คลังเก็บป้ายกำกับ: อัพเกรด_SSD

เช็คสเปคคอมฟรี 2023 อัพเกรดคอม เช็คสเปค อัพเกรด และตรวจสอบง่าย ไม่กี่คลิ๊ก Windows 11

เช็คสเปคคอมฟรี อัพเกรด แก้ปัญหาปี 2023 รู้จักฮาร์ดแวร์ก่อนซ่อม มือใหม่ เทิร์นโปร ก็ทำได้บน Windows

เช็คสเปคคอม

เช็คสเปคคอม จัดเป็นด่านแรกก่อนแกะคอมอัพเกรด ซ่อมหรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ด้วยตัวเอง เพราะคุณจะได้รู้จักข้อมูลและการเช็ครายละเอียดต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งการเช็คสเปคนั้น มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้และทราบถึงอุปกรณ์ที่มีในเครื่อง หรือเป็นตัวช่วยในการอัพเกรด ยิ่งกรณีที่คุณไม่ได้ซื้อเครื่องมาเอง ได้มาจากคนอื่นบ้าง หรือคิดว่าจะเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ การเช็คให้มั่นใจ ก็จะทำให้คุณไม่พลาดในการเลือกซื้อ และที่สำคัญยังทราบถึงปัญหา เมื่อเกิดอาการผิดปกติกับคอมที่ใช้อยู่ และแก้ไขได้ถูกจุด เช่นเดียวกับคนที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ ก็ช่วยให้ทราบถึงรุ่น เวอร์ชั่นของฮาร์ดแวร์ เพื่อเลือกอัพเดตไดรเวอร์ได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น ไดรเวอร์เมนบอร์ด คอนโทรลเลอร์ต่างๆ รวมถึงการ์ดจอและอื่นๆ ดังนั้นเรามาลองดูกันว่าจะเช็คสเปคคอมอย่างไรได้บ้าง


เช็คสเปคคอม


เช็คสเปคคอมไปเพื่ออะไร?

การเช็คสเปคคอม ถือว่ามีประโยชน์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊คทั้งมือโปร และมือใหม่ สามารถใช้ข้อมูลต่างๆ จากการเช็ค มาเพื่อการเลือกซื้อ อัพเกรดและการเช็คความผิดปกติ เรียกว่าครอบคลุมในทุกเรื่องก็ว่าได้ แต่จะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

Advertisementavw
Deepcool cg540 cg560 case 50

1.เช็คเพื่อติดตั้งไดรเวอร์

แม้ว่าในปัจจุบันการอัพเดตไดรเวอร์ จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นแล้ว เพราะบางครั้งก็ใช้ซอฟต์แวร์เมนบอร์ด ช่วยอัพเดตอัตโนมัติ แต่หลายครั้งเราก็ต้องเป็นผู้เลือกดาวน์โหลดไดรเวอร์ด้วยตัวเอง ดังนั้นการรู้จักฮาร์ดแวร์ของตนเอง ว่าเป็นรุ่นใด เวอร์ชั่นไหน การเช็คสเปคคอมของตัวเองได้ในเบื้องต้น ก็ทำให้เราสามารถอัพเดตไดรเวอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2.เช็คเพื่อการเลือกซื้ออัพเกรด

หลายคนได้อุปกรณ์หรือคอมมาจากคนอื่น หรือบางทีก็ซื้อคอมมานาน จนจำไม่ได้ว่าซื้อรุ่นใดมา หรือเริ่มมาชำนาญในภายหลัง จะอัพเกรดคอมเอง การเช็คสเปคคอมได้ ก็ช่วยให้คุณทราบว่า จะซื้อซีพียูรุ่นใด ซ็อกเก็ตไหนมาใช้ แรมเป็นแบบใด และติดตั้งไปเท่าไรแล้ว รวมถึงการเช็คว่าจะเลือกการ์ดจอใหม่ ให้แรงขึ้นจากรุ่นเดิมอย่างไรนั่นเอง

3.เช็คเพื่อดูความผิดปกติ

การเช็คสเปคคอม ก็ช่วยให้เราเช็คความผิดปกติของคอมได้ อย่างเช่น อยู่ๆ เครื่องช้าลง เดิมเราติดตั้งแรม 16GB เป็น 8GB x2 สล็อต แต่อยู่ๆ ระบบเช็คว่าแรมเหลือแค่ 8GB แสดงว่าอาจเกิดปัญหาจากแรมแถวใดแถวหนึ่งได้ เป็นต้น รวมถึงฮาร์ดแวร์อื่นๆ อีกด้วย


เช็คได้ตั้งแต่ยังไม่เข้า Windows

เช็คสเปคคอม

BIOS เป็นสิ่งแรกที่คุณจะเห็นสเปคคอมได้ง่ายๆ เพราะในนี้ ก็แทบจะเหมือนเช็คฮาร์ดแวร์เบื้องต้นของระบบ โดยจะบอกทุกสิ่งสำคัญ เท่าที่คุณจะทราบได้ ในปัจจุบันใช้งานง่ายขึ้น ในรูปแบบของ UEFI ที่คุณสามารถใช้เมาส์คลิ๊กเพื่อใช้งาน โดยส่วนใหญ่ในหน้าแรก ก็แทบจะรวมหรือ Summary ให้คุณเห็นได้เกือบครบ ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู เมนบอร์ด แคช แรม และ Storage ที่เหลือคุณสามารถคลิ๊กเข้าไปในส่วนของ Advance เพื่อดูเพิ่มได้

สิ่งที่สำคัญของ BIOS นี้ก็คือ ทำให้คุณดูรายละเอียด เช่น แรม Storage ติดตั้งครบตามที่คุณใส่ไว้หรือไม่ หรือเวอร์ชั่นของ BIOS ที่ให้คุณอัพเดตให้ใหม่กว่าเดิมได้ เพื่อรองรับซีพียูรุ่นใหม่ หรือจะใช้แก้ไขบั๊กบางอย่าง เพื่อให้เมนบอร์ดทำงานได้สมบูรณ์กว่าเดิม และการตรวจสอบอุณหภูมิ รอบพัดลม เพื่อเช็คความผิดปกติได้เลย ตรงนี้สำคัญ เพราะบางครั้งการติดตั้งฮีตซิงก์ไม่แน่น ซิลิโคนน้อย หรือการระบายความร้อนไม่ดีพอ ก็เช็คจากตรงนี้ได้ ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบปฏิบัติการนั่นเอง และยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น การปรับแต่งโอเวอร์คล๊อก หรือเปิด-ปิดการใช้งานฟังก์ชั่นอื่นๆ ของเมนบอร์ดได้อีกด้วย


ดูจาก About

เช็คสเปคคอม

เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าคุณใช้ Windows 11 แล้วอยากจะเช็คว่าซีพียูรุ่นอะไร แรมเท่าไร มาเช็คตรงนี้ได้ ถ้าแรมคุณ 16GB แล้วตรงนี้บอกว่า 8GB แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติ รวมถึงกรณีที่คุณจะอัพเดตไดรเวอร์ อยากรู้ว่าใช้ Windows อะไร เวอร์ชั่นไหน ก็ดูได้จากตรงนี้เช่นกัน

วิธีการเข้าไปใน About ให้คลิ๊กขวาที่โลโก้ Windows แล้วเลือก System แล้วเลื่อนมาด้านล่างสุด คลิ๊กที่ About หรืออีกวิธีหนึ่งกดปุ่มคีย์บอร์ด Win+I แล้วเลือกที่ About ได้เช่นกัน

ดูจาก Device Manager

เช็คสเปคคอม

เรียกว่าเป็นฟังก์ชั่นบนวินโดว์ ที่ให้ข้อมูลของฮาร์ดแวร์ได้แบบฟรีๆ และมีรายละเอียดเกือบครบถ้วน บอกถึงการเป็นฮาร์ดแวร์อะไร รุ่นไหน ซีรีส์ใด รวมถึงรายละเอียดบางรายการ เช่น ซีพียู ก็จะบอกถึง Core/ Thread ได้อีกด้วย และที่สำคัญยังลึกลงไปในรายละเอียด เพื่อให้คุณทราบว่าใช้ไดรเวอร์ เวอร์ชั่นใดอยู่ และการอัพเดตไดรเวอร์ ได้ในฟังก์ชั่นนี้อีกด้วยครับ กับข้อดีต่างๆ เหล่านี้

  • บอกถึงรุ่นฮาร์ดแวร์: ระบุไว้ชัดเจน เช่น ซีพียู Intel Core i5-1135G7 ความเร็ว 2.4GHz และมีกี่ Core/ Thread
  • บอกถึงเวอร์ชั่นและความผิดปกติได้: ซึ่งคุณจะเห็นได้จากเครื่องหมายที่ปรากฏอยู่บริเวณชื่อรุ่นของฮาร์ดแวร์ จะทราบได้ทันทีว่า เปิดใช้งานปกติ หรือถูกปิด หรือเกิดปัญหา จะได้เช็คและแก้ไขได้ทันที
  • เช็คและอัพเดตไดรเวอร์: ตรงนี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะคุณจะทราบได้ว่า ฮาร์ดแวร์ควรได้รับการอัพเดตไดรเวอร์หรือไม่ เช่น ไดรเวอร์เก่ามาก ดูจากปีและเวอร์ชั่น ด้วยการคลิ๊กขวาที่ชื่อฮาร์แวร์ แล้วเลือก Properties หากเก่าไป ก็สามารถเลือกที่ Update Driver ได้

สุดท้ายหากฮาร์ดแวร์ที่ใช้อยู่ทำให้เกิดปัญหากับระบบ เช่น ค้าง แฮงก์ จอฟ้า ก็สามารถ Disable Device หรือ Uninstall Driver ได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นเครื่องมือเช็คสเปคคอมที่มีครบเครื่อง แถมยังฟรี ให้การใช้งานได้ครอบคลุมทีเดียว

Control Panel ใช้งานง่าย บอกรายละเอียด และจัดการฮาร์ดแวร์ได้สะดวกแบบฟรีๆ

วิธการเข้าถึง Device Manager หากเป็น Windows 11 หรือ Windows 10 ที่อัพเดตแล้ว ให้คลิ๊กขวาที่รูปโลโก้ Windows ตรง Taskbar ด้านล่างหน้าจอ จากนั้นเลือกที่ Device Manager ได้เลยครับ


ดูจาก System Information

เช็คสเปคคอม

เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยในการเช็คสเปคคอมได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้ดูง่ายเหมือนกับ Device Manager แต่ในเรื่องรายละเอียดต่างๆ มีให้อย่างครบครัน มองว่าน่าจะเหมาะกับสายฮาร์ดแวร์จริงจัง หรือบรรดาช่าง ที่จะเข้ามาเช็คข้อมูลเพื่อทำการแก้ไข หรือทีมไอทีซัพพอร์ต ที่จะคอยดูแลความเรียบร้อยให้กับคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในองค์กรมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป เพราะหลักๆ จะเป็นการบอกรายละเอียดในเชิงลึก เช่น Hardware ID, Driver, Type, IP และอื่นๆ ที่ผู้ดูแล จะเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้ รวมถึงการแก้ไขปัญหา เมื่อเกิดความผิดปกตินั่นเอง

แต่ก็สามารถเข้าไปดูสเปคต่างๆ ได้ เช่น Name, Manufacturing, Type หรือ Description ในหัวข้อฮาร์ดแวร์ต่างๆ ได้ ซึ่งจะมีชื่อ รายละเอียดและไดรเวอร์ ให้ได้ตรวจเช็คกัน

วิธีการเข้าถึง System Information ให้กดปุ่ม Win แล้วพิมพ์ System Information ได้เลย


เช็คสเปคจาก DirectX Diagnostic tool

เช็คสเปคคอม

การเช็คสเปคคอมด้วยฟังก์ชั่นบน Windows การเข้าไปใน DirectX Diagnostic Tool ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเช็คฮาร์ดแวร์เบื้องต้นได้ อย่างเช่น OS เวอร์ชั่น ซีพียู แรม กราฟิก เป็นต้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับกราฟิก และมัลติมีเดียเป็นหลัก จึงอาจจะไม่เหมาะสำหรับการดูข้อมูลในเชิงลึก และฮาร์ดแวร์อื่นๆ ส่วนวิธีเข้าไปในฟังก์ชั่นนี้ ให้กดปุ่ม Win จากนั้นพิมพ์ “dxdiag” และกด Enter เท่านั้น


Task Manager

Windows Task manager

สำหรับ Task Manager ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของฟังก์ชั่นการเช็คสเปคคอมของเราได้ และยังทำได้ง่ายอีกด้วย แม้ว่าหัวใจหลักจะเน้นไปที่การตรวจเช็ค ดูความผิดปกติ และการจัดการปัญหาของระบบก็ตาม แต่ก็ยังดูได้ว่าฮาร์ดแวร์ หรือสเปคที่ติดตั้งระบบของเรามีอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู แรม Storage รวมถึงกราฟิก และ WiFi ซึ่งข้อดีของ Task Manager นี้ ก็มีอยู่มากมาย เช่น

  • Process: ตรวจเช็คได้ว่าระบบของคุณรันโปรแกรมอะไร และใช้ Resource ไปกับสิ่งใดบ้าง หากมีอะไรที่รันระบบของคุณผิดปกติ เช่น ไวรัสหรือซอฟต์แวร์แฝง ก็สามารถเช็คได้จากตรงนี้ หากไม่มั่นใจก็เลือก End Task เพื่อหยุดการทำงานไปได้เลย
  • Performance: สำหรับการเช็คประสิทธิภาพของระบบ ให้คุณมอนิเตอร์ ตรวจเช็คความผิดปกติ หรือโหลดการทำงานของระบบได้ ในปัจจุันลงรายละเอียดได้ลึกถึงระดับ Core/ Thread, Clock speed และ Cache อีกด้วย
  • App History: บอกได้ว่ามีการใช้โปรแกรมใดบ้างแบบย้อนหลัง เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีซอฟต์แวร์แปลกปลอมเข้ามาแอบรันบนระบบ และเช็คว่าใช้การเชื่อมต่อด้วยหรือไม่ หากมีจะได้แก้ไขได้ทัน
  • Startup App: มีหลายโปรแกรมที่เปิดขึ้นมาพร้อมกับระบบ หากคุณไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพราะอาจทำให้ระบบเปิดช้า หรือบางโปรแกรมก็ทำงานเบื้องหลัง เราสามารถลด Process เหล่านี้ได้ด้วยการ Disable

อยากดูสเปคคอมให้ละเอียดขึ้น ทำอย่างไร?

เช็คสเปคคอม

อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ฟังก์ชั่นบนวินโดว์ให้ผลในการเช็คสเปคคอมแค่เบื้องต้นเท่านั้น แม้ว่าบางฟังก์ชั่น จะมาพร้อมการปรับแต่ง อัพเดตหรือลงลึกในส่วนของฮาร์ดแวร์ได้ แต่เรื่องของอินเทอร์เฟส ก็ไม่ได้ง่ายและสะดวกมากนัก หากคุณต้องการจะใช้งานเช่น การเช็คเวอร์ชั่น การดูรายละเอียด และการทดสอบ การใช้ซอฟต์แวร์ในการตรวจเช็ค ดูจะทำได้ง่ายกว่า และช่วยให้การเพิ่มประสิทธิภาพทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย เราไปดูกันครับว่า มีซอฟต์แวร์ตรวจเช็คสเปคคอมแบบไหนน่าใช้บ้างและแบบฟรีมีมั้ย?


เทียบสเปคคอมใน Notebookspec.com

และถ้าคุณอยากจะทราบข้อมูลของฮาร์ดแวร์ หรือต้องการเปรียบเทียบสเปคของอุปกรณ์ ในหน้าจัดสเปคคอมของทาง Notebookspec.com สามารถให้คุณเช็ครายละเอียด สเปค พร้อมกับราคาของฮาร์ดแวร์แต่ละรุ่นได้สะดวกมากขึ้น รวมถึงการจัดอันดับของฮาร์ดแวร์แต่ละชิ้น ให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

Notebookspec pc spec 1

จากตัวอย่างด้านบนนี้ คุณสามารถเลือกดูรายละเอียด สเปคของซีพียู ราคาและการรับประกัน พร้อมกับตัวเปรียบเทียบของซีพียูในรุ่นใกล้เคียงกันได้ เพื่อใช้ในการพิจารณา ก่อนจะจัดสเปคและสั่งซื้อได้จากในเครื่องมือนี้ หรือต้องการเข้าไปดูสเปคคอมที่หลายคนจัดเอาไว้ ก็มี Ranking หรืออันดับของสเปคที่ได้รับความนิยมเอาไว้ให้ชมด้วย เผื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดสเปคกันต่อไป

Notebookspec pc spec Rank

CPUz

เช็คสเปคคอม

CPUz ถือว่าเป็นซอฟต์แวร์เช็คสเปคคอมฟรี ตัวเริ่มต้นได้ดีทีเดียว เพราะบอกรายละเอียดได้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ร่น ซีรีส์ เวอร์ชั่น และการทดสอบ รวมถึงยังบอกได้ตรง แม้จะเป็นซีพียูรุ่นใหม่ๆ ก็ตาม มักจะมีให้อัพเดตเป็นรายแรกๆ

จุดเด่นของ CPUz คือ ใช้ง่าย เป็นไฟล์ติดตั้งขนาดเล็ก แต่บอกรายละเอียดทั้ง ซีพียู เมนบอร์ด ชิปเซ็ต แรมและกราฟิกได้ รวมถึงการทดสอบประสิทธิภาพของซีพียูแบบง่ายๆ ได้อีกด้วย ในแท็ปของ Bench ให้คุณวัดประสิทธิภาพของซีพียูในระบบ กับซีพียูรุ่นอื่นๆ ได้ เป็นการช่วยตัดสินใจในการอัพเกรดซีพียูได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังช่วยให้มือใหม่หรือมืออาชีพ สามารถเช็คได้ว่า อุปกรณ์ที่ติดตั้งลงไป หรือที่เคยใช้งานอยู่ ยังเป็นปกติดีหรือไม่ เช่น แรมหาย สล็อตแรมเสีย ก็เช็คได้เลยว่าครบหรือไม่ ความเร็วลดลงหรือเปล่า เพราะบางครั้งตั้งค่า Intel XMP หรือ AMD EXPO เมื่อเกิดความเสียหายที่แรม ก็อาจจะทำให้ความเร็วลดลงได้เช่นกัน

ดาวน์โหลด: CPUz


GPUz

เช็คสเปคคอม

GPUz ก็เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งในการเช็คสเปคคอมที่น่าสนใจ รับหน้าที่สำหรับกราฟิกการ์ด หรือการ์ดจอเป็นหลัก เหมาะกับผู้ใช้หลากหลาย ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ เพราะมีข้อมูลสำคัญของการ์ดจอ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อรุ่น GPU กระบวนการผลิต ไบออส รวมถึงลงลึกถึงชุดโครงสร้างภายใน เช่น Shader, CUDA, Clock, Memory หรือจะเป็น Memory Type ก็ตาม

ประโยชน์ของ GPUz นอกจากจะบอกรายละเอียดของกราฟิกการ์ดได้ละเอียดแบบลงลึกแล้ว ยังมีฟีเจอร์ในการตรวจเช็คว่า การ์ดจอรุ่นนั้น มีการปรับเปลี่ยน แก้ไขหรือดัดแปลงมาหรือไม่ โดยจะบอกเป็น Fake Graphic อยู่บนโลโก้ด้านขวาของซอฟต์แวร์ หรือจะเช็คจะ BIOS Version ก็ได้ ตรงนี้จะช่วยให้คุณเช็คการ์ดจอมือสองได้ค่อนข้างดีทีเดียว

เช็คสเปคคอม

และสุดท้ายจะสามารถความผิดปกติได้ในแท็ป Sensor ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณนาฬิกา อุณหภูมิ โหลดการทำงาน และแรงดันไฟ เอาไว้เทียบกับการ์ดมาตรฐานโรงงานได้ หรือใครที่กำลังจะอัพเกรดการ์ดจอ ก็นำมาใช้เปรียบเทียบสเปคเบื้องต้นได้เช่นกัน

ดาวน์โหลด: GPUz


CPUID HWMonitor

เช็คสเปคคอม

CPUID HWMonitor เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการตรวจเช็คการทำงานของอุปกรณ์เป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้เช็คฮาร์ดแวร์และสเปคคอมได้อีกด้วย เพราะสามารถบอกรายละเอียดของฮาร์ดแวร์ที่ติดตั้งมาบนพีซีหรือโน๊ตบุ๊คได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู แรม Storage กราฟิกการ์ด และเมนบอร์ด

จุดเด่นของซอฟต์แวร์นี้อยู่ที่การตรวจเช็ค โดยเฉพาะการรายงานข้อมูลแบบเรียลไทม์ คือ คุณสามารถดูสถานะของระบบได้ ณ ตอนนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น ความเร็ว ความจุ อุณหภูมิ แรงดันไฟ ทำให้ตรวจเช็คความผิดปกติได้ง่าย ซึ่งมีผลต่อการใช้งานหลายประเภท

สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ดูสถานะของฮาร์ดแวร์ ทำงานปกติดีหรือไม่ ได้ของตรงรุ่นหรือเปล่า คนที่ซื้อของมือสอง เช็คได้ว่า มีความร้อนเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงได้ ของที่ได้ตรงรุ่นกับที่จำหน่ายในตลาดมั้ย นักโอเวอร์คล็อก ก็เช็คได้ว่าได้ผลดีต่อระบบหรือไม่ ความเร็วเพิ่มขึ้นตามที่ตั้งไว้มั้ย หรือคนที่เน้นความปลอดภัย ก็สามารถเช็คความร้อนได้ ร้อนเกินไปก็ทาซิลิโคนใหม่ หรือต้องเปลี่ยนฮีตซิงก์ ก็เช็คได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

ดาวน์โหลด: CPUID HWMonitor


CrystalDiskInfo

เช็คสเปคคอม

ถ้าคุณมองว่าการตรวจเช็คฮาร์ดแวร์ควรจะครอบคลุมอุปกรณ์ในหลายๆ ด้าน ไม่ใช่แค่เพียงซีพียู แรม การ์ดจอ หรือเมนบอร์ดเท่านั้น ส่วนของ Storage อาจจะหาโปรแกรมที่ช่วยดูหรือจัดการได้ค่อนข้างยากทีเดียว ยิ่งต้องให้เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ดูง่าย จัดการสะดวกด้วยแล้ว CrystalDiskInfo ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว

หน้าที่ของโปรแกรมนี้ คือการเช็คสเปค Storage โดยเฉพาะ SSD ที่สามารถบอกรายละเอียดได้แบบลงลึก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบรนด์ ความจุ อินเทอร์เฟา หรือจะเป็นฟีเจอร์ที่อยู่ใน Storage ชิ้นนั้นๆ

แต่ที่น่าสนใจคือ คุณสามารถเช็คระยะเวลาในการใช้งานของ SSD เพื่อประเมินระยะเวลาการทำงาน เผื่อเอาไว้สำหรับการสำรองข้อมูลได้อีกด้วย เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดจากความเสียหาย รวมถึงการรายงานอุณหภูมิของอุปกรณ์ ว่ามีความร้อนสูงเกินไปหรือไม่ เพราะบางครั้งการติดตั้งใกล้กับจุดที่เกิดความร้อนสูง หรือ SSD ทำงานหนัก ก็ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลได้เช่นกัน ซอฟต์แวร์นี้สามารถใช้คู่กับซอฟต์แว์ทดสอบประสิทธิภาพอย่าง CrystalDiskMark ในการเช็คความเร็วการทำงานของ SSD ได้อีกด้วย

ดาวน์โหลด: CrystalDiskInfo


OCCT

เช็คสเปคคอม

OCCT จัดเป็นซอฟต์แวร์เอนกประสงค์ของคอมที่คุณใช้งานได้ดีทีเดียว เพราะมาพร้อมกับระบบตรวจเช็คครบครัน ไม่ใช่แค่เพียงการดูสเปคอุปกรณ์เท่านั้น แต่ยังใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพ และการมอนิเตอร์ฮาร์ดแวร์ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สัญญาณนาฬิกา อุณหภูมิ แรงดันไฟ รอบพัดลมและโหลดการทำงาน ให้มาครบเลยทีเดียว

จุดเด่นที่น่าสนใจของซอฟต์แวร์นี้ อยู่ที่การตรวจเช็คฮาร์ดแวร์ได้ครบเครื่อง โดยในส่วนของการบอกสเปค OCCT บอกได้ตั้งแต่ชื่อรุ่น ซีรีส์ ความเร็วสัญญาณนาฬิกา แรงดันไฟ ทำให้ผู้ใช้มือใหม่ สามารถเช็คการทำงานของอุปกรณ์ได้แบบเรียลไทม์ หรืออยากจะเช็คความผิดปกติ เช่น แรงดันไฟสูงเกินไป หรือความร้อนเพิ่มขึ้นแค่ไหน หลังจากที่ปรับแต่ง ก็สามารถทำได้ หรือจะเป็นนักโอเวอร์คล็อก ก็เช็คได้ทั้งความร้อน สัญญาณนาฬิกาที่เปลี่ยนไป และเสถียรภาพ เพราะระบบออกแบบมาให้เช็คด้วยการรันการทำงานของ ซีพียูและกราฟิกการ์ดแบบ Full-load 100% หากระบบทำงานไม่ไหว ระบายความร้อนไม่ทัน ก็จะเห็นได้จากโปรแกรมนี้

ถ้าจะเช็คฮาร์ดแวร์ ดูสถานะ และวัดเสถียรภาพ OCCT คือคำตอบ

OCCT แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือการมอนิเตอร์ หรือเช็คสถานะทั่วไปจะเลือกดูทีเดียวทั้งหมดก็ได้ หรือจะแยกดูแค่บางสถานะบางอย่างก็ได้เช่นกัน โดยจะมีรายงานทั้งแบบตัวเลขและเป็นกราฟ ส่วนที่ 2 จะเป็นโหมดของการทดสอบ เพื่อเช็คสถานะและความเสถียร เมื่อโหลดใช้งานจริง และยังทดสอบประสิทธิภาพของบางฮาร์ดแวร์ได้อีกด้วย อินเทอร์เฟสไม่ยุ่งยากนัก และทำงานได้คล่องตัว

ดาวน์โหลด: OCCT


HWiNFO

เช็คสเปคคอม

อีกหนึ่งโปรแกรมที่อยากจะแนะนำก็คือ HWInfo ซึ่งในบรรดาโปรแกรมเช็คสเปคคอม ต้องถือว่ามีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะรายงานได้ทั้งฮาร์ดแวร์ และสถานะในการทำงานอย่างละเอียด

เช็คสเปคคอม

ละเอียดแค่ไหน เราจะไล่กันทีละจุดเลย เริ่มตั้งแต่การรายงานฮาร์ดแวร์ อย่างเช่น ซีพียู สามารถบอกถึง Stepping และ Code Name รวมถึงเทคโนโลยีภายใน ทำงานบนสัญญาณนาฬิกา ตัวคูณ และบัสเท่าไร บอกได้ชัดเจน ส่วนแรมนั้น บอกระดับค่า CL บนสัญญาณนาฬิกาที่ต่างกันได้ รวมถึงค่า Timing และ Mode ในแบบเรียลไทม์ ส่วนการ์ดจอยังบอกรุ่น โมเดลและ VRAM ได้

HWiNFO โปรแกรมแนะนำสำหรับคนที่ชอบส่องฮาร์ดแวร์ เช็คสถานะ และตรวจสอบหลังการโอเวอร์คล็อก ดูความผิดปกติ ใช้ง่าย รายละเอียดเยอะ

แต่อีกส่วนหนึ่งก็ทำหน้าที่เป็น Hardware monitor ได้อย่างละเอียดอีกด้วย และที่น่าสนใจก็คือ ทำงานในแบบเรียลไทม์อีกด้วย เพราะบอกสถานะปัจจุบัน สูงสุด ต่ำสุด และค่าเฉลี่ย ทำให้ผู้ใช้ ที่ต้องการตรวจเช็คผลจากการปรับแต่ง นักโอเวอร์คล็อก หรือเช็คความผิดปกติ ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมนี้ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด และที่สำคัญคือ ไม่มีค่าใช้จ่ายอีกด้วย

ดาวน์โหลด: HWiNFO


Conclusion

จุดเด่น
About ใช้งานง่าย บอกข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ได้
Device Manager บอกรายละเอียด โมเดลฮาร์ดแวร์ และใช้จัดการไดรเวอร์ได้
System Information บอกข้อมูลพื้นฐานทั่วไป
DirectX Diagnostic tool ใช้ดูรุ่นฮาร์ดแวร์ และเวอร์ชั่นของไดรเวอร์ได้
Task Manager ดูรุ่น และสถานะในการทำงานได้เกือบทั้งหมด
CPUz บอกรายละเอียดฮาร์ดแวร์สำคัญในเครื่องได้
GPUz เน้นไปที่รายละเอียดของการ์ดจอเป็นหลัก
CPUID HWMonitor แจ้งสถานะการทำงานของฮาร์ดแวร์ อุณหภูมิ แรงดันไฟ พัดลม
CrystalDiskInfo บอกรายละเอียด สถานะ และข้อมูลของ SSD
OCCT ตรวจเช็ค ดูสถานะ ทดสอบฮาร์ดแวร์ได้
HWInfo บอกรายละเอียดได้เกือบครบ ลงลึกและเช็คสถานะได้

ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการเช็คสเปคคอมสำหรับผู้ใช้ทั้งมืออาชีพหรือมือใหม่ ที่จะเริ่มต้นกับการตรวจสอบฮาร์ดแวร์ หรือการดูแลคอมของตนให้เรียบร้อยอยู่เสมอ หากคุณไม่ได้คิดว่าจะลงลึกในข้อมูลเทคนิคมากนัก ฟังก์ชั่นบนวินโดว์ อย่างเช่น About, Task Manager หรือ Device Manager ก็เพียงพอ แต่ถ้าจะอยากได้รายละเอียดเพิ่มขึ้น เพื่อการอัพเกรด CPUz, GPUz, HWMonitor ก็ใช้งานได้ดีแล้ว แต่ถ้าต้องการตรวจเช็ค ทดสอบแนะนำ OCCT, CrystalDiskMark ก็ถือว่าใช้งานได้ดีพอสมควร เหมาะกับกลุ่มใช้งานทั่วไป รวมถึงช่างคอม และนักโอเวอร์คล็อกก็ใช้ได้เช่นกัน แล้วแต่ความสะดวกในการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีฮาร์ดแวร์อีกมากมายนอกเหนือจากนี้ให้เลือกใช้กันอีกด้วย

from:https://notebookspec.com/web/690480-free-check-pc-spec-2023-windows-11

Advertisement

คอมช้า คอมกระตุก จอฟ้า จบใน 7 ขั้นตอนฟรี! คอมลื่นเหมือนใหม่ 2023

คอมช้า คอมกระตุก 2023 รีสตาร์ท เปิดคอมใหม่ก็เป็น จบใน 7 ขั้นตอน มือใหม่ทำตามได้

solve pc slowly and crash 2023 cov

คอมช้า คอมกระตุกเกิดได้จากหลายสาเหตุ 7 วิธีนี้ช่วยลดปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นคอมเก่าใช้มานาน หรือคอมใหม่เพิ่งซื้อ ก็อาจเกิดอาการช้า หรือจอฟ้า BSOD ได้เช่นกัน แต่ถ้าหาต้นเหตุของอาการได้ ก็แก้ไขได้ไม่ยาก แต่อาจจะต้องมีขั้นตอนวิธีในการเช็ค ว่าเกิดจากฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ โดยในบางกรณีอาจเกิดจากปัญหาเล็กๆ เช่น ไดรเวอร์ หรือการติดตั้งฮาร์ดแวร์ผิดปกติเท่านั้น เมื่อแก้ไขก็กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม อาการเหล่านั้นก็หายไป ดังนั้นมาลองดูกันครับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นและทำให้คอมคุณช้า กระตุกหรือทำงานไม่ได้ตามปกติ ต้องทำอย่างไร กับวิธีง่ายๆ เหล่านี้

คอมช้า คอมกระตุกจบปัญหาใน 8 ขั้นตอน


แก้ปัญหาคอมช้า

ปัญหาคอมช้า คอมอืด กระตุกหรือหนักขึ้น จนเกิดอาการจอฟ้า BSOD สิ่งเหล่านี้ อาจจะต้องเริ่มที่การแก้ไขในแบบที่เราคุ้นเคย หรือสามารถทำได้ก่อน เช่น การใช้ฟีเจอร์จากบน Windows มาช่วยในการปรับปรุงแก้ไข และค่อยๆ ใช้ซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์เข้ามาลองปรับเปลี่ยนตามลำดับ อย่างไรก็ดีการปรับลดหรือเพิ่มในฟังก์ชั่นบางอย่าง ก็มีส่วนช่วยลดอาการได้เช่นกัน ดังนั้นแล้วควรทำควบคู่กันไป ตามอาการที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น การใช้วิธีต่างๆ เหล่านี้

Advertisementavw

โซลูชั่นแก้ปัญหาคอมช้า คอมกระตุก แบบเร่งด่วน

เริ่มจากการเช็ค สแกน > อัพเดต > ตรวจสอบระบบฮาร์ดแวร์ > อัพเกรดหรือเปลี่ยน


1.ปิดโปรแกรมที่ไม่ใช้บ้าง

หลานท่านชอบใช้งานคอมหลายอย่างพร้อมกัน เช่น ดูหุ้น พร้อมกับทำงานเอกสาร และเปิดเพลงฟัง หรือบางคนก็อาจจะแต่งภาพ ไปพร้อมๆ กับการดูหนัง ฟังเพลง รวมถึงเปิดเว็บไซต์หาข้อมูล หรือใช้ในการโอนถ่ายไฟล์งานต่างๆ สิ่งเหล่านี้ หากเป็นคอมที่สเปคกลางๆ ขึ้นไป เช่น ซีพียูระดับ Intel Core หรือ AMD Ryzen มีแรม 8GB หรือมากกว่า การทำงานระดับนี้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก แต่ถ้าเป็นคอมที่สเปคไม่แรง หรือเป็นรุ่นเก่า ใช้งานมานาน ใช้งานระดับนี้ก็อาจกระตุกหรือค้างได้ในบางจังหวะ

คอมช้า

สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือ ลองเช็คดูว่าคุณใช้งานโปรแกรมเยอะเกินไปหรือไม่ รวมถึงเปิดใช้เว็บเบราว์เซอร์ ไม่ว่าจะเป็น Chrome หรือ Microsoft Edge มากเกินไปหรือเปล่า เพราะอย่าลืมว่า เมื่อเปิดแต่ละแท็ปหรือแต่ละหน้าต่าง ก็ใช้แรมเพิ่มมากขึ้น หากคุณมีแรมน้อย ก็ย่อมส่งผลทำให้คอมช้า คอมกระตุกได้เลย

วิธีการแก้ไข

คอมช้า
  1. ปิดโปรแกรม ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในขณะนั้น
  2. เข้าไปดูใน Startup program ด้วยการกด Ctrl+Shift+Del ปิดโปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังออก
  3. ปิดแท็ปหรือหน้าต่างหรือเว็บไซต์บนเว็บเบราว์เซอร์ เหลือไว้เท่าที่ใช้งาน
  4. รีสตาร์ทระบบ เพื่อเคลียร์สิ่งต่างๆ ให้เหลือพื้นที่แรมเพิ่มขึ้น

2.ฮาร์ดดิสก์หรือ SSD เต็มหรือเปล่า

เรียกว่าเป็นปัญหาใหญ่ของใครหลายคนก็ว่าได้ เก็บข้อมูลไฟล์ ลงเกม ติดตั้งโปรแกรมเพลิน จนลืมไปว่าแทบไม่เหลือพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์หรือ SSD แล้ว ยิ่งเป็นโน๊ตบุ๊คบางรุ่น มี SSD มาให้น้อยมาก ลงโปรแกรมที่จำเป็นกับเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้อีกหน่อย ก็เกือบจะเต็มพื้นที่อยู่แล้ว เป็นแบบนี้ใช้งานไม่นาน คอมหรือโน๊ตบุ๊คก็ช้าลงได้ เพราะไม่มีพื้นที่ให้จัดการไฟล์ ระบบไม่สามารถทำงานได้ตามปกตินั่นเอง

คอมช้า

สิ่งที่ต้องแก้ไข ก็คงต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรมของผู้ใช้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดสรรพื้นที่เก็บไฟล์ การเคลียร์ไฟล์ที่ไม่จำเป็น ลดโปรแกรมที่ไม่ใช้ รวมไปถึงเกม และยังมีวิธีอื่นๆ อีกมากมาย ช่วยให้คุณได้พื้นที่เก็บข้อมูลกลับมา

วิธีการแก้ไข

  • เคลียร์ไฟล์ขยะและ Temporary file หรือไฟล์ตกค้างจากการทำงานของ Windows ที่ไม่ได้ลบทิ้ง
  • ให้เข้าไปที่ Disk Cleanup เลือกไดรฟ์ C: จากนั้นใส่เครื่องหมายหน้ารายการต่างๆ เลือก OK แล้ว Clean up ได้เลย จะลดไฟล์เหล่านั้นไปได้อีกหลาย GB เลยทีเดียว
  • ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้ออกไป ด้วยการเข้าไปที่ Program & Feature จากนั้น Uninstall or change a program แล้วเลือกโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งาน หมดอายุ หรือเป็นโปรแกรมเก่า ที่ไม่ได้ใช้มาเนิ่นนานออกไป ด้วยการ Remove จะได้พื้นที่กลับมาในระดับ GB หรือมากกว่า 10GB เลยทีเดียว
  • เกมที่ไม่ได้เล่น ไม่ว่าจะติดตั้งโดยตรงหรือลงผ่าน Game Platform ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Steam, Origins หรือ EPIC เป็นต้น ลบโดยตรงจากโปรแกรมได้เลย ตรงนี้ใครที่เล่นเกมใหญ่ๆ จะได้คืนมาระดับ 100GB เลยทีเดียว
  • ลบไฟล์ซ้ำๆ ออกบ้าง เพราะบางคนเก็บไฟล์เดียวกัน แต่เอาไว้หลายที่ เพราะไม่ได้วางแผนจัดเก็บที่ดี ทำให้กลายเป็นไฟล์ขยะ เปลืองพื้นที่บน Storage อย่างมากเลย วิธีลบถ้าทำแบบ Manual ไม่ได้ ก็เลือกใช้โปรแกรมที่ใช้ลบไฟล์ซ้ำ เช่น Duplicate file Cleaner, AllDup หรืออื่นๆ ตามที่พอหาได้
  • แต่ถ้าสุดท้ายอั้นไม่ไหว ไม่อยากลบ เพราะมีแต่ไฟล์ที่จำเป็น ก็ลองขยายพื้นที่จัดเก็บ เช่น การเปลี่ยน SSD, เพิ่มความจุฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่ หรือจะใช้แบบจัดเก็บข้อมูลต่อภายนอก และสุดท้ายคือ ใช้บริการ Cloud Storage ก็ได้เช่นกัน
อุปกรณ์ ค่าใช้จ่าย
SSD 1TB เริ่ม 2,900 บาท
ฮาร์ดดิสก์ 2.5″ SATA 1TB เริ่ม 1,000 บาท
External HDD 1TB เริ่ม 1,400 บาท
External SSD 1TB เริ่ม 3,300 บาท
Cloud storage MEGA ฟรี 20GB
Google One ฟรี 15GB
iCloud ฟรี 5GB
Dropbox ฟรี 2GB
Google One 2TB, 350 บาท/ด
iCloud 2TB, 349 บาท/ด
Dropbox 2TB, 350 บาท/ด
MEGA 2TB, 391 บาท/ด

3.แรมหาย คอมก็ช้าได้

แรมหายจากการที่ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเรียกใช้งาน อย่างเช่น บางโปรแกรมที่เปิดอยู่กำลังทำงาน อาจจะเรียกใช้อยู่ไม่กี่ MB แต่เมื่อรวมการใช้งานร่วมกับภาพไฟล์ข้อมูลเข้าไปด้วย ก็ยิ่งใช้แรมมากขึ้น หรือแม้กระทั่งเว็บเบราว์เซอร์เอง ก็มีการเรียกใช้แรม เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนหน้าหรือแท็ปที่เปิดใช้งานอยู่เวลานั้น ยิ่งทำให้คอมช้าลง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของแรมหาย จากความเสียหายทางกายภาพอีกด้วย มาดูสาเหตุกัน

คอมช้า

แรมไม่พอ: เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย และสังเกตได้ อาการจะมีหลายแบบ เช่น เปิดโปรแกรมช้า เปิดไฟล์ไม่ได้ หรือบางครั้งก็จะแฮงก์ค้างไปดื้อๆ

วิธีการแก้ไข

  1. เริ่มจากปิดหน้าเว็บเบราว์เซอร์ที่ไม่จำเป็น หรือปิดไปทั้งหมด แล้วจึงเปิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ถ้าเป็น Chrome หรือ Edge สามารถกดปุ่ม Ctrl+Shift+ปุ่ม T พร้อมกัน ก็จะเรียกหน้าต่างที่เราปิดไป กลับคืนมาให้
  2. กดปุ่ม Ctrl+Shift+Esc แล้วเข้าไปใน Task manager เลือกปิดโปรแกรมที่ใช้ Memory มากผิดปกติ แล้วคลิ๊กที่ End Task
  3. Restart ระบบ แล้วกลับมาใช้งานอีกครั้ง เพื่อเป็นการ Clear พื้นที่การใช้งานแรม ให้เหลือมากขึ้น
คอมช้า

แรมเสีย: อาการนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ โดยที่ผู้ใช้ไม่ทันรู้ตัว จนกว่าจะมีอาการช้าจนผิดปกติ เพราะจากเดิมอาจมีแรม 8GB แบ่งเป็น 4GB จำนวน 2 ตัว ก็ยังทำงานได้ลื่น แต่พอแรมพังไป 1 ตัว เหลือแค่ 4GB เราทำงานแบบเดิม แต่ก็จะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ สำหรับคนที่ไม่ทราบข้อมูล หรือไม่ได้มีความรู้ด้านฮาร์ดแวร์มากนัก แต่ก็มีวิธีสังเกตง่ายๆ คือ

คอมช้า
  • คุณอาจจะต้องหาข้อมูลที่แท้จริงว่า โน๊ตบุ๊คหรือพีซีที่คุณใช้อยู่นั้น มีแรมอยู่เท่าไร โดยดูจากโบรชัวร์ หรือสอบถามจากร้านหรือคนที่ซื้อมาให้คุณ
  • เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ให้เช็คจากในเครื่องคุณว่ามีแรมครบถูกต้องมั้ย ทำได้หลายวิธี เช่น ดูจาก Task manager, ฟังก์ชั่น System ของระบบ หรือจะใช้โปรแกรมเสริมก็ได้
  • ดูจาก Task Manager ไปที่แท็ป Performance แล้วดูที่ Memory จะบอกความจุแรมให้ชัดเจน
  • ดูจาก System สำหรับ Windows 11 ให้คลิ๊กขวาที่ปุ่ม Start จากนั้นเลือก System เข้าไปดูใน Device Specification ลงมาตรง Installed RAM ตรงนี้จะบอกความจุที่ระบบมองเห็น ครบหรือไม่ครบ ก็ทราบได้เลย
  • แต่ถ้ายังรู้สึกคลุมเครือ มีคนสามารถวางใจได้ หรือมีสกิลในการแกะอยู่บ้าง ก็แกะดูได้ เป็นพีซีจะมองได้ง่าย แต่โน๊ตบุ๊คอาจจะยากนิดหน่อย
  • หากเสีย ก็เช็คอีกทีว่าเสียจริงมั้ย หรือแค่สกปรก หรืออาจจะเสียจากสล็อตแรมก็เป็นได้ ถ้าเป็นแบบสุดท้าย ก็ต้องพึ่งพาช่างซ่อมแล้วครับ

4.อัพเดตไดรเวอร์หรือ Windows บ้าง

เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำและทำได้ง่ายมากที่สุด อาจจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา คอมช้า คอมกระตุกโดยตรง แต่ก็มีส่วนช่วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะระบบจะได้รับการปรับปรุง แก้ไข หรือเพิ่มประสิทธิภาพ ก็มาจากการ Update Windows หรือ Update Driver นั่นเอง วิธีการค่อนข้างง่าย

คอมช้า

Update Windows: ให้คลิ๊กขวาที่ปุ่ม Win จากนั้นเลือก System แล้วเลือก Windows Update ที่อยู่ทางซ้ายมือ คลิ๊กที่ Check for Updates จากนั้นเลือก Download & Install รอจนกว่าจะติดตั้งเสร็จ แล้วรีสตาร์ทระบบใหม่อีกครั้ง

คอมช้า

Update Driver: สามารถใช้วิธีการเดียวกับ Update Windows ได้ แต่ให้เลือกที่ Advance Options แล้วเลือกที่ Additional options ทางด้านขวา แล้วคลิ๊กที่ Optional Updates ใส่เครื่องหมายด้านหน้าอุปกรณ์ในช่อง แล้วเลือก Download & Install

วิธีที่ 2 ในการอัพเดตไดรเวอร์ ด้วยการดาวน์โหลดจากหน้าเว็บไซต์ผู้ผลิต เพียงแต่คุณต้องทราบว่าคุณใช้โน๊ตบุ๊คหรือฮาร์ดแวร์ ซีรีส์ใด รุ่นใด จากนั้นดาวน์โหลดไฟล์มาติดตั้งได้ทันที

วิธีที่ 3 เข้าไปใน Device Manager จากนั้นคลิ๊กขวาบนฮาร์ดแวร์ตัวที่คุณจะอัพเดต แล้วเลือก Update Driver ได้ทันที


5.ปิดการใช้แอนิเมชั่นบางอย่าง

เราเคยสังเกตหรือไม่ว่า ระบบสามารถแสดงผล มีหน้าตาที่สวย โปร่งแสงดูทันสมัย เพราะสิ่งเหล่านั้นได้มาจากฟังก์ชั่นของ Windows ที่เพิ่มความสวยงามในการใช้งาน แต่ก็มาพร้อมกับการใช้ทรัพยากรของระบบอยู่ด้วยเช่นกัน การปิดใช้งานสิ่งเหล่านี้ ก็มีส่วนช่วยลดปัญหาคอมช้าได้

คอมช้า

ผลที่ได้จากการปิดเอฟเฟกต์แอนิเมชั่นของระบบ ทำให้ลดภาระในการสร้างกราฟิกและเอฟเฟกต์ต่างๆ ลง โดยเฉพาะกับแรมและซีพียู แม้จะไม่มาก แต่ถ้าทำร่วมกับวิธีการอื่นๆ ก็ลดปัญหาคอมช้าได้เช่นกัน อย่างไรก็ดีการเปิดหน้าต่าง เลื่อน การแสดงผล เปลี่ยนหน้าอาจลื่นไหล แต่ก็ยังสบายตา รวมถึงเอฟเฟกต์โปร่งแสงจะหายไป แต่ได้ Process ที่ดีกลับมา ทำให้เครื่องลื่นขึ้น

วิธีการแก้ไข

ให้คลิ๊กขวาบนหน้าเดสก์ทอป > เลือก Personalize > เลือก Accessibility ทางด้านซ้าย > เลือก Visual ที่อยู่ด้านขวา > Transparency effects ให้เลือกเป็น Off และ Animation effectss ก็เป็น Off เช่นเดียวกัน

คอมช้า

นอกจากนี้คุณอาจจะเลือกการตั้งค่า Theme เป็นแบบสีพื้น ไม่ต้องมีการเปลี่ยนไปมาแบบ Slide พร้อมกันไปด้วย อาจดูเรียบง่ายธรรมดา แต่ก็ช่วยให้ไหลลื่นมากขึ้น


6.สแกนระบบอย่างสม่ำเสมอ

บางครั้งที่เราเจอกับปัญหาคอมช้า คอมกระตุก อาจจะไม่ได้เกิดจากฮาร์ดแวร์เสีย ทำงานบกพร่องหรือไดรฟ์เต็มเพียงเท่านั้น แต่บางครั้งอาจเกิดจากความบกพร่องของระบบหรือซอฟต์แวร์ ที่ทำงานผิดปกติ มีสิ่งที่รบกวนการทำงาน หลังจากที่คุณทำการอัพเดตไดรเวอร์หรือ Windows Updates ไปแล้ว ก็อยากให้เพิ่มในส่วนของ Windows Security, Internet Security หรือบรรดาป้องกันไวรัส มัลแวร์เอาไว้ด้วย และอย่าลืมสั่ง Scan ทั้งหมด

คอมช้า

Scan Virus: ไวรัส มัลแวร์ โทรจัน มีส่วนอย่างมากในการรบกวนระบบ ทำให้คอมช้า คอมกระตุกได้เช่นกัน ยิ่งบางครั้งแฝงตัวอยู่แอบทำงานเบื้องหลัง ไม่ให้เรารู้ กว่าจะไปไล่หาเจอว่าตัวไหน บางทีก็ช้าไป ใช้การสแกนหาง่ายกว่าเยอะ จะใช้ Windows Security หรือ Internet Security หรือ Anti Virus มาช่วยเสริมก็ดีไม่น้อย

เลือกใช้ Anti-Virus ที่เหมาะสมกับระบบของคุณ ซึ่งมีทั้งป้องกันไวรัส และแบบครอบคลุมถึงการเชื่อมต่อต่างๆ เช่น Internet Security สำหรับผู้ใช้ที่มีธุรกรรมและการทำงานออนไลน์เต็มรูปแบบ เลือกที่มีการอัพเดตได้บ่อย เพื่อเพิ่มความทันสมัยในการตรวจจับภัยคุกคาม และหมั่นสแกนไวรัสแบบละเอียด หรือตั้งค่าการ Scan ให้ไม่กระทบต่อการใช้งานในแต่ละวันของคุณ

คอมช้า

Error checking: เพื่อ Scan ระบบเช็คความผิดปกติ เป็นตัวช่วยที่ดี ในการแก้ปัญหาจะซอฟต์แวร์ หรือระบบ เมื่อเกิดขึ้นในขณะที่ใช้งาน ซึ่งส่งผลต่อระบบ ทำให้คอมช้า คอมกระตุกได้เช่นกัน โดยวิธีใช้ตามขั้นตอนนี้ เปิด File Explorer (กดปุ่ม Win+E) จากนั้นคลิ๊กขวาที่ไดรฟ์ C: แล้วเลือก Properties > เข้าไปที่แท็ป Tools > คลิ๊กที่ Error checking แล้วคลิ๊กที่ Check รอจนกว่าระบบจะทำงานเสร็จสิ้น

คอมช้า

Optimize: เป็นการเสริมระบบการทำงานได้เช่นกัน ใช้วิธีเดียวกับการทำ Error checking เมื่อเข้าไปที่แท็ป Tools > ให้เลือกที่ Optimized and Defragment Drive แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม Optimized

คอเกมที่อยากเล่นเกมลื่นๆ มาทางนี้เลยครับ ทิปเล่นเกมลื่น


7.เช็ค Error Code เมื่อเกิดจอฟ้า

ปัญหาจอฟ้า เป็นผลข้างเคียง เมื่อคอมช้า ซึ่งอาจเกิดจากไฟล์ระบบหรือฮาร์ดแวร์ทำงานไม่เข้ากัน หรือไฟล์ระบบบางตัวเสีย ซึ่งจะมีผลออกมาในแต่ละ Code ไม่เหมือนกัน เราสามารถสังเกตรหัสที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาได้ง่ายขึ้น

คอมช้า

แต่ก่อนที่จะไปเช็ค Code ของ BSOD ได้นั้น คุณต้องมองเห็น Code ได้ทัน แต่ส่วนใหญ่ ระบบมักจะรีสตาร์ท จนเรามองไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือ ให้ระบบค้างหน้าจอ Stop Code ไม่ต้องรีสตาร์ท เมื่อเกิดปัญหากับระบบ ไม่ว่าจะเป็น Error หรือ BSOD ก็ตาม ให้ค้างหน้าจอเอาไว้นิ่งๆ วิธีการคือ

วิธีหยุดไม่ให้ระบบรีสตาร์ทอัตโนมัติ: เข้าไปที่ Control Panel จากนั้นเลือก System and Security จากนั้นเลือก System ไปที่ Advanced system settings คลิ๊กที่ Settings แล้วเลื่อนลงมาด้านล่าง ให้เอาเครื่องหมายหน้า Automatically restart แล้วคลิ๊ก Ok เพื่อบันทึกการตั้งค่า

วิธีการแก้ไข

สามารถหาข้อมูล Stop Code เพิ่มเติมมากกว่า 300 Code จากทาง Microsoft

สามารถเช็ค Stop Code ได้ตามข้อมูลในตารางนี้

Error Cause Solution
DATA_BUS_ERROR

Memory failure Check RAM stick function with MemTest, replace hardware if necessary
INACCESSIBLE_BOOT_DEVICE
 

 

Missing driver

Virus/Malware

Update or install driver

Antivirus scan, Switch from “IDE” to “AHCI” in BIOS under “SATA Mode Selection”

UNEXPECTED_KERNEL_MODE_TRAP Hardware error

Temperature too high

Uninstall and reinstall device driver (primarily for recently added devices)

Check fan performance, clean PC or check environment if necessary

NTFS_FILE_SYSTEM

High CPU memory usage Search for costly processes in the Task Manager; uninstall/reinstall programs in question if necessary; check hard drive on which Windows is installed for errors in Windows processes (Right-click, then “Properties”, “Tools”, and “Check”)
IRQL_NOT_LESS_OR_EQUAL

Incompatible or outdated device driver Deactivate drivers for recently installed devices via the device manager (search and run “mmc devmgmt.msc” command in Start menu); then obtain the newest version of the driver from the device manufacturer and install
BAD_POOL_CALLER

Unwanted memory access Deactivate drivers for recently installed devices (see above); then obtain the newest version of the driver from the device manufacturer and install
FAT_FILE_SYSTEM

Corrupt file system Check hard drive function; search and run “chkdsk” in Start menu
OUT_OF_MEMORY

Memory failure Check RAM stick function with MemTest, replace hardware if necessary
PAGE_FAULT_IN_NON_PAGED_AREA

Memory failure Check RAM stick function with MemTest, replace hardware if necessary
UNABLE_TO_LOAD_DEVICE_DRIVER

Defective device driver Deactivate drivers for recently installed devices (see above); then obtain the newest version of the driver from the device manufacturer and install
KMODE_EXCEPTION_NOT_HANDLED

 

Defective software

With .sys file: System file error

Uninstall/reinstall recently used software (newest or system-compatible version)

For system file error: Run Windows Repair Tool (see below: “Check and repair system files”)

ที่มา: ionos.com

Conclusion

สรุปส่งท้ายสำหรับคนที่เจอปัญหาคอมช้า คอมกระตุก ก็อย่าเพิ่งตระหนกไปว่าเจอกับปัญหาใหญ่ บางครั้งแค่รีสตาร์ทเครื่องใหม่ ก็กลับมาไหลลื่นได้เหมือนเดิมแล้ว เพียงแต่ขั้นตอนต่างๆ ที่เราแนะนำมานี้ บางอย่างก็จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำในภายหลัง และยังช่วยให้การทำงานไหลลื่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปิดหรือลบโปรแกรมบางอย่าง ที่แอบทำงานเบื้องหลัง หรือการป้องกันไวรัส และบรรดามัลแวร์ ที่มักจะสร้างความรำคาญ และเข้ามาล้วงตับข้อมูลของคุณได้ การอัพเดตและการสแกนบ่อยๆ จะช่วยให้เครื่องของคุณปลอดภัย ใช้งานได้อย่างอุ่นใจ สุดท้ายคือ การจัดเรียงไฟล์ ให้เป็นหมวดหมู่ จะช่วยให้คุณทราบว่า ไฟล์ไหนควรเก็บ ไฟล์ใดควรลบ จะได้ไม่รกพื้นที่ภายในเครื่อง และทำให้คอมช้าลงนั่นเองครับ

from:https://notebookspec.com/web/688897-7-tip-solve-problems-pc-slowdown

จอพับได้! โน๊ตบุ๊ค 2-in-1 ราคาถูก 7 รุ่น เบา จอสัมผัส เริ่มแค่หมื่นกว่า ได้ทั้งโน๊ตบุ๊คและแท็ปเล็ต ปี 2023

จอพับได้ โน๊ตบุ๊ค Convertible 7 รุ่น สุดประหยัด 2023 เป็นโน๊ตบุ๊คและแท็ปเล็ตได้ในตัว สะดวกเวอร์

จอพับ

วันนี้เรารวบรวมโน๊ตบุ๊คในแบบ 2-in-1 หรือ Convertible Notebook ที่จอพับได้ ราคาประหยัดมาฝากกัน 7 รุ่น สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการโน๊ตบุ๊ค ที่มีความหลากหลาย รองรับการใช้งานได้หลายอย่าง ด้วยความสามารถในการพับจอ 360 องศาหรือแบบถอดจอได้นี้ ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คโหมดทำงานทั่วไป โหมดแท็ปเล็ต ด้วยการทัชสกรีน และรองรับ Digital Pen ก็เหมาะอย่างยิ่งกับแอพพลิเคชั่นในเวลานี้ และยังจับถือได้สะดวกขึ้น รวมถึงโหมดอื่นๆ เช่น Tent/ Stand mode ที่ใช้กับความบันเทิง ดูหนัง เล่นเกม และในปัจจุบันได้ดีทีเดียว ใครที่กำลังมองหาโน๊ตบุ๊คจอพับ จอสัมผัสราคาเบาๆ ติดตามกันได้เลยครับ

จอพับ! โน๊ตบุ๊ค Convertible 7 รุ่น ราคาถูก 2023

  1. เลือกโน๊ตบุ๊ค Convertible อย่างไร?
  2. ASUS Vivobook Go 14 Flip
  3. Lenovo DUET 3 10
  4. Lenovo Flex5 14
  5. Microsoft Surface GO 3
  6. ASUS Vivobook S 14 Flip
  7. ASUS ExpertBook B3 Flip
  8. HP Pavilion X360 14

เลือกโน๊ตบุ๊ค Convertible อย่างไร?

พับจอหรือถอดจอได้?: เรื่องนี้อยู่ที่ผู้ใช้เองจะเลือกแบบใด ถอดจอได้ข้อดีคือ พกพาสะดวก ประหยัดพลังงาน และบอดี้ง่ายต่อการจับถือ ส่วนพับจอได้ ทำให้การจัดวางในแบบต่างๆ ง่ายขึ้น แบตเยอะขึ้น แต่ก็ทำให้การจับถือในโหมดแท็ปเล็ตดูเทอะทะพอสมควร ซึ่งถ้ามองที่การพกพาเป็นหลัก แยกจอได้อาจจะสะดวก แต่ถ้าทำงานด้วย วางบนโต๊ะเป็นส่วนใหญ่ จอพับได้น่าจะเป็นคำตอบ

Advertisementavw
ASUS ExpertBook B5 Flip 6

สเปค: ถ้าคุณให้ความสำคัญกับการทำงาน มากกว่าฟังก์ชั่นอื่นใด ทำงานบนโต๊ะ หรือเน้นการอยู่กับที่ มีสายชาร์จ จะเลือกแบบที่ซีพียูแรง แรมเยอะ ก็ได้ เพราะทำให้งานคุณเสร็จได้ไวขึ้น ตัวอย่างเช่น ซีพียู Intel Core i family รุ่นใหม่หรือเป็น AMD Ryzen ก็น่าสนใจ แต่ในทางกลับกัน คุณใช้แค่พรีวิวภาพ ตรวจเช็คงาน ท่องอินเทอร์เน็ต หรือเทรดหุ้น สเปคพื้นฐาน ไม่ได้เปิดงานเยอะ ซีพียูรุ่นประหยัด แรม 8GB และมี SSD 256GB ก็เพียงพอ อยากเก็บข้อมูลหรือทำงาน ก็ใช้ระบบ Cloud มาเสริม ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และประหยัดไฟมากขึ้นอีกด้วย

จอแสดงผล: จอที่เราเลือกมานั้น ส่วนใหญ่จะเป็น Full-HD แต่มีหน้าจอหลายขนาด เริ่มตั้งแต่ 10.5″ ไปจนถึง 14″ โดยความละเอียดเป็นแบบ Full-HD ซึ่งถือว่าเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี แต่อาจจะต้องคำนึงถึงการใช้งานจริง เพราะพื้นที่การมองเห็นต่างกัน จอเล็กก็สะดวกต่อการพกพา นำไปใช้งานในโอกาสต่างๆ ได้ง่าย แต่เรื่องพื้นที่ใช้งานอาจมีน้อยกว่า ส่วนจอ 14″ มองเห็นได้ชัด เพราะเป็นขนาดพื้นฐานที่ใช้กันอยู่ทั่วไป แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการจับถือที่ยาก อาจจะสะดวกต่อการวางบนโต๊ะเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งมีผลต่อการใช้แบตเตอรี่ที่มากขึ้นอีกด้วย

Expertbook B3 DSC00221

ความถนัดมือ: เป็นสิ่งสำคัญมากๆ หากคุณจะต้องใช้งานอยู่ด้วยทั้งวัน หากคุณจะต้องพกโน๊ตบุ๊คพับจอได้ขนาดใหญ่ เดินเข้าไปในไซต์งาน นอกสถานที่บ่อยๆ อาจไม่สะดวกเท่ากับการถือแค่จอไปเพียงอย่างเดียว เลือกใช้การทัชสกรีนที่คล่องตัวกว่า แต่ถ้างานที่คุณต้องทำ ยังอยู่กับการพิมพ์เป็นหลัก และอยู่กับในสำนักงาน อยู่ในบ้าน ปรับโหมดทำงานได้ง่าย และต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลายตลอดเวลา การเป็นโน๊ตบุ๊คพับจอได้น่าจะถนัดมือมากที่สุด


1.ASUS Vivobook Go 14 Flip

จอพับ

เป็นโน๊ตบุ๊คจอพับได้ในแบบ 2-in-1 จาก ASUS ใช้สำหรับการเริ่มต้นการเรียนรู้ ในชีวิตประจำ เช่น การเทรดหุ้น ดูหนัง พิมพ์เอกสาร แม้กระทั่งการแต่งภาพแบบเบาๆ ดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย น้ำหนักแค่ 1.6Kg จอ 14″ Full-HD คมชัด พับจอได้ 360 องศา เป็นได้ทั้งโน๊ตบุ๊คและแท็ปเล็ต และเป็นจอสัมผัส รองรับ ASUS Pen ให้อารมณ์ในการทำงานได้มากกว่าการแตะพิมพ์ทั่วไป มีคีย์บอร์ดที่มีไฟ Backlit มาให้ และพอร์ตมาแบบจัดเต็ม เช่น USB-C 3.2 ต่อจอใหญ่ผ่าน HDMI ได้อีกด้วย ติดอยู่เล็กน้อย ตรงมี SSD 256GB และน่าจะเพิ่มแบตมาให้ใหญ่อีกหน่อย แต่ถ้าคุณใช้ Cloud storage และใช้งานแบบเปิดๆ ปิดๆ ที่ให้มานี้ ก็ใช้ได้เกินครึ่งวันแล้วครับ เคาะราคาที่ 13,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
พับจอได้หลายโหมด ค่อนข้างหนาเมื่อใชโหมดแท็บเล็ต
คีย์บอร์ดแสงไฟ Backlit

รายละเอียดเพิ่มเติม: ASUS


2.Lenovo DUET 3 10

จอพับ

เป็นอีกหนึ่งโน๊ตบุ๊ค 2-in-1 จอพับได้ ที่มาได้แบบครบเครื่อง บางเบา พกพาสะดวก ใครที่ชอบความกระทัดรัดแนะนำเลย DUET 3 เพราะมาในแบบ Detachable หรือถอดจอแยกกับคีย์บอร์ดได้ และเป็นแบบจอสัมผัส รองรับ Digital Pen หรือปากกาใช้จด วาดได้ง่ายขึ้น บนหน้าจอขนาด 10.3″ เหมาะทั้งใช้เรียน และการออกไซต์งาน ปรับพับให้ใช้งานได้หลากหลาย ความละเอียด Full-HD พร้อมแรม 8GB รวมถึงมี Windows 10 มาในตัว ระบบเสียง DOLBY เพิ่มอรรถรสด้านความบันเทิงได้เต็มอิ่ม มี WiFi/ Bluetooth มาในตัว แต่เรื่องขุมพลัง อาจจะเหมาะกับใช้งานเบื้องต้น รีวิวภาพ เล่นวีดีโอ ซึ่งไม่เหมาะกับงานหนักมาก และพอร์ตที่ให้มาไม่เยอะมากนัก ด้วยข้อจำกัดของบอดี้ ราคาอยู่ที่ 20,490 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เบาเบา กระทัดรัด พอร์ตมีให้ไม่เยอะมาก
ถอดจอออกได้

รายละเอียดเพิ่มเติม: Lenovo


3.Lenovo Flex5 14

จอพับ

ใครที่อยากได้โน๊ตบุ๊ค Convertible พับจอได้ ฟิลลิ่งคล้ายๆ กับแท็ปเล็ต แต่ได้สเปคดี กดคีย์บอร์ดสนุก หน้าจอ 14″ Full-HD กว้างๆ Lenovo Flex5 อาจจะเป็นคำตอบ แม้จะไม่กระทัดรัดมาก เมื่อเทียบกับบางรุ่นในครั้งนี้ แต่ให้สเปคระดับ Core i3 Gen12 พร้อมแรม 8GB ความเร็วสูง และ SSD 512GB แบบคุ้มๆ หาตัวเทียบยากในราคาประมาณ 2 หมื่นบาทนี้ จอทัชสกรีน รองรับ Digital Pen ในการจดและวาดภาพ คีย์บอร์ดนุ่มๆ มีแสงไฟ Backlit สว่างชัด เว็บแคมชัดมาก 1080p พอร์ตเป็นตัวเด่น เพราะมี Thunderbolt4 มาด้วย ชาร์จเร็ว ต่อจอได้ โอนถ่ายข้อมูลไว รวมถึงให้แบตมาใช้เกินครึ่งวันข้างนอก เพิ่มความปลอดภัยด้วยสแกนลายนิ้วมือ ข้อสังเกตคือ เมื่อพับเป็นแท็ปเล็ตจะดูค่อนข้างหนา แต่ก็ทดแทนด้วยวัสดุที่ดี และน้ำหนักเบา ราคาประมาณ 22,900 บาท แต่หน้าร้านออนไลน์ ไม่ถึง 2 หมื่น

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขอบจอบาง สเปคดี เมื่อพับแล้วค่อนข้างหนา
พอร์ตมีให้เยอะ

รายละเอียดเพิ่มเติม: Lenovo


4.Microsoft Surface GO 3

จอพับ

เป็นโน๊ตบุ๊ค 2-in-1 ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากทาง Microsoft จอพับได้ เพราะถ้าในสายของความบางเบา กระทัดรัด ตอบสนองได้ดี Surface Go ก็จัดว่าน่าสนใจ ในราคาประมาณ 2 หมื่นต้นๆ กับการเป็น Detachable ที่ถอดคีย์บอร์ดได้ แต่ก่อนหน้านี้มักจะเห็นว่า มาแค่ตัวจอ ไม่มีคีย์บอร์ด แต่หลายร้านเวลานี้ บันเดิลคีย์บอร์ดให้พร้อมใช้ ดูน่าสนใจขึ้นมาอีกเยอะ กับขุมพลังอย่าง Core i3 ได้แรม 8GB จอไซส์แค่ 10.5″ แต่ได้แบบ Full-HD รองรับทัชสกรีน รวมถึง Surface Pen วาดเขียนได้แบบเนียนๆ ด้วยความที่แยกคีย์บอร์ด ก็ทำให้เหมือนใช้แท็ปเล็ตเลย จับถนัดมือ ไม่เหมือนแบบพับ 360 องศา ซึ่งสิ่งที่ได้มาคือ ความเบาน้อยกว่า 1Kg รวมถึงแบตที่ใช้ได้นานขึ้น มี Windows ในตัวพร้อมใช้กับราคาประมาณ 22,990 บาทเท่านั้น

จุดเด่น ข้อสังเกต
ถอดจอแยกคีย์บอร์ดได้ ราคาค่อนข้างสูง
ให้สัมผัสที่ดีเมื่อใช้กับ Surface Pen

รายละเอียดเพิ่มเติม: Microsoft


5.ASUS Vivobook S 14 Flip

จอพับ

ถ้าจะพูดถึงโน๊ตบุ๊ค Convertible สายบางเบา เชื่อว่า Vivobook เป็นอีกชื่อหนึ่งที่หลายคนใช้งานอยู่ และสำหรับ Flip นี้ จัดเป็นโน๊ตบุ๊ค 2-in-1 ที่มีฟังก์ชั่นแบบจัดเต็มให้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นจอ 14″ IPS Full-HD พื้นที่กว้าง รองรับทัชสกรีน และใช้ร่วมกับ ASUS Pen ได้ จะวาดเขียน จดก็ง่าย ความแรงไม่เป็นรองใคร ด้วยขุมพลัง AMD Ryzen 5 5600H ตัวแรง กับแรม 8GB ที่อัพเกรดเพิ่มได้อีกด้วย พอร์ตให้มาแน่นๆ โดยเฉพาะ USB 3.2 Type-C ชาร์จ โอนถ่ายรวดเร็ว ได้กล้อง Full-HD และระบบเสียงจัดจ้าน พับจอได้ 360 องศา คีย์บอร์ดปุ่มใหญ่ กดสะดวก มีไฟ Backlit ในตัว คู่มากับทัชสกรีนที่มีลูกเล่นในตัว ดูจะเป็นตัวจบครบเครื่องได้ ข้อสังเกตคือ เมื่อพับเป็นแท็ปเล็ตอาจไม่แนบดีนัก จากส่วนเว้าส่วนโค้ง รวมถึงพลังจากซีพียูที่แรง อาจจะมีผลต่อระยะการใช้งานแบตได้เช่นกัน เคาะราคาอยู่ที่ราว 25,990 บาท ก็น่าสนใจไม่น้อยเลย

จุดเด่น ข้อสังเกต
จอภาพให้สีสันสดใส บานพับแข็งแรง
ซีพียูประสิทธิภาพสูง

รายละเอียดเพิ่มเติม: ASUS


6.ASUS ExpertBook B3 Flip

จอพับ

ในซีรีส์ของ ExpertBook จาก ASUS นั้น ต้องถือว่าแยกออกมาได้หลายรุ่น และ B3 Flip จะโดดเด่น นอกเหนือจากความเพรียวบาง และทนทาน แต่ให้การพับหน้าจอ 360 องศา และยังเป็นพาแนลแบบ OLED สีสันสดใส เอาใจคนทำงาน และสายบันเทิง รองรับการทัชสกรีน และใช้ร่วมกับ ASUS Pen ในการวาดเขียนหน้าจอ ที่มีให้ในตัว เป็นจอ 14″ ความละเอียด Full-HD แต่ที่โดดเด่นอยู่ที่พอร์ตมี Thunderbolt4 มาให้ และต่อ LAN RJ-45 ได้ในตัว แต่นั่นก็ทำให้บอดี้หนาขึ้นเล็กน้อย จุดแข็งมองว่าบานพับ ASUS ทำออกมาได้แน่นทีเดียว ชาร์จไฟได้ไว มีกล้อง 2 ตัว ทัชแพดยังใส่เป็น NumberPad มาอีกด้วย สเปคอาจจะเบาไปบ้าง ถ้าเทียบกับ Vivobook ในครั้งนี้ เพราะได้เป็น i3 แรม 4GB แต่ในราคาเดียวกันนี้ มีรุ่นที่เป็น AMD Ryzen 5 แรม 8GB ได้แบตใหญ่ขึ้น แต่ไม่มี Thunderbolt 4 ให้เลือกด้วยนะ แล้วแต่ความชื่นชอบของแต่ละบุคคล ราคา 26,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เน้นผู้ใช้ที่ชอบบางเบา แข็งแรง มีแรมให้ 4GB
มี Thunderbolt 4

รายละเอียดเพิ่มเติม: ASUS


7.HP Pavilion X360 14

จอพับ

มาถึงโน๊ตบุ๊ค Convertible จอพับได้จาก HP รุ่นโปรดของผู้ที่ชอบความพรีเมียมกันบ้าง แม้ว่าราคาจะเกินงบไปสักหน่อย แต่ถ้าดูจากดีไซน์เพรียวบาง สีเมทัลลิคมี Texture ที่เป็นเอกลักษณ์ และพับได้ 360 องศา หน้าจอ 14″ Full-HD ในแบบทัชสกรีน ที่คมชัดมุมมองกว้าง เพราะเป็นแบบ IPS ขอบจอบางสุดๆ รองรับ Digital Pen ให้คุณวาดเขียนได้ตามจินตนาการ ขุมพลัง Intel Gen12 รุ่นใหม่และได้แรม 16GB ความแรงที่ตอบโจทย์ได้ดี ไม่ว่าจะเป็น การดูหนัง แต่งภาพ ทำเอกสาร หรือการเทรดหุ้นไปพร้อมกัน มีระบบสแกนลายนิ้วมือมาให้ และพอร์ตที่มีให้ครบครัน แบตใช้ได้นาน 10 ชั่วโมง มี Windows 11 พร้อมใช้ อยากได้ตัวจบ งบไม่บาน ใช้งานง่าย HP รุ่นนี้ 28,000 บาทเท่านั้น

จุดเด่น ข้อสังเกต
วัสดุสวย สเปคดี
รองรับสแกนลายนิ้วมือ

รายละเอียดเพิ่มเติม: HP


Conclusion

Display Detachable/Flip CPU RAM Storage Graphic Weight Price
1.ASUS Vivobook Go 14 Flip 14″ FHD Flip Intel Pentium N6000 4GB 256GB Intel UHD 1.5Kg 13,900
2.Lenovo DUET 3 10.3″ FHD Detachable Intel Celeron N4020 8GB 128GB Intel UHD 0.6Kg 20,490
3.Lenovo Flex5 14 14″ FHD Flip Intel Core i3-1215U 8GB 512GB Intel Iris Xe 1.5Kg 22,900
4.Microsoft SURFACE GO 3 10.5″ 1280p Detachable Intel Core i3-10100Y 8GB 128GB Intel UHD 0.64Kg 22,990
5.ASUS Vivobook S 14 Flip 14″ FHD Flip AMD Ryzen 5 5600H 4GB 256GB Radeon Graphic 1.5Kg 25,990
6.ASUS ExpertBook B3 Flip 14″ FHD Flip Intel Core i3-1115G4 4GB 256GB Intel UHD 1.61Kg 26,990
7.HP Pavilion X360 14 14″ FHD Flip Intel Core i5-1235U 16GB 512GB Intel Iris Xe 1.51Kg 28,000

สุดท้ายนี้จะเห็นได้ว่าโน๊ตบุ๊คกลุ่มนี้มีให้เลือก 2 แบบคือ กลุ่มที่เป็นแบบแยกจอกับคีย์บอร์ด (Detachable) และพับจอได้ (Flip) ทั้งสองแบบมีความโดดเด่นต่างกันออกไป ซึ่งจุดหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ บอดี้และน้ำหนัก ถ้าเน้นคล่องตัวแบบที่ถอดจอออกได้สะดวกกว่า เบากว่า แต่แบบ Flip จะค่อนข้างหนาและหนักขึ้น เมื่อถือนานๆ อาจจะเมื่อยได้ รวมถึงอาจมีผลต่อการใช้พลังงาน และการจับถือ แต่ลูกเล่นของ Flip ก็มีพลัง ปรับได้หลากหลาย ใช้งานได้หลายประเภท โดยเฉพาะเมื่อตั้งอยู่บนโต๊ะ คุณให้ความสำคัญส่วนไหนมากสุด ก็เลือกตามสไตล์ที่ใช้งาน ส่วนเรื่องสเปคแรม 4GB อาจจะพอใช้ แต่ถ้าใช้งานหนักมาก เลือกที่ 8GB ขึ้นไป บางรุ่นอาจจะเพิ่มเติมในภายหลังไม่ได้ ต้องประเมินการทำงานเผื่อเอาไว้ด้วย และสุดท้ายราคาที่เหมาะสม ในแต่ละรุ่นสเปคต่างกัน แต่ก็เหมือนจะเป็นตัวกำหนดราคาไปด้วย เน้นความแรง ลูกเล่นดี ฟีเจอร์และพอร์ตเยอะ ราคาก็สูงขึ้นตามลำดับ ถ้างานที่ใช้อยู่ เน้นแค่การพรีวิวหรือท่องเน็ต ไม่ต้องแรงมาก ราคาสบายกระเป๋า ก็ตอบโจทย์ได้แล้วครับ

from:https://notebookspec.com/web/686619-convertible-20-in-1-notebook-2023

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย 10 รุ่น ปี 2023 ท่องเน็ต เทรดหุ้น ลื่นไหล ดีไซน์สวย แบตอึด

เมาส์ไร้สาย 10 รุ่น 2023 หลักร้อย สวย แบตอึด เล่นเน็ต ดูหนัง ทำงานในบ้านหรือที่ทำงานก็เพลิน

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย จัดว่าเป็นไอเทมยอดฮิตของคนทำงาน ที่ชอบความสะดวก ใช้งานง่าย พกพาไปใช้นอกสถานที่ก็แสนสบาย เพราะขนาดเล็ก และส่วนใหญ่ใช้ถ่านก้อนเดียว ก็ใช้กันจนลืมและปี 2023 นี้ เราก็ได้รวบรวมเมาส์ Wireless น่าใช้มาให้คุณได้เลือก 10 รุ่นด้วยกัน จากทั้งหมด 8 ค่าย มีทั้งมิติที่มีความกระทัดรัด แบตอึด ใช้ได้นาน หรือบางรุ่นก็เป็น 2 ระบบ ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth รวมถึงเน้นที่ดีไซน์ที่สวยงาม เพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่นำไปใช้ในโอกาสต่างๆ ได้ดีอีกด้วย ให้ความละเอียดมากพอสำหรับงานในบ้าน เช่น ทำเอกสาร ท่องเน็ตและเทรดหุ้น ไปจนถึงใช้ในสำนักงาน กับซอฟต์แวร์ออฟฟิศ การทำพรีเซนเทชั่น ไปจนถึงการนำเสนองาน มาชมกันครับว่า มีรุ่นใดที่ถูกใจคุณกันบ้าง

เมาส์ไร้สาย

  1. Philips SPK7344
  2. Anitech W226
  3. RAPOO M100
  4. Microsoft MBL 1850
  5. Logitech M190
  6. GENIUS NX-7015
  7. Logitech M221
  8. Xiaomi Mi Wireless
  9. Lenovo 530
  10. Logitech M331B

1.Philips SPK7344

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้ามองในแง่ของความเป็นเมาส์ไร้สายมินิมอล ราคาประหยัด จับกระชับมือ กับบอดี้ที่มาความโค้งไม่มากนัก ทำให้พกพาง่าย เหมาะกับคนที่ชอบจับแบบ Grip หรือ Claw เน้นปลายนิ้วกด ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ให้ระยะการกดได้ประมาณ 3 ล้านครั้ง ปุ่มกดที่ตอบสนองไว วัสดุเป็น ABS ผิวเรียบลื่น จับสบายมือ แถมยังให้ความละเอียดมาถึง 1600DPI เมาส์ไร้สายรุ่นนี้ ตอบโจทย์ได้ดี เหมาะกับคนที่ชอบท่องเน็ต เล่นเกมออนไลน์เบาๆ ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และรับประกัน 2 ปี ราคาประมาณ 219 บาทเท่านั้น

Advertisementavw
จุดเด่น ข้อสังเกต
ราคาประหยัด ดีไซน์ค่อนข้างเรียบง่าย
ให้ความละเอียดถึง 1600 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: Philips


2.Anitech W226

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายในราคาเบา หลักร้อย ที่ออกแบบรูปทรงมาได้ทันสมัยเลยทีเดียว และยังรองรับได้ถึง 2 ระบบ ทั้ง Wireless และ Bluetooth ทำให้ใช้งานได้กับพีซี โน๊ตบุ๊คและสมาร์ทโฟน หรือแท็ปเล็ตกับรูปทรงกระทัดรัด ไซส์ขนาดกลาง รองรับการใช้งานทั้งมือซ้ายและขวา ทนทานต่อการคลิ๊กได้ถึง 5 ล้านครั้ง จุดเด่นอยู่ที่นอกจากปุ่มซ้าย-ขวา ที่ออกแบบมาให้มีเสียงที่เบา และ Scroll wheel ที่มีให้เป็นพื้นฐาน ยังเพิ่มปุ่มตั้งค่า DPI ได้ถึง 3 ระดับ ตั้งแต่ 800, 1200 และ 1600 DPI พร้อมปุ่มมาโครที่อยู่ด้านข้าง ใช้งานร่วมกับถ่าน AA 1 ก้อน ราคา 359 บาท กับการรับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด
ต่อได้ทั้ง WiFi และ Bluetooth

ข้อมูลเพิ่มเติม: Anitech


3.RAPOO M100

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายราคาดี แถมยังต่อได้ 2 ระบบ ทั้ง Bluetooth และ Wireless แบตใช้ได้ยาวถึง 9 เดือน ใครที่มองหาเมาส์กระทัดรัด ดีไซน์ทันสมัย จับกระชับมือรุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว แม้จะมาในไซส์เล็กๆ เหมาะกับมือสาวๆ แต่ก็ปรับความสูง ให้เข้ากับอุ้งมือได้ดี ปุ่มคลิ๊กเสียงค่อนข้างเบา แต่กดได้หนักแน่น ให้การตอบสนองที่ 1300 DPI เป็นเซ็นเซอร์ในแบบออพติคอล โดยเลือกเชื่อมต่อได้ง่าย ระยะเวลาใช้งานได้ถึง 9 เดือนด้วยกัน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อนเท่านั้น พร้อมปุ่มสลับโหมดสัญญาณใต้เมาส์ ราคา 399 บาท รับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เชื่อมต่อได้ 2 ระบบ มิติค่อนข้างเล็ก
เซ็นเซอร์ 1300 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: RAPOO


4.Microsoft MBL 1850

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ Wireless ของไลฟ์สไตล์ ทำงาน และความบันเทิง ที่ค่อนข้างโดดเด่นมีให้เลือก 7 โทนสีด้วยกัน เน้นที่การพกพา กับขนาดกระทัดรัด แต่ออกแบบให้มีความโค้งด้านท้าย ลาดลงต่ำมายังด้านหน้า ทำให้การจับกระชับขึ้น ใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา กับพื้นผิวพลาสติกแบบลื่น แต่จับได้ถนัด ปุ่มคลิ๊ก 3 ปุ่ม ให้อารมณ์ในการคลิ๊กได้สนุก Scroll wheel เป็นจังหวะ ไม่ไหลฟรี เพราะมีระดับการกดไม่ลึกมาก เหมาะกับการท่องเน็ตและเช็คข้อมูล ใช้แบตจากถ่าน AA 1 ก้อน ระยะเวลาในการใช้งานได้นานถึง 6 เดือน เก็บตัวรับส่งสัญญาณด้านใต้ได้เลย พร้อมปุ่มเปิด-ปิด ราคา 430 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปุ่มกดตอบสนองไว แบตใช้นาน 6 เดือน
รับประกัน 3 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม: Microsoft


5.Logitech M190

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์กึ่งเกมมิ่งสไตล์ ที่มีขนาดค่อนไปทางใหญ่ แต่ยังอยู่ในไซส์ของการพกพา ถือว่าเป็นรุ่นยอดฮิตอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งจับถือได้สบายมือ โดยทาง Logitech เลือกเทรนด์ของการใช้วัสดุรีไซเคิล แต่ก็ทำให้ดูทันสมัย จุดเด่นคือ แบตใช้งานได้ 18-24 เดือน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และปุ่มคลิ๊กที่ทนทาน กดตื้น ตอบสนองไว มีปุ่มเปิดปิด และซ่อนตัว USB รับส่งสัญญาณด้านใต้ได้ การรับประกัน 1 ปี ราคา 449 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย จับถนัดมือ
แบตใช้งานได้นาน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


6.GENIUS NX-7015

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย ราคาหลักร้อยอีกรุ่นหนึ่ง ที่ดีไซน์ออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว กับความโค้งเว้า ให้จับถนัดมือ จุดโค้งรับอุ้งมือ ค่อนข้างสูง ความยาวเหมาะกับทั้งชายและหญิง และใช้ลวดลายมาเสริม ทำให้ดูน่าใช้ จุดขายไม่ได้อยู่ที่ฟังก์ชั่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเสริมลูกเล่นให้ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้อีกด้วย ปรับเซ็นเซอร์ได้ถึง 1600 DPI มีเมาส์ฟีตด้านล่างขนาดใหญ่ ปุ่มคลิ๊กซ้ายขวามีขนาดใหญ่ กดได้แม่นยำ แต่จะมีระยะการกดที่ลึกลงหน่อย รวมถึง Scroll wheel ที่ดูใหญ่พอสมควร แต่ก็ใช้งานได้ดี ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน พร้อมปุ่มเปิดปิด เพื่อประหยัดแบต รับประกัน 3 ปี ราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เมาส์ขนาดกลาง จับกระชับมือ Scroll wheel ค่อนข้างใหญ่
ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม: GENIUS


7.Logitech M221

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายที่มีให้เลือกแบบวาไรตี้มาก กับดีไซน์ที่กระชับ กระทัดรัด พกพาสะดวก วัสดุถือว่าดีในราคาไม่ถึง 500 บาท Logitech ชูในเรื่องของการลดเสียงรบกวนในเวลาทำงานได้มากขึ้น กับความโค้งรับอุ้งมือได้ดี แต่อาจจะเหมาะกับมือสาวๆ ที่เล็ก เนื่องจากความยาวไม่มากนัก ปุ่มหลัก 3 ปุ่ม พื้นฐาน กับการตอบสนองที่ 1000DPI กับเซ็นเซอร์แบบออพติคอล ใช้พลังงานจากแบต AA เพียงก้อนเดียว สามารถใช้งานได้นานถึง 18 เดือนด้วยกัน สามารถเก็บตัวรับส่งสัญญาณได้ในตัวเมาส์อีกด้วย พร้อมสวิทช์เปิด-ปิด ตรงนี้ผมคิดว่าสำคัญมากๆ สำหรับเมาส์แบบพกพาเช่นนี้ เคาะราคาอยู่ที่ 499 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
มีปุ่มเปิด-ปิด มิติเมาส์ค่อนข้างเล็ก
ใช้ได้นาน 18 เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


8.Xiaomi Mi Wireless

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายขนาดกลางที่ออกแบบมาสำหรับคนเอเซียโดยเฉพาะ สามารถจับได้ทั้งแบบ Claw และ Palm Grip ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา โดยมีปุ่มกดที่ให้ความหนักแน่น เสียงค่อนข้างเบา เหมาะกับสายทำงานเป็นหลัก เคลื่อนไหวได้ลื่นไหล กับเมาส์สเกตด้านใต้ขนาดใหญ่ จุดเด่นคือ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Wireless และ Bluetooth เช่นเดียวกับปุ่มกดด้านข้าง ที่เสริมเข้ามาให้ปรับใช้งานได้มากขึ้น ใช้ถ่านแบบ AAA จำนวน 2 ก้อน ให้การรับประกัน 1 ปี กับราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth ขนาดค่อนข้างใหญ่
ใช้ถ่านแบบ AAA 2 ก้อน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Xiaomi


9.Lenovo 530

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้าคุณมีงบสัก 500 นิดๆ คิดว่าเมาส์รุ่นนี้ มีดีให้คุณจับต้องได้ กับดีไซน์ที่จับกระชับมือ ในโทนสีที่ดูทันสมัย พื้นผิวเป็นแบบซอฟท์ทัช ที่ดูเป็นกันเองจับถนัด ขนาดกลางๆ ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ความโค้งตรงอุ้งมือ เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่าย ไม่ได้ใส่ปุ่มมาโครด้านข้างมาด้วย เคลื่อนไหวได้แม่นยำกับเซ็นเซอร์ออพติคอล 1200DPI และปุ่มเมาส์ ที่ให้การคลิ๊กได้ระดับ 8 ล้านครั้ง ใช้ถ่านแบบ AA ก้อนเดียว ใช้ได้นานประมาณ 12 เดือน ราคาอยู่ที่ 590 บาท รับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เซ็นเซอร์ 1200 DPI
รองรับการคลิ๊กได้ 8 ล้านครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lenovo


10.Logitech M331

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

แต่ถ้าใครชอบสไตล์ที่จับกระชับมือ มีเว้าในส่วนของ Grip ให้ถนัดมากขึ้น อาจจะช่วยให้เลื่อนได้ไว และเล่นเกมได้ในบางโอกาส รุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจ ขนาดใกล้เคียงกับ M221 แต่จะเป็นแบบใช้มือขวา ด้านข้างออกแบบให้มีพื้นผิวจับถนัด ด้านหลังจากโค้งลาดลงเล็กน้อย และยังคงเป็น Silence Mouse คือลดเสียงคลิ๊กลงถึง 90% และใช้บนพื้นผิวต่างๆ ได้ดี ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ออพติคอล 1000DPI ในส่วน Scroll mouse รองรับการคลิ๊กได้ โดยใช้พลังงานจากถ่าน AA เพียงก้อนเดียว ใช้ได้ยาวถึง 24 เดือน ที่สำคัญตัวเมาส์รองรับ Unifying ได้อีกด้วย ราคา 590 บาท การรับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
จับกระชับมือ เน้นผู้ใช้มือขวา
แบตใช้ได้นาน 24เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


Conclusion

Model Sensor Wireless Buttons Dimension (mm) Battery Batt life (Month) Price
1.Philips SPK7344 1600DPI 2.4GHz 3 101 x 61 x 33 1x AA 219
2.Anitech W226 1600DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 5 103 x 65 x 37 1x AA 359
3.RAPOO M100 1300DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 3 98 x 61 x 38 1x AA 9 399
4.Microsoft MBL 1850 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58.1 x 32 1x AA 6 430
5.Logitech M190 1000DPI 2.4GHz 3 115.4 x 66 x 40.3 1x AA 18 449
6.GENIUS NX-7015 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58 x 38.5 1x AA 499
7.Logitech M221 1000DPI 2.4GHz 3 99 x 60 x 39 1x AA 18 499
8.Xiaomi Mi Wireless 1200DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 4 103 x 65 x 37 2x AAA 499
9.Lenovo 530 Wireless 1200DPI 2.4GHz 3 120 x 197 x 33 1x AA 12 590
10.Logitech M331 1000DPI 2.4GHz 3 105.4 x 67.9 x 38.4 1x AA 24 590

สำหรับเมาส์ไร้สาย หลักร้อยที่นำมาให้ได้ชมกันในวันนี้ เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมาส์อีกมากมายเลยทีเดียว ที่จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานของหลายคนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยากได้ความคล่องตัว เพราะลดความวุ่นวายจากสายที่พันกันยุ่งเหยิง และไม่ทำให้โต๊ะทำงานที่อาจจะมีพื้นที่น้อยนิดดูรกอีกด้วย การเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ เพราะเมาส์แต่ละรุ่น ก็มีความโดดเด่นต่างกันออกไป เช่น เน้นราคา Philips ให้คุณได้ หรือต้องการมิติเล็กกระทัดรัด Genius, Microsoft และ Logitech M221 ให้การพกพาได้ดี แต่ในเรื่องความสะดวกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลาย Xiaomi, Rapoo และ Anitech รองรับได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth และเรื่องแบตอึด เท่าที่ข้อมูลของแต่ละค่ายระบุมา ส่วนใหญ่จะเกิด 6 เดือนต่อการใช้แบต AA 1 ก้อน แต่จะมี Logitech ที่ส่วนใหญ่จะเกิน 12 เดือนขึ้นไป แต่ในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานด้วยครับ ใครที่กำลังมองหาเมาส์เล็กๆ ต่อไร้สาย สไตล์น่ารักเหล่านี้ ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่ใส่ลิงก์เอาไว้ให้กันครับ

from:https://notebookspec.com/web/686108-10-wireless-mouse-under-1k-2023

10 อันดับ เคสคอม 2023 เปิดตัวใหม่ ไฟ ARGB ประกอบง่าย สุด Cool! เย็นสุดขั้ว

10 อันดับ เคสคอมสุด Cool เปิดตัวใหม่ CES2023 งานดี เทคโนโลยีสุด พร้อมไฟ RGB จัดเต็ม

10 อันดับ

10 อันดับ เคสคอมรุ่นใหม่ปี 2023 ที่เรารวบรวมมาให้ในครั้งนี้ จัดมาตั้งแค่เคสสุดล้ำ ดีไซน์หรู ไปจนถึงเคสคอม สำหรับเกมเมอร์ และนักโอเวอร์คล็อก กับเทคโนโลยีใหม่ ที่ช่วยในการระบายความร้อน และเพิ่มฟังก์ชั่น สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ได้สะดวกมากยิ่ง ซึ่งนับว่าในปี 2023 จะมีเคสรุ่นใหม่ๆ มาให้กับเหล่านักประกอบคอมเลือกใช้งานกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมเรื่องของการระบายความร้อน และการปรับแต่งที่น่าสนใจกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างเช่นที่เรานำเสนอนี้ จะมีบางรุ่นที่เสริมกลไกการระบายอากาศ บางรุ่นมาพร้อมกระจกเทมเปอร์ที่ดีไซน์ทันสมัยมากขึ้น และบางรุ่นก็มาพร้อมชุด Liquid Cooling ในตัว ส่วนใหญ่เป็นผลดีต่อการเล่นเกม และการปรับแต่งในปัจจุบัน รวมถึงรองรับกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ๆ อีกด้วย วันนี้เรามาชมกันครับว่า จะมีเคสคอมรุ่นใด ที่ถูกใจคุณบ้าง เผื่อใครจะอยากเปลี่ยนเคสใหม่กันในปีนี้

10 อันดับ เคสคอม 2023

  1. Cyberpower Kinetix 360V
  2. Fractal Design – Torrent Compact Nano
  3. Lian Li – Lancool III
  4. Hyte Y60
  5. Thermaltake CTE
  6. Cooler Master Cooling X
  7. InWin POC Case
  8. COUGAR CRATUS
  9. MSI MEG Prospect 700
  10. ASUS HYPERION

1.Cyberpower Kinetix 360V

Cyberpower Kinetix 360V เป็นเคสคอมที่ออกแบบในแนวที่เรียกว่า Kinetic Enclosure หรือเป็นกล่องที่ขยับปรับเลื่อนได้ ซึ่งเมื่อปีก่อนก็จะมีของ Cyber Power ที่ทำออกมา แต่ตอนนั้นก็ลุ้นกันว่าจะออกมาวางตลาดมั้ย แต่ก็มีออกมาในบางรุ่น แต่สำหรับปีนี้ เป็นโมเดลพิเศษที่เรียกว่า Cyberpower Kinetix 360V Intelligent Airflow Series ที่มาโชว์ตัวในงาน CES 2023 เข้ามาใน 10 อันดับ เคสคอมครั้งนี้

Advertisementavw
10 อันดับ

ความโดดเด่นของเคสรุ่นนี้ อยู่ที่กลไกด้านหน้าของเคส ที่ขยับไปมาได้ เป็นแบบบานพับรูปทรงสามเหลี่ยม เลขาคณิต เปิดและปิดดูแล้วหวือหวา คล้ายกลไกของชุดไอรอนแมน ไม่ว่าจะเป็นสีสัน หรือการขยับของบานพับเหล่านี้

เคสรุ่นนี้ อาจจะไม่ได้นำเสนอเรื่องของ airflow เป็นหลักอย่างเดียว แต่มองว่าน่าจะเป็นการออกแบบเชิงนวัตกรรม ด้วยการใส่กลไกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในเคส ซึ่งถ้าถามว่าดีกว่าเคสปกติ หรือเคสที่มีพัดลมเคสด้านหน้าอย่างไร? 

10 อันดับ

ถ้าสังเกต เคสคอมบางเคสก็มีฝาเคสปิดทึบด้านหน้ามา บางทีต้องการจะให้ลมเข้ามากๆ ในช่วงที่ทำงานแบบ Full load ให้มีอากาศระบายได้ดีก็ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ต้องการเคสที่ว่า เปิดให้ลมไหลเข้าตลอดเวลา เพราะบ้านเราเรื่องฝุ่นเป็นปัญหาสำคัญ การมีกลไกเปิด-ปิดแบบนี้ ก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียวครับ อยากได้ลมก็เปิด ไม่ใช้ก็ปิดง่ายมากๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม: Cyberpowerpc


2.Fractal Design – Torrent Compact Nano

สำหรับเคสคอมจาก Fractal Design นี้ ดูเป็นที่รู้จักกันดีในบ้านเรา ด้วยคาแรคเตอร์ที่ดูหรูหรา พรีเมียม และเป็นที่คุ้นหูคุ้นตากันหลายรุ่น เช่นเดียวกับ Torrent Nano ที่เป็นเคสขนาด Mid-Tower แต่ใส่ Air flow มาขั้นสุด กับรูปลักษณ์เคสในโทนสีขาว มีช่องระบายอากาศด้านหน้า ออกแบบมาได้ลึกล้ำดีทีเดียว

10 อันดับ

ความโดดเด่นอยู่ที่ พัดลมขนาดใหญ่ 18cm พร้อมแสงไฟ RGB สวยงาม สามารถควบคุมรอบพัดลมได้ เสียงรบกวนน้อย ส่วนพื้นที่ภายในดูกว้างขวาง เพราะย้ายช่องติดตั้งเพาเวอร์ซัพพลายไปไว้ด้านบน ให้เดินสายได้สะดวก และมีทางลมดูดลมร้อนจากซีพียูได้โดยตรง

10 อันดับ

ส่วนภายในรองรับเมนบอร์ด mATX และมีช่อง PCI-Express ได้ถึง 3 สล็อต ติดตั้งการ์ดจอรุ่นใหม่ๆ ที่เป็น RTX40 series ได้และการ์ดความยาวระดับ 33.5cm เลยทีเดียว ใครที่ชอบเคสแนวนี้ เค้ามีให้เลือกถึง 5 สีด้วยกัน สำหรับผมนะ สวยทุกสี ตามที่ปรากฏในคลิปนี้เลยครับ บ้านเรามีจำหน่ายแล้ว ราคาประมาณ 5 พันกว่าบาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: Fractal Design


3.Lian Li – Lancool III

เป็นเคสคอมที่เรียกว่า ถอดรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์ LANCOOL มาอย่างเต็มเปี่ยม แต่ที่โดดเด่น เราผมชอบมากคือ การเปิดช่องทางในส่วนต่างๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็น ฝาข้าง หน้า และฝาปิดเพาเวอร์ซัพพลายที่อยู่ด้านล่าง กระจกข้างใสเทมเปอร์ ถอดออกง่าย รวมถึงมีพัดลมไฟ RGB มาให้แล้วถึง 4 ตัวด้วยกัน แบ่งเป็นหน้า 3 ตัว หลัง 1 ตัว พร้อมตะแกรงด้านหน้าให้ Air flow แบบสุดๆ

10 อันดับ
10 อันดับ

ด้านในรองรับ Radiator ชุดน้ำ 3 ตอน 360 ได้อีก 3 ตัว คือ ด้านบน ด้านล่างและด้านหน้า ติดตั้งพัดลม รวมกันได้ถึง 10 ตัว ผมว่าดีไซน์ได้ค่อนข้างอลังการทีเดียว เหมาะสำหรับคนที่จะใช้ชุดน้ำสำหรับซีพียู การ์ดจอ และอื่นๆ เพิ่มเติม

10 อันดับ

แถมด้วยช่อง Mount เพื่อติดตั้ง Storage ได้สูงสุดถึง 12 ตัว ในจุดต่างๆ ที่เค้าเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเท่าที่ผมสังเกต เพลตที่อยู่ด้านบนของเพาเวอร์ สามารถปรับเลื่อนได้หลายรูปแบบ ตรงนี่ถือเป็นจุดสำคัญในการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ เท่าที่ผมเช็คมาในบ้านเราพอมีจำหน่ายบ้างแล้ว ราคาประมาณ 4 พันปลายๆ เท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lian Li


4.Hyte Y60

แต่ถ้าจะเป็นเคสคอมที่ดูโดดเด่น เป็นกระแสมากที่สุดใน CES 2023 ปีนี้ ก็ต้องเป็นค่ายนี้ครับ HYTE ในรุ่น Y60 ล่าสุด ดีไซน์แนวตู้ปลา ราคาดี มีกระจกเทมเปอร์ 3 ด้าน งานดูพรีเมียม น่าสนใจไม่น้อยเลย เป็นเคสแนวที่คล้ายๆ กับเคสกระจกหลายรุ่นในบ้านเรา เมืองนอกเค้ายกให้เป็น Good compact, Good Material เลยทีเดียว แล้วถ้าถามว่าแปลกหรือเด่นอย่างไร

10 อันดับ

ก็ยังคงต้องเริ่มกันตั้งแต่ดีไซนกระทัดรัด ดีไซน์พรีเมียม ด้านหน้าตัดมุม 45 องศา ไม่เหมือนใคร ส่วนตัวผมรู้สึกว่า มันมองฮาร์ดแวร์ได้ในหลายมิติ ดูแล้วกว้าง แถบด้านบนและล่างกว้างขวาง ให้พื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์ได้มากขึ้น เช่น ปั้มน้ำ หรือชุดพัดลม Radiator ช่องตะแกรง ทั้งด้านบน และด้านล่าง ช่วยระบายอากาศ 

10 อันดับ

ติดตั้งชุด Radiator ได้อย่างน้อย 2 ชุด ด้านหลัง และด้านบน สามารถวางการ์ดจอแนวตั้งได้ ด้านหลังเหลือพื้นที่มากมาย ให้เก็บสายหรือประกอบฮาร์ดแวร์อื่นเพิ่มได้ เช่น SSD เป็นต้น

10 อันดับ

นอกจากนี้ภายในเคสยังมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้งกราฟิกการ์ดแบบ Low-Profile ขนาดเล็กได้ ไม่ต้องไปหาแปลง Bracket ให้เสียเวลา และเสริมขาแขวนสายเพาเวอร์ที่ต่อการ์ดจอมาให้ในตัว พื้นที่ภายในรองรับการ์ดจอได้ยาวแบบ 3 พัดลมได้อีกด้วย บ้านเราพอมีให้ Pre-Order ในราคาประมาณ 8,000 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: HYTE


5.Thermaltake CTE

เป็นเคสคอมในซีรีส์ที่เปิดตัวในงานได้สุดอลังการ สำหรับ Thermaltake CTE ที่ดีไซน์ออกมาในแบบที่เรียกว่า Centralized Thermal Efficiency ซึ่งเน้นที่การระบายความร้อน ปรับจูนอากาศให้ไหลเวียนได้ดี และจุดเด่นอยู่ที่การปรับหมุนเมนบอร์ดได้ในแบบ 90 องศา 

10 อันดับ

ตัวเคสผมว่าคล้ายกับการนำเอาจุดเด่นของหลายๆ รุ่นมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็น Tower, V หรือ View ก็ตาม นำมาผสมผสานกันให้ลงตัว และภายในมีความยืดหยุ่น ปรับเลื่อน แกะ ประกอบได้หลากหลาย โดยเฉพาะการวางเมนบอร์ด ที่ปรับมุมได้ 90 องศา เพื่อให้รับลมหรือต่อเข้ากับ Block น้ำได้ลงตัวมากขึ้น

10 อันดับ

พัดลมและชุดน้ำก็วางกันได้แบบจุใจครับ ไม่มีกั๊ก ตามสไตล์ของค่ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า หรือด้านหลัง ที่ใส่ Radiator แบบ 360mm ได้ 2 ชุด ยังไม่รวมด้านล่างเคส และด้านบนก็ติดตั้งแบบ 240mm ได้ โดยที่ทาง Thermaltake เค้าดีไซน์ทางลมให้เป็นแบบ ดูดลมเข้าทางด้านหน้าและหลัง และระบายลมร้อนออกทางด้านบน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

10 อันดับ

หลายคนอาจสงสัยว่า แบบนี้จะมีพื้นที่ติดตั้งเพาเวอร์ตรงจุดใด? ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเพาเวอร์ในแต่ละรุ่น จะวางไม่เหมือนกัน บางรุ่นข้างล่าง หรือบางรุ่นก็อยู่ด้านหลังเคส และบางทีก็อยู่ด้านบน เพราะซีรีส์นี้ออกมาถึง 6 รุ่นด้วยกัน และการจัดวางก็ต่างกันไปตามดีไซน์นั่นเอง

10 อันดับ

ส่วนความยาวของการ์ดจอไม่น่ากังวล เพราะเท่าที่ดู นอกจากจะวางได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอนแล้ว ยังปรับ 90 องศาได้อีกด้วย การ์ดแบบ 3 พัดลมก็วางได้ ไม่ได้ดูติดขัดแต่อย่างใด ใครที่รอราคา คงต้องอดใจอีกนิดครับ เพราะบ้านเรากำลังเปิดตัวครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: Thermatake


6.Cooler Master Cooling X

ถ้าพูดถึงเคสคอมและชุดระบายความร้อน ไม่มีค่ายนี้ไม่ได้เลยครับ และใน CES 2023 ครั้งนี้ เค้าก็จัดแบบพิเศษมาให้กับ Cooling X ที่เป็นเคสออกแบบใหม่ ซึ่งมาพร้อมชุด Liquid Cooling มาในตัว สำหรับซีพียูและการ์ดจอ โดยใช้พื้นที่ฐานของตัวเคสแบบ Tower ด้วยบอดี้ทื่ใหญ่ วางตำแหน่งเอาไว้สำหรับเกมเมอร์ระด้บไฮเอนด์ รูปทรงคล้ายกับ Cosmos และยังผสมกับหน้าตาของรุ่นอื่นๆ มาไว้อีกด้วย ซึ่งช่วงหลังๆ ผมเองรู้สึกว่า ดีไซน์เค้าเริ่มไปไกลมาก

10 อันดับ

อย่างที่เห็นคือ ด้านหน้ามาพร้อมกับโลหะแบบตะแกรงดูดอากาศด้านนอก พร้อม Strip แสงไฟ ด้านข้างและด้านหลัง ก็เป็นช่องขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้ถึงกับจะเป็นช่องลมทะลุไปยังภายในได้ทั้งหมด ซึ่งคล้ายกับว่าโครงสร้างภายนอก จะเป็นเหมือนครีบระบายความร้อน และใช้เป็นจุดไหลเวียนของเหลว โดยมีตัวปั้มและ Block อยู่ภายใน 

10 อันดับ

โดยเท่าที่ดูทิศทางการไหลของ Liquid Cooling ถ้าดูตามชาร์ทนี้แล้ว จะเป็นเหมือน มาจากด้านข้างซ้ายของเคส เข้าปั้ม ไหลไปยังซีพียู และ GPU แล้วไปยังฝาข้างด้านขวา แล้วไปเวียนที่ Radiator จากนั้นก็จะไหลกลับไปยังฝาข้างด้านซ้ายอีกครั้งหนึ่งแบบนี้

10 อันดับ

เปิดฝาข้างออกได้ทั้ง 2 ด้าน จัดวางเพาเวอร์ไว้ด้านล่าง ด้านหลังมี Radiator 1 ชุดสำหรับซีพียู แต่ที่แอบสงสัยคือ ช่องด้านหลังที่เป็นพอร์ตแสดงผลด้านบนเคสนี้ เอาไว้ให้การเชื่อมต่อในแบบใดกันแน่ หรืออาจจะเป็นการวางอีกแนว และเปิดฝาด้านบน เพื่อต่อจอก็เป็นได้ครับ ใครชอบเคสแนวนี้ อดใจรอครับ ถ้ามีข้อมูลมาเพิ่มเติม จะเอามานำเสนออีกครั้งหนึ่งนะครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: wccftech.com


7.InWin POC Case

ใครที่เป็นนัก Mod ชอบเคสแบบมีสไตล์ มีชิ้นส่วนประกอบได้เองแบบอิสระ เคสรุ่นนี้ที่ InWin นำมาโชว์ในงาน น่าจะถูกใจคุณ ใช้แนวคิดคือ POC ออกแบบมาเป็นแผงโลหะ SECC แข็งแรงแบบโครงสร้างเคสปกตินี่เลย คุณสามารถนำมาประกอบจนกลายเป็นเคส Mini-ITX ได้ คล้ายกับการพับกระดาษ Origami อะไรแบบนั้น เคสจะเน้นสีสันที่สดใสหน่อย เพราะมีให้เลือกโทน เขียว/เหลือง (Tropical Sweetheart) และ น้ำเงิน/ดำ (Race Blue)

10 อันดับ

ตัวเคสมาพร้อมพัดลมขนาด 120mm มาให้ 1 ตัว รองรับการติดตั้งเพาเวอร์ยาว 16cm แต่ที่น่าสนใจคือ มีช่องสำหรับติดตั้งการ์ดจอแบบแนวตั้งได้อีกด้วย มี PCI-Express 4.0 riser cable ให้ และรองรับการ์ดจอรุ่นใหญ่ 3.5 สล็อต ยาวถึง 34cm ได้อีกด้วย

10 อันดับ

อย่างไรก็ดีในงานนี้ เท่าที่ได้เห็นไม่ได้มีความแปลกตากับโครงสร้างเคสเพียงอย่างเดียว แต่บรรจุภัณฑ์ที่เค้าใส่มาในแต่ละชิ้นนั้น ยังเป็นแบบซองกระดาษ รีไซเคิล ห่อมาให้อีกด้วย เซอร์ไพรซ์กันไปใหญ่ 

10 อันดับ

เคสแบบนี้ ชวนให้ผมนึกถึงบ้านน็อคดาวน์ในปัจจุบัน ที่คุณสามารถจัดการได้เอง เพราะเมื่อแกะของออกมาจากห่อ จะเป็นโลหะแบนเรียบ และคุณต้องมาพับงอในบางจุด แล้วไขน็อตยึดเพิ่มความแข็งแรง  เพื่อประกอบให้กลายเป็นเคสแบบ 3 มิติให้พร้อมใช้งาน

ตอนที่เห็นภาพเคสที่ประกอบสำเร็จแล้ว ส่วนตัวรู้สึกค่อนข้างทึ่ง แล้วน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีกับเคส Custom ในอนาคต ถ้ามีเรื่องของราคาเราจะมาอัพเดตให้ฟังกันอีกครั้งครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: InWin


8.COUGAR CRATUS

ถ้าพูดถึงเคสล้ำๆ หลายคนก็น่าจะนึกถึงค่ายนี้ COUGAR ที่มีเคสสวยล้ำอีกรุ่นหนึ่งมาลงตลาด ในชื่อ CRATUS สำหรับผมมองว่า มันเหมือนกับแชสซีส์ของรถแข่งเลยทีเดียว กับรูปลักษณ์ที่ดูดุดัน โครงสร้างท่อโลหะ ผสานกับกระจกเทมเปอร์ ที่มีการดัดโค้ง ให้ดูลงตัว ภายในกว้างขวาง เหมาะกับการติดตั้งอุปกรณ์ และสายนักโมดิฟาย ที่แทบจะสวยมาจากโรงงาน 

10 อันดับ

กระจกเทมเปอร์ เป็นคีย์หลักที่สร้างความโดดเด่น เพราะมีให้ถึง 4 ด้าน ด้านหน้าดัดโครงให้เข้ากับโครงเคส ยาวไปจนถึงด้านบน และ

10 อันดับ

การจัดทิศทางลม ใช้การดูดลมเย็นจากด้านหน้า และด้านล่าง ให้หมุนเวียนภายในเคส แล้วปล่อยลมร้อนออกทางด้านหลัง พร้อมแสงไฟ ARGB สวยเวอร์วัง ปรับแต่งได้ ด้วยการกดปุ่ม RGB บนตัวเคส แต่ก็มีหัวต่อ เพื่อเสียบเข้ากับเมนบอร์ด ในการใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ได้อีกด้วย 

10 อันดับ

จัดวางเคสได้ตั้งแต่ ATX ไปจนถึง E-ATX ซึ่งทำให้การวางการ์ดจอ ใส่ได้ยาวถึง 46cm ถ้าไม่ได้ติดตั้ง Radiator ด้านข้างเมนบอร์ด พร้อมพื้นที่ด้านหลังติดตั้ง SSD 2.5″ ได้ถึง 3 ตัวด้วยกัน และช่องสำหรับ HDD 3.5″ การติดตั้งชุดระบายความร้อน ทำได้ทั้งชุดพัดลมได้สูงสุด 9 ตัว และชุดน้ำ ติดตั้ง Radiator 360mm ได้ 

ที่ชอบเลยก็คือ ด้านหลังมีช่องเก็บสายเคเบิล ที่เปิดออกได้ ไม่ต้องแกะให้วุ่นวาย ความหนาที่มากพอสำหรับ ม้วนสายเอาไว้ในนั้น แทบจะมองไม่เห็นสายต่อเลยก็ว่าได้

10 อันดับ

เรื่องของราคายังไม่ได้เคาะออกมาเป็นทางการ ส่วนตัวมองว่า ถ้าคุณชอบเคสแบบนี้ ที่เปิดให้ลมเข้าหลายด้าน กระจกเทมเปอร์ที่โชว์ได้เกือบทุกอณู พร้อมกับดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร กำเงินรอไว้ได้เลยครับ ไตรมาสแรกปีนี้ได้ลุ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: COUGAR


9.MSI MEG Prospect 700

มาถึงเคสที่ 9 แล้ว เคสนี้ ไม่ได้ถือว่าใหม่มาก เพราะเปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2565 และสื่อบ้านเราก็ได้รีวิวกันไปบ้างแล้ว แต่ที่นำมาเพราะความล้ำสมัย มีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดี โดยเฉพาะการมีพาแนลบนตัวเคส สำหรับปรับแต่งสิ่งต่างๆ ภายใน 

10 อันดับ

กระจกเทมเปอร์สวยใสด้านข้าง เปิดกางได้ง่าย รวมถึงฝาปิดข้าง ที่เก็บสายไฟ ก็กว้างขวางดีทีเดียว

10 อันดับ

จอเป็นแบบทัชสกรีนขนาดใหญ่ ปรับโหมดไฟ ARGB ได้ เลือกได้หลายแบบ รวมถึงปรับรอบพัดลม มีโพรไฟล์ ตั้งเวลาเปิด-ปิดหน้าจอ ซิงก์กับซอฟต์แวร์บนเมนบอร์ดได้เช่นกัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับที่มีอยู่บนเกมมิ่งพีซีบางรุ่นของ MSI 

10 อันดับ

ภายในติดตั้งชุดน้ำ Radiator 360mm ได้ มีพัดลมให้เป็นแบบ ARGB จำนวน 4 ตัว หน้า 3 หลัง 1 ขนาด 140mm พาแนลด้านหลังปรับเลื่อนได้ สำหรับการวาง Radiator หรือจะใช้เป็นพัดลมก็ได้เช่นกัน พื้นที่ภายในวางการ์ดจอตัวใหญ่ๆ 3 พัดลมได้สบายๆ กว้างขวาง

10 อันดับ

แต่เรื่องของมิติ ก็อาจจะดูใหญ่พอสวมควร แต่ถ้ามองว่า ตั้งใจจะจับฮาร์ดแวร์แรงๆ รุ่นใหญ่ ยัดเข้าไปให้ได้ รวมถึงชุดน้ำ ผมว่า MSI รุ่นนี้ตอบโจทย์คุณได้เลย เคาะราคาอยู่ที่ประมาณ 14,900 บาทครับ มีจำหน่ายแล้ว สนใจก็ไปตำกันได้เลย

ข้อมูลเพิ่มเติม: MSI


10.ASUS HYPERION

เป็นเคสเกมมิ่งสำหรับคอเกม ที่มีความโดดเด่นในด้านการออกแบบ ซึ่งหากคุณเป็นแฟนบอยของ ASUS ROG เคสนี้ น่าจะเป็นทางของคุณ ตัวเคสขนาดใหญ่ เพิ่มระดับความสูง ให้อากาศไหลเวียนได้มากขึ้น และรองรับ Radiator ขนาด 420mm ได้ถึง 2 ตัวด้วยกัน กับการออกแบบรูปลักษณ์ที่ยังล้ำสมัย พร้อมใส่สีสันไฟ RGB มาเป็นทางเลือกให้กับการแต่งคอม กับการจัดวางเคส ที่ใช้โครงรูปตัว X ในการกระจายน้ำหนัก

10 อันดับ

ภายในเปิดให้เป็นห้องขนาดใหญ่ รับการติดตั้งเมนบอร์ด E-ATX ได้ พร้อมพื้นที่ขนาดใหญ่ ให้สามารถรองรับการ์ดจอรุ่นใหญ่อย่าง GeForce RTX4090 ได้สบาย ซึ่งสามารถใส่การ์ดจอได้ยาวสุดถึง 46cm เลยทีเดียว โดยให้พื้นที่แนวตั้งสูงสุด 13cm เผื่อการ์ดจอตัวใหญ่ จะได้ไม่ติดขอบฝาเคส

นอกจากนี้ยังมาพร้อมโครงอะลูมิเนียม สำหรับรับกราฟิกการ์ดแบบ 2-way ยึดไม่ให้ตัวการ์ดห้อย หรือเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง รวมถึงยังจัดสายเคเบิลได้ง่ายกว่าเดิม

10 อันดับ

พื้นที่ด้านหลังเมนบอร์ดกว้างพอในการจัดเก็บสาย พร้อมกับแถบยาง เพื่อใช้ในการรัดจัดเก็บให้เป็นระเบียบ เช่นเดียวกับฝาปิดอะคลิลิคทางด้านหลัง ให้เปิดออก และใส่สายเข้าไปได้ โดยมีคอนโทรลเลอร์ ARGB มาในตัว เพื่อใช้ต่อเข้ากับบรรดาอุปกรณ์ที่รองรับ AURA Sync ซึ่งติดตั้งชุดอุปกรณ์ไฟ RGB เพิ่มได้ถึง 8 ชิ้นและพัดลมแบบ PWM 6 ตัว

10 อันดับ

นับว่าเป็นเคสคอมอีกรุ่นหนึ่ง ที่สามารถปรับเปลี่ยนและโมดิฟายได้ง่าย เหมาะกับคนที่ชอบประกอบคอมเซ็ตด้วยตัวเอง และเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปได้สะดวก การระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS


Conclusion

10 อันดับ เคสคอม 2023 ที่เราได้รวบรวมมาในครั้งนี้ ในแต่ละรุ่นถือว่ามีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ซึ่งหากมองกันที่นวัตกรรมแล้ว CYBERPOWERPC ถือว่ามีลูกเล่นที่น่าสนใจทีเดียว แต่ถ้าจะเน้นที่การระบายความร้อน MSI, COUGAR และ Cooler Master ก็มีทิศทางในการปรับแต่งเคสของตน เพื่อให้ผู้ใช้ได้นำไปใช้งานได้เลย แทบจะไม่ต้องเพิ่มเติมสิ่งอื่นใดมากนัก และยังรองรับการติดตั้ง Radiator ได้มากกว่า 1 ชุดอีกด้วย แต่ถ้าชอบความล้ำสมัย สวยงามเคสจาก COUGAR, MSI และ ASUS ก็ตอบโจทย์เกมเมอร์ และนักโมดิฟายได้ดี แต่ถ้าชอบความเก๋ไก๋ ดูไม่ซ้ำใคร สวยได้แม้จะมินิมอล เคสจาก InWin และ Hyte น่าจะเป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบได้เป็นอย่างดีครับ ความชอบของคุณเป็นแบบใด เลือกใช้กันได้ตามสะดวก แล้วอย่าลืมคอมเมนต์ให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันบ้างนะครับ แล้วพบกันกับการรวบรวมข้อมูลไอทีครั้งต่อไปครับ

from:https://notebookspec.com/web/684474-10-pc-case-ces-2023

4TB SSD External 5 รุ่นเด็ด เก็บได้เยอะ โอนถ่ายข้อมูลไว เพื่อเกมเมอร์ ครีเอเตอร์ 2023

4TB SSD External 5 รุ่น เก็บข้อมูล โอนถ่ายไฟล์ เร็ว สายทำงาน เล่นเกม ต้องโดน! ความจุเหลือๆ

4TB SSD External

4TB SSD External เก็บข้อมูลแบบจัดเต็ม ไม่เกรงใจใคร ใครที่มีข้อมูลเยอะมาทางนี้ เรามี 5 SSD แบบต่อภายนอกมาแนะนำ กับความจุระดับ 4TB ให้พื้นที่ในการจัดเก็บงานปริมาณมากๆ และให้ความเร็วในการทำงาน ไม่ว่าจะโอนถ่ายไฟล์ ย้ายข้อมูล หรือจัดเก็บได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเกมเมอร์ในการสำรองไฟล์เกมที่ชื่นชอบ เอาไว้ใช้กับเครื่องอื่นได้ หรือนักสร้างคอนเทนต์ ที่ใช้สำรองข้อมูล ไฟล์ภาพ วีดีโอและเสียง ที่มีขนาดใหญ่และนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว หรือเหล่ายูทูปเบอร์ และสตรีมเมอร์ ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บวีดีโอความละเอียดสูง เอาไว้ใช้ในการตัดต่อ หรือนำเสนอผลงาน ข้อดีคือ ทำงานได้ไวกว่าที่เป็นแบบฮาร์ดดิสก์ต่อภายนอก รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หากกำลังมองหาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลความจุ และความเร็วสูงไปพร้อมๆ กัน มาติดตามบทความนี้ไปพร้อมๆ กันครับ


4TB SSD External

  1. WD MYPASSPORT 4TB
  2. Kingston SXS2000 4TB
  3. SANDISK Extreme 4TB
  4. SANDISK Extreme Pro 4TB
  5. LaCie Rugged SSD 4TB
  6. Crucial X8 4TB

External SSD vs HDD แบบไหนดี?

4TB SSD External

จากคำถามนี้ เชื่อว่าถ้าย้อนไป 4-5 ปีก่อน หลายคนอาจตอบเลยว่า External HDD ยังน่าใช้กว่า ทั้งราคาและความจุ ที่ดูไปด้วยกันได้ ซึ่งในปัจจุบันก็อาจจะยังเป็นเช่นนี้อยู่ เพราะอย่าง External HDD 1TB เริ่มที่พันกว่าบาท แต่ถ้าเป็น SSD 1TB แบบต่อภายนอก ราคาเริ่มต้น 3 พันกว่าบาท ซึ่งแพงกว่าเกือบเท่าตัว แต่เวลานี้ ผู้ใช้บางกลุ่ม ไม่ได้เน้นที่ราคาเป็นหลักอีกต่อไป แต่มองที่ศักยภาพ ความเร็ว และการตอบสนองกับงานได้ดี และให้ความสำคัญกับเวลา เนื่องจาก External SSD แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่ออยู่บ้าง แต่ก็ยังให้ความเร็วในการค้นหาข้อมูลได้ดีกว่า และการโอนถ่ายข้อมูลที่รวดเร็ว อย่างเช่น

Advertisementavw
4TB SSD External
source: Crucial

External HDD เมื่อเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB 3.0 Type-A เป็นส่วนใหญ่ และเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟส SATA ซึ่งให้ความเร็วในการทำงานจะอยู่ที่ประมาณ 5Gbps ดังนั้นอัตราการ Read หรืออ่านข้อมูลสูงสุดที่ 120MB/s โดยประมาณ แต่ถ้าดูจาก Host ของการเชื่อมต่อบน USB รุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น USB 3.1 Gen1 ให้ความเร็วในระดับ 5Gbps, แต่ถ้าเป็น Gen2 จะขยับไปที่ 10Gbps และสุดท้ายคือ Thunderbolt 3 ก็จะให้ได้ถึง 40Gbps เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อ SSD มีความเร็วมากพออยู่แล้ว มาเชื่อมต่อกับ Host ในแบบ External รุุ่นใหม่ๆ ก็ทำให้ความเร็วเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างเช่น SSD External รุ่นใหม่ๆ เมื่อเชื่อมต่อกับ USB 3.1 Type-C ก็ให้ความเร็วในระดับ 1,000MB/s ได้ ความเร็วก็จะเหนือกว่า External HDD เกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว


เลือกอย่างไร?

4TB SSD External
source: WD

แล้วถ้าต้องการใช้ External SSD หรือ SSD แบบต่อภายนอกนี้ จะต้องเลือกอย่างไร?

ความจุ: เรื่องนี้อาจจะต้องให้มองว่า คุณมีการใช้งานข้อมูลในแต่ละวันมากน้อยเพียงใด พิจารณาถึงการเก็บข้อมูลระยะสั้น และระยะยาว บางครั้งอาจจะต้องสำรองข้อมูลที่จำเป็นบ่อยครั้ง เช่น ไฟล์วีดีโอที่เป็นฟุดเทจ ถ่ายเก็บ และนำมาใช้ตัดวีดีโอในภายหลัง หรือเป็นไฟล์งานที่ต้องอัพเดตบ่อย รวมถึงเกมเมอร์ ที่ชอบสำรองตัวเกมที่ชอบเอาไว้ และลบไฟล์เกมจากไดรฟ์หลัก ให้เหลือพื้นที่ติดตั้งเกมใหม่เอาไว้เล่นนั่นเอง หากประเมินได้แล้ว ก็ให้เผื่อพื้นที่เอาไว้สักหน่อย กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นอาจใช้ประมาณ 400GB ก็เลือก 500-512GB ได้เช่นกัน แต่ถ้างบประมาณมากหน่อย ตัวเลือก 1TB ก็น่าสนใจไม่น้อย

ดีไซน์และมิติ: เรื่องของดีไซน์ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งในปัจจุบันก็มีตัวเลือกหลายแบบ เช่น บางเบา กระทัดรัด พกพาสะดวก บางรุ่นมีความแข็งแรง ทำบอดี้มาเป็นพิเศษ กันกระแทกและกันฝุ่น ละอองน้ำเป็นต้น หรือบางรุ่นมีที่แขวน จัดเก็บง่าย ตรงนี้ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเลือกแบบใด แต่ถ้าจะแนะนำ วัสดุที่แข็งแรง ปกป้อง SSD ที่อยู่ภายในได้ดี มีกันกระแทก ไม่ต้องเล็กมาก หากกลัวว่าจะหาย และให้อยู่ในงบประมาณที่ไม่สูงเกินไปนัก

การเชื่อมต่อ: เวลานี้จะเป็นแบบเดียวกันเกือบทั้งหมด นั่นคือต่อผ่าน USB-C แต่จะเป็นมาตรฐานใดนั้น ก็ต้องเช็คที่สเปคกันอีกครั้ง โดยจะมีให้เลือกหลักๆ 2 แบบคือ USB 3.2 Gen1 x2 จะให้ความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูล ประมาณ 1,000MB/s ทั้งการ Read/ Write และ USB 3.2 Gen2 x2 ที่ให้ความเร็วได้มากกว่า อยู่ที่ประมาณ 2,000MB/s ทั้งการ Read/ Write จะเห็นได้ว่าความเร็วมากกว่าถึงเท่าตัว แต่ราคาก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ราคาและการรับประกัน: การประกันจะคล้ายกับ SSD Internal มีอยู่ 2 แบบ ขึ้นอยู่กับซีรีส์ของ SSD ในแต่ละรุ่น แต่ละค่าย เช่น SANDISK Extreme การรับประกันอยู่ที่ 5 ปี ส่วน SANDISK Portable รุ่นพื้นฐานประกัน 3 ปี หรือจะเป็น WD Element ประกัน 3 ปี ส่วน MYPASSPORT จะรับประกัน 5 ปีเป็นต้น


1.WD MYPASSPORT 4TB

4TB SSD External

ถือว่าเป็น External SSD ของเจ้าตลาดอีกรุ่นหนึ่ง ราคาดีใน 4TB SSD External คร้ังนี้ ที่ทำออกมาตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เคลื่อนย้ายสะดวก และมีความทนทาน ทาง WD เลือกวัสดุที่เป็นเปลือกภายนอก มีความแข็งแรง ทนต่อการตกกระแทกได้ มีให้เลือก 4 สี แดง ทอง น้ำเงินและสีเทา โดยรุ่นที่เป็น 4TB เป็นสีเทา ดูพรีเมียมทีเดียว มาในมิติประมาณฝ่ามือเท่านั้น 100.08 x 55.12 x 8.89mm จัดว่าเล็กกว่ารีโมททีวีที่บ้านด้วยซ้ำ ให้การเชื่อมต่อผ่าน USB-C ในแบบ USB 3.2 Gen 1 จึงให้ความเร็วในการทำงานที่ 1050MB/s (Read) และ 1,000MB/s (Write) จัดว่าเร็วกว่าการที่เราใช้ External HDD พื้นฐานบน USB-A อยู่ไม่น้อยเลย เหมาะกับการทำงานพื้นฐานทั่วไป การจัดเก็บไฟล์จำนวนมาก และการอัพเดตไฟล์อย่างต่อเนื่อง พกพกสะดวก โดยปกติจะเชื่อมต่อแบบ Type-C to Type-C ได้ แต่หากมีโน๊ตบุ๊คหรือพีซีที่เป็นพอร์ตรุ่นเก่า ก็ใช้สายแบบ USB-C to Type-A ได้เช่นกัน การรับประกัน 5 ปี ราคา 15,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด ความเร็วในการทำงานที่ 1050MB/s
ราคาค่อนข้างดี

ข้อมูลเพิ่มเติม: WD


2.Kingston SXS2000 4TB

4TB SSD External

Kingston SXS2000 จัดว่าเป็น External SSD ในกลุ่มพรีเมียม ที่ออกแบบมาสำหรับงานที่สำคัญ และการพกพาที่สะดวก ด้วยมิติตัวไดรฟ์ 69.54 x 32.58 x 13.5mm ที่ถือว่าใกล้เคียงกับกุญแจรีโมทรถยนต์ในแบบ Keyless ในปัจจุบัน น้ำหนักประมาณ 29 กรัมเท่านั้น วัสดุโครงสร้างโลหะ และมีชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติก ให้ทั้งความทนทาน และน้ำหนักที่เบา ซึ่งว่ากันตามมาตรฐาน IP55 ซึ่งมียางรองกันกระแทก เมื่อตกหล่นและกันละอองน้ำ รวมถึงกันฝุ่นได้ค่อนข้างดี ด้านในเป็น NAND Flash ที่ให้ความเร็วในการทำงานสูงถึง 2,000MB/s ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล จึงมั่นใจได้ว่าไฟล์ขนาดใหญ่ อย่างเช่น วีดีโองานระดับ 4K/ 8K จะถูกจัดเก็บ และเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว โดยให้การเชื่อมต่อผ่านทาง USB 3.2 Gen2 x2 ซึ่งหากคุณมีพอร์ตนี้อยู่ที่เครื่องคอมหรือโน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่ ก็จะใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ การรับประกันอยู่ที่ 5 ปี สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 15,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เล็กสุดในรุ่น เบา วามเร็วในการทำงานสูงถึง 2,000MB/s
ความทนทาน IP55

ข้อมูลเพิ่มเติม: Kingston


3.SANDISK Extreme 4TB

4TB SSD External

จัดว่าเป็น 4TB SSD External ที่เป็นตัวเริ่มต้นของใครหลายคนได้เลย และยังเป็นตัวใช้สำรองงาน โอนถ่ายข้อมูลแบบจริงจัง สำหรับงานที่ต้องให้ความสำคัญทั้งในด้านความเร็ว และความจุ กับระดับ 4TB จาก SANDISK รุ่นนี้ ช่วยให้การทำงานไหลลื่นขึ้นไม่น้อยเลย มาพร้อมดีไซน์ของสีดำตัดเส้นสายสีส้ม อันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ วัสดุภายนอกอะลูมิเนียมกับขอบยาง ที่ช่วยป้องกันแรงกระแทก และมีส่วนในการระบายความร้อนในการใช้งานได้ พอร์ตการเชื่อมต่อมาเป็น USB-C ในแบบ USB 3.2 Gen 2 เสียบใช้งานง่าย ให้มาตรฐาน IP55 เพิ่มความมั่นใจในการเคลื่อนย้าย กันฝุ่น ละอองน้ำได้ดีพอสมควร ให้ความเร็วที่ระดับ 1,050MB/s (Read) และ 1,000MB/s (Write) มิติอยู่ที่ประมาณ 102mm x 53mm x 10mm เท่านั้น ราคา 16,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย ความเร็วกานอ่านที่ระดับ 1,050MB/s
ความทนทาน IP55

ข้อมูลเพิ่มเติม: SANDISK


4.SANDISK Extreme Pro 4TB

4TB SSD External

อีกหนึ่งที่เข้ามาใน 4TB SSD External เป็นรุ่น Extreme Pro series นี้ ที่ขยายขีดความสามารถขึ้นมาจาก Extreme ทั้งในเรื่องความเร็ว ประสิทธิภาพและการเชื่อมต่อ โดยที่ใช้ในแบบ USB-C เช่นเดียวกัน แต่เป็นอินเทอร์เฟสแบบ USB 3.2 Gen 2 x2 นั่นก็ทำให้ความเร็วในการทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 2,000MB/s ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล เหมาะกับสายทำงานจริงจัง ที่ต้องจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ หรือไฟล์จำนวนมาก หรือบางครั้งอาจจะต้องพรีวิวงานผ่านทาง External Drive ได้อย่างรวดเร็ว หรือมีข้อมูลที่จะต้องอัพเดตในแต่ละวันบ่อย รวมถึงเหล่าเกมเมอร์ ที่อยากจะสำรองไฟล์ตัวโปรดเอาไว้ใช้ จะได้ไม่ต้องดาวน์โหลดกันบ่อยๆ บอดี้เป็นอะลูมิเนียม ที่ช่วยในการระบายความร้อนไปในตัว ดีไซน์ค่อนข้างทันสมัย เป็นสีเทาดำ ตัดด้วยเส้นสายสีส้ม ดูสปอร์ต พร้อมช่องสำหรับแขวนที่คล้องกุญแจได้ ขนาดประมาณ 110.26 x 57.34 x 10.22mm เรียกว่าแทบจะเท่ารีโมททีวีขนาดเล็กได้เลย โดยมีขอบเคสเป็นซิลิโคนโดยรอบ ทำให้ปกป้องได้ดียิ่งขึ้น กับมาตรฐาน IP55 กันน้ำและฝุ่น รวมถึงการหล่นกระแทก พร้อมการรับประกัน 5 ปี สนนราคาอยู่ที่ 19,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ความเร็วสูง 2,000MB/s
บอดี้พร้อมระบายความร้อนในตัว

ข้อมูลเพิ่มเติม: SANDISK


5.LaCie Rugged SSD 4TB

4TB SSD External

สำหรับค่าย Lacie เชื่อได้เลยว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จัก เพราะโด่งดังในตลาดด้าน Storage มายาวนาน โดยเฉพาะไดรฟ์ที่ให้การ Protect มาเป็นพิเศษ โดยในรุ่น RUGGED นี้ก็เช่นกัน ที่ออกแบบมาให้มีความทนทาน ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันฝุ่น ละอองน้ำ หล่นกระแทก บนมาตรฐาน IP67 ที่มากกว่าในรุ่นอื่นๆ หรือจะเป็นการเข้ารหัสไฟล์ โดยใช้ SSD ในแบบ NVMe ขนาดเล็ก ให้ความเร็วในการทำงานที่ 1,050MB/s (Read) เชื่อมต่อผ่านพอร์ตในแบบต่างๆ ได้ เช่น Thunderbolt 4, USB 3.2 Gen 2 ในแบบ USB-C เชื่อมต่อง่าย กับการออกแบบภายนอกที่ดูแปลกตา ในโทนสีส้มสดใส มิติอยู่ที่ประมาณ 97.9 x 64.9 x 17mm และน้ำหนักประมาณ 100 กรัมเท่านั้น การรับประกัน 5 ปี ราคาค่อนข้างจะโหดสักหน่อย เพราะอยู่ที่ราว 35,590 บาท แต่ก็มีความโดดเด่นในหลายด้าน จัดเป็น 4TB SSD External อีกรุ่นที่น่าสนใจ

จุดเด่น ข้อสังเกต
แข็งแรง ทนทานระดับ IP67 มิติค่อนข้างหนาเล็กน้อย

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lacie


Crucial X8 4TB

4TB SSD External

รุ่นสุดท้ายนี้ผมขอเป็นตัวเสริมใน 4TB SSD External เผื่อเป็นทางเลือกของเพื่อนๆ แต่เท่าที่เช็คยังไม่เห็นจำหน่ายในบ้านเรา เคาะราคาต่างประเทศอยู่ที่ราวๆ หมื่นกว่าบาท ก็ถือว่าทำราคาได้ดีทีเดียว และบอดี้ก็ยังออกแบบมาค่อนข้างดี ตัวเคสรับหน้าที่ในการระบายความร้อนไปในตัว กับโทนสีดำ ตัดด้วยโลโก้สีขาว กับมิติที่อาจจะใหญ่กว่ารายอื่นๆ อยู่เล็กน้อย 110 x 53 x 10mm ให้การเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟส USB 3.2 Gen 2 ในแบบ USB-C ให้ความเร็วในการอ่านข้อมูล 1,050MB/s ใช้งานง่าย เป็น SSD ที่เหมาะกับคนทำงาน เก็บข้อมูลบ่อย หรืออัพเดตข้อมูลเป็นประจำ และอยู่กับข้อมูลปริมาณมากๆ ซึ่งจะทำให้การโอนถ่ายข้อมูลทำได้รวดเร็ว ไม่ว่าจะทำงานเอกสาร หรือทำด้านงานวีดีโอและงานตัดต่อเป็นต้น โดยให้การรับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
รูปลักษณ์ทันสมัย ความเร็วในการอ่านข้อมูล 1,050MB/s

ข้อมูลเพิ่มเติม: Crucial


Conclusion

Model ความจุ มิติ อินเทอร์เฟส Sequential
Read
การรับประกัน (ปี) ราคา
1.WD MYPASSPORT 4TB 100.08 x 55.1 x 8.89mm USB 3.2 Gen 1 1,050MB/s 5 15,900
2.Kingston SXS2000 4TB 69.54 x 32.58 x 13.5mm USB 3.2 Gen 1 1,050MB/s 5 15,900
3.SANDISK Extreme 4TB 102 x 53 x 10mm USB 3.2 Gen 2 1,050MB/s 5 16,900
4.SANDISK Extreme Pro 4TB 110.26 x 57.34 x 10.22mm USB 3.2 Gen 2 2,000MB/s 5 19,900
5.LaCie Rugged 4TB 97.9 x 64.9 x 17mm USB 3.2 Gen 2 2,000MB/s 5 35,590
6.Crucial X8 4TB 110 x 53 x 10mm USB 3.2 Gen 2 1,050MB/s 3 249.99USD

ถ้ามองกันในภาพรวม 4TB SSD External ทั้ง 5-6 รุ่น ที่เรานำมาให้ชมกันในวันนี้ หลายรุ่นมีความน่าสนใจ สำหรับคนที่ทำงานจริงจัง และการใช้ในการบันทึกข้อมูลที่สำคัญ แม้ว่าความจุระด้บ 4TB อาจจะดูห่างไกลจากการใช้งานจริงของหลายคน แต่สำหรับบางท่าน ที่มีข้อมูลจำเป็นต้องใช้อยู่บ่อย อาจจะเป็นความจุที่กำลังพอเหมาะ ซึ่งถ้ามองว่าเยอะไป ยังมีตัวเลือก 1-2TB ให้ได้ใช้กัน ในเรื่องของประสิทธิภาพและความเร็ว SANDISK Extreme Pro ก็ดูน่าสนใจไม่น้อย เพราะราคาเพิ่มจากรุ่นปกติที่ให้ความเร็วระดับ 1,050MB/s ขึ้นมาประมาณ 3,000-4,000 บาท แต่ได้ความเร็วในการอ่านข้อมูลเพิ่มขึ้นมาเท่าตัว ส่วนคนที่ชอบความเล็กกระทัดรัด ตัวเลือกอย่าง Kingston SXS2000 ก็น่าสนใจ แต่ถ้าสายอึด ถึก ทน ก็มีตัวเลือกอย่าง LaCie Rugged ที่ทนกระแทก น้ำและฝุ่น พร้อมมาตรฐาน IP67 อุ่นใจได้ในทุกสภาวะ ส่วนถ้าเน้นราคาดี หาซื้อง่าย WD MYPASSPORT SSD ก็น่าใช้ไม่น้อยเลย ทั้งหมดนี้เป็น SSD รุ่นใหญ่ 4TB แบบต่อภายนอกที่นำมาฝากกันครับ สนใจรุ่นไหน ก็ไปจับจองกันได้เลย เวลานี้มีจำหน่ายเกือบครบทุกรุ่นแล้วครับ และถ้าคุณมองหา SSD ต่อภายในแบบ Internal สามารถเข้าไปชม ที่นี่ ได้เลย มีให้เลือกเพียบ

from:https://notebookspec.com/web/682248-5-4tb-ssd-external-2023

SSD แบบ QLC และ TLC ต่างกันอย่างไร แบบไหนที่ควรซื้อ

SSD ในปัจจุบันนั้นเริ่มมีราคาลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หลายๆ ท่านเริ่มซื้อแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาใช้งานมากขึ้น แต่จริงๆ แล้ว SSD ก็มีประเภทของมันอยู่ มาดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้างและแบบไหนเหมาะกับคุณ

SSD
SSD

จากบทความ RAM vs Storage ความเหมือนที่แตกต่าง ที่ทาง NBS ได้เคยยกให้ท่านได้เห็นความแตกต่างระหว่างหน่วยความจำกับแหล่งเก็บข้อมูลไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนั้นเรามีความก่ำกึ่งกันอยู่ระหว่างหน่วยความจำ(RAM) และแหล่งเก็บข้อมูบแบบ Solid State Drive (SSD) อยู่ซึ่งนั่นก็คือจริงๆ แล้วทั้งคู่นั้นใช้หน่วยความจำที่มาจากแหล่งเดียวกันในการเก็บข้อมูลซึ่งนั่นก็คือ NAND Flash ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจานหมุนแบบแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(HDD) ที่ต้องใช้เข็มในการอ่านข้อมูลอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามสิ่งที่อาจจะทำให้หลายๆ ท่านได้งงงวยกันต่อนั้นก็คือแล้วเจ้าหน่วยความจำ(RAM) และแหล่งเก็บข้อมูลแบบ Solid State Drive (SSD) ที่ใช้ NAND Flash เหมือนกันนั้นมันต่างกันอย่างไร ในวันนี้ทาง NBS เลยขอนำเอาหัวข้อนี้มาชี้แจงแถลงไขให้ทุกท่านได้รับทราบกัน จะเป็นเช่นไรนั้นไปติดตามกันได้เลย

Advertisementavw


หน่วยความจำแฟลช NAND คืออะไร

NAND Flash 001

หน่วยความจำแฟลช NAND เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบไม่ลบเลือนประเภทหนึ่งที่ไม่ต้องการพลังงานในการเก็บข้อมูล เป้าหมายสำคัญของการพัฒนาแฟลช NAND คือการลดต้นทุนต่อบิตและเพิ่มความจุชิปสูงสุด เพื่อให้หน่วยความจำแฟลชสามารถแข่งขันกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบแม่เหล็ก(เช่น ฮาร์ดดิสก์) NAND flash พบตลาดในอุปกรณ์ที่มีการอัปโหลดและแทนที่ไฟล์ขนาดใหญ่บ่อยครั้ง, เครื่องเล่น MP3, กล้องดิจิตอลและแฟลชไดรฟ์ USB ใช้เทคโนโลยี NAND

แฟลช NAND บันทึกข้อมูลเป็นบล็อกและอาศัยวงจรไฟฟ้าในการจัดเก็บข้อมูล เมื่อไฟฟ้าถูกถอดออกจากหน่วยความจำแฟลช NAND สารกึ่งตัวนำที่เป็นโลหะออกไซด์จะให้ประจุไฟฟ้าเพิ่มเติมแก่เซลล์หน่วยความจำ เพื่อเก็บข้อมูลไว้ โดยทั่วไปแล้วเซมิคอนดักเตอร์โลหะออกไซด์ที่ใช้คือโฟลตติ้งเกททรานซิสเตอร์ (FGT) FGT มีโครงสร้างคล้ายกับลอจิกเกต NAND

เซลล์หน่วยความจำ NAND สร้างขึ้นด้วยเกทสองประเภท เกทควบคุมและเกทลอย ประตูทั้งสองจะช่วยควบคุมการไหลของข้อมูล ในการโปรแกรมเซลล์เดียว ประจุไฟฟ้าจะถูกส่งไปยังประตูควบคุม

หน่วยความจำแฟลชเป็นชิปหน่วยความจำแบบอ่านอย่างเดียว (EEPROM) ที่ตั้งโปรแกรมได้แบบลบข้อมูลได้ทางอิเล็กทรอนิกส์ วงจรแฟลชสร้างตารางของคอลัมน์และแถว แต่ละจุดตัดกันของกริดจะมีทรานซิสเตอร์สองตัวคั่นด้วยชั้นออกไซด์บางๆ ทรานซิสเตอร์ตัวหนึ่งเรียกว่าโฟลตติ้งเกท และอีกตัวหนึ่งเรียกว่าเกทควบคุม ประตูควบคุมเชื่อมต่อประตูลอยกับแถวตามลำดับในกริด

ตราบใดที่ประตูควบคุมมีลิงค์นี้ เซลล์หน่วยความจำจะมีค่าดิจิตอลเป็น 1 ซึ่งหมายความว่าบิตนั้นจะถูกลบ หากต้องการเปลี่ยนเซลล์เป็นค่าดิจิตอล 0 — เพื่อตั้งโปรแกรมบิตอย่างมีประสิทธิภาพ — ต้องดำเนินการที่เรียกว่า Fowler-Nordheim tunneling หรือเรียกง่ายๆ ว่า tunneling

3D NAND Die with M2 SSD

ประเภททั่วไปของที่เก็บข้อมูลแฟลช NAND ได้แก่ SLC, MLC, TLC, QLC และ 3D NAND สิ่งที่แยกแต่ละประเภทคือจำนวนบิตต่อเซลล์ ยิ่งเก็บบิตในแต่ละเซลล์มากเท่าใด พื้นที่จัดเก็บแฟลช NAND ก็จะมีราคาถูกลง

  • แฟลชเซลล์ระดับเดียว (SLC): หนึ่งบิตต่อเซลล์ สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้สองสถานะ
  • แฟลชเซลล์หลายระดับ (MLC): สองบิตต่อเซลล์ สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้สี่สถานะ
  • แฟลชเซลล์ระดับสามระดับ (TLC): สามบิตต่อเซลล์ สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้แปดสถานะ
  • แฟลช Quad-level Cell (QLC): สี่บิตต่อเซลล์ 16 สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้

ในปัจจุบันนี้นั้นหน่วยความจำแฟลช NAND ที่ถูกนิยมเอามาใช้งานบนแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดคือ QLC และ TLC ด้วยสาเหตุที่ว่าหน่วยความจำแฟลช NAND ทั้ง 2 รูปแบบนี้นั้นมีประสิทธิภาพคุ้มค่ากับราคามากที่สุดในการที่จะนำเอามาผลิตเป็น SSD


หน่วยความจำแฟลช QLC NAND คืออะไร

หน่วยความจำแฟลชจัดเก็บข้อมูลในเซลล์หน่วยความจำแต่ละเซลล์ที่ทำจากทรานซิสเตอร์ฟิลด์เอฟเฟกต์โลหะออกไซด์และสารกึ่งตัวนำลอยเกท (MOSFET) ตามเนื้อผ้า แต่ละเซลล์มีสองสถานะที่เป็นไปได้คือหนึ่งหรือศูนย์ ตามระดับแรงดันไฟฟ้าหนึ่งระดับ SLC ใช้สถานะแรงดันไฟฟ้าที่เป็นไปได้สองสถานะนี้เพื่อเก็บข้อมูลบิตเดียว โดยค่า 1 คือเมื่อประจุไฟฟ้าใกล้หมดและเป็น 0 เมื่อประจุไฟฟ้าใกล้เต็ม

ในทางกลับกัน MLC SSD แบบสองบิตใช้ค่าหรือระดับของประจุที่เป็นไปได้สี่ค่าต่อเซลล์เพื่อเก็บข้อมูลมากกว่าหนึ่งบิต โดยกำหนดระดับประจุให้กับชุดค่าผสมของหนึ่งและศูนย์ทั้งหมดที่เป็นไปได้ดังต่อไปนี้

  • 11 เมื่อใกล้จะเต็ม 25%
  • 01 เมื่อใกล้จะเต็ม 50%
  • 00 เมื่อใกล้จะเต็ม 75%
  • 10 เมื่อใกล้เต็ม 100%

QLC SSD ขยายแนวคิดนี้ได้ง่ายๆ โดยใช้เกณฑ์แรงดันไฟฟ้าที่แตกต่างกัน 16 แบบเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ได้ถึงสี่ส่วนต่อเซลล์ เอาง่ายๆ เลยก็คือหน่วยความจำแฟลช QLC NAND เก็บข้อมูลสี่บิตต่อเซลล์ ทำให้สามารถเก็บค่าไบนารีได้ 16 ค่า ซึ่งหากเทียบกับ MLC แล้วนั้นก็จะสามารถหน่วยความจำแฟลช QLC NAND จะกำหนดระดับประจุให้กับชุดค่าผสมของหนึ่งและศูนย์ทั้งหมดที่เป็นไปได้ดังต่อไปนี้

  • 0011 เมื่อใกล้จะเต็ม 25%
  • 0001 เมื่อใกล้จะเต็ม 50%
  • 0000 เมื่อใกล้จะเต็ม 75%
  • 0010 เมื่อใกล้เต็ม 100%

QLC เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 และได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ อาจเป็นเพราะราคาที่ถูก นอกจากนี้ QLC SSD เหล่านี้ยังมีความจุที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ TLC, MLC หรือ SLC SSD ที่มีราคาใกล้เคียงกัน จึงทำให้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายสำหรับแอปพลิเคชันการใช้งานของผู้บริโภคส่วนใหญ่ในปัจจุบัน


หน่วยความจำแฟลช TLC NAND คืออะไร

micron 92 layer nand

หน่วยความจำแฟลช TLC NAND เก็บข้อมูลสามบิตต่อเซลล์ ทำให้สามารถเก็บค่าไบนารีได้เก้าค่า ยิ่งจำนวนบิตต่อเซลล์สูง ความหนาแน่นของหน่วยเก็บข้อมูลก็จะยิ่งสูงขึ้น และต้นทุนต่อบิตก็จะยิ่งต่ำลง ดังนั้น ในทางเทคนิคแล้ว TLC มีประสิทธิภาพต่ำกว่าในด้านความหนาแน่นของพื้นที่จัดเก็บและต้นทุนเมื่อเทียบกับ QLC

อย่างไรก็ตาม เซลล์ใน SSD มีรอบการอ่านและเขียนจำนวนจำกัดตลอดอายุการใช้งาน ดังนั้น หากคุณจัดเก็บบิตในเซลล์มากกว่า แต่ละเซลล์จะผ่านวงจรมากกว่า SSD ที่มีความหนาแน่นในการจัดเก็บน้อยกว่า ซึ่งหมายความว่าน่าจะมีความทนทานต่ำกว่าและประสิทธิภาพการอ่าน/เขียนช้ากว่า TLC SSD เล็กน้อย

ในปี 2021 TLC ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นใน SSD สำหรับผู้บริโภคทั้งหมด TLC NAND ใช้ในไดรฟ์ประสิทธิภาพสูงสำหรับเว็บโฮสติ้งเซิร์ฟเวอร์, พีซีสำหรับเล่นเกมและ SSD ระดับเริ่มต้นสำหรับการใช้งานทั่วไปของผู้บริโภค


ktc content solutions pc performance difference between slc mlc tlc 3d nand infographic th

QLC และ TLC SSD เป็นสองตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการจัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ให้ประโยชน์และการแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกัน QLC SSD ให้พื้นที่จัดเก็บมากขึ้นในราคาที่กำหนดได้ แต่ช้ากว่าและทนทานน้อยกว่า TLC SSD

TLC SSD มอบประสิทธิภาพที่เร็วกว่าและความทนทานที่มากกว่า แต่มีความหนาแน่นในการจัดเก็บข้อมูลที่ต่ำกว่าและมีราคาสูงกว่า เมื่อเลือกระหว่างทั้งสอง สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาความต้องการเฉพาะและงบประมาณของคุณเพื่อหา SSD ที่เหมาะกับคุณที่สุด


เปรียบเทียบความเร็วระหว่าง QLC SSD กับ TLC SSD

Samsung SSD backing up files on a MacBook

ประสิทธิภาพของ QLC และ TLC SSD อาจแตกต่างกันอย่างมากในแง่ของการเข้าถึงข้อมูลและความเร็วในการถ่ายโอน TLC SSD โดยทั่วไปมีความเร็วในการเข้าถึงและถ่ายโอนข้อมูลที่เร็วกว่า QLC SSD เนื่องจากประสิทธิภาพที่เร็วกว่าของ TLC NAND

ตัวอย่างเช่น TLC SSD อาจมีความเร็วในการอ่านและเขียน 550 MB/s และ 520 MB/s ตามลำดับ ในขณะที่ QLC SSD อาจมีความเร็วในการอ่านและเขียน 500 MB/s และ 450 MB/s ตามลำดับ

ความแตกต่างของความเร็วระหว่าง QLC และ TLC SSD นั้นไม่สำคัญเสมอไปสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้มันเป็นไดรฟ์จัดเก็บสำรองและไม่ใช่เป็นไดรฟ์สำหรับบู๊ตหลัก ในกรณีเหล่านี้ ความเร็วที่เพิ่มขึ้นของ TLC SSD อาจไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตามคุณควรทราบด้วยว่าความเร็วของ SSD ได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่นๆ เช่น การเชื่อมต่ออินเทอร์เฟซและปริมาณงานปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว ทั้ง QLC และ TLC SSD เหมาะสำหรับกรณีการใช้งานส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน แต่ TLC SSD มอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเล็กน้อยในบางสถานการณ์ที่มีความต้องการสูง


เปรียบเทียบความจุระหว่าง QLC SSD กับ TLC SSD

sandisk portable ssd

เมื่อพูดถึงความจุ QLC และ TLC SSD ให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน QLC SSD มีความหนาแน่นในการจัดเก็บข้อมูลสูงกว่า TLC SSD ซึ่งหมายความว่าจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าในพื้นที่ที่กำหนด สิ่งนี้ทำให้ QLC SSD เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับช่างภาพ, นักตัดต่อวิดีโอหรือผู้ใช้มืออาชีพที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลจำนวนมาก

อย่างไรก็ตามหากคุณใช้ SSD เพื่อจัดเก็บโปรเจ็กต์สำคัญหรือทำงานกับไฟล์ขนาดใหญ่จำนวนมาก คุณอาจต้องการความน่าเชื่อถือที่ดีกว่าและความเร็วที่เร็วกว่าเล็กน้อยของ TLC SSD


เปรียบเทียบราคาระหว่าง QLC SSD กับ TLC SSD

tlc ssd product listings

โดยทั่วไป QLC SSD จะมีราคาต่ำกว่า TLC SSD เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าของ QLC NAND อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของราคาระหว่าง SSD ทั้งสองประเภทลดลงเนื่องจาก TLC NAND แพร่หลายมากขึ้น เป็นผลให้ช่องว่างราคาระหว่าง QLC และ TLC SSD ไม่กว้างเท่าที่เคยเป็นมา

เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาของ SSD ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ยี่ห้อ ความจุ ฟอร์มแฟคเตอร์ และตัวแปรอื่นๆ ที่คุณควรพิจารณาก่อนซื้อ SSD หากต้องการรับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับ SSD ให้เลือกซื้อและเปรียบเทียบราคาจากผู้ค้าปลีกหลายราย โปรดจำไว้ว่าตัวเลือกที่ถูกที่สุดอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดเสมอไป เนื่องจาก SSD ที่มีราคาถูกกว่าอาจมีประสิทธิภาพหรือความทนทานต่ำกว่า

Capacity TLC SSD QLC SSD
500GB 1,970 – 2,630 บาท 1,640 – 2,300 บาท
1TB 2,630 – 3,950 บาท 2,300 – 3,285 บาท
2TB 5,255 – 8,540 บาท 4,600 – 6,570 บาท
ค่าประมาณเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อ, รุ่นและผู้ค้าปลีก

เปรียบเทียบความทนทานระหว่าง QLC SSD กับ TLC SSD

solid state drive

ความทนทานของ SSD จะแตกต่างกันไปตามความทนทานหรือจำนวนครั้งที่สามารถเขียนและลบข้อมูลออกจากไดรฟ์ได้ QLC NAND มีความทนทานต่ำกว่า TLC NAND ซึ่งหมายความว่า QLC SSD มีความทนทานน้อยกว่าและมีอายุการใช้งานสั้นกว่า นี่อาจเป็นข้อกังวลสำหรับผู้ที่ใช้ SSD เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญและต้องการไดรฟ์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน

ในทางตรงกันข้าม TLC NAND มีความทนทานสูงกว่า QLC NAND ซึ่งแปลว่ามีความทนทานและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าสำหรับ TLC SSD สิ่งนี้ทำให้ TLC SSD เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการไดรฟ์ที่สามารถทนต่อเวิร์กโหลดจำนวนมากและมีอายุการใช้งานยาวนาน

เมื่อเลือกระหว่าง QLC และ TLC SSD คุณต้องคำนึงถึงความต้องการด้านความทนทาน TLC SSD อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมหากคุณต้องการไดรฟ์ที่สามารถรองรับเวิร์กโหลดจำนวนมากและมีอายุการใช้งานยาวนาน ในทางกลับกัน หากคุณยอมสละความทนทานในราคาที่ถูกลง QLC SSD อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า


ตัวเลือกไหนดีกว่าสำหรับคุณ

SSD ประเภทใดที่เหมาะกับคุณ QLC หรือ TLC คำตอบขึ้นอยู่กับความต้องการและลำดับความสำคัญของคุณ หากคุณต้องการประสิทธิภาพที่รวดเร็วและยินดีจ่ายเพิ่มเล็กน้อย TLC SSD น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

ในทางกลับกัน หากคุณต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจำนวนมากและยินดีลดความเร็วลงในราคาที่ถูกลง QLC SSD อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ท้ายที่สุด ตัวเลือกระหว่าง QLC และ TLC SSD จะขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณเฉพาะของคุณ แต่ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหาทางออกที่ดีที่สุดของคุณคือซื้อ SSD แบบ TLC (หรือแม้แต่ MLC หรือ SLC)

ที่มา : makeuseof, purestorage

from:https://notebookspec.com/web/682755-qlc-vs-tlc-ssd-what-is-faster-and-what-should-you-buy

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 ลดคุ้ม 8 รุ่น ขายของออนไลน์ เล่นเน็ต ดูหนังปี 2023

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 สุดประหยัด 8 รุ่น งานเอกสาร แต่งภาพ ดูหนัง เล่นเกมออนไลน์ ปี 2023

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 งบประหยัดที่อาจจะดูยาก แต่ก็พอหาซื้อได้ สำหรับคนที่งบจำกัด เช่น 8 โน๊ตบุ๊คสุดราคาต่ำกว่าหมื่นที่เรานำมาเป็นตัวอย่าง ที่ต้องการได้โน๊ตบุ๊คมาทำงานเบาๆ เช่นการเรียน ขายของออนไลน์ ทำเอกสาร ท่องเน็ตหรือดูหนังเพลินๆ ได้ ปี 2023 นี้ก็มีให้เลือกเยอะ แต่ก็ต้องมีข้อพิจารณาหลายจุด เพราะโน๊ตบุ๊คราคานี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโน๊ตบุ๊คมือสอง จะมีตั้งแต่สภาพกลางเก่า กลางใหม่ หรือถ้าโชคดีอาจจะได้โน๊ตบุ๊คที่ใช้งานน้อย สภาพสวยมาใช้ นอกจากนี้อาจจะมีมือใหม่ๆ หลุดมาบ้าง สเปคประหยัด แต่รองรับงานพื้นฐานต่างๆ ได้พอสมควร ซึ่งถ้าใครมองว่าไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องเหล่านี้ ก็ตามเรามาเลยครับ วันนี้เรามีคำแนะนำมาฝากกันครับ

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 ปี 2023

  1. HP Chromebook 11MK G9
  2. Toshiba Dynabook R82
  3. Lenovo ThinkPad T530
  4. HP Elitebook 725 G3
  5. Dell latitude e7250
  6. Toshiba Satellite R35M
  7. Fujitsu Lifebook A574/K
  8. Acer TravelMate Spin B3

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาท สเปคอะไร? ใช้อะไรได้บ้าง?

บางส่วนก็ต้องทราบกันก่อนว่า โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาทนี้ อาจจะหาซื้อโน๊ตบุ๊คมือหนึ่งได้ยากมาก และส่วนใหญ่ก็จะเกินกว่า 5 พันบาท ไปแตะที่ 6-7 พันบาท ที่เป็นตัวเริ่มต้น ยกเว้นว่าจะมีโปรโมชั่นให้เลือกในบางโอกาส หรือบางเทศกาลพิเศษ ซึ่งหากใครที่ซื้อทัน ก็ถือว่าโชคดี เพราะมักจะมีจำกัด ดังนั้นโน๊ตบุ๊คที่เราได้เจอราคานี้ในท้องตลาด ก็จะมีของมือสอง ที่ตกรุ่น หรือเป็นรุ่นเก่า ใช้งานมาพอสมควรให้เลือกใช้ ซึ่งหากคุณคิดว่า ไม่พร้อมกับการซื้อโน๊ตบุ๊คมือสอง ที่อาจจะต้องลุ้นกันว่าจะใช้ได้ดีแค่ไหน ก็แนะนำว่าเก็บเงินเพิ่ม เพื่อซื้อของใหม่ ในปัจจุบันพอจะมีให้เลือกในงบ 9,900 บาท

Advertisementavw
โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

แต่ถ้าคุณไม่มีทางออก การเลือกซื้อโน๊ตบุ๊คมือ 2 ก็ควรต้องพิจารณาในหลายๆ ส่วน เช่น

สภาพ: ควรจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นมือสองในราคาที่ประหยัดแบบนี้ หากได้โน๊ตบุ๊คสภาพดี มีการดูแล ใช้งานได้ตามปกติ ไม่สวยมาก แต่โดยรวมใช้ได้ ก็น่าสนใจ แต่ถ้าสภาพเกินจะรับไหว เช่น บานพับหัก บอดี้แตก ทัชแพดพัง ปุ่มหลุด พอร์ตเสีย จอสีเพี้ยนหรือเปิดเครื่องแล้วเสียงดังผิดปกติ แม้ราคาจะดี แต่เลี่ยงได้ ก็เลี่ยงครับ เพราะเราซื้อไปใช้ ไม่ได้ซื้อไปซ่อมต่อ เพราะฉะนั้นดูให้ละเอียดก่อนจะจ่ายเงินครับ

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

ประสิทธิภาพ: อาจจะเป็นเรื่องรองลงมา แต่ว่าก็ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะคุณจะต้องใช้ไปอีกนานกับเครื่องนี้ มันควรจะตอบสนองงานของคุณได้ดีมากพอ เพราะทำงานไปกระตุกไป เปิดไฟล์ช้ามาก ย้ายไฟล์เยอะๆ ก็แฮงก์อีก แบบนี้คงไม่ดี การเลือกโน๊ตบุ๊คให้มีประสิทธิภาพ เหมาะกับเงินที่จ่ายไป ไม่ใช่เรื่องยากนัก เช่น ดูราคาในรุ่นต่างๆ แล้วเอามาเปรียบเทียบกัน อาจไม่ต้องถูกสุด แต่อยู่ในงบที่คุณมี และให้สเปคที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู แรม SSD การ์ดจอ เป็นต้น

ระยะเวลาการใช้งาน: อีกหนึ่งปัญหาที่ผู้ใช้โน๊ตบุ๊คส่วนใหญ่เจอกันก็คือ แบตเตอรี่ ที่เสื่อมสภาพตามการใช้งานและการจัดเก็บ ซึ่งอาการที่เจอก็คือ ไม่เก็บประจุ ทำให้ใช้งานได้ไม่นาน หรือบางครั้งต้องเสียบชาร์จไปด้วยตลอดเวลาเมื่อใช้งาน เพราะชาร์จไฟไม่เข้าแล้ว ถ้าแบบนี้ผมไม่แนะนำครับ เพราะค่อนข้างลำบากในการนำไปใช้ข้างนอก อีกทางเลือกหนึ่งก็อาจใช้การเปลี่ยนแบตฯ ใหม่ ซึ่งราคาเริ่มที่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน แล้วแต่รูปแบบ ขนาดและรุ่นของโน๊ตบุ๊ค ซึ่งในปัจจุบันสามารถหาได้เกือบทุกรุ่นในตลาด

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

การรับประกัน: โน๊ตบุ๊คมือสอง ส่วนใหญ่จะใกล้หมดประกัน หรือหมดไปแล้ว ยิ่งเป็นเจนเนอเรชั่นเก่าๆ ก็มักจะไม่มี เลยเป็นแค่การรับประกันของร้าน อาจจะเป็นวันหรือเดือนเท่านั้น ตรงนี้อาจต้องเจรจากับทางร้านเป็นเอกสารชัดเจน เพื่อความสบายใจ แต่หลายร้านก็มีบริการที่ดี แม้จะหมดประกันไปแล้วก็ตาม

ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คมือสอง โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 แบบนี้ จะได้สเปคอะไร เอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง?

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

สเปคของโน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาทนี้ มีค่อนข้างหลากหลาย เพราะขึ้นอยู่กับร้านหรือผู้ขายที่จะตีราคาตามสภาพ ความสดใหม่ และสเปคที่มีความแรง ตามซีพียู การ์ดจอ แรมเป็นต้น แต่ที่เรามักจะพบกันบ่อยๆ เวลานี้ ก็จะเป็น Intel Core Gen3 หรือ Gen4 และ Intel Celeron เป็นบางครั้ง รวมถึง AMD A8 เป็นต้น โดยพื้นฐานจะเป็นซีพียู 2 core หรือ 4 core รวมถึงแรมเริ่มต้น 4GB ส่วนการจัดเก็บข้อมูลอาจเป็นฮาร์ดดิสก์หรือ SSD 240-256GB เป็นต้น บนหน้าจอระดับ 13.3″ ไปจนถึง 15.6″ โดยมีกราฟิก

ซึ่งหากเรามองกันที่สเปคเหล่านี้ ในแง่ของประสิทธิภาพ การทำงานพื้นฐาน เช่น งานด้านเอกสาร ท่องเว็บไซต์ ดูหนัง เรียกว่าใช้งานได้ แต่อาจจะเปิดไฟล์ขนาดใหญ่ได้ช้า หรือว่าเปิดหน้าเว็บเยอะๆ พร้อมกันไม่สะดวกนัก เนื่องจากแรมมีค่อนข้างน้อย รวมถึงซีพียูที่ไม่ได้รองรับการทำงานแบบมัลติทาส์กกิ้ง หลายอย่างพร้อมๆ กันได้มากนักนั่นเอง

แต่ถ้าใครรับได้กับงบประมาณที่ไม่สูง แต่ได้โน๊ตบุ๊คมาทำงาน แล้วค่อยอัพเกรดในภายหลังก็ได้ อย่างน้อยๆ เพิ่มแรมกับ SSD ในปัจจุบันก็มีค่าใช้จ่ายไม่มากนัก

แต่ก่อนที่จะไปดูโน๊ตบุ๊คในงบประมาณ 5,000 บาท ทีมงานของแจ้งไว้ก่อนว่า โน๊ตบุ๊คที่นำมาให้ชมกันนี้ “เป็นเพียงแนวทาง และตัวอย่างของสเปค ราคา เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชี้นำ” การตัดสินใจเลือกซื้อ เป็นวิจารณญาณของแต่ละบุคคล หากสนใจก็สามารถนำไปเป็นไอเดียในการเลือกซื้อกันต่อไปครับ ส่วนถ้าอยากจะลองเข้าไปดูในรายละเอียด สามารถคลิ๊กได้จาก “ตัวเลขราคา” ของแต่ละรุ่นกันได้เลย


1.HP Chromebook 11MK G9

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

เป็นโน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 ที่เรียกว่าเป็น Chromebook ซึ่งใช้ซีพียูโมบาย และใช้ระบบปฏิบัติการ ที่เป็น Chrome OS แต่สามารถดาวน์โหลดแอพฯ มาใช้ รวมถึงได้หน้าจอขนาดกระทัดรัด 11.6″ HD (1366 x 768) พกพาสะดวก ซีพียู MediaTek MT8183 ความเร็ว 2GHz มาให้ พร้อมแรม LPDDR4x 8GB ออนบอร์ด ส่วนการจัดเก็บข้อมูลมีแค่ 32GB แต่ผู้ใช้สามารถเลือกเก็บข้อมูลผ่านระบบ Cloud storage ได้ หรือใช้ External Drive ในการจัดเก็บ กราฟิกจาก ARM Mali G72 MP3 ซึ่งเหมาะสำหรับการเล่นเกมออนไลน์บนโมบายได้ดี น้ำหนักประมาณ 1.34Kg เท่านั้น รองรับการเชื่อมต่อ WiFi และ Bluetooth ได้อีกด้วย พอร์ตมีทั้ง USB 2.0, USB-C ซึ่งใช้เป็น PD Charging และ DP ได้อีกด้วย ราคา 3,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ราคาประหยัด มี Storage มาเพียง 32GB
น้ำหนักเบา

2.Toshiba Dynabook R82

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

โน๊ตบุ๊คกึ่งแท็ปเล็ต ที่มีทีเด็ดน่าใช้ ถอดจอได้ ทัชสกรีน น้ำหนักเบา พอร์ตจัดมาให้เต็ม ขุมพลังจาก Intel Core M-5Y10C ทำงานแบบ 2 core/ 4 thread และความเร็วสูงสุด 2.0GHz ถือว่าให้การทำงานที่เหมาะกับงานใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงเป็นซีพียูที่ใช้ในแบรนด์อื่นๆ หลายรุ่นอีกด้วย หน้าจอขนาด 12.5″ แต่พิเศษคือ ความละเอียดสูงถึง 1920 x 1200 และเป็นแบบทัชสกรีน มีแรม DDR3 4GB และใส่ SSD M.2 128GB มาให้อีกด้วย ส่วนกราฟิกเป็น Intel Graphic HD 5300 พอร์ตก็ไม่น้อยเช่นกัน มีทั้ง USB 3.0, HDMI, VGA, MicroSD card reader และ RJ-45 โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาท อยู่ที่ 4,590 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
พับจอ ถอดจอได้ มีแรมให้ 4GB
ความละเอียดหน้าจอสูง

3.Lenovo ThinkPad T530

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

แต่ถ้าจะว่ากันที่โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 บาทบ้านเรา Lenovo ThinkPad ก็น่าจะอยู่ในใจใครหลายคน ด้วยบอดี้ที่เรียกว่า ยังมีมนต์เสน่ห์ ไม่ล้าและไม่ล้ำ แต่ฟังก์ชั่นมาแบบจัดเต็ม เช่นเดียวกับความอึดทน ที่มีให้บนโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ พร้อมด้วยขุมพลังอย่าง Intel Core i5-3230M แม้ว่าจะค่อนข้างเก่าไปสักนิด เพราะรุ่นใกล้เคียงกันขยับไปที่ Gen3, Gen4 กันแล้ว แต่ในแง่ขององค์ประกอบถือว่าดี และราคาไม่ถึง 5 พันอีกด้วย ให้แรม DDR3 8GB พร้อมใช้ อัพเกรดเพิ่มได้ และฮาร์ดดิสก์ 500GB กับกราฟิก Intel HD Graphics 4600 หน้าจอใหญ่ 15.6″ HD (1366 x 768) กว้างขวาง ดูสบายตา ให้พอร์ตมาแบบครบๆ เช่น USB 3.0, Mini-DisplayPort, VGA, RJ-45 และ SD Card Reader น้ำหนักตัวประมาณ 2.1Kg ราคาอยู่ที่ 4,890 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้แรม 8GB และ HDD 500GB น้ำหนักค่อนข้างเยอะ
ความทนทานสูง

4.HP Elitebook 725 G3

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

โน๊ตบุ๊คในกลุ่มทำงาน และการใช้งานทั่วไป บอดี้กระทัดรัด หน้าจอ 12.5″ ความละเอียด HD (1366×768) มาพร้อมซีพียู AMD PRO A8-8600B ทำงานแบบ 4 core/ 4 thread ความเร็วสูงสุด 3.0GHz ใช้พลังงานต่ำ และมีกราฟิกในตัว AMD Radeon R6 ที่ให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีในระดับหนึ่ง เช่น การดูหนัง ฟังเพลง และงานเอกสาร แต่ที่น่าสนใจคือ ให้แรม DDR3 8GB และ SSD 128GB เช่นเดียวกับพอร์ตต่อพ่วง มีให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น USB 3.0, พอร์ต Type-C รวมถึงพอร์ตแสดงผล VGA และ RJ-45 สำหรับต่อ LAN เช่นเดียวกับ WiFi ก็มีมาในตัวอีกด้วย ซึ่งจากตัวอย่างเคาะราคาไว้ที่ 5,390 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้ความบาง กระทัดรัด ให้ SSD 128GB
ให้แรมมา 8GB

5.Toshiba Satellite R35M

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

สำหรับโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจในราคาระดับนี้ แม้จะเกินไปบ้าง คืออยู่ที่ 5,590 บาท แต่ถ้าดูจากสเปคและฟังก์ชั่นที่มีให้ ก็น่าใช้งาน เพราะได้ซีพียู Intel Core i5-4210U เป็นตัวประหยัดไฟ ทำงานในแบบ 2 core/ 4 thread ความเร็วสูงสุด 2.7GHz แคชขนาด 3MB รองรับแรม DDR3L ได้ที่ 16GB นั่นหมายความว่า ถ้าบนโน๊ตบุ๊คมีสล็อตเพิ่ม ก็จะอัพเกรดได้ ซึ่งพื้นฐานในรุ่นนี้มีให้ 4GB แต่เพิ่มได้ในภายหลัง โดยชุดเก็บข้อมูลเป็นฮาร์ดดิสก์ 500GB และมีกราฟิก Intel HD มาในซีพียู ให้พอทำงาน ความบันเทิงได้ดีในระดับหนึ่ง พอร์ตพื้นฐานมีให้ เช่น USB 3.0, LAN, VGA หรือจะเป็นช่องต่อหูฟัง รองรับการใช้งาน WiFi กับหน้าจอขนาดใหญ่ 15.6″ ที่น่าจะเป็น HD และมี NumPad มาให้ในตัว ใครชอบจอใหญ่ๆ โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 รุ่นนี้ตอบโจทย์ได้

จุดเด่น ข้อสังเกต
จอและคีย์บอร์ดขนาดใหญ่ แรมพื้นฐาน 4GB
มีฮาร์ดดิสก์มา 500GB

6.Dell latitude e7250

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

เป็นโน๊ตบุ๊คในซีรีส์ทำงาน ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในบ้านเรา ด้วยความเรียบง่ายของการออกแบบ แต่ให้ความทนทาน และฟังก์ชั่นมาไม่น้อยเลยหน้าจอขนาด 12″ ความละเอียด HD พกพาสะดวก ภาพสีสันสดใส และยังให้ซีพียูตัวแรงอย่าง Intel Core i5-5300U มาอีกด้วย กับการทำงาน 2 core/ 4 thread ความเร็วบูสท์สูงสุด 2.9GHz รองรับแรม DDR3 ติดตั้งมาให้แล้ว 8GB ทำงานต่างๆ ได้ไหลลื่น และยังมีกราฟิกอย่าง Intel® HD 5500 ที่มาบนซีพียูให้ใช้งาน สามารถแชร์หน่วยความจำให้อัตโนมัติ พร้อมกับกล้องเว็บแคม และมี Windows 10 พร้อมใช้ โดยมีทั้งพอร์ต USB, RJ-45 และ HDMI มาให้ครบ ในราคา 5,500 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้แรมมา 8GB
ซีพียูค่อนข้างใหม่ Intel Gen 5

7.Fujitsu Lifebook 574/K

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

สำหรับโน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 รุ่นนี้เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่เห็นในตลาดมือสองบ้านเราค่อนข้างเยอะ จัดเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงาน ที่มีความอึดทนอีกรุ่นหนึ่ง อย่างในรุ่น A574/K นี้ มาในดีไซน์ที่ค่อนข้างบึกบึน กับพื้นสีดำ ตัดเส้นสายสีแดง ปุ่มใหญ่ กดได้สนุกพร้อม NumberPad มาในตัว ทัชแพดขนาดใหญ่ มีระบบสแกนลายนิ้วมือ โดยให้ซีพียู Intel Core i3-4100M ทำงานแบบ 2 core/ 4 thread ความเร็ว 2.5GHz ตัวเลือกเป็นแรม DDR3 4GB อัพเกรดได้ ฮาร์ดดิสก์ 320GB กราฟิก Intel® HD Graphics 4600 รองรับงานและความบันเทิงได้ดีพอตัว แสดงผลบนจอขนาด 15.6″ HD พร้อมการเชื่อมต่อ WiFi โดยมีพอร์ตต่อพ่วงมาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น USB 3.0, HDMI, ที่พิเศษก็คือ มีไดรฟ์ DVD มาด้วย เผื่อสำหรับใครจะใช้สื่อประเภทนี้อยู่ เคาะราคาที่ 5,790 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้ซีพียู Intel Gen 4 ขนาดบอดี้ค่อนข้างใหญ่

8.Acer TravelMate Spin B3

โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000

ขยับมาที่โน๊ตบุ๊คแบบทัชสกรีน เอาใจสายพกพา ขีดเขียน เน้นความคล่องตัวกันบ้าง กับโน๊ตบุ๊คจากทาง Acer TravelMate Spin พับจอในโหมดต่างๆ ได้ เช่น แท็ปเล็ต เตนท์ หรือสแตนก็ตาม จุดเด่นอยู่ที่ฟังก์ชั่น เพราะเป็นจอทัชสกรีนขนาดเล็ก 11.8″ แบบ Gorilla Glass จนเหมือนแท็ปเช็ตมากกว่า แต่ให้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 มาพร้อมซีพียู Intel Celeron N4020 ประหยัดไฟ ความเร็วบูสท์ 2.0GHz และมีแคชขนาดใหญ่ เพื่อความคล่องตัว แต่ที่น่าสนใจคือ ได้แรม DDR4 มาที่ 4GB และ SSD 64GB กราฟิก Intel UHD Graphics 600 ให้ความทนทานผ่าน MIL-STD 810H ทนละอองน้ำ แรงกระแทกในระดับหนึ่ง แบตอึดใช้ได้นาน พร้อมการเชื่อมต่อ WiFi น้ำหนักประมาณ 1.49Kg. พอร์ตมีทั้ง USB 3.2, Type-C และ HDMI ราคา 5,990 บาท ในนี้แจ้งว่าประกัน 2 ปีอีกด้วย

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปรับพับหน้าจอในโหมดต่างๆ ได้ มี SSD 64GB
ให้เป็นแรม DDR4

Conclusion

ซีพียู แรม Storage กราฟิก จอภาพ ราคา
1.HP Chromebook
11MK G9
MediaTek
MT8183
LPDDR4x
8GB
SSD 32GB ARM Mali
G72 MP3
11.6″ HD 3,990
2.Toshiba Dynabook
R82
Intel Core M-5Y10C DDR3 4GB SSD 128GB Intel Graphic
HD 5300
12.5″ FHD 4,590
3.Lenovo ThinkPad
T530
Intel Core i5-3230M DDR3 8GB HDD
500GB
Intel HD Graphics
4600
15.6″ HD 4,890
4.HP Elitebook
725 G3
AMD PRO
A8-8600B
DDR3 8GB SSD 128GB Radeon R6 12.5″ HD 5,390
5.Toshiba Satellite
R35M
Intel Core i5-4210U DDR3L 4GB HDD 500GB Intel HD Graphic 15.6″ HD 5,590
6.Dell latitude
e7250
Intel Core i5-5300U DDR3 8GB SSD 128GB Intel HD Graphic
5500
12″ HD 5,500
7.Fujitsu Lifebook
574/K
Intel Core i3-4100M DDR3 4GB HDD 320GB Intel HD Graphics
4600
15.6″ HD 5,790
8.Acer TravelMate
Spin B3
Intel Celeron N4020 DDR4 4GB SSD 64GB Intel UHD Graphics
600
11.8″ 5,990

สุดท้ายนี้ก็คงต้องฝากกันไว้ สำหรับใครที่ต้องการใช้โน๊ตบุ๊คราคาประหยัด และมีงบจำกัด โน๊ตบุ๊ค ราคาไม่เกิน 5000 เหล่านี้ ก็พอจะตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ แต่ไม่แนะนำสำหรับคนที่เน้นเล่นเกมเป็นหลัก เพราะจากองค์ประกอบ และสเปคพื้นฐาน มุ่งเน้นไปที่การใช้งานทั่วไป สิ่งที่อยากจะแนะนำเพิ่มเติม ก็คือ เลือกและดูรายละเอียดให้ได้มากที่สุด ตรวจเช็คสิ่งต่างๆ ให้เรียบร้อย รวมถึงถ้ามีโอกาส อาจจะอัพเกรดบางอย่างเพิ่มเติม ให้ใช้งานได้ลื่นมากขึ้น ส่วนถ้าใครเน้นโน๊ตบุ๊คมือสองเล่นเกม ผมแนะนำว่ามือสองในงบหมื่นต้นๆ ก็พอมีให้เลือกเช่นกัน เอาไว้โอกาสหน้าจะมาแนะนำกันอีกครั้ง ขอบคุณที่ติดตามกันครับ

from:https://notebookspec.com/web/681810-8-notebook-value-5000-2023

SSD โน๊ตบุ๊ค 1TB งบ 3,000 บาท 8 รุ่นเด็ด M.2 PCIe เร็ว เก็บข้อมูลเยอะ เปิดเครื่องไว ทนทาน

SSD โน๊ตบุ๊ค 8 รุ่นเด็ดงบ 3,000 บาท เร่งความเร็ว เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค M.2 PCIe รุ่นใหม่ ติดตั้งเกม ลงโปรแกรม เก็บข้อมูลเหลือๆ

SSD โน๊ตบุ๊ค

SSD โน๊ตบุ๊คก็ถือว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญ ที่ทำให้โน๊ตบุ๊คสามารถทำงานได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเครื่อง เปิดโปรแกรม เข้าสู่ระบบ เปิดไฟล์ และโอนถ่ายไฟล์ รวมถึงมีส่วนต่อการเล่นเกมอยู่ไม่น้อยเลย ซึ่งการเลือกใช้ SSD ก็มีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย โดยในวันนี้เราจะมาพูดถึงการเลือกซื้อ และข้อพิจารณาในการใช้งานให้เหมาะสม พร้อมทั้งนำ SSD 8 รุ่นที่น่าสนใจในงบ 3,000 บาท ที่เป็นแบบ M.2 NVMe PCIe มาฝากกัน ส่วนจะมีรุ่นใดบ้าง ไปชมกันเลยครับ


SSD โน๊ตบุ๊ค 1TB ลงเกม ติดตั้งโปรแกรม งบ 3,000


SSD โน๊ตบุ๊ค เลือกอย่างไร?

การเลือก SSD ที่นำมาใช้กับโน๊ตบุ๊คเงื่อนไขแทบไม่ได้ต่างไปจากการใช้บนพีซีมากนัก จะมีเพียง 1-2 เรื่องที่ต้องพิจารณา และต้องดูตามการสนับสนุนของโน๊ตบุ๊คแต่ละรุ่นด้วยว่าจะรองรับมาตรฐานใด หรือความจุเท่าใดได้บ้าง การเลือก SSD ให้ตรงกับความเหมาะสมในการใช้งาน และราคาที่คุ้มค่า จะทำให้คุณสามารถใช้งานโน๊ตบุ๊คได้เร็วขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนโน๊ตบุ๊คตัวเก่าของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม

Advertisementavw
Unbox KIOXIA SSD 40

อินเทอร์เฟส: ตรงนี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะโน๊ตบุ๊คเวลานี้ผ่านมาหลายเจนเนอเรชั่นแล้ว สิ่งที่ต้องสังเกตก็คือ โน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่นั้น มีพอร์ตหรือสล็อตรองรับ SSD แบบใดได้บ้าง หากเป็นโน๊ตบุ๊คที่ย้อนไปสัก 5-6 ปีก่อน อาจจะมีเพียง SATA ที่รองรับ HDD ในแบบ 2.5″ ก็ต้องเลือกใช้ SSD แบบ 2.5″ SATA III แม้ว่าจะไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ข้อดีคือ ให้ความเร็วได้มากกว่า HDD ปกติถึง 3-4 เท่าตัวเลย อีกทั้งปัจจุบันก็มีให้เลือกมากกว่า 1TB อีกด้วย

ถัดมาโน๊ตบุ๊คบางรุ่นอาจจะมีสล็อตแบบ M.2 มาให้ แต่จะเป็น M.2 SATA ซึ่งจะใช้ร่วมกับ SSD SATA ในแบบ M.2 สังเกตง่ายๆ จะมีรอยบาก 2 จุดบนหน้าสัมผัส ประสิทธิภาพแทบไม่ต่างไปจาก SSD 2.5″ แต่สะดวกกว่า เพราะไม่ต้องต่อสายไฟเลี้ยงให้วุ่นวาย อีกทั้งขนาดเล็กกว่าเยอะ

Kingston NVq SSD

และในแบบปัจจุบัน จะมีเป็นแบบ M.2 NVMe PCIe รูปแบบนี้จะมีสล็อตคล้ายกับ M.2 SATA แต่จะมีรอยบากเพียงจุดเดียวบนหน้าสัมผัส ข้อดีคือ ให้ความเร็วสูง ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล เพราะมีการเชื่อมต่อกับช่องทาง PCI-Express กับซีพียูโดยตรง โดยเวลานี้จะมีทั้งแบบ PCIe Gen3, Gen4 และที่กำลังจะมาก็เป็น PCIe Gen5 ซึ่งความเร็วจะสูงขึ้นตามลำดับ และล่าสุดความเร็วมีให้เห็นมากกว่า 7,000MB/s แล้ว ซึ่งหากเทียบกับ Gen3 ที่มีความเร็วประมาณแค่ 3,000-4,000MB/s เท่านั้น และถือว่าเร็วกว่า HDD แบบ SATA อยู่หลายสิบเท่าอีกด้วย แต่ถ้าต้องการจะใช้มาตรฐานใหม่นี้ ก็ต้องเช็คด้วยว่าโน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่ เป็น PCIe ในเจนเนอเรชั่นใด

Gigabyte SSD P7000s 1TB 34

ความจุ: ให้มองที่การใช้งานเป็นหลัก หากเป็นโน๊ตบุ๊คทั่วไป ไม่ได้เก็บไฟล์เยอะ โปรแกรมไม่มาก และใช้ร่วมกับ Clou storage 480-500GB ก็เพียงพอต่อการใช้งาน เหลือพื้นที่จัดเก็บไฟล์ใช้บ่อยอีกพอสมควร ลงโปรแกรมเพิ่มได้ แต่ถ้าเป็นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค และมีเกมมากกว่า 3 เกมใหญ่ขึ้นไป ความจุที่มากกว่า 500GB หรือทางเลือกอย่าง 960GB และ 1TB เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะช่วยให้คุณสามารถติดตั้งเกม ลงโปรแกรม และเก็บไฟล์ข้อมูลได้ แบบที่ไม่อึดอัดมากไปนัก

ความเร็ว: ความเร็วที่ดี ก็บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของ SSD รุ่นนั้นๆ ได้ดี อย่างตัวเลข Sequential Read/ Write มีหน่วยเป็น MB/s (เมกะไบต์ต่อวินาที) ตรงนี้ให้ดูจากตัวเลขที่ยิ่งมาก ก็จะหมายถึง การเปิดไฟล์ โอนถ่ายไฟล์ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการ Copy file และเข้าสู่ระบบด้วย ขึ้นอยู่กับอินเทอร์เฟสและ NAND Flash ที่มีอยู่บน SSD รวมถึงคอนโทรลเลอร์บนโมดูล SSD ด้วย อย่างไรก็ดียิ่งตัวเลขที่สูง ราคาก็จะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน สำหรับคนที่ใช้โน๊ตบุ๊ค ถ้าเป็น PCIe Gen4 ก็แนะนำให้เลือกใช้ SSD PCIe 4.0 คุณจะได้ความเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยเลย

ความทนทาน: MTBF (Mean Time Between Failures): เป็นตัวเลขที่มีอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ และอยู่ใน SSD ซึ่งเป็นค่าที่บอกถึงอัตราเฉลี่ยของระยะเวลาในการทำงานจนกว่าจะเกิดความเสียหายหรือบกพร่อง จะมีหน่วยคำนวณเป็นชั่วโมง คล้ายกับค่า BTW คือตัวเลขยิ่งมาก ก็ยิ่งหมายถึงมีสมรรถนะที่ดี มั่นใจได้ ตัวเลขจะนับเป็นล้านชั่วโมงขึ้นไป อย่างเช่น SSD รุ่นกลางๆเวลานี้ ตัวเลขก็มีให้เห็นมากกว่า 1-2 ล้านชั่วโมง นั่น แต่ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงค่าเฉลี่ย อาจมากหรือน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน การเลือก SSD ยี่ห้อไหนดี ก็อาจจะต้องใช้ค่านี้มาใช้ในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน


1.ADATA LEGEND 710 1TB ราคา 2,590 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

เริ่มจาก SSD น้องเล็กสุดในงบไม่ถึง 3 พันบาท จาก ADATA ที่มาพร้อมความจุ 1TB รุ่นนี้เหมาะกับผู้ใช้ที่เน้นเรื่องของความจุ หาซื้อง่าย ราคาค่อนข้างประหยัด เบียดบี้กับรุ่น 512GB ได้อย่างสูสี แต่ยังเป็นอินเทอร์เฟส PCIe 3.0 x4 จึงให้ความเร็วในการอ่าน/เขียน ในแบบมาตรฐาน คือประมาณ 2,400MB/s (Read) กับดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย ความทนทานจากค่า MTBF อยู่ที่ 1.5 ล้านชั่วโมง และการเขียนซ้ำทำได้ที่ 520TB การรับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เขียนซ้ำได้ถึง 520TB เป็นแบบ PCIe 3.0 x4
ราคาประหยัด

ข้อมูลเพิ่มเติม: ADATA


2.PNY CS1031 1TB ราคา 2,890 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

เป็น SSD ในระดับเริ่มต้น สำหรับผู้ที่ต้องการอัพเกรดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนโน๊ตบุ๊ค หรือเป็นตัวเก็บข้อมูลสำรอง กรณีที่มีสล็อต M.2 ว่างอีกหนึ่งช่อง ราคาประหยัด โดยรุ่นนี้มีให้เลือกตั้งแต่ 256GB จนถึง 2TB เชื่อมต่อบนอินเทอร์เฟส PCIe 3.0 x4 เช่นเดียวกัน และให้ความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 2,400MB/s สำหรับรุ่น 1TB และค่า Endurance 240TB (TBW) และ MTBF 2 ล้านชั่วโมง แต่ที่น่าสนใจก็คือ ให้ระยะการรับประกันถึง 5 ปีเลยทีเดียว ราคา 2,890 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ราคาไม่ถึง 3 พันบาท การอ่านระดับมาตรฐาน
รับประกัน 5 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม: PNY


3.Kingston NV2 1TB ราคา 2,890 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

จัดว่าเป็น SSD ความจุ 1TB ในแบบ PCIe 4.0 x4 รุ่นใหม่ ที่ทำราคาได้ดีที่สุดในเวลานี้ ขยับต่อยอดจาก NV1 ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย กับดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย เป็นแบบ Single-side M.2 2280 มาตรฐาน เหมาะทั้งการเป็นตัวบูตหลักภายในโน๊ตบุ๊ค และสำรองไฟล์ได้ในตัว เพราะให้ความเร็วได้ถึง 3,500MB/s (Read) ให้ค่า Endurance อยู่ที่ 1.5 ล้านชั่วโมง MTBF และการเขียนซ้ำอยู่ที่ 320TB เลยทีเดียว จัดว่าตัวเลขค่อนข้างสูง และให้การรับประกัน 3 ปี ราคา 2,890 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
PCIe 4.0 x4 รุ่นใหม่ รับประกัน 3 ปี
3,500MB/s (Read)

ข้อมูลเพิ่มเติม: Kingston


4.Crucial P2 1TB ราคา 2,900 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

ถ้าใครเคยได้ใช้งาน SSD ในช่วงแรกๆ Crucial ต้องถือว่าเป็นค่ายหลักๆ ที่เข้ามาในบ้านเรา ให้ได้ใช้งานกันก่อน กับความโดดเด่นในเรื่องเมมโมรีและเทคโนโลยี เช่นเดียวกับในรุ่น P2 นี้ ที่เป็นซีรีส์ต่อมา ซึ่งพัฒนามาเพื่อผู้ใช้โน๊ตบุ๊คด้วยเช่นกัน บนอินเทอร์เฟสแบบ PCIe 3.0 x4 ให้ความเร็วอยู่ที่ระดับ 2,400MB/s (Read) ตามมาตรฐาน พร้อมค่า Endurance อยู่ที่ 300TBW ซึ่งจุดเด่นอยู่ที่การรับประกันถึง 5 ปี ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย ราคา 2,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
รับประกัน 5 ปี เป็นแบบ PCIe 3.0 x4

ข้อมูลเพิ่มเติม: Crucial


5.HIKVISION E3000 1TB ราคา 2,990 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

สำหรับค่ายนี้ ก็จัดว่าเป็น SSD ที่มีตัวเลือกค่อนข้างเยอะทีเดียว และยังเคาะราคาได้ถูกใจผู้บริโภค ทำให้ผู้ใช้ที่กำลังมองหา SSD สำหรับโน๊ตบุ๊ค จะเอามาเป็นตัวบูตหรือเพิ่มเติมสำหรับเก็บข้อมูล ก็น่าสนใจมาในอินเทอร์เฟส PCIe 3.0 x4 แต่ให้ความเร็วได้มากถึง 3,400MB/s (Read) และเขียนอยู่ที่ประมาณ 3,100MB/s ใช้ NAND ในแบบ 3D TLC ให้ค่า Endurance อยู่ที่ 1.5 ล้านชั่วโมง และ 448TBW แต่ที่น่าสนใจคือ รับประกันถึง 5 ปีเลยทีเดียว กับราคา 2,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
3,400MB/s (Read) Endurance 1.5 ล้านชั่วโมง
เขียนซ้ำได้ 448TBW

ข้อมูลเพิ่มเติม: HIKVISION


6.Apacer AS2280P4U PRO ราคา 3,090 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

กับทาง Apacer เชื่อว่าหลายคนจะคุ้นหูคุ้นตากันดีอยู่แล้ว กับผลิตภัณฑ์หลายๆ โมเดล ซึ่งก็รวมถึง SSD ที่ออกมาใหม่ กับความจุ 1TB ออกแบบลวดลายมาได้อย่างล้ำสมัยทีเดียว เหมาะกับคนที่ใช้โน๊ตบุ๊ค หรือพีซี ที่ต้องการทั้งความเร็วและความจุ โดยมากับอินเทอร์เฟส PCIe 3.0 x4 ให้ความเร็ว 3,500MB/s (Read) และจุดเด่นคือ เขียนได้เร็วสุดในครั้งนี้คือ 3,000MB/s อีกด้วย รวมถึงค่า MTBF 1.8 ล้านชั่วโมง และการรับประกันอีก 5 ปี อีกด้วย ราคา 3,090 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
3,500MB/s (Read) เป็นแบบ PCIe 3.0 x4
รับประกัน 5 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม: Apacer


7.WD GREEN SN350 1TB ราคา 3,090 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

ต้องถือว่าเป็น SSD ในใจใครหลายคน กับค่าย WD นี้ ที่มีให้เลือกกันหลายซีรีส์ และปัจจุบัน WD Green ก็ดูน่าสนใจไม่น้อย เพราะได้รับการปรับปรุงด้านความเร็ว และราคาที่จับต้องง่าย พร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สะดวกมากขึ้น อินเทอร์เฟสการเชื่อมต่อ PCIe 3.0 x4 และ NAND ในแบบ QLC มีความเร็วในการอ่านระดับ 3,200MB/s และค่า Endurance 100TBW ส่วนค่า MTTF 1 ล้านชั่วโมง พร้อมการรับประกันอีก 3 ปี ราคา 3,090 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
3,200MB/s (Read) MTTF 1 ล้านชั่วโมง

ข้อมูลเพิ่มเติม: WD


8.TEAM CARDEA Z44L 1TB ราคา 3,150 บาท

SSD โน๊ตบุ๊ค

เป็น SSD โน๊ตบุ๊คความเร็วสูงรุ่นใหม่ เหมาะกับโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน ที่จะใช้เป็นตัวบูตระบบ ลงโปรแกรมก็ได้ หรือจะเน้นที่เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คก็ลงตัว เพราะมาพร้อมอินเทอร์เฟส PCIe 4.0 x4 รุ่นใหม่ พร้อมใช้กับแพลตฟอร์มโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ได้ดี ค่า Endurance สูงถึง 600TBW เรียกว่าทำตัวเลขได้ดีมาก และประสิทธิภาพทำได้ที่ 3,500MB/s (Read) และความทนทานระดับ 3 ล้านชั่วโมงเลยทีเดียว พร้อมกับการรับประกันอีก 5 ปี แม้ราคา 3,150 บาท จะสูงที่สุดในการรวม SSD โน๊ตบุ๊คในครั้งนี้ แต่ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย

จุดเด่น ข้อสังเกต
เป็นแบบ PCIe Gen4 x4 ความเร็วในการอ่านมาตรฐาน
ค่า Endurance สูงถึง 600TBW

ข้อมูลเพิ่มเติม: TEAM


Conclusion

Interface Read/Write (MB/s) MTBF
(Hours)
TBW (TB) Warranty
(Year)
Price (Baht)
1.ADATA LEGEND 710 PCIe Gen3 x4 2,400/1,800 1,500,000 520 3 2,590
2.PNY CS1031 PCIe Gen3 x4 2,400/1,750 2,000,000 240 5 2,890
3.KINGSTON NV2 PCIe Gen4 x4 3,500/2,100 1,500,000 320 3 2,890
4.CRUCIAL P2 PCIe Gen3 x4 2,400/1,800 300 5 2,900
5.HIKVISION E3000 PCIe Gen3 x4 3,500/3,150 1,500,000 448 5 2,990
6.APACER AS2280P4U PRO PCIe Gen3 x4 3,500/3,000 1,800,000 760 3 3,090
7.WD GREEN SN350 PCIe Gen3 x4 3,200/2,500 1,000,000 100 3 3,090
8.TEAM CARDEA Z44L PCIe Gen4 x4 3,500/3,000 3,000,000 600 5 3,150

SSD โน๊ตบุ๊คทั้ง 8 รุ่นจากตารางข้อมูลด้านบนนี้ ก็น่าจะเป็นทางเลือกให้กับลายๆ คนที่กำลังมองหา SSD มาอัพเกรดให้กับโน๊ตบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คทำงาน หรือเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คก็ตาม สำหรับ ADATA ก็ค่อนข้างโดดเด่น ในเรื่องของราคา และการเขียนซ้ำได้ถึง 520TBW บนความเร็วพื้นฐาน แต่มองที่ความเร็วเป็นหลัก TEAMGROUP, WD และ HIKVISION ก็น่าสนใจ ได้ทั้งอินเทอร์เฟสใหม่ และ Read/ Write สูง รวมถึง MTBF ทะลุ 3 ล้านไปแล้ว ส่วน APACER ก็น่าสนใจในแง่ของความเร็วและค่า TBW สูงสุด ส่วนจะเลือกใช้รุ่นไหน ก็สามารถพิจารณาจากข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ในลิงก์ของแต่ละรุ่นที่เราจัดวางไว้ให้ และเรื่องของราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนถ้าต้องการจะเช็คอุปกรณ์ และจัดสเปคคอม สามารถเข้าไปลองจัดสเปคได้ที่ Notebookspec.com/pc/spec กันได้เลยครับ

from:https://notebookspec.com/web/679768-8-ssd-1tb-3000-m2-pcie

ไดร์ c เต็ม ทำไงดี? 7 วิธีคืนพื้นที่ว่างในฮาร์ดดิสก์ และ SSD บนวินโดว์ได้ง่ายๆ

ไดร์ c เต็ม ไม่ต้องตกใจ 7 วิธีคืนพื้นที่ว่างให้ HDD และ SSD วินโดว์ทำงานลื่นไหลได้

Disk full c cov1

ไดร์ c เต็ม น่าจะเป็นอาการที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์พีซี และโน๊ตบุ๊คเจอกันบ่อย ไม่ว่าจะเป็นพีซีทั่วไป จนถึงเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ลูกเดิมมีความจุน้อย หรือ SSD ที่ใช้กับโน๊ตบุ๊คในช่วงแรกๆ อาจมีไม่เยอะนัก เมื่อเทียบกับขนาดไฟล์และการใช้งานซอฟต์แวร์ในปัจจุบัน อีกทั้งโปรแกรมหรือเกมที่ใช้งานกันส่วนใหญ่ ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น บางเกมนั้นเมื่อติดตั้งแล้วมีมากกว่า 100GB ขึ้นไป ยิ่งรวมถึงบรรดา Patch หรืออัพเดตในแต่ละครั้ง ก็ยิ่งทำให้พื้นที่ที่มีน้อยอยู่แล้วเต็มเร็วมากขึ้น และปัญหาที่ตามมาก็คือ คอมช้า เปิดไฟล์นาน เก็บไฟล์ต่อไม่ได้ บูตเครื่องช้าลง ไปจนถึงแฮงก์หรือทำงานผิดปกติได้เช่นกัน ดังนั้นการเคลียร์พื้นที่ให้เหลือที่ว่างได้มากที่สุด ก็จะช่วยให้ระบบทำงานได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าคุณยังไม่มีไอเดียในการจัดการ วันนี้เรามี 7 วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มพื้นที่ว่างในไดร์ c แบบง่ายๆ ให้คุณได้ลองทำด้วยตัวเองในปี 2022 นี้

ไดร์ c เต็ม แก้ไขเพิ่มพื้นที่ว่างใน 7 ขั้นตอน

  1. ลบไฟล์ขยะใน Recycle Bin
  2. Uninstall หรือ Remove Program
  3. ลบไฟล์ซ้ำๆ
  4. Clear temp file
  5. จัดการไฟล์ใน Download
  6. ใช้ Storage Sense
  7. ใช้บริการ Cloud
  8. Conclusion

1.ลบไฟล์ขยะใน Recycle Bin

หลายคนอาจจะมองข้ามตรงจุดนี้ไปในการแก้ปัญหาไดร์ c เต็ม แต่เราอยากจะให้คุณเข้าไปดูใน Recycle Bin นี้ เป็นที่แรกๆ ก่อนจะไปจัดการยังจุดอื่นๆ นั่นก็เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่รวมบรรดาไฟล์ต่างๆ ที่คุณลบทิ้งไป ทำให้เป็นไฟล์ขยะขนาดใหญ่ และยิ่งหากคุณไม่ได้ตั้งค่าจำกัดพื้นที่เอาไว้ ก็จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งคุณจะคิดไม่ถึงกันเลยทีเดียว ซึ่งอาจมากกว่า 20GB ขึ้นไป แน่นอนว่า คุณจะยังไม่รู้ตัว จนกว่าระบบจะช้าลง หรือโอนถ่ายไฟล์ช้ากว่าปกติ และฮาร์ดดิสก์ใกล้เต็ม

Advertisementavw
ไดร์ c เต็ม

สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ การ Empty Recycle Bin ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างง่ายดาย เพราะไม่มีขั้นตอนอะไรมากมายนัก ทำได้ตั้งแต่ในยุค Windows 7 มาจนถึงปัจจุบัน วิธีการคือ ปิดหน้าต่างโปรแกรมหรือคลิ๊กซ้ายที่มุมล่างขวาของหน้าจอ เพื่อเปิดหน้า Desktop ขึ้นมา จากนั้นไปที่ไอคอน รูปถังขยะ ที่มีชื่อบนไอคอน Recycle Bin จากนั้นคลิกขวาที่ไอคอน แล้วเลือก Empty เท่านั้นก็สามารถแก้ปัญหา ไดร์ c เต็มได้แล้ว

*Tips. แต่ถ้าบางครั้งคุณเบื่อกับการที่จะต้องมาคอยลบไฟล์แบบนี้บ่อยๆ ก็มีวิธีง่ายๆ 2 แบบคือ

  1. กดปุ่ม Ctrl+Del ทุกครั้งที่ลบ การกดปุ่ม 2 ปุ่มนี้พร้อมกัน จะเป็นการลบแบบถาวร และไม่เข้าไปอยู่ในถังขยะ เพื่อรอลบในภายหลัง ข้อควรระวังคือ ต้องมั่นใจว่าลบทุกตัว ถูกไฟล์ มิฉะนั้นจะต้องหาทาง Recovery file กลับคืน
  2. อีกแบบหนึ่งคือ การตั้งค่าให้ลบแล้วลบเลย ด้วยการคลิกขวาที่ Recycle Bin แล้วเลือก Properties > ในหน้า General เลือก Don’t move files to Recycle Bin. ไฟล์จะถูกลบออกจากระบบทันที ก็ต้องระวังเช่นกัน
ไดร์ c เต็ม

แต่จะใช้วิธีการใดในการลบไฟล์จาก Windows ก็ตามแต่ ก็ควรจะต้องใช้ความระมัดระวัง หากต้องการจะป้องกันความผิดพลาด การลบแล้วไปค้างใน Recycle Bin แล้วค่อยมาเคลียร์ในภายหลังทุก 2-3 เดือน ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม และง่ายกว่าการลบไฟล์แบบไม่ตั้งใจ แล้วต้องหาโปรแกรมมากู้ไฟล์กลับคืน


2.Uninstall หรือ Remove Program

ทุกวันนี้บอกได้เลยว่าแอพพลิเคชั่นและเกมต่างๆ มีส่วนทำให้ ไดร์ c เต็ม เพราะมีให้เลือกใช้กันอย่างมากมาย สังเกตได้จากโปรแกรมพื้นฐานที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น โปรแกรมบีบอัดไฟล์ โปรแกรมเล่นวีดีโอ ตกแต่งภาพ ตัดต่อวีดีโอ ทำงานเอกสาร หรือการแปลงไฟล์และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้หลายคนชื่นชอบการลองใช้งาน เพื่อทดลองและดูว่ามีความเหมาะสมกับการใช้งานของตนมากน้อยเพียงใด ถูกใจถึงจ่ายเงินซื้อหรือเช่ากันเป็นรายเดือนหรือระยะยาว

ไดร์ c เต็ม

ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้ ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะโปรแกรมบางอย่าง ถ้าไม่ได้ลอง ก็จะไม่ได้รู้ถึงศักยภาพและฟีเจอร์ อินเทอร์เฟสหรือสิ่งที่คุณต้องการหรือไม่ เมื่อลองแล้วถูกใจ ก็ซื้อได้ แต่หลายครั้งเราจะเห็นว่า มีการติดตั้งลงบนระบบ แม้ว่าจะเป็น Demo, Trial หรือเกมบางเกม ที่เล่นแล้วเบื่อ กลับไม่ได้ถูกลบทิ้งไป จนกลายมาเป็นไฟล์ที่เบียดบังพื้นที่ทำงานในฮาร์ดดิสก์ SSD อย่าลืมว่าเกมเล็กๆ เล่นง่ายๆ บางทีก็หลักหลาย GB รวมๆ กันก็คิดเป็นหลายเปอร์เซนต์เลยทีเดียว ดังนั้นการลบโปรแกรมหรือเกมเหล่านี้ ก็เป็นทางออกที่ดีในการลดปัญหา ไดร์ c เต็ม ส่วนวิธีการก็สามารถทำได้โดย

  1. กดปุ่ม Win ที่คีย์บอร์ด จากนั้นพิมพ์ Control Panel > เข้าไปที่ Program > Uninstall Program แล้วเลือกโปรแกรมที่คุณต้องการลบหรือ Remove ออก จากนั้นคลิ๊กที่เมนูด้านบน เลือก Uninstall เป็นอันเสร็จสิ้น
  2. คลิ๊กขวาที่มุมล่างซ้ายของหน้าจอ > Settings > Apps >Apps & Feature จากนั้นเลือกโปรแกรมในหน้าต่างทางขวามือ ที่ต้องการจะลบออก ด้วยการกดที่เครื่องหมาย … จากนั้นเลือก Uninstall

*Tips แต่ในกรณีที่ไม่สามารถ Remove หรือ Uninstall Program ออกได้ ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ให้ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้ดูครับ

ไดร์ c เต็ม
  1. เข้าไปปิดการทำงาน หรือ End Process โปรแกรมเหล่านั้น ด้วยการเข้าไปที่ Process ในหน้า Task Manager หากเห็นโปรแกรมที่ต้องการกำลังรันอยู่ ให้กดเลือก แล้วคลิ๊กที่ปุ่ม End Process แล้วลอง Uninstall Program ใหม่อีกครั้ง
  2. วิธีต่อมา ให้ลองเข้าไปดูในแท็ปของเมนู ด้วยการกดปุ่ม Win บนคีย์บอร์ด จากนั้นไปที่ชื่อโปรแกรม แล้วใช้เครื่องมือการ Uninstall ที่บางค่ายจัดมาให้ใช้ในการ Remove โดยเฉพาะ
  3. อีกวิธีหนึ่งก็คือ การใช้โปรแกรมประเภท 3rd Party เช่น Your Uninstall หรือ Revo Uninstall เป็นต้น

3.ลบไฟล์ซ้ำๆ

เป็นเรื่องที่หลายคนได้เจอ แต่บางทีก็เผลอตัวไม่ทันได้ระวัง กับไฟล์จำนวนมาก ที่พรั่งพรูมาในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์งาน เอกสาร ไฟล์ภาพถ่าย งานกราฟิกหรือวีดีโอก็ตาม โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีการจัดเก็บไฟล์ ลงในโฟลเดอร์ที่มีการจัดหมวดหมู่ให้เรียบร้อย หรือใช้คอมร่วมกันหลายๆ คน ก็อาจจะทำให้มีไฟล์ซ้ำซ้อน แต่อยู่ต่างที่ทางกัน การจัดระบบไฟล์ก็เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างหนึ่ง แต่ไฟล์ซ้ำที่บางครั้ง ซ้ำกันเยอะ และเป็นไฟล์ขนาดใหญ่ จำเป็นจะต้องลบออก เพื่อจะได้มีพื้นที่ว่างกลับคืนมา

ไดร์ c เต็ม

การลบไฟล์ซ้ำๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างให้กับไดร์ c นั้น ไม่ได้วุ่นวายมากนัก เพียงแต่การตรวจเช็คค่อนข้างทำได้ยาก เพราะนอกจากจะต้องเช็คชื่อไฟล์ที่ถูกต้อง ขนาดไฟล์ที่ตรงกันแล้ว ก็ยังต้องดูให้มั่นใจว่าไฟล์นั้นเหมือนกันทุกประการ เพราะแค่การอัพเดตบางอย่างในไฟล์ เช่น Word, Excel หรือ PowerPoint แต่ใช้ชื่อเดิม ขนาดของไฟล์ก็อาจจะต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากลบผิดพลาดไป ก็อาจเกิดความเสียหายได้ แต่ถ้าเป็นไฟล์ภาพถ่ายหรือวีดีโอ อาจจะดูง่ายกว่า เพราะการเปลี่ยนแปลง ต้องอาศัยโปรแกรมในการแก้ไข หรือการเปิดไฟล์ขึ้นมาดูเทียบกันก็พอจะแยกออกแล้ว

ดังนั้นการเลือกใช้โปรแกรม ในการลบไฟล์ซ้ำ ก็ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการแก้ไข ไดร์ c เต็มมากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันก็มีโปรแกรมที่ช่วยในการลบไฟล์ซ้ำให้เลือกมากมาย เช่น

ไดร์ c เต็ม

Auslogics Duplicate File Finder รองรับ Windows 7 – Windows 10 เป็นโปรแกรมฟรี และแจ้งไว้ด้วยว่า ไม่มีลิมิตการใช้งานหรือตัดฟังก์ชั่น และนอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ในการล็อคไฟล์ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการลบไฟล์สำคัญบางอย่างอีกด้วย สามารถดาวน์โหลดได้ ที่นี่

Duplicate Cleaner 5 โปรแกรมขนาดเล็ก แต่มีอินเทอร์เฟสน่าใช้ ดูไม่ซับซ้อน รองรับการค้นหาไฟล์ซ้ำได้ทั้ง เอกสาร ภาพ วีดีโอและดนตรี ค้นหาได้รวดเร็ว สามารถดาวน์โหลดได้ ที่นี่

Easy Duplicate Cleaner เครื่องมือในรูปแบบของ Wizard ที่ช่วยให้การค้นหาไฟล์ซ้ำสะดวกมากขึ้น ด้วยโหมดสแกนและเงื่อนไขที่ตั้งไว้มากกว่า 10 วิธี ให้ความแม่นยำ และการรองรับไฟล์ประเภทต่างๆ ได้ รวมถึงการจัดเก็บในระบบ Cloud อีกด้วย มีปุ่มสำหรับยกเลิก และกู้คืนแบบฉุกเฉิน เพื่อให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย ดาวน์โหลดได้ ที่นี่


4.Clear temp file

เป็นวิธีการพื้นฐาน ที่อาจจะต้องยกไว้ในข้อแรกๆ แต่เพื่อให้หลายคนได้คุ้นเคยกับการจัดการไฟล์ที่ต่างออกไป รวมถึงปัจจุบันระบบมีการจัดการไฟล์เหล่านี้ได้ดีอยู่แล้ว และผู้ใช้ก็กำหนดเองได้ โดยเฉพาะบน Windows 11 จึงขอยกมาไว้ในข้อ 4 นี้ ซึ่งหากใครยังไม่เคยได้ทำ ก็สามารถลองดูจากวิธีที่แนะนำนี้กันได้เลย เริ่มต้นกันที่ Disk Cleanup

ไดร์ c เต็ม

Disk Cleanup เป็นวิธีที่ง่ายในการลบหรือ Clear file ที่เป็นไฟล์ขยะทั้งหมด ซึ่งถูกรวบรวมเอาไว้ในหัวข้อนี้ ทำให้จัดการได้ง่ายขึ้น วิธีการคือ กดปุ่ม Win บนคีย์บอร์ด จากนั้นพิมพ์ Disk Cleanup แล้วกด Enter ก็จะเข้าสู่หน้าต่าง ให้ใส่เครื่องหมายหน้าหัวข้อที่ต้องการลบไฟล์ที่ไม่จำเป็นออก เช่น Download, Temporary Internet files, Delivery Optimize หรือจะเป็น Temporary files ก็ตาม เมื่อเลือกได้ครบแล้ว ให้คลิ๊กที่ Ok แล้วรอจนเสร็จสิ้นกระบวนการ

ไดร์ c เต็ม

หรือถ้าอยากจะลบแค่ Temp file ที่เกิดขึ้นบน Web Browser ยังไม่อยากไปยุ่งกับไฟล์อื่นๆ เพราะใช้ร่วมกันหลายคน สามารเข้าไปที่เบราว์เซอร์แต่ละค่าย เช่น Google Chrome ให้คลิ๊กที่เครื่องหมาย จุด 3 จุดบริเวณด้านบนของหน้าต่าง จากนั้นเลือก More tools แล้วไปที่ Clear browsing data…


5.จัดการไฟล์ใน Download

ไฟล์ที่คุณดาวน์โหลดมาไว้ในเครื่อง ก็มีส่วนที่ทำให้ไดร์ c เต็มได้แบบไม่รู้ตัวเช่นกัน เพราะบางครั้ง ก็มีโปรแกรมที่คุณโหลดมาซ้ำๆ เก็บเอาไว้ในโฟลเดอร์นี้ เพราะเมื่อดาวน์โหลด เค้าจะไม่เตือนบอกว่า คุณมีไฟล์นี้อยู่แล้วนะ ไม่ต้องโหลดก็ได้ แต่จะบอกในรูปแบบของตัวเลข (1), (2), (3) … ไปเรื่อยๆ และคุณจะได้เห็นในโฟลเดอร์ได้ทันทีเมื่อเปิดเข้ามา และมีการจัดเรียงไฟล์ตามชื่อ แต่ถ้าเรียงตามวันเวลาที่ดาวน์โหลด ก็ยิ่งไม่มีทางทราบได้เลย

ไดร์ c เต็ม

แต่เมื่อดาวน์โหลดมาแล้ว เราก็ควรจะทำการ Clear หรือลบไฟล์ดาวน์โหลดที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ออกไปบ้าง เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์หรือ SSD อันน้อยนิดของเรา หากใช้วิธีแบบโหดๆ ลบโดยไม่สนใจว่าจะมีไฟล์ไหนที่จะยังเก็บไว้ใช้บ้าง ก็ให้เปิดโฟลเดอร์ Download ขึ้นมา จากนั้นกดปุ่ม Ctrl+A แล้วกดปุ่ม Shift+Del เพื่อลบแบบถาวร เพราะถ้ากด Del อย่างเดียว ก็จะลงไปที่ Recycle Bin อยู่ดี

ไดร์ c เต็ม

*Tips หากคุณไม่มั่นใจว่า ไฟล์หรือโปรแกรมที่อยู่ใน Download อันไหนควรลบหรือไม่ ให้จัดเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากของคุณ ซึ่งอาจเป็นไดรฟ์ที่ต่อภายใน หรือต่อภายนอกผ่าน USB เป็นแบบ External Drive เพื่อความปลอดภัย จากนั้นลบไฟล์ Download ที่อยู่ภายในเครื่อง เมื่อคุณคิดว่าจะนำโปรแกรมหรือไฟล์ใดมาใช้ ก็ให้ต่อพ่วงไดรฟ์แล้วเลือกมาเฉพาะบางตัว จะได้ไม่รกเครื่องอีกต่อไป


6.ใช้ Storage Sense

ไดร์ c เต็ม

เป็นทางออกของคนที่เบื่อกับการที่ต้องจัดการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในแบบ Manual เพราะฟีเจอร์นี้ จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำหนดขนาดของพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ให้ระบบ Storage Sense นี้ทำงานทุกๆ วัน สัปดาห์หรือทุกเดือน รวมถึงการลบไฟล์ออกจาก Recycle Bin ในทุก 1, 14, 30 วันหรือ 60 วัน ตั้งได้ตามใจชอบ รวมถึงการ Delete file ที่อยู่ในโฟลเดอร์ Download ได้ ในทุกๆ รอบ เช่นเดียวกับ Recycle Bin

ไดร์ c เต็ม

วิธีการใช้งาน ให้เข้าไปที่ Storage > Storage Sense ในหัวข้อ Storage management แล้วเปิดการทำงาน Enable ในหัวข้อ Storage Sense

ไดร์ c เต็ม

นอกจากนี้ใน Storage ในระบบปฏิบัติการ Windows 11 ยังมีฟังก์ชั่นให้ได้งานกันอีกมากมาย ในจุดที่เป็น Advance Storage Settings: ไม่ว่าจะเป็น Storage Space, Disk & Volume หรือ Backup options ก็ตาม ล้วนแต่ช่วยให้คุณจัดการและจัดเก็บไฟล์ได้ดีขึ้น รวมถึงบางฟังก์ชั่น ยังช่วยให้คุณหาไฟล์ที่หายไป แค่จำให้ได้ว่าเป็นไฟล์อะไร ภาพ วีดีโอ เอกสาร หรืออื่นๆ ด้วยการใช้ Where New Content is Saved เป็นต้น


7.ใช้บริการ Cloud

อีกทางเลือกที่น่าสนใจในการแก้ปัญหา ไดร์ c เต็ม นั่นคือการใช้ระบบ Cloud มาช่วยในการจัดเก็บข้อมูลและใช้แอพพลิเคชั่น เพราะคุณแทบจะไม่ต้องไปหาพื้นที่ในการจัดเก็บในกรณีที่คุณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะทำงานที่บ้านหรือใช้งานที่ออฟฟิศ เพราะแค่หาบริการ Cloud storage ที่ให้ความจุมากพอ และบริการที่ตอบสนองได้ไว มีออพชั่นให้เลือก เท่านี้ก็สามารถใช้งานได้ยาวๆ แล้ว หรือจะไปข้างนอกก็แทบจะไม่ต้องพกพีซีหรือโน๊ตบุ๊คไปให้วุ่นวาย แค่ปลายทางมีคอมที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ ก็ใช้งานได้แล้ว อีกทั้งบรรดา Service ต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน ก็เข้ามาแทนซอฟต์แวร์ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ โดยให้คุณใช้งานผ่านออนไลน์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมลงในเครื่องให้เสียพื้นที่อีกด้วย ประเภทที่เป็น Cloud service หรือ Cloud Application นั่นเอง

ไดร์ c เต็ม

Microsoft OneDrive ใช้ร่วมกับแอพบน iOS และ Android ได้ ให้พื้นที่จัดเก็บฟรี 5GB กำหนดขนาดไฟล์ไว้ที่ 15GB ซึ่งค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว ในส่วนของ iDrive พื้นที่จัดเก็บฟรี 5GB เช่นเดียวกัน แต่รองรับไฟล์ขนาดใหญ่เพียง 2GB เท่านั้น มาดูที่ Google Drive ให้พื้นที่ฟรีถึง 15GB ด้วยกัน และรองรับไฟล์ขนาดใหญ่ได้ถึง 5TB ตามเงื่อนไข รองรับทั้ง iOS และ Android มากันที่ Dropbox ให้พื้นที่ฟรี 2GB และรองรับไฟล์ขนาดใหญ่ 2GB เช่นกัน

Dropbox

คงต้องบอกก่อนว่า เรื่องของ Limit และข้อจำกัดในบางด้าน ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ รวมถึงยังมีแพ็คเกจอีกมากมาย ซึ่งเป็นแบบการจ่ายเงิน เพื่อเช่าพื้นที่ให้มากขึ้น หรือมีบริการที่มากกว่าให้เลือก โดยในแต่ละที่อาจจะมีมากมาย ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณ แต่แนะนำว่า ค่าใช้จ่ายในแต่ละปีไม่สูงมากมาย แต่คุ้มค่าสำหรับคนที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้สะดวกในทุกช่วงของวัน เพราะแทบจะไม่ต้องพกพีซี หรือโน๊ตบุ๊คไปเลย แค่มีสมาร์ทโฟน ก็ทำงานได้เช่นกัน

อัพเกรดหรือเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ และ SSD ใหม่

แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว คุณไม่สามารถลบไฟล์ที่จำเป็นไปได้มากกว่านี้ การซื้อ Storage มาอัพเกรด ดูจะทางเลือกที่ง่ายที่สุด (ใช้เงินแก้ปัญหา) เพราะคุณสามารถเลือกอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลมาติดตั้งแทนตัวเดิม หรือเพิ่มเติมเข้าไปใหม่ แต่ก่อนจะซื้อฮาร์ดดิสก์หรือ SSD มาใช้ ก็ต้องพิจารณาตามการใช้งานในชีวิตประจำวันและพื้นฐานของคุณเอง เช่น พีซีเดสก์ทอปหรือโน๊ตบุ๊ค

ไดร์ c เต็ม

เน้นพื้นที่จัดเก็บข้อมูล: ไม่ได้เรียกใช้งานบ่อย ฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไป เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะได้ความจุมหาศาลในราคาที่สบายกระเป๋า ตัวอย่าง HDD 1TB ราคาประมาณ 1,100 บาท หากเป็น SSD จะได้ประมาณ 240-256GB เท่านั้น แม้ความเร็วของ SSD จะสูงกว่า HDD อยู่ 3-4 เท่าก็ตาม ดังนั้น HDD จึงเหมาะกับคนที่มีข้อมูลปริมาณมากๆ เน้นการจัดเก็บเป็นหลัก

ถ้าใส่ใจในเรื่องความเร็วในการอ่าน-เขียนข้อมูล: SSD ในแบบ SATA3 เป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะ ราคาไม่สูงมากนัก และยังใช้กับพีซีและโน๊ตบุ๊ครุ่นเก่าได้ รวมถึงเอามาแทนไดร์ c เพื่อติดตั้งวินโดว์ได้อีกด้วย สะดวกใช้งานง่าย

ส่วนคนที่มีงบประมาณสูง: และมีสเปคคอมเกมมิ่ง ที่อยากแรงหรือหา Storage มาทดแทนของเดิม อยากได้ทั้งความเร็วและความจุมากพอสำหรับการใช้งาน SSD ในแบบ M.2 NVMe PCIe Gen4 x4 คือคำตอบที่ใช่ กับความจุระดับ 1TB ขึ้นไป เพียงพอต่อการใช้งาน ลงโปรแกรม ติดตั้งเกม รวมถึงการใช้งานด้านซอฟต์แวร์เฉพาะทาง เพราะให้ความเร็วในการอ่าน-เขียนข้อมูลได้มากกว่า 5,000MB/s ซึ่งเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์ทั่วไปเกือบ 20 เท่า และเร็วกว่า SSD SATA3 เกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว

Kingston KC 3000
  • Samsung 980 PRO: เป็นแบบ PCIe 4.0 x4 ให้ความเร็วในการอ่าน/เขียน ที่ 6,400MB/s และ 2,700MB/s ตามลำดับ รับประกัน 5 ปี ความจุ 250GB อยู่ที่ 2,990 บาทเท่านั้น ส่วนในรุ่น 500GB จะอยู่ที่ 4,790 บาท แต่ความเร็วมากกว่า เพราะความเร็วในการอ่าน/เขียน ที่ 6,900MB/s และ 5,000MB/s เลยทีเดียว
Kingston KC 3000 1
  • Kingston KC3000: เป็นแบบ PCIe 4.0 x4 ให้ความเร็วในการอ่าน/เขียน ที่ 7,000MB/s และ 3,900MB/s ตามลำดับ รับประกัน 5 ปี ความจุ 512GB อยู่ที่ประมาณ 4,090 บาท ส่วนความจุ 1TB จะมีความเร็วที่เพิ่มขึ้น อยู่ที่ การอ่าน/เขียน ที่ 7,000MB/s และ 6,000MB/s เลยทีเดียว ส่วนราคาอยู่ที่ประมาณ 6,700 บาท
  • SEAGATE FIRECUDA 520: เป็นแบบ PCIe 4.0 x4 ให้ความเร็วในการอ่าน/เขียน ที่ 5,000MB/s และ 2,500MB/s ตามลำดับ รับประกัน 5 ปี ความจุ 512GB อยู่ที่ประมาณ 3,490 บาท

Conclusion

วิธีปัญหา ขั้นตอนการแก้ไข
1.ลบไฟล์ขยะใน Recycle Bin เปิดหน้า Desktop ขึ้นมา จากนั้นไปที่ไอคอน รูปถังขยะ ที่มีชื่อบนไอคอน Recycle Bin จากนั้นคลิกขวาที่ไอคอน แล้วเลือก Empty
2.Uninstall หรือ Remove Program คลิ๊กขวาที่มุมล่างซ้ายของหน้าจอ > Settings > Apps >Apps & Feature จากนั้นเลือกโปรแกรมในหน้าต่างทางขวามือ ที่ต้องการจะลบออก
3.ลบไฟล์ซ้ำๆ ใช้โปรแกรม Auslogics Duplicate File Finder, Duplicate Cleaner 5 หรือ Easy Duplicate Cleaner สแกนหาไฟล์ซ้ำแล้วลบ
4.Clear temp file กดปุ่ม Win บนคีย์บอร์ด จากนั้นพิมพ์ Disk Cleanup แล้วกด Enter ก็จะเข้าสู่หน้าต่าง ให้ใส่เครื่องหมายหน้าหัวข้อที่ต้องการลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น
5.จัดการไฟล์ใน Download เปิดโฟลเดอร์ Download ขึ้นมา จากนั้นกดปุ่ม Ctrl+A แล้วกดปุ่ม Shift+Del เพื่อลบแบบถาวร
6.ใช้ Storage Sense Storage > Storage Sense ในหัวข้อ Storage management
7.ใช้บริการ Cloud เลือกบริการMicrosoft OneDrive, iDrive, Google Drive, Dropbox

สุดท้ายนี้กับการแก้ปัญหาไดร์ c เต็ม ด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ ก็น่าจะช่วยให้หลายๆ คน พอมีแนวทางในการจัดการปัญหาได้ดียิ่งขึ้น และหากจำเป็นจะต้องซื้อฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ใหม่ ก็อาจจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณที่คุณมีอยู่ด้วย อย่างไรก็ดีทั้งหมดนี้ หากคุณสามารถจัดการหรือเตรียมการด้วยการตั้งค่าให้เหมาะสมกับระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลบไฟล์ Recycle Bin หรือจะเป็นการตั้งค่าใน Storage Sense ก็จะช่วยให้คุณประหยัดเวลา และประหยัดพื้นที่บนไดร์ c ไปได้มาก รวมถึงช่วยให้ระบบปฏิบัติการของคุณทำงานได้ไหลลื่นมากขึ้นอีกด้วย

from:https://notebookspec.com/web/632802-7-step-clear-drive-c-full