คลังเก็บป้ายกำกับ: ลงวินโดว์

ล้างเครื่อง Reset PC เหมือนได้คอมใหม่ ง่าย ทำได้ไว ไม่ต้องลงวินโดว์ฉบับปี 2023

ล้างเครื่องใหม่อัพเดต 2023 Reset PC ไม่ต้องลงวินโดว์ใหม่ ทำงาน เล่นเกมลื่นไหล

ล้างเครื่อง

ล้างเครื่อง Reset PC ในโอกาสใดบ้าง ทำไมถึงต้องทำ? วิธีการนี้ เป็นทำให้คอมเครื่องเก่าหรือเครื่องที่ใช้อยู่นั้นกลับมาทำงานได้ตามปกติ เหมือนกับตอนที่ลงวินโดว์ใหม่ๆ รวมถึงทำให้คนที่อาจเจอปัญหากับการใช้ซอฟต์แวร์ หรือไฟล์ระบบทำงานไม่ปกติ การแก้ปัญหาในเบื้องต้นอาจยังไม่พอ ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่น คุณอาจได้คอมมือสอง ที่เป็นมรดกตกทอดจากพี่ หรือซื้อคอมมือสองมา แล้วอยากจะทำให้เหมือนเครื่องใหม่ พร้อมเคลียร์พื้นที่ในระบบให้พร้อมสำหรับใช้งาน หรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น บางครั้งก็จอฟ้า BSOD รวมไปถึงเมื่อต้องการจะขายโน๊ตบุ๊ค หรือเปลี่ยนมือให้คนอื่นใช้ จำเป็นต้องเคลียร์ข้อมูล เพื่อความปลอดภัย นอกจากวิธีการ Recovery แล้ว การ Reset PC ก็ทำให้คอมของคุณกลับมาเหมือนลงวินโดว์ใหม่แบบ Clean ได้เช่นกัน ให้คอมกลับมาทำงานลื่นไหล เหมือนได้คอมเครื่องใหม่ โดยที่ไม่ต้องใช้แฟลชไดรฟ์ มาบูทเครื่องเพื่อลงวินโดว์ใหม่ให้เสียเวลาแล้ว ด้วยขั้นตอนเหล่านี้ คุณสามารถทำด้วยวิธีนี้ทั้งบนโน๊ตบุ๊คหรือพีซีของคุณ


ล้างเครื่อง Reset PC เหมือนได้คอมใหม่

เงื่อนไขและสิ่งที่ต้องเตรียม

  • มีวินโดว์ที่ติดตั้งเอาไว้ก่อนแล้ว หรือเป็นระบบจากเครื่องเก่า (แต่วิธีอาจต่างกันไปใน Windows แต่ละเวอร์ชั่น)
  • จะเป็นวินโดว์แท้ หรือยังไม่ได้ Activate อย่างเป็นทางการ ก็ทำได้ แต่ผลที่ได้อาจไม่เหมือนกัน 100% ถ้าไม่ใช่วินโดว์แท้ติดเครื่อง ก็อาจจะต้อง Activate ใหม่ด้วยคีย์เดิม
  • ต้องมีอแดปเตอร์หรือที่ชาร์จ ที่เสียบชาร์จไฟเอาไว้ได้ กรณีที่เป็นโน๊ตบุ๊ค และชาร์จเอาไว้จนกว่าจะเสร็จสิ้นขั้นตอน
  • ไม่จำเป็นต้องมีแฟลชไดรฟ์ในการบูต ไม่ต้องอาศัยแผ่นติดตั้ง Windows ง่ายและสะดวกกว่าเยอะ
  • ย้ำอีกครั้ง หากคุณมีข้อมูลสำคัญ ให้โยกย้าย สำรองเอาไว้ เช่น Document, Photo, Video, Download หรืออื่นๆ ใส่เอาไว้ใน External Drive เอาไว้ก่อนดีที่สุด

Backup สำรองข้อมูลในส่วนใดบ้าง?

ล้างเครื่อง
  • Desktop: เป็นอีกที่หนึ่งที่หลายคนใช้ในการเก็บไฟล์และจัดวางโฟลเดอร์งาน เพื่อให้เปิดใช้งานได้สะดวก ซึ่งบางครั้งต้องเช็คให้ถี่ถ้วนว่านำมาครบหรือไม่
  • Document: ส่วนใหญ่จะใช้ในการเก็บไฟล์งาน และเอกสาร ข้อมูลต่างๆ ภายในนี้ ซึ่งอาจจะเป็นโฟลเดอร์ซับซ้อน ให้เริ่มเก็บจากโฟลเดอร์หลักมาให้ครบ
  • Pictures: ไฟล์ภาพ และไฟล์ที่ได้จากการ Capture อาจเข้าไปอยู่ในโฟลเดอร์ Screenshot หากยังต้องใช้ ก็ไม่ควรลืมสำรองเอาไว้ด้วย
  • Videos: โฟลเดอร์ที่ใช้เก็บไฟล์วีดีโอต่างๆ รวมไฟล์ที่ Capture มาเป็นวีดีโอ ก็จะอยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน
  • Downloads: อาจจะเลือกเก็บเป็นบางไฟล์ หรือบางโปรแกรมที่นำมาใช้ โดยใช้เป็นไฟล์ที่มีการอัพเดตใหม่ หรืออาจจะสำรองเอาไว้ทั้งหมด เพื่อนำไปแยกการใช้งานอีกครั้ง
  • Music: เพลง เสียง และอื่นๆ ถ้ามีสิ่งสำคัญให้สำรองเอาไว้ก่อน
  • นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องของ Sticker note หรืออื่นๆ ให้ลองดูว่าเราเพิ่มเติมการใช้งานอื่นใดเข้าไปบ้าง เพราะบางอย่างไม่ต้องสำรองไฟล์ แค่ใช้ Log-in เดิม เช่น Google account หรือ Microsoft account สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็พร้อมให้คุณใช้งานได้ทันที

ประโยชน์ และข้อควรระวังในการล้างเครื่อง Reset PC

  1. การ Reset PC ช่วยให้คุณได้คอมเหมือนเครื่องที่เพิ่งลงวินโดว์มาใหม่ๆ แต่อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง ตามเวอร์ชั่น รวมถึงควรต้องเตรียมไดรเวอร์หรือแหล่งดาวน์โหลด เพื่อการอัพเดตได้อย่างรวดเร็ว
  2. แต่การ Reset จะทำให้โปรแกรม และข้อมูลของคุณหายไปทั้งหมด ยกเว้นว่า คุณจะสำรองข้อมูลเอาไว้แล้ว หรือจะเลือกเป็นแบบ Keep Data
  3. การ Reset PC เช่นนี้ อาจไม่ได้ส่งผลให้การเล่นเกม เฟรมเรตพุ่ง โดยตรง แต่ก็ช่วยให้การเล่นเกมโดยรวมดีขึ้น เพราะมีการ Clear Cache, ลบไฟล์ขยะ และกำจัดสิ่งที่เป็น Process ของซีพียู แรม เป็นต้น
  4. ข้อควรระวัง สำรองข้อมูล ต่ออแดปเตอร์จ่ายไฟไว้ตลอด โปรแกรมกับไดรเวอร์ต้องหามาเตรียมเอาไว้ กรณีที่อุปกรณ์บางอย่าง ใช้ไดรเวอร์เฉพาะ

ขั้นตอนในการ Reset PC

ล้างเครื่อง

สำหรับใครที่ใช้ Windows 10 และ Windows 11 กดปุ่ม Start เลือก Settings แล้วไปที่ Update & Security ในหน้านี้จะมีตัวเลือกค่อนข้างเยอะ ควรเลือกให้ถูกต้องตามขั้นตอน

Advertisementavw
ล้างเครื่อง

เลือกที่ Recovery ที่อยู่ในแถบซ้ายมือ บริเวณใกล้กับ Activation จากนั้น ไปที่หัวข้อ Reset this PC ทางด้านขวา กดปุ่ม Get started

ล้างเครื่อง

จากนั้นจะเข้าสู่หน้าที่ให้เราเลือกว่าจะทำการ Reinstall Windows แบบใด จะมีให้เลือก 2 แบบ ที่มีการใช้งานต่างกันคือ

ล้างเครื่อง
  • Keep my files: จะเป็นการ Reset ระบบ พร้อมเก็บข้อมูลส่วนตัวของคุณไว้ เช่น ภาพ วีดีโอ Document และอื่นๆ รวมถึงโปรแกรมที่คุณใช้) ข้อดีคือ คุณไม่ต้องไปโปรแกรมเดิมมาลงใหม่ ไฟล์ข้อมูลของคุณจะไม่หายไปไหน แต่คุณจะต้องรอนานมากในขั้นตอนนี้ นานชนิดบางทีคุณลงวินโดว์ใหม่ เร็วกว่า
  • Remove Everything: เป็นแบบที่เหมาะกับคนที่ต้องการความเร็ว และเคลียร์ไฟล์ รวมถึงซอฟต์แวร์ที่มีปัญหาต่างๆ ออกทั้งหมด ในส่วนนี้จะใช้เวลาไม่มาก และได้ผลค่อนข้างดี เพราะจะแก้ปัญหาบางอย่างที่อาจจะไม่สามารถทำได้ใน Error checking หรือการ Uninstall Program เพียงอย่างเดียว

ซึ่งถ้าคุณสำรองไฟล์ข้อมูลต่างๆ เอาไว้ตั้งแต่ต้นเรียบร้อยแล้ว ให้เลือกที่ Remove everything ได้เลยครับ ให้คลิ๊กตรงนี้

ล้างเครื่อง

เมื่อเข้ามาที่ Additional settings หรือการตั้งค่าพื้นฐาน สามารถเลือก Change settings ได้

ล้างเครื่อง

ให้ตั้งเป็นค่าเดิมไว้ คือ Off ตรงนี้ถ้าเลือก On ก็จะเข้าเงื่อนไขของระบบ เช่น ลบได้ไว แต่ไม่ปลอดภัย รวมถึงเฉพาะข้อมูลที่อยู่ในไดรฟ์นี้ จะหายไปเมื่อติดตั้งวินโดว์ จากนั้นกด Confirm จากนั้นคลิ๊ก Next ต่อไป

ล้างเครื่อง

มาถึงตรงนี้ หากเป็นโน๊ตบุ๊ค ระบบจะแจ้งเลยว่า ให้ต่อสายอแดปเตอร์เข้ากับเครื่อง เพื่อทำการชาร์จไฟ ซึ่งอาจเกิดปัญหาได้ หากไฟดับ แบตหมดขณะที่กำลัง Reset อยู่ หากของใครไม่ยอม Reset ให้ ลองเสียบสายชาร์จดูครับ

ล้างเครื่อง

เมื่อเข้าหน้า Ready to reset this pc ระบบบอกว่าพร้อมแล้ว สำหรับการ Reset เลือกที่ Reset ได้เลย

ล้างเครื่อง

ให้รอสักครู่ ระบบกำลังทำการ Preparing หรือจัดเตรียมลำดับสักครู่ ก่อนจะทำการ Reset จะนานหรือไม่ขึ้นอยู่กับความแรงของโน๊ตบุ๊ค

Reset PC Cleanup 2023 31

ระหว่างขึ้นหน้าจอสีดำ อย่าเพิ่งทำอะไร หรือไปถอดปลั๊ก ให้รอกระบวนการ Reset ไปสักระยะ จากนั้นระบบจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการติดตั้ง Windows อีกครั้งหนึ่ง บนหน้าจอสีฟ้าๆ ให้รอจนกว่าจะเสร็จสิ้น

เสร็จแล้วระบบจะให้เราทำการตั้งค่าต่างๆ ก่อนจะใช้งาน Windows ซึ่งตรงนี้ จะคล้ายกับที่เราติดตั้ง Windows ใหม่นั่นเอง ใครที่อยากดูรายละเอียดตรงนี้ให้ครบๆ สามารถคลิ๊กดูบทความ สอนลงวินโดว์ ฉบับเต็ม ได้เลยครับ

ล้างเครื่อง

ขั้นแรก เลือก Region ตรงนี้จะเลือก Thailand หรือจะคลิ๊ก Yes ไปก่อน แล้วค่อยตั้งค่า เมื่อเข้าสู่ Windows แล้ว ก็ได้

ล้างเครื่อง

ต่อมา Keyboard layout เลือก US จากนั้น Language ให้เลือก ภาษาไทย แล้ว Next เลือก Thai Kedmanee

ล้างเครื่อง

เมื่อเข้ามาหน้าการเชื่อมต่อเครือข่าย ตรงนี้แนะนำว่าให้กด I don’t have internet ไปก่อนครับ เพราะไม่อย่างนั้น คุณจะต้อง Log-in Microsoft account ก่อน ซึ่งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน

ล้างเครื่อง

ต่อมาระบบจะถามว่า ใครจะเป็นคนที่ใช้เครื่องนี้ ใส่ชื่อเราที่เป็นเจ้าของเครื่องก็ได้ครับ แล้วกด Next

ล้างเครื่อง

ส่วนของ Password หรือรหัส ใครจะตั้งเลยก็ได้ หากใช้เครื่องคนเดียว แต่ถ้าใช้กันหลายคน อาจจะเอาไว้ตั้งทีหลังก็ได้ครับ กด Next

ล้างเครื่อง

ในหัวข้อ Choose Privacy Settings นี้ จะให้คุณเลือกเปิดใช้งานความเป็นส่วนตัวของคุณ ตัวอย่างเช่น Location เพื่อให้ระบบรายงานเส้นทาง สภาพอากาศ รวมถึงการบริการต่างๆ จากไมโครซอฟท์ เมื่ออยู่ในพื้นที่นั้นๆ หรือไม่ หรือจะเป็น Find my device ในการเปิดให้ค้นหาอุปกรณ์ของคุณ กรณีที่เกิดการสูญหาย รวมถึง Diagnostic data จะส่งข้อมูลบางส่วนให้กับเว็บไซต์จากเบราว์เซอร์ที่คุณใช้ เพื่อให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์และเปิดใช้งานฟีเจอร์เกี่ยวกับ Activity และอื่นๆ เพื่อรายงานความผิดพลาด ที่เกิดขึ้นเมื่อใช้งาน หรือจะเป็น Inking & Typing เป็นต้น

ล้างเครื่อง

รอจนกว่าระบบจะบูตเข้าสู่หน้า Desktop ตรงนี้ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คแบรนด์ต่างๆ อาจจะมีขั้นตอนที่เพิ่มเติมเข้ามา รวมถึงแอพพลิเคชั่นที่จะติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาในระบบ ไม่ต้องตกใจ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปได้เลย นั่นคือการอัพเดตสิ่งต่างๆ ให้พร้อมสำหรับการใช้งาน

ล้างเครื่อง

สิ่งที่คุณจะต้องทำต่อไปคือ ต่ออินเทอร์เน็ต จะใช้ WiFi หรือสาย LAN ก็ตามสะดวกครับ ตรงนี้ผมแนะนำว่า หากคุณจะเครือข่ายนี้ที่บ้านเป็นค่าปกติ ก็เชื่อมต่ออัตโนมัติได้เลย เพราะจะต้องใช้อินเทอร์เน็ตอีกพอสมควรในการอัพเดตและติดตั้งสิ่งต่างๆ ภายในเครื่อง

ล้างเครื่อง

ให้ทำการ Update Windows, ลงโปรแกรม และย้ายไฟล์ของคุณกลับมาวางเอาไว้ที่เดิม เป็นอันเสร็จสิ้น

ทั้งหมดนี้ จะใช้เวลาอยู่ที่ราวๆ 10 กว่านาที ถามว่าเร็วกว่าลง Windows ใหม่มั้ย บอกเลยว่าใกล้เคียงกัน แต่…ไม่ต้องเตรียมแฟลชไดรฟ์ ไม่ต้องใช้แผ่นลง ลดเวลาไปไม่น้อยเลย


ข้อสังเกตหลังการ Reset

  • Windows หลักตัวเดิมของคุณเป็นเวอร์ชั่นใด เมื่อ Reset จะกลับไปเป็นแบบเดิมคือ ระบบตั้งต้น
  • ต้องอัพเดตไดรเวอร์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต เมนบอร์ด การ์ดจอ และอื่นๆ
  • ต้องเตรียมโปรแกรมและซอฟต์แวร์ใหม่ให้พร้อม เมื่อติดตั้งเสร็จให้ Activate ใหม่อีกครั้ง
  • อย่าลืม หากใครใช้ระบบ 2 ภาษา แล้วต้องใช้งานปุ่ม “Grave Accent” หรือปุ่มตัวหนอนในการสลับภาษา สามารถทำตามขั้นตอนนี้ได้เลย สำหรับคนที่ใช้ Windows 11

วิธีสลับภาษาด้วยปุ่ม Grave Accent

ล้างเครื่อง
  1. คลิ๊กขวาที่ปุ่ม Win แล้วเลือก Settings
  2. เลือกที่ Time & Language ที่อยู่ทางแถบด้านซ้าย
  3. จากนั้นเลือก Language & Region
  4. เลื่อนลงมาด้านล่าง แล้วเลือก Typing
  5. ในหน้า Typing ให้เลือก Advance keyboard settings
  6. หน้านี้ ให้เลื่อนลงมาด้านล่าง ดูในหัวข้อ Switch input methods ให้คลิ๊กที่หัวข้อ Input language hot keys
  7. เลือกที่ between input languages
  8. แล้วเลือก Change key sequence…
  9. หน้าต่างที่ปรากฏขึ้น ให้เลือกใส่เครื่องหมาย Grave Accent แล้ว Ok
  10. เท่านี้เป็นอันเสร็จสิ้น การสลับภาษาด้วยปุ่มตัวหนอน

สรุปการล้างเครื่อง

ล้างเครื่อง

โดยสรุปกับขั้นตอนการล้างเครื่อง Reset PC ไม่ได้ยุ่งยากใช่มั้ยครับ ด้วยการทำไม่กี่ขั้นตอนนี้ สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบ ในกรณีที่เกิดสิ่งผิดปกติในการใช้งาน เช่น ไดรเวอร์ ซอฟต์แวร์ และยูทิลิตี้ต่างๆ ที่ลงไปในเครื่อง แล้วทำให้ระบบทำงานผิดเพี้ยน หรือใช้งานมานาน แล้วอยากจะล้างระบบ เพื่อเคลียร์สิ่งต่างๆ ให้ระบบกลับมาเฟรชเหมือนใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญ ที่อยากจะย้ำในทุกครั้งที่ต้องทำสิ่งใดเกี่ยวกับระบบ แนะนำว่าให้สำรองข้อมูลต่างๆ เอาไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย รวมถึงเตรียมสายชาร์จ ในกรณีที่ใช้โน๊ตบุ๊ค และมีอินเทอร์เน็ตในการเชื่อมต่อ จากนั้นทำทีละขั้นตอนแบบไม่ต้องรีบร้อน และหลังจากที่ล้างเครื่องเรียบร้อยแล้ว ใครที่ไม่แน่ใจ ผมอยากให้ดูในแต่ละขั้นตอนให้ครบถ้วน ก่อนจะลงมือทำจะดีที่สุดครับ ย้ำว่า การเตรียม สำรองข้อมูล และโปรแกรมบางส่วนไว้ ช่วยให้หลัง Reset ง่ายขึ้น ส่วนถ้ามีติดตรงจุดใด สามารถคอมเมนต์กันเอาไว้ได้เลยครับ สุดท้ายนี้ ปปป

from:https://notebookspec.com/web/683632-reset-pc-windows-11-2023

Advertisement

ไดร์ d หาย ไม่เจอไดร์ บูตระบบไม่ขึ้นแก้ไข เรียกคืนบน Windows 10 ปี 2022

ไดร์ d หาย แก้ปัญหาไดร์พัง ข้อมูลหาย 2022 ซ่อมหาย ได้ข้อมูลคืน

Lost Drive D cov1

ไดร์ d หาย เป็นปัญหาใหญ่ของใครหลายคนที่มักจะเก็บข้อมูลหรือไฟล์งาน และไฟล์สำคัญ สำรองเอาไว้ในนั้น ซึ่งความเสียหายมักจะเป็นปัญหาใหญ่กว่าการที่ไดร์ C: เสียอีกด้วย เพราะการที่จะกู้คืนไฟล์มาได้นั้น จำเป็นต้องทำให้ระบบมองเห็นไดร์ก่อน ถึงจะทำได้ อาการส่วนใหญ่ที่เกิด หากเป็นฮาร์ดดิสก์ (HDD) มักจะมีการโอนถ่ายข้อมูลช้า มองไม่เห็นไดร์เป็นครั้งคราว รวมถึงมีเสียงแปลกๆ เกิดขึ้นในบางครั้ง และมีการสะดุดเมื่อกำลังหาข้อมูลในไดร์ หรือเกิดบลูสกรีน (BSOD) หรือจอฟ้า และมักจะลงเอยด้วยอาการคอมค้าง หรือไดร์ D: หาย เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว จะต้องแก้ไขอย่างไร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตัวไดร์และข้อมูล วันนี้เรามีแนวทางมาแนะนำกัน 5 ข้อ ว่ากันตั้งแต่การตรวจเช็คไดร์ ดูความผิดปกติของระบบ รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น เพื่อหาทางสำรองข้อมูลและการป้องกันในระยะยาวจะทำอย่างไรได้บ้าง มาดูกันครับ


ไดร์ d หาย


สาเหตุของไดร์ D: หาย

ฮาร์ดดิสก์เสีย ไดร์หาย มองไม่เห็นไดร์ แก้ไขอย่างไรได้บ้าง?

Advertisementavw

ฮาร์ดแวร์ทำงานผิดปกติ: มีโอกาสเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะฮาร์ดไดรฟ์ที่ใช้งานต่อเนื่องมานาน รวมถึงเมนบอร์ด ที่อาจเกิดจากความผิดปกติของคอนโทรลเลอร์ หรือมีการลัดวงจรและเพาเวอร์ซัพพลายที่จ่ายไฟไม่พอ หรือเสียหายจากแรงดันไฟก่อนหน้านี้ ก็มีส่วนทำให้มองไม่เห็นไดร์ D: หรือไดร์ D หายได้เช่นกัน

ไดร์ d หาย

สิ่งที่ต้องทำก็คือ การตรวจเช็คในเบื้องต้น ด้วยวิธีการง่ายๆ และปลอดภัยที่สุดคือ ในกรณีที่เป็นไดร์ D แยกจากไดร์ C: หรือเป็นไดร์คนละตัว ก็ให้นำไปต่อกับคอมเครื่องอื่น แล้วดูว่าระบบสามารถมองเห็นไดร์ D ได้ตามปกติหรือไม่ ถ้าจะให้ดี ควรจะต้องตรวจเช็คกันตั้งแต่ในหน้าของ BIOS ดูว่าระบบมองเห็นได้จากเมนบอร์ดเลยหรือไม่ เพราะถ้าเมนบอร์ดมองเห็น แต่เมื่อเข้าไปในระบบปฏิบัติการ แล้วมองไม่เห็น ก็จะได้ใช้วิธีอื่นในการแก้ไขปัญหาต่อไป


BIOS มองไม่เห็นไดร์

ไดร์ d หาย

หาก BIOS มองไม่เห็นไดร์ อาการอาจจะค่อนข้างหนัก แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะอาจเกิดความผิดพลาดในบางจุดก็เป็นได้ ให้เข้าไปที่แท็ป Settings ใน BIOS จากนั้น เข้าไปดูที่หัวข้อ NVMe หรือ SATA configuration แล้วดูว่าระบบถูกปิดการทำงานหรือไม่ ด้วยการดูที่ Settings > SATA Configuration จากนั้นไปที่ SATA Controller แล้วดูว่า Enable อยู่หรือไม่ กรณีที่เป็น Disable ก็มีส่วนที่จะทำให้หาไดร์ไม่เจอ หรือระบบจะไม่เปิดการทำงานของไดร์ SATA หรือ NVMe ที่ติดตั้งอยู่ให้ทำงานได้ตามปกติ

ไดร์ d หาย

และเมนบอร์ดบางค่าย เช่น Gigabyte AORUS จะมีฟีเจอร์ตรวจเช็ค Storage บนไบออสมาให้ เพื่อดูว่าไดร์ยังทำงานปกติอยู่หรือไม่ ซึ่งหากทดสอบแล้วผ่าน ก็จะขึ้นเป็น Pass หมายถึงพร้อมใช้งาน แต่บางเมนบอร์ดก็จะมีการทดสอบ Controller มาให้อีกด้วย

กรณีที่ไดร์ D หาย แต่มองเห็นบน BIOS ให้แน่ใจว่า ตัวไดร์ไม่ได้ถูกปิดกั้นหรือ Disable บนไบออสตั้งแต่แรก ให้ดูง่ายๆ จากการเข้าไปที่ BIOS ด้วยการกด F2, Del, F9, F11 หรือตามแต่เมนบอร์ดและโน๊ตบุ๊คของแต่ละผู้จำหน่ายระบุไว้อย่างไร เมื่อเข้าไปสู่หน้า BIOS ได้แล้ว ให้เข้าไปในแท็ป Advance ในนี้จะมีหัวข้อ SATA Controller ในนี้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับไดร์ ที่เป็นแบบ SATA ซึ่งระบบจะตรวจเช็คว่าเจอไดร์ที่ต่อพ่วงอยู่หรือไม่ หากเจอในนี้ ก็ยังพออุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้เรายังสามารถเข้าไปในแท็ป Boot เพื่อดูว่าเมนบอร์ดตรวจพบไดร์ที่เราใช้งานอยู่หรือไม่ และส่วนใหญ่หากไม่ติดปัญหาอะไร ก็จะตรวจพบในทันทีที่เราติดตั้งไดร์ลงไปในระบบ ไม่ว่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คหรือพีซีก็ตาม ถ้าเจอใน BIOS แล้ว ก็ให้ไปสู่ขั้นตอนต่อไป

ไดร์ d หาย

โดยวิธีการตรวจเช็คในเบื้องต้น หากไม่เจอไดร์ในระบบ เมื่อตรวจเช็คผ่าน BIOS ให้ลอง ถอดอุปกรณ์ออกมาจากโน๊ตบุ๊คหรือพีซี ไม่ว่าจะเป็นไดร์ SSD ที่เป็นสล็อต M.2 NVMe หรือฮาร์ดดิสก์ที่ต่อบนพอร์ต SATA ให้ลองถอดมาต่อกับพอร์ตอื่นๆ ที่เหลืออยู่บนเมนบอร์ด เพราะอย่างน้อยๆ หากคอนโทรลเลอร์บนเมนบอร์ดไม่ได้เสีย หรือมีโอกาสที่น้อยมากๆ จะเสีย ก็อาจจะเป็นที่พอร์ต ซึ่งใช้มานาน วิธีนี้ช่วยให้การตรวจเช็คในเบื้องต้นทำได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊ค ถ้าไม่มีสล็อตที่เพิ่มเติมมาให้ เพราะส่วนใหญ่หากไม่ได้เป็นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค ก็มักจะมีมาให้สล็อตเดียวเท่านั้น อาจจะต้องนำไปลองต่อกับพีซีอื่นๆ แทน


ฮาร์ดดิสก์เสียหรือ SSD พัง

ก็มีโอกาสที่เป็นไปได้ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ที่ใช้มานาน หรือ SSD ที่มีการเขียนข้อมูลมายาวนาน โอกาสที่แผงวงจรที่ติดมาด้วยเสียหาย หรือกลไกบางอย่างเกิดปัญหา เช่น จานหมุนหรือหัวอ่าน ก็มีผลต่อการใช้งานด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะไม่สามารถตรวจพบไดร์ D หรือไดร์ D หายได้แล้ว บางครั้งก็เกิดเสียงที่เสียดแทงหัวใจได้อีกด้วย ส่วนถ้าเป็นทาง SSD ทั้งในแบบ SATA หรือ M.2 NVMe บางครั้งก็เสียไปโดยไม่มีอาการเตือนให้เดาได้ล่วงหน้า หรือเสียหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็เป็นได้ แต่ทั้ง 2 รูปแบบนี้ สามารถตรวจเช็คอาการหรือวิธีการสแกนล่วงหน้า เพื่อเป็นการเตรียมตัวหรือป้องกันได้อย่างน้อยๆ ก็ยังพอจะให้โอกาสเราได้ทำการสำรองข้อมูลได้ก่อนที่จะเสียหายไปตลอดกาล

ไดร์ d หาย

อย่างไรก็ดี หากไม่จำเป็นก็ไม่แนะนำให้ทำการแก้ไขหรือกู้คืนข้อมูลด้วยตัวเอง ถ้าเป็นข้อมูลสำคัญมากๆ เพราะการดัดแปลง ใช้การสแกน ก็จะยิ่งทำให้หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ทำงาน และส่งผลเสียต่อข้อมูลที่ถูกบันทึกเอาไว้ได้ ซึ่งถ้ามีความจำเป็น อยากให้ติดต่อผู้ที่มีความชำนาญ ในการกู้คืนไฟล์ระดับมืออาชีพ และในปัจจุบันยังสามารถกู้ข้อมูลจาก SSD ได้อีกด้วย ซึ่งมีให้บริการอยู่ด้วยกันหลายรายในบ้านเรา อาทิ

ไดร์ d หาย

IDR Lab: ผู้ให้บริการด้านกู้คืนข้อมูลรายใหญ่ในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์, SSD, SD Card หรือโมบายต่างๆ พร้อมห้องปฏิบัติการ และผู้ชำนาญงาน ให้บริการมายาวนานทีเดียว สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ Hotline 094-692-8080 หรือ 080-591-3536

ATL Recovery: แหล่งให้บริการกู้ข้อมูลที่เรียกว่าอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า ให้บริการด้านการกู้ข้อมูลในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์ SSD, Notebook หรือจากไวรัสโจมตี มีเครื่องมือพร้อม Lab พร้อมให้บริการ ส่งด้วยตัวเอง Drop point หรือพัสดุก็ได้ สามารถโทรสอบถามได้ที่ 081-318-4466

CR Data Recovery Lab: เป็นค่ายที่ให้บริการด้านการกู้คืนข้อมูลเช่นกัน มีการตรวจเช็คความเสียหาย และอัตราค่าบริการที่น่าสนใจ รองรับการแก้ไขปัญหาข้อมูลที่ผิดพลาดในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ก็ตาม ติดต่อเบอร์โทร Hotline 062-919-7966

ไดร์ d หาย

I-CU DATA RECOVERY: อีกหนึ่งค่ายบริการกู้ข้อมูลที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้เป็นอย่างดี มาพร้อมห้อง Lab และพาร์ทต่างๆ ที่จะช่วยให้การกู้ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์หรือ SSD และอุปกรณ์ประเภท Memory และสื่อบันทึก Backup ได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น และการกู้ด้วยซอฟต์แวร์ที่วางใจได้ ผ่านประสบการณ์มานาน สามารถโทร Hotline 984-438-9848


ตรวจเช็คฮาร์ดดิสก์ด้วยโปรแกรม

โปรแกรม HDTune ไม่ได้เป็นแอพพลิเคชั่นในการดูสเปคของฮาร์ดดิสก์ที่เป็นแบบจานหมุนทั้งหลายที่อยู่ในระบบเท่านั้น แต่ยังช่วยตรวจสอบสุขภาพของ HDD ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ด้วยการใช้ฟังก์ชั่นที่เรียกว่า Error scan และจะรายงานให้เราได้ทราบ ว่ามีแถบสีแดง (ผิดปกติ) หรือสีเขียว (ปกติ) บนไดรฟ์ของเรามากน้อยเพียงใด โดยเลือกสแกนแบบละเอียดได้ในกรณีที่คุณมีเวลาตรวจในช่วงสัปดาห์หรือเดือน ซึ่งจะทำให้เราทราบผลได้แม่นยำมากขึ้น แต่ถ้าในกรณีที่มีเวลาน้อย หรือจะตรวจเช็คแบบด่วนๆ ก็ใช้วิธี Quick scan ได้เช่นกัน การสแกนไม่จำเป็นต้องถี่มากนัก แต่ให้มีเวลาในการตรวจสอบบ้างก็พอ

ไดร์ d หาย

แต่ถ้าเป็น SSD ก็มีโปรแกรมตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างเช่น CrytalDiskInfo ที่ใช้ในการตรวจสอบสุขภาพของ SSD ที่ติดตั้งอยู่ในระบบ โดยจะบอกข้อมูลอย่าง Health status และ Temperature ให้ได้ทราบ เพื่อเป็นการตรวจเช็คในเบื้องต้นว่า สถานะของ SSD เหล่านี้ ทำงานได้ตามปกติหรือเปล่า หรือเกิดความร้อนสูง รวมถึงมีในจุดใดที่แจ้งความผิดปกติหรือไม่ ให้สังเกตตรง Health Status ซึ่งหากต้องระวังจะขึ้นเป็น Caution สีเหลือง ส่วนถ้าเกิดความเสียหายแล้ว จะขึ้นเป็น Bad เป็นสีแดง ส่วนใหญ่ถ้ามาถึงจุดนี้ ก็มักจะเกิดปัญหาตั้งแต่ Copy file ไม่ได้ เปิดไฟล์ดูข้อมูลในไดรฟ์ไม่ขึ้น แต่ก็จะยังตรวจพบไดรฟ์อยู่บนระบบนั่นเอง


แก้ไขเริ่มต้นด้วย Windows

บนระบบปฏิบัติการ Windows นั้น จะมีฟังก์ชั่นที่ช่วยในการตรวจเช็คและแก้ปัญหาไดร์ D หายในเบื้องต้นไว้ให้ 2 ส่วนด้วยกันคือ

ไดร์ d หาย

Error Checking: ในกรณีที่มองเห็นไดร์บ้าง หรือบางครั้งก็หายไป แต่ยังพอมีโผล่มาให้เห็นใน File Explorer ให้ลองคลิ๊กขวาที่ตัวไดร์ แล้วเลือก Properties จากนั้นไปที่แท็ป Tool จากนั้นคลิ๊กที่ปุ่ม Check ในหัวข้อ Error Checking แล้วทำตามขั้นตอนไปตามปกติ จนเสร็จสิ้น สิ่งนี้จะช่วยในการตรวจสอบความผิดพลาดจากกรณีของซอฟต์แวร์หรือการตรวจเช็คจากระบบมีความผิดพลาด พอจะมีโอกาสช่วยได้บ้างในบางกรณี แต่ลองทำดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร

ไดร์ d หาย

Disk Management: เป็นฟังก์ชั่นที่ช่วยจัดการบรรดาไดร์ต่างๆ ที่อยู่ในระบบ ซึ่งหลายคนมักเจอปัญหาหลังจากที่ลงวินโดว์ใหม่ แล้วไม่ได้เซ็ตไดร์ใหม่เอาไว้ หรือเดิมมี 2 ไดร์ แต่ถูก Delete Partition ออกไป จนกลายเป็นไดร์เดียว ตรงนี้ถ้าไม่ได้มีข้อมูลสำคัญก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามีอยู่นั้น ก็ต้องหาทางกู้ข้อมูลกันต่อไป สามารถคลิ๊กดูวิธีกู้คืนไฟล์ ได้เลย แต่ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า โอกาสที่จะกลับมาได้ ค่อนข้างสูงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ 100% คงต้องทำใจเอาไว้เล็กน้อย ส่วนวิธีการแก้ปัญหาไดร์หาย ก็สามารถแก้ไขได้ตามเงื่อนไขเหล่านี้

ไดร์ d หาย

ไดร์ D เป็นไดร์เดียวกับ C หรือใช้ฮาร์ดดิสก์ และ SSD ลูกเดียวกัน ให้เข้าไปที่ Disk Management ด้วยการคลิ๊กเมาส์ขวา ที่มุมด้านซ้ายล่างของหน้าจอ > จากนั้นคลิ๊กขวาที่ไดร์ C ที่ติดตั้งวินโดว์ แล้วเลือก Shrink Volume เพื่อทำการแบ่งพื้นที่ของไดร์ ให้ใส่ตัวเลขความจุที่ต้องการลงในช่องว่าง ตัวเลขจะระบุเป็น MB ซึ่งหากจะตั้งเป็นตัวเลขกลมๆ ก็ได้เลย เช่น 100,000MB จะใกล้เคียงกับความจุ 100GB นั่นเอง เป็นตัวเลขแบบประมาณการ จากนั้นคลิ๊กขวาในพื้นที่ว่างสีดำที่เกิดขึ้น แล้วเลือก Format รอไม่นาน ก็จะมีไดร์ D ขึ้นมาให้เราเห็น

Total Size before shrink in MB ? จำนวนพื้นที่ของไดรฟ์ทั้งหมด

  • Size of available shrink space in MB ? พื้นที่ว่างของไดรฟ์ ที่เราจะสามารถแบ่งได้ออกมาสร้างไดร์ใหม่ได้
  • Enter the amount of space shrink in MB ? ช่องว่างนี้จะเป็นที่ให้ใส่ขนาดพื้นที่ที่เราจะแบ่งเป็นพื้นที่ว่างที่จะทำเป็นไดรฟ์อีกไดรฟ์
  • Total size after shrink in MB ? พื้นที่บนไดร์ ที่เหลือหลังการแบ่งพื้นที่ปกติแล้ว

ไดร์ D เป็นฮาร์ดดิสก์คนละลูก ก็ให้ทำวิธีเดียวกัน ด้วยการเข้าไปใน Disk Management ในกรณีที่ระบบ Detect เจอ แต่ไดร์ไม่ Active หรือเป็นสีเทาๆ อยู่ สามารถเลือกให้ระบบทำการตรวจเช็ค และเปิดให้ใช้งานได้ทันที ดูวิธีการจัดการพาร์ทิชั่น


ถูกฟอร์แมตโดยไม่ตั้งใจ

เป็นสิ่งที่หลายคนไม่อยากให้เกิด แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ หากเราไม่ทันระวัง โดยเฉพาะกับคนที่มีฮาร์ดดิสก์หลายลูก หรือติดตั้ง SSD หลายตัว และอาจไม่ได้จัดเรียงหรือใส่ label ของไดร์แต่ละตัวไว้อย่างชัดเจน ซึ่งก็ทำให้บางครั้งลบไดร์ หรือฟอร์แมตผิดไดร์ได้ง่ายๆ ดังนั้นทางที่ดีควรทำ Check list ของแต่ละไดร์ ไม่ว่าจะเป็น ความจุ หรือ Label เอาไว้ เผื่อจะต้องฟอร์แมตหรือลงวินโดว์ใหม่ จะได้ไม่ผิดคิว โดยเฉพาะการลงวินโดว์ใหม่ หากเป็นไปได้ควรถอดหรือดึงสายที่ต่อพ่วงกับ HDD หรือ SSD ที่ไม่ได้ใช้ออกเสียก่อน เพื่อความปลอดภัย

ไดร์ d หาย

แม้ว่าฟอร์แมตไดร์ไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ไดร์ D ก็จะยังคงอยู่ ดังนั้นถึงจะลบข้อมูลต่างๆ ออกไปแล้ว แต่ใน File Explorer ก็ยังจะมองเห็นไดร์ในระบบ Windows อยู่ ยกเว้นว่าจะถูก Delete Drive ทิ้งไปด้วย ก็จะมองไม่เห็นไดร์ใน Explorer แต่จะเห็นได้ Disk Management แต่อยู่ในสภาพยังไม่ได้ฟอร์แมต มีให้ 2 ทางเลือกคือ คลิ๊กขวาที่ไดร์นั้น แล้วสั่ง Format ซึ่งจะเท่ากับว่าข้อมูลจะหายไปอีกรอบ ใช้ในกรณีที่ไม่สนใจข้อมูลเหล่านั้นแล้ว แต่ถ้าต้องการนำข้อมูลคืนมา แนะนำว่าให้ส่งผู้ให้บริการสำหรับการกู้ข้อมูลที่เป็นมืออาชีพ เพราะมีโอกาสได้ข้อมูลกลับคืนมาเกือบ 100% เลยทีเดียว

แต่ถ้าข้อมูลเหล่านั้น อาจจะมีบางส่วนที่สำคัญ ไม่ต้องคืนกลับมาทุกส่วน ก็ยังพอมีโปรแกรมที่ใช้ในการกู้ข้อมูลในเบื้องต้นมาได้ เช่น Data Recovery, UnDelete Myfile, Recova หรือ Data rescue เป็นต้น


Conclusion

สุดท้ายนี้ก็คงต้องบอกว่าปัญหาไดร์ D หาย มีแนวทางการแก้ปัญหาได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับอาการที่เกิดขึ้น หากจะสรุปก็คือ สามารถเช็คได้ตั้งแต่ BIOS ว่ามีการตรวจเช็คเจอไดร์ที่ติดตั้งไว้ครบหรือไม่ อาจเริ่มเช็คการเชื่อมต่อ และการตั้งค่า BIOS ของ Storage ให้เป็น Enable จากนั้นเข้ามาเช็คในระบบปฏิบัติการด้วย Disk Management เพราะอาจเป็นไปได้ว่า ฟอร์แมตผิดไดร์ หรือถูกลบ Delete Drive ออกไป หรือหากตรวจพบมองเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ใช้ฟีเจอร์ Error Checking ในการตรวจสอบความผิดปกติได้ รวมถึงการใช้ซอฟต์แวร์บอย่าง HDTune หรือ CrystalDiskInfo ในการเช็คปัญหาของไดร์ที่ใช้งานอยู่ในระบบ และสุดท้ายหากเกิดปัญหาหรือความเสียหายกับไดร์ D ก็คงต้องแก้ไข หรือหากจะกู้ข้อมูลกลับคืน ก็อาจใช้บริการของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในการกู้คืนข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพนั่นเอง

from:https://notebookspec.com/web/646581-fixed-drive-d-lost-2022

เพิ่มความเร็ว วินโดว์ 11 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้การเล่นเกม ทำงานลื่นขึ้น

เพิ่มความเร็ว วินโดว์ 11 ใน 11 ขั้นตอน เร่งสปีดให้กับการเล่นเกม เปิดเครื่องไว ทำงานได้ลื่นเหมือนได้เครื่องใหม่

Increase speed windows cov2

เพิ่มความเร็ว วินโดว์ อาจจะดูเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น เมื่อคุณเพิ่งจะเปิดใช้งานเครื่องใหม่ หรือลงวินโดว์ใหม่ในช่วงแรกๆ แต่เมื่อใช้งานไปได้สักระยะ หลายคนอาจจะพบว่าคอมเริ่มช้าลง หรือทำงานได้ไม่ทันใจ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเครื่อง เปิดไฟล์ หรือเล่นเกมและทำงาน ส่วนหนึ่งเพราะระบบมีการใช้งานและเกิดสิ่งต่างๆ สะสม และพฤติกรรมของผู้ใช้เองก็มีส่วน ดังนั้นวิธีที่จะช่วยให้การทำงานไหลลื่น ความเร็วกลับมาเหมือนเดิมหรือใกล้เคียง ก็ต้องมีการปรับปรุงและอัพเดตให้ Windows 11 กลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยให้คอมของคุณกลับมาใช้งานได้ตามเดิม หรือถ้าจัดสรรได้ดี ก็จะทำงานได้เร็วขึ้น โดยใช้วิธีง่ายๆ ใน 11 ขั้นตอนดังนี้

เพิ่มความเร็ว วินโดว์ 11 ได้ใน 11 ขั้นตอน

  1. Update Driver
  2. Transparency Effect
  3. Personalize your background
  4. Windows Update
  5. Error Checking
  6. Visual Effect
  7. Windows Startup
  8. Duplicate file
  9. Remove Program
  10. Cloud service
  11. Disk Cleanup

1.Update Driver

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

ก่อนที่เราจะไปทำสิ่งอื่นๆ เมื่อจะเพิ่มความเร็ว วินโดว์ 11 เรื่องสำคัญคือ คุณควรจะต้องอัพเดตไดรเวอร์ที่พัฒนามาเพื่อ Windows 11 กันก่อน เนื่องจากหลายครั้งที่ผู้ใช้ จะยังคงใช้ไดรเวอร์ที่เป็นค่าตั้งต้นมาจากการลงวินโดว์แรกๆ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ล่าช้าไปหลายเดือน และเมื่อผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เริ่มปล่อยไดรเวอร์ใหม่ออกมา หลายคนก็ไม่ได้ดาวน์โหลดมาใช้ มีแค่การอัพเดตพื้นฐานจาก Windows Update เท่านั้น ในข้อนี้แนะนำว่าให้ลองไปเช็คในเว็บไซต์ผู้ผลิตในแต่ละชิ้นส่วน โดยเฉพาะ ชิปเซ็ต เมนบอร์ด คอนโทรลเลอร์ และลงรายละเอียดไปยังอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ วิธีการมีด้วยกัน 2 รูปแบบ กรณีที่ไม่ต้องการติดตั้งโปรแกรมช่วยอัพเดตที่เป็น 3rd Party ลงไปในเครื่อง นั่นคือการใช้

Advertisementavw
  • Windows Update – โดยให้ คลิ๊กขวามุมล่างซ้าย > Settings > Windows Update แล้วเลือก View optional update แล้วติดตั้งตามที่ระบบแนะนำ
  • Device Manager – ด้วยการคลิ๊กเลือก Device Manager > เลือกฮาร์ดแวร์ คลิ๊กขวา > Properties > Update Driver

2.Transparency Effect

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

ถ้าโดยพื้นฐานคอมที่คุณใช้อาจจะช้าอยู่แล้วเป็นทุนเดิม จะด้วยสเปคเครื่อง ซีพียูรุ่นเก่า หรือแรมน้อย แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ Minimum ที่ใช้งาน Windows 11 ได้ แต่เมื่อใช้งานไปนานๆ ก็รู้สึกว่าเริ่มจะช้าลง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะด้วยวินโดว์รุ่นใหม่ๆ มักจะมีเอฟเฟกต์สวยๆ เช่น แสง เสียง เงาและลูกเล่นให้ดูตระการตา แต่หลายคนอาจจะไม่ได้ชอบ และไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่คุณสามารถปิดการทำงานสิ่งเหล่านี้ได้ เช่น การปิด Transparency ที่ทำให้หน้าต่าง ภาพและอื่นๆ ดูโปร่ง มองเห็นด้านหลัง ทันสมัย แต่ก็ใช้ทรัพยากรเครื่องอยู่เช่นเดียวกัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อรวมกับสิ่งต่างๆ ที่มีการใช้พลังของซีพียู แรมเข้าไปด้วย ก็อาจส่งผลกระทบต่อความลื่นไหลได้ไม่น้อยเลย

ให้เข้าไปที่ Settings > Personalization > Color > Transparency effects แล้วสไลด์บาร์ให้เป็น Off


3.Personalize your background

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

หลายคนอาจจะชื่นชอบกับการนำภาพคนที่รัก ที่เที่ยวสวยๆ หรือภาพประทับใจที่ถ่ายมาได้ นำมาเป็นภาพพื้นหลังหรือ Background ของวินโดว์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ารัก และบางครั้งก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับการทำงาน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าในแต่ละช่วงวันของคุณนั้น อาจจะแทบไม่ได้มองเห็นภาพเหล่านั้นเลย นั่นเพราะคุณก็จะต้องวุ่นอยู่กับหน้าต่างโปรแกรมหรืองานเอกสารมากมาย จนบางครั้งลืมไปแล้วว่า ตั้งภาพพื้นหลังเป็นอะไร และที่หนักไปกว่านั้นคือ บางครั้งนำไฟล์ภาพจากมือถือหรือกล้องดิจิตอลมาใส่ในเครื่องแบบไม่ได้แปลงไฟล์ ทำให้ไฟล์นั้นใหญ่โต จนกินพลังของเครื่องไปไม่น้อย ยิ่งบางคนใส่ลงมาเป็นโฟลเดอร์ เรียกว่าจัดหนักมา แล้วเปิดเป็น Slide show อีกด้วย การปิดสิ่งเหล่านี้หรือลดลงไปบ้าง ก็จะช่วยให้ระบบของคุณทำงานได้ลื่นขึ้น เพิ่มความเร็ว วินโดว์ได้อีกทาง

วิธีการก็คือ เข้าไปที่ Settings > Personalization > Background > เลือก Personalize your background ให้เป็น Picture หรือ Solid color เพื่อลดภาระของแรมได้อีก


4.Windows Update

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

เช่นเดียวกับ Windows 10 หรือรุ่นก่อนหน้านี้ทั้งหลาย การอัพเดตวินโดว์ มีส่วนช่วยให้ความเร็วของระบบโดยรวมดีขึ้น เพราะเป็นทั้งการซ่อมแซม ปรับปรุง ปิดช่องโหว่ เพิ่มเติมฟีเจอร์ใหม่ หรือเพื่อให้เข้ากับไดรเวอร์ในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น และส่งผลดีต่อฮาร์ดแวร์ได้ ผู้ใช้จึงควรหมั่นอัพเดตในทุกช่วงเวลา แต่ก็ดูจะเป็นปัญหากับใครหลายคน ที่มักจะเจอกัน อัพเดตอีกแล้ว รีสตาร์ทอีกแล้ว ดาวน์โหลดอีกแล้ว อะไรประมาณนี้ แต่ก็เป็นวิธีที่เลี่ยงไม่ได้ การไม่อัพเดตเลย ดูจะไม่เป็นผลดีนัก ซึ่งคุณอาจจะใช้เวลาหลักเลิกงาน พักระหว่างเล่นเกม หรือกำลังจะไปอาบน้ำ กินข้าวหรือไปข้างนอก ปล่อยให้ระบบทำการอัพเดต และรีสตาร์ท ก่อนจะกลับมาใช้งานอีกครั้ง

วิธีการนั้นให้เข้าไปที่ Settings > Windows Update แล้วอัพเดตไปตามขั้นตอนของระบบ


5.Error Checking

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

บางครั้งเครื่องคุณอาจจะอยู่ในระดับกลางๆ หรือว่าแรงในระดับหนึ่ง แต่ทำไมถึงยังช้าอยู่ บางครั้งถึงขั้นสะดุด เปิดไฟล์ไม่ได้ หรือ BSOD ขึ้นเฉยๆ สิ่งนี้กำลังบอกว่าคอมที่คุณใช้อาจะมีปัญหา ส่งผลต่อการเพิ่มความเร็ว วินโดว์ได้เช่นกัน สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ หาวิธีจัดการกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ด้วยการใช้ฟีเจอร์ที่เรียกว่า Error Checking เพื่อให้ระบบทำการสแกนหาปัญหาให้

โดยเข้าไปที่ ไดรฟ์ C: หรือไดรฟ์ที่ใช้ติดตั้งระบบ หรือเปิด File Explorer หรือ This PC ด้วยการกดปุ่ม Win+E จากนั้นคลิ๊กขวาที่ไดรฟ์ที่ต้องการสแกน เช่น C: เลือก Properties > Tools > Error Checking > คลิ๊กที่ Check รอระบบสแกนจนเสร็จสิ้น แล้วทำตามขั้นตอนที่ระบบแนะนำ ก็จะช่วยแก้ปัญหาและปรับปรุงระบบของคุณให้เข้าที่ ทำงานได้เร็วขึ้น


6.Visual Effect

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

ในเรื่องของ Visual Effect เป็นการปรับแต่งที่ต่อยอดมาจาก การปิด Transparency effects โดยในหัวข้อนี้ จะเพิ่มการปิด Animation effects ที่เป็นลูกเล่นสวยๆ บน Windows ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดหน้าต่าง การแสดงผล เปลี่ยนหน้าต่างโปรแกรม และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งก็ทำให้ใช้ทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น เครื่องที่อาจจะช้าอยู่แล้ว ก็ทำให้ช้าลงไปอีก การปิดก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามลดลงไปมากนัก แต่ลื่นไหลมากขึ้น

วิธีการให้เข้าไปที่ Settings > Accessibility > Visual Effect แล้วเลื่อนสไลด์บาร์ของ Transparency effects และ Animation effects ให้เป็น Off


7.Windows Startup

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

คอมจะเร็วขึ้นได้ ก็ต้องเร็วมาตั้งแต่เริ่มเปิดเครื่องแล้วครับ โดยปกติถ้าใครยังใช้ฮาร์ดดิสก์อยู่ แนะนำว่าอย่าข้ามขั้นตอนนี้เด็ดขาด เพราะคุณจะเห็นผลในการทำงานได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเปิดเครื่องเข้าระบบ หลังจากที่กดปุ่มเพาเวอร์ โดยในส่วนของ Startup นี้ จะเป็นตัวบอกว่า คุณมีโปรแกรม หรือยูทิลิตี้อื่นใด ที่รันขึ้นมาพร้อมๆ กับการเปิดเครื่องของคุณ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ทันได้ทราบ เนื่องจากลงโปรแกรมไว้จนลืม ไม่ได้เช็คว่าตัวใดมีความสำคัญ หรือต้องเริ่มเปิดทุกครั้งที่บูตเครื่อง เมื่อมีจำนวนโปรแกรมมากมาย ที่เรียกร้องว่าขอเปิดพร้อมๆ กันขึ้นมา เมื่อ Windows เริ่มทำงาน ก็ทำให้การบูตเครื่องนั้นช้าลง ขึ้นอยู่กับกระบวนการของแต่ละโปรแกรม ซึ่งในความเป็นจริงจะมีเพียงไม่กี่โปรแกรมหรือ Service ของระบบที่ควรเริ่มต้นการทำงานก่อนใคร เช่น Security หรือฟีเจอร์ของงานบางอย่าง การปิดบรรดาสิ่งที่ไม่จำเป็นต่างๆ เหล่านั้น ไม่ให้บูตขึ้นมาพร้อมระบบ ก็จะทำให้วินโดว์ของคุณทำงานเร็วขึ้นได้เช่นกัน

วิธีการก็คือ ให้กดปุ่ม Ctrl+Shift+Esc แล้ว คลิ๊กที่แท็ป Startup จากนั้นเลือกโปรแกรมหรือ Service ที่ไม่จำเป็น แล้วกดปุ่ม Disable ทีละตัว เป็นอันเสร็จสิ้น


8.Duplicate file

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

ไฟล์ซ้ำเกิดจากการที่ผู้ใช้ไม่สามารถจัดการไฟล์ให้เป็นหมวดหมู่กันอย่างมีระเบียบ ซึ่งก็ทำให้ไฟล์ไม่มีที่มาที่ไป หรือขาดการอัพเดตเป็นเวลานาน จึงทำให้มีไฟล์จำนวนมากที่เหมือนกัน ซ้ำกัน เข้ามาเก็บไว้ต่างช่วงเวลา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายมาก อย่างที่ได้เคยกล่าวไว้คือ มักจะลืมว่าเก็บไฟล์ไว้ที่ไหน แล้วก็เอาไฟล์ตัวเดิมที่เคยไปเก็บไว้ในอีกโฟลเดอร์หนึ่ง มาโยนไว้ในที่ใหม่ ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นว่ามีไฟล์เดิมๆ อยู่ในหลายๆ ที่ในฮาร์ดไดรฟ์ ก็ทำให้ใช้พื้นที่เยอะขึ้นไปอีก ในกรณีที่ผู้ใช้ไม่ได้จำกัดการใช้งานพื้นที่ส่วนตัว เมื่อมีผู้ใช้หลายคนนำไฟล์หรือไฟล์ภาพซ้ำๆ กันมาโยนเอาไว้ฮาร์ดไดรฟ์ก็ต้องเก็บจนเต็มพื้นที่ และทำให้เครื่องของคุณช้าลงได้อย่างชัดเจน แก้ไขได้โดยการหาพื้นที่ว่าง

วิธีแก้นั้นสิ่งแรกเลย ให้คุณจัดเตรียมพื้นที่และจัดการไฟล์ให้เป็นระเบียบเสียก่อน จากนั้นเลือกใช้เครื่องมือประเภทลบไฟล์ซ้ำมาใช้ ในการตรวจเช็คและลบไฟล์ซ้ำเหล่านั้นได้เช่นกัน อย่างเช่น Awesome Duplicate Photo Finder, Duplicate file Fixer เป็นต้น แต่ควรจะต้องเช็คให้ดีว่า ชื่อนั้นเหมือนกัน แต่รูปแบบของไฟล์ต่างกันหรือไม่ จะได้ไม่ลบไฟล์ผิดพลาด


9.Remove Program

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

หลายคนใช้ซอฟต์แวร์จำนวนมาก เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการในการใช้งาน รวมถึงบางคนก็อาจจะชอบซอฟต์แวร์ฟรี ทดลองใช้งาน หรือลองของใหม่ จนบางครั้งไม่ทันได้สังเกตว่ามีซอฟต์แวร์ที่หมดอายุ ไม่ได้ใช้งาน หรือนานๆ ใช้ที รวมถึงซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ซ้ำๆ กันมากมาย เช่น โปรแกรมบีบอัดไฟล์ โปรแกรมแต่งภาพ หรือเล่นวีดีโอ และเกมก็ตาม ทำให้มีโปรแกรมเยอะกินพื้นที่ฮาร์ดไดรฟ์หรือ SSD และย่อมทำให้คอมช้าลงได้ รวมถึงการใช้พื้นที่ของแรมไปโดยไม่รู้ตัว การจะเพิ่มความเร็ว วินโดว์ 11 ให้ดีกว่าเดิมนั้น ก็คงต้องลบโปรแกรม ด้วยวิธีการ Remove หรือ Uninstall Program ที่ไม่ได้ใช้ออกไป ให้เช็คดูว่าโปรแกรมล่าสุดที่คุณใช้เป็นโปรแกรมใด และมีอันไหนที่ไม่ได้ใช้นานจนลืมไปบ้าง รวมถึงเกมที่ไม่ได้เล่น ก็ลบออกไปด้วยก็ดี จะเล่นอีกทีค่อยลงใหม่ ดูจะเหมาะสมที่สุด

วิธีการ ให้เข้าไปที่ Control Panel > Program & Feature > เลือกโปรแกรมที่ต้องการลบ > คลิ๊กที่ Uninstall/ Change


10.Cloud service

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

ปัจจุบันมีบริการหลายอย่างที่ทำให้คุณแทบจะไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม หรือเก็บไฟล์เอาไว้ในเครื่องคอมให้รกพื้นที่ฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ที่มีอยู่ไม่มากอีกต่อไปแล้ว เพราะตัวเลือกอย่าง Cloud Storage ก็มีพื้นที่ให้คุณใช้เหลือเฟือ ซึ่งมีทั้งใช้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือถ้าอยากได้พื้นที่มากขึ้น ก็อาจจะเป็นการเช่าพื้นที่แบบปีต่อปี พร้อมบริการอีกมากมายให้ได้ใช้ ทำให้คุณเดินทางไปทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องพกไฟล์ไปด้วย ขอแค่มีอินเทอร์เน็ต และรหัสเพื่อ Log-In เข้าไป ก็ดึงไฟล์มาพรีเซนเทชั่น แก้ไข หรือส่งต่อให้กับคนอื่นได้ไม่ยาก เช่น ICloud, Dropbox, Google Drive หรือจะเป็น Microsoft Onedrive เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีบริการทนแทนการลงโปรแกรมที่เป็น SaaS (Software as a Service) เช่น การตกแต่งภาพ แก้ไขไฟล์ โดยที่ผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดูแลทุกอย่างให้ทั้งหมด และให้ผู้ใช้เข้าถึงแอพพลิเคชั่นได้ตามสะดวก จะทำงานร่วมกับไฟล์บนอุปกรณ์ใดก็ได้ที่รองรับ สิ่งนี้จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรในเครื่องของคุณได้มาก อีกทั้งการบันทึกไฟล์ยังมีความปลอดภัยสูง เช่นเดียวกับการทำงานบนเซิร์ฟเวอร์นั่นเอง เปรียบได้กับการฝากของมีค่าไว้กับตู้เซฟ ถึงเวลาจะใช้ ก็เพียงเข้ารหัสเปิด ซึ่งจะมีเพียงคุณเท่านั้นที่ทราบ


11.Disk Cleanup

เพิ่มความเร็ว วินโดว์

นอกจากนี้ยังมีวิธีที่ง่ายๆ ในการเคลียร์พื้นที่ไฟล์บนฮาร์ดไดรฟ์หรือ SSD ของคุณให้ดูสะอาด ด้วยการลบไฟล์ขยะทิ้งไปบ้าง หรือเป็น Temp file ที่วินโดว์เก็บเอาไว้ เพื่อเรียกใช้งานในครั้งต่อไป แต่บางทีก็เยอะเกินจะเก็บเอาไว้ ยิ่งโน๊ตบุ๊คหลายรุ่น มาพร้อม Storage ที่ไม่เยอะนัก เช่น SSD 240GB หรือ 512GB แล้วต้องเจอกับไฟล์งานที่ต้องเก็บ ภาพที่โอนมาจากมือถือ ไหนจะไฟล์วีดีโอที่เป็นฟุตเทจใช้ตัอต่อ และอีกสารพัด การลบไฟล์ Temporary file เหล่านี้ เหมือนช่วยเก็บกวาดสิ่งที่ไม่สำคัญขวางทางเดินของระบบไป นอกจากนี้ยังมีไฟล์เก่าๆ ที่ดาวน์โหลดเอาไว้ หรือไฟล์โปรแกรมที่ไม่ได้ใช้ ไม่ควรเก็บไว้ให้เปลืองพื้นที่

วิธีการก็คือ ให้เปิด File Explorer หรือกดปุ่ม Win+E แล้วคลิ๊กขวาที่ไดรฟ์ C: > มาที่แท็ป General > Disk Cleanup

Conclusion

จะเห็นได้ว่าวิธีการต่างๆ ที่ว่ามา จะเป็นการผสมผสานการจัดการซอฟต์แวร์และ Windows เข้าด้วยกัน และวิธีที่ใช้ส่วนใหญ่ ก็จะเป็นฟังก์ชั่นที่มีอยู่ในระบบด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการ Update Windows, Driver หรือจะเป็นการปิด Effect ต่างๆ ที่จะช่วยลดการใช้ทรัพยากรลงได้ นอกจากนี้การเพิ่มความเร็ว วินโดว์ 11 ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้ปรับปรุงระบบได้ด้วยตัวเอง ก่อนที่จะไปพึ่งพาช่าง ซึ่งหากไม่ถึงที่สุดระดับที่ว่าจะต้องอัพเกรดแรม หรือเปลี่ยนซีพียู ขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ ยังพอช่วยให้คุณใช้งานคอมเครื่องเก่าได้ไปอีกระยะหนึ่ง โดยวิธีการเหล่านี้ก็เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย ยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอัพเกรดฮาร์ดแวร์อีกด้วย อย่างไรก็ดีในบางขั้นตอน ผู้ใช้อาจจะต้องลองเช็คข้อมูลและรูปแบบที่เกิดขึ้น เช่น Effect, Program รวมถึงการใช้ Cloud ให้มั่นใจ ก่อนที่จะปรับใช้อย่างจริงจัง และหวังว่าทุกท่านจะได้ใช้งาน Windows กันได้อย่างลื่นไหล หากมีคำถามอื่นใดเพิ่มเติม สามารถคอมเมนต์เอาไว้ได้เลยครับ

from:https://notebookspec.com/web/627606-increase-speed-windows-11

วิธี Downgrade ถอยกลับจาก Windows 11 ไปใช้ Windows 10 เดิม แบบข้อมูลยังอยู่ครบ ไม่หายไปไหน

หลังจากที่ Microsoft ได้ปล่อย Windows 11 ตัวเต็มให้ใช้งานกันแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้หลายครั้งได้เคลมถึงประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมของ Windows 11 ว่าทำงานได้ดีกว่า หรือรวดเร็วกว่า Windows 10 บนเครื่องสเปคเดิม แต่เสียงรีวิวจากคนอัปเกรดแล้วใช้งานจริงหลายคนพบว่า การทำงานหลายด้านกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ บางคนเจอเครื่องทำงานช้าลง หรือเจอบั๊กต่าง ๆ  ทำให้มีคนต้องการย้อนกลับไปใช้งาน Windows 10 แบบเดิมเยอะมากทีเดียว ซึ่งวิธี Downgrade ถอยกลับจาก Windows 11 ไปใช้ Windows 10 จะขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างมาดูกันครับ 

ข่าวดีคือทาง Microsoft ได้เสนอวิธีย้อนกลับจาก Windows 11 มาเป็น Windows 10 เดิมออกมาด้วย ซึ่งเป็นการ Downgrade แบบ Official ที่ให้ผู้ใช้สามารถย้อนกลับได้ทันทีหลังจากอัปเกรดเป็น Windows 11 แล้วภายใน 10 วัน โดยไม่สูญเสียข้อมูลอะไรเลย และไม่ต้อง Backup ข้อมูลเพิ่มเติมใด ๆ เนื่องจากภายใน System ยังเก็บตัวระบบปฏิบัติการเดิมเอาไว้ สามารถทำตามได้เพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น โดยวิธีการมีดังนี้ครับ

ขั้นตอนการ Downgrade จาก Windows 11 เป็น Windows 10

  • เสียบปลั๊กเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการจะ Downgrade ไว้ให้พร้อม
  • แม้ว่าทาง Microsoft จะยืนยันว่าไม่สูญเสียข้อมูลในการ Downgrade ครั้งนี้ แต่ก็แนะนำให้ สำรองข้อมูล บางส่วนเผื่อไว้ก่อน (กรณีฉุกเฉิน เช่น แบตหมด หรือไฟตกระหว่างการติดตั้ง อาจมีผลต่อข้อมูลได้)

  • ไปที่ Start > Settings (หรือกดปุ่ม Windows + I)

  • ที่แถบ System > เลือกหมวด Recovery > กดปุ่ม Go Back

  • เลือกเหตุผลที่ต้องการจะเลิกใช้ Windows 11 > กด Next

  • หน้าต่างนี้จะถามให้ลองอัปเดต Patch เพื่อแก้ปัญหาความไม่เสถียรดูก่อนหรือไม่ ซึ่งหากยืนยันจะกลับ Windows 10 จริง ๆ ให้เลือกกด No, thanks

  • จะมีการเตือนว่าหากมีบางแอปหรือโปรแกรมที่โหลดมาติดตั้ง ซึ่งหากแอปดังกล่าวไม่รองรับการทำงานบน Windows 10 จะถูกถอนการติดตั้งออกไปด้วย รวมถึงค่า Settings บางอย่างที่มีเฉพาะบน Windows 11 เท่านั้นก็จะหายไป ซึ่งหากจะดำเนินการต่อ กด Next

  • เตือนอีกครั้งว่าหากคอมที่ใช้มีการล็อก Password ไว้อยู่ด้วย ต้องมั่นใจด้วยว่ายังจำรหัสผ่านเครื่องได้ เพราะการ Downgrade ต้องอาศัยการ Login ด้วยรหัสผ่านเดิม หากยืนยันดำเนินการต่อ กด Next

  • ขั้นตอนสุดท้าย กดปุ่ม Go back to Windows 10 ระบบจะดำเนินการให้ทั้งหมดโดยอัตโนมัติแบบไม่ใช้อินเทอร์เน็ตเลย ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที แล้วแต่ความเร็วแต่ละเครื่องครับ

เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับขั้นตอนการย้อนกลับไปใช้ Windows 10 ถือว่ารอบนี้ Microsoft ได้เตรียมความพร้อมและลดความยุ่งยากให้ผู้ใช้ได้เยอะพอสมควร สามารถทำตามกันได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าเครื่องที่จะย้อนกลับ Windows 10 ได้ ต้องเป็นเครื่องที่ใช้วิธีอัปเกรดผ่าน Windows Update หรือใช้โปรแกรม Installation Assistant ในการอัปเท่านั้น เครื่องที่ใช้วิธี Clean Install หรือลบลงใหม่ผ่านแฟลชไดรฟ์ไม่สามารถใช้วิธีนี้ย้อนกลับได้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลของ Windows เดิมเหลืออยู่ และสามารถทำได้ภายใน 10 วันนับจากวันที่อัปเกรดขึ้นมาเท่านั้นครับ

 

ที่มา : Wccftech

from:https://droidsans.com/how-to-downgrade-from-windows-11-to-windows-10-officially/

วิธีลง Windows 11 เวอร์ชั่นล่าสุด ทั้งดาวน์โหลดจากเว็บ Microsoft โดยตรง และติดตั้งเองผ่าน USB Flash Drive

หลังจากที่ Microsoft ได้ทำการปล่อย Windows 11 ตัว Official ออกมาเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2021 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลกสามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้ฟรี ผ่าน Windows 10 เดิม หรือนำไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากเว็บ Microsoft โดยตรงไปติดตั้งใช้งานกันเองก็ได้ ซึ่งสามารถลงได้ทั้งในแบบเวอร์ชันใช้งานฟรี (แบบเดียวกับ Windows 10) หรือติดตั้งก่อนเพื่อนำ CD-Key แท้มา Activate ทีหลังก็ทำได้เช่นกันครับ

โดยในบทความนี้เองทีมงานจึงอยากจะมาแนะนำขั้นตอนและวิธีง่าย ๆ ในการอัปเกรดคอมพิวเตอร์ของเราให้เป็น Windows 11 เพียงแค่มีอุปกรณ์ไม่กี่อย่างก็สามารถลงเองได้ที่บ้าน ไม่ต้องยกไปที่ร้านให้เสียเงินหรือเสียเวลาแบบสมัยก่อนอีกต่อไปแล้วครับ

วิธีลง/อัปเกรดเป็น Windows 11 หลัก ๆ มีทั้งหมด 4 แบบคือ

วิธีที่ 1 : อัปเกรดจาก Windows 10 ผ่าน Windows Update

สำหรับคอมใครที่เป็น Windows 10 อยู่แล้ว และเครื่องผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่ Microsoft กำหนด สามารถเข้าไปกดอัปเดตเป็น Windows 11 ได้เลยทันทีผ่านหน้า Windows Update ที่อยู่ในการตั้งค่าของเครื่อง โดยขั้นตอนจะมีดังนี้นะครับ

  • เข้าไปที่ All Settings โดยพิมพ์ที่ช่องค้นหาหรือเข้าผ่านหน้าจอการแจ้งเตือนด้านล่างขวาก็ได้

  • กดที่ Update & Security

  • สำหรับเครื่องที่รองรับและพร้อมดาวน์โหลดแล้ว จะมีหน้าต่างแบบนี้ขึ้นมา สามารถกด Download and install ได้เลยครับ

  • สำหรับเครื่องที่รองรับแต่ยังไม่ขึ้น ซึ่งจะขึ้นเป็นหน้าด้านล่างนี้แทน หมายถึงต้องรอให้ทาง Microsoft ทยอยปล่อยอัปเดตเพิ่มเติมให้ก่อน ถึงจะอัปเกรดได้ตามปกติครับ

วิธีที่ 2 : อัปเกรดจาก Windows 10 ผ่านโปรแกรม Installation Assistant

วิธีนี้เหมาะสำหรับคนไม่อยากรอ เนื่องจากบางเครื่อง Microsoft ยังไม่ปล่อยตัวอัปเกรดให้บนหน้า Windows Updates สามารถไปใช้เครื่องมืออัปเกรดแทน ซึ่งอัปได้เลยทันที โดยโหลดผ่านหน้าเว็บ Microsoft โดยตรงเลยครับ

  • แล้วกดที่ Download Now ในหมวด Windows 11 Installation Assistant จะได้ไฟล์ชื่อ Windows11InstallationAssistant.exe ขึ้นมา จากนั้นเปิดไฟล์เพื่อทำการติดตั้ง

  • กด Accept and Install

  • รอโปรแกรมดาวน์โหลดจนครบทั้ง 3 Step ในระหว่างที่รอแนะนำให้เซฟงานต่าง ๆ ที่ยังทำค้างอยู่ไว้ก่อนนะครับ

  • สุดท้ายหากต้องการอัปเกรดทันทีให้กด Restart Now หรือหากต้องการอัปทีหลัง ให้กดเป็น Restart Later ก่อนได้ ซึ่งหากไม่กดภายใน 30 นาที โปรแกรมจะ Restart และอัปเกรดเป็น Windows 11 ให้ทันทีครับ

วิธีที่ 3 : ลงและติดตั้งใหม่ผ่าน USB แฟลชไดรฟ์

สำหรับวิธีการลงผ่าน USB Flash Drive คือวิธีที่ค่อนข้างแนะนำหากต้องการลง Windows 11 ใหม่ทั้งเครื่อง เพราะมีข้อดีกว่าการอัปเกรดจาก Windows 10 ตรงที่ไฟล์ขยะหรือ Cache ต่าง ๆ ที่เคยสะสมไว้จาก Windows เดิมจะไม่ตามมาด้วย ซึ่งจะช่วยให้ได้พื้นที่ที่เสียเปล่าบางส่วนกลับมาอีกหลาย GB เลยทีเดียว

แต่หากใครยังต้องการไฟล์เดิมอยู่ แนะนำให้ Backup ข้อมูลทั้งเครื่องเก็บไว้ที่อื่นก่อนนะครับ เพราะข้อมูลในไดรฟ์ที่ลงจะโดนล้างไปด้วยทั้งหมด ดังนั้นมาดูขั้นตอนการลงผ่านแฟลชไดรฟ์แบบ Clean Install นี้ว่าทำยังไงบ้าง

สิ่งที่ต้องใช้

  • แฟลชไดรฟ์เปล่าขนาดอย่างน้อย 8GB (แนะนำเป็นแบบ USB 3.0)
  • คอม หรือ โน้ตบุ๊ค
  • บัญชี Microsoft (Outlook หรือ Hotmail)
  • อินเทอร์เน็ต (เนื่องจาก Windows 11 จะบังคับให้ต่ออินเทอร์เน็ตทุกครั้งที่ลงใหม่ ควรเตรียมเป็นสายแลนเผื่อไว้ เพราะบางเครื่องอาจไม่มีไดรเวอร์ WiFi ในตัว)

ขั้นตอนติดตั้งตัวลง Windows 11 ลง USB Flash Drive

  • แล้วกดที่ Download Now ในหมวด Create Windows 11 Installation Media จะได้ไฟล์ MediaCreationW11.exe มา แล้วเปิดไฟล์เพื่อทำการติดตั้ง

  • ต่อมากด Accept แล้วกด Next ในหน้านี้แนะนำให้กดติ๊กเลือก Use the recommended… จากนั้นกด Next อีกครั้ง

  • กดเลือกเมนู USB flash drive แล้วกด Next
  • จากนั้นดูว่าชื่อแฟลชไดรฟ์ที่ขึ้นใช่อันที่เสียบไว้ตอนแรกหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ให้เลือกเป็นไดรฟ์ที่มีชื่อ USB ที่จะใช้ลง แล้วกด Next เพื่อติดตั้ง
  • รอจน Progress จนเสร็จ (ใช้เวลาค่อนข้างนาน ขึ้นอยู่กับความเร็วเน็ตและแฟลชไดรฟ์ของเราด้วยครับ)
  • กด Finish เป็นอันเสร็จ เพียงเท่านี้เราก็ได้จะแฟลชไดรฟ์ที่เป็นตัวติดตั้ง Windows 11 เรียบร้อยแล้วครับ

ขั้นตอนการติดตั้ง Windows 11 บนคอมจาก USB Flash Drive

  • เสียบแฟลชไดรฟ์เข้าสู่คอมหรือโน้ตบุ๊คที่ต้องการจะลง

  • จากนั้นกด ปิด-เปิด เครื่องใหม่ หรือรีสตาร์ท แล้วกดเข้า Boot Option หรือเข้าหน้า Bios แล้วเซ็ตให้บูทผ่านแฟลชไดรฟ์
    – Boot Option แต่ละเครื่องกดไม่เหมือนกัน (กด F8, F9, F10,F11 หรือ F12)
    – Bios แต่ละเครื่องกดไม่เหมือนกัน (กด F2, F10, Delete หรือ ESC)

  • พอบูทผ่านแฟลชไดรฟ์ได้แล้วก็จะเข้าสู่หน้าติดตั้ง ในหน้าแรกแนะนำให้ติดตั้งเป็นภาษาอังกฤษ เลือก Time and currency format เป็น Thai (Thailand) แล้วกด Next จากนั้นก็กด Install Now
  • ติ๊ก I accepted the Microsoft Software License Terms จากนั้นกด Next (กรณีขึ้นหน้าให้ใส่คีย์ถ้ามีคีย์ก็ใส่ตรงนี้ได้เลย หรือหากไม่มีก็กด I don’t have a product key)

  • ถัดมาเลือก Custom: Install Windows only (advanced)

  • พอมาถึงหน้านี้ให้เลือกไดรฟ์ที่เราต้องการจะลง Windows  (หากมีหลายอันให้หาอันที่มีความจุเยอะ ๆ ตามขนาดของพื้นที่ไดรฟ์ที่เราจะลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไดรฟ์ C ที่มี 100GB ขึ้นไป) จากนั้นกด Format ไดรฟ์ให้เรียบร้อยก่อน กดเลือก แล้วค่อยกด Next
  • ตัวเครื่องก็ทำการติดตั้ง ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานสักพัก
  • หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว ก็สามารถถอดแฟลชไดรฟ์ออกได้เลย แล้วเครื่องจะรีสตาร์ทให้อัตโนมัติเพื่อไปที่หน้า Boot Windows 11 ใหม่ที่เราเพิ่งลงเสร็จไป

  • พอขึ้นหน้านี้แล้วหลังจากทำการ Boot ใหม่ก็แสดงว่าคอมเครื่องนี้ลง Windows 11 ได้เรียบร้อยสมบูรณ์แล้วครับ ที่เหลือจะเป็นการตั้งค่า Set Up ต่าง ๆ ครั้งแรกเพื่อให้ใช้งานได้ต่อไป ในหน้า country or region นี้ให้เลือกเป็น Thailand แล้วกด Yes

  • ให้กดเลือกแป้นพิมพ์เป็น US แล้วกด Yes

  • เลือกเพิ่มแป้นพิมพ์ที่ 2 โดยกดที่ Add Layout

  • จะมีหน้าให้เลือกแป้นอีกครั้ง เลือก Thai (Thailand) กด Next แล้วเลือกเป็น Thai Kedmanee จากนั้นกด Add Layout

  • เครื่องที่ลง Windows 11 จะโดนบังคับให้ต่อเน็ตทุกครั้งที่ลงใหม่ (บางเครื่องหากไม่มีไดรเวอร์ WiFi ในตัว จำเป็นต้องหาเน็ตสายแลนไว้เผื่อด้วยนะครับ) จากนั้นกด Next

  • เครื่องจะให้ตั้งชื่อคอม ให้กรอกชื่อตามที่เราต้องการ แล้วกด Next (หรือหากอยากตั้งทีหลัง ให้กด Skip for now) เครื่องจะรีสตาร์ทใหม่ 1 รอบ

  • Windows 11 จะบังคับให้เราต้องล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft ด้วยทุกครั้งที่ลงใหม่ โดยใช้เป็น Outlook หรือ Hotmail ก็ได้ จากนั้นกด Next

  • แล้วก็บังคับให้ตั้งค่า PIN ไว้ด้วย อย่างน้อย 4 หลัก จากนั้นกด OK
  • หน้า Choose privacy… ให้เลือก Next และ Accept
  • หน้า Let’s customize… จะเลือกเองตามใจชอบก็ได้ หรือแนะนำให้กด Skip ไปก่อน

  • หน้า Back up OneDrive แนะนำให้เลือก Don’t backup my files ไปก่อน จากนั้นกด Next
  • หน้า Microsoft 365 แนะนำให้กด No, Thanks

  • สุดท้ายพอเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนแล้ว เครื่องก็จะเข้าสู่หน้า Desktop

  • แนะนำให้เข้าไปที่ Start -> Settings -> Windows Update เพื่อเข้าไปอัปเดตไดรเวอร์ของเครื่อง โดยกดที่ Download now และรอโหลดติดตั้งให้เรียบร้อย เป็นอันใช้งาน Windows 11 ได้แล้วครับ

วิธีที่ 4 : ลงและติดตั้งใหม่หรืออัปเกรดโดยใช้ไฟล์ ISO

สำหรับวิธีสุดท้ายจะคล้าย ๆ กับวิธีที่ 3 คือเป็นการตั้ง Boot ไฟล์ติดตั้ง Windows 11 ผ่าน USB แฟลชไดรฟ์ ซึ่งวิธีที่ 3 จำเป็นต้องดาวน์โหลดและติดตั้งผ่านแฟลชไดรฟ์ทันที แต่หากใช้ไฟล์ ISO จะเป็นการดาวน์โหลดไฟล์เต็มที่ใช้ติดตั้งลงมาก่อน แล้วสามารถเอามาลงใน USB แฟลชไดรฟ์เองทีหลังได้ ซึ่งจะสะดวกกว่าสำหรับคนที่ต้องการตั้งค่า Boot แบบออฟไลน์ (แต่ขั้นตอนระหว่างลงก็ยังต้องใช้เน็ตอยู่ดีนะ) ดังนั้นในวิธีนี้ก็จะมาแนะนำการตั้งค่าตัว Boot Windows 11 บนแฟลชไดรฟ์ผ่านไฟล์ ISO โดยใช้โปรแกรม Rufus กันครับ

สิ่งที่ต้องใช้

  • แฟลชไดรฟ์เปล่าขนาดอย่างน้อย 8GB (แนะนำเป็นแบบ USB 3.0)
  • คอม หรือ โน้ตบุ๊ค
  • อินเทอร์เน็ต
  • โปรแกรม Rufus

ขั้นตอนการเตรียมและติดตั้ง

  • แล้วกดที่ Download Now ในหมวด Download Windows 11 Disk Image (ISO) เลือก Select Download เป็น Windows 11 และเลือก Select the product language แนะนำให้เป็น English จากนั้นกด Confirm และกด 64-bit Download จะได้ไฟล์ Win11_English_x64.iso ขึ้นมา ขนาดประมาณ 5.1 GB ครับ

  • ดาวน์โหลดโปรแกรม Rufus จากเว็บไซต์ : https://rufus.ie/en
  • เสียบแฟลชไดรฟ์เข้าที่ช่อง USB
  • เปิดโปรแกรมขึ้นมา (เป็นโปรแกรมเล็ก สามารถเปิดได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้ง)

  • ตรวจสอบว่าในหมวด Device เป็นชื่อแฟลชไดรฟ์ที่เราจะใช้ลงหรือยัง หากยังให้เลือกเปลี่ยนเป็นตัวที่ต้องการ
  • กด SELECT เลือกหาไฟล์ ISO ที่เราดาวน์โหลดไว้ก่อนหน้านี้ กด Open เสร็จแล้วกดปุ่ม Start

  • กด OK เพื่อยืนยันว่าจะทำการล้างแฟลชไดรฟ์อันนี้เพื่อใช้สร้างตัวติดตั้ง (หากใครไม่ต้องการล้างไฟล์ในไดรฟ์ ต้อง Backup ข้อมูลไว้ที่อื่นก่อน)
  • โปรแกรมก็จะเริ่มสร้างตัว Boot Windows 11 ไว้ในแฟลชไดรฟ์ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ตามความเร็วของเครื่อง
  • ตัว Boot แฟลชไดรฟ์ที่สร้างเสร็จแล้วก็จะหน้าตาเหมือนกับที่สร้างโดยใช้วิธีที่ 3 เป๊ะ ๆ สามารถนำไปใช้ลง Windows 11 แบบ Clean Install ได้โดยใช้ขั้นตอนแบบเดียวกับวิธีที่ 3 ได้เลยครับ

วิธีอัปเกรดจาก Windows 10 โดยใช้ไฟล์ ISO

ไฟล์ ISO ที่ดาวน์โหลดมานี้ นอกจากจะใช้สร้าง Boot บนตัวแฟลชไดรฟ์แล้ว ยังสามารถใช้อัปเกรดจาก Windows 10 เป็น Windows 11 ได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มได้เลยเช่นกัน โดยมีขั้นตอนที่ง่ายมาก ๆ ดังนี้ครับ

  • เปิดตัวไฟล์ ISO ที่ดาวน์โหลดขึ้นมา โดยใช้วิธีดับเบิลคลิกเพื่อเปิด หรือคลิกขวา เลือก Mount ก็ได้

  • จากนั้นไฟล์ ISO จะทำการ Mount ตัวเองขึ้นไปเป็นไดรฟ์ใหม่อีกอันหนึ่ง เสมือนการจำลองตัวเองเป็น DVD Drive ให้เข้าไปที่ไดรฟ์ดังกล่าว สามารถกดเปิดไฟล์ข้างในที่ชื่อ setup.exe เพื่ออัปเกรดเป็น Windows 11 ได้จากหน้านี้เลย

  • จะมีหน้าต่างขึ้นมา ให้กด Next และกด Accept จากนั้นรอให้โปรแกรมตรวจสอบเครื่องของเราสักครู่

  • ตัวโปรแกรมจะเลือกค่า Default ในการอัปเกรดเป็น Windows 11 ให้ตามรุ่นเดียวกับ Windows 10 ที่ลงไว้ (เช่น รุ่น Home ก็จะเลือกอัปเป็น Windows 11 Home) และจะเลือกเก็บไฟล์และโปรแกรมทุกอย่างให้เหมือนเดิม แต่หากต้องการตั้งค่าการเก็บไฟล์เป็นแบบอื่น สามารถเลือก Change what to keep เพื่อเลือกเก็บเฉพาะบางส่วนหรือไม่เก็บเลยก็ได้ เสร็จแล้วกด Install เป็นการเริ่มอัปเกรด ซึ่งจะใช้เวลาราว 20-30 นาที ขึ้นอยู่กับความเร็วของเครื่องครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับวิธีการลง Windows 11 บอกเลยว่ารอบนี้ตั้งใจทำมาละเอียดมาก ๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถลองนำไปทำตามกันเองที่บ้านได้ง่าย ๆ สำหรับคนที่ใช้ Windows 10 คีย์แท้หรือมีคีย์มากับเครื่องอยู่แล้ว ก็สามารถใช้งาน Windows 11 ได้ต่อกันแบบยาว ๆ แต่หากใครใช้วิธีผ่านแฟลชไดรฟ์บนเครื่องเปล่าที่ยังไม่มีคีย์แท้ ก็สามารถใช้งานได้ฟรีเช่นกัน เพียงแต่จะโดนจำกัดฟังก์ชันการทำงานบางอย่างออกไปบ้าง

และหากเราต้องการใช้งานเวอร์ชันเต็มทีหลัง ต้องรอทาง Microsoft ออกตัว Official License แบบกล่องหรือ CD-Key มาวางขายก่อน เพื่อนำมา Activate และใช้งานเต็มรูปแบบจากตัวเดิมได้ทันที ซึ่งราคาจากตัวแทนจำหน่ายน่าจะอยู่ราว ๆ 3,000 บาท แบบเดียวกับ Windows 10 ยังไงแล้วก็แนะนำให้สนับสนุนของแท้กันเยอะ ๆ ด้วยนะครับ

from:https://droidsans.com/how-to-install-download-windows-11-official-2021/