องศา เป็นได้ทั้งโน๊ตบุ๊คและแท็ปเล็ต และเป็นจอสัมผัส รองรับ ASUS Pen ให้อารมณ์ในการทำงานได้มากกว่าการแตะพิมพ์ทั่วไป มีคีย์บอร์ดที่มีไฟ Backlit มาให้ และพอร์ตมาแบบจัดเต็ม เช่น USB-C 3.2 ต่อจอใหญ่ผ่าน HDMI ได้อีกด้วย ติดอยู่เล็กน้อย ตรงมี SSD 256GB และน่าจะเพิ่มแบตมาให้ใหญ่อีกหน่อย แต่ถ้าคุณใช้ Cloud storage และใช้งานแบบเปิดๆ ปิดๆ ที่ให้มานี้ ก็ใช้ได้เกินครึ่งวันแล้วครับ เคาะราคาที่ 13,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
พับจอได้หลายโหมด ค่อนข้างหนาเมื่อใชโหมดแท็บเล็ต
คีย์บอร์ดแสงไฟ Backlit

รายละเอียดเพิ่มเติม: ASUS


2.Lenovo DUET 3 10

จอพับ

เป็นอีกหนึ่งโน๊ตบุ๊ค 2-in-1 จอพับได้ ที่มาได้แบบครบเครื่อง บางเบา พกพาสะดวก ใครที่ชอบความกระทัดรัดแนะนำเลย DUET 3 เพราะมาในแบบ Detachable หรือถอดจอแยกกับคีย์บอร์ดได้ และเป็นแบบจอสัมผัส รองรับ Digital Pen หรือปากกาใช้จด วาดได้ง่ายขึ้น บนหน้าจอขนาด 10.3″ เหมาะทั้งใช้เรียน และการออกไซต์งาน ปรับพับให้ใช้งานได้หลากหลาย ความละเอียด Full-HD พร้อมแรม 8GB รวมถึงมี Windows 10 มาในตัว ระบบเสียง DOLBY เพิ่มอรรถรสด้านความบันเทิงได้เต็มอิ่ม มี WiFi/ Bluetooth มาในตัว แต่เรื่องขุมพลัง อาจจะเหมาะกับใช้งานเบื้องต้น รีวิวภาพ เล่นวีดีโอ ซึ่งไม่เหมาะกับงานหนักมาก และพอร์ตที่ให้มาไม่เยอะมากนัก ด้วยข้อจำกัดของบอดี้ ราคาอยู่ที่ 20,490 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เบาเบา กระทัดรัด พอร์ตมีให้ไม่เยอะมาก
ถอดจอออกได้

รายละเอียดเพิ่มเติม: Lenovo


3.Lenovo Flex5 14

จอพับ

ใครที่อยากได้โน๊ตบุ๊ค Convertible พับจอได้ ฟิลลิ่งคล้ายๆ กับแท็ปเล็ต แต่ได้สเปคดี กดคีย์บอร์ดสนุก หน้าจอ 14″ Full-HD กว้างๆ Lenovo Flex5 อาจจะเป็นคำตอบ แม้จะไม่กระทัดรัดมาก เมื่อเทียบกับบางรุ่นในครั้งนี้ แต่ให้สเปคระดับ Core i3 Gen12 พร้อมแรม 8GB ความเร็วสูง และ SSD 512GB แบบคุ้มๆ หาตัวเทียบยากในราคาประมาณ 2 หมื่นบาทนี้ จอทัชสกรีน รองรับ Digital Pen ในการจดและวาดภาพ คีย์บอร์ดนุ่มๆ มีแสงไฟ Backlit สว่างชัด เว็บแคมชัดมาก 1080p พอร์ตเป็นตัวเด่น เพราะมี Thunderbolt4 มาด้วย ชาร์จเร็ว ต่อจอได้ โอนถ่ายข้อมูลไว รวมถึงให้แบตมาใช้เกินครึ่งวันข้างนอก เพิ่มความปลอดภัยด้วยสแกนลายนิ้วมือ ข้อสังเกตคือ เมื่อพับเป็นแท็ปเล็ตจะดูค่อนข้างหนา แต่ก็ทดแทนด้วยวัสดุที่ดี และน้ำหนักเบา ราคาประมาณ 22,900 บาท แต่หน้าร้านออนไลน์ ไม่ถึง 2 หมื่น

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขอบจอบาง สเปคดี เมื่อพับแล้วค่อนข้างหนา
พอร์ตมีให้เยอะ

รายละเอียดเพิ่มเติม: Lenovo


4.Microsoft Surface GO 3

จอพับ

เป็นโน๊ตบุ๊ค 2-in-1 ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากทาง Microsoft จอพับได้ เพราะถ้าในสายของความบางเบา กระทัดรัด ตอบสนองได้ดี Surface Go ก็จัดว่าน่าสนใจ ในราคาประมาณ 2 หมื่นต้นๆ กับการเป็น Detachable ที่ถอดคีย์บอร์ดได้ แต่ก่อนหน้านี้มักจะเห็นว่า มาแค่ตัวจอ ไม่มีคีย์บอร์ด แต่หลายร้านเวลานี้ บันเดิลคีย์บอร์ดให้พร้อมใช้ ดูน่าสนใจขึ้นมาอีกเยอะ กับขุมพลังอย่าง Core i3 ได้แรม 8GB จอไซส์แค่ 10.5″ แต่ได้แบบ Full-HD รองรับทัชสกรีน รวมถึง Surface Pen วาดเขียนได้แบบเนียนๆ ด้วยความที่แยกคีย์บอร์ด ก็ทำให้เหมือนใช้แท็ปเล็ตเลย จับถนัดมือ ไม่เหมือนแบบพับ 360 องศา ซึ่งสิ่งที่ได้มาคือ ความเบาน้อยกว่า 1Kg รวมถึงแบตที่ใช้ได้นานขึ้น มี Windows ในตัวพร้อมใช้กับราคาประมาณ 22,990 บาทเท่านั้น

จุดเด่น ข้อสังเกต
ถอดจอแยกคีย์บอร์ดได้ ราคาค่อนข้างสูง
ให้สัมผัสที่ดีเมื่อใช้กับ Surface Pen

รายละเอียดเพิ่มเติม: Microsoft


5.ASUS Vivobook S 14 Flip

จอพับ

ถ้าจะพูดถึงโน๊ตบุ๊ค Convertible สายบางเบา เชื่อว่า Vivobook เป็นอีกชื่อหนึ่งที่หลายคนใช้งานอยู่ และสำหรับ Flip นี้ จัดเป็นโน๊ตบุ๊ค 2-in-1 ที่มีฟังก์ชั่นแบบจัดเต็มให้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นจอ 14″ IPS Full-HD พื้นที่กว้าง รองรับทัชสกรีน และใช้ร่วมกับ ASUS Pen ได้ จะวาดเขียน จดก็ง่าย ความแรงไม่เป็นรองใคร ด้วยขุมพลัง AMD Ryzen 5 5600H ตัวแรง กับแรม 8GB ที่อัพเกรดเพิ่มได้อีกด้วย พอร์ตให้มาแน่นๆ โดยเฉพาะ USB 3.2 Type-C ชาร์จ โอนถ่ายรวดเร็ว ได้กล้อง Full-HD และระบบเสียงจัดจ้าน พับจอได้ 360 องศา คีย์บอร์ดปุ่มใหญ่ กดสะดวก มีไฟ Backlit ในตัว คู่มากับทัชสกรีนที่มีลูกเล่นในตัว ดูจะเป็นตัวจบครบเครื่องได้ ข้อสังเกตคือ เมื่อพับเป็นแท็ปเล็ตอาจไม่แนบดีนัก จากส่วนเว้าส่วนโค้ง รวมถึงพลังจากซีพียูที่แรง อาจจะมีผลต่อระยะการใช้งานแบตได้เช่นกัน เคาะราคาอยู่ที่ราว 25,990 บาท ก็น่าสนใจไม่น้อยเลย

จุดเด่น ข้อสังเกต
จอภาพให้สีสันสดใส บานพับแข็งแรง
ซีพียูประสิทธิภาพสูง

รายละเอียดเพิ่มเติม: ASUS


6.ASUS ExpertBook B3 Flip

จอพับ

ในซีรีส์ของ ExpertBook จาก ASUS นั้น ต้องถือว่าแยกออกมาได้หลายรุ่น และ B3 Flip จะโดดเด่น นอกเหนือจากความเพรียวบาง และทนทาน แต่ให้การพับหน้าจอ 360 องศา และยังเป็นพาแนลแบบ OLED สีสันสดใส เอาใจคนทำงาน และสายบันเทิง รองรับการทัชสกรีน และใช้ร่วมกับ ASUS Pen ในการวาดเขียนหน้าจอ ที่มีให้ในตัว เป็นจอ 14″ ความละเอียด Full-HD แต่ที่โดดเด่นอยู่ที่พอร์ตมี Thunderbolt4 มาให้ และต่อ LAN RJ-45 ได้ในตัว แต่นั่นก็ทำให้บอดี้หนาขึ้นเล็กน้อย จุดแข็งมองว่าบานพับ ASUS ทำออกมาได้แน่นทีเดียว ชาร์จไฟได้ไว มีกล้อง 2 ตัว ทัชแพดยังใส่เป็น NumberPad มาอีกด้วย สเปคอาจจะเบาไปบ้าง ถ้าเทียบกับ Vivobook ในครั้งนี้ เพราะได้เป็น i3 แรม 4GB แต่ในราคาเดียวกันนี้ มีรุ่นที่เป็น AMD Ryzen 5 แรม 8GB ได้แบตใหญ่ขึ้น แต่ไม่มี Thunderbolt 4 ให้เลือกด้วยนะ แล้วแต่ความชื่นชอบของแต่ละบุคคล ราคา 26,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เน้นผู้ใช้ที่ชอบบางเบา แข็งแรง มีแรมให้ 4GB
มี Thunderbolt 4

รายละเอียดเพิ่มเติม: ASUS


7.HP Pavilion X360 14

จอพับ

มาถึงโน๊ตบุ๊ค Convertible จอพับได้จาก HP รุ่นโปรดของผู้ที่ชอบความพรีเมียมกันบ้าง แม้ว่าราคาจะเกินงบไปสักหน่อย แต่ถ้าดูจากดีไซน์เพรียวบาง สีเมทัลลิคมี Texture ที่เป็นเอกลักษณ์ และพับได้ 360 องศา หน้าจอ 14″ Full-HD ในแบบทัชสกรีน ที่คมชัดมุมมองกว้าง เพราะเป็นแบบ IPS ขอบจอบางสุดๆ รองรับ Digital Pen ให้คุณวาดเขียนได้ตามจินตนาการ ขุมพลัง Intel Gen12 รุ่นใหม่และได้แรม 16GB ความแรงที่ตอบโจทย์ได้ดี ไม่ว่าจะเป็น การดูหนัง แต่งภาพ ทำเอกสาร หรือการเทรดหุ้นไปพร้อมกัน มีระบบสแกนลายนิ้วมือมาให้ และพอร์ตที่มีให้ครบครัน แบตใช้ได้นาน 10 ชั่วโมง มี Windows 11 พร้อมใช้ อยากได้ตัวจบ งบไม่บาน ใช้งานง่าย HP รุ่นนี้ 28,000 บาทเท่านั้น

จุดเด่น ข้อสังเกต
วัสดุสวย สเปคดี
รองรับสแกนลายนิ้วมือ

รายละเอียดเพิ่มเติม: HP


Conclusion

Display Detachable/Flip CPU RAM Storage Graphic Weight Price
1.ASUS Vivobook Go 14 Flip 14″ FHD Flip Intel Pentium N6000 4GB 256GB Intel UHD 1.5Kg 13,900
2.Lenovo DUET 3 10.3″ FHD Detachable Intel Celeron N4020 8GB 128GB Intel UHD 0.6Kg 20,490
3.Lenovo Flex5 14 14″ FHD Flip Intel Core i3-1215U 8GB 512GB Intel Iris Xe 1.5Kg 22,900
4.Microsoft SURFACE GO 3 10.5″ 1280p Detachable Intel Core i3-10100Y 8GB 128GB Intel UHD 0.64Kg 22,990
5.ASUS Vivobook S 14 Flip 14″ FHD Flip AMD Ryzen 5 5600H 4GB 256GB Radeon Graphic 1.5Kg 25,990
6.ASUS ExpertBook B3 Flip 14″ FHD Flip Intel Core i3-1115G4 4GB 256GB Intel UHD 1.61Kg 26,990
7.HP Pavilion X360 14 14″ FHD Flip Intel Core i5-1235U 16GB 512GB Intel Iris Xe 1.51Kg 28,000

สุดท้ายนี้จะเห็นได้ว่าโน๊ตบุ๊คกลุ่มนี้มีให้เลือก 2 แบบคือ กลุ่มที่เป็นแบบแยกจอกับคีย์บอร์ด (Detachable) และพับจอได้ (Flip) ทั้งสองแบบมีความโดดเด่นต่างกันออกไป ซึ่งจุดหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ บอดี้และน้ำหนัก ถ้าเน้นคล่องตัวแบบที่ถอดจอออกได้สะดวกกว่า เบากว่า แต่แบบ Flip จะค่อนข้างหนาและหนักขึ้น เมื่อถือนานๆ อาจจะเมื่อยได้ รวมถึงอาจมีผลต่อการใช้พลังงาน และการจับถือ แต่ลูกเล่นของ Flip ก็มีพลัง ปรับได้หลากหลาย ใช้งานได้หลายประเภท โดยเฉพาะเมื่อตั้งอยู่บนโต๊ะ คุณให้ความสำคัญส่วนไหนมากสุด ก็เลือกตามสไตล์ที่ใช้งาน ส่วนเรื่องสเปคแรม 4GB อาจจะพอใช้ แต่ถ้าใช้งานหนักมาก เลือกที่ 8GB ขึ้นไป บางรุ่นอาจจะเพิ่มเติมในภายหลังไม่ได้ ต้องประเมินการทำงานเผื่อเอาไว้ด้วย และสุดท้ายราคาที่เหมาะสม ในแต่ละรุ่นสเปคต่างกัน แต่ก็เหมือนจะเป็นตัวกำหนดราคาไปด้วย เน้นความแรง ลูกเล่นดี ฟีเจอร์และพอร์ตเยอะ ราคาก็สูงขึ้นตามลำดับ ถ้างานที่ใช้อยู่ เน้นแค่การพรีวิวหรือท่องเน็ต ไม่ต้องแรงมาก ราคาสบายกระเป๋า ก็ตอบโจทย์ได้แล้วครับ

from:https://notebookspec.com/web/686619-convertible-20-in-1-notebook-2023

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 ลดคุ้ม 8 รุ่น ขายของออนไลน์ เล่นเน็ต ดูหนังปี 2023

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 สุดประหยัด 8 รุ่น งานเอกสาร แต่งภาพ ดูหนัง เล่นเกมออนไลน์ ปี 2023

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 งบประหยัดที่อาจจะดูยาก แต่ก็พอหาซื้อได้ สำหรับคนที่งบจำกัด เช่น 8 โน๊ตบุ๊คสุดราคาต่ำกว่าหมื่นที่เรานำมาเป็นตัวอย่าง ที่ต้องการได้โน๊ตบุ๊คมาทำงานเบาๆ เช่นการเรียน ขายของออนไลน์ ทำเอกสาร ท่องเน็ตหรือดูหนังเพลินๆ ได้ ปี 2023 นี้ก็มีให้เลือกเยอะ แต่ก็ต้องมีข้อพิจารณาหลายจุด เพราะโน๊ตบุ๊คราคานี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโน๊ตบุ๊คมือสอง จะมีตั้งแต่สภาพกลางเก่า กลางใหม่ หรือถ้าโชคดีอาจจะได้โน๊ตบุ๊คที่ใช้งานน้อย สภาพสวยมาใช้ นอกจากนี้อาจจะมีมือใหม่ๆ หลุดมาบ้าง สเปคประหยัด แต่รองรับงานพื้นฐานต่างๆ ได้พอสมควร ซึ่งถ้าใครมองว่าไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องเหล่านี้ ก็ตามเรามาเลยครับ วันนี้เรามีคำแนะนำมาฝากกันครับ

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 ปี 2023

  1. HP Chromebook 11MK G9
  2. Toshiba Dynabook R82
  3. Lenovo ThinkPad T530
  4. HP Elitebook 725 G3
  5. Dell latitude e7250
  6. Toshiba Satellite R35M
  7. Fujitsu Lifebook A574/K
  8. Acer TravelMate Spin B3

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาท สเปคอะไร? ใช้อะไรได้บ้าง?

บางส่วนก็ต้องทราบกันก่อนว่า โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาทนี้ อาจจะหาซื้อโน๊ตบุ๊คมือหนึ่งได้ยากมาก และส่วนใหญ่ก็จะเกินกว่า 5 พันบาท ไปแตะที่ 6-7 พันบาท ที่เป็นตัวเริ่มต้น ยกเว้นว่าจะมีโปรโมชั่นให้เลือกในบางโอกาส หรือบางเทศกาลพิเศษ ซึ่งหากใครที่ซื้อทัน ก็ถือว่าโชคดี เพราะมักจะมีจำกัด ดังนั้นโน๊ตบุ๊คที่เราได้เจอราคานี้ในท้องตลาด ก็จะมีของมือสอง ที่ตกรุ่น หรือเป็นรุ่นเก่า ใช้งานมาพอสมควรให้เลือกใช้ ซึ่งหากคุณคิดว่า ไม่พร้อมกับการซื้อโน๊ตบุ๊คมือสอง ที่อาจจะต้องลุ้นกันว่าจะใช้ได้ดีแค่ไหน ก็แนะนำว่าเก็บเงินเพิ่ม เพื่อซื้อของใหม่ ในปัจจุบันพอจะมีให้เลือกในงบ 9,900 บาท

Advertisementavw
โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

แต่ถ้าคุณไม่มีทางออก การเลือกซื้อโน๊ตบุ๊คมือ 2 ก็ควรต้องพิจารณาในหลายๆ ส่วน เช่น

สภาพ: ควรจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นมือสองในราคาที่ประหยัดแบบนี้ หากได้โน๊ตบุ๊คสภาพดี มีการดูแล ใช้งานได้ตามปกติ ไม่สวยมาก แต่โดยรวมใช้ได้ ก็น่าสนใจ แต่ถ้าสภาพเกินจะรับไหว เช่น บานพับหัก บอดี้แตก ทัชแพดพัง ปุ่มหลุด พอร์ตเสีย จอสีเพี้ยนหรือเปิดเครื่องแล้วเสียงดังผิดปกติ แม้ราคาจะดี แต่เลี่ยงได้ ก็เลี่ยงครับ เพราะเราซื้อไปใช้ ไม่ได้ซื้อไปซ่อมต่อ เพราะฉะนั้นดูให้ละเอียดก่อนจะจ่ายเงินครับ

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

ประสิทธิภาพ: อาจจะเป็นเรื่องรองลงมา แต่ว่าก็ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะคุณจะต้องใช้ไปอีกนานกับเครื่องนี้ มันควรจะตอบสนองงานของคุณได้ดีมากพอ เพราะทำงานไปกระตุกไป เปิดไฟล์ช้ามาก ย้ายไฟล์เยอะๆ ก็แฮงก์อีก แบบนี้คงไม่ดี การเลือกโน๊ตบุ๊คให้มีประสิทธิภาพ เหมาะกับเงินที่จ่ายไป ไม่ใช่เรื่องยากนัก เช่น ดูราคาในรุ่นต่างๆ แล้วเอามาเปรียบเทียบกัน อาจไม่ต้องถูกสุด แต่อยู่ในงบที่คุณมี และให้สเปคที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู แรม SSD การ์ดจอ เป็นต้น

ระยะเวลาการใช้งาน: อีกหนึ่งปัญหาที่ผู้ใช้โน๊ตบุ๊คส่วนใหญ่เจอกันก็คือ แบตเตอรี่ ที่เสื่อมสภาพตามการใช้งานและการจัดเก็บ ซึ่งอาการที่เจอก็คือ ไม่เก็บประจุ ทำให้ใช้งานได้ไม่นาน หรือบางครั้งต้องเสียบชาร์จไปด้วยตลอดเวลาเมื่อใช้งาน เพราะชาร์จไฟไม่เข้าแล้ว ถ้าแบบนี้ผมไม่แนะนำครับ เพราะค่อนข้างลำบากในการนำไปใช้ข้างนอก อีกทางเลือกหนึ่งก็อาจใช้การเปลี่ยนแบตฯ ใหม่ ซึ่งราคาเริ่มที่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน แล้วแต่รูปแบบ ขนาดและรุ่นของโน๊ตบุ๊ค ซึ่งในปัจจุบันสามารถหาได้เกือบทุกรุ่นในตลาด

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

การรับประกัน: โน๊ตบุ๊คมือสอง ส่วนใหญ่จะใกล้หมดประกัน หรือหมดไปแล้ว ยิ่งเป็นเจนเนอเรชั่นเก่าๆ ก็มักจะไม่มี เลยเป็นแค่การรับประกันของร้าน อาจจะเป็นวันหรือเดือนเท่านั้น ตรงนี้อาจต้องเจรจากับทางร้านเป็นเอกสารชัดเจน เพื่อความสบายใจ แต่หลายร้านก็มีบริการที่ดี แม้จะหมดประกันไปแล้วก็ตาม

ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คมือสอง โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 แบบนี้ จะได้สเปคอะไร เอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง?

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

สเปคของโน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาทนี้ มีค่อนข้างหลากหลาย เพราะขึ้นอยู่กับร้านหรือผู้ขายที่จะตีราคาตามสภาพ ความสดใหม่ และสเปคที่มีความแรง ตามซีพียู การ์ดจอ แรมเป็นต้น แต่ที่เรามักจะพบกันบ่อยๆ เวลานี้ ก็จะเป็น Intel Core Gen3 หรือ Gen4 และ Intel Celeron เป็นบางครั้ง รวมถึง AMD A8 เป็นต้น โดยพื้นฐานจะเป็นซีพียู 2 core หรือ 4 core รวมถึงแรมเริ่มต้น 4GB ส่วนการจัดเก็บข้อมูลอาจเป็นฮาร์ดดิสก์หรือ SSD 240-256GB เป็นต้น บนหน้าจอระดับ 13.3″ ไปจนถึง 15.6″ โดยมีกราฟิก

ซึ่งหากเรามองกันที่สเปคเหล่านี้ ในแง่ของประสิทธิภาพ การทำงานพื้นฐาน เช่น งานด้านเอกสาร ท่องเว็บไซต์ ดูหนัง เรียกว่าใช้งานได้ แต่อาจจะเปิดไฟล์ขนาดใหญ่ได้ช้า หรือว่าเปิดหน้าเว็บเยอะๆ พร้อมกันไม่สะดวกนัก เนื่องจากแรมมีค่อนข้างน้อย รวมถึงซีพียูที่ไม่ได้รองรับการทำงานแบบมัลติทาส์กกิ้ง หลายอย่างพร้อมๆ กันได้มากนักนั่นเอง

แต่ถ้าใครรับได้กับงบประมาณที่ไม่สูง แต่ได้โน๊ตบุ๊คมาทำงาน แล้วค่อยอัพเกรดในภายหลังก็ได้ อย่างน้อยๆ เพิ่มแรมกับ SSD ในปัจจุบันก็มีค่าใช้จ่ายไม่มากนัก

แต่ก่อนที่จะไปดูโน๊ตบุ๊คในงบประมาณ 5,000 บาท ทีมงานของแจ้งไว้ก่อนว่า โน๊ตบุ๊คที่นำมาให้ชมกันนี้ “เป็นเพียงแนวทาง และตัวอย่างของสเปค ราคา เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชี้นำ” การตัดสินใจเลือกซื้อ เป็นวิจารณญาณของแต่ละบุคคล หากสนใจก็สามารถนำไปเป็นไอเดียในการเลือกซื้อกันต่อไปครับ ส่วนถ้าอยากจะลองเข้าไปดูในรายละเอียด สามารถคลิ๊กได้จาก “ตัวเลขราคา” ของแต่ละรุ่นกันได้เลย


1.HP Chromebook 11MK G9

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

เป็นโน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 ที่เรียกว่าเป็น Chromebook ซึ่งใช้ซีพียูโมบาย และใช้ระบบปฏิบัติการ ที่เป็น Chrome OS แต่สามารถดาวน์โหลดแอพฯ มาใช้ รวมถึงได้หน้าจอขนาดกระทัดรัด 11.6″ HD (1366 x 768) พกพาสะดวก ซีพียู MediaTek MT8183 ความเร็ว 2GHz มาให้ พร้อมแรม LPDDR4x 8GB ออนบอร์ด ส่วนการจัดเก็บข้อมูลมีแค่ 32GB แต่ผู้ใช้สามารถเลือกเก็บข้อมูลผ่านระบบ Cloud storage ได้ หรือใช้ External Drive ในการจัดเก็บ กราฟิกจาก ARM Mali G72 MP3 ซึ่งเหมาะสำหรับการเล่นเกมออนไลน์บนโมบายได้ดี น้ำหนักประมาณ 1.34Kg เท่านั้น รองรับการเชื่อมต่อ WiFi และ Bluetooth ได้อีกด้วย พอร์ตมีทั้ง USB 2.0, USB-C ซึ่งใช้เป็น PD Charging และ DP ได้อีกด้วย ราคา 3,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ราคาประหยัด มี Storage มาเพียง 32GB
น้ำหนักเบา

2.Toshiba Dynabook R82

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

โน๊ตบุ๊คกึ่งแท็ปเล็ต ที่มีทีเด็ดน่าใช้ ถอดจอได้ ทัชสกรีน น้ำหนักเบา พอร์ตจัดมาให้เต็ม ขุมพลังจาก Intel Core M-5Y10C ทำงานแบบ 2 core/ 4 thread และความเร็วสูงสุด 2.0GHz ถือว่าให้การทำงานที่เหมาะกับงานใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงเป็นซีพียูที่ใช้ในแบรนด์อื่นๆ หลายรุ่นอีกด้วย หน้าจอขนาด 12.5″ แต่พิเศษคือ ความละเอียดสูงถึง 1920 x 1200 และเป็นแบบทัชสกรีน มีแรม DDR3 4GB และใส่ SSD M.2 128GB มาให้อีกด้วย ส่วนกราฟิกเป็น Intel Graphic HD 5300 พอร์ตก็ไม่น้อยเช่นกัน มีทั้ง USB 3.0, HDMI, VGA, MicroSD card reader และ RJ-45 โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาท อยู่ที่ 4,590 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
พับจอ ถอดจอได้ มีแรมให้ 4GB
ความละเอียดหน้าจอสูง

3.Lenovo ThinkPad T530

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

แต่ถ้าจะว่ากันที่โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาทบ้านเรา Lenovo ThinkPad ก็น่าจะอยู่ในใจใครหลายคน ด้วยบอดี้ที่เรียกว่า ยังมีมนต์เสน่ห์ ไม่ล้าและไม่ล้ำ แต่ฟังก์ชั่นมาแบบจัดเต็ม เช่นเดียวกับความอึดทน ที่มีให้บนโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ พร้อมด้วยขุมพลังอย่าง Intel Core i5-3230M แม้ว่าจะค่อนข้างเก่าไปสักนิด เพราะรุ่นใกล้เคียงกันขยับไปที่ Gen3, Gen4 กันแล้ว แต่ในแง่ขององค์ประกอบถือว่าดี และราคาไม่ถึง 5 พันอีกด้วย ให้แรม DDR3 8GB พร้อมใช้ อัพเกรดเพิ่มได้ และฮาร์ดดิสก์ 500GB กับกราฟิก Intel HD Graphics 4600 หน้าจอใหญ่ 15.6″ HD (1366 x 768) กว้างขวาง ดูสบายตา ให้พอร์ตมาแบบครบๆ เช่น USB 3.0, Mini-DisplayPort, VGA, RJ-45 และ SD Card Reader น้ำหนักตัวประมาณ 2.1Kg ราคาอยู่ที่ 4,890 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้แรม 8GB และ HDD 500GB น้ำหนักค่อนข้างเยอะ
ความทนทานสูง

4.HP Elitebook 725 G3

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

โน๊ตบุ๊คในกลุ่มทำงาน และการใช้งานทั่วไป บอดี้กระทัดรัด หน้าจอ 12.5″ ความละเอียด HD (1366×768) มาพร้อมซีพียู AMD PRO A8-8600B ทำงานแบบ 4 core/ 4 thread ความเร็วสูงสุด 3.0GHz ใช้พลังงานต่ำ และมีกราฟิกในตัว AMD Radeon R6 ที่ให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีในระดับหนึ่ง เช่น การดูหนัง ฟังเพลง และงานเอกสาร แต่ที่น่าสนใจคือ ให้แรม DDR3 8GB และ SSD 128GB เช่นเดียวกับพอร์ตต่อพ่วง มีให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น USB 3.0, พอร์ต Type-C รวมถึงพอร์ตแสดงผล VGA และ RJ-45 สำหรับต่อ LAN เช่นเดียวกับ WiFi ก็มีมาในตัวอีกด้วย ซึ่งจากตัวอย่างเคาะราคาไว้ที่ 5,390 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้ความบาง กระทัดรัด ให้ SSD 128GB
ให้แรมมา 8GB

5.Toshiba Satellite R35M

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

สำหรับโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจในราคาระดับนี้ แม้จะเกินไปบ้าง คืออยู่ที่ 5,590 บาท แต่ถ้าดูจากสเปคและฟังก์ชั่นที่มีให้ ก็น่าใช้งาน เพราะได้ซีพียู Intel Core i5-4210U เป็นตัวประหยัดไฟ ทำงานในแบบ 2 core/ 4 thread ความเร็วสูงสุด 2.7GHz แคชขนาด 3MB รองรับแรม DDR3L ได้ที่ 16GB นั่นหมายความว่า ถ้าบนโน๊ตบุ๊คมีสล็อตเพิ่ม ก็จะอัพเกรดได้ ซึ่งพื้นฐานในรุ่นนี้มีให้ 4GB แต่เพิ่มได้ในภายหลัง โดยชุดเก็บข้อมูลเป็นฮาร์ดดิสก์ 500GB และมีกราฟิก Intel HD มาในซีพียู ให้พอทำงาน ความบันเทิงได้ดีในระดับหนึ่ง พอร์ตพื้นฐานมีให้ เช่น USB 3.0, LAN, VGA หรือจะเป็นช่องต่อหูฟัง รองรับการใช้งาน WiFi กับหน้าจอขนาดใหญ่ 15.6″ ที่น่าจะเป็น HD และมี NumPad มาให้ในตัว ใครชอบจอใหญ่ๆ โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 รุ่นนี้ตอบโจทย์ได้

จุดเด่น ข้อสังเกต
จอและคีย์บอร์ดขนาดใหญ่ แรมพื้นฐาน 4GB
มีฮาร์ดดิสก์มา 500GB

6.Dell latitude e7250

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

เป็นโน๊ตบุ๊คในซีรีส์ทำงาน ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในบ้านเรา ด้วยความเรียบง่ายของการออกแบบ แต่ให้ความทนทาน และฟังก์ชั่นมาไม่น้อยเลยหน้าจอขนาด 12″ ความละเอียด HD พกพาสะดวก ภาพสีสันสดใส และยังให้ซีพียูตัวแรงอย่าง Intel Core i5-5300U มาอีกด้วย กับการทำงาน 2 core/ 4 thread ความเร็วบูสท์สูงสุด 2.9GHz รองรับแรม DDR3 ติดตั้งมาให้แล้ว 8GB ทำงานต่างๆ ได้ไหลลื่น และยังมีกราฟิกอย่าง Intel® HD 5500 ที่มาบนซีพียูให้ใช้งาน สามารถแชร์หน่วยความจำให้อัตโนมัติ พร้อมกับกล้องเว็บแคม และมี Windows 10 พร้อมใช้ โดยมีทั้งพอร์ต USB, RJ-45 และ HDMI มาให้ครบ ในราคา 5,500 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้แรมมา 8GB
ซีพียูค่อนข้างใหม่ Intel Gen 5

7.Fujitsu Lifebook 574/K

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

สำหรับโน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 รุ่นนี้เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่เห็นในตลาดมือสองบ้านเราค่อนข้างเยอะ จัดเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงาน ที่มีความอึดทนอีกรุ่นหนึ่ง อย่างในรุ่น A574/K นี้ มาในดีไซน์ที่ค่อนข้างบึกบึน กับพื้นสีดำ ตัดเส้นสายสีแดง ปุ่มใหญ่ กดได้สนุกพร้อม NumberPad มาในตัว ทัชแพดขนาดใหญ่ มีระบบสแกนลายนิ้วมือ โดยให้ซีพียู Intel Core i3-4100M ทำงานแบบ 2 core/ 4 thread ความเร็ว 2.5GHz ตัวเลือกเป็นแรม DDR3 4GB อัพเกรดได้ ฮาร์ดดิสก์ 320GB กราฟิก Intel® HD Graphics 4600 รองรับงานและความบันเทิงได้ดีพอตัว แสดงผลบนจอขนาด 15.6″ HD พร้อมการเชื่อมต่อ WiFi โดยมีพอร์ตต่อพ่วงมาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น USB 3.0, HDMI, ที่พิเศษก็คือ มีไดรฟ์ DVD มาด้วย เผื่อสำหรับใครจะใช้สื่อประเภทนี้อยู่ เคาะราคาที่ 5,790 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้ซีพียู Intel Gen 4 ขนาดบอดี้ค่อนข้างใหญ่

8.Acer TravelMate Spin B3

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

ขยับมาที่โน๊ตบุ๊คแบบทัชสกรีน เอาใจสายพกพา ขีดเขียน เน้นความคล่องตัวกันบ้าง กับโน๊ตบุ๊คจากทาง Acer TravelMate Spin พับจอในโหมดต่างๆ ได้ เช่น แท็ปเล็ต เตนท์ หรือสแตนก็ตาม จุดเด่นอยู่ที่ฟังก์ชั่น เพราะเป็นจอทัชสกรีนขนาดเล็ก 11.8″ แบบ Gorilla Glass จนเหมือนแท็ปเช็ตมากกว่า แต่ให้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 มาพร้อมซีพียู Intel Celeron N4020 ประหยัดไฟ ความเร็วบูสท์ 2.0GHz และมีแคชขนาดใหญ่ เพื่อความคล่องตัว แต่ที่น่าสนใจคือ ได้แรม DDR4 มาที่ 4GB และ SSD 64GB กราฟิก Intel UHD Graphics 600 ให้ความทนทานผ่าน MIL-STD 810H ทนละอองน้ำ แรงกระแทกในระดับหนึ่ง แบตอึดใช้ได้นาน พร้อมการเชื่อมต่อ WiFi น้ำหนักประมาณ 1.49Kg. พอร์ตมีทั้ง USB 3.2, Type-C และ HDMI ราคา 5,990 บาท ในนี้แจ้งว่าประกัน 2 ปีอีกด้วย

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปรับพับหน้าจอในโหมดต่างๆ ได้ มี SSD 64GB
ให้เป็นแรม DDR4

Conclusion

ซีพียู แรม Storage กราฟิก จอภาพ ราคา
1.HP Chromebook
11MK G9
MediaTek
MT8183
LPDDR4x
8GB
SSD 32GB ARM Mali
G72 MP3
11.6″ HD 3,990
2.Toshiba Dynabook
R82
Intel Core M-5Y10C DDR3 4GB SSD 128GB Intel Graphic
HD 5300
12.5″ FHD 4,590
3.Lenovo ThinkPad
T530
Intel Core i5-3230M DDR3 8GB HDD
500GB
Intel HD Graphics
4600
15.6″ HD 4,890
4.HP Elitebook
725 G3
AMD PRO
A8-8600B
DDR3 8GB SSD 128GB Radeon R6 12.5″ HD 5,390
5.Toshiba Satellite
R35M
Intel Core i5-4210U DDR3L 4GB HDD 500GB Intel HD Graphic 15.6″ HD 5,590
6.Dell latitude
e7250
Intel Core i5-5300U DDR3 8GB SSD 128GB Intel HD Graphic
5500
12″ HD 5,500
7.Fujitsu Lifebook
574/K
Intel Core i3-4100M DDR3 4GB HDD 320GB Intel HD Graphics
4600
15.6″ HD 5,790
8.Acer TravelMate
Spin B3
Intel Celeron N4020 DDR4 4GB SSD 64GB Intel UHD Graphics
600
11.8″ 5,990

สุดท้ายนี้ก็คงต้องฝากกันไว้ สำหรับใครที่ต้องการใช้โน๊ตบุ๊คราคาประหยัด และมีงบจำกัด โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 เหล่านี้ ก็พอจะตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ แต่ไม่แนะนำสำหรับคนที่เน้นเล่นเกมเป็นหลัก เพราะจากองค์ประกอบ และสเปคพื้นฐาน มุ่งเน้นไปที่การใช้งานทั่วไป สิ่งที่อยากจะแนะนำเพิ่มเติม ก็คือ เลือกและดูรายละเอียดให้ได้มากที่สุด ตรวจเช็คสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อย รวมถึงถ้ามีโอกาส อาจจะอัพเกรดบางอย่างเพิ่มเติม ให้ใช้งานได้ลื่นมากขึ้น ส่วนถ้าใครเน้นโน๊ตบุ๊คมือสองเล่นเกม ผมแนะนำว่ามือสองในงบหมื่นต้นๆ ก็พอมีให้เลือกเช่นกัน เอาไว้โอกาสหน้าจะมาแนะนำกันอีกครั้ง ขอบคุณที่ติดตามกันครับ

from:https://notebookspec.com/web/681810-8-notebook-value-5000-2023

CES 2023 – พาไปชมโน๊ตบุ๊ค MSI รุ่นใหม่ไลฟ์สไตล์ บาง แรง Intel Gen 13 + RTX เพื่อ Creator และเกมเมอร์

โน๊ตบุ๊ค MSI รุ่นใหม่ใน CES 2023 ขุมพลัง Intel Gen 13 + GeForce RTX 40 โฉมใหม่ เทคโนโลยีล้ำๆ

โน๊ตบุ๊ค MSI

โน๊ตบุ๊ค MSI ที่เปิดตัวครั้งใหญ่ในงาน CES 2023 ครั้งนี้ จัดว่ายกทัพมาครบทุกไลน์ผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ผู้ใช้ทั่วไป เกมเมอร์ และทำงานจริงจัง เรียกว่า All New เลยทีเดียว เพราะนอกจากรูปลักษณ์ที่ถูกปรับใหม่ให้ดูล้ำสมัยมากขึ้น ยังยกเครื่องมาใหม่ ใส่ขุมพลัง Intel Gen 13 รุ่นล่าสุด เกือบทุกซีรีส์ และหลายรุ่นก็มาพร้อมแรม DDR5 แล้ว พร้อมกับ SSD PCIe รุ่นใหม่ กับการ์ดจอระดับ GeForce RTX 40 series อีกด้วย บนโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป ยังไม่รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทาง MSI เติมเข้ามาให้กับผู้ใช้โน๊ตบุ๊คได้สัมผัสกันอย่างจุใจเลยทีเดียว โดยในครั้งนี้จะเป็นส่วนของโน๊ตบุ๊คพกพก โน๊ตบุ๊คทำงาน และไลฟ์สไตล์ ใครที่กำลังมองหาโน๊ตบุ๊คใหม่สไตล์ล้ำสมัย มาใช้งานในปีนี้ ไม่ควรพลาดครับ


โน๊ตบุ๊ค MSI รุ่นใหม่ ในงาน CES 2023


MSI Creator series

มากันที่โน๊ตบุ๊ค MSI ในกลุ่มนักสร้างคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มตัดต่อวีดีโอ ตกแต่งภาพ กราฟิกดีไซน์และเหล่ายูทูปเบอร์ อย่าง Creator มีด้วยกัน 2 ซีรีส์ อย่าง Creator Z16 HX Studio และ Creator Z17 HX Studio จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ได้รับการออกแบบมาอย่างสอดคล้อง ไม่ว่าจะเป็นความบาง เบา มิติที่ดูกระชับ ขอบจอบาง โดยบอดี้นั้นขึ้นรูปในแบบ CNC ที่ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียม ซึ่งบางเพียง 19mm และน้ำหนักเบาเพียง ปปปKg. เท่านั้น

Advertisementavw
โน๊ตบุ๊ค MSI

พร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบครัน เพื่อตอบสนองการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการโอนถ่ายข้อมูลหรือการแสดงผลก็ตาม โดยที่ MSI CREATOR Z16 HX Studio นี้ มีทั้ง USB 3.2 Gen2 และ Thunderbolt 4 รวมถึงพอร์ต HDMI มาด้วย

และที่สุดของการทำงานคือ ขุมพลังอย่าง Intel Core i9-13950HX ซึ่งเป็นซีพียูที่มีประสิทธิภาพสูง ให้การทำงานแบบมัลติทากส์กรวมกันถึง 24 core และยังเป็นรุ่นใหม่ Intel Core Gen 13 จึงทำให้การทำงานในด้านคอนเทนต์ วีดีโอ กราฟิก 3 มิติ และงานด้านสตูดิโอ ภาพและเสียง ไหลลื่นได้ดีทีเดียว

โน๊ตบุ๊ค MSI

ไม่เพียงแค่นั้น เพราะทาง MSI ยังได้ใส่ขั้นสุดของเทคโนโลยีกราฟิกมาให้โน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ด้วยกราฟิกการ์ด GeForce RTX ที่สนับสนุน nVIDIA Studio มาด้วย เพื่อให้สายทำงานและนักสร้างคอนเทนต์ได้ยกระดับการทำงานให้ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานด้าน 3D, Video และการบรอดแคส โดยทำงานร่วมกับการ์ดจอระดับ GeForce RTX ได้อย่างลงตัว

20230104 135156 1600x1200 1

จุดที่เป็นไฮไลต์อีกสิ่งหนึ่งบนโน๊ตบุ๊ค MSI รุ่นนี้ก็คือ ชุดระบายความร้อน Vapor Chamber ที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Cooler Boost มาพร้อมพื้นที่หน้าสัมผัสขนาดใหญ่ ช่วยลดเสียงรบกวน และให้ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดีขึ้น เพิ่มเสถียรภาพในการทำงาน

โน๊ตบุ๊ค MSI

นอกจากนี้ยังมาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ 16″ ความละเอียด QHD+ (2560×1600) ให้ความแม่นยำสีสูง เพื่อการทำงานอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น 100% DCI-P3 และ Delta-E <2 อีกด้วย โดยหน้าจอนี้ยังผ่าน Calman Verify ด้วยการ Calibrate สีบนหน้าจอ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ด้านภาพและวีดีโอได้อย่างเหมาะสม

โน๊ตบุ๊ค MSI

และไม่ใช่แค่เรื่องของการทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความบันเทิง ด้วยระบบเสียงชั้นยอดจากลำโพง 2W จำนวน 4 ตัว ที่ติดตั้งมาบนโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ รองรับเสียงคุณภาพสูง Hi-Res Audio และระบบเสียง DTS กับบิตเรตที่สูง เก็บรายละเอียดได้ดี พลังเสียงจัดจ้าน

สามารถปรับแต่ง และตรวจเช็คระบบการทำงานต่างๆ ผ่านทางซอฟต์แวร์ MSI Center ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การตั้งค่าจอ ระบบเสียง หรือการเลือกโหมดใช้งาน รวมถึงการมอนิเตอร์อุณหภูมิ ความเร็ว หรือการใช้แรมได้

โน๊ตบุ๊ค MSI

ด้วยคุณภาพและการออกแบบที่ลงตัว พร้อมความทนทานระดับ Military Grade ทำให้มั่นใจในการใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่การทำงานในสำนักงานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเดินทาง พกพา เคลื่อนย้ายไปใช้งานนอกบ้านได้อีกด้วย

โน๊ตบุ๊ค MSI

โดยในงานมีการจัดแสดงโน๊ตบุ๊ค MSI CREATOR 2 รุ่นด้วยกันคือ CREATOR Z16 HX Studio และ CREATOR Z17 HX Studio โดยจะต่างกันในแง่ของมิติ และดีไซน์อยู่เล็กน้อย องค์ประกอบส่วนใหญ่จะคล้ายกัน


MSI Modern series

สำหรับโน๊ตบุ๊ค MSI Modern ที่มาโชว์ตัวในงาน CES 2023 ครั้งนี้ มี 2 โมเดลด้วยกัน ตามไลน์เดิมที่เคยวางอยู่ในตลาด ประกอบด้วย Medern 14 C13M และ Modern 15 B13M ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้ แม้จะค่อนข้างคล้ายคลึงกับในรุ่นก่อน แต่ก็มีการปรับปรุงในเรื่องของวัสดุ และดีไซน์อยู่พอสมควร ทำให้ดูพรีเมียมมากขึ้น โดยยังคงคอนเซปต์ บาง กระทัดรัด พกพาสะดวก น้ำหนักเท่าเดินประมาณ 1.4Kg เท่านั้น สำหรับ Modern 14 โดยที่ MSI Modern รุ่นใหม่ปี 2023 นี้ มาในสไตล์ที่ Slim บางลง และบางสุดเพียง 19.35mm เท่านั้น

โน๊ตบุ๊ค MSI

พร้อมกันนี้ยังได้เปลี่ยนไปใช้ขุมพลังรุ่นใหม่ อย่าง Intel Core Gen 13 ที่ให้การประมวลผลที่รวดเร็ว และมาคู่กับกราฟิกอย่าง Intel Iris Xe Graphic รุ่นใหม่ ในการตอบสนองด้านกราฟิก หรือด้านความบันเทิง โดยที่ยังใช้ร่วมกับแรมในแบบ DDR4 3200 และอัพเกรดเพิ่มเติมได้อีกด้วย

ส่วนคีย์บอร์ดนั้นเป็นแบบปุ่มใหญ่ ตอบสนองไวเช่นเดียวกัน และมีแสงไฟ Backlit สว่างขึ้นบนคีย์อีกด้วย โดยมีปุ่ม Hot key มากมายให้ใช้ พร้อมทัชแพดขนาดใหญ่กว่าเดิม และสนับสนุนการใช้งาน Multi-Gesture

โน๊ตบุ๊ค MSI

พอร์ตต่อพ่วงมีมาอย่างครบครัน อาทิ USB-A, USB-C 3.2 Gen2 ใช้กับ PD-In ชาร์จไฟได้ แสดงผล และต่อสัญญาณไปยังจอนอกได้อีกด้วย รวมถึงมี HDMI และ Micro-SD card reader มาอีกด้วย

และ MSI ไม่เคยลืมที่จะเพิ่มความแข็งแกร่ง ปลอดภัยให้กับโน๊ตบุ๊คทุกๆ รุ่น เช่นเดียวกับ MSI Modern นี้ ก็ให้ความทนทานในระดับ MIL-STD-810G เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงสั่นสะเทือน อุณหภูมิ ละอองน้ำ รวมถึงการกระแทก

โน๊ตบุ๊ค MSI

โดยสามารถทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ MSI Center ได้เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ ในการตรวจเช็ค ปรับแต่ง และอัพเดตสิ่งต่างๆ ในระบบผ่านทางโปรแกรมนี้ได้ทันที


MSI Prestige series

สำหรับ โน๊ตบุ๊ค MSI Prestige เป็นโน๊ตบุ๊คในกลุ่มบางเบา ดีไซน์ลงตัว พกพาสะดวก โดยมี 3 โมเดลคือ Prestige 13 EVO, Prestige 14 EVO และ Prestige 16 EVO พร้อมจบได้ทุกงาน กับการออกแบบที่พิเศษมากขึ้น ด้วยวัสดุ Mg-Al หรือแมกนิเซียมอัลลอย ซึ่งโดดเด่นทั้งในด้านความแข็งแรง และน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ โดยที่ Prestige 13 EVO นี้ เบาเพียง 990 กรัมเท่านั้น แต่ให้ขุมพลังในการทำงาน พร้อมกับคุณสมบัติด้านความปลอดภัยมาอย่างครบครัน และระยะเวลาในการทำงานต่อการชาร์จที่ยาวนานเลยทีเดียว เหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นการใช้งานนอกสถานที่

โน๊ตบุ๊ค MSI

แม้จะเป็นโน๊ตบุ๊คขนาดเล็ก หน้าจอ 13.3″ แต่เพื่อให้งานได้นานขึ้น MSI ใส่แบตระดับ 75Whrs มาให้ ซึ่งรองรับการใช้งานได้นานถึง 15 ชั่วโมงเลยทีเดียว พร้อมกันนี้ยังสนับสนุน Fast Charging โดยสามารถชาร์จได้ถึง 60% ภายใน 53 นาที ด้วยการชาร์จผ่าน PD-Charging 20V และสเปคยังระบุมาว่า ใช้ได้นานกว่า 1.5 ชั่วโมง ด้วยการชาร์จเพียง 15 นาทีเท่านั้น

โน๊ตบุ๊ค MSI

จอภาพขนาด 13.3″ พร้อมขอบจอที่บางเฉียบ ให้พื้นที่การมองภาพแบบเต็มตา สามารถทำงานหรือใช้ในความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ สีสันสดใส ความละเอียดระดับ Full-HD และยังเป็นพาแนล IPS ให้ค่า sRGB 100%

โน๊ตบุ๊ค MSI

ขุมพลังที่นำมาใส่ไว้ในโน๊ตบุ๊ค MSI Prestige 13 นี้ มาพร้อม Intel Core Gen 13 รุ่นใหม่ ประสิทธิภาพสูง ใช้พลังงานต่ำ ตอบสนองในงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ และประหยัดพลังงาน แต่ที่น่าสนใจคือ ข้อมูลแจ้งมาว่า ทำงานร่วมกับแรม DDR5 แล้ว และมีกราฟิก Intel Iris X รุ่นใหม่มาอีกด้วย

คีย์บอร์ดปุ่มขนาดใหญ่ กดง่าย สวยงาม และยังสว่างชัดเจนในที่มืด ด้วยแสงไฟ Backlit เป็นแบบสีเดียว เปิด-ปิดได้ ทัชแพดกว้างกว่าเดิม รองรับ Multi-Gesture ด้วยเช่นกัน

โน๊ตบุ๊ค MSI

พอร์ตต่อพ่วงก็ถือว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง ของโน๊ตบุ๊ค MSI รุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต Thunderbolt 4 ที่มีให้ถึง 2 พอร์ต HDMI และUSB-A 3.2 พร้อม micro-SD card reader

ระบบความปลอดภัย มีมาให้แบบจัดเต็ม โดยโน๊ตบุ๊ค MSI Prestige 13 EVO นี้ มาพร้อมกล้อง IR FHD camera รองรับการสแกนใบหน้า เพื่อเข้าเครื่อง อีกทั้งเพิ่มในส่วนสแกนลายนิ้วมือมาให้ บนปุ่มเพาเวอร์ สำหรับการ Log-in เข้าระบบอีกด้วย และไม่พลาดกับฟีเจอร์อย่าง Tobii Aware ที่เข้ามาเสริมความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้ เมื่อไม่ได้ใช้งานอยู่หน้าจอ โดยระบบจะเบลอหน้าจอให้อัตโนมัติ ป้องกันการลอบมองหรือเข้าใช้งาน โดยไม่ได้รับอนุญาต

โน๊ตบุ๊ค MSI

อีกรุ่นหนึ่งเป็น MSI Prestige 16 Studio จะเป็นรุ่นที่เพิ่มฟังก์ชั่น และเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามา เพื่อมอบพลังในการสร้างสรรค์ผลงาน แก่เหล่านักสร้างคอนเทนต์ทั้งหลาย ดีไซน์ที่เน้นไปทางพรีเมียม ดูหรูหรา แต่ยังคงความ Mobility บางเบา พกพาสะดวก พร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครันเช่นกัน บนขุมพลัง Intel Core Gen 13

มาพร้อมการสนับสนุน nVIDIA Studio ร่วมกับกราฟิการ์ด GeForce RTX ทำให้การทำงานในด้าน 3D, Video หรือการบรอดแคสนั้นไหลลื่น

โน๊ตบุ๊ค MSI

เสริมความมั่นใจด้วยระบบระบายความร้อน Dynamic Cooler Boost ที่ออกแบบฮีตซิงก์และฮีตไปป์ พัดลมให้ลดความร้อนในระหว่างการทำงานได้อย่างรวดเร็ว เสียงรบกวนน้อยที่สุด โดยพื้นฐานการออกแบบ เรียกว่าเป็นโน๊ตบุ๊คในกลุ่ม Ultra-Slim ก็ไม่ผิดไปนัก เพราะบางเพียง 16.85mm เท่านั้น

โน๊ตบุ๊ค MSI

จอแสดงผลที่ให้มาบน MSI Prestige 16 Studio นี้ ให้พื้นที่แสดงผล 16″ ความละเอียด QHD+ 2560×1600 ขอบจอบางพิเศษ ให้ค่า DCI-P3 100% ความแม่นยำของสีสูง Delta-E <2 พร้อม Calman verified และเทคโนโลยี True Color และพิเศษคือ เป็นพาแนลแบบ Mini LED ซึ่งเม็ดพิกเซลเล็กลง แต่ให้ความสว่างสดใสมากขึ้น เหมาะทั้งการทำงาน และความบันเทิง ที่ให้สีสันสดใสสวยงาม รองรับระบบเสียง Hires และ DTS เพื่อเพิ่มอรรถรสในด้านความบันเทิง และไมโครโฟน ที่รองรับการสนทนาได้อย่างคมชัด

พอร์ตให้มาแบบจัดเต็มเช่นกัน เพราะมีทั้ง Thunderbolt 4, HDMI, USB 3.2 Type-A และ microSD card reader สำหรับ MSI Prestige 16 Studio นี้ มาพร้อมการใช้งานที่ยาวนานถึง 11 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ และให้แบตเตอรี่ระดับ 82Whrs มาอีกด้วย เหมาะกับคนที่ใช้งานนอกบ้าน หรือไปพรีเซนต์งานลูกค้านอกสถานที่ และสนับสนุนการชาร์จไวด้วย PD Charging 100W


MSI Stealth series

โน๊ตบุ๊ค MSI Stealth นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คทำงาน ที่สามารถเล่นเกมได้ดี บนบอดี้ที่บางเบา หากเทียบกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คทั่วไป กับดีไซน์ที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ มีสไตล์ Stealth 14 Studio นั้น มาในโทนสีที่ดูเคร่งขรึม มีให้เลือกทั้ง Star Blue และ Pure White ที่จะเหมือนยานอวกาศ มีการตัดเส้นสายได้อย่างลงตัว จุดเด่นอยู่ที่บางเพียง 19mm และน้ำหนักแค่ 1.8Kg เท่านั้น ซึ่งเป็นรุ่นที่คว้ารางวัล Gaming Award ในงานนี้อีกด้วย

โน๊ตบุ๊ค MSI

กับความเบาบางนี้ ยังแฝงด้วยความแข็งแรง เพราะผลิตจาก Mg-Al หรือแมกนิเซียมอัลลอย ทำให้เบาลงกว่าโน๊ตบุ๊คที่ใช้วัสดุทั่วไป อีกทั้งลดการเกิดรอยนิ้วมือบนบอดี้ได้ง่ายอีกด้วย

20230104 134037 1600x1200 2

นอกจากการออกแบบที่สวยงามแล้ว MSI ยังได้เติมสีสันมาบน Stealth 14 Studio รุ่นนี้ ด้วยแสงไฟ RGB บนคีย์บอร์ด ซึ่งเป็นบบ RGB per-key คือแยกสีบนปุ่มได้อิสระ และด้านหลังเครื่องยังมีแสงไฟที่ปรับแต่งเพิ่มเติมได้

20230104 135637 1600x1200 1

พอร์ตต่อพ่วงตอบโจทย์ในการใช้งานครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-C รองรับ PD Charging รวมถึง USB 3.2 Type-A และ Thunderbolt 4 พร้อมพอร์ตแสดงผล HDMI มาในตัว

ยกระดับความแรงด้วยซีพียู Intel Core Gen 13 รุ่นใหม่ ในแบบ H-series ที่พร้อมสำหรับงานด้านภาพ สตูดิโอ วีดีโอและการบรอดแคส รวมถึงการเล่นเกมได้อย่างเต็มที่

โน๊ตบุ๊ค MSI

นอกจากนี้ยังมาพร้อมกราฟิกการ์ด GeForce RTX 40 รุ่นล่าสุด ให้ประสิทธิภาพที่มากพอสำหรับคอเกม และยังใช้พลังงงานได้อย่างคุ้มค่า รองรับ Ray-tracing ทั้งในงานและการเล่นเกม เช่นเดียวกับสนับสนุนไดรเวอร์ nVIDIA Studio ด้วยเช่นกัน โดยมีชุดคอนโทรลกราฟิกอย่าง MUX switch มาในตัว เพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้มากขึ้น เช่นเดียวกับการสนับสนุนแรม DDR5 ที่ให้แบนด์วิทธิ์สูง และรองรับ SSD PCIe Gen4 อีกด้วย

โน๊ตบุ๊ค MSI

ไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ โน๊ตบุ๊ค MSI รุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอขนาด 14″ ที่ให้ความละเอียดได้สูงถึง QHD+ 2560×1600 และอัตรารีเฟรชเรตสูงถึง 240Hz ให้ภาพที่ดูสวย นุ่มนวล เพิ่มระดับความบันเทิงให้เร้าใจมากขึ้นด้วยลำโพงที่ติดตั้งมาให้ 2 ชุด และยังมีซับวูเฟอร์อีก 2 ชุด พร้อมระบบเสียง Nahimic สนับสนุน Hi-res Audio โดยที่ผู้ใช้ยังเพิ่มความสนุกสนานกับระบบเสียงรอบทิศทาง ด้วยการต่อพ่วงลำโพงบลูทูธเข้าไปเท่านั้น ก็จะได้มิติของเสียงที่เร้าใจมากขึ้น

โน๊ตบุ๊ค MSI

Vapor Chamber ขนาดใหญ่ เพื่อการระบายความร้อนให้กับซีพียูและกราฟิกได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการไหลเวียนของอากาศที่ดีขึ้น ลดเสียงรบกวน

โน๊ตบุ๊ค MSI

ส่วนอีกรุ่นหนึ่งจะเป็น โน๊ตบุ๊ค MSI Stealth 16 Studio ซึ่งฟีเจอร์และเทคโนโลยีส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน จะต่างกันในส่วนของมิติ และฟังก์ชั่นบางรายการ แต่ยังคงมาพร้อมขุมพลัง Intel Core Gen13 และแรม DDR5 รวมถึงกราฟิกการ์ด GeForce RTX 40 เพียงแต่มีหน้าจอใหญ่ขึ้น 16″
บนความละเอียด QHD+ 2560×1600 เช่นกัน แต่อัตรารีเฟเรชเรต 120Hz

20230104 134059 1600x1200 1

โดยที่เสริมระบบความปลอดภัยมาเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็น Webcam shutter ปิดกล้องแบบ Manual ด้วยตัวเอง ชุดสแกนลายนิ้วมือ เพื่อเข้าระบบ พร้อมกล้อง FHD IR Camera ที่ใช้ในการสแกนใบหน้าได้

โน๊ตบุ๊ค MSI

เช่นเดียวกับระบบพลังงาน ที่ให้แบตขนาดใหญ่ถึง 99.9Whrs มาด้วย เรียกว่าเป็นไซส์ที่ใหญ่ที่สุดในเวลานี้ เพื่อให้ผู้ใช้งานนอกสถานที่ทำงานได้ยาวนานมากขึ้น และที่น่าสนใจคือ โน๊ตบุ๊ค MSI Stealth 16 Studio ใช้ชุดระบายความร้อนที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ กับไปป์ไลน์จำนวนมาก พัดลม 2 ตัว และเทคโนโลยี Cooler Boost 5 อีกด้วย

ให้การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายแบบ WiFi 6E ร่วมกับ Intel KILLER ที่ให้การรับส่งข้อมูลรวดเร็ว เชื่อมต่อได้ไว ช่องทางขนาดใหญ่ในการติดต่อ และการสนับสนุน 2.5G LAN


MSI Summit series

โน๊ตบุ๊ค MSI Summit มีมาโชว์ตัวในงานนี้ถึง 3 รุ่นด้วยกัน ประกอบด้วย Summit E13 Flip Evo, Summit E14 Flip Evo และ Summit E16 โดยโน๊ตบุ๊คซีรีส์นี้ มุ่งเป้าไปที่งานธุรกิจ และผู้บริหาร รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบความบางเบา แต่ให้การใช้งานได้อย่างหลากหลาย จุดเด่น ไม่ได้อยู่ที่ขนาดกระทัดรัด และขุมพลังที่แรงเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมหน้าจอที่พับได้ 360 องศา เป็นแบบทัชสกรีน รวมถึงใช้ร่วมกับปากกา MSI Pen ได้อีกด้วย เช่นเดียวกับระยะเวลาในการใช้งานที่ยาวนานต่อการชาร์จ และระบบความปลอดภัย ที่ทาง MSI จัดมาให้อย่างครบครัน พร้อมกับแพลตฟอร์ม Intel EVO เพื่อยืนยันว่า โน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ให้ทั้่งประสิทธิภาพที่ดี น้ำหนักเบา การเชื่อมต่อไร้สายรุ่นใหม่ และประหยัดไฟใช้งานได้นาน

โน๊ตบุ๊ค MSI

โน๊ตบุ๊ค MSI Summit E13 Flip Evo และ E14 Flip Evo โดดเด่นด้วยดีไซน์พรีเมียม มีให้เลือกทั้งตัวเคสสีดำ ตัดเส้นสายสีทอง และแบบสีขาวทั้งตัว ทำให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น นั่งที่ทำงาน พบลูกค้า จิบกาแฟในคาเฟ่ และการพรีเซนเทชั่น ให้ความยืดหยุ่นด้วยการปรับพับหน้าจอเพื่อการใช้งานในรูปแบบต่างๆ เช่น โหมดโน๊ตบุ๊คปกติ, Tablet mode, Desk mode และ Tent mode

20230104 135055 1600x1200 1

หน้าจอแสดงผล 13.4″ FHD+ (Summit E13 Flip Evo) และ 14″ QHD (E14 Flip Evo) เป็นพาแนล IPS ให้ความคมชัดสูง ระดับ sRGB 100% พร้อมขอบจอที่บางพิเศษ ให้พื้นที่ในการรับชมกว้างขึ้น รองรับการทัชสกรีน และสนับสนุน MSI Pen สำหรับการเขียน จดบันทึกบนหน้าจอ

โน๊ตบุ๊ค MSI

ขุมพลัง Intel Core Gen13 ใหม่ล่าสุด และกราฟิก Intel Iris Xe ที่รองรับทั้งการทำงานและความบันเทิงครบครัน และทำงานร่วมกับแรม LPDDR5 รุ่นใหม่แล้ว และการสนับสนุน SSD M.2 PCIe Gen4

คีย์บอร์ดกดได้ไว ปุ่มใหญ่ ตอบสนองเร็ว พร้อมแสงไฟ Backlit สีขาวสว่างสดใส เพื่อการใช้งานในที่แสงน้อย เช่นเดียวกับทัชแพดขนาดใหญ่ ง่ายต่อการใช้งาน รองรับ Multi-Gesture ใช้หลายนิ้วพร้อมกัน ในการเลือกฟังก์ชั่นต่างๆ ได้ พอร์ตสำคัญมีให้ใช้งานครบครัน โดยเฉพาะพอร์ตความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt 4, USB Type-A หรือจะเป็น HDMI และ microSD card reader ก็ตาม

โน๊ตบุ๊ค MSI

ทนทานด้วยการผ่านการรับรอง MIL-STD-810G ที่แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็ช่วยให้ใช้งานได้อย่างอุ่นใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตกกระแทก แรงสั่นสะเทือน หรือความร้อนเย็นมากๆ และความชื้นเป็นต้น โน๊ตบุ๊ค MSI Summit E13 Flip Evo มาพร้อมแบตเตอรี่ 70Whrs ใช้ได้นาน 14 ชั่วโมง ส่วน Summit E14 Flip Evo จะเป็นรุ่น 72Whrs รองรับการใช้งานได้ถึง 13 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ อีกทั้งสนับสนุน PD-Charging อีกด้วย ชาร์จได้ถึง 60% ภายใน 53 นาที

นอกจากนี้ยังมี Tobii Aware เพื่อป้องกันผู้อื่นมาแอบมองข้อมูล หรือใช้งานขณะที่คุณไม่อยู่ที่หน้าจอ เพิ่มความเป็นส่วนตัวได้มากขึ้น เช่นเดียวกับกล้องเว็บแคม ที่มีปุ่มสำหรับเปิด-ปิดหน้ากล้อง ในกรณีที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หลังจากเลิกประชุม ที่สำคัญคือ ให้การป้องกันอย่างเต็มระบบ ไม่ว่าจะใช้การสแกนใบหน้าผ่าน FHD IR Camera หรือการสแกนลายนิ้วมือเข้าใช้งาน

ส่วน MSI Summit E16 Flip นั้น เป็นโน๊ตบุ๊คในซีรีส์เดียวกัน แต่ออกแบบมาเพื่อ นักธุรกิจ และเจ้าของกิจการ รวมถึงนักสร้างงานอิสระ ที่ต้องการพื้นที่หน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น ในการทำงาน โดยสามารถตอบโจทย์ให้กับผู้ใช้กลุ่มนี้ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 16″ รองรับการทัชสกรีน และ MSI Pen พับได้ 360 องศา พร้อมขุมพลัง Intel Core Gen13 และกราฟิก GeForce RTX 40 series รวมถึงแรม LPDDR5

ให้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 82Whrs เพื่อการทำงานในแต่ละวันได้ยาวนานระดับ 11 ชั่วโมงต่อการชาร์จ อีกทั้งรองรับ PD-Charging 20V อีกด้วย เพื่อให้ใช้งานได้ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการระบบระบายความร้อนในแบบ Dynamic Cooler Boost ที่ช่วยลดความร้อนได้อย่างรวดเร็ว และมีเสียงรบกวนที่น้อย ไม่ทำให้การชมภาพยนตร์ หรือการนำเสนอผลงานของคุณถูกรบกวน


Conclusion

นอกจากโน๊ตบุ๊ค MSI ในกลุ่มบางเบา พกพาสะดวก และตอบโจทย์ในชีวิตประจำวันเหล่านี้แล้ว MSI ยังยกทัพเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คมาอวดโฉมภายในงานกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น MSI Titan, Raider, Pulse, Katana รวมถึงซีรีส์ใหม่อย่าง MSI Cyborg ที่จัดเต็มทั้งด้านประสิทธิภาพและการแสดงผลอันยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถเข้าไปดูบทความโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่เหล่านี้ได้ที่นี่ และเชื่อเหลือเกินว่าจะยังมีโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ทะยอยเปิดตัวกันอย่างสนุกจากทาง MSI ให้คุณได้สัมผัสกันอย่างเต็มอิ่มในช่วงปี 2023 นี้ ทาง Notebookspec จะนำข่าวสาร และการรีวิวมาให้ได้ชมกันอย่างต่อเนื่องต่อไปครับ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทาง MSI ที่เปิดโอกาสให้เราได้ไปเยี่ยมชมและสัมผัสกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างใกล้ชิดในงาน CES 2023 มา ณ ที่นี้ด้วย รวมถึงขอบคุณผู้ชมทุกท่าน และขอต้อนรับเข้าสู่ปีใหม่ 2023 นี้ด้วยครับ

from:https://notebookspec.com/web/681406-msi-intel-gen-13-rtx-ces-2023

ASUS ExpertBook B5 Flip บางเบา พับได้ 360 องศา หน้าจอทัชสกรีน Thunderbolt 4 แบตอึด

ASUS ExpertBook B5 Flip จอทัชสกรีน พับได้ 360 ซีพียู Intel i7+DDR5 แบตใช้นาน มี Thunderbolt 4

ASUS ExpertBook B5 Flip cov4

ASUS ExpertBook B5 Flip B540RFB โน๊ตบุ๊คสำหรับงานธุรกิจ ที่ให้ความบางเบา สะดวกต่อการใช้งาน ด้วยฟังก์ชั่นที่หลากหลาย เสริมความปลอดภัยมาเต็มพิกัด และเตรียมประสิทธิภาพ สำหรับงานธุรกิจ ในชีวิตประจำวันเอาไว้มากมาย ตั้งแต่งานในสำนักงาน องค์กร ไปจนถึงการเทรดหุ้น และเรียนออนไลน์ วัสดุที่ทนทาน น้ำหนักเบา พับได้ 360 องศา เพื่อการใช้ในโอากสที่ต่างกัน แบตอึด ประหยัดพลังงาน ขุมพลัง Intel Core Gen 12 และแรม DDR5 พร้อมปากกาสไตลัส ASUS Pen ช่วยการบันทึกได้รวดเร็ว นำเสนอจินตนาการของคุณผ่านการวาดภาพบนหน้าจอ เพิ่มความปลอดภัยด้วยสแกนใบหน้าด้วย IR Camera เพื่อเข้าสู่ระบบ และสแกนลายนิ้วมือ เพื่อยืนยันตัวตน รวมถึงระบบ TPM 2.0 พร้อมกับมี Webcam Shield มาให้ด้วย ได้พอร์ต Thunderbolt 4 พร้อมการรับประกัน 3 ปี และมี Perfect Warranty อีก 1 ปีแรกอีกด้วย

ASUS ExpertBook B5 Flip


จุดเด่น

Advertisementavw
  • ระบบความปลอดภัยครบครัน
  • น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
  • จอพับได้ 360 องศา เป็นโหมดแท็ปเล็ต
  • กล้อง IR camera สแกนใบหน้าได้
  • ได้ซีพียู Intel Core i7 gen 12 และ DDR5
  • อัพเกรดแรมเพิ่มได้
  • มีระบบ Ai Noise cancelling
  • มีพอร์ต Thunderbolt 4 ให้ 2 พอร์ต
  • ให้พอร์ต RJ-45 มาในตัว ไม่ต้องใช้ตัวแปลง
  • แบตอึดใช้ได้นานระดับ 10 ชั่วโมง
  • มีระบบสแกนลายนิ้วมือ

ข้อสังเกต

  • ปุ่มเพาเวอร์สัมผัสยาก เมื่ออยู่ในที่แสงน้อย
  • ปากกาเหมาะกับการใช้งานพื้นฐาน จดบันทึกทั่วไป

Specification

Description
CPU Intel Core i7-1260P 12 core/ 16 thread, Boost 4.70GHz
GPU Intel Iris Xe Graphic
RAM DDR5 4800 16GB (8GB on-board, 8GB slot)
Storage SSD M.2 NVMe PCIe 4.0 512GB, Upto 2TB
Display 14.0″ Full-HD IPS, Anti-Glare, Touch screen, 400-nits, 100% sRGB
Port I/O 2x Thunderbolt 4 Type-C (โอนถ่ายข้อมูล 40Gbps, ต่อจอ 4K และ PD charge 3.0)
1x USB 3.2 Gen 2 Type-A
1x USB 2.0 Type-A
1x HDMI 2.0
1x microSD card reader
1x 3.5mm Audio Combo jack
1x RJ-45
1x Kensington lock
Video Camera IR camera 720p HD Video, Webcam shield
Wireless Dual-band 2×2 WiFi 6E+ Bluetooth 5.2
Audio 2x Speaker
Weight 1.38Kg.
Dimension 32.34 x 22.31 x 1.79cm
Battery 63 Whr, 3-cell, Li-polymer
Security Fingerprint sensor
TPM 2.0
IR camera
Webcam shield
Kensington lock
Keyboard Full-size keyboard 1.5mm travel key, Backlit
Warranty 3 Year, Perfect Warranty 1 Year

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS ExpertBook B5 Flip


Unbox

ASUS ExpertBook

เริ่มจากการแกะกล่องกันเลยครับ ภายในกล่อง ประกอบด้วยตัวโน๊ตบุ๊ค ASUS ExpertBook B5 Flip ที่มาพร้อมกับ ASUS Pen ซึ่งอยู่ภายในตัวเครื่อง และอแดปเตอร์ 65W พร้อมสายต่อเป็นแบบ USB-C และเหมือนกับในหลายๆ รุ่น ASUS ให้เมาส์ไร้สายมาด้วย เพื่อความสะดวกของผู้ใช้

ASUS ExpertBook

อแดปเตอร์ไม่ใหญ่เทอะทะครับ เพราะขนาดประมาณฝ่ามือเท่านั้น เป็นแบบ 65W สายต่อค่อนข้างยาวทีเดียว พร้อมกับที่พันเก็บสายมาให้ในตัว พกพาสะดวกทีเดียว

ASUS ExpertBook

อแดปเตอร์เมื่อเทียบกับมิติของโน๊ตบุ๊ค ขนาดเล็กกระทัดรัดแบบนี้ ช่วยให้หลายคนมั่นใจที่จะพกไปใช้งานข้างนอกได้สบาย น้ำหนักเฉพาะอแดปเตอร์นี้ประมาณ 300 กรัมเท่านั้น

ASUS ExpertBook

เมาส์ไร้สายที่มาพร้อมกับโน๊ตบุ๊ค เป็นเมาส์ออพติคอล ใช้ได้เกือบทุกพื้นผิว ขนาดกำลังพอดี ใช้ได้ทั้งคนที่ถนัดมือซ้ายและขวา โดยมี USB Receiver ขนาดเล็กมาด้วย และใช้ร่วมกับถ่าน AA จำนวน 1 ก้อน ติดอยู่อย่างเดียวคือ ไม่มีปุ่มเปิด-ปิดเมาส์มาให้ อาจจะทำให้เปลืองแบตอยู่บ้าง

ASUS ExpertBook

ตัวโน๊ตบุ๊ค ASUS ExpertBook B5 Flip ที่มาในกล่อง มาในโทนสีที่ดูเขร่งขรึม และบอดี้ที่บาง กระทัดรัดดีทีเดียว แพ๊คมาในกล่องที่กันกระแทกป้องกันไว้อย่างดี


Hardware / Design

ASUS ExpertBook

โน๊ตบุ๊คมาในโทนสีที่เรียกว่า Star Black ซึ่งถ้าดูจากคอนเซปต์ของทาง ASUS จะเปรียบประมาณท้องฟ้าในยามค่ำคืน และมีดาวสว่างกระจายทั่วท้องฟ้า จะดูเป็นโทนสีออกน้ำเงินเข้ม ไปจนถึงดำ และมีประกายเม็ดสีเล็กๆ ทั่วทั้งบอดี้ เลยเป็นที่มาของสีบนโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ เรื่องของผิวสัมผัสจับถนัดมือดีครับ

ASUS ExpertBook

โดยวัสดุที่ใช้เป็นแม็กนิเซียมและอะลูมิเนียม น้ำหนักเบา และมีความทนทานพอสมควร ตรงฝาด้านบนนี้ มีโลโก้ ASUS สีเงินเงาอยู่ตรงกลาง และมุมด้านบนซ้าย จะเป็นโลโก้ ExpertBook ที่มีแสงไฟสถานะปรากฏขึ้น เมื่อใช้งานกล้องหรือกำลัง Video Conference อยู่

ฝาด้านนอกของโน๊ตบุ๊คจะมีแสงไฟ LED ขนาดเล็กที่จะสว่างขึ้นเป็นแสงสีส้ม ASUS ออกแบบมาเพื่อให้คนอื่นที่เห็นคุณใช้งานแล้วแสงนี้ปรากฏขึ้น จะหมายถึงว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงที่ประชุมหรือใช้งานสนทนาออนไลน์ ภาพทางด้านซ้ายเป็น ExpertBook B3 และด้านขวาเป็น B5 Flip ต่างกันตรงแสงไฟอยู่เล็กน้อย

ASUS ExpertBook

ขอบจอของโน๊ตบุ๊คทำออกมาได้ค่อนข้างบาง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ ExpertBook ในเกือบทุกรุ่น โดยด้านบนจะหนาขึ้นเล็กน้อย เพราะเป็นจุดที่ติดตั้งกล้องเว็บแคม พร้อมไมโครโฟนมาในตัว

สังเกตได้ว่าจากขอบบานของจอมาในแบบ NanoEdge Design ค่อนข้างบางทีเดียว โดยขอบซ้ายและขวานี้ บางเพียง 4mm โดยประมาณ ซึ่งทำให้มีพื้นที่ในการใช้งานมากยิ่งขึ้น และเทียบสัดส่วนพื้นที่การแสดงผล มาถึง 80% เมื่อเทียบกับบอดี้ของโน๊ตบุ๊ค จัดอยู่ในเกณฑ์สัดส่วนที่กว้างมากทีเดียว หากเทียบกับโน๊ตบุ๊คในระดับ 14″ ในท้องตลาด

ASUS ExpertBook

มองดูจากด้านข้าง จะเห็นว่า ASUS จัดพอร์ตมาให้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Thunderbolt 4 x2 ช่อง สำหรับชาร์จไฟด้วย, RJ-45, HDMI, USB 3.2 Type-A และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง กรณีที่ใช้โหมดแท็ปเล็ต ดูสวนทางกับบอดี้ที่บางแบบนี้

ส่วนโครงสร้างภายใน ทำจุดยึดมาให้แน่นหนา กับชิ้นโลหะขนาดใหญ่ ที่ทำเป็นบานพับ และมีน็อตสกรูที่เพิ่มเข้ามา ในการยึดจับ เสริมความแข็งแรง เมื่อต้องพับจอในรูปแบบต่างๆ บอดี้ใช้เป็นอลูมิเนียมอัลลอย และเสริมโครงสร้างที่เป็น Internal keyboard bracket และเพิ่มชั้นที่กันน้ำ เพื่อป้องกันของเหลวที่จะไหลลงมาได้ในระดับหนึ่ง

ASUS ExpertBook

บริเวณด้านหน้า มีเป็นช่องเว้าลึกเข้าไปเล็กน้อย ใกล้กับทัชแพด เพื่อให้มีพื้นที่ให้จับฝาเปิดได้ง่ายขึ้น แต่ด้วยบานพับที่แน่น ทำให้คุณอาจจะต้องจับ 2 มือในการเปิดฝาพับครับ ตรงนี้ผมถือว่าเป็นข้อดี เพราะเวลาเปิดฝาโน๊ตบุ๊คขึ้นมา ตัวจอจะไม่โยกคลอนหรือสั่นได้ง่ายๆ นั่นเอง

ASUS ExpertBook B5 Flip 32

ASUS เสริมการใช้งานบนทัชแพด ให้ใช้งานแทน Numpad ที่เป็นแบบปุ่ม ด้วยการเปิดใช้งานบนทัชแพดให้แล้ว นอกเหนือจากการใช้ Multi-Gesture ด้วยการใช้คลิ๊กซ้าย-ขวา และปัด เลื่อนด้วยการใช้สองนิ้วหรือสามนิ้วในการคอนโทรล โดย ASUS NumberPad 2.0 จะเป็นแถบตัวเลข ที่สว่างขึ้นเมื่อเปิดใช้งาน ด้วยการแตะที่รูปคีย์บอร์ด มุมขวาบนของทัชแพด จากนั้นแตะที่ตัวเลขบนทัชแพดได้ทันที แต่บน ASUS ExpertBook B5 Flip นี้ จะต่างจากรุ่นอื่นๆ ที่มีฟีเจอร์เดียวกันอยู่พอสมควร และใช้งานได้ง่ายกว่า เนื่องจากตัวเลขและพื้นที่กว้างมากขึ้น

ASUS ExpertBook

กล้องเว็บแคมเป็นแบบ IR Camera ซึ่งรองรับ Windows Hello สำหรับการล็อคอินเข้าสู่ระบบด้วยใบหน้าของผู้ใช้ ซึ่งตัวกล้องให้ความละเอียดระดับ HD 720p ซึ่งคุณภาพก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพียงแต่ถ้าคุณต้องการความละเอียดในการใช้งานมากกว่านี้ ก็อาจจะต้องหากล้องเว็บแคมสำหรับสตรีมเมอร์สักรุ่นหนึ่งมาใช้ แต่แน่นอนว่าคุณจะต้องเสีย USB Type-A ไปหนึ่งพอร์ตในการใช้งาน

Camera2

ตัวอย่างของคุณภาพกล้อง เมื่อคุณใช้งาน จัดว่าให้มิติและความคมชัดได้ในระดับมาตรฐาน มีการจัดการเรื่องแสงได้ดีพอสมควร สีสันสดใส เหมาะกับการใช้ในงานประชุม เรียนออนไลน์ และการสนทนากับสมาชิกในบ้าน แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีกล้องเสริมอย่างบน ExpertBook B3 ที่ช่วยเสริมการใช้งานบนโหมดแท็ปเล็ตได้สะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ คุณยังใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ Motion tracker ของกล้องได้ สำหรับคนที่อาจจะใช้ในเรื่องของการประชุมหรือการเรียนการสอน เพราะตัวกล้องจะโฟกัสที่หน้าคุณเป็นหลัก เวลาที่คุณเคลื่อนไหวออก หรือเอียงไปจากมุมปกติของกล้อง หน้าคุณหรือของที่คุณโฟกัสเอาไว้ก็จะยังคงชัดเจน


Keyboard / Touchpad

ASUS ExpertBook

คีย์บอร์ดเป็นปุ่มสวิทช์สีดำ ตัดกับตัวอักษรภาษาไทย-อังกฤษได้คมชัดดี คนที่ใช้งานแบบต้องมองแป้นพิมพ์น่าจะชอบ เพราะมองเห็นชัด และยังเพิ่มความสะดวกมากขึ้น ด้วยแสงไฟ Backlit สว่างขึ้นทะลุตัวอักษร ทั้งไทย อังกฤษ และตัวเลขครบ เพื่อการใช้งานในที่มืดอีกด้วย ระยะการกดและตอบสนองประมาณ 1.4mm เท่านั้น ถือว่าค่อนข้างสั้น เหมาะสำหรับคนที่พิมพ์สัมผัส จะใช้งานได้ไวขึ้น

แต่ใครที่จะใช้ปุ่ม Page Up-Down ก็เหมือนเดิมครับ มาครึ่งปุ่ม ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ ให้ Priority ที่ปุ่มสำคัญอื่นที่ใช้บ่อยๆ มากกว่า

ASUS ExpertBook

โลโก้ ASUS ExpertBook B5 ที่ด้านล่างของขอบจอ จะต่างจากรุ่นอื่นๆ อย่าง B1 หรือ B3 เพราะดูเงางามมากกว่าการเป็นแบบเรียบๆ

ให้มาเต็มทุกปุ่ม ไม่มีกั๊กเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น เปิด-ปิดลำโพง, เพิ่ม-ลดเสียง, เพิ่ม-ลดแสงหน้าจอ, ปิดทัชแพด, ปรับแสงคีย์บอร์ด ทำได้ 2 ระดับ, ต่อสัญญาณภาพไปภายนอก, ล็อคหน้าจอ, เปิด-ปิดกล้อง, จับภาพหน้าจอ, เรียกใช้งานซอฟต์แวร์ MyASUS, เปิด-ปิดไมค์, เปิดใช้งานระบบ Noise Cancelling และ PrintScreen ที่เป็นคีย์ลัด

ASUS ExpertBook

นอกจากนี้คุณจะเห็นปุ่มตัวเลขด้านบน 1-4 ที่จะไม่เหมือนปุ่มอื่นๆ เพราะมีแสงไฟลอดจากด้านข้างปุ่มให้เห็นอีกด้วย โดยปุ่มทั้ง 4 นี้จะทำหน้าที่นอกเหนือจากการเป็นตัวตัวเลขทั่วไป เช่น

  • Fn+1 = Motion tracker กล้องจะตามโฟกัสคุณตลอดเวลาที่เคลื่อนไหว
  • Fn+2 = เหมือนโหมด Power Option
  • Fn+3 = Status light on-off เปิด-ปิด ไฟสถานะตรง Cover
  • Fn+4 = เปิด-ปิด WiFi
ASUS ExpertBook

แสงไฟ Backlit บนคีย์บอร์ด สามารถปรับความสว่างได้ถึง 2 ระดับ ด้วยการกดปุ่ม F7 ที่ฮอตคีย์ด้านบนสุด และเปิด-ปิดได้ตามความต้องการ เรื่องความสว่าง อยู่ในห้องมืด คุณก็ยังมองเห็นคีย์ได้อย่างชัดเจน นี่คือ ข้อดีอีกอย่างสำหรับโน๊ตบุ๊ค ASUS รุ่นนี้

ASUS ExpertBook
ASUS ExpertBook

ทัชแพดเน้นไปที่ความยาว ที่มีข้อดีตรงเหมาะกับการใช้งานในแบบ Multi-Gesture ร่วมกับ Windows ได้สะดวกทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นนิ้วเดียว เลื่อน แตะ เลือกหรือสองนิ้ว ซูม-ย่อ และสามนิ้วในการใช้งาน Task View หรือเลื่อนหน้าเดสก์ทอปอื่นๆ เป็นต้น

ASUS ExpertBook B5 Flip 34 1

นอกจากนี้แล้ว ASUS ยังดีไซน์ NumberPad มาให้กับผู้ใช้ โดยซ่อนเอาไว้บนทัชแพดนั่นเอง แค่คุณแตะเบาๆ ที่มุมขวาของทัชแพด ก็จะมีชุดตัวเลข ให้แตะใช้งานได้สะดวกเหมือนการมี NumberPad อยู่เลย ไม่ใช้ก็กดปิดได้ครับ

สติ๊กเกอร์ตรงพื้นที่วางมือ มีอยู่มากมายทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู Intel Core i7, Intel Iris Xe Graphic, มาตรฐาน Energy Star และฟีเจอร์ Eye Care กับโหมดถนอมสายตาที่มีมาให้บนโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้

ASUS ExpertBook

โดยรวมถือว่า ASUS ให้ฟังก์ชั่นของคีย์บอร์ดมาแบบเกินตัวสำหรับโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ยิ่งคุณจำได้เยอะ ก็จะยิ่งเพิ่มความสะดวกมากขึ้น งานเร็วขึ้นครับ


Screen / Speaker

ASUS ExpertBook

ASUS ExpertBook B5 Flip มาพร้อมหน้าแสดงผล 14″ ให้ความละเอียด 1080p หรือ Full-HD พาแนลแบบ IPS ให้ความคมชัด โดยเป็นหน้าจอแบบ

ภาพจากมุมมองทั้ง 2 ด้านของจอภาพ จะเห็นได้ว่า มีความคมชัดสูง ทำให้มุมการมองกว้างมากขึ้น ส่วนจอภาพอาจจะดูเงาๆ อยู่บ้าง ด้วยความที่เป็นจอทัชสกรีน จึงมีการสะท้อนเล็กน้อย แต่ก็ยังจัดอยู่ในโหมดของ Anti-Glare ซึ่งช่วยลดแสงสะท้อนจากภายนอกได้ดีในระดับหนึ่ง

ASUS ExpertBook B5 Flip 37

นอกจากจะเป็นหน้าจอที่รองรับการทัชสกรีนแล้ว ก็ยังมาพร้อม ASUS Pen ในการบันทึกข้อมูลหรือเขียนบนหน้าจอได้เลย ด้วยการดึงออกมาจากช่องด้านข่างขวาของโน๊ตบุ๊ค และเสียบกลับเข้าไป เพื่อทำการชาร์จไฟ ซึ่งใช้เวลาชาร์จค่อนข้างสั้น แต่ใช้งานได้ยาวนานเลยทีเดียว

ASUS ExpertBook B5 Flip 6

ASUS Pen เป็นสไตลัสขนาดค่อนข้างเล็ก ผมว่าน่าจะเหมาะกับการจดบันทึกที่รวดเร็ว และการลากเส้นในเบื้องต้น ซึ่งมีจุดชาร์จที่จะชาร์จไฟ เมื่อเสียบเข้ากับช่องบนโน๊ตบุ๊ค ปุ่มกดบน-ล่าง ในการคอนโทรล ด้านท้ายจะเป็นจุดชาร์จ ที่ต่อเข้ากับในโน๊ตบุ๊ค และฝาปิดที่ดึงออกจากที่เก็บได้ง่ายขึ้น แต่การใช้งาน ด้วยความที่มีขนาดเล็ก มือผู้ใหญ่อาจจะต้องปรับตัวอยู่พอสมควร กว่าจะจับถือและเคลื่อนไหวลากเส้นได้อย่างคล่องตัว

ASUS ExpertBook

มิติของจอภาพที่ค่อนข้างบาง ก็ทำให้มิติโดยรวมของโน๊ตบุ๊คบางลงไปด้วย ซึ่งก็ถือเป็นผลดีต่อโน๊ตบุ๊ค Convertible แบบนี้ เมื่อพับเป็นโหมดแท็ปเล็ต

ASUS ExpertBook

รองรับการทำงานในโหมดต่างๆ หน้าจอสามารถพับได้หลากหลายโหมด ตั้งแต่เป็นโหมดโน๊ตบุ๊คปกติ, Tent mode, Stand และ Tablet ที่สะดวกต่อการใช้งาน และขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไป ทำให้ง่ายการจับถือและนำไปพรีเซนท์งานกับลูกค้านอกสถานที่ รวมถึงการจดบันทึก โหมดต่างๆ เหล่านี้ ออกแบบมาเพื่อการใช้งาน และความบันเทิงส่วนตัวได้ง่าย เช่น สำหรับชมภาพยนตร์ หรือจะใช้เพื่อการเล่นเกมเบาๆ ในช่วงเวลาพัก เพราะเป็นจอทัชสกรีนได้ ใช้นิ้วแตะเลื่อนได้ รวมถึงในทุกๆ โหมด ก็สามารถนำปากกา ASUS Pen มาใช้งานร่วมกันได้อีกด้วย

ASUS ExpertBook

ชุดลำโพง จุดติดตั้งลำโพงทั้ง 2 ด้านอยู่บริเวณด้านใต้ เอียงไปทางซ้าย-ขวา ของโน๊ตบุ๊ค ให้ทิศทางเสียงยิงลงพื้น และสะท้อนขึ้นมา ซึ่งการใช้ในห้องทั่วไป มีเสียงที่เด่นชัดออกมาได้ดี เป็นแบบเดียวกับ B5 รุ่นก่อน แต่จะไม่เหมือน ASUS ExpertBook B3 ที่อยู่บริเวณด้านหน้า ที่เสียงจะค่อนข้างดังมากกว่า อย่างไรก็ดีจากที่เราทดสอบ มิติของเสียงยังคงให้ความคมชัด เสียงสนทนาชัดเจน เสียงเพลงอาจจะเด่นที่ดนตรี แต่ไม่ได้เน้นที่ความเปรี้ยงปร้างของเบส หรือเสียงกลางหนักหน่วง เพราะยังเป็นอารมณ์ของโน๊ตบุ๊คทำงาน พอให้ได้การสตรีมมิ่งและการเล่นเกมได้สนุก ซึ่งถ้าคุณอยากจะจริงจัง และเน้นความบันเทิง ได้ความเป็นส่วนตัว แนะนำหูฟังเกมมิ่งหรือฟังเพลงดีๆ สักรุ่น ของทาง ASUS ก็มีน่าสนใจหลายโมเดลเลยทีเดียว


Connector / Thin And Weight

ASUS ExpertBook

ASUS ExpertBook B5 Flip ให้พอร์ตความเร็วสูงมาอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Thunderbolt 4 มีให้ถึง 2 พอร์ตด้วยกัน รองรับการโอนถ่ายข้อมูลระดับ 40Gbps ต่อจอแสดงผลภายนอกในระดับ 4K และเป็น USB PD charge 3.0 อีกด้วย เช่นเดียวกับ USB Type-A ก็ให้มาถึง 2 พอร์ต ในแบบ USB 3.2 Gen2 และ USB 2.0 แยกไว้ด้านซ้ายและขวา รวมถึงพอร์ต HDMI ในการต่อจอขนาดใหญ่ รวมถึง RJ-45 ที่เป็นไซส์มาตรฐาน ที่มีให้มาในตัวแบบไม่ต้องใช้ตัวแปลง มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 1.38 กิโลกรัม ชาร์จไฟผ่าน USB-C ด้วยอแดปเตอร์ AC 65Wที่เบาเพียง 300 กรัมเท่านั้น

ASUS ExpertBook

ทางด้านขวามือ ก็จัดเต็มไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น ASUS Pen ที่ซ่อนอยู่ภายใน ดึงออกมาใช้งานได้ทันที พร้อมปุ่มเพาเวอร์ ซึ่งมีระบบสแกนลายนิ้วมือมาในตัว ช่องต่อ 3.5mm ที่ใช้งานร่วมกับหูฟังและไมโครโฟน พอร์ต USB 2.0 และสล็อต microSD card reader เรียกว่ามีมาให้แบบครบๆ เช่นนี้ หาได้ยากในท้องตลาด

ASUS ExpertBook

และจุดที่ชื่นชอบเป็นที่สุดโดยส่วนตัวก็คือ แม้จะมีบอดี้กระทัดรัดก็ตาม แต่ ASUS ก็เว้นระยะห่างของพอร์ตไว้ระดับหนึ่ง ทำให้เวลาที่ติดตั้งอุปกรณ์ หรือต่อสาย จะไม่เบียดกันจนเกินไป เรียกว่าฮาร์ดแวร์ เช่น RJ-45 หรือว่าสายชาร์จ USB-C รวมถึง USB Flash Drive ในปัจจุบัน ใช้งานและต่อเข้าในพอร์ตใกล้ๆ ได้อย่างสะดวก

ASUS ExpertBook

การที่มีพอร์ต USB Type-A ทั้ง 2 ข้าง ช่วยให้ความยืดหยุ่นในการใช้งานของคนที่มีอุปกรณ์ USB มากกว่าชิ้นเดียว ทำให้การต่อพ่วงง่ายกว่าเดิม โดยเฉพาะเมาส์ หรือคีย์บอร์ดไร้สาย และการต่อเมาส์ทางขวา ก็สะดวกกว่าด้านซ้ายเยอะเลย

ASUS ExpertBook

น้ำหนักเฉพาะตัวโน๊ตบุ๊ค ASUS ExpertBook B5 Flip อยู่ที่ราว 1.39Kg. ซึ่งใกล้เคียงกับที่เคลมไว้ที่หน้าสเปคบนเว็บไซต์ ASUS

ASUS ExpertBook

และน้ำหนักเมื่อรวมกับอแดปเตอร์แล้ว อยู่ที่ราว 1.7Kg เท่านั้น ถือว่าค่อนข้างเบาทีเดียว สำหรับโน๊ตบุ๊คขนาด 14″ ที่เหมาะกับการพกพาไปใช้นอกสถานที่ได้สบายๆ


Performance / Software

ASUS ExpertBook

CPUz รายงานซีพียูที่ใช้เป็น Intel Core i7 1260p เป็นซีพียูระดับ 12 core/ 16 thread ซึ่งให้ความเร็วบูสท์สูงสุดที่ 4.70GHz

ASUS ExpertBook

โดยมีแรมมาให้ 16GB เป็นแบบ DDR5 แล้ว ทำให้การใช้งานด้านต่างๆ ได้รวดเร็วทันใจ รวมถึงยังมีสล็อตสำหรับการอัพเกรดเพิ่มได้อีกด้วย

ASUS ExpertBook

และในการทดสอบเบื้องต้นบน CPUz-Bench CPU ผลที่ได้เรียกว่า Single-thread แซงหน้า i7-10700 ที่เป็นซีพียูพีซีไปได้เล็กน้อย ส่วน Multi-thread ยังเป็นรองอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ถือว่าความแรงอยู่ในเกณฑ์ที่น่าประทับใจ

ASUS ExpertBook

สำหรับกราฟิกชิป เป็นแบบ Integrate graphic ซึ่งมากับซีพียู Intel Iris Xe Graphic ซึ่งประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์การใช้งานทั่วไป สำหรับงานสำนักงาน หรือการใช้บนซอฟต์แวร์พื้นฐาน และในด้านความบันเทิง รวมถึงการเล่นเกมที่ไม่ได้เรียกว่าใช้ทรัพยากรมากมายนัก ซึ่งในครั้งนี้เราทดสอบร่วมกับเกมให้ได้ชมด้วยว่า สามารถเล่นได้ดีมากน้อยเพียงใด

ASUS ExpertBook

CrystalDiskMark เป็นเรื่องที่น่าประทับใจ กับความรวดเร็วของ SSD ที่มาพร้อมกับโน๊ตบุ๊ค ASUS ExpertBook B5 Flip รุ่นนี้ เพราะความเร็ว Read/ Write ทะลุไปเกือบ 6,500MB/s และ 4,000MB/s ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลดีมาจากการใช้ SSD ในแบบ PCIe 4.0 ที่ทำให้การเปิดไฟล์ โปรแกรม เข้าสู่เกม และโอนถ่ายข้อมูลรวดเร็วมากกว่าการใช้ SSD PCIe 3.0 อยู่ถึงสองเท่า

ASUS ExpertBook

PCMark10 กับผลทดสอบที่ทำได้ดีทีเดียวสำหรับในส่วน Essential ซึ่งเป็นกลุ่มหลักของโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ด้วยการผสมสานของซีพียู Intel Core i7 ที่มีคอร์/เธรดจำนวนมาก รองรับงานมัลติทาส์กได้ดี ก็ยังมีแรม DDR5 และ SSD ความเร็วสูงมาด้วย จึงทำให้งานด้านเอกสาร และเปิดโปรแกรมต่างๆ ไหลลื่นมากขึ้น ส่วนในด้าน Digital Content ก็อยู่ในระดับที่น่าประทับใจ หากเทียบกับโน๊ตบุ๊คระดับธุรกิจในท้องตลาด ซึ่งโน๊ตบุ๊ค ASUS รุ่นนี้ ยังให้พลังในงานวีดีโอและมัลติมีเดียได้ดีพอสมควร

3DMark

ASUS ExpertBook

CINEBench ก็มาพร้อมผลที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น R15, R20 หรือ R23 ซึ่งถือว่าซีพียู Intel Core Gen 12 รุ่นใหม่นี้ ยังตอบโจทย์ในงานด้าน Render 3D ได้อย่างเต็มที่ โดยหากเทียบกับโน๊ตบุ๊ค Intel Core i5 Gen 11 ที่ใช้ DDR4 นั้น ASUS รุ่นนี้ ทำคะแนนแซงไปอย่างขาดลอย แม้ว่าจะไม่ได้เป็นงานหลักที่หลายๆ คนใช้ แต่ก็เป็นเครื่องการันตีในแง่ของผู้ใช้ที่เน้นการพรีวิว หรือตรวจงานวีดีโอ และกราฟิกได้ดีพอสมควร

Game

แม้จะเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับงานธุรกิจ และไลฟ์สไตล์ แต่ความสามารถและประสิทธิภาพในการเล่นเกม ยังอยู่ในระดับที่เล่นได้ในบางเกม ด้วยกราฟิก Intel Iris Xe ที่ช่วยให้การเล่นเกมพื้นฐานอย่าง DOTA2 และ PUBG ได้ไหลลื่น แต่แนะนำว่าควรจะตั้งความละเอียดที่ Low เอาไว้ก่อน ที่เหลือค่อยๆ ปรับ เพื่อให้สอดคล้องกับการเล่น บนโหมด 1080p โดยการทดสอบ DOTA2 นั้น เราใช้โหมด High เกือบๆ จะเป็น Best Looking ผลที่ได้เฟรมเรตยังไปแตะ 60fps. ได้ไม่ยาก ส่วนถ้าปรับที่ Best Looking จะได้มากกว่า 100fps. เลยทีเดียว ส่วน PUBG อยู่ที่ Low ภาพที่ได้ก็ยังดูดี มองเห็นศัตรูได้ชัด เฟรมเรตเฉลี่ยไปแตะที่ 30fps. ได้ครับ

DisplayCAL

การทดสอบความแม่นยำของสีหน้าจอ ซึ่งให้ผลของ Gamut Volume ได้ที่ 96.3% ซึ่งก็ถือว่ามีความแม่นยำของสีที่ดีพอสมควร ใกล้เคียงกับที่ทาง ASUS เคลมไว้ที่ sRGB 100% โดยที่ Gamut volume จัดว่าอยู่ในระดับสีค่อนข้างสดใส เพราะไปได้เกือบ 85% จึงเหมาะกับการดูภาพ ทำงานเอกสาร และการพรีวิว ทำพรีเซนเทชั่น พอจะตอบโจทย์ด้านความบันเทิงได้พอสมควร ส่วนค่าความสว่างทำในการทดสอบได้เกือบ 400cd/m2 ครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้งานในสภาวะแสงน้อยหรือแสงมาก เพราะให้ความสว่างได้เกินกว่าที่เรามักจะเห็นกันบนโน๊ตบุ๊คทั่วๆ ไป


Battery / Heat / Noise

ASUS ExpertBook
Battmon ASUS

ในการทดสอบของเรา ใช้เป็นเงื่อนไขที่เราทำกับโน๊ตบุ๊คที่นำมาทดสอบทุกรุ่น นั่นคือ ชาร์จแบตจนเต็ม 100% แล้วทดสอบด้วย Video Playback หรือการสตรีมมิ่งบน Youtube กับวีดีโอระดับ 4K เปิดเสียงเอาไว้ที่ 25% และความสว่างระดับ 20% เพื่อเป็นการจำลองใช้งานจริง ที่เป็นรูปแบบของผู้ใช้ในชีวิตประจำวัน และผลทดสอบที่ได้จากโปรแกรม BattMon รายงานว่า ใช้งานได้ที่ระดับ 15 ชั่วโมง ในช่วงแรกครับ หลังจากที่รันไป 30 นาทีอยู่ที่ราวๆ 8 ชั่วโมง ซึ่งก็ถือว่าใกล้เคียงกับที่ทาง ASUS เคลมเอาไว้ว่า 10 ชั่วโมงครับ

ASUS ExpertBook

ผลทดสอบอุณหภูมิ เท่าที่เราได้ทดสอบด้วยโปรแกรม Furmark โหลดการทำงานของซีพียู 100% บนโหมด Performance อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ราว 90 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหากับการใช้งาน สังเกตได้ว่า วันที่ผมเอาไปใช้งานข้างนอก ไม่ได้อยู่ในห้องปรับอากาศ ก็ยังทำงานได้ดี และอย่างที่ได้ย้ำในทุกครั้งคือ โอกาสที่คุณจะเรียกใช้ซีพียูหนักๆ แบบนี้ ก็น้อยมากครับ รวมถึงชุดระบายความร้อนของโน๊ตบุ๊คก็ทำได้ดีทีเดียว ผมแนะนำว่า ถ้าคุณมีโหลดงานหนัก เลือกเป็น Performance mode ได้ครับ อาจจะมีเสียงเพิ่มขึ้นมาบ้าง ในบางจังหวะ แต่ก็ช่วยให้คุณได้ประสิทธิภาพ และการลดความร้อนที่รวดเร็วไปพร้อมๆ กัน


Inside / Upgrade

ASUS ExpertBook

การแกะอัพเกรดบน ASUS ExpertBook B5 Flip รุ่นนี้ ยังคงง่ายดาย ไม่ต่างจากในซีรีส์เดียวกัน เพราะไขน็อตสกรูประมาณ 11 ตัว ก็สามารถแกะฝาหลังออกมาได้แล้ว ไม่ได้ซับซ้อนมากมาย เช่นเดียวกับที่คุณเคยเจอบนโน๊ตบุ๊คเกมมิ่ง ที่บางครั้งทั้งแกะและงัด ก็ยังไม่ค่อยจะออก โดยเมื่อแกะออกมาได้แล้ว ก็จะเห็นบรรดาฮาร์ดแวร์ภายในต่างๆ เหล่านี้

ASUS ExpertBook

ชุดพัดลมและฮีตซิงก์ระบายความร้อน ให้กับซีพียู Intel Core i7-1260P ที่เป็นแบบ 12 core/ 16 thread มาในแบบที่เรียบง่าย แต่ก็ประหยัดพื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์อื่นๆ เข้ามาได้อีกมากมายเลยทีเดียว โครงสร้างยังคงใกล้เคียงกับ ExpertBook B5 ที่เป็น Intel Gen 11 อยู่พอสมควร

ASUS ExpertBook

ASUS ExpertBook B5 Flip มีแรม DDR5 ออนบอร์ดมาให้แล้ว 8GB และติดตั้งเพิ่มเติมมาบนสล็อตอีก 8GB รวมเป็น 16GB และยังสามารถเปลี่ยน เพื่ออัพเกรดได้เพิ่มมากขึ้น แต่ความจุระดับนี้กับการเป็น DDR5 งานหลายอย่างก็ลื่น รวมถึงการเปิดโปรแกรม และโอนถ่ายข้อมูลที่รวดเร็ว

โดยที่มีความพิเศษอย่าง SSD M.2 NVMe PCIe 4.0 มาให้ด้วย ซึ่งติดตั้งมาที่สล็อตแรก ซึ่งอยู่ใกล้กับพัดลม 1 สล็อตความจุ 512GB และยังมีสล็อตว่างอีก 1 สล็อต รองรับการอัพเกรดได้สล็อตละ 1TB รวมทั้ง 2 สล็อตก็เป็น 2TB หรือจะใช้งานเป็นแบบ RAID ก็ได้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วหรือความปลอดภัยได้อีกด้วย ผลที่ได้จากการทดสอบ ความเร็วในการอ่านข้อมูลของ SSD รุ่นนี้ มากถึง 6,400MB/s และเขียนข้อมูลอยู่ที่ประมาณ 4,000MB/s เลยทีเดียว

ASUS ExpertBook

ด้านล่างสุดเป็นชุดลำโพงที่ติดมาทั้ง 2 ข้างเอียงออกทางด้านข้าง ให้เสียงที่ค่อนข้างดีทีเดียว

ASUS ExpertBook

ส่วนที่เป็นจุดสำคัญของโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ อยู่ที่บานพับ ซึ่งออกแบบมาอย่างแข็งแรง ด้วยแผ่นโลหะขนาดใหญ่ และจุดยึดน็อตขนาดใหญ่ ด้านละ 3 จุด ทำให้รองรับการพับหน้าจอ เพื่อใช้งานในโหมดต่างๆ ได้อย่างแข็งแรง


Conclusion / Award

ถ้ามองกันในแง่ของความคล่องตัว เชื่อได้เลยว่า ASUS ExpertBook B5 รุ่นนี้ น่าจะตอบโจทย์ในแง่ของงานธุรกิจได้อย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ใช่แค่การทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้ในชีวิตประจำวันของใครหลายคนได้เป็นอย่างดี ด้วยการจับคู่กันของ ซีพียู Intel Core i7 Gen 12 ที่เป็นรหัส P ซึ่งให้ Performance ได้อย่างคุ้มค่า มาคู่กับแรม DDR5 ที่แบนด์วิทธิ์มากกว่า DDR4 อยู่ไม่น้อยเลย ก็ยิ่งทำให้การใช้งาน ทั้งงานเอกสาร ไปจนถึงงานวีดีโอ ก็ลื่นไหลได้ โดยเฉพาะในงานพรีวิว ที่เน้นการแสดงผล พรีเซนเทชั่น แม้จอจะแค่ 14″ แต่ก็ยังต่อกับจอขนาดใหญ่ได้ถึง 3 จอด้วยกัน ผ่านช่องทางของ HDMI และ Thunderbolt 4 ที่มีให้ถึง 2 พอร์ต จึงเหมาะกับคนที่ใช้งานธุรกิจจริงจัง หรือต้องทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เช่น ดูหุ้น เทรดคริปโต ดูวีดีโอสตรีมมิ่ง และหาข้อมูล ทำเอกสารไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ยังได้ในเรื่องของพอร์ตที่ให้มาครบสุดๆ เรียกว่าจัดเต็มชนิดที่หาเทียบได้ยากในโน๊ตบุ๊คระดับเดียวกัน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้บอดี้ ที่อาจจะดูเรียบง่าย แต่ก็ดูสะดุดตา เข้าได้ในทุกสถานการณ์ ที่สำคัญยังจัดแบตที่ใช้งานได้นานมาให้อีกด้วย การพกพาไปใช้งานข้างนอก จึงเป็นเรื่องที่ง่าย และสบายกว่าที่คุณเคยสัมผัส และที่น่าสนใจ นั่นก็คือ หน้าจอยังพับได้ 360 องศา และยังมาในแบบทัชสกรีน ดูลงตัวกับงานในหลายๆ ด้าน เพราะมีหลายโหมดให้เลือกใช้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ผมเชื่อว่า ASUS รุ่นนี้เป็นโน๊ตบุ๊คที่มาสุดทาง สำหรับสายงานธุรกิจอย่างแท้จริง

การรับประกัน ASUS Exclusive Care

  • 3 Year Onsite Service: บริการตรวจซ่อมฟรีถึงที่ 3 ปี
  • 3 Year Global Warranty: ครอบคลุมการรับประกัน 3 ปี (57 ประเทศ)
  • 1 Year Perfect Warranty: เพิ่มการรับประกันอุบัติเหตุให้ใน 1 ปีแรก
NBS award 7 Design

เรื่องของรางวัล Best Design เราไม่ได้มองแค่ในเรื่องของการออกแบบหรือสวยงามอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงฟังก์ชั่น ที่จะเป็นภาพลักษณ์ให้กับผู้ใช้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นบอดี้ที่มีความกระทัดรัด แม้จะอยู่ในไซส์ 14″ ขอบจอที่บางเฉียบ ให้พื้นที่การแสดงผลที่กว้าง และการกางออกได้ 360 องศา ทำให้พับ ปรับใช้ในโหมดต่างๆ ได้ และยังเป็นจอทัชสกรีนอีกด้วย เช่นเดียวกับคีย์บอร์ดที่มีแสงไฟ ลูกเล่นของ NumberPad บนทัชแพด ก็ดูล้ำสมัยมากขึ้น ยังไม่รวมฟีเจอร์ที่มีความสมาร์ทอีกหลายอย่าง ซึ่งรวมเข้ากันเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้

NBS award 4 Mobility

คล่องตัว กระทัดรัด พกพาสะดวก แบตอึด ใช้งานได้นาน น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความเป็น Mobility บนโน๊ตบุ๊ค ASUS ExpertBook B5 รุ่นนี้ ซึ่งตอบโจทย์ในงานและชีวิตประจำวันได้ดีทีเดียว น้ำหนักอาจจะไม่ได้เบาที่สุด แต่เชื่อว่ารวมอแดปเตอร์แล้ว ประมาณ 1.7Kg ก็ดีพอให้พกพา และใช้งานในที่ต่างๆ ได้ไม่ยาก ผู้ใช้สามารถเลือกกระเป๋าในสไตล์ที่ชอบ หรือซอฟท์เคสแบบที่ใช้ มาใช้กับโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ได้ตามใจชอบเลยครับ

from:https://notebookspec.com/web/672520-asus-expertbook-b5-flip-2022

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค Intel, nVIDIA, AMD 2022 เล่นเกม ทำงาน ทำกราฟิก รุ่นไหนปัง!

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค 2022 เล่นเกม ทำงาน มีรุ่นไหนบ้าง Intel, nVIDIA หรือ AMD เลือกแบบไหน เช็คอย่างไร

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

การ์ดจอโน๊ตบุ๊คปัจจุบัน มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น รองรับการใช้งานได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การทำงาน ไปจนถึงเล่นเกม และมีให้เลือกเกือบทุกค่าย ไม่ว่าจะเป็น Intel, nVIDIA หรือ AMD ก็ตาม แต่ละค่ายก็มีเอกลักษณ์ที่ต่างกันออกแบบ ขึ้นอยู่กับโน๊ตบุ๊คที่เลือกใช้ด้วย เพราะบางรุ่นก็มาในแบบติดตั้งในซีพียู ที่เรียกว่า Integrate graphic หรือ iGPU และอีกแบบก็เป็นกราฟิกแยกหรือ Discrete Graphic ซึ่งจะมีในเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คแบบจริงจัง เพียงแต่เพิ่มรุ่นที่เป็นกราฟิกสำหรับโน๊ตบุ๊คบางเบา หรือโน๊ตบุ๊คที่ให้ประสิทธิภาพที่ดี แต่ประหยัดพลังงาน ไม่เพียงแค่นั้น การเลือกใช้งานการ์ดจอโน๊ตบุ๊ค ยังมีเรื่องของ สเปค รุ่น และฟีเจอร์ ที่จะช่วยให้งานของคุณไหลลื่นมากขึ้น เช่น MUX Switch, e-GPU, Ray tracing หรือ AMD FSR และ nVIDIA DLSS รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกมากมาย ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักไปพร้อมๆ กันครับ

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ Intel, nVIDIA, AMD


การ์ดจอโน๊ตบุ๊คมีกี่แบบ

สำหรับโน๊ตบุ๊ค ก็ไม่ได้ต่างไปจากพีซีตั้งโต๊ะหรือเดสก์ทอปพีซีมากมายนัก เพราะการ์ดจอจะมีทั้งบนซีพียู ที่เรียกว่า Integrate Graphic หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า การ์ดจอออนบอร์ด ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งบนตัวซีพียู และอีกแบบจะเรียกว่าการ์ดจอแยก หรือ Discrete Graphic และทั้ง 2 แบบนี้ ก็มีความแตกต่าง ทั้งในแง่ของการติดตั้งและการใช้งาน โดยการ์ดจอบนซีพียู จะเป็นการเริ่มต้นใช้งานของโน๊ตบุ๊คพื้นฐานทั่วไป ซึ่งมีอยู่บนโน๊ตบุ๊คทุกรุ่น เพราะติดกับซีพียูโมบายมาทุกรุ่น แต่การ์ดจอแยก จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้านนั้นๆ เช่น การเล่นเกมบนเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค หรือการทำงานบนโน๊ตบุ๊ค Workstation นั่นเอง

Advertisementavw
การ์ดจอบนซีพียู การ์ดจอแยก
ประสิทธิภาพ การทำงานทั่วไป เล่นเกมหรือทำงานเป็นหลัก
การใช้พลังงาน ใช้พลังงานน้อย ใช้พลังงานสูง
แชร์ทรัพยากร แชร์แรมระบบ มี VRAM แยก
การระบายความร้อน ใช้ชุดระบายความร้อนปกติ เพิ่มชุดระบายความร้อน
ค่าใช้จ่าย ขึ้นกับ Position ของโน๊ตบุ๊ค ขึ้นกับชิปกราฟิกที่เพิ่มเข้ามา

การ์ดจอออนบอร์ด: เป็นการ์ดจอในเบื้องต้น ที่ติดตั้งรวมเข้ามาในซีพียูแล้ว ใช้ในการแสดงผล และประมวลผลกราฟิกระดับพื้นฐาน รองรับการทำงาน ดูหนัง เปิดไฟล์เอกสาร และการเล่นเกมแบบง่ายๆ ได้อย่างครบครัน โดยจะใช้ทรัพยากร อย่างเช่น แรม ร่วมกับแรมของระบบ (Share memory) จึงเหมาะกับโน๊ตบุ๊คที่ไม่ได้เน้นประสิทธิภาพด้านกราฟิกหรือการเล่นเกมที่หนัก แต่ก็ใช้งานได้ดี ขึ้นอยู่กับความสามารถของกราฟิกบางรุ่น แต่ที่โดดเด่นคือ ใช้พลังงานน้อยลง ไม่ต้องดีไซน์ระบบระบายความร้อนมากนัก และยังพกพาสะดวก เราจึงเห็นกราฟิกรูปแบบนี้ ได้ตั้งแต่โน๊ตบุ๊คราคาประหยัด สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้งาน ไปจนถึงโน๊ตบุ๊คบางเบา และใช้ในงานธุรกิจ และไลฟ์สไตล์ ที่ต้องการประหยัดพลังงาน ใช้ได้นาน ไม่ต้องชาร์จบ่อยอีกด้วย มีด้วยกันหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Intel หรือ AMD ก็ตาม

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

การ์ดจอแยก: จะเป็นการ์ดจอที่เสริมเข้ามาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการใช้งาน โดยเฉพาะกับการเล่นเกม และโน๊ตบุ๊คทำงานเฉพาะทาง นอกเหนือจากการ์ดจอ Integrate ที่อยู่บนซีพียู ซึ่งจะเป็นชิปกราฟิก GPU ที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาบนโน๊ตบุ๊ค รวมถึงการเพิ่ม VRAM แยกต่างหาก ไม่ต้องแชร์แรมระบบ ทำให้ได้พลังในการเล่นเกมหรือทำงานเฉพาะทางที่สูงมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการใช้พลังงานที่มากกว่า และต้องการชุดระบายความร้อนที่ดี ซึ่งบางครั้งก็ส่งผลต่อมิติของโน๊ตบุ๊ค ที่ต้องมีความหนาและหนักมากขึ้นนั่นเอง รวมถึงราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย มีให้เลือกทั้ง AMD Radeon Graphic และ nVIDIA GeForce หรือ Quadro เป็นต้น


MUX Switch คือ?

เมื่อมีทั้งการ์ดจอออนบอร์ด บนซีพียู และมีการ์ดจอแยกอยู่ด้วย แล้วแบบนี้ระบบจะงงมั้ย เวลาที่ทำงานหรือเล่นเกม โดยในอดีตระบบจะสลับการทำงานให้อัตโนมัติ เมื่อเข้าสู่การเล่นเกมตามเงื่อนไข แต่ก็มีบางครั้งที่เราต้องเข้าไปกำหนดค่าใน Driver ของการ์ดจอ เพื่อให้ระบบสลับการทำงานของชิปกราฟิกให้รวดเร็ว และถูกต้อง ซึ่งก็ดูจะวุ่นวายอยู่เหมือนกัน แต่ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีและการปรับปรุงฟีเจอร์เข้ามา เพื่อให้ระบบจัดการกราฟิกได้ง่ายขึ้น

ASUS MUX
source: ASUS

MUX หรือ Multiplexer ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการจัดการระบบการทำงานของกราฟิก iGPU หรือเป็นชิปที่ Integrate อยู่บนซีพียู เพื่อที่จะควบคุมการแสดงผล ให้ปิดการทำงานของ iGPU เมื่อการ์ดจอแยกทำงาน (Discrete Graphic) ทำให้การตอบสนองรวดเร็วขึ้น ลด Latency ที่จะเกิดขึ้นในการแสดงผล และปิดการทำงานของ iGPU ไป เพื่อให้การ์ดจอแยกทำงานได้เต็มที่ ส่งผลดีต่อการเล่นเกม แต่ก็ทำให้มีการใช้พลังงานมากขึ้น ในปัจจุบัน MUX Switch ติดตั้งอยู่บนเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คหลายรุ่น เช่น ASUS ROG, Dell G16 และ MSI Titan GT77 เป็นต้น


การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค ดูตรงไหน

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

การเช็ครุ่นการ์ดจอโน๊ตบุ๊ค มีด้วยกันหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ฟังก์ชั่นบน Windows ไปจนถึงการติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม แต่แบบไหนจะดีกว่ากัน คงต้องบอกว่า ถ้าเป็นฟังก์ชั่นเดิมๆ บนโน๊ตบุ๊ค ก็จะดูได้เพียงระดับหนึ่ง การจะลงรายละเอียด เช่น ข้อมูลภายในของตัวการ์ดจอ หรือจะ Monitor hardware ก็ทำได้ยาก การใช้โปรแกรมมาเสริม ก็ทำให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น จะดูเรื่องของความร้อน รอบพัดลม แรงดันไฟ ไปจนถึงสัญญาณนาฬิกา หรือบางโปรแกรมก็เช็ตได้ด้วยว่า เฟรมเรตในการเล่นเกมดีแค่ไหน ใช้งานก็ง่าย ไม่ซับซ้อน

DirectX Diagnostic: เป็นวิธีที่ดูการ์ดจอได้ค่อนข้างง่าย มีขั้นตอนอยู่ 2-3 สเตป ทำตามนี้ได้เลยครับ เริ่มด้วยกดปุ่ม Win+R, จากนั้นพิมพ์ dxdiag ในช่องว่าง แล้วกด Enter จะมีหน้าต่าง DirectX Diagnostic Tool ขึ้นมา ให้ไปดูที่แท็ป Display ได้เลย

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

Advance Display: ให้เข้าไปที่ Settings แล้วเลือก System จากนั้นเลื่อนมาด้านล่าง เลือกที่ Advance Display จะมีชื่อของ Display Adaptor ปรากฏให้เห็น

Device Manager: เป็นวิธีที่ง่ายเลยทีเดียว หากเป็น Windows 11 ให้คลิ๊กขวาที่โลโก้ Windows จากนั้นเลือก Device Manager แล้วเลือกที่ Display Adaptor ก็จะบอกรุ่นของการ์ดจอให้เห็น

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

CPUz: เป็นโปรแกรมที่ต้องดาวน์โหลดมาเพิ่มจาก ที่นี่ เมื่อติดตั้งแล้ว ให้เข้าไปที่แท็ป Graphic จะบอกรายละเอียดของการ์ดจอให้ได้ทราบ ละเอียดกว่าบน Device Manager

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

GPUz: แต่ถ้าต้องการรายละเอียด ชนิดที่เห็นข้อมูลสำคัญ เช่น สัญญาณนาฬิกา, Shader, Memory speed หรือเฟิรมแวร์ ไบออส แนะนำโปรแกรมนี้ ดาวน์โหลดได้ ที่นี่ โดยเมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว เข้าไปในหน้าแรก Graphic Card ตรงนี้จะให้ข้อมูลต่างๆ ของการ์ดจอโน๊ตบุ๊คได้อย่างครบถ้วน และยังใช้งานร่วมกับการ์ดจอออนบอร์ด และการ์ดจอแยก ไม่ว่าจะเป็น Intel, nVIDIA หรือ AMD ก็ตาม มีการอัพเดตข้อมูลสดใหม่อยู่เสมอ


e-GPU การ์ดจอต่อภายนอก

โน๊ตบุ๊คก็ฝังบอร์ดมาเช่นกัน การอัพเกรดก็แทบจะทำไม่ได้ เช่นเดียวกับซีพียู แต่ปัจจุบันก็ยังพอมีทางออกอยู่บ้าง เช่น การใช้การ์ดจอต่อภายนอกหรือ e-GPU ที่เป็น Box ใส่การ์ดจอต่อภายนอก ซึ่งใช้การ์ดจอพีซีปกติได้เลย เพียงแต่ข้อจำกัดจะอยู่ที่ โน๊ตบุ๊คที่คุณใช้จะต้องมีพอร์ต Thunderbolt รวมถึงการซื้อ Box สำหรับ e-GPU ไม่ได้ถูกราคาใกล้หลักหมื่น ส่วนเลือกการ์ดจอแรงแค่ไหน ราคาก็จะสูงตามไปด้วย นั่นก็ทำให้สายเกม เลือกซื้อเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คตัวแรงๆ ไปเลย จะได้จบในทีเดียว และค่าใช้จ่ายถูกกว่า

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ กราฟิก GPU บนโน๊ตบุ๊คนั้น จะมีให้ 2 แบบคือ รุ่นปกติ และรุ่นประหยัดพลังงาน เช่น nVIDIA GeForce ในซีรีส์ของ Max-Q ที่จะถูกปรับปรุงให้เหมาะสมกับการใช้พลังงานอยู่ด้วย โดยจะดรอปความเร็วและฟีเจอร์บางส่วนลงจากรุ่นปกติ เพื่อให้โน๊ตบุ๊คในกลุ่มบางเบาหรือกึ่งทำงาน ที่ต้องการการ์ดจอแยกได้สามารถพกพาและใช้งานได้ดียิ่งขึ้น


การ์ดจอ Intel

Graphic Max.frequency EU
Intel Core i3-1115G4 Intel UHD Graphic 1.25GHz 48
Intel Core i5-1145G7 Intel Iris Xe Graphic 1.30GHz 80
Intel Core i7-1195G7 Intel Iris Xe Graphic 1.40GHz 96
Intel Core i7-11600H Intel UHD Graphic 1.45GHz 32
Intel Core i9-11900H Intel UHD Graphic 1.45GHz 32
Intel Core i3-1210U Intel UHD Graphic 850MHz 64
Intel Core i5-1235U Intel Iris Xe Graphic 1.20GHz 80
Intel Core i5-1250P Intel Iris Xe Graphic 1.40GHz 80
Intel Core i5-1240P Intel Iris Xe Graphic 1.30GHz 80
Intel Core i7-1260P Intel Iris Xe Graphic 1.40GHz 96
Intel Core i7-12700H Intel Iris Xe Graphic 1.40GHz 96
Intel Core i9-12900H Intel Iris Xe Graphic 1.45GHz 96
Intel Core i9-12900HX Intel UHD Graphic 1.55GHz 96

Intel Graphic: การ์ดจอโน๊ตบุ๊คจากทาง Intel จะเป็นแบบ Integrate มากับซีพียูที่เป็นแบบเดสก์ทอปและโน๊ตบุ๊ค โดยจะมีให้ใช้งานอยู่ 2 เวอร์ชั่นด้วยกัน ประกอบด้วย Intel Iris Xe Graphic และ Intel UHD Graphic ไม่ว่าจะเป็นซีพียู Intel Gen 11 ที่เป็นแบบ G series เช่น Core i3-1115G4 หรือจะเป็น U series และ H series ไปจนถึง HX series ก็ต่างมีกราฟิกมาในตัวเช่นเดียวกัน โดยในรุ่น G1/G4 และ G7 ตามรหัสต่อท้ายของซีพียู Intel Gen 11 เช่น Intel Core i3-1115G4 หรือ Intel Core i5-1135G7 เป็นต้น โดยจะต่างกันทั้งในเรื่องความถี่สัญญาณนาฬิกาสูงสุดและ Execution Units รวมถึงการเชื่อมต่อของ PCIe จากตัวอย่างในตารางด้านบนนี้ จะมีข้อมูลบางส่วน จะเห็นได้ชัดว่า แม้บางครั้ง จะเป็นซีพียูในระดับเดียวกัน แต่ก็มีกราฟิก 2 โมเดล ดังนั้นการเลือกใช้ก็คงต้องพิจารณาในส่วนนี้ด้วย หากเน้นไปที่การใช้โน๊ตบุ๊คแบบไม่มีการ์ดจอแยก และทั้งหมดจะเป็นการแชร์หน่วยความจำหลักของระบบมาใช้อัตโนมัติ

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

ถ้ามองกันที่โครงสร้างสถาปัตยกรรม Iris Xe Graphic จะมีความทันสมัย และความถี่สัญญาณนาฬิกาสูงกว่า รวมถึง CUs จำนวนมากกว่ากราฟิกรุ่นที่ผ่านๆ มาของ Intel โดยเริ่มต้นเปิดตัว Iris Xe ครั้งแรกบนซีพียู Intel Gen 11 ประมาณปี 2020 ซึ่ง Iris Xe Graphic บนซีพียู Intel Gen 12 จะได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมทั้งใน EUs และสัญญาณนาฬิกา มากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มเติมฟีเจอร์นหลายส่วนเข้ามา เช่น การเล่นเกมบนความละเอียดสูง 1080p @60fps. และ Ai ใหม่ ใช้พลังงานต่ำ รองรับ Intel Quick Sync แปลงไฟล์วีดีโอได้เร็วยิ่งขึ้น รองรับ API ใหม่ๆ ได้ดี รวมถึง OpenCL ด้วย

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค
source: Laptopmedia

ส่วน Intel UHD Graphic เป็นการ์ดจอโน๊ตบุ๊ค ที่มาพร้อมกับซีพียู Intel เช่นเดียวกัน และได้รับการปรับปรุงมาประมาณ 2-3 ปีแล้ว ล่าสุดกับซีพียู Intel Gen 12 จะมาพร้อม UHD Graphic 770 ที่มี CUs มากถึง 32 ชุดด้วยกัน ในส่วนของ UHD Graphic เอง แม้ว่าอาจจะดูมีอายุอานามมาพอสมควร แต่ก็ได้รับการปรับปรุงมาตลอด ทำให้มีฟีเจอร์ต่างๆ แทบไม่ต่างไปจาก Iris Xe Graphic อย่างไรก็ดี หากมองไปที่รายละเอียดในตาราง จะเห็นได้ว่า execution units และสัญญาณนาฬิกาของ Iris Xe Graphic นั้นสูงกว่า UHD Graphic ดังนั้นประสิทธิภาพที่ได้ ก็ดูจะน้อยกว่ากันพอสมควร


การ์ดจอ nVIDIA

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

สำหรับการ์ดจอโน๊ตบุ๊คของทาง nVIDIA จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ซีรีส์ หลักๆ คือ GeForce MX ซึ่งเป็นน้องเล็กสุดของการ์ดจอแยกบนโน๊ตบุ๊ค ซึ่งเน้นไปที่การทำงานเป็นหลัก โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพในงานด้านกราฟิกได้ดีกว่าการ์ดจอ iGPU ที่อยู่บนซีพียูพื้นฐาน ส่วนที่เป็น GeForce GTX จะเป็นการ์ดจอโน๊ตบุ๊ค สำหรับเกมเมอร์ในระดับเริ่มต้น ซึ่งให้ประสิทธิภาพทั้งด้านการทำงาน และการเล่นเกมได้ดีพอสมควร ใอยู่ในโน๊ตบุ๊คราคาไม่สูงเกินไป และรุ่นพี่ใหญ่ท็อปสุด ก็จะเป็นการ์ดจอในตระกูล GeForce RTX ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มของฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ได้ และมีอยู่ด้วยกันหลายโมเดลในปัจจุบัน ประสิทธิภาพจะเหนือกว่า GeForce GTX และฟีเจอร์อีกหลายอย่างที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามา เช่น การสนับสนุน DLSS หรือ Ray tracing เป็นต้น ซึ่งจะทำให้การเล่นเกมไหลลื่น และมีความสวยงามมากขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาโน๊ตบุ๊ค ที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน จึงเหมาะกับเกมเมอร์ ที่เล่นเกมจริงจัง และยังพกพาไปเล่นข้างนอกได้อีกด้วย

Graphic CUDA Boost clock Memory Memory Interface
RTX 3050 2048 1.74GHz 4GB GDDR6 128-bit
RTX 3050 Ti 2560 1.69GHz 4GB GDDR6 128-bit
RTX 3060 3840 1.70GHz 6GB GDDR6 192-bit
RTX 3070 5120 1.62GHz 8GB GDDR6 256-bit
RTX 3070 Ti 5888 1.48GHz 8GB GDDR6 256-bit
RTX 3080 Ti 7424 1.59GHz 16GB GDDR6 256-bit

ที่มา: GeForce RTX

Graphic CUDA Boost clock Memory Memory Interface
GTX 1650 1024 1560 4GB GDDR6 128-bit
GTX 1650 Ti 1024 1485 4GB GDDR6 128-bit
GTX 1660 Ti 1536 1590 6GB GDDR6 192-bit

ที่มา: GeForce GTX

Graphic CUDA Boost clock Memory Memory Interface
MX330 384 1.59GHz 2GB GDDR5 64 bit
MX350 640 1.46GHz 2GB GDDR5 64 bit
MX450 896 930MHz 2GB GDDR6 64 bit

Max-Q คืออะไร

เป็นรหัสที่ต่อท้ายการ์ดจอโน๊ตบุ๊ค ให้ทราบการ์ดจอรุ่นนั้นๆ จะถูกลดทอนบางสิ่งลง เพื่อให้สามารถติดตั้งบนโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งรุ่นใหม่ ที่มีขนาดบางลงได้ โดยไม่ทำให้อุณหภูมิสูงจนเกินไป และลดการใช้พลังงานได้มากขึ้นและไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ จากการ์ดจอรุ่นปกติมากนัก โดยสเปคที่จะถูกลดลง เช่น สัญญาณนาฬิกาของ GPU และค่าการใช้พลังงาน TGP โดย ประสิทธิภาพของตัว Max-Q แทบไม่ต่างจากรุ่นปกติ และยังได้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น Ray Tracing ที่มีอยู่ในการ์ดจอปกติของเครื่องพีซี ก็ถูกนำมาไว้ในการ์ดจอของโน๊ตบุ๊ค

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่า nVIDIA จะไม่ได้ใส่คำว่า Max-Q ต่อท้ายผลิตภัณฑ์บนการ์ดจอโน๊ตบุ๊คที่เป็น GeForce 30 series แต่จะให้ทางผู้ผลิตโน๊ตบุ๊ค แจ้งข้อมูลในรูปแบบของค่าการใช้พลังงานกราฟิก TGP แทน โดยในส่วนของ Max-Q นั้น จะมีค่า TGP น้อยกว่าการ์ดจอในรุ่นปกติ รวมถึงค่า Base clock/ Boost clock ก็น้อยตามลงไปด้วย แต่ CUDA core และ VRAM ยังเท่ากัน


การ์ดจอ AMD

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค

สำหรับการ์ดจอโน๊ตบุ๊ค Radeon 600M series นั้น มาพร้อมกับซีพียู AMD Ryzen 6000 series อยู่บนซีพียูที่ใช้โค๊ตเนม Rembrandt หรือ Zen3+ รุ่นใหม่ เป็นกราฟิกแบบ Integrate ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงกลางปี 2022 ที่ผ่านมา และถือว่าเป็นกราฟิกที่สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อย เพราะให้ประสิทธิภาพแรงใกล้เคียงกับการ์ดจอแยก แม้ว่าจะเป็นการแชร์หน่วยความจำจากระบบก็ตาม ซึ่งมีด้วยกัน 2 รุ่นคือ Radeon 660M และ 680M โดยชูฟีเจอร์สำคัญอย่าง FidelityFX Super Resolution ที่ช่วยในการอัพสเกลภาพให้มีความละเอียดสูงขึ้น แบบไม่ส่งผลกระทบต่อเฟรมเรต เพราะฉะนั้นใครที่เล่นเกมที่รองรับ FSR นี้ ก็จะสามารถเล่นได้ลื่นบนภาพที่มีความละเอียดมากขึ้นนั่นเอง

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค
Graphic CUDA Boost clock Memory Memory Interface
Radeon 660M 384 1.90GHz Share system
Radeon 680M 640 1.46GHz Share system

สำหรับการ์ดจอโน๊ตบุ๊ค AMD 6000 series นั้น เป็นการ์ดจอที่ถูกออกแบบมาเพื่อเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คโดยเฉพาะ และเป็นการ์ดจอแยก ที่ให้ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ 6000M เป็นกราฟิกที่เน้นสำหรับการเล่นเกมแบบจริงจัง ด้วยขุมพลังที่อัดแน่นมาให้กับเกมเมอร์โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น สัญญาณนาฬิกา VRAM หรือค่า TGP ก็ตาม ส่วน 6000S นั้น จะลดทอนบางอย่างลง เพื่อให้เหมาะกับโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพสูง แต่มีความบางเบา สำหรับเกมเมอร์แบบพกพา ประหยัดพลังงานมากขึ้น แต่ยังคงความแรงไว้ได้ใกล้เคียงกับ 6000M โดยทั้งคู่ใช้โครงสร้างจาก RDNA2 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำคัญต่างๆ เช่น AMD Advantage, FidelityFX, Infinity Cache และ Ray tracing เป็นต้น เป็นการ์ดจอโน๊ตบุ๊คที่น่าจับตามอง สำหรับคอเกมในเวลานี้

การ์ดจอโน๊ตบุ๊ค
Graphic CUs Game clock Memory Memory type
Radeon 5300M 22 1.18GHz 3GB GDDR6
Radeon 5500M 22 1.48GHz 4GB GDDR6
Radeon 5600M 36 1.19GHz 6GB GDDR6
Radeon 5700M 36 1.62GHz 8GB GDDR6
Radeon 6600S 28 1.80GHz 4GB GDDR6
Radeon 6700S 28 1.90GHz 8GB GDDR6
Radeon 6800S 32 1.97GHz 8GB GDDR6
Radeon 6300M 12 1.58GHz 2GB GDDR6
Radeon 6500M 16 2.19GHz 4GB GDDR6
Radeon 6600M 28 2.17GHz 8GB GDDR6
Radeon 6700M 36 2.3GHz 10GB GDDR6
Radeon 6800M 40 2.3GHz 12GB GDDR6

ข้อมูลเพิ่มเติม: AMD Radeon RX


Conclusion

สุดท้ายนี้การเลือกใช้งานการ์ดจอโน๊ตบุ๊ค ก็คงต้องดูตามรูปแบบการใช้งานของแต่ละบุคคล และงบประมาณที่มี เพราะในกรณีที่คุณแค่ทำงาน และความบันเทิงเล็กน้อย หรือจะเล่นเกมเบาๆ ไม่ต้องใช้ทรัพยากรมาก โน๊ตบุ๊คที่มีการ์ดจอออนบอร์ด หรือ iGPU หลายรุ่นก็ตอบโจทย์คุณได้ ในงบประมาณที่ไม่แพงมากนัก หมื่นต้นๆ ก็มีให้เห็น แต่ถ้าคุณเน้นที่การเล่นเกม คุณอาจจะเริ่มต้นด้วย GTX1650Ti หรือ RTX3050 ก็ดูจะเหมาะสม เพราะเริ่มที่ 2 หมื่นกว่าบาทเท่านั้น หรืออาจจะสูงกว่านี้ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นด้วย เช่น ซีพียู หรือว่าแรมที่ใช้ เพราะถ้าเป็นเซ็ตใหม่อย่าง Intel Gen 12 และใช้ DDR5 ราคาก็จะเพิ่มขึ้น รวมถึงความพรีเมียมของโน๊ตบุ๊ครุ่นนั้นๆ

NBS MSI

แต่ถ้าคุณชื่นชอบในการเล่นเกม และเป็นฮาร์ดคอร์เกมเมอร์ ที่ยังชีวิตด้วยเฟรมเรต กระตุกไม่ได้ แร๊คก็ไม่ควร การ์ดจอแยก RTX3070, RTX3080Ti หรือจะเป็น Radeon RX6700M หรือ RX6800M ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และพาคุณไปให้สุดกับเกม ที่ให้ความสวยงามของเกม ได้มากกว่าเฟรมเรตอีกด้วย แต่อาจจะเคาะราคาไปเกือบแสนบาท หรือมากกว่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าน่าสนใจ

from:https://notebookspec.com/web/670670-graphic-card-notebook-2022

รีวิว DELL XPS 13 Plus 9320 ยกเครื่องดีไซน์ให้ล้ำสมัย ได้ Intel Evo กับราคา 73,990 บาท

DELL XPS 13 Plus 9320 รุ่นใหม่ล่าสุด ดีไซน์เหมือนหลุดจากหนัง Sci-Fi ได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ล้นตัว!

Share image Edit Name 1xps13 1

DELL XPS 13 Plus 9320 น้องใหม่ในตระกูล DELL XPS ที่ย่อจาก “eXtreme Performance System” ซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มโน๊ตบุ๊คระดับ High-End ที่โฟกัสกลุ่มองค์กรและบริษัทเป็นหลัก แต่กลุ่มผู้ใช้ทั่วไปที่ถวิลหาโน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยม งานประกอบแข็งแรงสวยหรูหราและผ่านมาตรฐาน ได้ตรา Intel Evo มาประดับบนตัวบอดี้เพื่อการันตีว่ามันเกิดมาเพื่อตอบโจทย์คนทำงานอย่างแท้จริง

Advertisementavw

เมื่อเป็นรุ่นใหม่แกะกล่องแล้ว ทาง DELL ก็ไม่ได้แค่เปลี่ยนสเปคสเปคในเครื่องเป็น Intel 12th Gen เท่านั้น แต่ยกเครื่องปรับดีไซน์และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ DELL XPS 13 Plus 9320 ได้ความล้ำสมัยกว่าเดิมหลายอย่างจนโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ดูเหมือนหลุดจากภาพยนตร์ Sci-Fi สักเรื่อง ไม่ว่าจะคีย์บอร์ด Zero-Lattice ดีไซน์ใหม่ราบเรียบ ดีไซน์ปุ่มจากขอบสุดขอบ ตอบสนองไวและเป็นมิตรต่อนิ้วของผู้ใช้, Capacitive Touch Function แถบ Function Key ถูกดีไซน์เป็นปุ่มแบบทัชและมีไฟ LED แสดงสถานะตัวปุ่มให้เห็นชัดเจน รวมถึง Haptic Touchpad ซึ่งดีไซน์เป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง เรียบเนียนไม่มีขอบให้เห็น ได้ความสวยงามแตกต่างอย่างชัดเจน และก็ยังไม่ลืมฟีเจอร์รักษาความเป็นส่วนตัวอย่างกล้อง IR Camera สแกนหน้าปลดล็อคเครื่องและเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือซึ่งรวมกับปุ่ม Power อีกด้วย เรียกว่าได้ความแตกต่างและได้ความสวยงามยิ่งกว่ารุ่นก่อนชัดเจน

DELL XPS 13 Plus 9320

NBS Verdicts

DELL XPS 13 Plus DSC00213

DELL XPS 13 Plus 9320 นับเป็นการปรับดีไซน์ตัวเครื่องครั้งใหญ่ของทาง DELL ที่คงความสวยหรูพรีเมี่ยมของตระกูล XPS เอาไว้ครบถ้วน ได้รับการรับรองเป็นโน๊ตบุ๊ค Intel Evo พร้อมซีพียู Intel 12th Gen พร้อมสเปคตอบโจทย์คนทำงานและต้องการโน๊ตบุ๊คดีไซน์ระดับพรีเมี่ยมไว้เสริมบุคลิคและการใช้งานอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้านดีไซน์นับว่าโดดเด่นล้ำสมัยเหมือนหลุดจากภาพยนตร์ Sci-Fi ก็ไม่ผิด ด้วย Capacitive Touch Function, คีย์บอร์ด Zero-Lattice ซึ่งแบนราบและใช้แรงกดเพียงเล็กน้อยก็ตอบสนองการทำงานแล้วไม่พอ Haptic Touchpad ที่เรียบเนียนไปกับบอดี้ตัวเครื่องก็ได้ความสวยงามไม่มีขอบให้รกสายตาแม้แต่น้อย เมื่อองค์ประกอบทั้ง 3 นี้รวมกันก็ทำให้ DELL XPS 13 Plus 9320 มีความสวยโดดเด่นกว่าโน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยมรุ่นอื่นอย่างชัดเจน ไม่พอ บอดี้อลูมิเนียมรวมกับงานประกอบของทาง DELL แล้ว ยิ่งให้ความแข็งแรงทนทาน จับถือได้ความรู้สึกหนักแน่นเป็นที่สุด ดียิ่งกว่าโน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยมทุกเครื่องที่ผู้เขียนเคยจับและได้รีวิวอย่างหาที่เปรียบได้ยาก แม้แต่ MacBook รุ่นใหม่ๆ ก็ให้สัมผัสแบบนี้ไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตที่พบเจอเมื่อนำ DELL XPS 13 Plus 9320 ไปใช้งานจริงก็มีเช่นกัน อย่างแรก คือ พอร์ตของตัวเครื่องมีแต่ Thunderbolt 4 เพียง 2 ช่อง ไม่มีพอร์ตอื่นเลย แม้จะมีหัวแปลง USB-C to 3.5 mm. Jack กับ USB-C to A แถมมาให้ในกล่องก็ไม่พอใช้งานอย่างแน่นอน ต้องมี USB-C Multiport Adapter ไว้แปลง Thunderbolt 4 เป็นพอร์ตอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถัดมาเป็นคีย์บอร์ด Zero-Lattice ที่แม้จะใช้แรงกดพิมพ์น้อยจนแทบจะแตะพิมพ์ได้ ทว่าตัวแป้นที่แบนราบและตัวปุ่มเหยียดสุดจากปุ่มต่อปุ่มทำให้แยกแต่ละปุ่มได้ค่อนข้างลำบาก ต้องใช้เวลาปรับตัวระดับหนึ่งรวมถึง Haptic Touchpad ที่เป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่องแต่ไม่มีเครื่องหมายบอกระยะความกว้างและสูงของตัวแป้น แม้จะสวยงามแต่ใช้งานจริงก็จับระยะความกว้างได้ยากอีกด้วย แม้จะเป็นนวัตกรรมใหม่ก็ตาม ผู้เขียนก็อยากให้ทางบริษัทปรับดีไซน์อีกเล็กน้อยเพื่อให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เป็นมิตรกับผู้ใช้อีกสักหน่อยก็จะดีมาก

ข้อดีของ DELL XPS 13 Plus 9320
  1. งานประกอบตัวเครื่องแข็งแรงทนทาน จับถือได้หนักแน่นสมความพรีเมี่ยม
  2. ดีไซน์ได้ความเรียบร้อยแต่สวยหรูหรา เหมือนโน๊ตบุ๊คจากภาพยนตร์ Sci-Fi
  3. น้ำหนักตัวเครื่องเบาพกพาง่าย เพียง 1.26 กิโลกรัมเท่านั้น ไม่หนักกระเป๋าเกินไป
  4. คีย์บอร์ด Zero-Lattice ออกแรงพิมพ์น้อยและได้ความสวยงามล้ำสมัย
  5. แป้น Capacitive Touch Function แสดงฟังก์ชั่น F1~F12 และ Function Hotkey ได้ชัดเจน ดูเข้าใจง่ายมาก
  6. อัพเกรดซีพียูเป็น Intel 12th Gen มีประสิทธิภาพสูงและจัดการพลังงานได้ดี
  7. ติดตั้งหน้าจอทัชพาเนล OLED ความละเอียดสูงมาให้ แต่ขนาดกะทัดรัดเพียง 13.4 นิ้ว
  8. มีพอร์ต Thunderbolt 4 ติดตั้งมาให้ใช้งานถึง 2 ช่อง ใช้ต่อแยกเป็นพอร์ตอื่นได้
  9. ได้ Windows 11 Home และ Microsoft Office 2021 แท้ ติดตั้งมาให้ใช้จากโรงงาน
  10. มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือกับกล้อง IR Camera ใช้ปลดล็อคเครื่องแบบ Biometric ได้
  11. ระบบระบายความร้อนทำงานได้ดี เย็นตลอดการใช้งานแม้รันโปรแกรมใหญ่ก็ไม่ร้อนมาก
  12. ลำโพงตัวเครื่องได้มิติเสียงดี สเตจเสียงกว้างและเก็บรายละเอียดดีมีเบสซัพพอร์ตดี
ข้อสังเกตของ DELL XPS 13 Plus 9320
  1. ตัวเครื่องมีแต่พอร์ต Thunderbolt 4 ต้องพึ่งอุปกรณ์ต่อพ่วงเมื่อต้องการใช้พอร์ตอื่น
  2. ดีไซน์ทัชแพดเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง แม้จะสวยงามแต่ใช้งานจริงยากเกินไป
  3. คีย์บอร์ด Zero-Lattice แม้จะสวยงามแต่พิมพ์สัมผัสยาก ใช้เวลาปรับตัวมากกว่าปกติ

รีวิว DELL XPS 13 Plus 9320

Specification

DELL XPS 13 Plus 9320 จัดเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานระดับพรีเมียมซึ่งสเปคได้มาครบถ้วนพร้อมใช้งาน มีซอฟท์แวร์ครบเครื่องทั้ง Windows 11 Home และ Microsoft Office Home & Student 2021 อีกด้วย ซึ่งมีรายละเอียดสเปคดังนี้

สเปคของ DELL XPS 13 Plus 9320
  • CPU : Intel Core i7-1260P แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.4-4.7GHz
  • GPU : Intel Iris Xe Graphics
  • SSD : แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 
  • RAM : 16GB LPDDR5 บัส 5200 MHz
  • Display : จอทัช 13.4 นิ้ว ความละเอียด 3.5K (3456×2160) พาเนล OLED 
  • Ports : Thunderbolt 4 x 2
  • Wireless : Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2
  • Webcam : 720p HD IR Camera 
  • Software : Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021
  • Weight : 1.26 กิโลกรัม
  • Price : 73,990 บาท (ราคากลาง)

Hardware & Design

DELL XPS 13 Plus DSC00210

DELL XPS 13 Plus DSC00163
DELL XPS 13 Plus DSC00170
DELL XPS 13 Plus DSC00202
DELL XPS 13 Plus DSC00203

ดีไซน์ของ DELL XPS 13 Plus 9320 จะเน้นความเรียบง่ายไม่มีลูกเล่นดีไซน์อะไรมาก แต่จุดเด่นซึ่งสังเกตเห็นได้ทันที คือ กรอบบานหน้าจอ 13.4 นิ้วของตัวเครื่องจะเป็นแบบบาง 4 ด้าน ทำให้เห็นคอนเทนต์บนหน้าจอได้เต็มตายิ่งขึ้น เมื่อมองลงมาอีกหน่อยจะเห็นว่ามีสติกเกอร์ Intel Evo ติดเอาไว้เพียงอันเดียวเท่านั้น และไม่มีการเจาะบอดี้ตัวเครื่องให้ช่องของไมโครโฟนเลย แต่ DELL เลือกติดตั้งเอาไว้ตรงขอบด้านบนหน้าจอเพื่อหลบสายตาแทน โดยติดเอาไว้ 2 ช่อง ซึ่งดีไซน์นี้ทำให้กรอบหน้าจอไม่มีช่องเจาะให้สะท้อนแสงเห็นด้วย ถือว่าสวยเรียบร้อยดี

DELL XPS 13 Plus DSC00166

DELL XPS 13 Plus DSC00169
DELL XPS 13 Plus DSC00200
DELL XPS 13 Plus DSC00185

ก้านบานพับหน้าจอจะเป็นก้านโลหะยึดขอบริมข้างตัวเครื่อง 2 ฝั่ง ให้ความรู้สึกแน่นไม่มีอาการพานพับกระพือแม้แต่นิดเดียว เมื่อพับจอแล้วตัวบานจะดูดติดเข้ากับตัวเครื่องด้วยแม่เหล็ก ซึ่งแรงดูดดีและติดแน่นจนเอานิ้วเกี่ยวเปิดเล่นค่อนข้างยาก ตัวเครื่องจัดบาลานซ์เอาไว้ได้ดี ใช้นิ้วเดียวได้และตัวเครื่องไม่กระดกตามขึ้นมาเลยแต่ก็แน่นจนควรใช้มืออีกข้างช่วยจับเครื่องไว้ด้วย ส่วนองศาการกางหน้าจออยู่ราว 120 องศา ซึ่งถือว่ากว้างพอจัดองศาการมองเห็นได้สะดวก ทั้งตอนวางบนโต๊ะทำงานหรือแท่นวางโน๊ตบุ๊คก็ตาม

DELL XPS 13 Plus DSC00174

ฝาหลังตัวเครื่องยังคงเอกลักษณ์เดิมของทางบริษัทเอาไว้ โดยเป็นโลโก้ DELL ทรงกลมเพียงอันเดียวตรงกลางฝาหลังอลูมิเนียม โดยทำเป็นแบบเซาะบอดี้ตัวเครื่องเข้าไป ทำให้โลโก้ไม่หลุดหายง่ายๆ อย่างแน่นอน

DELL XPS 13 Plus DSC00177

ส่วนโลโก้ XPS ของ DELL XPS 13 Plus 9320 ถูกเอามาติดไว้ด้านใต้ตัวเครื่อง มีแถบยางรองตัวเครื่องติดไว้ 2 เส้นเป็นแถบยาว ด้านข้างมีช่องลำโพงเป็นแถบยาวติดเอาไว้ 2 ฝั่ง พร้อมน็อตขันล็อคบอดี้แบบหัว Trox ทั้งหมด 6 ดอกเท่านั้น ซึ่งบอดี้อลูมิเนียมโดยรวมต้องถือว่าแข็งแรง แน่นมาก จับถือแล้วให้ความรู้สึกหนักแน่นแข็งแรงเป็นพิเศษ ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้จับโน๊ตบุ๊คมาหลายรุ่น ต้องถือว่า DELL ประกอบ XPS 13 Plus 9320 มาได้แน่นแข็งแรงมาก จับถือแล้วได้ความรู้สึกหนักแน่นเป็นที่หนึ่ง ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมอย่างแท้จริง 

Screen & Speaker

DELL XPS 13 Plus DSC00125

DELL XPS 13 Plus DSC00128
DELL XPS 13 Plus DSC00127
DELL XPS 13 Plus DSC00129
DELL XPS 13 Plus DSC00130
DELL XPS 13 Plus DSC00123
display

หน้าจอทัชสกรีนขนาด 13.4 นิ้ว ความละเอียด 3.5K (3456×2160) พาเนล OLED เป็นหน้าจอกรอบบาง 4 ด้าน ทำให้เห็นคอนเทนต์บนหน้าจอได้กว้างยิ่งขึ้น ไม่มีกรอบหน้าจอมากวนสายตาไม่พอ ทาง DELL ยังติดกล้อง IR Camera เอาไว้สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่องไว้ตรงขอบบนของหน้าจอด้วย และเมื่อลองพับหน้าจอลงมาแล้วมองจากมุมอื่นนอกจากหน้าตรง จะเห็นว่าพาเนล OLED ก็สามารถแสดงสีสันได้สวยสดเที่ยงตรง ไม่มีอาการสีเพี้ยนแม้แต่น้อย

gamut
luminance

สำหรับขอบเขตสีหน้าจอ เมื่อทดสอบด้วย Calibrite และใช้โปรแกรม DisplayCal 3 จะเห็นว่า Gamut coverage ที่เป็นขอบเขตสีหน้าจอจากโรงงานได้ขอบเขตสีกว้างมากถึง 99.9% sRGB, 93.5% Adobe RGB, 99.4% DCI-P3 และเมื่อคาลิเบรตเสร็จแล้ว จะเห็นว่าฝั่ง Gamut Volume นั้นดีขึ้นชัดเจนถึงระดับ 165.9% sRGB, 114.3% Adobe RGB, 117.5% DCI-P3 ซึ่งขอบเขตสีนี้นับว่ากว้างเทียบชั้นโน๊ตบุ๊คสายครีเอเตอร์หลายๆ รุ่น สามารถใช้พรู้ฟสีงานอาร์ตก็ทำได้สบายๆ อย่างแน่นอน

ด้านความสว่างหน้าจอวัดได้ 396.33 nits จัดว่าสว่างมากจนไม่ต้องกังวลเรื่องแสงแดดจะสว่างจนทำหน้าจอมืดไป สามารถปรับความสว่างหน้าจอสู้แสงได้หากนั่งทำงานชานร้านกาแฟหรือที่ที่มีแสงส่องกระทบหน้าจอ หากนั่งทำงานในอาคารหรือออฟฟิศแนะนำให้ปรับความสว่างลดลงเหลือสัก 50% ก็สว่างเพียงพอใช้งานแล้ว

DELL XPS 13 Plus DSC00178
DELL XPS 13 Plus DSC00179
DELL XPS 13 Plus DSC00196
DELL XPS 13 Plus DSC00197

ลำโพงของ DELL XPS 13 Plus 9320 มีทั้งหมด 2 ดอก กำลังขับรวม 4 วัตต์ แต่ทางบริษัทจะทำช่องลำโพงขนาดใหญ่มาให้เหมือนกับลำโพงของ XPS รุ่นอื่นๆ คาดว่าเพื่อใช้ระบายความร้อนตัวเครื่องร่วมกันไปเลย ความดังของลำโพงจัดว่าดังมาก เมื่อวัดด้วยเครื่องวัดความดังแล้วจะอยู่ราว 85dB และได้สเตจเสียงกว้างฟังชัด รายละเอียดเนื้อเสียงจัดว่าครบถ้วนฟังเพลงได้ดีและมีเสียงเบสซัพพอร์ตได้ดี เนื้อเบสไม่บางเลย เรียกว่าไม่แพ้กับ DELL XPS 15 ซึ่งได้รีวิวไปก่อนหน้านี้ เป็นลำโพงของโน๊ตบุ๊คที่ได้เสียงดีมากอีกรุ่นหนึ่ง

Keyboard & Touchpad

DELL XPS 13 Plus DSC00131

DELL XPS 13 Plus DSC00149
DELL XPS 13 Plus DSC00158
DELL XPS 13 Plus DSC00144
DELL XPS 13 Plus DSC00145
DELL XPS 13 Plus DSC00146
DELL XPS 13 Plus DSC00147

คีย์บอร์ดของ DELL XPS 13 Plus 9320 จะเป็นคีย์บอร์ดรุ่นใหม่แกะกล่องจากทางบริษัท โดยใช้ชื่อดีไซน์ว่า “Zero-Lattice” ซึ่งทรงตัวปุ่มเป็นสี่เหลี่ยมที่ออกแบบให้ขอบชิดขอบและตัวปุ่มราบเป็นระนาบเดียวกันไม่มีปุ่มไหนสูงหรือเตี้ยกว่ากันแม้แต่นิดเดียว หากหลับตาใช้มือลูบดูก็จะไม่รู้สึกถึงรอยต่อระหว่าปุ่มแม้แต่นิดเดียว จะรู้สึกเพียงขีดมาร์กกิ้งที่ติดเอาไว้ตรงปุ่ม F, J เท่านั้น ส่วนไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ดจะเป็นแบบไฟเรืองที่สว่างลอดตัวอักษรบนปุ่มขึ้นมาเท่านั้น ไม่สว่างรอบคีย์แคปเลย ในแง่การใช้งานจริงถือว่าสว่างมองเห็นชัดเจน

สัมผัสการพิมพ์ของคีย์บอร์ด Zero-Lattice ต้องถือว่าขนาดปุ่มใหญ่รับกับระยะนิ้วได้เป็นอย่างดี ลดโอกาสกดผิดพลาดไปได้มากและใช้แรงกดน้อยมาก เกือบจะเป็นการแตะเพื่อพิมพ์เสียด้วยซ้ำ แต่ข้อสังเกตตอนใช้งาน คือ ตัวปุ่มนั้นชิดกันเกินไปจนคนพิมพ์สัมผัสได้มีโอกาสกดพิมพ์ผิดปุ่มได้พอสมควร ต้องใช้เวลาปรับตัวในช่วงแรกๆ ระดับหนึ่ง

ด้านปุ่มใช้งานและคีย์ลัดที่ถูก Mapping ไว้บนคีย์บอร์ดของ DELL XPS 13 Plus 9320 มีน้อยมาก เพียงแค่ Page Up, Page Down ตรงปุ่มลูกศรขึ้นลงและปุ่มเสมือนคลิกขวาของปุ่ม Ctrl ขวามืออีกคำสั่งเดียวเท่านั้น และถ้าสังเกตจะเห็นว่าข้างปุ่ม Backspace จะมีปุ่มสีดำซึ่งเป็นปุ่ม Power พร้อมเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือติดเอาไว้อีกปุ่มเท่านั้น

DELL XPS 13 Plus DSC00135

DELL XPS 13 Plus DSC00142
DELL XPS 13 Plus DSC00143

ดีไซน์อีกส่วนซึ่งแตกต่างจากโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ Capacitive Touch Function เป็นปุ่ม Function แบบทัช ติดอยู่ขอบบนเหนือคีย์บอร์ดและมีคำสั่ง Function Lock ติดอยู่กับปุ่ม Esc ด้วยและพอกดปุ่ม Fn แล้ว Capacitive Touch Function จะสลับแสงไฟไปมาระหว่าง Function Hotkey และ F1~F12 ให้โดยอัตโนมัติและสามารถกดล็อคสลับเลเยอร์ไปมาได้อีกด้วย ซึ่งการดีไซน์นี้ถือว่าดีมากและเข้าใจง่าย เมื่อมองก็ทราบทันทีว่าตอนนี้ใช้ปุ่มเซ็ตไหนอยู่

อย่างไรก็ตามถ้าสังเกตในภาพจะเห็นว่า Capacitive Touch Function ถูกเซ็ตเป็นปุ่มบังคับไว้บนชุดแป้นคีย์บอร์ด พอสังเกตในภาพตรงข้างปุ่มที่ไฟติดจะเห็นเงาของชุดคำสั่งอีกปุ่มอยู่ด้วย เมื่อเรากด Fn Lock จะเห็นว่าไฟของชุดคำสั่งหนึ่งจะดับลงแล้วไฟของอีกชุดคำสั่งจะติดขึ้นมาเท่านั้น เป็นชุดคำสั่งแบบล็อคการตั้งค่าเอาไว้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้

DELL XPS 13 Plus DSC00134

ส่วนของ Function Hotkey ที่ Capacitive Touch Function จะเซ็ตเพียงแต่คำสั่งทั่วไปที่ต้องใช้งานเท่านั้น อย่างเช่น ปิด, ลดหรือเพิ่มเสียงลำโพง, ปิดไมค์, เล่นหรือหยุดสื่อและคลิปที่ดูอยู่, ปรับความสว่างไฟ LED Backlit และความสว่างหน้าจอและคำสั่ง Project ที่ใช้ตั้งค่าหน้าจอหลักและเสริมกับ Function Key อีกเล็กน้อยเท่านั้น หากนับในแง่การใช้งานจริงต้องถือว่าแป้น Capacitive นี้เป็นแป้นที่แนวคิดและดีไซน์ล้ำสมัยแต่ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ค่อนข้างจำกัด

DELL XPS 13 Plus DSC00159

DELL XPS 13 Plus DSC00160
DELL XPS 13 Plus DSC00161

ด้านทัชแพดของตัวเครื่องถูกดีไซน์ให้เป็นเนื้อเดียวแบบไร้ขอบแป้นโดยเรียบเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง และไม่มีเส้นหรือเครื่องหมายใดๆ ขีดเอาไว้ให้รู้ว่าอาณาเขตของตัวแป้นทัชแพดเริ่มและสุดอยู่ตรงไหน แต่จากการลองลากเคอร์เซอร์เมาส์แล้วจะเห็นว่าขอบฝั่งซ้ายจะสุดเท่ากับตัวริมซ้ายของปุ่ม Spacebar แล้วฝั่งขวาไปสุดริมปุ่ม Alt และสูงเท่าระยะที่วางข้อมืออีกด้วย

ตัวแป้นรองรับ Gesture control ของ Windows ครบถ้วน สามารถปัดนิ้วเลื่อนใช้งานได้ตามปกติ ตอบสนองรวดเร็วเหมือนกับทัชแพดของโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่น และการกดคลิกตัวแป้นจะตอบสนองแบบ Haptic Touch หรือเป็นการสั่นจากมอเตอร์ขนาดเล็กในตัวเครื่อง แต่สัมผัสนั้นเหมือนการกดปุ่มตัวเครื่องจริงๆ

Connector / Thin & Weight

DELL XPS 13 Plus DSC00167
DELL XPS 13 Plus DSC00168

พอร์ตของ DELL XPS 13 Plus 9320 ถือว่าน้อยเกินไปจนใช้งานค่อนข้างลำบาก เพราะมี Thunderbolt 4 เพียง 2 ช่อง ติดตั้งไว้ฝั่งซ้ายและขวาด้านละพอร์ตเท่านั้น ส่วนการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเป็น Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2 ใช้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและเสถียรทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็น Thunderbolt 4 แต่เมื่อมีพอร์ตเช่นนี้ จึงทำให้ผู้ใช้หลายๆ คนต้องมี USB-C Multiport Adapter ติดกระเป๋าเอาไว้ต่อพ่วงแยกเป็นพอร์ตอื่นๆ เพื่อใช้งาน หรือถ้านั่งทำงานในออฟฟิศ ก็ต้องซื้อหน้าจอแบบ Port Hub มาใช้งานแล้วต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ ผ่านทางหน้าจอแทน แม้จะได้พอร์ตที่ล้ำสมัยมาใช้และได้บอดี้บางเบาก็ตาม แต่ก็ขาดพอร์ตที่จำเป็นอย่าง USB-A, HDMI และอื่นๆ ไปจนหมด

DELL XPS 13 Plus DSC00112

DELL XPS 13 Plus DSC00114
DELL XPS 13 Plus DSC00115

ในแพ็คเกจสินค้า ทาง DELL ก็แถมสาย USB-C to 3.5 mm. กับหัวต่อ USB-C to A มาใช้ต่ออุปกรณ์เสริมอื่นๆ แก้ขัดแล้วก็จริง แต่ก็แค่เบื้องต้น ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าถ้าทาง DELL ตั้งราคาตัวเครื่องมา 73,990 บาททั้งที ก็น่าแถม DELL Mobile Adapter MH3021P หรือไม่ก็ DELL USB-C Mobile Adapter DA310 มาให้สมราคาไปเลยจะดีกว่ามาก

DELL XPS 13 Plus DSC00109

DELL XPS 13 Plus DSC00111
DELL XPS 13 Plus DSC00110

น้ำหนักตัวเครื่องจากสเปคบนหน้าเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ DELL USA ให้ข้อมูลไว้ว่า DELL XPS 13 Plus 9320 จะหนัก 1.23 กิโลกรัม เมื่อชั่งด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้วจะหนัก 1.26 กิโลกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับหน้าสเปคเป็นอย่างมาก ส่วนชุดอุปกรณ์เสริมและอแดปเตอร์จะหนัก 259 กรัม เมื่อพกใส่กระเป๋าแล้วจะได้น้ำหนักสุทธิ 1.52 กิโลกรัม จัดว่าไม่หนักมาก สามารถพกพาไปทำงานได้สะดวกพอสมควร และจะใช้อแดปเตอร์ GaN กำลังชาร์จเกิน 65 วัตต์ มาชาร์จแบตเตอรี่แทนอแดปเตอร์ในกล่องก็ได้ด้วย

Inside & Upgrade

DELL XPS 13 Plus DSC00190

การอัพเกรด DELL XPS 13 Plus 9320 ทำได้ไม่ยากเลย เพียงแค่ขันน็อตหัว Trox ทั้งหมด 6 ดอกออก แล้วเอาการ์ดไล่ขอบตัวเครื่องเพียงเล็กน้อยก็เปิดฝาได้แล้ว แต่จะเห็นว่าบนเมนบอร์ดอัพเกรดได้เพียง M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 เท่านั้น และชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ควรอัพเกรดได้ก็กลายเป็นชิปออนบอร์ดทั้งหมดและมีแบตเตอรี่อีกหนึ่งลูกติดตั้งเอาไว้แทน

ดังนั้นสรุปได้ง่ายๆ ว่า XPS 13 Plus 9320 สามารถอัพเกรดได้แต่ M.2 NVMe SSD เพียงชิ้นเดียว ผู้เขียนจึงคิดว่าถ้าจะอัพเกรดเพิ่มความจุอาจจะหันไปซื้อ External HDD/SSD แทนดีกว่า

Performance & Software

cpu
gpu

สเปคของ DELL XPS 13 Plus 9320 ติดตั้งซีพียู Intel 12th Gen รุ่น Intel Core i7-1260P แบบ 12 คอร์ 16 เธรด (4P+8E) ความเร็ว 3.4-4.7GHz มาให้ใช้งาน รองรับชุดคำสั่งต่างๆ ครบถ้วนและมีค่า TDP 28 วัตต์ ใช้การ์ดจอออนบอร์ด Intel Iris Xe Graphics สำหรับเรนเดอร์ภาพขึ้นหน้าจอและใช้ทำงานกราฟฟิคอย่างการตัดต่อแต่งภาพและวิดีโอก็ใช้งานได้ รองรับชุดคำสั่งจำเป็นอย่าง OpenCL, Open GL, DirectCompute, DirectML, Vulkan ครบถ้วน

ram

แรมออนบอร์ดในเครื่องมีความจุ 16GB LPDDR5 บัส 5200 MHz ซึ่งความจุนี้ถือว่าเยอะเพียงพอใช้ทำงานต่างๆ ได้สบายๆ ไม่ว่าจะทำงานเอกสารไปจนงานตัดต่อแต่งภาพก็ทำได้ดี ไม่มีปัญหาเรื่องแรมไม่พอใช้งานอย่างแน่นอน

device mgr

เมื่อเช็คพาร์ทภายในตัวเครื่องด้วย Device Manager จะเห็นว่า DELL XPS 13 Plus 9320 ติดตั้งทั้งกล้องสแกนใบหน้าและเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ Goodix มาครบถ้วน สามารถสลับใช้งานตามความสะดวก และรองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.2 ในตัวแบบครบถ้วนด้วยชิป Intel AX211 ใช้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อย่างต่อเนื่องลื่นไหล รวมทั้งมีชิป TPM 2.0 ติดตั้งมาให้ใช้รักษาความปลอดภัยของข้อมูลในเครื่องคู่กับ Windows 11 อีกด้วย

ssd

M.2 NVMe SSD จากโรงงานของ DELL XPS 13 Plus 9320 ผลิตโดย Western Digital รหัส SN810 ความจุ 512GB ถ้าอิงจากหน้าสเปคแล้วจะเห็นว่ารุ่นนี้ใช้อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 แล้ว มีความเร็ว Sequential Read 6,000 MB/s และ Sequential Write 4,000 MB/s และค่าความทนทานการอ่านเขียนไฟล์ที่ 300 TBW เมื่อทดสอบด้วยโปรแกรม CrystalDiskMark 8 แล้วได้ความเร็ว Sequential Read สูงถึง 6,554.99 MB/s และ Sequential Write 4,461.94 MB/s ซึ่งถือว่าดีกว่าข้อมูลเคลมเอาไว้หน้าสเปคเสียอีก ซึ่งถ้าใช้ทำงานทั่วไปอย่างเปิดเว็บไซต์, ทำงานเอกสารและประชุมงานถือว่าเพียงพออย่างแน่นอน

หากผู้ใช้คนไหนคิดว่า M.2 NVMe SSD ที่ติดตั้งมาให้มีความจุน้อยเกินไปไม่พอใช้งาน ส่วนตัวผู้เขียนไม่แนะนำให้เปิดเครื่องมาเปลี่ยน SSD เพราะดูจะไม่คุ้มกันเท่าไหร่ แนะนำให้ซื้อ External HDD/SSD ความจุสูงระดับ 2~4TB มาต่อเพื่อเซฟงานแยกออกไปจะดีกว่า

r15
r20

ด้านการทดสอบเรนเดอร์ไฟล์โมเดล 3D CG ด้วยโปรแกรม CINEBENCH R15 จะเห็นว่าซีพียู Intel Core i7-1260P ในตัวเครื่องก็มีประสิทธิภาพดีพอสมควร สามารถพรีวิวโมเดล 3D ให้เห็นและเลื่อนโมเดลดูได้ โดยทำคะแนน OpenGL ไป 84.01 fps และคะแนน CPU 1,111 cb ซึ่งถือว่าแรงพอใช้ทำงานได้แน่นอน ด้านของ CINEBENCH R20 ซึ่งเน้นทดสอบการประมวลผลต่อคอร์ของซีพียู จะได้คะแนน CPU 2,721 pts จัดว่าสูงทีเดียว ช่วยการันตีว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ใช้ทำงานกราฟฟิคเบื้องต้นต่างๆ อย่างตัดต่อภาพหรือแต่งรูปก็ได้ไม่มีปัญหา

Screenshot 7 29 2022 12 18 53 AM

อย่างไรก็ตาม เมื่อทดสอบการเล่นเกมด้วย 3DMark Time Spy จะเห็นว่า DELL XPS 13 Plus 9320 ทำคะแนนเฉลี่ยได้เพียง 1,691 คะแนน แยกเป็นคะแนน CPU score 5,181 คะแนน และ Graphics score 1,512 คะแนนเท่านั้น จึงสรุปได้ว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องยนี้ไม่เหมาะจะเอามาเล่นเกมอย่างแน่นอน อย่างมากอาจจะเล่นเกม 8-bit ทั่วไปพอฆ่าเวลาได้เท่านั้น ไม่เหมาะจะใช้เล่นเกมฟอร์มยักษ์อย่างแน่นอน

PCMark 10 Advanced Edition 7 29 2022 12 04 11 AM

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานด้วย PCMark 10 จะเห็นว่า DELL XPS 13 Plus 9320 ทำคะแนนรวมเฉลี่ยไปได้ 4,550 คะแนน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับทั่วไปที่โน๊ตบุ๊คสายทำงานทำคะแนนได้ และถ้ามองแยกเป็นหมวดหมู่แล้วจะเห็นว่า XPS 13 Plus 9320 ทำคะแนนในหมวดการใช้งานทั่วไป (Essential) ได้ดีไม่มีปัญหา ส่วนงานเอกสารกับไฟล์ Word, Excel และงานตัดต่อแต่งภาพก็ทำได้ดีไล่เลี่ยกันทั้งคู่

ถ้าอิงจากคะแนน ก็สามารถสรุปได้ว่า XPS 13 Plus 9320 จะเหมาะกับกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่หาโน๊ตบุ๊คสายทำงานระดับพรีเมี่ยมเอาไว้ใช้งานสักเครื่อง เน้นการทำงานเอกสารและประชุมออนไลน์และแต่งภาพบ้างเป็นระยะๆ ก็สามารถใช้งานได้ดีอย่างแน่นอน

my dell 1

my dell cinema
my dell power manager
my dell seamless security
mode change

ด้านโปรแกรม My Dell เป็นโปรแกรมตั้งค่าตัวเครื่อง ซึ่งใช้อัพเกรดเฟิร์มแวร์ของตัวเครื่องหรือแม้แต่ตั้งค่าการทำงานตัวเครื่องก็ได้ ทั้งการแสดงผลหน้าจอ, การจัดการแบตเตอรี่รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยของตัวเครื่องอีกด้วย นอกจากนี้ทาง DELL ยังมีซอฟท์แวร์ปรับโหมดการทำงานตัวเครื่องให้เลือกเปลี่ยนโหมดได้ด้วย ว่าต้องการให้ DELL XPS 13 Plus 9320 ทำงานเต็มที่หรือเน้นประหยัดพลังงานเอาไว้ก่อนก็ได้ ซึ่งใช้งานได้ดีและสะดวกมาก

Battery & Heat & Noise

DELL XPS 13 Plus DSC00199

แบตเตอรี่ของ DELL XPS 13 Plus 9320 เป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียม ไอออน ความจุ 55Wh มีขนาดใหญ่โดยกินพื้นที่ยาวจากขอบสู่ขอบตัวเครื่องติดลำโพงทั้งสองข้าง ซึ่งขนาดของมันใหญ่จนกินพื้นที่ในตัวเครื่องไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

batt

ระยะเวลาใช้งานเมื่อทดสอบตามมาตรฐานของทางเว็บไซต์ ปิดไฟลดแสงสว่างจนต่ำสุด เปิดเสียงลำโพง 10% และเปิดโหมดประหยัดพลังงาน ใช้ Microsoft Edge ดูคลิป YouTube ต่อเนื่อง โดยครั้งนี้จะทดสอบนานราว 1 ชั่วโมง จะเห็นว่าแบตเตอรี่ 55Wh สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานราว 10 ชั่วโมง 39 นาที ซึ่งถ้าต้องการพกโน๊ตบุ๊คไปทำงานตามร้านกาแฟ, พกเข้าห้องประชุมคุยงานต่อเนื่องหลายชั่วโมงก็ใช้ได้ดีไม่มีปัญหา และผู้เขียนเชื่อว่าถ้าปิดเสียงลำโพงก็น่าจะใช้งานได้นานกว่านี้มาก

DELL XPS 13 Plus DSC00191

ระบบระบายความร้อนของ DELL XPS 13 Plus 9320 จัดว่าเรียบง่าย มีฮีตไปป์เส้นเดียวพาดยาวจากซีพียู Intel Core i7-1260P ออกไปยังฮีตซิ้งค์สองฝั่งด้านหน้าพัดลมระบายความร้อนที่เป่าออกด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งชุดระบายความร้อนเซ็ตนี้จัดว่าพอใช้งานอย่างแน่นอน เนื่องจากซีพียูตระกูลนี้ไม่ได้สร้างความร้อนมากหากใช้งานทั่วไป ซึ่งจากการใช้งานตามปกติอย่างเปิดเว็บไซต์, ดูหนังฟังเพลงตัวเครื่องก็ไม่ร้อนเกินไปจนรบกวนการใช้งานเลย

temp

ด้านอุณหภูมิสูงสุดจากการทดสอบด้วยโปรแกรม CPUID HWMonitor จะเห็นว่าทั้งแพ็คเกจนั้นมีอุณหภูมิอยู่ระหว่างช่วง 43~100 องศาเซลเซียส ซึ่งเกิดเฉพาะตอนรันโปรแกรมทดสอบตัวเครื่องเท่านั้น เวลาใช้งานจริงต้องถือว่า XPS 13 Plus 9320 ก็เย็นต่อเนื่องไม่มีอาการตัวเครื่องร้อนหรือเร่งความเร็วพัดลมกะทันหันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นถ้าใครต้องการซื้อโน๊ตบุ๊คนี้ไปใช้งานก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอุณหภูมิเลยก็ได้

User Experience

DELL XPS 13 Plus DSC00119

DELL XPS 13 Plus 9320 เป็นโน๊ตบุ๊คมาตรฐาน Intel Evo เน้นการพกพาง่าย ใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง ซึ่งจากการทดลองใช้งานจริงถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คพกพาง่ายและน้ำหนักเบาทีเดียว แต่ทีเด็ดคือบอดี้อลูมิเนียมนั้นแข็งแรง งานประกอบแน่นหนามากจนผู้เขียนเองยกให้เป็นเครื่องที่งานประกอบดีที่สุดในหมู่โน๊ตบุ๊คบอดี้อลูมิเนียมอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้านการล็อคอินเข้าใช้งานเครื่องนั้นง่ายมาก จะสแกนใบหน้าหรือนิ้วเพื่อปลดล็อคเครื่องก็ได้ไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านและไม่ต้องเปิดหน้ากากเพื่อสแกนใบหน้าเลยก็ได้ ตอนพกโน๊ตบุ๊คไปทำงานในร้านกาแฟจึงเปิดใช้งานได้สะดวกไม่ต้องเสี่ยงกับ COVID-19 สักนิดเดียว และระยะเวลาใช้งานด้วยแบตเตอรี่ในตัวเครื่อง ถ้าปิดลำโพงแล้วลดแสงลงสัก 50% ก็จะใช้งานได้นานขึ้น ไม่ต้องคอยมองหาหรือต้องนั่งใกล้ปลั๊กก็ทำงานภายในวันนั้นๆ เสร็จได้อย่างแน่นอน

หน้าจอทัชสกรีนก็เป็นอีกจุดเด่นที่ผู้เขียนชอบเช่นกัน นั่นเพราะหากเราใช้งานจนถนัดแล้วก็ไม่ต้องพกเมาส์ติดกระเป๋าไปคู่กับโน๊ตบุ๊คก็ได้ สามารถใช้นิ้วแตะหน้าจอเพื่อสั่งให้โน๊ตบุ๊คทำงานได้ทันที ช่วยลดอุปกรณ์ที่ต้องพกใส่กระเป๋าไปได้อีกชิ้นซึ่งสะดวกและประหยัดพื้นที่อีกด้วย

สำหรับคีย์บอร์ด Zero-Lattice นับเป็นคีย์บอร์ดที่ใช้แรงกดปุ่มน้อยมาก เบาจนแทบจะเป็นการแตะสัมผัสเพื่อพิมพ์งานได้เลยและระยะกดปุ่มก็ลึกกำลังดีเลยทำให้พิมพ์งานได้สะดวกมาก ไม่เหมือน Butterfly keyboard ของ Apple ซึ่งระยะกดสั้นเกินไป แม้จะใช้แรงกดน้อยเหมือนกันก็จริงแต่ระยะกดสั้นมากจนผู้เขียนซึ่งเคยใช้ MacBook Pro รุ่นดังกล่าวมาก่อนปวดนิ้วเป็นประจำ แต่กับคีย์บอร์ด Zero-Lattice ไม่พบอาการนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว และการดีไซน์ให้แป้นทัชแพดเรียบเป็นเนื้อเดียวกับที่วางข้อมือ ก็ได้ความเรียบร้อยสวยงามไปด้วย

ในทางกลับกัน คีย์บอร์ด Zero-Lattice ที่พิมพ์งานได้ดีกลับต้องใช้เวลาปรับตัวมากกว่าคีย์บอร์ดแบบอื่น เนื่องจากตัวแป้นที่เหยียดจนแต่ละปุ่มแทบจะชิดกันและเรียบเหมือนผ้าขาวบางขึงตึงนั้นไม่มีขอบปุ่มช่วยไกด์ว่าแต่ละปุ่มสุดขอบตรงไหน จึงกะระยะของแต่ละปุ่มลำบาก ตอนทดลองใช้งานในช่วงแรกก็พิมพ์ผิดอยู่บ่อยครั้ง ส่วนแป้นทัชแพดที่ไม่รู้ว่าขอบของทั้งสองฝั่งอยู่ตรงไหนก็เช่นกัน ต้องปรับตัวเล็กน้อยถึงจะรู้ระยะเริ่มและสุดขอบ ซึ่งผู้เขียนใช้วิธีว่าถ้าแตะลงไปตรงขอบตัวเครื่องในระยะห่างไม่เกินขอบ Spacebar ทั้งสองข้าง ก็ใช้ทัชแพดได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ เมื่อทางบริษัทติดตั้งพอร์ตมาให้เพียงแค่ Thunderbolt 4 เพียง 2 ช่อง ทำให้เวลาต้องการใช้งานพอร์ตอื่นๆ เช่น HDMI, LAN ก็ต้องหา USB-C Multiport Adapter มาต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ และทาง DELL ก็แถมหัวแปลงมาเพียง 2 หัว เพื่อแปลง USB-C เป็นแจ็คหูฟัง 3.5 มม. กับ USB-A เท่านั้น ในแง่การใช้งานจริงถือว่าค่อนข้างลำบากและมีข้อจำกัดอยู่พอควร ยิ่งถ้าใครต้องพกโน๊ตบุ๊คไปพรีเซนต์งาน ก็จำเป็นต้องหาตัวแปลงมาต่อเสริมด้วย ดังนั้นผู้เขียนจึงมองว่าในเมื่อ DELL XPS 13 Plus 9320 ตั้งราคาและวางตัวเป็นโน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยมแล้วทั้งที ก็น่าแถมอุปกรณ์เสริมมาให้เท่าเทียมกัน อย่าง DELL USB-C Mobile Adapter DA310 หรือ Dell Mobile Adapter Speakerphone MH3021P ด้วยเลยจะเหมาะสมที่สุด

Conclusion & Award

DELL XPS 13 Plus DSC00206

ถ้านับในกลุ่มโน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยมแล้ว DELL XPS 13 Plus 9320 นั้นโดดเด่นทั้งเรื่องงานประกอบที่แข็งแรงทนทานมาก ซึ่งผู้เขียนยกให้โน๊ตบุ๊คยบอดี้อลูมิเนียมนี้เป็นเครื่องที่บอดี้แข็งแรงที่สุดเท่าที่เคยได้ทดสอบมา ซึ่งถ้าใครหาโน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยมและถนัดใช้งานโน๊ตบุ๊ค Windows เป็นหลักแนะนำให้ดูโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ไปใช้งานได้เลย เพราะความหรูหราสวยงามจัดว่าไม่แพ้แบรนด์อื่นอย่างแน่นอน

แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก XPS 13 Plus 9320 มีราคา 73,990 บาท ทำให้มีตัวเลือกในตลาดอยู่มาก ซึ่งหลายๆ รุ่นก็ได้สเปคไล่เลี่ยกันแต่ราคาถูกกว่าราวครึ่งหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นผู้เขียนจึงมองว่ามันเป็นโน๊ตบุ๊คทำงานที่เสริมบุคลิคของผู้ใช้ไปในตัว ถ้าชื่นชอบและมั่นใจคุณภาพของแบรนด์ DELL XPS ก็ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน

Award

NBS award 7 Design

best design

งานประกอบและความแข็งแรงของ XPS 13 Plus 9320 นั้นน่าประทับใจมาก นับเป็นโน๊ตบุ๊คบอดี้อลูมิเนียมที่แข็งแรงแน่นหนาที่สุดเท่าที่เคยใช้งาน ไม่ว่าจะบานพับก็แน่นแข็งแรง บอดี้ตัวเครื่องทนทานและจับถือก็รู้สึกแน่นไปทั้งเครื่องอีกด้วย

award new multi media

best multimedia

ลำโพงของ XPS 13 Plus 9320 ได้คุณภาพเสียงดี เนื้อเสียงมีมิติและสเตจเสียงกว้าง ฟังเพลงและดูหนังได้อารมณ์ไม่ต้องต่อลำโพงแยกก็ฟังเพลงได้อรรถรส เนื้อเสียงดีน่าประทับใจอีกด้วย จัดเป็นลำโพงติดโน๊ตบุ๊คเพียงไม่กี่เครื่องเท่านั้นที่คุณภาพเสียงดีน่าประทับใจเช่นนี้

award new mobility

best mobility

น้ำหนักของ XPS 13 Plus 9320 เบาเพียง 1.26 กิโลกรัม ตัวเครื่องบางทรงลิ่มทำให้ประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าพอสมควร สามารถสอดเอกสารหรือแท็บเล็ตเพิ่มเข้าไปในกระเป๋าได้สบายๆ และยังใช้งานได้นานเกิน 10 ชั่วโมง และยังชาร์จแบตเตอรี่แบบ Power Delivery ผ่าน USB-C ได้อีก นับว่ามีคุณสมบัติของโน๊ตบุ๊คสายพกพาครบถ้วน

from:https://notebookspec.com/web/660717-review-dell-xps-13-plus-9320

รีวิว Dell Latitude 3190 2-in-1 เบา ดี ทนทาน แบตอึดน่าใช้จากร้าน comdee2you ราคาย่อมเยาว์เพียง 7,990 บาท

Dell Latitude 3190 2-in-1 โน๊ตบุ๊คพกพา มีปากกาพร้อมใช้ สเปคเพื่อนักเรียนนักศึกษา

latitude cover

ชื่อชั้นของ Dell ในฐานะโน๊ตบุ๊คเพื่อการศึกษาและการทำงานนับว่าแข็งแรงและเป็นตัวเลือกแรกๆ ของใครหลายคน เช่น Dell Latitude 3190 2-in-1 ที่ทางบริษัทออกแบบมาเพื่อเจาะกลุ่มนักเรียนนักศึกษาโดยเฉพาะ สังเกตได้จากบอดี้ตัวเครื่องถูกล้อมกรอบด้วยขอบยาง แข็งแรงทนทานและงานประกอบตัวเครื่องแข็งแรง โดยทาง DELL ก็ทดสอบ Drop test เป็นที่เรียบร้อยและการันตีว่าตัวเครื่องทนทานต่อการตกจากความสูง 30 นิ้ว หรือสูงราวโต๊ะเรียนในห้องเรียนได้โดยไม่เสียหายแน่นอน จัดว่าเหมาะกับเด็กนักเรียนที่ใช้โน๊ตบุ๊คแล้วอาจจะเกิดอุบัติเหตุทำเครื่องตกกระแทกพื้นก็ไม่เสียหายง่ายๆ และเซอร์วิสเครื่องได้สะดวก เพียงแค่ขันน็อตไม่กี่ตัวก็ปลดล็อคมาใส่ M.2 NVMe เพิ่มความจุได้แล้ว และนอกจากนักเรียนนักศึกษา ถ้าใครมองหาโน๊ตบุ๊คราคาไม่แพงเน้นความทนทานเพราะต้องไปงานแบบ Onsite เช่น วิศวกรที่ต้องออกหน้างานบ่อยๆ, คนขายสินค้าออนไลน์, แอดมินเพจที่ต้องการโน๊ตบุ๊คเบาๆ ก็ถือว่าเหมาะกับโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ทั้งนั้น

Advertisementavw

ด้านดีไซน์ต้องถือว่าเกิดมาเพื่อการศึกษา, ใช้งานนอกสถานที่และตอบโจทย์การใช้งานของคนเมืองมากๆ ไม่ว่าจะดีไซน์ให้พับเครื่องกลับได้ 360 องศาเป็นแท็บเล็ตให้อ่านและเรียนออนไลน์ได้สะดวก มีปากกาสไตลัสเขียนได้ทั้งในแนวตั้งหรือเขียนตามปกติก็ทำได้สะดวก เหมือนใช้ปากกาจริงๆ เขียนบนกระดาษอย่างไรอย่างนั้น ด้านสเปคถือว่าใช้เรียน, ทำงานและเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คได้สบายๆ แบตเตอรี่ก็ทนทานใช้งานได้หลายชั่วโมง ใครที่ไม่สะดวกหรือหาปลั๊กมาเสียบชาร์จเครื่องไม่ค่อยได้ ก็ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

Dell Latitude 3190 2-in-1

NBS Verdicts

Dell latitude 3190 DSC02472

Dell Latitude 3190 2-in-1 ถือเป็นโน๊ตบุ๊คเพื่อการทำการบ้านและเรียนออนไลน์อย่างแท้จริง นอกจากดีไซน์ตัวเครื่องแข็งแรงทนทาน ได้กระจกตัวเครื่อง Goriila Glass NBT แข็งแรงใช้ดีไม่พอ บอดี้ตัวเครื่องก็ออกแบบบุยางรอบตัวให้ความแข็งแรงทนทาน ทนการตกจากที่สูง 30 นิ้ว หรือสูงราวโต๊ะเรียนได้อย่างแน่นอน ดังนั้นนักเรียนชั้นประถมและมัธยมซึ่งอาจจะใช้งานและไม่ทันระวังเครื่องนักก็สามารถใช้ได้อย่างสบายใจ รวมถึงผู้ใช้ที่ต้องการหาโน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบา เน้นความแข็งแรงทนทานเอาไว้ใช้งานก็เหมาะทั้งนั้น ไม่ว่าจะวิศวกร, เจ้าพนักงานประกันภัยหรือจะแอดมินเพจที่ต้องเปิดคอมพิวเตอร์ตอบงานตอบแชตบ่อยๆ ก็เหมาะกับโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เป็นอย่างมาก หรือถ้าใครอยากได้โน๊ตบุ๊คราคาไม่แพงมากและเน้นใช้โซเชียลเปิดเว็บเบราเซอร์เป็นหลักก็น่าซื้อมาใช้ เพราะจ่ายแค่ 7,990 บาทเป็นเจ้าของได้แล้ว

สเปคและฟีเจอร์ถือว่าเหมาะจะใช้ทำงานอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะพับหน้าจอกลับเป็นแท็บเล็ตได้, มีปากกาสไตลัสไว้เขียนจดหรือวาดภาพและเซ็นลายเซ็นบนหน้าจอและยังทัชจอได้ แบตเตอรี่ก็สามารถใช้งานได้นานเกิน 11 ชั่วโมง ดังนั้นถ้าผู้ใช้คนไหนต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานหลายชั่วโมง ไม่ค่อยสะดวกหาช่องเสียบปลั๊กชาร์จแบตฯ ก็ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน และยังอัพเกรดเพิ่ม M.2 NVMe เพิ่มเอาไว้เซฟไฟล์งานได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Dell Latitude 3190 2-in-1 ถึงแม้ง Dell 3190 จะดูเหมาะกับการเรียนการสอนมากที่สุด แต่สเป็คที่ให้มานั้นก้ยังสามารถทำงานพื้นฐานอื่นๆได้อย่างไม่มีปัญหา ทั้งใช้ทำงาน Office หรือใช้ดูแลธุรกิจออนไลน์, ตอบแชตของธุรกิจ, ดูแลเพจ Facebook และยังพอใช้แต่งภาพแบบง่ายๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่คุ้มค่าราคา 7,990 บาทอย่างแน่นอนและหารุ่นที่คุ้มเทียบชั้นรุ่นนี้ได้ยากทีเดียว เพราะรุ่นที่สเปคใกล้เคียงกันก็ต้องเตรียมเงินหลักหมื่นบาทขึ้นไปทั้งนั้น

ข้อดีของ Dell Latitude 3190 2-in-1
  1. บอดี้ออกแบบมาแข็งแรงทนทาน เสริมขอบยางป้องกันการตกสูง 30 นิ้วได้
  2. ตัวเครื่องซีลมาอย่างดี ทนน้ำหกใส่ได้ไม่เสียหายหรือเกิดไฟฟ้าลัดวงจรจนเครื่องพัง
  3. ดีไซน์พับตัวเครื่องกลับ 360 องศาเป็นแท็บเล็ตได้ ใช้งานได้หลากหลายแบบ
  4. มีปากกาสไตลัสติดมาให้ในแพ็คเกจ ใช้เขียน, วาด, เซ็นเอกสารได้เป็นอย่างดี
  5. ติดตั้งกล้องมา 2 ตัว เป็น Webcam กับกล้องเหนือคีย์บอร์ดเพื่อถ่ายเลคเชอร์
  6. ในเครื่องมีอินเตอร์เฟส PCIe SSD อัพเกรด M.2 NVMe เพิ่มได้อีก 1 ตัว
  7. หน้าจอทัชสกรีนความละเอียด HD ใช้กระจก Gorilla Glass NBT แข็งแรงทนทาน
  8. ติดตั้ง Windows 11 Home มาให้พร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องหาระบบปฏิบัติการเพิ่ม
  9. แบตเตอรี่ทนทานใช้งานต่อเนื่องได้ร่วม 14 ชั่วโมงใช้งานต่อเนื่องได้นานทั้งวัน
ข้อสังเกตของ Dell Latitude 3190 2-in-1
  1. สเปคเหมาะกับการใช้งานทั่วไปอย่างการเปิดเบราเซอร์, ดูหนังฟังเพลงหรือทำงานเอกสาร ไม่แนะนำให้ใช้ทำงานกราฟฟิคหนักๆ
  2. มีพอร์ตให้ใช้แค่ USB-A 3.1 Gen 1 กับ HDMI เท่านั้น 
  3. มีแรมเพียง 4GB DDR4 2400MHz เท่านั้น ต้องบริหารการเปิดปิดโปรแกรมให้ดี

รีวิว Dell Latitude 3190 2-in-1

Specification

latitude 11 3190 2in1 pdp 01

Dell Latitude 3190 2-in-1 เป็นโน๊ตบุ๊คออกแบบมาเพื่อนักเรียนนักศึกษาใช้เรียนออนไลน์เป็นหลัก งานประกอบตัวเครื่องแข็งแรงทนทานและบุขอบยางเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเครื่องตกกระทบพื้นแล้วเกิดความเสียหายด้วย ส่วนสเปคเป็นดังนี้

  • CPU : Intel Celeron N4120 แบบ 4 คอร์ 4 เธรด ความเร็ว 1.1-2.6GHz
  • GPU : Intel UHD Graphics 600
  • SSD : แบบ eMMC ความจุ 64GB อัพเกรดเพิ่ม M.2 NVMe ได้
  • RAM : ออนบอร์ด 4GB DDR4 2400MHz
  • Display : หน้าจอทัชสกรีน 11.6 นิ้ว ความละเอียด HD (1366×768) พาเนล VA กระจก Gorilla Glass NBT
  • Ports : USB-A 3.1 Gen 1 x 2, HDMI x 1, Audio combo x 1
  • Wireless : Wi-Fi 5 มาตรฐาน 802.11ac รองรับ Bluetooth 4.2
  • Webcam : HD Camera, Front Camera
  • Software : Windows 11 Home
  • Weight : 1.45 กิโลกรัม
  • Price : 7,990 บาท (comdee2you)

สำหรับผู้ใช้ที่คิดว่า Dell Latitude 3190 2-in-1 เครื่องนี้จากร้าน comdee2you แล้ว ต้องการทราบเงื่อนไขการรับประกันและการขอคืนสินค้าคืนเงินว่าทางร้านค้าจะดูแลและให้บริการหลังการขายอย่างไรบ้าง สามารถอ่านเงื่อนไขได้ตามด้านล่างดังนี้

เงื่อนไขการรับประกันโน๊ตบุ๊คจากทางร้าน comdee2you
  1. สินค้าเสียหายหรือใช้งานไม่ได้ – มีปัญหาในการใช้งานภายใน 7 วันนับจากวันได้รับสินค้า บริษัทยินดีเปลี่ยนตัวใหม่ทันทีหลังจากได้รับสินค้าคืน โดยลูกค้าต้องนำ สินค้า พร้อมอุปกรณ์เสริม (Accessories) ครบตามที่ซื้อ ได้แก่ ตัวเครื่อง กล่อง โฟม ถุง คู่มือ แผ่นไดร์เวอร์ สายไฟ adaptor ของแถม บิลฯ จัดส่งกลับไปยังบริษัท โดยแจ้งและส่งสำเนาบิลบริษัทขนส่งไปยังบริษัท เมื่อบริษัทตรวจสอบรายการสภาพ ความครบถ้วนแล้วจะดำเนินการเปลี่ยนและส่งกลับไปยังลูกค้าทันที, ค่าขนส่งไป – กลับ บริษัทรับผิดชอบทั้งหมด
  2. สินค้ามีปัญหาภายใน 30 วัน นับจากวันได้รับสินค้า – บริษัทยินดีซ่อมเปลี่ยนอะไหล่ให้โดยไม่คิดมูลค่า, ค่าขนส่งไป-กลับ บริษัทรับผิดชอบทั้งหมด
  3. สินค้ามีปัญหาเกิน 30 วัน นับจากวันได้รับสินค้า – บริษัทยินดีซ่อม, เปลี่ยนอะไหล่ให้โดยไม่คิดมูลค่า, ลูกค้ารับผิดชอบค่าส่งซ่อม บริษัทรับผิดชอบค่าขนส่งคืนเมื่อซ่อมเสร็จ เว้นแต่การซ่อมนั้นมิได้เกิดจากความบกพร่องของสินค้าจากการใช้งานปกติ ลูกค้าต้องรับผิดชอบค่าซ่อมและ ค่าขนส่งทั้งไป – กลับ

*ส่วนที่ชำรุดหรือเสียหายจะต้องแจ้งให้ทางบริษัททราบทันทีหลังจากได้รับสินค้า มิฉะนั้นการรับประกันจะถือเป็นโมฆะ ** ทางบริษัทคืนเงินค่าจัดส่งสูงสุด 100 บาทเท่านั้น

เงื่อนไขการขอคืนสินค้าและคืนเงินจากทางร้าน comdee2you

กรณีที่ลูกค้าสั่งซื้อและได้รับสินค้าแล้ว หากต้องการคืนสินค้า บริษัทมีเงื่อนไขในการขอคืน ดังนี้

  1. สินค้าที่ซื้อนั้นต้องไม่เกิน 7 วันนับจากวันได้รับสินค้า
  2. ลูกค้าต้องนำสินค้า พร้อมอุปกรณ์เสริม (Accessories) ครบตามที่ซื้อ ได้แก่ ตัวเครื่อง กล่อง โฟม ถุง คู่มือ แผ่นไดร์เวอร์ สายไฟ adaptor ของแถมบิลฯ จัดส่งกลับไปยังบริษัท เมื่อบริษัทตรวจสอบรายการสภาพ ความครบถ้วนแล้ว บริษัทจะคืนเงินให้ลูกค้าภายใน 7 วันทำการ นับแต่วันที่ได้รับสินค้าที่คืนแล้ว โดยลูกค้าจะถูกหักเงิน 10% จากราคาสินค้าที่ซื้อ และลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่งในการส่งคืนดังกล่าว
  3. กรณีที่ลูกค้าต้องการเปลี่ยนสินค้าที่ซื้อเป็นรุ่นอื่นที่บริษัทจำหน่าย สินค้าที่ซื้อไปแล้วนั้น ต้องไม่เกิน 7 วันนับจากวันได้รับสินค้า และต้องนำสินค้า พร้อม อุปกรณ์เสริม (Accessories) ครบตามที่ซื้อ ได้แก่ ตัวเครื่อง, กล่อง, โฟม, ถุง, คู่มือ, แผ่นไดร์เวอร์, สายไฟ Adaptor, ของแถม บิลฯ จัดส่งกลับไปยังบริษัท โดยลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่งในการเปลี่ยนดังกล่าว เมื่อบริษัทตรวจสอบรายการ สภาพ ความครบถ้วนแล้ว บริษัทจะทำการเปลี่ยนสินค้าเป็นรุ่นอื่นที่ต้องการ โดยการเปลี่ยนสินค้าที่เปลี่ยนต้องเป็นสินค้าที่มีราคาไม่ตํ่ากว่าสินค้าเดิมโดยลูกค้าต้องชำระ ค่าสินค้าที่เพิ่ม ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกิดขึ้น
บริษัท ไม่รับเปลี่ยน หรือคืนเงิน กรณีที่สินค้ามีสภาพผิดปกติ ดังต่อไปนี้
  1. มีสภาพผิดปกติ เกิดอุบัติเหตุกับตัวสินค้า ได้แก่ หัก, บิ่น, งอ, ยุบ, เบี้ยว, ร้าว, ทะลุ หรือ มีรอยขูดถลอก
  2. สภาพที่เกิดจากการเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้อง เช่น คราบนํ้า สนิม
  3. สินค้าเสียหายเนื่องจากปัจจัยภายนอก เช่น ไฟเกิน, ไฟตก, ฟ้าผ่า, ภัยธรรมชาติ
  4. ความเสียหายจากสัตว์ หรือแมลงต่าง ๆ
  5. การใช้สินค้าผิดวิธี มีการแก้ไขก่อนได้รับอนุญาต
  6. มีรอยเขียนลงบนตัวสินค้า และไม่สามารถลบออกได้
  7. ปัญหาที่เกิดขึ้นอันเกี่ยวเนื่องมาจากซอฟต์แวร์ ไวรัส หรือระบบปฏิบัติการ ที่ติดตั้งโดยผู้ซื้อ
  8. สินค้าที่หมดอายุการรับประกัน หรือสินค้าที่ตรวจไม่พบอาการเสีย จะต้องเสียค่าบริการในการซ่อม

Hardware & Design

Dell latitude 3190 DSC02475

Dell latitude 3190 DSC02495
Dell latitude 3190 DSC02498
Dell latitude 3190 DSC02483
Dell latitude 3190 DSC02497

ดีไซน์ของ Dell Latitude 3190 2-in-1 จะออกแบบเป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องเล็ก เน้นพกพาสะดวกและเสริมขอบเครื่องเป็นยางทั้งรอบหน้าจอและกรอบตัวเครื่อง ป้องกันการตกจากโต๊ะเรียนสูงราว 30 นิ้วได้ ทนทานต่อการใช้งานแบบไม่ทันระมัดระวังอย่างกระแทกเก้าอี้หรือขอบโต๊ะได้เช่นกัน เป็นการออกแบบเพื่อลดโอกาสตัวเครื่องเสียหายเปิดไม่ติดไปในตัว ดังนั้นนอกจากนักเรียนมันก็เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องพกโน๊ตบุ๊คติดตัวไปไหนมาไหนเป็นประจำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะวิศวกรที่ต้องดูแปลนหน้างาน, เจ้าพนักงานประกันภัยที่ต้องนำสัญญาประกันไปให้ผู้เอาประกันเซ็นหรือแม้แต่แอดมินเพจที่ต้องการหาโน๊ตบุ๊คเอาไว้ตอบข้อความจากลูกเพจก็ตอบโจทย์เช่นกัน

ถ้าสังเกตจะเห็นว่าทาง Dell ใช้ขาตั้งหน้าจอแบบพับกลับได้ 360 องศาเป็นแท็บเล็ตได้ เมื่อพับแล้วก้านฐานหน้าจอจะให้ตัวและม้วนกลับตามกลายเป็นแท็บเล็ตได้ ตัวเครื่องเสริมก้านพลาสติกป้องกันแป้นคีย์บอร์ดรูดกับพื้นโต๊ะโดยตรงเอาไว้ทั้ง 4 มุมและติดตั้งกล้องเอาไว้เหนือคีย์บอร์ดเพื่อใช้ถ่ายภาพ เช่น เลคเชอร์บนกระดานเพื่อเอาไว้ทบทวนในภายหลังได้ด้วย

Dell latitude 3190 DSC02544

เมื่อหน้าจอพับกลับ 360 องศาเป็นแท็บเล็ตหรือเปลี่ยนเป็นโหมดเต็นท์เพื่อดูเนื้อหาและคลิปวิดีโอประกอบการเรียนการสอนได้โดยง่าย รองรับปากกาสไตลัสสำหรับวาดเขียนภาพ, เซ็นเอกสารและใช้แก้ไขเขียนจดบนไฟล์ PDF ได้สะดวก ซึ่งปากกาด้ามนี้จะได้แถมฟรีมาในแพ็คเกจเมื่อซื้อโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้จากทาง comdee2you ด้วย

Dell latitude 3190 DSC02504

Dell latitude 3190 DSC02505
Dell latitude 3190 DSC02545
Dell latitude 3190 DSC02528

ด้านฝาหลังของตัวเครื่องจะดีไซน์เน้นเรียบง่ายตามสไตล์ของ Dell Latitude เป็นบอดี้พลาสติกสีเรียบสีเดียวพร้อมโลโก้ Dell แบบวงกลมสีเงินตรงกลางเท่านั้น และสังเกตว่าตัวเครื่องไม่มีช่องระบายความร้อนเลย เนื่องจากซีพียู Intel ภายในตัวเครื่องไม่ร้อนมากและไม่กินพลังงานด้วย จึงไม่ต้องติดพัดลมโบลวเวอร์หรือเจาะช่องระบายความร้อนให้ความสวยงามลดลงสักนิด

Dell latitude 3190 DSC02506

ด้านใต้ตัวเครื่องสังเกตว่าจะต่างจากโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่นตรงส่วนครึ่งบนของตัวเครื่องไม่มีช่องอากาศเข้าใต้เครื่องแม้แต่ช่องเดียว มีเพียงแต่ขอบยางด้านใต้เครื่อง 2 เส้นลากยาวจากขอบสู่ขอบ มีลำโพงอีก 2 ดอกติดตั้งเอาไว้ขอบล่างของตัวเครื่องและขันล็อคเอาไว้ด้วยน็อตหัว Philip Head อีก 7 ตัวเท่านั้น ช่วยป้องกันบอดี้ตัวเครื่องด้านล่างไม่ให้ถูกกับพื้นโต๊ะโดยตรงและมีสติกเกอร์แสดงข้อมูลผลิตภัณฑ์ติดเอาไว้

Screen & Speaker

Dell latitude 3190 DSC02499

Dell latitude 3190 DSC02501
Dell latitude 3190 DSC02500
Dell latitude 3190 DSC02502
Dell latitude 3190 DSC02503

Dell latitude 3190 DSC02547

หน้าจอ Dell Latitude 3190 2-in-1 เป็นจอทัชสกรีน 11.6 นิ้ว ความละเอียด HD (1366×768) พาเนล VA ปิดด้วยกระจก Gorilla Glass NBT ทนต่อรอยขีดข่วน ใช้ปากกาสไตลัสที่แถมมาพร้อมตัวเครื่องวาดเขียนและจดบนหน้าจอได้โดยสะดวก ติดตั้งกล้อง Webcam เอาไว้ขอบบนของตัวเครื่องเพื่อใช้ประชุมออนไลน์ได้ แต่สังเกตว่าขอบหน้าจอจะหนาเพราะเป็นพื้นที่ของทัชพาเนลหน้าจอ นอกจากนี้แม้จะเป็นพาเนล VA ก็ตาม แต่เมื่อพับหน้าจอลงมาจะเห็นว่าจอนี้แสดงผลหน้าจอได้คมชัดและสีสันไม่เพี้ยนหรือเกิดเงาเหลือบบนหน้าจอแม้แต่น้อย จึงใช้ได้โดยไม่มีปัญหา

gamut 1

brightness 1
bright zone
color accuracy
sum 1

เนื่องจาก Dell Latitude 3190 2-in-1 ถูกออกแบบมาเน้นใช้งานทั่วไปให้เหมาะกับรูปแบบการใช้งานของและคนทั่วไป ซึ่งขอบเขตสีของหน้าจอเมื่อวัดด้วย Spyder5Elite แล้ว ได้ขอบเขตสีกว้าง 65% sRGB, 48% AdobeRGB, 48% DCI-P3 เมื่อเทียบค่าความเบี่ยงเบนสีของหน้าจอหรือ Delta-E จะได้ค่าเฉลี่ย 1.84 เท่านั้น แม้จะแสดงขอบเขตสีหน้าจอได้ระดับทั่วไปก็ตามแต่ก็ได้สีสันเที่ยงตรง ดังนั้นเจ้าของเครื่องเมื่อดูภาพบนหน้าจอก็จะเห็นสีสันเที่ยงตรงกับความเป็นจริงที่สุด

ความสว่างของหน้าจอตอนปรับความสว่างสูงสุดระดับ 100% จะได้ความสว่างเพียง 156.4 nits เท่านั้น เรียกได้ว่าสว่างแค่พอใช้งานในห้องเรียนหรือห้องส่วนตัว ไม่ได้สว่างระดับสู้แสงแดดสะท้อนได้ แต่ก็ไม่ถึงกับมืดจนมองไม่เห็นอย่างแน่นอน ส่วนตัวผู้เขียนเองได้ทดลองนำเครื่องไปทำงานชานร้านกาแฟก็จัดว่าสว่างใช้งานได้ดีไม่มีปัญหานัก แต่พอแบ่งพื้นที่บนหน้าจอเป็น 9 โซนเพื่อวัดความสว่างแล้ว จะเห็นว่าจอของ Dell Latitude 3190 2-in-1 มีอัตราความสว่างลดลงมากหลายส่วน 

ผลสรุปคะแนนหน้าจอจาก Spyder5Elite ได้ผลคือ Dell Latitude 3190 2-in-1 ได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 3 จาก 5 คะแนน จัดว่าอยู่ระดับกลางๆ เหมาะจะใช้ทำงานเอกสาร, ดูแลเพจ Facebook หรือแต่งภาพทั่วไป โดยจุดเด่นสุดของจอนี้ เป็นค่า Contrast ซึ่งได้ 5 คะแนนเต็ม ถัดลงมาเป็น Color Uniformity, Color Accuracy ซึ่งได้ 4 จาก 5 คะแนนเต็ม จัดว่าอยู่ระดับกลางๆ เทียบกับจอของเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คในปัจจุบันนี้

Dell latitude 3190 DSC02508
Dell latitude 3190 DSC02509
Dell latitude 3190 DSC02525
Dell latitude 3190 DSC02526

สำหรับลำโพง 2 ดอกที่ติดตั้งมาขอบล่างของตัวเครื่องสำหรับใช้ประชุมงานและฟังเพลงได้ระดับหนึ่ง ซึ่งคุณภาพเสียงต้องถือว่าอยู่ในระดับใช้งานได้และเสียงลำโพงเน้นทางเสียงร้องของนักร้องเป็นหลักแยกไลน์กับเสียงเครื่องดนตรีได้ชัดเจน แต่เสียงเบสจัดว่าบางจนไม่โดดเด่นนัก ซึ่งถ้าเน้นใช้เรียนออนไลน์หรือเปิดคลิปสื่อการสอนในห้องเรียนจัดว่าเสียงดีฟังชัด เมื่อวัดเสียงลำโพงด้วยเครื่องวัดเสียงลำโพงจะดังราว 80 เดซิเบล จัดว่าไม่ดังเกินไป แต่ถ้าใครเน้นดูหนังฟังเพลงให้ได้อารมณ์ยิ่งขึ้นก็แนะนำให้ต่อลำโพงแยกไปเลยดีกว่า

Keyboard & Touchpad

Dell latitude 3190 DSC02484

Dell latitude 3190 DSC02485
Dell latitude 3190 DSC02487
Dell latitude 3190 DSC02489
Dell latitude 3190 DSC02491
Dell latitude 3190 DSC02492
Dell latitude 3190 DSC02494

Dell latitude 3190 DSC02548

คีย์บอร์ดของ Dell Latitude 3190 2-in-1 จะเป็นคีย์บอร์ดแบบ Tenkeyless ใกล้เคียงกับไซซ์ 14 นิ้วหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน แต่เพราะถูกย่อไซซ์ให้พอดีกับตัวเครื่องขนาด 11.6 นิ้ว ดังนั้นปุ่มหลายๆ ปุ่ม เช่น Spacebar, F1-F12 จะถูกย่อให้เล็กลงและตัด Function Key บางปุ่มออกไป รวมทั้งไม่มีไฟ LED Backlit อีกด้วย เนื่องจากการออกแบบป้องกันน้ำหกใส่จึงตัดระบบไฟฟ้าบางส่วนบนตัวเครื่องออกไป

สังเกตว่าคีย์บอร์ดของ Dell เครื่องนี้จาก comdee2you เป็นเลย์เอ้าท์คีย์บอร์ดโมเดลขายในประเทศญี่ปุ่น จะเห็นว่านอกจากปุ่ม Enter ถูกเปลี่ยนทรงจากสี่เหลี่ยมผืนผ้าของเลย์เอ้าท์ ANSI กลายเป็นแป้นตัว L กลับหัวของ ISO แทน และเติมปุ่มฟังก์ชั่นเฉพาะของคีย์บอร์ดญี่ปุ่นเข้ามาหลายส่วน ไม่ว่าจะปุ่มสลับระหว่างตัวอักษรฮิรางานะ/คาตาคานะ/คันจิ และปุ่มข้างคีย์บอร์ดอีก 2 ปุ่มด้วยกัน แต่พอใช้งานจริงแล้วก็ใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาใดๆ อย่างมากแค่อาจจะเจอปัญหาว่าปุ่ม Shift, Backspace ฝั่งขวามือมีขนาดเล็กเป็นพิเศษ แค่ต้องปรับตัวตอนได้เครื่องมาใหม่ๆ เท่านั้น นอกจากนี้ทางร้าน comdee2you ก็แก้ปัญหาปุ่มคีย์บอร์ดนี้โดยปิดสติกเกอร์ภาษาไทยเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

ด้าน Function Key ใช้งานประจำหลายๆ ปุ่มก็ถูกเซ็ตเอาไว้ตามจุดต่างๆ ของคีย์บอร์ดในระดับเพียงพอใช้งานแล้ว เช่น Page Up, Page Down เหนือปุ่มลูกศรซ้ายขวา ถัดจาก F12 ก็มี Home, End, Delete ติดตั้งมาครบถ้วนและซ้อนเลเยอร์คีย์ลัดเช่น Print Scree, Insert เอาไว้ให้ใช้งาน และมี Fn Lock ตรงปุ่ม Esc อีกจุดหนึ่ง

Dell latitude 3190 DSC02490

Function Hotkey ตรง F1-F12 ของตัวเครื่องจะถูกเว้นเอาไว้ 2 ปุ่ม คือ F7, F10 โดยมีคำสั่งดังนี้

  • F1-F3 – ปิด, ลดหรือเพิ่มเสียงลำโพง
  • F4 – ปิดหรือเปิดไมค์
  • F5 – Refresh หน้าจอที่ใช้งานอยู่
  • F6 – กดเพื่อสลับเปลี่ยนโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ ณ ปัจจุบัน
  • F8 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและเสริม
  • F9 – ปุ่ม Search ค้นหาสิ่งที่ต้องการ
  • F11 – Print Screen
  • F12 – Insert
  • Home – เปิดหรือปิดสัญญาณ Wi-Fi
  • End – Sleep Mode

โดยรวมแล้ว นับว่าคีย์ลัดต่างๆ ของ Dell Latitude 3190 2-in-1 ก็ได้มาค่อนข้างครบ พร้อมใช้ทำงานและเรียนอย่างแน่นอน แต่ก็น่าเสียดายว่าถ้า Dell เติมปุ่ม Snipping Tool หรือคำสั่งล็อคหน้าจอเข้ามาอีกหน่อยก็น่าจะใช้งานได้ดีขึ้นมาก

Dell latitude 3190 DSC02496
Dell latitude 3190 DSC02520

ทัชแพดของ Dell เครื่องนี้จะมีขนาดเล็กสมส่วนกับขนาดตัวเครื่อง ดีไซน์ซ่อนปุ่มคลิกซ้ายขวาแต่มีเส้นแบ่งระหว่างปุ่มคลิ๊กสองปุ่มชัดเจน รองรับ Gesture Control ของ Windows ครบถ้วนและเมื่อวางมือพิมพ์งานแล้ว สันมือทั้งสองข้างจะพาดลงแป้นทัชแพดอย่างแน่นอน แต่จากการใช้งานจริงก็ไม่ค่อยพบปัญหาเรื่องทัชแพดลั่นรบกวนการทำงานแต่อย่างใด

Connector / Thin & Weight

Dell latitude 3190 DSC02513
Dell latitude 3190 DSC02514
Dell latitude 3190 DSC02515
Dell latitude 3190 DSC02516
Dell latitude 3190 DSC02519
Dell latitude 3190 DSC02518

พอร์ตเชื่อมต่อของ Dell Latitude 3190 2-in-1 จะมีพอร์ต USB-A 3.1 x 2, HDMI x 1, Audio combo x 1, Kensington Lock x 1 เท่านั้น และมีปุ่ม Power และเพิ่มลดเสียงติดมาด้านข้างเครื่องอีกชุดหนึ่งเพื่อให้ล็อคหน้าจอหรือเพิ่มลดเสียงลำโพงได้อย่างรวดเร็ว ในแง่การใช้งานจริงถือว่ามีพอร์ตครบพอใช้งานทั่วไปแล้ว

Dell latitude 3190 DSC02531

Dell latitude 3190 DSC02532
Dell latitude 3190 DSC02533
Dell latitude 3190 DSC02534

น้ำหนักเครื่องเมื่อชั่งด้วยตาชั่งดิจิตอลแล้ว เฉพาะเครื่องจะหนัก 1.48 กิโลกรัม รวมอแดปเตอร์และปากกาสไตลัสอีกด้ามจะหนัก 1.82 กิโลกรัม หากเทียบกับน้ำหนักทั่วไป รวมๆ ต้องถือว่าน้ำหนักอยู่ในระดับกำลังดี ไม่หนักเกินไปใส่กระเป๋าพกไปเรียนได้อย่างแน่นอน และสังเกตว่าสายไฟของตัวเครื่องจะมีสายดินพร้อมหางปลาติดมาด้วย ช่วยลดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรได้

Dell latitude 3190 DSC02542

Dell latitude 3190 DSC02536
Dell latitude 3190 DSC02537
Dell latitude 3190 DSC02538

ด้านปากกาสไตลัสที่ได้มาพร้อมเครื่องเมื่อซื้อโน๊ตบุ๊คกับ comdee2you เป็นปากกาสไตลัสพร้อมปุ่มลัดบนด้ามปากกา สามารถวาดเขียนจดสิ่งที่ต้องการได้สะดวกและใช้ถ่าน AAAA เพียงก้อนเดียวก็ใช้งานได้เลย ส่วนการตอบสนองถือว่าทำได้ดีเขียนวาดหรือจดสิ่งต่างๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา ถ้าใครต้องเขียนวาดเซ็นลงบนภาพหรือเอกสารหรือภาพก็ใช้ปากกานี้เขียนได้เลย การตอบสนองถือว่าใกล้เคียงกับการใช้ปากกาจริงวาดลงบนกระดาษ ไม่มีอาการดีเลย์กวนใจ

Inside & Upgrade

Dell latitude 3190 DSC02521

Dell latitude 3190 DSC02507
Dell latitude 3190 DSC02523
Dell latitude 3190 DSC02524
Dell latitude 3190 DSC02530

การเปิดฝาอัพเกรด Dell Latitude 3190 2-in-1 สามารถขันน็อต Philip Head จำนวน 7 ตัวออกและใช้มือดึงเบาๆ ที่ช่องต่ออแดปเตอร์ก็เปิดฝาเครื่องได้ทันที ไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริมช่วยงัดเปิดเครื่องก็ได้ แต่เมื่อเปิดฝาแล้วจะเห็นว่าด้านในเครื่องแทบไม่มีอะไรให้อัพเกรดมากนัก อย่างมากคือใส่ M.2 NVMe ขนาด 2280 เข้าไปได้อีกตัว และชิ้นส่วนอื่นไม่ว่าจะแรมหรือฮาร์ดดิสก์ e.MMC จะเป็นการบัดกรีลงบอร์ดทั้งหมด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ผู้เขียนแนะนำให้ใช้งานแบบสเปคเดิมๆ จากโรงงานไปได้เลยแล้วต่อโอนไฟล์งานเข้าออกกับ External HDD/SSD แทนจะดีกว่า

Performance & Software

cpu 1
ram 1

ซีพียูของ Dell Latitude 3190 2-in-1 เป็น Intel Celeron N4120 แบบ 4 คอร์ 4 เธรด ความเร็ว 1.1-2.6GHz สถาปัตยกรรม Intel Gemini Lake Refresh มาให้ ซึ่งจำนวนคอร์และเธรดระดับนี้สามารถเปิดใช้โปรแกรม Microsoft Office หรือเปิดเว็บเบราเซอร์เรียนออนไลน์และทำงานได้อย่างแน่นอน มีแรมออนบอร์ด 4GB DDR4 2400MHz จัดว่าเพียงพอตามสเปคขั้นต่ำของ Windows 11 อย่างแน่นอน

gpu 1

การ์ดจอในเครื่องเป็นออนบอร์ดรุ่น Intel UHD Graphics 600 ซึ่งออกแบบมาเพื่อเรนเดอร์ภาพหรือวิดีโอขึ้นหน้าจอได้ รองรับชุดคำสั่ง OpenCL, OpenGL 4.6, DirectCompute, DirectML, Vulkan พร้อมใช้งาน ซึ่งการแสดงผลภาพขึ้นหน้าจอทัช 11.6 นิ้ว ความละเอียด HD จัดว่าไม่มีปัญหาและยังใช้ดูหนังความละเอียด HD ได้อย่างแน่นอน

devicemgr 1

เมื่อเช็คใน Device Manger ของ Dell Latitude 3190 2-in-1 จะเห็นว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีพาร์ทสำคัญติดตั้งมาครบ ไม่ว่าจะฮาร์ดดิสก์ e.MMC ของ Hynix, การ์ด Wi-Fi รุ่น Intel Dual Band Wireless-AC 8265 รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 5 มาตรฐาน 802.11ac และ Bluetooth 4.2 และมีชิป TPM 2.0 ติดตั้งมาครบถ้วน

ssd 1

ด้านฮาร์ดดิสก์แบบ e.MMC ความจุ 64GB ในเครื่องต้องถือว่าเป็นฮาร์ดดิสก์ที่อ่านเขียนข้อมูลได้เร็วกว่าฮาร์ดดิสก์ทั่วไประดับหนึ่ง เมื่อวัดด้วย CrystalDiskMark แล้ว จะเห็นว่าได้ความาเร็ว Sequential Read 305.37MB/s และ Sequential Write อีก 190.98MB/s นับว่าบูตเครื่องเปิดโปรแกรมได้เร็วระดับหนึ่ง และถ้าจะเพิ่มความจุก็เติม M.2 NVMe ขนาด 2280 เข้าไปได้

r15 1
r20 1

ด้านการทดสอบ CINEBENCH R15 และ R20 ซึ่งเน้นเรนเดอร์ 3D CG ถือว่าไม่แนะนำและไม่น่าจะเหมาะเท่าไหร่ เพราะด้าน R15 ทำคะแนน OpenGL ได้ 19.36 fps และ CPU 259 cb เท่านั้น ด้าน R20 ได้คะแนน CPU 419 pts ซึ่งถือว่าน้อยในระดับไม่แนะนำให้นำไปทำงานด้านนี้เลย และไม่ได้เป็นโฟกัสการออกแบบและจัดสเปคของ Dell Latitude เครื่องนี้อีกด้วย

3dmark

ส่วนการทดสอบ 3DMark CPU Profile ทำคะแนนได้เพียงหลักร้อยเท่านั้น จัดว่าอยู่ในระดับแค่พอเปิดดูหนังหรืองาน 3D ต่างๆ ได้ระดับหนึ่ง ส่วนเกมอาจจะได้แค่เกม 8-bit ธรรมดาเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเป้าหมายการการออกแบบโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เช่นกัน เพราะ Dell Latitude 3190 2-in-1 จะเน้นเรื่องใช้ทำและเซ็นเอกสารหรือเปิดเว็บตอบแชตเป็นหลัก

pcmark10

ถ้าเป็นการทดสอบ PCMark 10 ซึ่งจำลองการทำงานออฟฟิศจะเห็นว่าคะแนนเฉลี่ยทำได้ 1,670 คะแนน โดย Dell Latitude 3190 2-in-1 เครื่องนี้จะเด่นเรื่องประชุมออนไลน์, ทำงานเอกสารด้วยโปรแกรม Microsoft Word, Excel, PowerPoint และพรีเซนต์งานต่างๆ แต่ไม่แนะนำให้ไปใช้ตัดต่อภาพ 3D หรือ วีดีโอไฟล์ใหญ่ๆ เพราะซีพียูตระกูล Intel Celeron เป็นซีพียูตระกูลที่เน้นการใช้งานทั่วไป อย่างการทำงานเอกสาร, พรีเซ็นต์งานหรือใช้งานเบราเซอร์เป็นหลักเท่านั้น

Battery & Heat & Noise

Dell latitude 3190 DSC02522

แบตเตอรี่ใน Dell Latitude 3190 2-in-1 จะเป็นแบตเตอรี่ขนาด 42Wh (3,500mAh) ซึ่งขนาดถือว่าไม่ใหญ่มากนักแต่ก็ไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊คสายทำงานหลายๆ เครื่องในปัจจุบันนี้ พอจับคู่กับซีพียูรุ่นที่ใช้พลังงานน้อยอย่าง Intel Celeron N4120 ก็สามารถใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมงอย่างแน่นอน

battmon 1

เมื่อทดสอบตามมาตรฐานของทางเว็บไซต์ โดยลดความสว่างหน้าจอให้ต่ำสุด, เปิดโหมด Battery Saver และเปิดเสียงลำโพง 10% ดู YouTube ด้วย Microsoft Edge เป็นเวลา 30 นาที ผลที่ได้จาก BatteryMon คือ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 13 ชั่วโมง 52 นาทีทีเดียว จัดว่าใช้งานได้นาน อยู่ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องคอยหาปลั๊กไว้ชาร์จแบตเตอรี่เลยก็ได้ ดังนั้นถ้าใครต้องพกโน๊ตบุ๊คไปลงไซต์งานหรือไปติดต่อเซ็นเอกสารกับลูกค้าล่ะก็ Dell Latitude 3190 2-in-1 เครื่องนี้ก็ใช้งานได้นานแน่นอน และส่วนตัวผู้เขียนคาดว่าถ้าปิดเสียงลำโพงทิ้งไปก็น่าจะใช้งานได้นานกว่านี้อีก 1-2 ชั่วโมงทีเดียว

temperature normal
most heat temp

อุณหภูมิของ Dell Latitude 3190 2-in-1 สามารถพูดได้ว่าเครื่องนี้ไม่ร้อนเลยแม้จะรันโปรแกรมทดสอบเพื่อทดลองรีดอุณหภูมิตัวเครื่องแล้ว ความร้อนก็ยังอยู่ที่ 36~60 องศา เฉลี่ย 58 องศาเซลเซียสเท่านั้น จัดว่าเย็นมากและไม่มีปัญหาตอนใช้งานอย่างแน่นอน สังเกตว่าแผ่นฮีตซิ้งค์ตรงซีพียูนั้นเป็นแผ่นทองแดงธรรมดาแผ่นเดียวเท่านั้น ไม่มีพัดลมโบลวเวอร์หรือช่องระบายความร้อนต่อเข้าไปอีกชั้นเหมือนโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่น ดังนั้นมันจึงไม่ร้อนมากและไม่ส่งผลกับสุขภาพของนักเรียนนักศึกษาที่ใช้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้อย่างแน่นอน

User Experience

Dell latitude 3190 DSC02478

จากที่นำ Dell Latitude 3190 2-in-1 ไปใช้งานแล้ว แม้โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้จะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับโน๊ตบุ๊คราคาหลักสองสามหมื่นบาท แต่ต้องเข้าใจว่าทาง Dell เน้นออกแบบให้ใช้งานออนไลน์, ทำงานเอกสารหรือพกเครื่องไปไหนมาไหนและทำการบ้านส่งครูอาจารย์และมีปากกาสไตลัสให้ใช้เขียนจดสิ่งที่ต้องการลงบนหน้าจอเครื่องได้ ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้สะดวกไม่ต้องใช้เมาส์ลากแล้วเส้นลายมือเพี้ยนจากที่เขียนจริงไป ดังนั้นผู้ใช้กลุ่มแรกนอกจากนักเรียนที่ได้ใช้ประโยชน์จากจอทัชสกรีนและสไตลัสนอกจากนักเรียนที่พกเครื่องเข้าห้องเรียนและไปติวหนังสือสอบกับเพื่อน ก็คือ เจ้าพนักงานประกันภัยและคนเดินเอกสาร, วิศวกรก่อสร้างที่ลงหน้างานถ่ายภาพและแก้แบบหน้างานก็ใช้ Dell Latitude 3190 2-in-1 เครื่องนี้ได้สะดวกไม่ต่างกับแท็บเล็ตเครื่องหนึ่งเลย เพราะขนาดเล็กพอดี พกพาติดตัวไปไหนมาไหนได้สะดวก เวลาว่างก็นำไปต่อหน้าจอและลำโพงดูหนังฟังเพลงเพื่อความบันเทิงได้อีกด้วย

ส่วนคนที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวหรือเปิดเพจขายของมาใหม่ นำเงินไปลงทุนกับสินค้าเพื่อเตรียมไว้ขายแล้วอยากหาโน๊ตบุ๊คเอาไว้ใช้ตอบแชตและทำสต็อกแบบง่ายๆ สักเครื่อง ไม่อยากจ่ายแพงมาก ราคาของ Dell Latitude 3190 ก็ตอบโจทย์เพราะจ่ายแค่ 7,990 บาทก็ซื้อมาใช้งานได้แล้ว และสเปคเครื่องที่เป็น Intel Celeron N4120 แบบ 4 คอร์ 4 เธรด เมื่อจับคู่กับฮาร์ดดิสก์ e.MMC 64GB และแรมอีก 4GB แม้จะดูน้อยสำหรับใครหลายๆ คนแต่มันก็จัดว่าเพียงพอสำหรับงานดังกล่าวไปข้างต้นอย่างแน่นอน สามารถเปิดไฟล์เอกสารมาทำได้สบายๆ เปิดเบราเซอร์ได้ลื่นไหล อัพเกรดเพิ่ม M.2 NVMe เพื่อเซฟงานอีกสักไดรฟ์หรือใช้ External HDD/SSD ก็เซฟเอกสารสำคัญเก็บเอาไว้ใช้ได้โดยไม่มีปัญหา

ในแง่ความทนทานต้องถือว่าเหมาะกับผู้ใช้ทุกคนอย่างแน่นอน เพราะนอกจากเครื่องจะกันกระแทกระยะความสูง 30 นิ้ว ก็กันน้ำหกใส่ด้วย เวลาพับเครื่องเป็นแท็บเล็ตไปเดินเช็คสต็อก, ไปพบและคุยงานกับลูกค้าหรือจะนั่งทำงานตอบแชตอยู่แล้วมีแก้วน้ำวางอยู่ข้างๆ แล้วน้ำหกใส่โดยบังเอิญก็แค่เช็ดเครื่องให้สะอาดก็ใช้ทำงานได้ตามปกติแล้ว ซึ่งโน๊ตบุ๊คจากแบรนด์คู่แข่งที่มีฟีเจอร์ป้องกันอุบัติเหตุตอนใช้งานครบเครื่องเท่า Dell เครื่องนี้ต้องเตรียมเงินไว้ราวหมื่นบาทขึ้นไป ถึงจะได้หาซื้อมาใช้งานได้ และหลายๆ แบรนด์ก็มักไม่ค่อยใส่ฟีเจอร์ป้องกันน้ำหกใส่เครื่องมาด้วย ถ้าเอาดีไซน์แบบพับกลับเป็นแท็บเล็ตได้และมีปากกาด้วย ก็ซื้อในราคาราคา 7,990 บาท เท่ากับ Dell Latitude 3190 2-in-1 ไม่ได้แน่นอนจึงหารุ่นเทียบชั้นได้ยากมาก ถึงหาได้ก็มักได้โน๊ตบุ๊คมือ 2 ไม่ใช่เครื่องมือ 1 เหมือนที่ซื้อกับร้าน comdee2you แน่นอน 

Conclusion & Award

Dell latitude 3190 DSC02479

ถึงสเปคของ Dell Latitude 3190 2-in-1 จะอยู่ในระดับทั่วไป เหมาะจะใช้ทำงานเอกสารหรือเปิดเว็บและแก้ไฟล์เป็นหลัก ไม่ได้เน้นใช้งานกับโปรแกรมใหญ่ๆ เหมือนโน๊ตบุ๊คราคาหลักหมื่นบาทขึ้นไปก็ตาม แต่ทีเด็ดคือเรื่องความแข็งแรงทนทาน ตกจากความสูงระดับ 30 นิ้วไม่มีปัญหา น้ำหกใส่ก็เช็ดให้แห้งแล้วใช้งานได้ตามปกติ ถ้าพื้นที่ไม่พอก็อัพเกรดใส่ M.2 NVMe เข้าไปเพิ่มพื้นที่เซฟงานได้และแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้นานร่วม 14 ชั่วโมงอีกด้วย ตอบโจทย์คนที่ต้องการหาโน๊ตบุ๊คราคาไม่แพงเอาไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะทำงานหรือเรียนก็ใช้ดีทั้งนั้น

ต้องถือว่า Dell Latitude จัดว่าเหมาะกับนักเรียนนักศึกษา, วิศวกรที่ไปหน้าไซต์งาน, พนักงานประกันหรือแม้แต่แอดมินเพจและฝ่ายประสานงานระหว่างออฟฟิศที่ต้องพกโน๊ตบุ๊คไปไหนมาไหนเป็นประจำ จะซื้อเครื่องนี้เอาไว้ใช้งานก็ตอบโจทย์และไม่ต้องจ่ายแพงแต่ก็ใช้งานได้ดี นอกจากนี้เมื่อซื้อกับทางร้าน comdee2you ก็ได้สินค้ามือ 1 พร้อมปากกาสไตลัสอีกด้วย ซึ่งราคาเพียง 7,990 บาทนี้จัดว่าน่าใช้และได้ของดีเกินราคา จ่ายซื้อได้สบายใจและได้ฟีเจอร์เกินราคาอย่างแน่นอน

award

NBS award 4 Mobility

Best Mobility

สำหรับตัวเครื่องขนาด 11.6 นิ้ว ความละเอียด HD และน้ำหนักเพียง 1.4 กิโลกรัม ได้ความแข็งแรงทนทาน ป้องกันการตกพื้นเสียหายในระยะความสูง 30 นิ้วด้วย จัดว่า Dell Latitude 3190 2-in-1 เป็นโน๊ตบุ๊คที่เหมาะจะพกพาใส่กระเป๋าเข้าห้องเรียนหรือจะไปทัศนศึกษาก็ดีเช่นกัน คู่ควรกับรางวัล Best Mobility อย่างไม่ต้องสงสัย

award new Battery Life

Best Battery Life

แบตเตอรี่ของ Dell Latitude 3190 2-in-1 ถึงมีความจุเพียง 42Wh ก็ตาม แต่สามารถใช้งานได้นานร่วม 14 ชั่วโมง เรียกว่านานจนไม่ต้องเตรียมปลั๊กใส่กระเป๋าก็ได้ ใช้งานได้ทั้งวันต่อเนื่องทั้งในห้องเรียน, เรียนออนไลน์หรือจะติดไปทัศนศึกษาก็ไม่มีปัญหา

from:https://notebookspec.com/web/650109-review-dell-latitude-3190-2-in-1

รีวิว ASUS ExpertBook B3 Flip โน๊ตบุ๊คไลฟ์สไตล์ คล่องตัว Thunderbolt 4 ปากกาสไตลัส

ASUS ExpertBook B3 Flip คล่องตัว พกสะดวก พับปรับโหมดได้ มี Thunderbolt 4 และสไตลัส เพื่องานและไลฟ์สไตล์

ASUS ExpertBook B3

ASUS ExpertBook B3 Flip จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คในกลุ่มธุรกิจ ที่เน้นความบางเบา แต่ให้ประสิทธิภาพและฟังก์ชั่นที่ครบครัน เพื่อตอบโจทย์ทั้งการทำงานและไลฟ์สไตล์ รองรับตั้งแต่การทำงานในองค์กร ไปจนถึงการเรียนออนไลน์ และการใช้งานที่จำเป็นต้องเชื่อมต่อ สนทนาและสื่อสารได้เกือบตลอดเวลา เพราะมีรุ่นที่สนับสนุนการเชื่อมต่อ 4G LTE ด้วยการสนับสนุน SIM มาในตัว หน้าจอแสดงผลคมชัด รองรับมัลติทัช ที่เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน พร้อมปากกาสไตลัส อันเป็นเอกลักษณ์ ให้ผู้ใช้ได้บันทึก นำเสนอและปลดปล่อยพันธนาการ ด้วยการออกแบบและเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว พับหน้าจอ 360 องศา ใช้งานได้หลายโหมดด้วยกัน และกล้องเว็บแคม ที่มีให้ถึง 2 ตัวด้วยกัน โดยมีขุมพลังซีพียู Intel Gen 11 ที่เพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการประมวลผลงานและความบันเทิงได้อย่างรวดเร็ว ASUS เพิ่มความทนทานให้กับโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ด้วยมาตรฐาน MIL-STA 810H เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในทุกสถานการณ์ เช่นเดียวกับในเรื่องของความปลอดภัย ที่เป็นสิ่งแรกในทุกองค์กรให้ความสำคัญ ASUS ExpertBook รุ่นนี้ ก็มีมาให้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Fingerprint sensor, TPM 2.0 หรือจะเป็น Webcam Shield ก็ตาม ให้การรับประกัน 3 ปีเต็ม เช่นเดียวกับเงื่อนไข 3-3-1 ที่มาพร้อม Perfect Warranty อีก 1 ปีเต็ม

ASUS ExpertBook B3 Flip


ASUS ExpertBook B3 Flip รุ่นที่เราได้รับมาทดสอบครั้งนี้ ใช้ขุมพลังซีพียู Intel Core i7-1165G7 ที่เป็นซีพียูที่ให้ความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงถึง 4.7GHz แต่มีค่า TDP ต่ำ จึงลดความร้อนในการทำงาน และความโดดเด่นในแง่ของกราฟิก Intel® Iris® Xe Graphics ที่รองรับการใช้งานและความบันเทิงได้ดีพอสมควร เช่นเดียวกับแรม DDR4 3200 ที่ให้มา 8GB ทำงานคู่กับ SSD ในแบบ M.2 NVMe PCIe 3.0 ความจุ 512GB กล้องเว็บแคม 2 ตัว และไมโครโฟน 2-way ที่มีเทคโนโลยี AI Noise-Canceling พอร์ต Thunderbolt 4 มาให้อีก 2 ช่อง น้ำหนักเบาเพียง 1.61 กิโลกรัมเท่านั้น และยังมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro 64-bit ให้พร้อมต่อการใช้งาน เคาะราคาในรุ่นนี้อยู่ที่ 35,900 บาท

Advertisementavw
ASUS ExpertBook B3 101

สามารถดูข้อมูลและสเปคเต็มของโน๊ตบุ๊คได้ที่: ASUS ExpertBook B3

จุดเด่น

  • การออกแบบที่เรียบง่าย เข้ากับการใช้งานในหลายสไตล์
  • งานประกอบดี มีความแข็งแรง มาตรฐาน MIL-STD
  • มาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4 ถึง 2 พอร์ตด้วยกัน
  • TB4 รองรับการเชื่อมต่อจอแสดงผล และเป็น PD 3.1 ได้ในตัว
  • คีย์บอร์ดมีความแน่น ตอบสนองไว
  • ปุ่มคีย์มีไฟ Backlit เปิด-ปิดได้
  • บานพับหน้าจอพับได้ 360 องศา ให้ใช้งานในโหมดต่างๆ ได้
  • มาพร้อม Windows 10 Pro ในตัว
  • เว็บแคม 2 ตัว สำหรับใช้งานในโหมดปกติ และแท็ปเล็ต
  • ลำโพงให้เสียงคุณภาพดีพอสมควร
  • มีฟังก์ชั่น Numberpad บนทัชแพด เปิด-ปิดการใช้งานได้
  • มาพร้อมปากกาสไตล์ลัส พร้อมช่องจัดเก็บชาร์จไฟโดยเฉพาะ
  • ให้ความปลอดภัยข้อมูลระดับฮาร์ดแวร์
  • น้ำหนักเบาเพียง 1.61 กิโลกรัมเท่านั้น
  • การรับประกัน 3 ปี เป็น 3 ปี Onsite และ Global warranty รวมถึง 1 ปี Perfect warranty

ข้อสังเกต

  • กราฟิกมาบนซีพียู ประสิทธิภาพเน้นที่ความบันเทิงทั่วไปในชีวิตประจำวัน
  • มีแรมมาให้ 8GB อัพเกรดเป็น 16GB จะไหลลื่นมากขึ้น
  • ปากกาสไตลัส ต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยในระดับหนึ่ง
  • พื้นที่บริเวณด้านข้างคีย์บอร์ด ทำให้บอดี้ดูใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

Specification

ASUS ExpertBook B3402FEA-EC0961WS
CPU Intel Core i7-1165G7
Integrate GPU Intel Iris Xe Graphic
RAM DDR4 8GB On board
Storage SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 512GB
Display 14.0″ FHD (1920 x 1080) 16:9 Glossy
Wireless WiFi 6 + Bluetooth 5.2
3G/4G 4G LTE support
OS Windows 11 Home
Office Home & Student 2021
ราคา 35,900 บาท

สำหรับโน๊ตบุ๊ค ASUS ExpertBook B3402FEA รุ่นนี้ มาพร้อมซีพียู Intel Core i7-1165G7 ประมวลผลแบบ 4 core/ 8 thread ความเร็วสูงสุด 2.8GHz ให้ประสิทธิภาพในงานพื้นฐานชีวิตประจำวันได้ดี รวมถึงซอฟต์แวร์ในสำนักงานและความบันเทิง เช่นเกมออนไลน์หรือชมภาพยนตร์ความละเอียดสูง มีค่า TDP ต่ำ ความร้อนน้อย แบตเตอรี่ใช้งานได้นานขึ้น ด้วยกราฟิก Intel Iris Xe Grahic ที่ถูกติดตั้งมาในซีพียู ให้ประสิทธิภาพที่ดี และประหยัดพลังงานอีกด้วย

ASUS ExpertBook B3

ติดตั้งแรม DDR4 3200 เป็นแบบออนบอร์ดมาให้ 8GB รองรับการอัพเกรดได้ที่ 32GB ในภายหลัง ซึ่งเพียงพอต่อการเริ่มต้นใช้งานในโอกาสต่างๆ ตั้งแต่ซอฟต์แวร์ทั่วไป และงานในชีวิตประจำวัน ให้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro อัพเกรดได้ เช่นเดียวกับ Storage ที่ติดตั้ง SSD M.2 NVME PCIe 3.0 ความจุ 512GB มาให้ กับพื้นที่แสดงผลบนหน้าจอขนาด 14″ ความละเอียด Full-HD 1080p เป็นพาแนล IPS มีบานพับได้ถึง 180 องศา เพื่อการใช้งานในรูปแบบต่างๆ จะทำงานก็ดี ทัชสกรีนก็เหมาะอย่างยิ่ง อีกทั้งเสริมปากกาสไตลัสมาให้อีกด้วย เหมาะทั้งสายทำงาน พรีเซนเทชั่นและงานออกแบบได้ดีในระดับหนึ่ง ที่น่าทึ่งคือ ยังให้กล้องเว็บแคมมาอีก 2 ตัว ในการใช้นำเสนองานในแต่ละโอกาส โดยกล้องตัวบนมี Webcam Shield เพื่อเพิ่มความปลอดภัยเป็นส่วนตัว

ASUS ExpertBook B3

ซึ่งถ้ามองกันในแง่ของความแข็งแรง วัสดุที่เป็นแม็กนิเซียม-อะลูมิเนียมอัลลอยของฝาปิดหรือ Cover ของตัวเครื่อง ก็ให้ความทนทานไม่น้อยเลย อีกทั้งงานประกอบค่อนข้างแน่นหนา กับขอบของตัวเครื่องที่แน่น และใช้น็อตสกรูหลายชิ้น ก็ทำให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ด้วยมาตรฐาน MIL-STD 810H ก็น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ดี

ASUS ExpertBook B3

ขอบจอของ ASUS ExpertBook B3 นี้ ยังมาในแบบ NanoEdge Design เช่นเดียวกับในรุ่นที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะเป็น B1 หรือ B7 ก็ตาม ทำให้พื้นที่โดยรวมดูกระชับ และเมื่อมองมาที่ขอบของบอดี้ด้านข้างคีย์บอร์ด ก็เหลือแค่ประมาณ 1.5cm ทำให้วางปุ่มคีย์บอร์ดได้แบบเต็มที่ แต่ก็ยังคงเหลือพื้นที่ด้านข้างมากไปหน่อย

ASUS ExpertBook B3

ส่วนโครงสร้างภายใน ทำจุดยึดมาให้แน่นหนา ใช้เป็นอลูมิเนียมอัลลอย และเสริมโครงสร้างที่เป็น Internal keyboard bracket และเพิ่มชั้นที่กันน้ำ เพื่อป้องกันของเหลวที่จะไหลลงมาได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดีคงต้องย้ำไว้ก่อนว่า แม้ว่าจะกันน้ำได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถเทหรือแช่อยู่ในน้ำได้นะครับ นอกจากนี้ยังไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการรับประกัน ซึ่งทาง ASUS แนะนำว่า หากทำน้ำหกลงไปบนคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊ค ให้เอียงหรือเทน้ำนั้นออก จากนั้นเช็ดด้วยผ้าแห้งและปล่อยให้แห้งไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง

ASUS ExpertBook B3

พอร์ตต่อพ่วงถือเป็นจุดเด่นของ ExpertBook B3 รุ่นนี้ เพราะให้พอร์ตความเร็วสูง Thunderbol 4 มาถึง 2 พอร์ตด้วยกัน รองรับการแสดงผลบนหน้าจอระดับ 4K และเป็น USB PD 3.0 อีกด้วย เช่นเดียวกับ USB 3.2 Type-A, 2.0 และ HDMI รวมถึง RJ-45 ที่เป็นไซส์มาตรฐาน พร้อมสล็อต microSD card reader มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 1.61 กิโลกรัม ชาร์จไฟผ่าน USB-C ด้วยอแดปเตอร์ AC 65W ขนาดเล็ก สนนราคาอยู่ที่ 35,900 บาท

สามารถดูสเปคโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ได้ที่ ASUS ExpertBook B3402FEA

การรับประกัน

การรับประกัน ASUS Exclusive Care

  • 3 Year Onsite Service: บริการตรวจซ่อมฟรีถึงที่ 3 ปี
  • 3 Year Global Warranty: ครอบคลุมการรับประกัน 3 ปี (57 ประเทศ)
  • 1 Year Perfect Warranty: เพิ่มการรับประกันอุบัติเหตุให้ใน 1 ปีแรก

รายละเอียดเพิ่มเติม Expert Book B3402F :https://th.asus.click/KQkJiZ


Hardware / Design

ก่อนหน้านี้ทาง NBS ได้เคยนำเสนอ ASUS ExpertBook B1 ให้ได้ชมกันแล้ว ซึ่งหากจะเปรียบเทียบในแง่ของดีไซน์ ก็เรียกว่าแทบไม่ได้ต่างกัน ในแง่ของสีสันทาง ASUS นำเสนอในรุ่น B3 นี้ว่าเป็นเหมือนท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่มองเห็นหมู่ดาว จะเป็นโทนของสีดำออกน้ำเงินนิดๆ ทำให้ดูลึกลับน่าค้นหา การออกแบบที่ดูเรียบง่าย นำไปใช้ได้ในหลายโอกาส ตัวเครื่องมีความบางเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับขอบจอที่บาง กระชับ ให้พื้นที่ใช้งานได้กว้างขวาง แต่อยู่ในระดับที่พกพาสะดวก อีกทั้งพับหน้าจอได้แบบ 360 องศา และยังเป็นทัชสกรีนอีกด้วย ช่วยให้การใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น

ASUS ExpertBook B3

ตัวเครื่องยังคงมาในโทนสีเทาเข้ม แต่มีเฉดสีน้ำเงินเข้ามาแจม ซึ่งทาง ASUS ใช้เป็น Star Black finish คือออกโทนสีดำ แต่เป็นแนวท้องฟ้าในยามค่ำคืน ทำให้ดูสว่างขึ้น มีประกายสีเด่นออกมา เมื่อรวมกับภาพลักษณ์ของเส้นสายบนโน๊ตบุ๊ค ก็ดูไม่น่าเบื่อ เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คในกลุ่มงานธุรกิจทั่วไป

ASUS ExpertBook B3

หน้าจอที่ปรับบานพับได้หลากหลายโหมด ตั้งแต่เป็นโหมดโน๊ตบุ๊คปกติ หรือจะปรับเป็น Tent mode สำหรับการตรวจเช็คหรือดูข้อมูลที่ประหยัดพื้นที่จัดวาง รวมถึงใช้ในการถ่ายภาพ นอกจากนี้ยังพับ 360 องศา ในโหมดแท็ปเล็ต เพื่อการจับถือและนำเสนอ รวมถึงการจดบันทึก และสามารถใช้กล้องที่ 2 จากตรงกลางเครื่องได้ รวมถึงสแตนโหมด ที่เอาไว้ดูวีดีโอ ชมภาพยนตร์ หรือจะใช้เพื่อการเล่นเกมเบาๆ ในช่วงพักก็ง่าย เพราะสามารถทัชสกรีนได้ รวมถึงในทุกๆ โหมด ก็สามารถนำปากกาสไตลัสมาใช้งานร่วมกันได้

ASUS ExpertBook B3
ASUS ExpertBook B3

บริเวณฝาด้านนอกของโน๊ตบุ๊คจะมีแสงไฟ LED ขนาดเล็กที่จะสว่างขึ้นเป็นแสงสีส้ม ASUS ออกแบบมาเพื่อให้คนอื่นที่เห็นคุณใช้งานแล้วแสงนี้ปรากฏขึ้น จะหมายถึงว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงที่ประชุมหรือใช้งานสนทนาออนไลน์อยู่ ผู้ร่วมงานก็จะทราบได้ทันทีว่า คุณอาจจะยังไม่ว่าง หรือไม่สะดวกในการพูดคุยด้วยในช่วงเวลานั้นๆ


Keyboard / Touchpad

ASUS ExpertBook B3

แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นตา ก็คงจะเป็นรูปแบบของ ErgoLift Hinge ที่ไม่ได้อยู่บนโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ คงต้องย้ำว่าด้วยการเป็น Convertible ซึ่งก็ทำให้โน๊ตบุ๊คต้องพับได้ 360 องศา จึงไม่สามารถดันขอบให้ยกตัวโน๊ตบุ๊คขึ้นมาได้ เหมือนกับในบางซีรีส์ของ ExpertBook แต่ด้วยการปรับพับหน้าจอได้นี้ ฟีเจอร์ดังกล่าวจึงแทบไม่จำเป็น อีกทั้งการระบายความร้อนของตัวเครื่องก็ทำได้สะดวกอยู่แล้ว การไม่ได้ยกตัวขึ้น ก็ไม่ได้มีผลมากนัก เรียกว่าได้ฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายมาทดแทน

ASUS ExpertBook B3

คีย์บอร์ดบน ASUS ExpertBook เป็นปุ่มคีย์ไซส์มาตรฐานของโน๊ตบุ๊คระดับ 14″ พื้นฐาน ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป และเป็นแบบเดียวกับ ExpertBook B1 ที่เราเคยรีวิวไปก่อนหน้านี้ แสงไฟปรับได้เป็นแบบ Backlit 2 ระดับ ไม่รองรับการปรับระดับความสว่าง แสงลอดออกมาจากด้านใต้และตัวปุ่มที่เป็นภาษาอังกฤษ-ไทยอย่างชัดเจน เหมาะกับการใช้งานในสภาวะต่างๆ ได้ดีพอสมควร เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่เน้นทำงานในช่วงกลางคืนหรือไม่อยากรบกวนเพื่อนร่วมห้อง และใช้ในห้องประชุมก็สะดวกไม่น้อย แต่จะติดอยู่เล็กน้อยก็ตรง ปุ่มลูกศรขึ้น-ลง ยังคงเป็นแบบ half หรือครึ่งปุ่ม ใครที่ใช้ปุ่มนี้บ่อยๆ ก็อาจจะต้องทำความคุ้นเคยให้มากขึ้นอีกนิด

ปุ่มคีย์ตอบสนองไวทีเดียว ซึ่งก็ใกล้เคียงกับโน๊ตบุ๊คในหลายๆ รุ่นของค่ายนี้ ซึ่งระยะ Travel key หรือระยะกดแล้วตอบสนองอยู่ที่ 1.5mm เท่านั้น อยู่ในระยะที่มีแรงต้านน้อยๆ แต่ให้ความแม่นยำได้ดี

ปุ่มฟังก์ชั่น (fn) จัดมาให้แบบครบๆ เรียกว่าในงานธุรกิจและชีวิตประจำวันต้องใช้แบบไหน ดูทาง ASUS ก็จะเตรียมมาให้ ไม่ว่าจะเป็น ระดับเสียง, แสงสว่างหน้าจอ, เปิด-ปิดทัชแพด, ส่งสัญญาณ Output ไปยังจอภายนอก ล็อคหน้าจอ, ปิดกล้องเว็บแคม หรือจะใช้จับภาพหน้าจอ และคีย์ลัดสำหรับใช้เรียก MyASUS ขึ้นมาตั้งค่าการใช้งานระบบ รวมถึงการเปิด-ปิดไมค์, AI Noise-cancelling ในการตัดเสียงรบกวน สุดท้ายจะเป็นปุ่ม Delete ที่อยู่มุมบนสุด และปุ่มเพาเวอร์ที่อยู่ด้านบนนั้น ใช้ในการเปิด-ปิด รวมถึงการเป็น Fingerprint ในการปลดล็อคหน้าจอด้วยการสแกนลายนิ้วมือได้อีกด้วย โดยส่วนตัวมองว่าในแง่ของการใช้งานพื้นฐานครบถ้วน แต่ละปุ่มมีสัญลักษณ์ชัดเจน และดูง่ายทีเดียว

ASUS ExpertBook B3

ส่วนใครที่ไม่ค่อยจะถนัด เวลาที่ใช้ Numberpad บนโน๊ตบุ๊ค 15.6″ แล้วต้องมาใช้โน๊ตบุ๊คขนาด 14″ ลองดูทางนี้ครับ เพราะ ASUS เตรียมทัชแพด ที่นอกจากจะทำให้ที่ให้คุณได้ใช้งานมัลติทัช ในโหมดพื้นฐานเอาไว้แล้ว ก็ยังมี ASUS NumberPad 2.0 ที่เป็นแถบตัวเลข ที่จะสว่างขึ้นเมื่อเปิดใช้งาน ด้วยการแตะที่รูปคีย์บอร์ด มุมขวาบนของทัชแพด จากนั้นแตะที่ตัวเลขบนทัชแพดนั้น เพื่อคีย์ตัวเลขให้ใช้งานเหมือนมีมุมได้เลย ในมุมของผู้ใช้เอง น่าจะชื่นชอบแนวทางแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยนัก ก็ไม่จำเป็นต้องใช้โน๊ตบุ๊คตัวใหญ่ที่มีแป้นตัวเลขเอาไว้ใช้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้สะดวกขึ้น

ASUS ExpertBook B3 96

แต่ที่น่าสนใจก็คือ ASUS มองถึงเรื่องของสุขอนามัยให้กับผู้ใช้บนโน๊ตบุ๊ค ExpertBook B3 Flip รุ่นนี้ ด้วยการเคลือบสายป้องกันการสะสมและเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ASUS BacGuard3,4 ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 22196 มาบนคีย์บอร์ด ทัชแพดและที่วางมือ ซึ่งข้อมูลที่ ASUS ได้แจ้งมานี้ สารเคลือบดังกล่าว นอกจากจะยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้เกิน 99% แล้ว ยังทนต่อบรรดาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย ตรงจุดนี้ถือว่า ASUS คิดเตรียมเอาไว้ได้ดี เข้าใจผู้ใจผู้ใช้ในปัจจุบัน ที่เช็ดและล้างมือบ่อยกว่าทานน้ำเสียอีกในตอนนี้ ลดปัญหาการหลุดลอกไปได้เยอะเลย


Screen / Speaker

ASUS ExpertBook B3

ASUS ExpertBook B3 รุ่นนี้ มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล 14″ ความละเอียด 1920 x 1080 หรือ Full-HD ดีไซน์ขอบมาในแบบ NanoEdge เรียกว่าขอบบางมากๆ และด้วยเป็นโน๊ตบุ๊ค Convertible ก็ทำให้ดีไซน์ขอบหน้าจอและพาแนลเสมอกัน เพื่อที่เวลาใช้งานโหมดแท็ปเล็ต ก็จะสามารถลากนิ้วหรือแตะใกล้ๆ บริเวณขอบได้ไม่สะดุด

ASUS ExpertBook B3

ด้านบนมาพร้อมกล้องเว็บแคม ความละเอียด 720p ให้ความคมชัดในระดับหนึ่ง เพียงพอต่อการใช้ประชุมหรือเรียนออนไลน์ได้ ลื่นไหลไม่สะดุด นอกจากนี้กล้องเว็บแคม ยังมาพร้อมตัวเปิด-ปิดกล้องแบบใช้เลื่อนด้วยตัวเอง เพื่อเพิ่มความมั่นใจเวลาที่ไม่ใช้งาน เมื่อปิดแล้ว จะมีจุดสีส้มๆ ขึ้นมาให้สังเกตได้ง่ายมาก

ASUS ExpertBook B3

แต่หากจะใช้กล้องสำหรับการถ่ายภาพหรือวีดีโอ ที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น ก็ใช้กล้องที่อยู่ตรงกลางตัวเครื่องได้เลย โดยใช้ได้ในทุกโหมด แต่ที่จะสะดวกที่สุด ก็น่าจะเป็นตอนที่ใช้กับ Tent Mode และ Tablet mode นั่นเอง โดยเว็บแคมตัวที่ 2 นี้ ติดตั้งอยู่เหนือคีย์บอร์ด ตรงพื้นที่ว่างระหว่างจอภาพ มีความละเอียดที่ 13 ล้านพิกเซล ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ให้ความสะดวกในการถ่ายภาพได้ง่าย ไม่ว่าจะใช้ในโหมดแท็ปเล็ตหรือจะเป็น Tent mode ก็ตาม เพราะว่าไม่ต้องกังวลว่านิ้วมือจะมาบังให้เสียจังหวะ

ASUS ExpertBook B3

สำหรับปากกาสไตลัสที่มากับโน๊ตบุ๊ค ASUS ExpertBook B3 Flip รุ่นนี้ มีจุดเด่นหลายอย่าง ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น ว่ากันตั้งแต่การรองรับน้ำหนักการกดได้ถึง 4096 ระดับ ให้การตอบสนองที่ไวพอสมควร มีการจัดเก็บง่ายกว่าในหลายๆ รุ่นที่เราได้ใช้งาน เพราะมีช่องที่เสียบอยู่ด้านข้างโน๊ตบุ๊ค และยังชาร์จไฟได้ในตัว ให้ความเร็วในการชาร์จที่ระบุไว้ กรณีที่ต้องใช้งานเร่งด่วนคือ แค่ 15 วินาที ก็ใช้ได้นานถึง 45 นาทีเลยทีเดียว เท่าที่ลองใช้ จากเดิมที่ชาร์จมาให้ก็เยอะพอสมควร และเราใช้งานในการลาก เขียน วาด และแทนเมาส์หรือทัชแพด ก็ใช้ได้ยาวนาน

ASUS ExpertBook B3

การใช้งานก็ยังคงเป็นแบบสไตลัส ขนาดค่อนข้างเล็ก และมีปุ่มกดบน-ล่างมาให้ ด้านท้ายจะเป็นจุดชาร์จ ที่ต่อเข้ากับในโน๊ตบุ๊ค และฝาปิดหรือ Cap ที่ใช้ในการดึงออกจากที่เก็บได้ง่ายขึ้น จุดเดียวที่จะทำให้ผู้ใช้คล่องตัวหรือไม่ อยู่ที่ขนาดและการจับถือ ด้วยไซส์ที่ค่อนข้างเล็ก ส่วนตัวมองว่ามือคุณผู้หญิง หรือผู้ใช้ที่มือเล็กหน่อยจะได้เปรียบ เพราะดูจะจับและเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่า แต่สิ่งต่างๆ ที่ว่ามานี้ ก็ขึ้นอยู่กับการระยะเวลาในการเรียนรู้ เพื่อให้คล่องตัวมากขึ้น แต่โดยส่วนตัวมองว่า แค่ใช้งานในการจดบันทึก วาดบางอย่าง เพื่อให้มองภาพได้ง่ายขึ้น ในการใช้งานเป็นแท็ปเล็ตหรือ Tent mode ก็สะดวกไม่น้อยแล้ว

ASUS ExpertBook B3

ส่วนในเรื่องของเสียงและลำโพง จุดที่ติดตั้ง จะต่างจากโน๊ตบุ๊คในแบบงานธุรกิจทั่วไปของ ASUS อยู่เล็กน้อย นั่นคือ วางไว้บริเวณด้านใต้ เยื้องมาทางด้านหน้า แทนที่จะไปทางด้านข้างและลำโพงกดลงพื้น แต่บนโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ออกมาด้านหน้า เพื่อให้มิติเสียงออกมาแบบตรงๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะเข้ากับการทำงานในโหมดต่างๆ ได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะ Tent mode และ Tablet mode โดยเสียงกลางออกมาได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ตึงตังหรือแน่น เหมือนกับลำโพงในกลุ่มเกมมิ่ง ที่มีซับมาด้วย แต่ในการดูวีดีโอ ภาพยนตร์บนยูทูป ก็พออยู่ในระดับที่ใช้ได้ เก็บรายละเอียดได้ระดับหนึ่ง เสียงสนทนาชัดเจน แต่หากจะเน้นที่มิติ แนะนำให้ใช้หูฟังจะดีกว่า ส่วนในการฟังคลิปเสียง หรือพอดแคส รวมถึงการถอดเสียงบรรยายและการประชุม ก็ถือว่าใช้ได้ การใช้งานพื้นฐานอยู่ในระดับที่ใช้ได้เลย

ASUS ExpertBook B3

เพิ่มเติมข้อมูลของไมโครโฟนที่มากับโน๊ตบุ๊ค ASUS รุ่นนี้อีกเล็กน้อย เพราะมีความสำคัญ สำหรับคนที่ใช้ในการประชุม หรือทำงาน และเรียน การสื่อสารสำคัญมากๆ ดังนั้นในการพูดคุยในบางสถานที่ อาจมีเสียงรบกวนจากภายนอก ที่บางทีไม่สามารถควบคุมได้ ทาง ASUS ก็ได้เตรียมฟีเจอร์ 3DNSR หรือ 3D noise-reduction หรือตัดเสียงรบกวน เมื่อใช้การสนทนาบนเว็บแคม ซึ่งจะลดบรรดาเสียงรบกวนที่เป็น noise ออกไปได้ ซึ่งจากที่เราได้ทดสอบนั้น ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงที่อยู่รอบข้าง แทบจะไม่ได้มีแทรกเข้าไปในไมค์ จะมีแค่บางๆ หรืออาจจะในบางจังหวะ ขึ้นอยู่กับระดับเสียงในช่วงนั้นๆ ที่บางครั้งจะค่อนข้างดัง เช่น เสียงเคาะเหล็ก หรือรถยนต์ที่เบิ้ลเครื่องเสียงดังๆ เป็นต้น


Connector / Thin & Weight

พอร์ตต่อพ่วงอุปกรณ์บนโน๊ตบุ๊ค ASUS รุ่นนี้ มากันอย่างครบครัน และจัดเต็มมาให้ผู้ใช้เป็นพิเศษ ด้วยพอร์ต Thunderbolt 4 ที่มีให้ถึง 2 พอร์ตด้วยกัน และมีพอร์ตส่วนใหญ่ ที่เป็นพอร์ตตัวเต็ม ไม่ได้เป็นพอร์ตขนาดเล็ก ที่ต้องหาตัวแปลงมาใช้ แม้ว่าโน๊ตบุ๊คจะมีมิติที่บางลงก็ตาม

ASUS ExpertBook B3 50

ด้านข้างซ้าย ประกอบด้วย Kensington lock, ถัดมาเป็น Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต โดยพอร์ตทั้งคู่นี้ รองรับการโอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูง 40Gbps และใช้ในการแสดงผลต่อจอภายนอกในแบบ 4K ได้ 2 จอ รวมถึงทำหน้าที่เป็น Fast Charging พอร์ต USB 3.2 Type-A และ HDMI 2.0 เป็นแบบ Full-size รองรับการแสดงผลแบบ 4K ได้อีกด้วย ขยับมาข้างๆ กัน เป็นช่องสำหรับเก็บปากกาสไตลัส

ASUS ExpertBook B3

ส่วนทางด้านขวา ประกอบด้วยพอร์ต RJ-45 สำหรับการต่อ Gigabit LAN และมีช่อง USB 2.0 Type-A มาให้ รวมถึงช่องต่อออดิโอคอมโบแจ๊ค 3.5mm หูฟังและไมโครโฟน ใกล้กันเป็นช่องสำหรับใส่ microSD card reader มาให้ และรุ่นที่เป็นตัวท็อป ก็จะมีช่องสำหรับใน nano SIM card ในการเชื่อมต่อเครือข่ายพื้นฐาน นอกเหนือจากการใช้งาน WiFi หรือ Gigabit LAN ได้อีกด้วย ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งจำเป็นในงานธุรกิจ และการเรียนออนไลน์อยู่ไม่น้อย

ASUS ExpertBook B3

ในแง่ของความโดดเด่นน่าจะอยู่ที่การให้พอร์ต Thunderbolt 4 มาให้ถึง 2 พอร์ตนี้ ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับการใช้งานได้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ต้องต่อกับจอภายนอก และการโอนถ่ายข้อมูลที่เป็นไฟล์ขนาดใหญ่ สามารถทำได้รวดเร็วขึ้น โดยส่วนตัวมองว่า ASUS ให้พอร์ตมาเกือบครบ และพร้อมใช้งานได้ทันที ไม่ต้องวุ่นวายกับการหาสิ่งอื่นมาทดแทน

ASUS ExpertBook B3

น้ำหนักของตัวเครื่องก็เรียกว่าไม่ได้ต่างไปจากข้อมูลเบื้องต้น ที่ได้จาก ASUS ด้วยการชั่งบนเครื่องชั่งเฉพาะตัวเครื่องโน๊ตบุ๊คเพียงอย่างเดียว อยู่ที่ประมาณ 1.54 กิโลกรัม เท่านั้น โดยใกล้เคียงทาง ASUS แจ้งเอาไว้ที่ 1.61 กิโลกรัม แต่เมื่อรวมกับอแดปเตอร์และสายเพาเวอร์คอร์ด อีกประมาณ 310 กรัม ก็จะอยู่ที่ประมาณ 1.85 กิโลกรัมเท่านั้น เรียกว่าใส่กระเป๋าพกพาได้สะดวก กับขนาดของบอดี้ที่ ความยาว 329mm x กว้าง 223.95mm และหนาเพียง 16.9mm ก็สามารถใส่กระเป๋าโน๊ตบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นสะพายข้างหรือเป้สะพายหลังได้อย่างสบาย


Inside / Upgrade

ASUS ExpertBook B3

ให้ข้อมูลไว้ในเบื้องต้นก่อนครับว่า โน๊ตบุ๊ค ASUS ExpertBook B3 Flip รุ่นนี้ ทำโครงสร้างภายใน และตัวล็อคบอดี้ที่แข็งแรงมากๆ ต่างจากในรุ่น TUF, B1 หรือ B7 ที่ยังพอแกะออกมาได้ไม่ซับซ้อนนัก รวมถึงในรุ่นนี้ยังจัดโครงโลหะขึ้นเป็นพิเศษ ทั้งในส่วนของด้านข้างซ้าย-ขวา และบริเวณบานพับ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ซึ่งหากใครที่ต้องการจะอัพเกรด หรือปรับเปลี่ยน ทำความสะอาด อาจจะต้องใช้เครื่องมือในการแกะที่มีความบาง เพื่อสอดลงไปในช่องขนาดเล็กได้ง่าย และต้องระมัดระวังให้มากขึ้น ซึ่งหากไม่แน่ใจแนะนำว่าให้ทางร้านทำการอัพเกรดให้เป็นดีที่สุด

ASUS ExpertBook B3

มาว่ากันที่องค์ประกอบภายในกันบ้าง นอกจากฮาร์ดแวร์พื้นฐานที่ ASUS ติดตั้งมาบนโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น แรม DDR4 3200 SO-DIMM ซึ่งภายในจะเป็นการติดตั้งมาให้บนบอร์ดอยู่แล้ว 8GB แต่ก็จะยังมีอีก 1 สล็อตที่ว่างเอาไว้ เพื่อให้อัพเกรดเพิ่มได้อีก 32GB รวมเป็น 40GB สูงสุด

ส่วนสล็อตของ Storage นั้น มีให้สล็อตเดียวตามมาตรฐาน ซึ่งเดิมติดตั้งมาเป็น SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 x4 โดยให้มาเป็น SSD ความจุ 512GB และมีเพียงสล็อตเดียวเท่านั้น โดยรองรับการอัพเกรด ด้วยการเปลี่ยนโมดูล รองรับความจุสูงสุดที่ 1TB ในแง่ของการใช้งานพื้นฐาน การอัพเกรดได้เท่านี้ ก็จัดว่าเพียงพอต่อการใช้งาน แต่ถ้าคุณต้องใช้ซอฟต์แวร์ที่โหดขึ้น ก็ยังพออัพเกรดแรมและ SSD เพิ่มเติมได้ แนะนำเลยว่า หากคิดว่าต้องใช้ในงานสร้างคอนเทนต์ หรือมีซอฟต์แวร์บริโภคทรัพยากรหนักๆ เช่นการทำวีดีโอ หรือตกแต่งภาพ รวมถึงต้องการจัดเก็บข้อมูลที่มากขึ้น และดึงมาใช้ได้รวดเร็ว อัพเกรดทั้งแรมและ SSD ให้พร้อมไปเลยน่าจะเหมาะที่สุด


Performance / Software

ASUS ExpertBook B3

มาดูที่สเปคซีพียูบน CPUz แจ้งเอาไว้ว่าเป็น Intel Core i7-1165G7 ความเร็วสูงสุด 4.70GHz ทำงานในแบบ 4 core/ 8 thread นับว่าเป็นซีพียูในกลุ่มที่มีกราฟิกมาด้วย ที่แรงเกือบสุด รองจาก i7-1195G7 เท่านั้น แต่ค่า TDP ต่ำ จึงลดเรื่องความร้อนไปได้พอสมควร

ASUS ExpertBook B3

ในการทดสอบเบื้องต้น เรามี Benchmark จาก CPUz เมื่อเทียบกับซีพียูพีซีเดสก์ทอป Intel Core i7-10700 ที่คงต้องบอกว่าแรงกว่าในทุกด้าน แต่ตัวเลขของ Single Thread ก็ถือว่าทำคะแนนได้แทบไม่ห่างกัน ส่วน Multi-Thread การทำงานของ 4 core/ 8 thread ก็ถือว่าเป็นรองอยู่พอสมควร

ASUS ExpertBook B3

มาที่แรมกันบ้าง ติดตั้งเป็นแบบออนบอร์ดมาให้แล้วที่ 8GB และยังมีสล็อตเหลือสำหรับการอัพเกรดได้อีก 1 สล็อต เป็นแรม DDR4 3200 นอกจากนี้ยังแจ้งมาให้ทราบว่าเป็นกราฟิก Intel Iris Xe Graphic ซึ่งแชร์แรมร่วมกันกับแรมระบบแบบอัตโนมัติ

ASUS ExpertBook B3

รายละเอียดของกราฟิกที่ติดตั้งมาบนโน๊ตบุ๊ค ASUS รุ่นนี้ เป็นแบบ Integrate graphic ซึ่งระบุมาเป็น Intel Iris Xe Graphic ในข้างต้น ความเร็วสัญญาณนาฬิกา 400Hz และสามารถบูสท์เพิ่มได้ รวมถึงการแชร์หน่วยความจำ DDR4 กับระบบ เพื่อให้รองรับการใช้งานด้านต่างๆ ได้ดีขึ้น ไม่ได้มีกราฟิกแยกอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามาแต่อย่างใด

ASUS ExpertBook B3

มาที่ผลทดสอบ Storage กันบ้าง ระบบให้มาเป็น SSD อินเทอร์เฟส M.2 NVMe PCIe 3.0 x4 ซึ่งประสิทธิภาพในการทดสอบร่วมกับ CrystalDiskMark อยู่ที่ 2,231MB/s (Read) และ 1,155MB/s (Write) โดยส่วนตัวมองว่าอยู่ในเกณฑ์กลางๆ สำหรับ SSD ที่ใส่มาให้บนโน๊ตบุ๊คในกลุ่มงานธุรกิจ แต่ถ้าในแง่ของการใช้งาน ยังคงตอบโจทย์ในการเปิดโปรแกรม เข้าถึงไฟล์ โอนถ่ายข้อมูลได้ดีทีเดียว และไม่ทำให้ราคาของตัวเครื่องดีดไปมากกว่านี้ ซึ่งหากใครซีเรียสกับ Storage ที่มีความเร็วสูงๆ มากๆ อาจจะต้องมองไปที่โน๊ตบุ๊คที่เป็น Intel Gen 12 เป็นหลัก แต่ราคาก็อาจจะขยับไปอีกไกล

ASUS ExpertBook B3

ในการทดสอบทั้งระบบก็ทำได้ไม่ธรรมดาเลย ซึ่งหากดูจากซีพียูในระดับเดียวกัน และใช้กราฟิก Integrate มาด้วย ตัวเลขในภาพรวมได้น้อยกว่า ASUS ExpertBook B1 ที่เราได้ทดสอบไปก่อนหน้านี้ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตัวเลขที่ได้จาก Essentials ที่เป็นงานด้านซอฟต์แวร์สำนักงานและชีวิตประจำวัน ซีพียู Core i7 ตอบสนองในงานนี้ได้ดีอยู่แล้ว รวมถึงการทำมัลติทาส์กกิ้งด้วย สายท่องเว็บหรือต้องหาข้อมูลบ่อยๆ แนะนำเพิ่มแรมอีก 8GB ให้ทำงานเป็น Dual-channel ก็จะเห็นผลได้ชัดมากขึ้น ส่วนผลของ Productivity ที่เกี่ยวเนื่องกับงานเอกสาร และการคำนวณที่เป็นด้านสเปรดชีต ก็ทำคะแนนได้น่าสนใจ หากเทียบกับซีพียูในระดับที่ใกล้เคียงกัน ส่วนคนทำงาน Content Creation ก็เรียกว่าอาจจะอิงกับแรมและกราฟิกอยู่ด้วย แต่ก็ถือว่าช่วยให้งานของคุณลื่นไหลได้ ไม่ว่าจะเป็นวีดีโอพรีเซนเทชั่น ตัดต่อวีดีโอแบบง่ายๆ หรือว่าจะตกแต่งภาพและการออกแบบกราฟิกพื้นฐานก็ตาม

ASUS ExpertBook B3

Passmark PerformanceTest 9.0 ก็เป็นอีกการทดสอบหนึ่งที่บ่งบอกถึงศักยภาพของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ได้ดีทีเดียว ตัวเลขที่ได้บน CPU Mark ทะลุ 10,000 ไปได้อย่างสวยงาม ซึ่งซีพียูหลายรุ่นอาจจะแตะๆ 8,000-9,000 เท่านั้น ยกเว้นในตระกูล “Intel H series” ที่จะแรงในระดับ 12,000 คะแนนขึ้นไป ส่วน Memory Mark ก็จะคะแนนน้อยลงหน่อย หากเทียบกับแรม 16GB หรือแรมในแบบ Dual-channel ที่จะทำได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ดีหากได้รับการอัพเกรด ก็เชื่อว่าจะทำผลลัพธ์ในจุดนี้ได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่โดยภาพรวมจัดว่ารองรับงานในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ASUS ExpertBook B3

อีกหนึ่งการทดสอบความสามารถของซีพียูทั้งในแบบ Single-Thread และ Multi-Thread ที่เข้ามามีบทบาทต่อการบีบอัดข้อมูล จะเห็นว่าความต่างในการทำงานของทั้ง 2 รูปแบบนี้ ค่อนข้างเห็นได้ชัด

ASUS ExpertBook B3
ASUS ExpertBook B3
ASUS ExpertBook B3

ในแง่ของตัวแทนการทดสอบด้านเกมเวลานี้ 3DMark ยังคงเป็นโปรแกรมที่ให้ความแม่นยำได้ดี โดยผลทดสอบจะอิงจากกราฟิกที่ติดตั้งมาบนระบบเป็นหลัก และด้วยคะแนนที่เห็นบนการทดสอบเหล่านี้ แม้จะเป็นกราฟิก Integrate มา แต่การทดสอบในบางส่วน ก็ทำคะแนนได้น่าสนใจ และการทดสอบกราฟิกบางส่วน ยังให้อัตราเฟรมเรตที่ไหลลื่นได้ เพียงแต่ตัวเลขที่ได้จาก Fire Strike ที่ไม่ได้สูงนัก ก็เพราะความซับซ้อนและ API ที่ส่วนใหญ่จะเรียกความต้องการของกราฟิกแยกเป็นหลัก ทำให้คะแนนอาจจไม่สูงนัก แต่โดยรวมก็ยังแสดงให้เห็นว่า รองรับงานกราฟิกและเกมสามมิติได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะเน้นที่ความแรงในการเล่นเกม ก็คงต้องขยับไปที่เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คเลยครับ

ในกาทดสอบด้านเกม อาจจะไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักสำหรับโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ แต่ในแง่ของประสิทธิภาพจากกราฟิก Intel Iris Xe Graphic ก็พอให้ผู้ใช้เล่นเกมเบาๆ เน้นเกมออนไลน์ในท้องตลาดได้หลายเกม โดยเฉพาะเกมแนว Casual หรือ Adventure อย่างเช่นเกม Stardew Valley ที่เป็นแนว Open World, MineCraft, World Box หรือแนวฮีโร่อย่าง Heart Stone เป็นต้น ส่วนถ้าเป็นเกมแอ็คชั่น ก็ต้องมาลุ้นกัน ว่าอยากจะได้ภาพสวยๆ หรือเฟรมเรตที่ลื่นไหล ก็ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง

ASUS ExpertBook B3

การทดสอบโอนถ่ายไฟล์ข้อมูลขนาด 15GB จาก SSD ที่ติดตั้งบนโน๊ตบุ๊ค ไปยัง SSD แบบต่อภายนอก ผ่านทางพอร์ต Thunderbolt 4 ในโหมด USB-C ใช้เวลาเพียง 3.15 นาที ส่วนถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์ที่ติดตั้งบนพอร์ต USB 3.2 Type-A จะใช้เวลาถึง 10 นาทีเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าเป็น TB4 ก็ยังคงเหมาะกับการโอนถ่ายข้อมูล ส่วนพอร์ต USB-A นั้น ก็สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมได้ดี ไม่ว่าจะเป็นพรินเตอร์, USB Adaptor หรืออื่นๆ


Battery / Heat / Noise

ASUS ExpertBook B3

ASUS ติดตั้งแบตเตอรี่มาให้แบบ 3-cell ความจุ 50Wh ซึ่งระยะในการใช้งาน จะอยู่ในเรื่องของการทดสอบนี้ ถือว่าไม่ได้น้อยเลยสำหรับการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้งานร่วมกับซีพียู Intel Core i7-1165G7 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นท็อปๆ ในกลุ่มนี้ และยังมี Iris Xe Graphic มาในตัว และเมื่อดูจากองค์ประกอบอื่นๆ ที่ติดตั้งมาด้วย ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกันทีเดียว

ASUS ExpertBook B3

ในการทดสอบของทางเว็บไซต์ ด้วยการใช้โปรแกรมทดสอบอย่าง Battmon ด้วยการปรับหน้าจอให้มีความสว่างน้อยสุด เท่าที่จะมองเห็นคอนเทนต์บนหน้าจอได้ชัด อยู่ที่ระหว่าง 10-20% และปรับเสียงอยู่ที่ 30% พร้อมกับปรับการทำงานในโหมดประหยัดพลังงาน โดยเปิดดูวีดีโอ ทดสอบการสตรีมมิ่งบน Youtube เปิดไฟล์วีดีโอระดับ 4K แล้วรันอย่างต่อเนื่อง ผลที่ได้อยู่ที่ราวๆ 7.40 ชั่วโมง

ASUS ExpertBook B3

เราลองทดสอบการชาร์จด้วยอแดปเตอร์ 65W ที่มาพร้อมกับโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ โดยการทดสอบบนโหมด Windows ที่ยังคงอยู่ในโหมดสแตนบายบนหน้า Desktop บนความสว่างระดับ 75% จากระดับแบตที่ 40% มาจนถึง 100% ใช้เวลาราว 80 นาที โดยประมาณ ซึ่งหากชาร์จในโหมดที่ปิดโน๊ตบุ๊คเอาไว้ ก็คาดว่าจะทำได้เร็วกว่านี้ และที่น่าสนใจคือ หากคุณมีอุปกรณ์ในกลุ่มของ PD หรือเพาเวอร์แบงก์ระดับ 65W ขึ้นไปรุ่นใหม่ๆ ก็สามารถนำมาชาร์จไฟโน๊ตบุ๊ค เพื่อยืดระยะเวลาในการใช้งานต่อไปได้ ให้ความสะดวกไม่น้อยเลย

ASUS ExpertBook B3

มาดูในแง่ของประสิทธิภาพการระบายความร้อนในระหว่างการทำงานกันบ้าง ในการทดสอบเราใช้โปรแกรม Furmark กับฟังก์ชั่น CPU Burner ในการเร่งความเร็วของซีพียูให้ทำงานในแบบ Full-load หรือเรียกว่าให้มีโหลดการทำงานระดับ 90-100% ตามจังหวะการทำงาน และใช้โปรแกรม CPUID HWMonitor เป็นตัววัดผล เป็นเวลาประมาณ 20 นาที ตัวเลขที่ออกมาสูงสุดอยู่ที่ 93-96 องศาเซลเซียส ซึ่งก็จะอยู่ในช่วงระดับหนึ่ง และลดลงมาที่ราวๆ 85-87 องศาเซลเซียส

ASUS ExpertBook B3

จากนั้นเราลองใช้วิธีในการวางบน Cooling Pad ที่ไม่มีพัดลมมาให้ เพียงแค่ยกด้านใต้ให้สูงขึ้น อุณหภูมิก็ลดลงมาเหลือแค่ 7x องศาเซลเซียสเท่านั้นในแบบ Full-load ซึ่งจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ลงตัวแล้ว สำหรับซีพียู Intel Core i7 บนโน๊ตบุ๊คในกลุ่มบางเบาเช่นนี้ แต่สำหรับผู้ใช้ทั่วไปแล้ว แทบจะไม่ได้ดึงการทำงานของซีพียูมาในระดับที่ 90-100% นี้มากนัก และอาจจะมีแต่ก็ภายในเวลาไม่นาน เช่น ดำลังเรนเดอร์วีดีโอ เปิดไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือทำหลายๆ อย่างพร้อมกัน ดังนั้นโอกาสที่จะเจอกับอุณหภูมิสูงๆ นั้นแทบจะไม่มี อีกทั้งการระบายความร้อนที่ดี ช่องทางที่เป่าไปด้านหลังโดยตรง ย่อมไม่ส่งผลกระทบกับตัวเครื่องหรือมือของคุณขณะที่ใช้พิมพ์งานอีกด้วย เรียกว่าทัชแพดยังคงอุ่นนิดๆ เท่านั้น


Conclusion

ในภาพรวมของ ASUS ExpertBook B3 Flip รุ่นนี้ กลุ่มเป้าหมายน่าจะอยู่ในกลุ่มคนที่มีการใช้งานที่หลากหลาย และคล่องตัว เพราะด้วยขนาดและน้ำหนักค่อนข้างเบา ว่ากันที่ 1.61 กิโลกรัม ซึ่งในแง่ของการพกพา แทบจะอยู่ในเกณฑ์ของโน๊ตบุ๊คที่มีความบางเบาได้ แต่ด้วยพื้นฐานของการเป็น Convertible Notebook ก็ทำให้บีบให้บางกว่านี้ได้ยาก เพราะมีส่วนของโครงสร้างและความปลอดภัยที่ทาง ASUS ใส่มาให้ และได้มาตรฐาน MIL-STD มาด้วย ระดับนี้ก็ถือว่าลงตัวมากแล้ว เมื่อเทียบกับความสะดวกในการใช้งานในชีวิตประจำวัน เป็นทั้งโน๊ตบุ๊ค มอนิเตอร์และแท็ปเล็ตได้ในตัว และแบตเตอรี่ยังจัดว่าอึดพอสมควร แม้จะไม่ได้เปิดต่อเนื่องยาวได้ทั้งวัน แต่ถ้าคุณต้องพกพาไปข้างนอก ก็ยังมั่นใจได้ เปิด-ปิด สแตนบาย ออกเดินทางไปพบลูกค้า แล้วกลับมาประชุมต่อ กลับไปดูสตรีมมิ่งหรือฟังเพลงเบาๆ ที่บ้าน แบตยังพอเหลือ อยู่ที่การปรับจูนโหมดให้เหมาะสมเท่านั้น และไม่ต้องกลัวว่าจะต้องพกที่ชาร์จไปแล้วหนัก เพราะที่ชาร์จเล็กกระทัดรัดและเบามากมาย

ASUS ExpertBook B3

ในด้านการทำงานและประสิทธิภาพสำหรับงานในปัจจุบัน จัดว่าเรี่ยวแรงยังดี มีเหลือมากพอ ในการใช้งานมัลติทาส์กกิ้ง เช่นเปิด Meet ประชุมอยู่ ก็สามารถเปิดไฟล์เพื่อเช็คงาน และทำแผนนำเสนอผลงาน บนซอฟต์แวร์สำนักงาน และการดูหุ้นไปพร้อมๆ กันก็ยังไหว เพราะซีพียู Intel Core i7 ที่ใส่มาให้นี้ก็ไม่ธรรมดา แต่ถ้าเป็นไปได้อัพเกรดแรมเป็น 16GB ก็จะยิ่งทำให้งานลื่นขึ้นอีกเยอะ และโน๊ตบุ๊คมีสล็อตมาให้สามารถเพิ่มเติมเข้าไปได้ ส่วน Storage ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว หากต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูล แนะนำว่ามี External Drive เอาไว้สักตัวก็พอ แนะนำว่าเลือกเป็น SSD และเชื่อมต่อกับ USB-C ผ่านทางพอร์ต TB4 ให้ความเร็วได้ทันใจกว่า

ASUS ExpertBook B3

สุดท้ายน่าจะอยู่ในเรื่องของฟังก์ชั่นและความปลอดภัย ด้วยงานประกอบที่ทำออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แข็งแรง การหมุนพับหน้าจอยังดูแน่น ทำให้การใช้งานในโหมดต่างๆ ได้สะดวก หน้าจอทัชสกรีน ตอบสนองไว แต่ก็ต้องแลกมากับการที่ต้องเช็ดหน้าจอบ่อยหน่อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของจอสัมผัสแบบนี้ ส่วนปากกาสไตลัส ใช้จดและดึงออกมาได้ง่ายทีเดียว เพียงแต่ว่าด้วยขนาดที่เล็ก บางครั้งอาจจะไม่ได้เหมาะกับการนำมาวาดภาพ หรือเน้นงานที่ลงรายละเอียดขั้นสูงสำหรับบางคน แต่ถ้าคุณจับได้ถนัดมือ รับรองว่าจะสนุกไปกับการใช้งานได้ไม่น้อยเลย การอัพเกรดยังพอทำได้ ด้วยการเพิ่มแรม อย่างไรก็ดีรุ่นท็อปๆ แบบนี้ น่าจะให้มาสัก 16GB แล้ว เพราะจะใช้งานได้คล่องตัวมากขึ้น ส่วน Storage ก็ยังปรับเปลี่ยนได้ในวันข้างหน้า เอาเป็นว่าสนนราคาระดับ 35,900 บาท ก็อยู่ในระดับที่คุ้มค่าน่าใช้ทีเดียวสำหรับ ASUS ExpertBook นี้ เมื่อเทียบกับฟังก์ชั่นที่อัดแน่นมาแบบเต็มๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS


Award

NBS award 4 Mobility

เป็นโน๊ตบุ๊คที่พกพาสะดวก ทั้งในแง่ของบอดี้ที่มีจอแสดงผล 14″ น้ำหนักเบา ใส่กระเป๋าพกพาเดินทางได้ง่ายขึ้น พร้อมพอร์ตต่อพ่วงอย่าง Thunderbolt 4 ที่รองรับการใช้งานในแบบต่างๆ ได้ เช่น โอนถ่ายข้อมูล เชื่อมต่ออุปกรณ์ หรือสัญญาณแสดงผลและการชาร์จไฟก็ตาม แบตขนาดใหญ่ ใช้งานได้นานขึ้น

NBS award 7 Design

การออกแบบให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย กับหน้าจอที่พับได้ในโหมดต่างๆ ช่วยให้รองรับทั้งการทำงานและความบันเทิงได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็น Tent mode, Stand, Tablet นอกเหนือจากการเป็นโน๊ตบุ๊คปกติ ที่สำคัญยังเป็นหน้าจอสัมผัส คล่องตัวในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงยังมาพร้อมปากกาสไตลัสอีกด้วย

from:https://notebookspec.com/web/647981-asus-expertbook-b3-flip-notebook