รีวิว realme C55 อัปเกรดสเปคใหญ่ ขึ้นแชมป์ความคุ้ม เหนือทุกรุ่นในเรทราคา

รีวิว realme C55 อัปเกรดสเปคใหญ่ ขึ้นแชมป์ความคุ้ม เหนือทุกรุ่นในเรทราคา
Noppinij

realme C55 เป็นสมาร์ทโฟนที่มาในโอกาสที่ดีมากครับ เพราะนี่คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่เปิดตัวออกมาหลังคำประกาศสำคัญของแบรนด์ realme เพราะพวกเขาเพิ่งได้ประกาศใช้กลยุทธ์ “A Champion of The Segment” หรือเจตนารมณ์ที่ต้องการที่จะให้สินค้าของเขาได้ขึ้นครองตำแหน่งแชมป์ที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนอื่นในกลุ่มราคาเดียวกัน

และ realme C55 คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกจากเจตนารมณ์ที่ว่ามานั้นเองครับ ฉะนั้นมันจึงถูกอัปเกรดยกสเปคมาครั้งใหญ่ ใส่ความคุ้มเข้ามาเพิ่มในจุดเด่น 4 ฟีเจอร์หลัก นั้นคือการถ่ายภาพ, ขนาดหน่วยความจำ, ระบบชาร์จ และงานดีไซน์

โดยสิ่งที่คุณจะได้เมื่อซื้อเครื่องสมาร์ทโฟนที่เปิดจำหน่ายมาในราคาแค่ 5,999 บาท นั้นคือสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพ 64MP เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่มีในตลาด ถ้าดูจากสมาร์ทโฟนมีแบรนด์ที่เปิดจำหน่ายมาในเรทราคาเดียวกัน  และมีระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC และสำหรับตัวเลือกในราคา 7,299 บาท จะได้เครื่องที่มีหน่วยความจำ (ROM) ขนาดใหญ่ถึง 256GB พร้อม RAM ขนาด 8GB ให้มาเยอะมากทีเดียว รวมไปถึงคุณภาพตัวเครื่องภายนอกก็ไม่ทิ้ง เพราะรุ่นนี้เขาใส่ใจในงานดีไซน์ตัวเครื่องมาเป็นอย่างดีอีกด้วย

การออกแบบตัวเครื่อง

realme ให้ความสำคัญกับการออกแบบตัวเครื่อง C55 ค่อนข้างมาก ตัวเครื่องขอบมุมฉากแต่มีการเก็บเหลี่ยมลบคมเพื่อให้ถือจับสบายมือ มีเข้ามาจำหน่ายสองสีคือ คือ Sunshower สีทองไล่เฉดรุ้ง และ Rainy Night เครื่องสีดำเงาแต่ผิวสัมผัสด้าน ใช้เทคนิคการเคลือบผิวสองชั้นและโครงสร้างลายเส้นเหมือนสายฝน ทำให้ฝาหลังของ realme C55 สวยงามครับ มีความแข็งแกร่ง สะท้อนเล่นเงากับแสงได้ เกิดไดนามิคสะท้อนให้เห็นลวดลาย และใช้งานได้แบบไม่เกิดคราบมันรอยนิ้วมือขึ้นมาแต่อย่างใด

 

กมีการจัดวางโครงสร้างภายในตัวเครื่องเป็นอย่างดี เพราะตัวเครื่องทำออกมาได้มีความบางแค่ 7.89 มม. เท่านั้น แม้ภายในจะใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh และมีที่สแกนลายนิ้วมืออยู่ตรงปุ่มพาวเวอร์ด้านข้างเครื่องก็ตาม ปกติเครื่องที่ติดตั้งจุดสแกนลายนิ้วมือด้านข้างมักจะมีความหนามากกว่านี้พอสมควร

งานการประกอบแน่นหนา จับสัมผัสถือใช้รู้สึกแน่น ขอบเหลี่ยมเข้ามือได้กระชับดี น่าจะมีความทนทานใช้งานได้ยาวนานครับ เพราะได้ผ่านการทดสอบที่เข้มงวดด้านความทนทานมามากกว่า 320 รายการตามมาตรฐานงานผลิตของแบรนด์ realme มาแล้วนั้นเอง

ให้หน้าจอขนาดใหญ่ 6.72 นิ้ว ความละเอียด FullHD+ (1080×2400) รีเฟรชเรท 90Hz ความสว่างสูงสุด 680nits จอดี คุ้มราคา และขอบจอก็เล็กมาก สัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 91.4% เจาะรูวางกล้องหน้าความละเอียด 8MP รองรับการสแกนใบหน้าเข้าใช้งาน

ลำโพงเสียงดังชัดเจนครับ มีระบบ Ultraboom Sound เพิ่มระดับความดังเสียงได้มากกว่าปกติไปได้ที่ 200% ใช้ดูหนังฟังเพลงภายในห้องเสียงดังชัดเจนมาก

รองรับ 4G สองซิมการ์ด สามารถเพิ่มหน่วยความจำด้วย micro SD Card ได้สูงสุด 1TB

ด้านหลังติดตั้งกล้องคู่ ตัวหลัก 64MP ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ 1/2” ตัวเดียวกันกับที่ถูกใช้ในสมาร์ทโฟนรุ่นใหญ่ realme GT Master Edition เลยครับ ทำงานคู่กับกล้อง B&W ช่วยจับโฟกัสอีกหนึ่งตัว ความละเอียด 2MP

รูหูฟังและพอร์ทชาร์จ Type C อยู่ด้านล่างตัวเครื่องทั้งคู่ รองรับระบบชาร์จไว 33W SUPERVOOC จากอะเดปเตอร์ที่แถมมาให้ภายในกล่องครับ จากที่ทดสอบสามารถชาร์จแบตขนาด 5,000mAh ได้ครึ่งก้อนในเวลาแค่ 30นาที และชาร์จเต็มได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ไม่มีความร้อนสะสม ใช้งานมารู้สึกปลอดภัย ระบบไฟของ SUPERVOOC มีระบบป้องกันอัจฉริยะ 5 ขั้นตอน ป้องกันในเรื่องกระแสไฟ ไฟเกิน และดูเรื่องระดับความร้อนในขณะชาร์จอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ

ภายในกล่องก็จะมีตัวชาร์จ 33W SUPERVOOC แถมมาให้เลย พร้อมกับเคสใสซิลิโคน และสาย USB Type C แต่จะไม่มีชุดหูฟังแถมมาให้นะครับ

สเปคการใช้งานภายใน

realme C55 เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกใน C Series ที่มาพร้อมกับระบบ realme UI 4.0 ตั้งแต่แกะกล่องเลย ครอบทับบน Android 13 ตัวล่าสุดด้วยเช่นกัน ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Helio G88 เทคโนโลยีการผลิต 12nm และใช้ GPU Mali-G52 ด้วย octa-core 2.0GHz

ให้ ROM หรือหน่วยความจำมาเยอะมากๆ มีสองตัวเลือก 128GB/256GB และ RAM 6GB/8GB ตามลำดับ โดยมีความสามารถในการขยายแรมออกไปได้ด้วยพื้นที่หน่วยความจำที่ยังไม่ถูกใช้งานได้อีก 8GB รวมเป็นสูงสุด 8GB+8GB สเปครุ่นนี้ถือว่าไม่ธรรมดา

ด้วยหน่วยความจำขนาดนี้ ติดตั้งแอปและเกมได้สบายใจหลายร้อยแอปครับ เก็บรูปภ่ายได้มากกว่า 50,000 เก็บหนังเก็บเพลงไว้ฟังได้ไม่ซ้ำยาวเป็นเดือน ยังไม่นับพื้นที่ที่สามารถเพิ่มได้จาก micro SD Card ที่ใส่ได้อีก

realme UI 4.0 ของ realme C55 มีความสามารถใหม่ที่เรียกว่า “Mini Capsule” นับเป็นประเภทของรูปแบบการแจ้งเตือนใหม่ ออกแบบมาให้เข้ากับจอแสดงผลที่มีกล้องหน้าขวางอยู่กลางจอภาพ ปรับให้เป็นลูกเล่นบนพื้นที่พิเศษ หน้าตาขณะทำงานจะคล้ายๆ Dynamic Island ของเครื่อง Apple iPhone 14 Pro แต่จะเป็นแค่การแสดงผลขึ้นมาเพียงชั่วคราเท่านั้น แจ้งเตือนเสร็จแล้วก็หดหายไป ไม่ได้เป็นการเสียพื้นแบบถาวรบนหน้าจอไปตลอดเหมือนเครื่อง iPhone นั้นเองครับ

Mini Capsule จะถูกใช้ในการแจ้งเตือนสถานะแบตเตอรี่ในกรณีกำลังเสียบชาร์จ หรือแบตเตอรี่ใกล้จะหมด จะปรากฏออกมาในอนิเมชั่นและสีสันเอฟเฟ็กต์ที่ต่างกัน รวมถึงแจ้งบอกจำนวนก้าวเดินและปริมาณการใช้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตเมื่อใกล้ถึงขีดจำกัดถ้าเรากำหนดไว้ โดยความสามารถของ Mini Capsule จะถูกเพิ่มเติมเข้ามาได้ภายหลัง และเราสามารถควบคุมได้ จากการตั้งค่าภายในเครื่องหัวข้อ realme Lab นั้นเองครับ

ระบบยังมีการใส่ความสามารถที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น ระบบด้านความปลอดภัยในขณะที่เรากำลังจะแชร์ภาพที่อาจจะมีข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ใบหน้า หรือลิงก์เว็บไซด์ ในโหมดจัดการภาพเราสามารถกดเบลอสิ่งเหล่านี้ได้ในคลิ๊กเดียวโดยอัตโนมัติ เพื่อความง่ายในการส่งต่อภาพที่อาจจะมีข้อมูลละเอียดอ่อน หรือการกดเพื่อแปลภาษาที่อยู่ในภาพได้โดยตรง ก็ทำได้ด้วยเช่นกัน

รองรับท่าทาง Gesture ด่วน ลากสามนิ้วลงมาเพื่อเซฟภาพหน้าจอ หรือดันสามนิ้วขึ้นไปเพื่อแบ่งหน้าจอทำงานสองแอปพลิเคชั่นพร้อมกัน  ซึ่งการแบ่งแอปทำงานสามารถทำได้ทั้งลักษณะของการแบ่งครึ่งหน้าจอ และแบบลอยเป็นหน้าต่อป๊อบอัพ

ประสิทธิภาพการทำงานจอง realme C55 ไม่ได้แรงเร็วทรงพลังสูงมาก แต่ใช้งานได้ลื่นไหลพอประมาณ เปิดเข้าออกแอปพลิเคชั่นต่างๆ ทำได้เร็วไม่มีปัญหาใดๆ มีขนาดแรมที่ใหญ่มากพอจะเปิดแอปทิ้งไว้ได้หลายแอปพร้อมกัน แต่ก็ไม่ใช่เครื่องที่รวดเร็ว 100% แบบรุ่นใหญ่ราคาแพงเท่านั้นเอง

แต่แน่นอนว่าด้วยแบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh บนสเปคที่ไม่ได้ใช้พลังงานมากมายนัก จึงอยู่กับเราได้ยาวนานมากครับ ที่ผมลองใช้งานระดับทั่วๆ ไป สามารถอยู่ได้ข้ามคืนเลยทีเดียว โดยมีฟีเจอร์ในการจัดสรรพลังงานช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วย เช่นการปรับระดับประสิทธิภาพเครื่องเพื่อการถนอมพลังงาน หรือใครที่อยากจะเร่งให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ตลอดเวลา ก็สามารถเข้าไปเปิดได้ในการตั้งค่าหัวข้อพลังงานครับ

กล้องถ่ายภาพ

หนึ่งเดียวที่มาพร้อมกล้องหลัก 64MP สำหรับตัวเลือกที่ไม่เกินหกพัน เป็นเซนเซอร์ใหญ่ 1/2” และมีขนาดพิกเซลที่ใหญ่ 0.7μm ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง C35 ก็เรียกได้ว่าขนาดเซ็นเซอร์เพิ่มขึ้น 54% และความคมชัดเพิ่มขึ้นถึง 53.8% เลยทีเดียว ทำงานร่วมเลนส์ B&W ความละเอียด 2MP ช่วยวัดแสงจับโฟกัส

สามารถซูมภาพได้ตั้งแต่ 1x ไปจนถึงซูมดิจิทัล 10x พร้อมตัว AI ช่วยเร่งสีสันของภาพให้ดูสดใสตามสิ่งที่กำลังจะถ่ายให้อัตโนมัติ

ความคมชัดของกล้อง ไม่ธรรมดาครับ เพราะได้เซนเซอร์เกรดรุ่นใหญ่ใส่เข้ามาให้ แสงดีๆ เดินถ่ายยังไงภาพก็ออกมาสวยชัดง่ายๆ

กล้องถ่ายภาพมีโหมดถ่ายมากมายครับ โหมดสำคัญที่น่าสนใจอย่างภาพความละเอียดสูง 64MP และโหมดถ่ายภาพบุคคล, โหมดกลางคืน และพิเศษกับโหมด Street Photography ซึ่งปกติจะอยู่ในเฉพาะรุ่น GT Series แต้นี้มีมาให้ใช้ครั้งแรกใน C55 ด้วยครับ

โหมดถ่ายภาพ 64MP ภาพความละเอียดสูง เหมาะสำหรับถ่ายแล้วนำมาครอปตัดภายหลังโดยที่ภาพยังคงคมชัดอยู่ แต่จะได้ไฟล์ภาพขนาดใหญ่กินพื้นที่สักหน่อยครับ ประมาณ 20MB แต่รุ่นนี้หน่วยความจำมีขนาดใหญ่ ถ้าจำเป็นก็ถ่ายโหมด 64MP ไปก่อนเผื่อไปครอปตัดเอาทีหลังก็ได้ครับ ภาพค่อนข้างคมมากครับ

โหมด Street Photography หรือโหมดท้องถนน จะเป็นโหมดเอฟเฟ็กต์สีสันและโทนภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ออกแบบเพื่อการถ่ายภาพแนวสตรีท แนวอาร์ท เล่นกับสีและแสงที่สร้างความแปลกตาได้ดี ด้วยเทคโนโลยี Dynamic Image  Snapshot ช่วยปรับปรุงประสบการณ์การถ่ายภาพแนวนี้ได้อย่างดีครับ จับภาพไว ไม่กลัวแสงกลางคืน ปรับสีสันโทนภาพให้ออกมาอาร์ทได้สวยงาม

โหมดถ่ายภาพบุคคล สามารถถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้าครับ (กล้องหน้าความละเอียด 8MP) นอกจากจะถ่ายหน้าชัดหลังเบลอแบบปกติได้แล้ว ยังมากับฟังก์ชั่นที่เล่นกับฉากหลังได้มากกว่าเดิม เช่น Bokeh Flare Portrait การเพิ่มความโดดเด่นให้กับดวงโบเก้ด้านหลัง ให้มีความจัดจ้านและสวยงามมากขึ้น และ AI Color Portrait การปรับฉากหลังให้กลายเป็นโทนขาวดำ เหลือไว้แต่ตัวแบบที่ยังมีสีสัน ตัดได้คม เพิ่มความเด่นให้กับภาพบุคคล ทำออกมาได้ครับสำหรับ realme C55

สรุปท้ายรีวิว

สมาร์ทโฟนในกลุ่มราคาเริ่มต้น สเปคการใช้งานกำลังดี แต่ให้มาคุ้มสุดแล้วในตลาดราคา 5,999 และ 7,299 บาท เพราะได้เพิ่มขนาดหน่วยความจำ เพิ่มความละเอียดกล้อง ใส่ของที่เทียบเท่ากับตัวราคาแพงกว่าหลายพันบาทมาให้เลยทีเดียว และยังให้ระบบชาร์จที่ไว้ใจได้อย่าง 33W SUPERVOOC ชาร์จไวและปลอดภัยทั้งใช้เองหรือให้คนในบ้านที่เป็นเด็ก,ผู้ใหญ่ใช้ ตัวเครื่องสวย บาง และดูแข็งแรง

realme C55 เปิดราคาจำหน่ายมาสองรุ่น มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สี Sunshower และสี Rainy Night วางจำหน่ายพร้อมกันในวันที่ 31 มีนาคมผ่านช่องทาง realme brand shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

• รุ่นความจุ 6GB+128GB ราคา 5,999 บาท
• รุ่นความจุ 8GB+256GB ราคา 7,299 บาท

พิเศษ! สำหรับช่องทางออนไลน์ สามารถเป็นเจ้าของ realme C55 ได้ก่อนใคร โดย เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะช่องทาง Lazada ที่เดียว พร้อมราคาสุดพิเศษเฉพาะวันที่ 27 มีนาคม –1 เมษายน

โดย realme C55 รุ่นความจุ 6+128GB จะได้รับส่วนลดสูงสุด 500 บาท ราคาพิเศษจะเหลือเพียง 5,499 บาท และ realme C55 รุ่นความจุ 8+256GB เป็น 200 ออเดอร์แรก รับไปเลยทันทีกระเป๋า Backpack

ช่องทางการสั่งซื้อทาง Lazada :

• realme C55 รุ่นความจุ 6+128GB https://www.lazada.co.th/products/i4462650998.html?spm=a1zawg.24863640.table_online_product.1.51884edf4Y4FNz
• realme C55 รุ่นความจุ 8+256GB https://www.lazada.co.th/products/i4474612344.html?spm=a1zawg.24863640.table_online_product.1.10254edff0eXGN

 

ข่าว: รีวิว realme C55 อัปเกรดสเปคใหญ่ ขึ้นแชมป์ความคุ้ม เหนือทุกรุ่นในเรทราคา มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/realme-c55-review-champion-of-the-segment/

Advertisement

รีวิว Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro | การใช้งาน มีดีอะไรมากกว่าเรื่องกล้องถ่ายภาพ?

รีวิว Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro | การใช้งาน มีดีอะไรมากกว่าเรื่องกล้องถ่ายภาพ?
Noppinij

คลิปรีวิว Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับกล้อง Leica และหน่วยประมวลผลตัวล่าสุด Snapdragon 8 Gen 2 พร้อม RAM 12GB และ ROM ที่เป็น UFS 4.0 ขนาดใหญ่ มีรายละเอียดการใช้งานอีกมากมายที่เป็นคุณสมบัติพิเศษของรุ่นนี้ ที่มาในด้านอื่นๆ ไม่ได้มีดีแค่เรื่องกล้อง

ราคาเปิดตัวของ Xiaomi 13 Pro (รุ่นความจุ 12GB+512GB) ราคา 39,990 บาท และ Xiaomi 13 (รุ่นความจุ 12GB+256GB) ราคา 29,990 บาท

สำหรับเจ้าของเครื่อง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro  คุณสามารถเข้าไปรับชมคลิปเพื่อรู้ถึงการตั้งค่าสำคัญที่จะช่วยเพิ่มเร่งความเร็วในการใช้งานของเครื่องทั้งสองรุ่นได้ภายในคลิป และฝากกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้กับทีมงาน Appdisqus เอาไว้ด้วย ขอบคุณทุกคนที่รับชม

 

ข่าว: รีวิว Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro | การใช้งาน มีดีอะไรมากกว่าเรื่องกล้องถ่ายภาพ? มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-xiaomi-13-13pro-clip/

รีวิวเทียบแอปจดโน้ต GoodNotes กับ Samsung Notes อันไหนใช้งานได้ดีกว่ากัน?

แท็บเล็ตจอใหญ่ ๆ ถือเป็นไอเท็มเ คียงคู่กับนักเรียนนักศึกษา โดยปกติทางฝั่ง iPad ก็จะมีแอปยอดฮิตใช้จดโน้ตเป็น GoodNotes จนเป็นภาพจำว่าซื้อแท็บเล็ตก็ต้องใช้คู่แอปตัวนี้ แต่หากหันไปฝั่ง Android ก็จะมีแอป Samsung Notes ในแท็บเล็ตซัมซุงนี่แหละ ที่มีฟีเจอร์ใช้งานพอ ๆ กัน เลยอยากเทียบให้ดูว่าเหมือนต่างกันอย่างไร ใช้แทนกันได้ไหมนะ

สำหรับใครกำลังมองหาแท็บเล็ตเพื่อใช้ในการเรียน หรือการทำงาน อยากใช้ปากกาขีดเขียนก็ต้องมีแอปดี ๆ มารองรับการใช้งานด้วย หลัก ๆ ทางฝั่ง iPad ของ Apple ก็จะมีแอป GoodNotes ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี แต่ต้องเสียเงินเพื่อปลดล็อกฟีเจอร์เต็ม ราคา 329 บาท โดยตอนนี้เปิดเวอร์ชัน Beta ให้ชาวแอนดรอยด์ลองใช้กันอยู่

อีกฝั่งของ Android ก็จะมี Samsung Notes ที่จำกัดให้ใช้งานได้บนแท็บเล็ตซัมซุงเท่านั้น ตัวนี้ดาวน์โหลดได้ใน Play Store และ Galaxy Store ใช้งานได้ฟรี ไม่มีตัวเลือกให้เสียตังค์ใด ๆ

• ดาวน์โหลด GoodNotes 5
• ดาวน์โหลด Samsung Notes

 

การจัดเรียงโน้ต ตัวเลือกกระดาษ

ระบบแรกที่เข้ามาในแอปก็เจอ คือการเรียงเรียงโน้ต โดยทั้งสองแอปมีระบบจัดโฟลเดอร์ จัดไฟล์ต่าง ๆ แยกเป็นหมวดหมู่ได้เหมือนกัน สามารถเลือกลายกระดาษได้ ยกตัวอย่าง หากต้องการสมุดลายเส้นแบ่งบรรทัด หรือจุดเพื่อวาดกราฟ หรือลายอื่น ๆ  ก็ทำได้หมดทั้งสองแอป แต่มีความแตกต่างกันอยู่ตามนี้

GoodNote : มีตัวเลือกหน้าปกสมุด ปรับลวดลายได้ตามต้องการ เวลาเปิดไฟล์มาหน้าแแรกก็จะเป็นปกให้เขียนชื่อเล่นได้ ตัวไฟล์โน้ตเลือกขนาดกระดาษได้

Samsung Notes : ไม่มีหน้าปกสมุด แค่จัดไฟล์ใส่โฟลเดอร์ได้เฉย ๆ แต่รองรับระบบ Tag เพื่อจัดเรียงไฟล์เป็นหมวดหมู่ หาเจอได้ง่ายขึ้นอีกขั้น และในการเลือกลายกระดาษ สามารถไปหาภาพมาเปลี่ยนลายได้เอง แต่ไม่สามารถเลือกขนาดกระดาษได้เหมือน Goodnote

ภาพเรียงตามนี้ GoodNotes > Samsung Notes

ระบบ Tag ใน Samsung Notes

การจัดวางเมนู

มาถึงข้างในแอป หลังสร้างและตั้งค่าสมุดไปแล้ว เช็คดูรอบ ๆ จะเห็นโครงหน้าเมนูที่ต่างกัน ทางฝั่ง GoodNotes จะวางอุปกรณ์ทุกอย่างได้ด้านบน ส่วน Samsung Notes จะมีแถบด้านบนไว้เป็นเมนูเวลาใช้ปากกา และแถบด้านล่างไว้สำหรับตอนพิมพ์ข้อความ โดยของซัมซุงจะลากเมนูปากกา ไปวางไว้ตรงไหนก็ได้ตามที่เราถนัด

 

 

อุปกรณ์การเขียน

อุปกรณ์สำคัญที่สุดในแอป คงเป็นตัวปากกา ไฮไลต์ ยางลบ ตัวเลือกคลุมวัตถุ ที่ต้องใช้เป็นตัวคอยจดโน้ตตามเลกเชอร์ ไฮไลต์ตัวหนังสือเวลาอ่าน ซึ่งจากที่เราใช้งานทั้งสองแอปแล้ว พบว่าทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมทั้งคู่ ไม่มีอุปกรณ์ไหนตกหล่นไป

ปากกา

GoodNotes : มีปากกา 3 ชนิด Fountain, Ball, Brush สามารถปรับค่าความแหลมปลายเส้น และระดับความไวต่อแรงกดได้ ทำให้ใช้ฟังก์ชันของปากกา Apple Pen มูลค่า 3,900/4,990 บาทได้เต็มที่

Samsung Notes : มีปากกา 5 ชนิด แต่ปรับได้แค่ขนาดของหัวปากกา ว่าจะให้มีขนาดเท่าไรระหว่าง 0 – 100 แค่นั้น

ไฮไลต์

ปากกาไฮไลต์ เป็นตัวที่ทำให้ลากทับตัวหนังสือในไฟล์ PDF หรือ Powerpoint แล้วยังอ่านออกได้ตามปกติ เพื่อเน้นข้อความให้อ่านตามทีหลังง่าย ๆ

GoodNotes : มีปากกาไฮไลต์แบบเดียว คือหัวกลม เลือกได้ว่าจะให้โปรแกรมปรับขีดเส้นตรงอัตโนมัติหรือไม่ เพื่อความสะดวกไม่ต้องประณีตเวลาลากปากกา

Samsung Notes : มีปากกาไฮไลต์ 4 แบบ (1) หัวเหลี่ยม (2) หัวเหลี่ยมขีดตรง (3) หัวกลม (4) หัวกลมขีดตรง หรือพูดง่าย ๆ คือมีหัวสองแบบนั่นแหละ แค่เลือกได้จะขีดแล้วให้โปรแกรมปรับเส้นตรงให้มั้ย

การเลือกสี

ใครอยากปรับแต่งสีสันปากกาต่าง ๆ จะเลือกใช้แอปไหนก็ได้ เพราะมีระบบเลือกสีเหมือนกัน เลือกแบบเป็นแบ่งสีชัด ๆ หรือเลื่อนเอาใน Spectrum ก็ได้ หน้าตาอาจต่างกันหน่อย แต่ทำหน้าที่เหมือนกัน และหลังได้สีที่ชอบมาแล้ว ก็เซฟเก็บเข้า Preset ไว้กดใช้ง่าย ๆ ได้เลย

ยางลบ

ยางลบที่ไว้ลบรอยเขียนปากกาต่าง ๆ ส่วนนี้มีความแตกต่างอยู่เล็กน้อย เบื้อต้นการใช้งานใน GoodNotes ก็ต้องแตะตัวเลือกยางลบก่อนค่อยใช่ ส่วนของ Samsung จะมีปุ่มที่ปากกา S Pen เรียกใช้ยางลบได้ทันที อันนี้สะดวกมาก

GoodNotes : ยางลบเลือกได้ 3 โหมด (1) Precision ลบได้แบบละเอียดยิบ แตะเท่าไหนลบเท่านั้น (2) Standard ลบแบบเก็บขอบเพิ่มจากที่แตะเล็กน้อย ทำให้ลบได้ไวขึ้น (3) Stroke แตะนิดเดียว ลบออกทั้งชิ้นทีเดียวเลย

Samsung Notes : ยางลบเลือกได้ 2 โหมด (1)  Stroke แตะนิดเดียว ลบออกทั้งชิ้น (2) Area แตะเท่าไหนลบเท่านั้น เทียบเท่า Precision ของกู้ดโน้ต

โดยทั้งสองแอปจะเลือกได้หากต้องการลบแค่รอยปากกาไฮไลต์ แต่ GoodNotes มีตัวเลือกเพิ่มมาอีกอย่าง คือเปิดให้กลับมาใช้ปากกาอัตโนมัติหลังลบเสร็จ ละเอียดดีครับ

แทรกรูปภาพ

ระหว่างจดโน้ตแน่นอนว่าอาจมีกราฟิกหรือสไลด์ขึ้นจอ แล้วเราอยากถ่ายภาพเพื่อมาโน้ตต่อได้ไว ๆ ฟังก์ชันแทรกรูปภาพจึงมีความจำเป็นอยู่มาก ๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ทั้งสองแอป รองรับการแทรกภาพเข้ามาในโน้ต

GoodNotes : มีปุ่มเลือกภาพในเมนูเลย แตะแล้วจะขึ้นภาพพรีวิวเล็ก ๆ ให้เลือกทันที หรือกดปุ่มกล้องเพื่อถ่ายภาพในตอนนั้นได้ ไม่ต้องออกมานอกแอป

GoodNotes เลือกภาพ/ถ่ายรูป ได้ง่ายมาก

Samsung Notes : ซ่อนปุ่มแทรกภาพไว้ขวาบน หลังกดแล้วต้องเลือกว่าจะดึงภาพมาจากแอปไหน พอกดแล้วก็จะพาไปหน้าแอปนั้น เหมือนเวลาเราจะกดอัปโหลดภาพในแอนดรอยด์ ไม่ค่อยสะดวกเท่ากู้ดโน้ตที่เลือกในแอปได้เลย

สติกเกอร์

ฟีเจอร์นึงที่ Samsung Note ไม่มีเลย คือพวกสติกเกอร์น่ารัก ๆ ที่บางคนชอบใช้ตกแต่งตามหน้าต่าง ๆ ให้มีสีสัน ดูไม่น่าเบื่อ ใน GoodNotes จะมีปุ่มเฉพาะพร้อมสติกเกอร์ให้มาหลายอย่าง แถมยังกดเพิ่มสติกเกอร์ของเราเองได้ด้วย

บันทึกเสียง

อีกฟีเจอร์เด็ดแอปจดโน้ต คือความสามารถในการบันทึกเสียง ทำให้เราสามารถเปิดย้อนฟังเพื่อทบทวนเนื้อหาได้ ซึ่งทั้ง GoodNotes และ Samsung Notes ก็มีฟีเจอร์นี้เหมือนกันทั้งคู่ และเวลากดหยุดแล้วอัดต่อ ตัวแอปจะนำเสียงมาเรียงต่อกันยาว ๆ อัตโนมัติ พร้อมแสดงจุดมาร์กเอาไว้แสดงการแบ่งไฟล์

GoodNotes : มีปุ่มกดอัดเสียงได้เลยทันทีด้านซ้ายบน มีปุ่มกดย้อนการฟังได้ทีละ 10 วินาที

Samsung Notes : ซ่อนปุ่มกดเสียงด้านขวาบน มีปุ่มกดย้อนการฟังหรือเลื่อนไปข้างหน้าได้ครั้งละ 10 วินาที

การใช้งานร่วมกับคนอื่น

หากต้องการแชร์โน้ตร่วมกันกับคนอื่น เพื่อให้ขีดเขียน คอมเมนต์ แบ่งงานกัน หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งสองแอปก็มีระบบแบบนี้มาให้ในตัว

GoodNotes : กดที่ปุ่ม Share Link to Collaborate อาศัยการเชื่อมต่อผ่าน iCloud Sync ของ Apple เท่านั้น

Samsung Notes : กดที่เมนู Shared notes ในหน้าหลัก สามารถแชร์ผ่าน Contact, บัญชี Samsung, แชร์ลิงก์ แต่แน่นอนว่าผู้ใช้งานร่วมก็ต้องมีมือถือหรือแท็บเล็ตของ Samsung เท่านั้น

ไฟล์ที่รองรับ

นำเข้าไฟล์

หากได้ไฟล์มา ต้องการเอาไปเขียนต่อในแอปจดโน้ต ก็เป็นเรื่องสำคัญอยู่ว่าแอปของเราเข้ากับไฟล์ชนิดไหนได้บ้าง

GoodNotes : รองรับ PDF, Word (.doc, .docx), PowerPoint (.ppt, .pptx), ไฟล์ภาพ, ไฟล์ GoodNotes (.goodnotes)

Samsung Notes : รองรับ PDF, ไฟล์ภาพ, ไฟล์ Samsung Notes, ไฟล์เสียง ไม่สามารถเปิดไฟล์ Microsoft ได้เลยทันที ต้องแปลงเป็น PDF ก่อน

เซฟไฟล์

หลังเขียนงาน ทำเอกสารเสร็จแล้ว ตัวแอปจะสามารถเซฟออกมาเป็นไฟล์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งตัวเลือกที่ให้มาทั้งคู่ก็เพียงพอต่อการนำไฟล์ไปใช้ต่อ แต่ของซัมซุงมีดีหน่อยที่ทำเป็นไฟล์ของ Microsoft ได้เลย (แต่ Import ไฟล์พวกนั้นเข้ามาไม่ได้นะ งงเลย)

GoodNotes : เลือกว่าจะเซฟภาพพื้นหลังที่เป็นลายกระดาษมั้ย, เซฟเป็น PDF (เลือกชนิดได้), ภาพ (เลือกอัดไฟล์ Zip ได้), ไฟล์ของ GoodNotes, สั่งพรินต์

Samsung Notes : เซฟเป็น PDF, Microsoft Word, Powerpoint, ภาพ, ไฟล์ตัวหนังสือ (.txt), ไฟล์ของ Samsung Notes, สั่งพรินต์

 

 

Samsung Notes

GoodNotes กับ Samsung Notes สรุปแอปไหนใช้ดีกว่ากัน

หลังได้ลองใช้งานดูแล้ว พบว่าแอป GoodNotes ของ iOS และ Samsung Notes ของซัมซุง สามารถใช้จดโน้ตได้ดีเทียบเท่ากันเลย อุปกรณ์จำเป็นแทบทุกอย่างก็มีมาให้แล้วในแอป ทั้งคู่ใช้งานได้ง่าย ลื่นไหลไม่แพ้กัน

โดยของ Samsung Notes ก็น่าเสียดายที่จำกัดในอุปกรณ์ของซัมซุงเท่านั้น แต่ก็หามาใช้ได้ฟรี ส่วน GoodNotes ตอนนี้ก็จำกัดแค่ในระบบ iOS อาจต้องรอสักพักกว่าจะพัฒนาของแอนดรอยด์เสร็จ แต่ถ้าอยากใช้งานเต็มๆ ก็ต้องเสียเงินจ่าย

แต่ทั้งคู่ น่าจะเป็นแอปที่มีฟังก์ชันการใช้งานครอบคลุมการจดโน้ตมากที่สุดแล้ว ใครสะดวกทางไหนเลือกใช้เลย ไม่ต่างกันครับ

 

from:https://droidsans.com/goodnotes-samsung-notes-comparison-ios-android-app/

บล็อกเกอร์จีนรีวิวห้องพักจิ๋วในเจิ้งโจว ห้องเล็ก คืนละ 300 บาท แต่มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม

หนุ่มจีนรีวิวห้องพักในโรงแรมจีน ห้องเล็กจนเตียงนอนเบียดกับโถส้วม ราคา 300 กว่าบาทต่อคืน

โรงแรมที่ว่านี้มีห้องพักขนาดเล็กขนาด 8 ตารางเมตร ราคา 60 หยวนหรือประมาณ 305 บาทต่อคืน ตั้งอยู่ในเจิ้งโจว เมืองหลวงของจังหวัดเหอหนาน บริเวณตอนกลางของจีน

Hei Mao Zhang บล็อกเกอร์หนุ่มชาวจีนรีวิวห้องพักขนาดเล็กนี้ เขาใช้เวลาอยู่ในห้องเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ได้พักค้างคืน แต่ก็บอกว่าห้องนี้มีความสะอาดและมีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานให้พร้อม สิ่งที่เขารีวิวก็คือ เตียงอยู่ใกล้กับโถส้วมมากและมีกลิ่นเล็กน้อย ในห้องพักถือว่ามีของบริการพร้อมสรรพทั้งเตียงนอน เครื่องปรับอากาศ โถส้วม อ่างล้างหน้า กระจก ที่แขวนเสื้อผ้า มีกาน้ำ มีเครื่องระบายอากาศ และยังมีภาพวิวประดับห้องพักด้วย

เจ้าของโรงแรมระบุว่า ห้องพักขนาดเล็กนี้เป็นที่นิยมของแขกที่เข้ามาพักในโรงแรมมาก แขกส่วนใหญ่ที่เลือกห้องพักนี้ส่วนมากมักจะเป็นคนป่วยหรือญาติที่มักจะต้องใช้บริการศูนย์อนามัยที่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร นอกนั้นแขกที่ใช้ห้องพักแบบนี้ก็มักจะเป็นเด็กนักเรียนที่เข้าพักเพื่อเตรียมตัวสอบ

คลิปวิดีโอที่รีวิวห้องพักขนาดเล็กนี้มียอดวิวแล้ว 2 ล้านครั้งผ่านเว็บ blibli.com ขณะที่ยอดวิวจาก Weibo อยู่ที่ 2 ล้านครั้งมีคนคอมเมนท์นับพัน บางคนก็ให้ความเห็นว่า ห้องขังสำหรับนักโทษยังมีขนาดใหญ่กว่าห้องพักในโรงแรมนี้อีก บ้างก็นำยอดค่าใช้จ่ายต่อวันมาคูณกัน คืนละ 60 หยวน เดือนหนึ่งจะเท่ากับ 1,800 หยวน แน่นอนว่าเรทนี้สามารถหาห้องพักที่มีสภาพดีกว่าได้ แต่สำหรับพักชั่วคราวก็ถือว่าไม่แพง แต่ก็ต้องเช็คกลิ่นดีๆ ว่าพออยู่ได้ไหม

• ธุรกิจโรงแรมหลังยุคโควิด: ลดพนักงาน ไม่มีอาหารเช้าให้ ยกเลิกทำความสะอาดรายวัน

ที่มา – SCMP

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

The post บล็อกเกอร์จีนรีวิวห้องพักจิ๋วในเจิ้งโจว ห้องเล็ก คืนละ 300 บาท แต่มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม first appeared on Brand Inside.
from:https://brandinside.asia/chinese-blogger-review-hotel-tiny-room-in-zhengzhou/

รีวิว Xiaomi 13 | Xiaomi 13 Pro สองเรือธงกล้อง Leica สวยถูกใจ กับสเปคแบบจัดเต็ม

รีวิวใช้งานจริง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro สองเรือธงค่ายเสียวหมี่แห่งปี 2023 จะน่าใช้แค่ไหน ทดสอบใช้เป็นมือถือเครื่องหลัก ดูอายุการใช้งานแบตเตอรี่ เล่นเกมทดสอบพลังชิป Snapdragon 8 Gen 2 สุดแรง ใช้งานแอปต่าง ๆ ดูการแจ้งเตือน และสุดท้ายคือทดลองกล้องที่ประทับตรา Leica สุดท้ายชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เราจะมาเล่าให้ฟัง

• ดีไซน์เครื่อง
• หน้าจอ
• ระบบเสียง
• ถ่ายภาพ
• ถ่ายวิดีโอ
• ความแรงชิป
• แบตเตอรี่
• ซอฟต์แวร์
• สรุปข้อดี-ข้อสังเกต

ดีไซน์ต่างกัน สวยคนละแบบ

สิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือเรื่องดีไซน์ของตัวเครื่อง คราวนี้เสียวหมี่ดักผู้ใช้สองทาง ทั้งคนที่ชอบดีไซน์แบบขอบเหลี่ยมตามสมัยนิยม และคนที่ชอบขอบโค้งจอโค้งดูพรีเมียมตามสไตล์มือถือแอนดรอยด์

Xiaomi 13 ขอบเหลี่ยม จอแบน

รุ่นเริ่มต้น Xiaomi 13 จะมากับเทรนด์ดีไซน์ตามกระแส ด้วยการใช้ขอบเครื่องแบน หักเหลี่ยมตรงมุม ตัวนี้เป็นสีดำ Black ที่ “ดำได้ใจ” โทนสีเข้มดุดันไม่เกรงใจใคร ดูพรีเมี่ยมสุด ๆ เฟรมเครื่องใช้วัสดุเหล็กอลูมิเนียม ฝาหลังครอบด้วยกระจกเงาวาว สวยจริง แต่จับแล้วรอยนิ้วมือเพียบนะ ต้องเช็ดบ่อย ๆ ตัวเครื่องหนัก 189 กรัม กำลังดี

ด้านขวาเครื่องวางปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Power ทรงราบแบนดูคุ้น ๆ ตา กดแล้วให้เสียงกรึบ แสดงความแข็งแรงทนทาน ด้านล่างเรียงไปด้วยช่องใส่ซิม ที่มีถาดรองรับซิม 2 อัน รูไมค์ พอร์ต USB-C 2.0 และลำโพงล่าง ที่ใช้คู่กับลำโพงบนตรงขอบหน้าจอ และขอบด้านบนมี IR Blaster ตัวยิงสัญญาณคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า

Xiaomi 13 Pro ขอบโค้ง จอโค้ง

รุ่นท็อป Xiaomi 13 Pro จะใช้ดีไซน์มือถือแอนดรอยด์พรีเมียม ด้วยตัวเครื่องเพรียวบาง ขอบเครื่องตรงฝาหลัง และขอบหน้าจอโค้งมาบรรจบกันที่เฟรมเครื่องที่ใช้วัสดุเหล็กอลูมิเนียม เครื่องนี้เป็นสีขาว Ceramic White แบบเรียบ ๆ เหมือนจานที่บ้าน คงเป็นเพราะว่าประกอบด้วยวัสดุเซรามิกนั่นเอง เนื้อผิวลื่น ๆ สะท้อนแสงเหมือนกัน แต่มองไม่ค่อยเห็นรอยนิ้วมือ น้ำหนักเยอะหน่อย 229 กรัม.

ปุ่มปรับเสียงและ Power อยู่ด้านขวาเหมือนกัน แต่ขนาดปุ่มเล็กเรียวมาก เพื่อให้อยู่ในขอบเครื่องได้ ด้านล่างมีเหมือนกับรุ่น 13 ทั้งช่องใส่ซิม พอร์ต USB-C 2.0 และลำโพงล่าง แต่รุ่นนี้เอารูไมค์ไว้ฝั่งขวา

มือถือทั้งสองรุ่นได้มาตรฐาน ทนน้ำทนฝุ่น IP68 และหน้าตาโมดูลกล้องที่เหมือนกัน เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขอบมน ประทับตรา Leica แต่โมดูลของรุ่น Xiaomi 13 Pro จะใหญ่กว่า Xiaomi 13 อยู่พอสมควร ให้ได้สัดส่วนตามขนาดเครื่อง

หน้าจอสีสด สว่างจ้า 

Xiaomi 13 ใช้หน้าจอ AMOLED กว้าง 6.36 นิ้ว ความละเอียด FHD+ 2400 x 1080 ได้ทั้ง Dolby Vision และ HDR10+ แน่นอนว่าหน้าจอก็สีสวยสด แสดงผลเที่ยงตรง แถมได้รีเฟรชเรต 120Hz ไถได้ลื่นสุด ๆ ขอบหน้าจอบางพิเศษ 1.61 มม. ทำให้ได้หน้าจอกว้างดูได้จุใจ

Xiaomi 13 Pro ใช้หน้าจอ AMOLED กว้าง 6.73 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ 3200×1440 มี Dolby Vision และ HDR10+เหมือนกัน แต่สามารถปรับรีเฟรชเรต 1-120Hz ได้ตามเนื้อหาในจอ เพราะเป็นจอ LTPO ซึ่งก็จะช่วยประหยัดพลังงาน

ทั้ง Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro จะใช้กล้องหน้าเป็นแบบเจาะรู และรองรับ Widevine L1 ทำให้ดู Netflix ได้ชัดระดับ HD ครับ

ความสว่างของจอทั้งคู่เมื่อใช้งานทั่วไป อยู่ที่ 1200 นิต และหากเอาออกไปข้างนอกเจอแสงแรง ๆ ก็ปรับขึ้นไปได้ถึง 1900 นิต เรียกได้ว่าสู้แดดได้สบาย มองเห็นชัดไม่มีปัญหา

ลำโพงดังเสียงคุณภาพดี

มือถือทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบลำโพงคู่สเตอริโอ Dolby Atmos ได้เสียงดังฟังชัด เนื้อเสียงมีมิติใช้ได้ แต่มีเสียงย่านเบส และเสียงกลางต่ำที่ไม่ค่อยเด่นเท่าไร ทำให้ได้ยินเสียงกลาง แหลมชัดกว่าบ้าง แต่เอามาดูคอนเทนต์ ดูหนังอะไรก็ไม่มีติดขัด

กล้อง Leica สวยจริงไม่จกตา

ตัวชูโรงของเรือธงรอบนี้ คือระบบกล้องที่พัฒนาขึ้นมาโดยร่วมมือถือแบรนด์ Leica ในแอปกล้องจะมีให้เลือกระหว่าง Leica Authentic ที่เน้นสีสมจริง กับ Leica Vibrant ที่ปรับขึ้นมาเล็กน้อยให้สีดูสดใสขึ้น ที่รีวิวคราวนี้จะใช้โหมด Leica Authentic ทั้งหมด

โปรไฟล์สีโดยรวมแล้วก็ตามที่เค้าว่า Authentic ก็คือดูสมจริง เรียล ๆ ไม่ได้เร่งสีให้เข้มจัดมากเก่นไป แต่ AI จะเลือกตามฉากได้อย่างเหมาะสม เช่นถ่ายคน ถ่ายดอกไม้ ถ่ายฉาก ก็จะได้สไตล์สีสันแตกต่างกันไป แต่ก็ยังคุมธีมสไตล์ Leica ไว้ ลองมาดูรูปกัน

กล้องหลัก 23mm

กล้องหลักหลังจากลองถ่ายรูปดูแล้ว รู้สึกว่ากล้องไม่ได้มีความต่างกันมาก สวยคือกันทั้งคู่ ยิ่งถ้าเป็นฉากกลางวัน แสงจ้าแบบนี้ ดูออกยากมาก

• Xiaomi 13 กล้องหลัก 50MP (f/1.8) เซนเซอร์กว้าง  1/1.49 นิ้ว
• Xiaomi 13 Pro กล้องหลัก 50.3MP (f/1.9) เซนเซอร์กว้าง 1 นิ้ว

ภาพเรียงตามนี้ Xiaomi 13 – Xiaomi 13 Pro

 

จะเห็นได้ว่า หาความแตกต่างของกล้องจากทั้งสองตัวยากมาก แต่พอจะสังเกตได้อย่างเรื่อง Dynamic Range ที่รุ่น Xiaomi 13 Pro ทำได้ดีกว่า โดยสามารถดึงสีสัน และเก็บรายละเอียดในพื้นที่มืดได้ ดูได้จากผมของนางแบบ และด้านหลังเก้าอี้ ในภาพที่นางแบบนั่งหันหลังให้กล้อง

แต่ Xiaomi 13 Pro ก็มีช่วงประมวลภาพหนักเกินไปบ้าง อย่างขอบ ๆ ไอศกรีมที่โดนประมวลภาพหนัก เกิดเป็นเงาดำ ๆ รอบวัตถุ และในภาพสุดท้าย ก็ยังเห็นสีท้องฟ้าใน Xiaomi 13 Pro ที่เข้มกว่า ทำให้ดูมีมิติ ให้อารมณ์ดรามาในภาพมากขึ้น

กล้องอัลตราไวด์ 15mm/14mm

พอขยับมากล้องตัวอื่นก็จะเจอความแตกต่างในด้านฮาร์ดแวร์เยอะพอสมควร อย่างอัลตราไวด์นี่คือกล้อง 12MP สู้กับกล้อง 50MP เลยนะ แต่เมื่อถ่ายออกมาแล้วพบว่ารุ่น Xiaomi 13 ธรรมดา โทนสีในพื้นที่แสงน้อย หรือในเงาจะไม่ได้สีสันสดใสเท่า Xiaomi 13 Pro และภาพชัดน้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก ๆ

ดังนั้นถ้าใช้ Xiaomi 13 Pro ถ่าย ก็จะได้เปรียบในเรื่อง Dynamic Range ที่กล้องเก็บรายละเอียดที่ต่างแสงได้ดี

• Xiaomi 13 อัลตราไวด์ 12MP (f/2.2) มุมกว้าง 120˚ ระยะ 15 มม.
• Xiaomi 13 Pro อัลตราไวด์ 50MP (f/2.2) มุมกว้าง 115˚ ระยะ 14 มม.

ภาพเรียงตามนี้ Xiaomi 13 – Xiaomi 13 Pro

กล้องเทเลโฟโต 75mm

มาถึงกล้องพระเอกของมือถือ ที่จะเป็นตัวเอาไว้ถ่ายโหมด Portrait ภาพบุคคล และจับโฟกัสวัตถุ เป็นอีกเลนส์ที่ความละเอียดต่างกันมาก แต่ผลลัพธ์ยังพอสู้กันได้อยู่ โดยกล้อง Xiaomi 13 Pro จะออกสีเข้มกว่าเล็กน้อย ทำให้ภาพดูมีมิติ ส่วน Xiaomi 13 บางรูปสีอาจออกจาง ๆ แต่ส่วนมากก็ยังคล้ายกัน

• Xiaomi 13 เทเลโฟโต 10MP (f/2.0) ซูม 3.2x
• Xiaomi 13 Pro เทเลโฟโต 50MP (f/2.0) ซูม 3.2x โฟกัสใกล้สุด 10 ซม.

 

กล้องหน้า 

กล้องหน้าของทั้งคู่เหมือนกัน ความละเอียด 32MP (f/2.0) ถ่ายออกมาไม่ต่างกันเลย แต่สังเกตได้ว่าจะสีออกซีด ๆ ไปหน่อยนะ แต่ก็เก็บรายละเอียด ความคมชัดไว้ได้ ถ้าต้องการให้กล้องหน้าออกมาสีสดใส หรือปรับหน้าเนียบ ก็แน่นอนว่าเลือกฟิลเตอร์และปรับโหมด Beauty ได้ตามความต้องการ

ถ่ายภาพกลางคืน

ภาพเวลาถ่ายตอนกลางคืน รุ่น Pro จะสามารถดึงภาพให้มีแสงสว่างได้มากกว่ารุ่นธรรมดาเล็กน้อย ส่วนรุ่น Xiaomi 13 หากเป็นกล้องตัวอื่นที่ไม่ใช่กล้องหลัก ก็จะคุณภาพดรอปไปเยอะพอสมควร เนื่องจากความละเอียดกล้องน้อยกว่า

ภาพเรียงตามนี้ Xiaomi 13 – Xiaomi 13 Pro

ส่วนใครชอบถ่ายดวงจันทร์ตอนกลางคืน ใน Xiaomi 3 Pro สามารถเปิดโหมด Super Moon mode เพื่อให่ถ่ายดวงจันทร์แบบชัด ๆ ดูความต่างระหว่างตอนเปิดใช้งาน กับตอนถ่ายตามโหมดปกติได้ตามนี้

กล้อง Telephoto ของ Xiaomi 13 Pro ยังสามารถโฟกัสวัตถุแบบชิดใกล้ได้ 10 ซม. ทำให้ได้ภาพมาโครอีกแบบ ที่วัตถุจะยังคงสัดส่วนไว้ได้ โดยยังคงเห็นรายละเอียดใกล้ ๆ ต่างกับการใช้กล้อง Ultrawide ถ่าย

ตัวอย่างวิดีโอ

สีสันของวิดีโอระหว่าง Xiaomi 13 กับ Xiaomi 13 Pro ต่างกันพอสมควร กล้องรุ่น 13 Pro จะถ่ายแล้วได้สีสันสดใส มีความเข้มมากกว่า และแม้ว่ากล้องทั้งสองตัวมาพร้อมระบบกันสั่น OIS ทำให้ได้ภาพนิ่งใช้ได้ แต่รุ่นท็อปดูเหมือนว่าจะกันสั่นนิ่งกว่า

ถ่ายวิดีโอได้ชัดสุดที่ 8K 24fps ภาพชัดมากแต่เฟรมเรตอาจจะดูขัด ๆ ลูกตาหน่อย จึงขอแนบเป็นลิงก์ให้ไปตามดูสำหรับผู้ที่สนใจ

• วิดีโอ Xiaomi 13 8K24fps
• วิดีโอ Xiaomi 13 Pro 8K24fps

ส่วนวิดีโอที่ได้เรื่องขึ้นมา คือ 4K60fps ที่ทำให้ได้ภาพชัดและมีความไหลลื่น

และน่าเสียดายกล้องหน้าทั้งสองถ่ายได้ชัดสุดแค่ 1080P 30fps หลังดูคลิปแล้ว คิดว่าระบบกันสั่น แสงสีต่าง ๆ ออกมาเหมือนกันเด๊ะ ไม่ต่างกันเลย

เครื่องแรงดีไม่มีตก

เรือธงทั้งคู่มาพร้อมชิปแรง Snapdragon 8 Gen 2 บนสถาปัตยกรรม 4 นาโนเมตร ความแรงไม่ต้องห่วง เพราะนี่คือที่สุดของยุค ภายในมีแผงระบายความร้อน LiquidCool ที่มีขนาดใหญ่ ช่วยให้เล่นเกมได้ยาวนานมากขึ้น ใช้งานร่วมกับ LPDDR5X RAM 12GB และ UFS 4.0 ROM เพิ่มสปีดการทำงานเบื้องหลังไปอีก

สเปค XIAOMI 13

• จอภาพ : AMOLED E6 ขนาด 6.36 นิ้ว
  – ความละเอียด Full HD+
  – อัตรารีเฟรช 120Hz
  – รองรับ HDR10, HDR10+, Dolby Vision, HLG
• ชิป : Snapdragon 8 Gen 2
• หน่วยความจำ : RAM LPDDR5x 8 / 12GB
• สตอเรจ : ROM UFS 4.0 256GB
• กล้องหลัง :
  – กล้องหลัก 54MP, เซนเซอร์ IMX800 ขนาด 1/1.49นิ้ว, ระบบกันสั่น HyperOIS
  – กล้องอัลตราไวด์ 12MP, มุมกว้าง 120 องศา
  – กล้องเทเลโฟโต 10MP, ความยาวโฟกัส 75 มม.
• – ถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K แบบ HDR ที่ 24 เฟรมต่อวินาที
• กล้องหน้า : 32MP
  – ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
• เสียง : ลำโพงสเตอรีโอ
  – รองรับ Hi-Res
  – รองรับ Dolby Atmos
• แบตเตอรี่ : 4500mAh
  – รองรับชาร์จไว 67W
  – รองรับชาร์จไร้สาย 50W
  – รองรับการชาร์จให้อุปกรณ์อื่น 10W
• การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC
• ความทนทาน : ทนน้ำและฝุ่น IP68
• ระบบปฏิบัติการ : MIUI 14 บนพื้นฐาน Android 13
• ขนาด / น้ำหนัก : 152.8 มม. x 71.5 มม. x 7.98 มม. / 189 กรัม

สเปค XIAOMI 13 PRO

• จอภาพ : AMOLED แบบ LTPO ขนาด 6.73 นิ้ว
  – ความละเอียด 2K
  – อัตรารีเฟรช 1 – 120Hz
  – ความลึกสี 10-bit
  – รองรับ HDR10, HDR10+, Dolby Vision, HLG
• ชิป : Snapdragon 8 Gen 2
• หน่วยความจำ : RAM LPDDR5x 12GB
• สตอเรจ : ROM UFS 4.0 256 /512GB
• กล้องหลัง :
  – กล้องหลัก 50MP, เซนเซอร์ IMX989 ขนาด 1 นิ้ว, ระบบกันสั่น HyperOIS
  – กล้องอัลตราไวด์ 50MP, มุมกว้าง 115 องศา, ระยะโฟกัสใกล้สุด 5 ซม.
  – กล้องเทเลโฟโต 50MP, ความยาวโฟกัส 75 มม., ระยะโฟกัสใกล้สุด 10 ซม.
  – ถ่ายวิดีโอสูงสุด 8K แบบ HDR ที่ 24 เฟรมต่อวินาที
• กล้องหน้า : 32MP
  – ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
• เสียง : ลำโพงสเตอรีโอ
  – รองรับ Hi-Res
  – รองรับ Dolby Atmos
• แบตเตอรี่ : 4820mAh
  – รองรับชาร์จไว 120W
  – รองรับชาร์จไร้สาย 50W Pro
  – รองรับการชาร์จให้อุปกรณ์อื่น 10W
• การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 6 / Bluetooth 5.3 / NFC
• พอร์ต : USB Type-C 2.0
• ความทนทาน : ทนน้ำและฝุ่น IP68
• ระบบปฏิบัติการ : MIUI 14 บนพื้นฐาน Android 13
• ขนาด / น้ำหนัก : 162.9 มม. x 74.5 มม. x 8.38 มม. / 229 กรัม

Genshin Impact

เกมปราบเซียนที่กินทรัพยากรหนักอย่าง Genshin Impact พอเปิดความละเอียดสูงสุด Highest พร้อมปรับเฟรมเรตให้เป็น 60fps ภาพลื่น ๆ เล่นไป 40 นาที เครื่องก็ร้อนถึงจุดที่รู้สึกไม่สบายมือ และสังเกตได้ว่าเฟรมเรตเริ่มดรอปลงไปแล้ว ดังนั้นควรปรับเฟรมเรต 30fps ก็จะได้เล่นเกมต่อไปได้อีก

PUBG

PUBG เกมเปิดโลกกว้างที่ไม่เน้นกราฟิกเท่าเกนชิน เมื่อเล่นบน Xiaomi 13 และ Xiaomi 13 Pro ก็สามารถปรับกราฟิกระดับสูงสุดได้เหมือนกัน แต่ว่าหลังเล่นไป 40 นาทีแล้วเครื่องจะถึงจุดที่ร้อนมาก ๆ แม้ยังไม่ดรอปเฟรมเรตลงมา แต่คิดว่าควรปรับระดับลงนิดนึงเป็นการดี

ROV

สำหรับเกมที่ไม่เน้นกราฟิกมากขนาดนั้นอย่าง ROV ก็แน่นอนว่าปรับภาพระดับสูงสุดแล้วเล่นไปเลยยาว ๆ ไหลลื่นไม่มีปัญหา จัดไป 4 ตาติดก็เครื่องอุ่น ๆ เท่านั้น ไม่ต้องหยุดพักให้เสียจังหวะ

แบตเตอรี่อึดใช้ได้

Stand by: ถ้าวางมือถือทิ้งไว้เฉย ๆ แบตเตอรี่ก็ไม่ได้ลดลงไปเยอะ หลังวางข้ามคืน 10 ชั่วโมง พบว่าทั้งสองรุ่นแบตลดลงไปเพียง 3% 

เปิดใช้งานดูคลิป ความสว่างจอ 50% และเปิดเสียงดัง 50% กำลังดี เริ่มที่แบต 100% หลังผ่านไป 8 ชัวโมง Xiaomi 13 แบตเหลือ 58%/ Xiaomi 13 Pro แบตเหลือ 42% ซึ่งที่รุ่นท็อปแบตลดไวกว่า คาดว่ามาจากการที่เปิดหน้าจอความละเอียดสูงสุด WQHD เอาไว้

จากแบตเต็มร้อย เล่นเกม Genshin Impact เป็นเวลา 40 นาที Xiaomi 13 แบตเหลือ 89%/ Xiaomi 13 Pro 92%

รวม ๆ แล้วแบตเตอรี่ทั้งสองรุ่นจัดการมาดี แบตเตอรี่อยู่ในเกณฑ์ใช้งานได้เต็มวัน ไม่ต้องห่วงเรื่องชาร์จเลย

การชาร์จ

Xiaomi 13 รองรับการชาร์จไว 67W และ Xiaomi 13 Pro อยู่ที่ 120W Boost Charge ซึ่งก็ให้มาเหมาะสมกับความจุแบตเตอรี่ หลังปล่อยให้มือถือแบตเหลือ 10% แล้วชาร์จ พบว่าหลังจาก 15 นาที Xiaomi 13 แบตเพิ่มมาอยู่ที่ 50% และ Xiaomi 13 Pro อยู่ที่ 79%

สุดท้ายแล้ว Xiaomi 13 แบตเตอรี่ชาร์จเต็มใน 40 นาที ส่วน Xiaomi 13 Pro แบตเตอรี่ชาร์จเต็มใน 21 นาที

ซอฟต์แวร์สไตล์ Xiaomi

Xiaomi 13 Series มาพร้อมกับระบบ MIUI 14 บน Android 13 เข้าหน้าจอมาก็เจอของเล่นใหม่ ทั้งระบบ Widget แบบใหม่ และสามารถทำโฟลเดอร์ขนาดใหญ่ได้ แต่ส่วนอื่น ๆ ยังรู้สึกได้ว่ามีความเป็นเสียวหมี่เหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับเวอร์ชันอื่นมาก

ข้างในยังเต็มไปด้วยฟีเจอร์ขวัญใจมหาชน อย่าง Clone App, Lock App, Second Space, เพิ่ม Virtual RAM, และการตั้งค่าเสียง ตั้งหน้าจอ Always-on Display และอื่น ๆ อีกมากมาย

**เลขสีเขียวด้านซ้ายบน เปิดเอาไว้เพื่อทดสอบรีเฟรชเรตหน้าจอครับ**

และหลังผ่านการใช้งานมา ไม่พบเจอบั๊ค หรืออะไรแปลก ๆ แอนิเมชันมีความลื่นไหล ไม่มีช่วงกระตุกเวลาสับเปลี่ยนแอป การแจ้งเตือนเที่ยงตรงไม่ตกหล่น รวมแล้วได้สัมผัสการฉับไวสมเป็นเรือธง

โฆษณายังมีอยู่จ้า

ถึงแม้มือถือเสียวหมีจะเปลี่ยนรุ่นไปนานเท่าไร จนฐานราคาขยับมาตีตลาดพรีเมี่ยมสู้ค่ายอื่น ๆ แล้ว สิ่งที่ยังมีอยู่คือโฆษณา และ Bloatware ต่าง ๆ ที่เปิดเครื่องมาก็พบเจอได้ทันที อย่างโฆษณาหน้าเว็บต่าง ๆ ขึ้นพาดหัวในหน้า Lock Screen พร้อมใช้ปรับภาพพื้นหลังเป็นภาพบทความด้วย

ข้างในจะพบ GetApps เป็นร้านแอปที่ลบออกไม่ได้จากเครื่อง แถมครั้งแรกที่เข้าไปก็จะเชิญชวนให้ดาวน์โหลด “แอปสำคัญ” (Essential Apps) นับสิบ ๆ ตัวด้วย ถ้าเป็นคนชอบกดรับ ๆ ผ่านไป คงหวังมีแอปอะไรไม่รู้เต็มเครื่อง

สรุป Xiaomi 13 และ Xiaomi 3 Pro เหมาะกับใคร?

Xiaomi 13 เป็นมือถือร่างเล็ก สเปคแน่น มาพร้อมจอสวย ชิปแรง กล้องระดับคุณภาพได้ตรา Leica ด้วย สวยเด่นไม่แพ้รุ่นท็อป ทำให้เหมาะกับคนต้องการมือถือที่พกพาง่าย ใช้งานได้เร็ว แต่แบตเตอรี่อาจจะหมดไวเร็วกว่าเล็กน้อย แต่ชาร์จเร็วแป็บเดียวเต็ม ก็ไม่น่าเป็นปัญหา

Xiaomi 13 Pro พี่ใหญ่ไซส์ใหญ่ ที่ได้จอมากความสามารถกว่าบางด้าน ความแร็วแรงก็พอ ๆ กันกับรุ่นธรรมดา แต่ได้เปรียบเรื่องกล้องที่มีฮาร์ดแวร์และฟีเจอร์ครบครันกว่า แบตเตอรี่ก็ใหญ่กว่า ใครสายกล้องอยากใช้งานแบบจัดเต็ม ก็ต้องตัวนี้

• Xiaomi 13 ความจุ 12/256GB ราคา 29,990 บาท
• Xiaomi 13 Pro ความจุ 12/512GB ราคา 39,990 บาท

จุดเด่น

• จอ AMOLED สีสวย
• รีเฟรชเรต 120Hz จอไหลลื่นสุด ๆ
• กล้อง Leica ได้สีสันเทียงตรง ปรับแต่งได้เยอะ
• ซูมกล้องได้ไกล พอเก็บรายละเอียดได้
• ชิปแรงเล่นได้ทุกเกม
• RAM LPDDR5X กับ UFS 4.0 ประมวลข้อมูลไว
• ลำโพงเสียงดีใช้ได้
• แบตเตอรี่อยู่ได้นานทั้งวัน
• มีที่ชาร์จให้ครบในกล่อง
• มอเตอร์สั่นฟีลลิ่งดี
• สแกนนิ้วมือบนจอ ติดเร็ว
• ได้มาตรฐาน IP68
• ชา์รจไว 67W/120W

ข้อสังเกต

• กล้องหน้าถ่ายวิดีโอได้แค่ 1080P 30fps
• โมดูลกล้องใหญ่มหึมา
• ซอฟต์แวร์ยังมีโฆษณาเยอะ
• ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.
• ไม่มีช่อง microSD เพิ่มความจุ
• ราคาแรงขึ้นมากกว่ารุ่นเก่า ๆ
• ฝาหลังสีดำเป็นรอยนิ้วมือง่าย

from:https://droidsans.com/review-xiaomi-13-xiaomi-13-pro/

REVIEW | รีวิว HONOR X7a แบตอึดอยู่ได้ข้ามวัน ความจุแน่น ๆ ในราคา 5,999 บาท

รีวิวมาแล้ว HONOR X7a มือถือสเปคคุ้มไม่รู้จะคุ้มกว่านี้ได้ยังไง กับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เบิ้ม 6000mAh จอใหญ่สะใจ ไหลลื่นตั้ง 90Hz และกล้องชัดระดับมาตรฐาน 50MP ถ่ายวิดีโอได้ชัดถึง 1080P เพรียบพร้อมด้วยโหมดถ่ายหลากหลาย ได้หน่วยความจำไป 128GB แถมยังใส่ SD Card เพิ่มความจุได้ ทั้งหมดนี้ 5,999 บาท เท่านั้น

ดีไซน์เครื่อง

HONOR X7a รุ่นน้องกับ HONOR X9a ที่เราเพิ่งรีวิวกันไป รุ่นนี้ใช้ดีไซน์ตัวเครื่องร่างบาง ฝาหลังเครื่องที่ได้มาเป็นสี Titanium Silver ออกฟ้า ๆ เวลากระทบกับแสงจะได้เงาสว่างเด่นออกมาเป็นสีชมพูและเหลืองนวล ดูสะดุดตา ไม่น่าเบื่อ ใช้วัสดุประกอบเป็นพลาสติกทั้งตรงฝาและเฟรมรอบ ๆ ส่วนขอบด้านข้างเป็นทรงโค้งมนจับถือง่าย

ฐานโมดูลกล้องใช้เป็นพลาสติกใสทรงสี่เหลี่ยม ขอบมน วงกลมด้านบนเป็นกล้องหลัก 50MP วงกลมล่างวางกล้องอัลตราไวด์ไว้ด้านซ้าย ด้านขวาเป็นกล้องมาโคร

ข้างเครื่องด้านขวาประทับปุ่มปรับเสียง ขนาดปุ่มค่อนข้างเล็ก เรียว ขยับลงมาข้างล่างจะเจอปุ่ม Power แบน ๆ ที่ทำหน้าที่เป็นจุดสแกนนิ้วมือด้วยเช่นกัน สแกนได้รวดเร็วทันใจ ด้านล่างเครื่องมีลำโพงเดี่ยว พอร์ต USB-C ไว้ชาร์จ และ รูหูฟัง 3.5 มม. ถาดซิมอยู่ข้างบน ใส่ได้ 2 ซิม และมีแถบ microSD Card ให้ใส่เพิ่มความจุได้เต็มที่ 1TB

บนหน้าจอใช้ดีไซน์กลองหน้าแบบหยดน้ำ มีพื้นที่ขอบจอไม่มาก ด้านล่างหนาขึ้นมาหน่อยนึง ตัวเครื่องน้ำหนักอยู่ที่ 197 กรัม

ภายในกล่องให้อุปกรณ์มาครบ ไม่ต้องไปหาซื้ออะไรแยกเอง มีของตามนี้

• มือถือ HONOR X7a ติดฟิล์มให้แล้วบนจอ
• เคสใส
• หัวชาร์จ 10V/2.25A (22.5W)
• สายชาร์จ USB-C
• เข็มจิ้มถาดซิม
• คู่มือใช้งานด่วน

หน้าจอใหญ่

หน้าจอใหญ่ถูกใจ กว้าง 6.7 นิ้ว เป็นแบบ IPS LCD ความละเอียด HD+ (1600 x 720)  แสดงผลได้ครอบคลุม 16.7 ล้านสี เป็นจอที่สวยใช้ได้เลย สีสันจัดจ้าน เด่นชัด มีความเที่ยงตรงพอสมควร รองรับการแสดงผลลื่นไหล รีเฟรชเรตสูงถึง 90Hz สามารถเปิดโหมดไดนามิก สลับระหว่าง 60Hz และ 90Hz ได้ตามเนื้อหาที่เราดูอยู่บนจอ

ความสว่างจอสูงโอเค เปิดใช้งานในที่ร่มไม่มีติดขัด เวลาเอาออกไปเจอแดดข้างนอกแรง ๆ อย่างนี้ยังพอมองเห็นได้อยู่ แต่ต้องเพ่งดูจอ หรือเอามือมาบังซะหน่อย

แต่น่าเสียดายที่มือถือรุ่นนี้ได้รับมาตรฐาน Widevine L3 เท่านั้น ยังดู Netflix ได้ที่ความละเอียดสูงสุดแค่ SD เท่านั้นนะ

ระบบเสียง

ลำโพงให้มาแค่ 1 ตัวอยู่ตรงด้านล่างของเครื่อง เสียงดังพอประมาณ แต่เนื้อเสียงออกจะก้อง ๆ และแห้ง ไม่ค่อยมีมิติ ถ้าเน้นฟังเสียงรู้เรื่องก็โอเค แต่ถ้าอยากได้เสียงชัด ๆ ให้ถูกใจหู ก็หาหูฟังมาเสียบกับรู 3.5 มม. ได้เลย รุ่นนี้ยังให้มาอยู่

แบตเตอรี่อึดเหลือหลาย

รุ่นนี้พกแบตใหญ่แบบไม่เกรงใจใคร ความจุ 6000mAh ที่หาเจอได้ไม่บ่อย ถึงกับได้ถูก DXOMark ยกเป็นมือถือที่แบตอึดติดท็อป 3 ของโลก โดยอันดับ 1 ก็เป็นของ HONOR อยู่ดี แปลว่าแบรนด์นี้เค้าปรับด้านพลังงานมาดีทุกตัว

Stand-by: มือถือเครื่องนี้หากวางไว้นิ่ง ๆ รับรองว่าแบตแทบไม่ขยับ หลังทดลองวางทิ้งไว้ตอนนอน Stand-by เป็นเวลา 8 ชั่วโมง ตั้งแต่ 0.40 น. – 8.48 น. แบตลดจาก 20% เหลือ 19% วางไว้ยาว ๆ แบบนี้ลดไปแค่ 1% เท่านั้น

หลังลองใช้งานจริง เล่นโซเชียล เปิดกล้องถ่ายเล็กน้อย ใช้แอปธนาคารโอนเงิน เล่นเกมไปบ้าง รวมเป็นเวลาราว 15 ชั่วโมง ตั้งแต่ 9.00 น. –  0.10 น. แบตจาก 100% ลดเหลือ 56% อึดมากกก

ดังนั้นเลยใช้งานต่อไปอีกวัน ใช้งานทั่วไปแบบนี้ออกไปข้างนอก เปิดแอป Map ใช้แอปโซเชียล แชทและติดต่องาน เริ่มจากตอนสาย ๆ ประมาณ 11.00 น. ลากยาวทั้งวันถึง 23.30 น. ร่วมประมาณ 12 ชั่วโมงกว่า แบตถึงลดเหลือ 11% ถึงได้เวลาชาร์จเสียที

รวม ๆ แล้วมือถือเครื่องนี้ ถ้าผ่านการใช้งานหยิบจับทั้งวัน ดูคลิป เล่นแอปโซเชียลต่าง ๆ ใช้งานได้ 2 วันอย่างต่ำ และหากเป็นคนไม่ได้เล่นมือถือมาก ใช้ติดต่อเป็นหลัก ก็จะใช้ได้ยาวนานกว่านี้อีก เรียกได้ว่าอึดสุด ๆ ครับ

การชาร์จ 

รองรับชาร์จไวได้สูงสุด 22.5W ไม่มากไม่น้อย รอแบตลดลงเหลือ 10% แล้วค่อยเสียบชาร์จ พบว่า

• หลังผ่านไป 15 นาที แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 23%
• หลังผ่านไป 1 ชั่วโมง 20 นาที แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นมาเป็น 88%
• หลังผ่านไป 2 ชั่วโมง 5 นาที แบตเตอรี่เต็ม 100%

ถือว่าชาร์จได้ไม่ได้เร็วมาก แต่ถ้าเป็นคนคอยชาร์จตอนกลางคืนตามปกติก็คงไม่มีปัญหาอะไร ประกอบกับการที่ HONOR X7a มีแบตเตอรี่ที่ลดช้ามาก ๆ แปลว่าเราไม่ต้องคอยชาร์จบ่อยเท่าไรครับ

Reverse Charge ให้เครื่องอื่น

อีกฟังก์ชันที่มีประโยชน์มาก ๆ คือระบบ Reverse Charging เปลี่ยนมือถือเป็น Powerbank เอาไว้ชาร์จให้กับอุปกรณ์อื่น อย่างหูฟัง หรือสมาร์ทโฟนเครื่องอื่น ซึ่งก็เหมาะกับมือถือแบตอึดอย่าง HONOR X7a ไม่ยอมเก็บพลังไว้ใช้คนเดียว แต่ยังแบ่งให้ของอย่างอื่นได้ด้วย

ความจุแน่น เพิ่มได้อีก

อีกของดีคือเรื่องความจุ ที่ HONOR X7a ให้ความจุ RAM 6GB สามารถเปิดฟีเจอร์ HONOR Ram Turbo เพิ่มได้อีก 2GB รวมเป็น 8GB ทำให้เปิดแอปได้พร้อมกันหลายตัวมากขึ้น สลับเปลี่ยนแอปได้ลื่น และมีความจุ ROM 128GB ไว้ใส่ภาพ คลิปวิดีโอ แอป และเกมต่าง ๆ ได้เยอะ รองรับใส่ microSD Card เพิ่มความจุได้ถึง 1TB

ตัวเครื่องเมื่อเปิดมาครั้งแรกจะมีความจุที่ถูกใช้ไปประมาณ 17.5 GB และยังกดลบแอปต่าง ๆ ที่ให้มาอยู่แล้วในเครื่องได้เยอะพอสมควร ก็จะเหลือพื้นที่อีกมากมาย

กล้องชัด 50 ล้าน

HONOR X7a มีกล้องทั้งหมด 4 ตัว กล้องหลัก 50MP (F1.8) + อัลตราไวด์ 5MP (F2.2) +  จับความลึก 2MP (F2.4) + มาโคร 2MP (F2.4) และกล้องหน้าให้มาความละเอียด 8MP (f/2.0) กล้องหลักถ่ายแล้วมีสีสันและความคมชัดใช้ได้ ส่วนกล้องตัวอื่น ๆ ที่ให้มาก็มีความชัดลดลงไป แต่ก็ตอบโจทย์สำหรับคนชอบถ่ายภาพหลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะได้ภาพมุมกว้าง ๆ เก็บฉากขนาดใหญ่ หรือส่องดูรายละเอียดสิ่งของเล็ก ๆ

ฟีเจอร์กล้องหลากหลาย

ซอฟต์แวร์กล้องมีโหมดให้เลือกเล่นหลากหลาย ทั้งถ่ายภาพบุคคล Portrait, ปรับรูรับแสงให้ภาพมีมิติ, เอฟเฟกต์ beauty แต่งหน้า, ปรับโบเก้ละลายพื้นหลัง, ใช้โหมดโปร, HDR, พาโนรามา, แต่งสติกเกอร์ในกล้อง, ถ่ายวิดีโอ Timelapse หน่วงเวลา, ถ่ายภาพความละเอียดสูงแบบชัดครบ 50 ล้านพิกเซล

ภาพจากกล้องหลัก 50MP

ภาพจากกล้องอัลตราไวด์ 5MP

ภาพจากกล้องมาโคร 2MP

ตัวนี้เข้าใกล้วัตถุได้เต็มที่ 4 ซม. ครับ แต่ความละเอียดน้อยมาก ควรถ่ายในที่แสงเยอะ

ภาพจากกล้องหน้า 8MP

กล้องหน้าสีอาจจะออกมืด ๆ แต่ก็สามารถเก็บรายละเอียด คุมแสงสีให้อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้

วิดีโอจาก HONOR X7a

กล้อง HONOR X7a ไม่มีระบบกันสั่น ทำให้เวลาถ่ายวิดีโอแล้วต้องจับกล้องนิ่ง ๆ เอาไว้เพื่อรักษาภาพให้ไม่เคลื่อนเยอะ แสงสีออกไปทางมืด ควรถ่ายในที่แสงเยอะ ๆ เพื่อให้กล้องถ่ายได้ความละเอียดชัดเจน สามารถถ่ายได้ความชัดสูงสุด 1080P30fps ทั้งกล้องหน้าและหลัง

ความแรงสำหรับใช้งานทั่วไป

HONOR X7a ข้างในขับเคลื่อนด้วยชิป Helio G37 เป็นชิปความแรงไม่สูงมาก เหมาะเอาไว้ใช้งานทั่วไปเป็นหลัก เช่น ใช้เบราเซอร์ ค้นหาข้อมูล เล่นแอปโซเชียล แชทพูดคุย โทรติดต่อ เวลาเปิดแอปอาจไม่เร็วฉับเหมือนพวกชิปเรือธง แต่ก็ตอบโจทย์การใช้งานฟังก์ชันหลัก ๆ ของมือถือได้ดี

สเปค HONOR X7a

• หน้าจอ :
  • LCD ขนาด 6.7 นิ้ว
  • ความละเอียด HD+ (1600 x 720)
  • รีเฟรชเรท 90Hz
  • อัตราส่วนจอ 20:09
• CPU : MT6765H Helio G37
• RAM : 6GB
• ความจุ : 128GB เพิ่ม MicroSD Card ได้ 1TB
• กล้องหลัง 4 ตัว
  •  กล้องหลักความละเอียด 50MP (f/1.8)
  • กล้องอัลตราไวด์ 5MP (f/2.2)
  • กล้องมาโคร 2MP (f/2.4)
  • เซนเซอร์จับความลึก 2MP (f/2.4)
• กล้องหน้า : 8MP (f/2.0)
• การเชื่อมต่อ : 4G, Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, BT 5.1
• สแกนนิ้วมือด้านข้าง
• ระบบเสียง : ลำโพง, รูหูฟัง 3.5 มม.
• แบตเตอรี่ : 6000 mAh รองรับชาร์จเร็วถึง 22.5W
• ระบบปฏิบัติการ Magic UI 6.1 บนฐาน Android 12
• ขนาด / น้ำหนัก : 167.4 x 76.8 x 8.2 มม. / 196 กรัม

ทดลองเล่น Angry Birds 2 เกมที่มีกราฟิกพอประมาณ เปิดขึ้นมาเล่นได้ไม่มีปัญหา มีบางช่วงเล็ก ๆ ที่ภาพกระตุกบ้าง

อีกเกมยอดฮิตอย่าง Subway Surfers พาเจ้าหนูหนีตำรวจ เป็นเกมกราฟิก 3D ที่มีรายละเอียดพอสมควร ก็เล่นได้ลื่น ๆ ไม่มีกระตุกเลย

หากอยากเล่นเกมขนาดใหญ่อย่าง PUBG ปรับภาพเป็นแบบต่ำสุด เลือกเฟรมเรตระดับกลาง แม้ภาพไม่ได้ไหลลื่นที่สุด แต่ก็พอเล่นไหว

สำหรับ ROV ไม่ได้กินทรัพยากรมากเท่าไร ปรับภาพเป็น HD สูงสุด แสดงผลสูงมาก และพาร์ติเคิล สูงมาก ก็เล่นได้นะ อาจมีช่วงเอฟเฟกต์ในหน้าจอเยอะ ๆ ที่ภาพกระตุกไปเสี้ยววิ แต่เล่นได้โอเคเลย เครื่องรับไหวไม่ได้ร้อนเท่าไรด้วย

ซอฟต์แวร์มินิมอล

ระบบปฎิบัติการภายในเป็น Magic UI 6.1 บนฐาน Android 12 มี Google Services ทำให้ใช้งานได้ตามปกติ ทั้ง Google Play Store, Google Map, Youtube, Chrome, Gmail, หรือบริการอื่น ๆ จาก Google แต่ในแง่ฟังก์ชันต่าง ๆ แล้ว มือถือรุ่นนี้ไม่ได้มีฟีเจอร์อะไรเยอะ ไม่มี App Twin (แอปโคลน) หรือการแบ่งหน้าจอ

อีกอย่างที่แปลก คือหลังเปิดเครื่องใหม่แกะกล่อง จะมีบางฟีเจอร์ถูกเปิดเอาไว้เป็นค่าพื้นฐาน อย่างฟีเจอร์ความจุแบตเตอรี่อัจฉริยะ ที่จะทำให้มือถือเราชาร์จได้ไม่เต็ม 100% เพื่อรักษาอายุการใช้งานแบต ตรงนี้ควรปิดเอาไว้แล้วให้ผู้ใช้งานเลือกเองดีกว่า 

สรุป HONOR X7a เหมาะกับใคร

HONOR X7a มีจุดเด่นในเรื่องแบตเตอรี่ที่อึดทนนาน ใช้งานได้ข้ามวันแบบสบาย ๆ ไม่ต้องคิดกังวลอะไร ได้หน้าจอกว้างสีสันสวยงามไว้ดูเนื้อหาได้อย่างจุใจ กล้องที่ให้มาถึง 4 ตัวรองรับการถ่ายภาพหลากหลายแนว และยังมีความจุ RAM ROM เยอะรองรับการใช้งานไหลลื่น ใครต้องการมือถือง่าย ๆ ใช้ฟังก์ชันหลักทั่วไป ไม่ได้เอามาเล่นเกมหนักหรือใช้อะไรเยอะ ตัวนี้ตอบโจทย์ครับ

จุดเด่น

• แบตเตอรี่ 6000mAh อึดสุด ๆ ใช้ได้ข้ามวัน
• กล้องให้ 4 ตัวครบทุกระยะ
• RAM 6GB ROM 128GB ไม่ต้องกลัวพื้นที่เต็ม
• จอกว้างมาก 6.74 นิ้ว สีสวย
• รีเฟรชเรต 90Hz ไถจอสนุก สบายตา
• แอประบบหลายตัว ลบออกได้
• มีรูหูฟัง 3.5 มม.
• เครื่องดีไซน์สวย ขอบบาง
• อุปกรณ์ในกล่องครบ ติดฟิล์มใสมาให้ด้วย

จุดสังเกต 

• ชิปประมวลผลไม่แรงมาก เหมาะใช้งานทั่วไปเป็นหลัก
• กล้องถ่ายแล้วภาพติดมืด
• จอสู้แสงแดดแรงไม่ค่อยได้
• ตัว UI ที่เป็นภาษาไทย แปลออกมาเข้าใจยาก
• ลำโพงเสียงออกแคบไปหน่อย

HONOR X7a คุ้ม จุยิ่งกว่า แบตอึดยิ่งขึ้น ราคาเพียง 5,999 บาท ได้ความจุ RAM 6GB + ROM 128GB มีวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ตามช่องทางออนไลน์และร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศ

from:https://droidsans.com/review-honor-x7a/

รีวิว Honor X7a คุ้มสุดในราคา 5,999 บาท แบตใหญ่ 6,000mAh กล้องหลังสี่ตัวและรอม 128GB

รีวิว Honor X7a คุ้มสุดในราคา 5,999 บาท แบตใหญ่ 6,000mAh กล้องหลังสี่ตัวและรอม 128GB
Noppinij

คลิปนี้จะพามารีวิว Honor X7a สมาร์ทโฟนราคาดีที่น่าซื้อมากสำหรับเรทราคาประมาณ 5,999 บาท แบรนด์นี้คุณภาพดีทั้งซอฟท์แวร์ภายในและตัวเครื่องภายนอก ให้สเปคที่สูงกว่าเครื่องในท้องตลาดมาหลายอย่าง มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 6000mAh แต่ตัวเครื่องยังคงทำมาได้บาง และรองรับชาร์จไว Honor supercharge ระดับ 22.5W อีกด้วย

หน่วยความจำภายในขนาด 128 GB เพิ่ม SD การ์ดได้อีกสูงสุด 1TB หน้าจอขนาดใหญ่มาก 6.74” Honor Fullview display ตัวเครื่องสวย แข็งแรง ผิวสัมผัสแบบเครื่องราคาแพงไม่มีคราบรอยนิ้วมือ กล้องหลังมาครบหมดแบบ 4 ตัว คุณภาพกล้องดีจนต้องชมว่าเกินราคา ดูตัวอย่างภาพถ่ายและข้อมูลอื่นๆ ของเครื่องรุ่นนี้ได้จากในคลิปรีวิวด้านล่างเลยครับ

ข่าว: รีวิว Honor X7a คุ้มสุดในราคา 5,999 บาท แบตใหญ่ 6,000mAh กล้องหลังสี่ตัวและรอม 128GB มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-honor-x7a-6000mah-128gb/

REVIEW | รีวิว HUAWEI FreeBuds 5i หูฟังเสียง Hi-res ตัดเสียงกวน ANC ราคาเพียง 2,799 บาท

ลองฟังและใช้งานจริง HUAWEI FreeBuds 5i หูฟังคุณภาพดี เสียงเพราะคุณภาพระดับ Hi-res มาครบทุกฟีเจอร์เด็ด อย่างระบบ ANC ตัดเสียงรบกวน โหมดรับรู้สิ่งรอบตัว สั่งงานได้ผ่านการสัมผัส ระบบตรวจจับการสวมใส่ สามารถฟังกันต่อเนื่องได้สูงสุด 28 ชั่วโมงเมื่อใช้งานร่วมกับเคส ทั้งหมดในหูฟังขนาดเล็กกำลังดี น้ำหนักเบา ค่าตัวไม่ถึง 3,000 บาท

สเปค HUAWEI FreeBuds 5i

• ไดรเวอร์ : ไดนามิกความไวสูง 10 มม.
• แบตเตอรี่ : หูฟัง 55 mAh / เคส 410 mAh
• การชาร์จ : ชาร์จ 15 นาที ฟังได้นาน 4 ชั่วโมง
• ANC : รองรับ FF+FB Hybrid ANC
• โหมดใช้งาน : ตัดเสียงรบกวน 3 ระดับ / การรับรู้ / ปิดตัดเสียงรบกวน
• การรองรับความละเอียดสูง : LDAC, Hi-res Certification
• ความเข้ากันได้ของหู : Dual Adaptive EQ
• รองรับการเชื่อมต่อสองอุปกรณ์
• หูฟังกันน้ำทนฝุ่น IP54
• น้ำหนัก : หูฟัง 4.9 กรัม / เคส 33.9 กรัม

ดีไซน์สวย พกพาสะดวก

HUAWEI FreeBuds 5i ที่ได้มาเป็นรุ่นสีน้ำเงิน Isle Blue ตัวเคสชาร์จทรงก้อนหินกรวดโค้งมน ผิวสัมผัสด้าน มีลายจุดเล็ก ๆ คลุมรอบพื้นผิว ได้แรงบันดาลใจจากหินภูเขาไฟ ด้านหน้ามีไฟแสดงสถานะ ด้านขวาวางปุ่มเชื่อมต่อ Bluetooth และช่องชาร์จอยู่ด้านล่าง เป็นพอร์ต USB-C น้ำหนักแค่ 33.9 กรัม ขนาดใหญ่กำลังดี ใส่กระเป๋ากางเกงได้สบาย

ตัวฝาเปิดมาแล้วตั้งค้างเอาไว้ได้ และแม่เหล็กยึดหูฟังด้านในก็แน่นหนาดี แรงกำลังพอเหมาะ หยิบขึ้นมาได้ไม่กลัวต้องทำตก

ตัวหูฟังเป็นสีเดียวกัน แต่เนื้อมันวาว ทรงแบบ Half In-ear ที่ตรงปลายไม่ได้เข้าไปในหูลึกมาก ใส่กำลังสบาย ไม่รู้สึกอึดอัด ใส่นานแล้วไม่เจ็บหู ตัวก้านมีความยาวกำลังดี หยิบจับสะดวก น้ำหนักเบาเพียง 4.9 กรัม ตัวหูฟังมีมาตรฐานกันน้ำทนฝุ่น IP54 ช่วยให้อุ่นใจขึ้นมาได้ถ้าโดนน้ำกระเซ็น

สั่งการได้ผ่านการสัมผัส และรูดก้านเพื่อปรับระดับเสียงได้ ตัวหูฟังรองรับระบบตรวจจับการสวมใส่ สามารถตั้งค่าเวลาถอดหูฟังออก ให้อุปกรณ์หยุดเล่นเพลงโดยอัตโนมัติได้เลย

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง :

• หูฟัง
• กล่องชาร์จ
• จุกหูฟังซิลิโคน เล็ก กลาง ใหญ่ (ที่หูฟังจะใส่ขนาดกลางเอาไว้)
• สายชาร์จ USB-C
• คู่มือการเริ่มต้นฉบับย่อ (รวมถึงข้อมูลด้านความปลอดภัย)
• ใบรับประกัน

คุณภาพเสียง

HUAWEI FreeBuds 5i รุ่นนี้เป็นหูฟังไร้สาย TWS คุณภาพเสียงดี ได้รับมาตรฐาน Hi-res ขับด้วยไดร์เวอร์เสียงขนาด 10 มม. สำหรับพรีเซ็ตที่ตั้งค่าเป็นเบื้องต้นจากโรงงาน  เนื้อเสียงคมชัด เก็บได้ทุกรายละเอียด โปรไฟล์เสียงโดยรวมออกไปทางอบอุ่น ทุ้ม มีความนุ่มนวล ด้วยการเน้นเสียงย่านเบส

ส่วนเสียงแหลมก็ทำได้ดีมาก เนื้อเสียงมีความใส ชัดและสว่าง ในขณะที่เสียงกลางแม้ยังเก็บรายละเอียดได้ดี แต่เป็นย่านที่ไม่ได้ถูกเน้นให้เด่นที่สุด เวทีเสียงขนาดกลาง อยู่ใกล้ชิดกำลังพอดี แยกได้ชัดเจนว่าเครื่องดนตรีอยู่ส่วนไหนบ้าง

และถ้าต้องการปรับเสียงให้ได้อย่างใจต้องการ ก็มีระบบปรับ EQ ด้วยการเชื่อมต่อกับแอปของเค้า

โหมดตัดเสียงรบกวน 

รุ่นนี้พกระบบตัดเสียงรบกวน ANC 2.0 ลดเสียงได้มากถึง 42dB ปรับได้ 3 ระดับ สบาย ทั่วไป และสูงเป็นพิเศษ ตามความดังเสียงรบกวนภายนอก หลังจากลองเปิดโหมดสูงเป็นพิเศษ พบว่าสามารถกำจัดเสียงดังของรถยนต์บนท้องถนนได้ ดังนั้นเสียงรบกวนที่เบากว่าอย่างคอมเพรสเซอร์แอร์ ก็แน่นอนว่านิ่งเงียบสนิท

และเมื่อไปเจอเสียงดังโครมครามหนัก ๆ อย่างเสียงไซต์ก่อสร้าง ก็ลดเสียงกวนไปได้เยอะพอสมควร หลังตัดเสียงมีความเงียบ เนียน ไร้เสียงโหยหวนของตัวซอฟต์แวร์ที่เก็บเสียงไม่หมด ถือว่าทำออกมาได้เยี่ยม

นอกจากนี้ยังมีโหมดรับรู้สิ่งรอบตัว ที่ไมค์จะจับเสียงข้างนอกเข้ามาในหูฟังให้เราได้ยิน เผื่อมีคนเรียก หรือเดินอยู่ข้างถนนอยากฟังเสียงให้รู้ตัว ก็เปิดโหมดนี้ได้

ไมค์โครโฟน

สำหรับไมค์โครโฟน ตัวนี้เวลาพูดแล้วจะได้ยินเสียงออกก้องหน่อย ๆ ตามสไตล์หูฟังไร้สาย ไม่ได้เป็นคุณภาพเสียงใสกิ๊ก แต่ก็ใช้โทรคุยรู้เรื่องอยู่ ฟังเสียงที่อัดในห้องเงียบ ๆ ได้ตามนี้ครับ

เชื่อมต่อสองเครื่องพร้อมกัน

หูฟังรุ่นนี้ใช้การเชื่อมต่อด้วย Bluetooth 5.2 เปิดฝาแล้วหูฟังเชื่อมต่อเร็วมาก ๆ เมื่อใช้ดูคลิป ดูหนัง ระยะดีเลย์ต่ำ ภาพยังมีความตรงกับเสียง และที่สำคัญคือรองรับการเชื่อมต่อได้พร้อมกัน ถึง 2 อุปกรณ์ (Cross-device dual connection) เช่นเชื่อมต่อกับในมือถือและโน้ตบุ๊กไว้พร้อมกัน ขณะที่เปิดฟังเพลงอยู่ในคอม หากมาสายโทรเข้ามือถือก็กดรับแล้วเริ่มคุยได้เลย ไม่ต้องหยุดเชื่อมต่อสลับไปมาให้ลำบาก

ใช้กับแอปปรับได้ตามชอบ

หูฟังดี ๆ จะขาดซอฟต์แวร์คู่กันไปไม่ได้ FreeBuds 5i สามารถใช้คู่กับแอป AI Life ที่ดาวน์โหลดได้จากใน AppGallery สำหรับมือถือหัวเว่ย หรือถ้าใช้มือถือแอนดรอยด์รุ่นอื่น ก็สแกน QR Code ตรงด้านหลังกล่อง หรือในใบ Quick Start Guide เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ APK มาติดตั้ง สำหรับผู้ใช้มือถือ iPhone ก็ค้นหาได้ใน App Store

• ดาวน์โหลด AI Life สำหรับมือถือ Android (ไฟล์ APK)
• ดาวน์โหลด AI Life สำหรับมือถือ iOS

ภายในแอปมีฟังก์ชันเด็ดหลายอย่าง เช่นการปรับแต่ง EQ เลือกโหมดเสียงที่ต้องการได้ 3 โหมด 1. ค่าเริ่มต้น 2. เพิ่มเสียงเบส 3. เพิ่มเสียงแหลม ใครชอบฟังแนวไหนก็ปรับให้ตรงตามต้องการ

มีเมนูควบคุมท่าทางสัมผัส เลือกได้ว่าเมื่อแตะสองครั้ง, กดค้าง, และปัดนิ้ว จะเป็นสั่งการอย่างไร เช่น ตอบสายโทรเข้า/วางสาย, เปลี่ยนเพลง, หยุด/เล่นเพลง, ปรับระดับเสียง, เปลี่ยนโหมด ANC เป็นต้น แต่ไม่สามารถสั่งการด้วยการแตะครั้งเดียวได้นะ คิดว่าต้องการป้องกันการแตะไปโดนโดยไม่ได้ตั้งใจ

วิธีการสั่งตามค่าจากโรงงาน แตะสองครั้งเป็นการเล่น/หยุดเพลง รูดก้านขึ้นเพื่อเพิ่มเสียง รูดลงลดเสียง และกดค้างไว้เป็นการเปลี่ยนโหมด ANC ครับ

 

แบตเตอรี่อึด ฟังไปเลยยาว ๆ

ตัวหูฟังเดี่ยว ๆ เปิดโหมดตัดเสียงรบกวนใช้ฟังต่อเนื่องได้ถึง 6 ชั่วโมง ไม่เปิดฟังได้ 7.5 ชั่วโมงแต่พอใช้ร่วมกับเคส เมื่อเปิดโหมดตัดเสียงรบกวนจะใช้ได้ยาวนานถึง 18.5 ชั่วโมง หากไม่ใช่โหมดตัดเสียงรบกวนจะอยู่ได้นานถึง 28 ชั่วโมง

รุ่นนี้ชาร์จไว พอแบตจะหมดใส่เคสชาร์จแป๊บเดียว 15 นาที ก็ฟังได้ยาวถึง 4 ชั่วโมง หรือถ้าจะชาร์จให้เต็มก็ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ส่วนตัวกล่องชาร์จเปล่าชาร์จเต็มได้ในประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง

หูฟังส่งเสียงได้ เวลาหาไม่เจอ

อีกฟีเจอร์ดี ๆ คือระบบหูฟังส่งเสียงแจ้งเตือนได้ หากเราหาไม่เจอ เช่นทำตกหล่นไว้ตามซอกต่าง ๆ ถ้ามือถือยังเชื่อมต่อได้อยู่ ให้เปิดแอป AI Life แล้วกดปุ่ม หาหูฟัง ทำให้หูฟังเล่นเสียงดังให้เราได้ยินได้ ซึ่งการส่งเสียงแบบนี้จะทำไม่ได้ หากหูฟังสัมผัสได้ว่าเราสวมใส่อยู่ เพื่อป้องกันเกิดอันตราย

สรุป

HUAWEI FreeBuds 5i เป็นหูฟังไร้สายที่คุ้มค่ามาก ๆ ในราคาไม่ถึง 3,000 บาท ได้ของดีรอบด้าน ดีไซน์สวยขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ช่วยให้พกพาสะดวก การเชื่อมต่อรวดเร็ว สัญญาณดีไม่มีสะดุด คุณภาพเสียง Hi-res ยอดเยี่ยม ด้วยสไตล์เสียงที่เน้นเบสกว้าง ฟังสนุก ปรับ EQ ได้ รับรองว่าฟังแล้วจะติดใจ

ราคา HUAWEI FreeBuds 5i 

HUAWEI FreeBuds 5i  ราคา 2,799 บาท มีตัวเลือกสี ดำ Nebula Black, น้ำเงิน Isle Blue, และขาว Ceramic White พิเศษโปรโมชั่นช่วง 3.3 ซื้อได้ในราคาเพียง 1,999 บาทเท่านั้น  สามารถสั่งซื้อได้บน Lazada กดตามลิงก์ไปได้เลย

from:https://droidsans.com/review-huawei-freebuds-5i-tws/

รีวิว SONY PlayStation VR2 กับการลองเล่น Horizon call of the mountain

รีวิว SONY PlayStation VR2 กับการลองเล่น Horizon call of the mountain
Appdisqus Team

PlayStation VR2 อุปกรณ์ใหม่สำหรับใช้งานกับเครื่อง PlayStation 5 จากทาง SONY เช่นเดียวกัน รองรับกับเกม VR ใหม่ที่กำลังจะมาอย่างเช่น Star Wars: Tales from the Galaxy’s Edge, The Dark Pictures: Switchback VR, No Man’s Sky และเกมอื่นๆ อีกมาก รวมถึง Horizon Call of the Mountain ที่นำมาทดสอบเล่นกันในคลิปนี้ด้วย

PlayStation VR2 (PSVR2) มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนสำคัญมากมายเลยทีเดียว อะไรที่เคยเป็นปัญหากับ PS VR รุ่นแรก ถูกปรับใหม่หมด เช่นปัญหาสำคัญในการจัดเตรียมใช้งานของ VR รุ่นแรก ที่ต้องมีอุปกรณ์พ่วงต่อวางเกะกะเยอะแยะ แต่ตอนนี้สำหรับ PSVR2 จะเหลือเพียงสาย USB แค่เส้นเดียว รวมถึงอุปกรณ์ภายในกล่องที่มีมาให้ครบแล้วไม่ต้องหาซื้อเพิ่ม ทั้งตัว VR ที่เป็นกล้องในตัว และมีตัวคอนโทรลเลอร์ PS VR 2 Sense Controller สำหรับการใช้ควบคุมใส่มาให้เลย ไม่ต้องไปแยกหาซื้อกล้องและตัวคอนโทรลเหมือนรุ่นก่อนมาให้เสียเวลา  ซึ่งภายในกล่องจะมีอุปกรณ์อะไรมาให้บ้างนั้น เราเคยแกะให้ดูไปแล้วใน บทความนี้ 

และวันนี้ APPDISQUS จะพาเพื่อนๆ มาดูฟังก์ชั่นทั้งหมดของเจ้า PS VR 2 และความสามารถในการใช้เล่นเกม Horizon Call of the Mountain ไปพร้อมๆ กันในคลิปวีดีโอด้านล่างนี้ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่มันเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปจากเดิม และเวลาใช้เล่นเกมมันจะเป็นอย่างไร

 

ข่าว: รีวิว SONY PlayStation VR2 กับการลองเล่น Horizon call of the mountain มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-sony-playstation-vr2-horizon-test/

รีวิว OPPO Reno8 T 5G รุ่นใหม่! ถ่ายภาพบุคคลสวย คมชัด 108MP Portrait Camera อัปเกรดมาใหม่ในทุกด้าน

รีวิว OPPO Reno8 T 5G รุ่นใหม่! ถ่ายภาพบุคคลสวย คมชัด 108MP Portrait Camera อัปเกรดมาใหม่ในทุกด้าน
Noppinij

เปิดตัวกันออกมาแล้วสำหรับสมาร์ตโฟนสายพอร์ตเทรตตัวจริง กับ OPPO Reno8 T 5G สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่งานปราณีต ที่อัปเกรดเรื่องกล้องถ่ายภาพมาครบ สเปคดี ตัวเครื่องสวยงาม ทนทาน ตามมาตรฐานงานของ OPPO จะมีอะไรที่น่าสนใจในรุ่นนี้บ้าง Appdisqus จะพามารู้จักกันครับ

สมาร์ตโฟน The Portrait Expert ตามนิยามของ OPPO Reno Series เป็นสมาร์ตโฟนในซีรี่ส์ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การถ่ายภาพอยู่แล้ว โดยเฉพาะการถ่ายภาพบุคคล มีฟังก์ชั่นที่น่าสนใจช่วยเสริมให้การถ่ายภาพทำได้สนุก และได้ภาพสวยกันอยู่มากมาย และในรุ่นนี้มากับสเปคเครื่องที่อัปเกรดขึ้นกว่ารุ่นก่อนในทุกด้าน ครบเครื่องน่าสนใจมากทีเดียวครับ

โดยในรุ่นนี้ใส่กล้องความละเอียดสูง คมชัดที่สุดด้วย 108MP Portrait Camera ถ่ายภาพพอร์ตเทรตสวยอยู่แล้ว รุ่นนี้คมชัดกว่าที่เคย ทำงานคู่กับกล้อง Depth ช่วยจับโฟกัส 2MP และกล้องเด็ดตัวที่สามคือกล้อง 40x
Microlens เป็นกล้องระดับจุลทรรศน์ที่สามารถถ่ายภาพด้วยกำลังขยายได้ถึง40 เท่า! เป็นกล้องที่อยู่กับมือถือราคาสามหมื่นบาท ตอนนี้นำมาใส่อัปเกรดให้  OPPO Reno8 T 5G  ได้ใช้งานกันแล้วครับ

ในด้านฟังก์ชั่นการถ่าย ก็มาครบจบทุกโหมดพอร์ตเทรต รวมครบในรุ่น ตัวช่วยปรับแต่งใบหน้าตัวเก่งของ OPPO ช่วยปรับผิวและใบหน้าได้เหมือนการผ่านโปรแกรมรีทัช AI Portrait Retouching รับประกันความพึงพอใจในความสวยใสกันทุคนแน่นอน เลือกระดับความเนียนได้ 100 ระดับ ^^ และปรับระยะโฟกัสชัดลึกชัดตื้นละลายฉากหลังด้วยค่ารูรับแสงจำลอง ตั้งแต่ f 1.4 ถึง f 16 ซึ่งรองรับทั้งกล้องหลังและกล้องหน้าที่ให้ความละเอียดมา 32MP ด้วยนะครับ

ใส่โหมดถ่ายภาพบุคคลที่เพิ่มความโดดเด่นมาให้ ทั้ง Bokeh Flare Portrait เป็นความสามารถในการเพิ่มความโดดเด่นของดวงไฟโบเก้ฉากหลัง แสงรอดจากพระอาทิตย์ หรือหลอดไฟในฉากหลัง กลมโตดูสวยมากขึ้นเยอะเลยครับ เป็นโหมดที่แนะนำให้เปิดใช้งานกันเป็นพื้นฐานเวลาถ่ายภาพบุคคลเลยครับ และ AI Colour Portrait การตัดสีฉากหลังให้กลายเป็นขาวดำ คงเหลือไว้แต่สีของแบบ สวยงาม ตัดได้คมกริบ รองรับการใช้ได้ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้า คุณภาพของกล้องดีงามมาก

ภาพบุคคลออกมาดูสวย ตัดฉากหลังและใบหน้าของแบบดูเนียนเป็นธรรมชาติมากครับ

โหมด Bokeh Flare Portrait ช่วยเร่งเม็ดโบเก้ฉากหลังให้เป็นดวงชัด ภาพจะดูมีความหวานสวยงามมากขึ้น เป็นโหมดหลักที่อยากจะแนะนำให้ใช้กันบ่อยๆ

สามารถนำไปเล่นกับแสงดวงไฟ แสงรอดจากพุ่มไม้ หรือแสงไฟกลางคืนได้อีกมากมายครับสำหรับ โหมด Bokeh Flare Portrait และด้วยความที่รองรับทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง แถมยังไม่กลัวแสงกลางคืน ทำให้ OPPO Reno8 T 5G ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะถ่ายภาพกันตอนไหน ขอเพียงแค่ไม่มืดสนิทมากไป ตัวกล้องยังคงถ่ายภาพพอร์ตเทรตออกมาได้ดีเช่นเดิม

กล้องหน้าความละเอียด 32MP มีคุณสมบัติในการถ่ายภาพเซลฟี่แบบครบถ้วน Selfie AI Portrait Retouching และ Selfie HDR ช่วยการปรับแต่งใบหน้า และปรับแสงเพิ่มความสว่างเมื่อกล้องตรวจพบแสงที่สว่างเกินไปที่ฉากหลัง ทุกอย่างทำงานให้อย่างอัตโนมัติ ปรับทุกภาพและทุกโอกาสในขณะที่เราถ่ายเซลฟี่

ภาพออกสวยแบบจบหลังกล้องพร้อมแชร์ครับ และรองรับโหมด Bokeh Flare Portrait พร้อม AI Colour Portrait  ครบถ้วนเหมือนกล้องหลัง ฉะนั้นกล้องหน้ารุ่นนี้ใช้งานสนุกครับ

และด้วย OPPO Reno8 T 5G มีการใส่กล้องหลังตัวหลักที่มีความละเอียดสูง 108MP เราจึงสามารถนำภาพมาครอบตัดหรือแก้ไข ภาพก็ยังคมชัด จัดคอมโพสของภาพใหม่ภายหลังการถ่ายก็ยังดูคมสวยครับ

ถ่ายแล้วมาเลือกใช้บางส่วนของภาพด้วยโปรแกรมจัดการภาพภายในเครื่องได้เลย

กล้องตัวที่สามคือกล้อง 40x Microlens ตัวนี้สนุกครับ ส่องถ่ายสิ่งของต่างๆ ในระยะใกล้ระยะประชิด ด้วยกำลังการขยายสูงสุด 40 เท่า สิ่งที่เราเห็นจะเปลี่ยนโลกทัศน์ไปอย่างสิ้นเชิง เราจะเห็นเส้นใย เห็นเนื้อเยื่อ เห็นองค์ประกอบรายละเอียดที่ตาเปล่าเราไม่เคยมองเห็น ใช้งานได้หลากหลายและเพิ่มความสนุกของการถ่ายภาพได้มากทีเดียว

ส่องถ่ายกับสิ่งรอบตัว เพื่อเห็นความต่างในโลกขยายระดับ 40X

ในโหมดกล้องการถ่ายทั่วไป  มี AI และ HDR คอยช่วยตรวจจับสิ่งที่ถ่าย โฟกัสไว ถ่ายได้ไว รองรับการซูมภาพ 3X รายละเอียดยังดีอยู่ (ซูมได้สูงสุดแบบดิจิทัลที่ 6X) มีโหมดการถ่ายภาพกลางคืน มีใส่ฟิลเตอร์เล่นกับโทนสีมาให้สามรูปแบบ ภาพกลางคืนถ่ายไม่ยาก โหมดกล้องกลางคืนทำมาได้ดีเช่นกันครับ และมีโหมดการถ่ายวีดีโอที่มีลูกเล่นให้ใช้งานอย่างโหมดเล่นกับเวลา สโลว์โมชั่นและโหมดไทม์แลปส์ รวมถึง Dual-View Video การถ่ายวีดีโอด้วยกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกัน

ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมดต่างๆ ของ OPPO Reno8 T 5G

ประสิทธิภาพการใช้งาน

OPPO Reno8 T 5G อัปเกรดสเปคเครื่องจากรุ่นเดิมหลายด้านเลยครับ รองรับ 5G เลือกใช้ชุดประมวลผลแรงดี เป็น Snapdragon 695 ทำงานร่วมกับ RAM 8GB ที่สามารถขยาย RAM ออกไปได้อีกสูงสุด 8GB รวมเป็น 8GB+8GB พื้นที่ขนาดนี้ใช้งานได้สบาย ให้พื้นที่เก็บข้อมูลมาเป็นตัวเลือกสองขนาด คือ 128GB และ 256GB

มีการใส่ระบบชาร์จไวตัวใหม่ 67W SUPERVOOCTM ชาร์จไฟแรงเร็ว สามารถชาร์จแบตขนาดใหญ่ 4,800mAh ให้เต็ม 100% ได้ในเวลา 44 นาที หรือถ้ามีเวลาแวะชาร์จเพียง 5 นาทีก็สามารถคุยได้โทรศัพท์นานกว่า 5 ชั่วโมงแล้วครับ และตัวเครื่องไม่ร้อนด้วยครับ ทดสอบใช้งานมาไม่เจอความร้อนของเครื่องให้เป็นกังวลเลย ระบบชาร์จของ OPPO ใช้งานรู้สึกปลอดภัยครับ เพราะมีระบบตรวจสอบความปลอดภัย 5 ขั้นเพื่อดูแลในด้านนี้โดยเฉพาะ ป้องกันการโอเวอร์โหลดและการลัดวงจรของไฟฟ้า จะใช้งานเองหรือให้คนที่บ้านใช้งานก็อุ่นใจได้

รองรับ 5G สองซิมการ์ด หรือจะสลับใส่หน่วยความจำ micro SD Card แทนได้ในช่องซิมที่สองที่เป็นแบบไฮปริด ใส่เพิ่มหน่วยความจำได้สูงสุด 1TB

ลองทดสอบเล่นเกม MMORPG 3D เล่นได้ลื่นเลยครับ ประสิทธิภาพรุ่นนี้ใช้งานได้เต็มที่แม้แต่สายเล่นเกม มีแรมขนาดใหญ่เข้าออกแอปได้ไว เปิดทำงานได้หลายแอปไม่หน่วงไม่แลค ส่วนหนึ่งเพราะระบบดีด้วยครับ ไม่พบปัญหาแลค ค้าง รีสตาร์ทเลยสักครั้งในการทดสอบใช้งาน

ตัวระบบของ OPPO Reno8 T 5G อัปเกรดล่าสุดมาเป็น Android 13 มาเลย ครอบทับด้วย ColorOS 13 ตัวใหม่สุดด้วยเช่นกัน มีการปรับแต่งของระบบและฟังก์ชั่นเพิ่มความสะดวกมาให้เยอะเลยครับ ปรับแต่งอนิเมชั่นสแกนนิ้ว, แสงไฟขอบจอสำหรับการแจ้งเตือน เปลี่ยนไอคอนและสีของธีม

มีหน้า Alway On ที่จะแสดงผลตลอดเวลาแม้หน้าจอปิด โดยใน ColorOS 13 สามารถแสดงรายชื่อเพลงที่เล่นจาก Spotify และสามารถกดควบคุมการเล่นได้โดยไม่ต้องปลดล็อคหน้าจอก่อนได้ครับ

ในด้านความปลอดภัยก็จะมีมาทั้งระบบล็อคแอป, ซ่อนแอป ไม่ให้ผู้อื่นเข้าใช้งานแอปส่วนตัวของเราได้ง่ายๆ ล็อคไว้ด้วยรหัสผ่านอีกชั้นหนึ่ง

และระบบป้องกันความเป็นส่วนตัวในขณะเซฟหน้าจอที่เรากำลังแชต ตัวระบบจะทำการเบลอหน้าบุคคลในแชตให้เป็นโมเสคได้ในคลิ๊กเดียว เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวก่อนการแชร์ภาพ หรือความสะดวกในการเซฟภาพหน้าจอด้วยการสไลด์นิ้วสามนิ้วลงบนหน้าจอ เลือกเซฟส่วนที่ต้องการได้ง่ายๆ ด้วยการค้างนิ้วที่สไลด์ไว้แล้วเลื่อนไปในพื้นที่ที่ต้องการ และหลังการเซฟภาพหน้าจอ เราสามารถเรียกใช้งานการแปลภาษาของ Google Translate ได้ทันที โดยไม่ต้องก็อบบี้ภาพไปเปิดในแอปแปลภาษาอีกที สะดวกมากครับ

การใช้งานลื่นไหลดี ตอบสนองได้ไว และแบตเตอรี่ถือว่าอึดกว่าที่คิดไว้ครับ สามารถใช้งานได้เต็มวันแม้จะเปิดใช้งานเครื่องขึ้นมาบ่อยๆ เปิดหน้าจอทำงานต่อเนื่องกินแบตเตอรี่ประมาณชั่วโมงละ 15% ก็จะสามารถเปิดจอทำงานต่อเนื่องได้ประมาณ 7 ชั่วโมงแบตเตอรี่ถึงจะหมดครับ

จอใหญ่ๆ รับชมคลิปหรือภาพยนตร์ภาพสวย ลำโพงเสียงดังชัด เพราะรุ่นนี้ไม่ใช่แค่ใหญ่ชัดในเรื่องหน้าจอเท่านั้น แต่ในระบบเสียงเองก็มีความสามารถในการเร่งเสียงจากลำโพงให้ดังชัด โดยจะสามารถเพิ่มระดับเสียงให้มีความดังไปมากกว่าปกติได้ถึง 200% เปิดสุดเสียงก็ไม่แตก ใช้งานในห้องคนเดียวชัดเจนแน่นอนครับ

ตัวเครื่องพรีเมี่ยม ดีไซน์ระดับแฟลกชิป

งานผลิตและการออกแบบของ OPPO ไม่เคยทำให้ผิดหวัง และรุ่นนี้ก็มาในงานระดับแฟลกชิป ตัวเครื่องสวยครับ ใช้การออกแบบขอบโค้งบรรจบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ตัวเครื่องดูเพรียวบาง  มีความเงางามและแข็งแกร่งด้วยวัสดุโครงเครื่องโลหะ และใช้สีขอบเครื่องแบบโครเมี่ยม ดูหรูหราเวลาสะท้อนกับแสง

หน้าจอขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว ความละเอียดสูง FullHD+ 2410x1080p Refresh Rate 120Hz เป็นจอขอบโค้ง 3D รุ่นแรกของ OPPO ที่เปิดจำหน่ายในเรทราคาระดับกลางๆ และยังเป็นจอ AMOLED ที่รองรับการแสดงสีระดับ 10bits หนึ่งพันล้านสี  ขอบจอบางมากๆ บางสุดแล้วในเซคเมนต์ราคาเดียวกันนี้ โดยให้สัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องอยู่ที่ 93% เลยทีเดียวครับ

สีสันจอสดใส แสงสว่างดี และมีระบบการหรีแสงด้วยเทคโนโลยี High-Frequency PWM Diming ที่สูงถึง 2,160Hz ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานทั่วไปกว่าสองเท่าตัว ช่วยให้เราใช้งานในที่แสงน้อยโดยหน้าจอจะลดความสว่างลงและจะส่งผลกระทบต่อความเมื่อยล้าของสายตาในระดับน้อยกว่าจอปกติทั่วไปได้มากเลยครับ

หน้าจอของ OPPO Reno8 T 5G เป็นหน้าจอโค้งที่โดดเด่นในด้านความทนทานด้วยครับ เพราะทาง OPPO ได้เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการใช้กระจกป้องกัน DT-Star2 ซึ่งเป็นวัสดุกระจกนิรภัยระดับสองเป็นตัวครอบหน้าจอ และไม่ใช่แค่หน้าจอเท่านั้น เพราะก่อนที่จะวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนทุกรุ่น ทาง OPPO จะมีการทดสอบความทนทานของตัวเครื่องในมาตรฐานที่ค่อนข้างสูง เป็นเกรดสินค้าของแบรนด์ใหญ่อย่าง OPPO นั้นเองครับ

และใน OPPO Reno8 T 5G ก็มีการทดสอบคุณภาพอย่างละเอียด 23 รายการที่แตกต่างกัน เรียกว่าการทดสอบ 48-Month Fluency Protection หรือการทดสอบจำลองการใช้งานในระดับทนทานนาน 4 ปีเป็นอย่างน้อย ดำเนินการทดสอบต่างๆ ในห้องปฏิบัติการ OPPO อย่างเช่นการทดสอบการตกจากที่สูง 1 เมตร ทดสอบการกระแทก การทดสอบการบิด และความทนทานต่อการสึกหรอ และการทดสอบฝช้งานในสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อจำลองสถานการณ์ของผู้ใช้ เพื่อให้ได้ความทนทานเป็นพิเศษทั้งหน้าจอรวมถึงตัวเครื่องด้วย ก็เป็นแบรนด์ที่รับประกันความเชื่อใจได้อย่างดี เราจึงไม่ค่อยเจอปัญหาตัวเครื่อง OPPO เสียหรือเสื่อม ก่อนเวลาที่ควรเป็นนั้นเองครับ

และแม้แต่ตัวแบตเตอรี่เองก็ยังคงทน ไม่ใช่แค่พัฒนามาแค่เรื่องชาร์จไฟให้ไวเท่านั้นครับ แต่ทาง OPPO ใส่ใจในเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ด้วย มีระบบ Battery Health Engine เอกสิทธิ์เฉพาะที่ช่วยปกป้องสภาพของแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานได้ปกติเป็นเวลาประมาณ 4 ปี โดยแบตภายในของเครื่อง OPPO Reno8 T 5G จะสามารถเพิ่มรอบจำนวนชาร์จ/คายประจุได้สูงสุดถึง 1,600 รอบ นับเป็นสองเท่าของมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันอยู่ที่ 800 รอบเท่านั้น

OPPO Reno8 T 5G มีเข้ามาจำหน่ายสองสี หนึ่งคือสีใหม!่ สีทอง Sunrise Gold เป็นสีทองที่ออกเฉดผสมสีฟ้าและม่วง เหลือบสีไปมาเล่นกับแสงสะท้อน เปลี่ยนมุมถือก็เปลี่ยนสีสันให้อารมณ์อบอุ่นเป็นสีโทนสว่าง ใช้เทคนิคการผลิตแบบ OPPO Glow ที่ใช้การแกะสลักวัสดุในระดับจุลภาค สร้างคริสตัลรูปทรงปิรามิดหลายล้านเม็ดลงบนพื้นผิวฝาหลัง ทำให้ได้พื้นผิวสัมผัสแบบด้าน มีรายละเอียด และสะท้อนกับแสงที่มากระทบได้สวยงาม ผิวของ OPPO Glow น่าสัมผัสครับ และเวลาใช้งานก็ไม่เกิดคราบรอยนิ้วมืออีกด้วย มีอีกหนึ่งสีที่เข้ามาคู่กันคือสีดำ Midnight Black สีดำบริสุทธิ์แต่ก็เสริมด้วย OPPO Glow เป็นสีดำที่ดูสงบ เข้ม และก็ไม่ใช่ดำธรรมดา เพราะยังคงมอบความระยิบระยับเป็นประกายเวลาสะท้อนกับแสงได้เช่นเดียวกัน

OPPO Reno8 T 5G ตัวเครื่องเพรียวบาง มีความหนาแค่ 7.7 มม. และหนักเพียง 171 กรัม วางโมดูลกล้องหลังทั้งสองในแนวตั้งในแผงวงรีที่ทำพื้นผิวให้สีตัดกันกับตัวเครื่องส่วนอื่นอ และตัวกล้องยังล้อมรอบไว้ด้วยวงแหวนโลหะที่ช่วยตกแต่งให้เครื่องมีความพรีเมียม พร้อมเป็นตัวปกป้องกระจกเลนส์ได้ไปในตัว

อุปกรณ์ภายในกล่องของ OPPO Reno8 T 5G ก็จะมีเคสใสซิลิโคน สายดาต้า USB Type C และที่ชาร์จ 67W SUPERVOOCTM มาให้

แต่ผู้ที่สั่งจองเครื่อง OPPO Reno8 T 5G 8+128 และ OPPO Reno8 T 5G 8+256  ในช่วงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2566 จะได้ของแถมเป็นกล่อง Reno Gift Set ที่ภายในประกอบไปด้วย เคสมือถือ/ ที่วางมือถือแบบโลหะ /ลำโพงบลูทูธไร้สาย มูลค่ารวม 2,099 บาท และบัตร E-VIP CARD มูลค่า 5,500 บาท ที่ลูกค้าจะได้รับการรับประกันจอแตกเป็นจำนวน 1 ครั้งภายในระยะเวลา 1 ปี ไปด้วยครับ

กล่อง Reno Gift Set ที่ภายในประกอบไปด้วย เคสมือถือ/ ที่วางมือถือแบบโลหะ /ลำโพงบลูทูธไร้สาย

สรุปท้ายรีวิว

กล้องคุณภาพสูงบนตัวอุปกรณ์ที่สวยงาม ความละเอียดกล้องชัด 108MP และโหมดถ่ายภาพที่ทำมาได้ยอดเยี่ยมของ OPPO จับโฟกัสบุคคลแม่นยำ มีกล้องจุลทรรศน์ 40x Microlens มาให้ใช้งานกันได้สนุก พกพาไปท่องเที่ยวถ่ายภาพวิวสวย ถ่ายภาพคนได้คม พกง่ายเพราะตัวเครื่องเบาบาง แต่สเปคประมวลผลแรงใช้งานได้ครอบคลุมรวมทั้งการเล่นเกม และทนทานมีมาตรฐานการใช้งานได้ยาวนาน และปลอดภัยตามมาตรฐานการผลิตของแบรนด์ OPPO

OPPO Reno8 T 5G สมาร์ทโฟนครบเครื่อง ในราคาที่ไม่แพงครับ

ข้อมูลพรีออเดอร์

ลูกค้าที่สั่งจอง OPPO Reno8 T 5G 8+128 และ OPPO Reno8 T 5G 8+256 ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2566 จะได้รับของสมนาคุณมูลค่า 7,599 บาท ประกอบไปด้วย
– E-VIP CARD มูลค่า 5,500 บาท ลูกค้าจะได้รับการรับประกันจอแตกจำนวน 1 ครั้งภายในระยะเวลา 1 ปี และรับประกันตัวเครื่อง 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อเครื่อง
– Reno Gift Set มูลค่า 2,099 บาท ประกอบไปด้วย เคสมือถือ/ที่วางมือถือ/ลำโพงบลูทูธ

ข่าว: รีวิว OPPO Reno8 T 5G รุ่นใหม่! ถ่ายภาพบุคคลสวย คมชัด 108MP Portrait Camera อัปเกรดมาใหม่ในทุกด้าน มีที่มาจาก: แอพดิสคัส.

from:https://www.appdisqus.com/review-oppo-reno8-t-5g-108mp/