คลังเก็บป้ายกำกับ: ซีพียู_INTEL

รีวิว HyperX Alloy Origins PBT 2023 และ Pulsefire Mat RGB สวยเร้าใจ ไฟ RGB ปรับแต่งสนุก

HyperX Alloy Origins PBT 2023 เล่นเกมสนุก ทนทาน ปรับแต่งง่าย คีย์ไทย ไฟ RGB เล่นได้ทุกเกม

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT จัดเป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ด RGB ในสายของ Alloy ที่ได้รับการพัฒนามาต่อเนื่อง จากรุ่นพี่ที่เป็น Alloy Origins ก่อนหน้านี้ ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก กับเอกลักษณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ใส่ฟีเจอร์มาแน่น กับคีย์สวิทช์เฉพาะของทาง HyperX และแสงไฟ RGB ที่ปรับแต่งได้สวยสดใส และในรุ่นใหม่นี้ ทาง HyperX เพิ่มปุ่มที่เป็นภาษาไทย ยิงเลเซอร์มาให้พร้อมใช้ เอาใจเกมเมอร์คนไทย ที่บางครั้งก็ต้องใช้ในการพิมพ์งาน หรือแชตส่งงาน ทำได้ง่ายกว่าเดิม และยังคงโครงสร้างอะลูมิเนียมที่หนักแน่น ปรับระยะลาดเอียงได้ 3 ระดับ และต่อสายสะดวกในแบบ USB-C เป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่มาพร้อม Game Mode ปรับแต่งมาโครคีย์ได้ และมีทั้ง Anti-Ghostng และ N-Key rollover เป็นฟีเจอร์พื้นฐาน ที่ให้คุณกดรัวๆ บนการเล่นเกมได้ ไม่มีการแจ้งเตือน และกันการกดผิดปุ่ม ปิดการทำงานของปุ่ม Win ได้อีกด้วย เพื่อการเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลนั่นเอง


HyperX Alloy Origins PBT & Pulsefire Mat RGB


Specification

Description
Switch: HyperX Red – Linear
Actuation Point: Mechanical
Backlight: RGB (16,777,216 colors)
Light Effects: Per key RGB lighting and 5 brightness levels
Onboard Memory: 3 profile
Polling Rate: 1000Hz
USB 2.0 Pass-through: No
Anti-ghosting: 100% anti-ghosting
Rollover: N-key
Acceleration: Yes
Game Mode: Yes
USB Specification: USB 2.0 (full-speed)
OS Compatibility: Windows® 10, 8.1, 8, 7
Dimension: 442.5 x 132.5 x 36.39mm
Weight: w/ cable 1.07Kg.
Cable Length: xxm
Operating Force: 45g, 45g, 50g
Actuation Point: 1.8mm
Total Travel Distance: 3.8mm
Price: 3,790 Baht

ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX

Advertisementavw

Unbox

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT มาในกล่องสีแดงสด ตัดกับลวดลายสีขาวและดำ ด้านหน้าเป็นกราฟิกรูปตัวคีย์บอร์ดอย่างชัดเจน และใส่ข้อมูลฟีเจอร์มาในแต่ละจุด เช่น การเป็น Double shot PBT, Red switch และรองรับการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นคอนโซล เช่น PS4/ PS5 หรือ XBox เป็นต้น

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านหลังเพิ่มเติมมาทั้งในส่วนของซอฟต์แวร์ NGENUITY, RGB รวมถึงในแพ๊คเกจ มีสิ่งใดเพิ่มเติมมาให้บ้าง เอาไว้สำหรับเช็คอุปกรณ์ดูได้เลย ว่าได้ครบมั้ย

HyperX Alloy Origins PBT

ชอบในความดีไซน์ของค่ายนี้ เพราะยังคงมีเอกลักษณ์ชัดเจน ทั้งในเรื่องของสีสันและตัวอักษร แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ในหลายปีที่ผ่านมา และในนี้ก็ระบุชื่อรุ่นและฟีเจอร์มาได้สะดุดตา

HyperX Alloy Origins PBT

เมื่อเปิดกล่องออกมา นอกจากจะมีตัวคีย์บอร์ดที่ใส่มาในกล่องแบบพอดีๆ แล้วยังมีคู่มือ เอกสารแนะนำมาให้ตามมาตรฐาน สำหรับคนที่ต้องการปรับแต่งแสงสี โหมดแสงไฟในเบื้องต้น รวมถึงการตั้งมาโครปุ่ม แนะนำเลยครับ ช่วยได้เยอะ

HyperX Alloy Origins PBT

และสิ่งที่มาให้เซอร์ไพรซ์ กับคีย์แคปที่ทาง HyperX เพิ่มเติมมาให้ ทั้งที่เป็นปุ่ม Esc สีแดงสดใส และปุ่ม Spacebar ขนาดใหญ่สีดำ มีลวดลายที่คล้ายกับหิมะ หรือดาวตกอะไรประมาณนั้นครับ

HyperX Alloy Origins PBT

ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนคีย์แคปเองได้ เพราะเค้าให้อุปกรณ์เสริมมาถอดปุ่มได้แบบง่ายๆ ถ้าอยากได้ความแปลกใหม่ หรือต้องการสีสัน ลูกเล่นไปจากคีย์แคปแบบเดิมๆ ก็ถอดออกมาตรงๆ แล้วเปลี่ยนได้เลยครับ

สายสัญญาณเป็นแบบสายถักแบบถอดได้ ยาวประมาณ 1.5m ด้วยพอร์ตแบบ USB-C to USB-A ต่อเข้ากับคีย์บอร์ดด้วยหัว USB-C และปลายสายเข้าคอมพีซี หรือโน๊ตบุ๊คด้วย USB-A ใช้ง่าย เก็บสายได้ค่อนข้างง่าย ดูเรียบร้อยขึ้นไม่น้อยเลย


Design

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Alloy Origins PBT นี้ มาในแบบที่เรียกว่า Compact Design ประหยัดพื้นที่เหมือนเดิม เล็กกว่าในคีย์บอร์ดระดับเดียวกันพอสมควร สังเกตได้จากขอบแต่ละด้านที่กระชับเข้ามา จนชิดปุ่ม จึงประหยัดพื้นที่จัดวาง เหลือพื้นที่บนโต๊ะคอมของคุณอีกเพียบ สำหรับการเลื่อนเมาส์ได้อย่างสนุกสนานมากขึ้น แม้จะใช้โต๊ะเล็กก็ตาม

ปุ่มมาในโทนสีออกเทาเข้ม-ดำ ตัดกับตัวอักษรสีขาวบนคีย์แคปได้อย่างชัดเจน แต่ฟอนต์จะดูต่างกัน Alloy Origins ตัวเดิมอยู่เล็กน้อย ก่อนหน้านี้อาจจะดูเด่นขึ้นนิดหน่อย เพราะใช้คีย์แคปต่างจาก PBT แต่ที่เจอคือ Origins เดิมจะเริ่มมันวาว เมื่อใช้ไปนานๆ แต่ Origins PBT จะมีพื้นผิว ที่ทำให้ไม่เกิดเงาได้ง่าย

HyperX Alloy Origins PBT

มาถึงบอดี้ของคีย์บอร์ดกันบ้าง ขนาดจัดว่าเล็กในแบบ Compact size ที่เป็นจุดขาย เพราะถ้าเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด Alloy Origins PBT รุ่นนี้ทำได้กระชับ ไม่เปลืองพื้นที่ แต่ให้ฟีเจอร์สำคัญมาครบถ้วน

ถ้าดูจากเลย์เอาท์ ก็เรียกว่าแทบจะถอดแบบมาเกือบทุกจุด ยกเว้นตรงที่คีย์แคปบางตัวของ PBT ทำเป็นแบบ 2 หน้า มีพิมพ์ 2 ส่วน ได้ลูกเล่นการปรับแต่งง่ายขึ้น แต่ในเรื่องขนาดปุ่ม การจัดวางก็คล้ายกันมาก

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านหลังหรือด้านใต้ของคีย์บอร์ด มาแบบเรียบๆ ไม่ได้มีสิ่งใดโดดเด่น แต่มีขาพับปรับระดับได้ 3 step เพื่อให้เอียงตามมุมการใช้งานได้

HyperX Alloy Origins PBT

พอร์ตที่มีให้เป็น USB-C ในการต่อสายสัญญาณเข้ากับพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค เป็นแบบเรียบง่าย ไม่ได้เป็นแบบตัวล็อคเสริมเพิ่มความแน่นมาให้เหมือนกับเกมมิ่งคีย์บอร์ดบางค่ายนำมาใช้กัน

และการปรับระดับเทียบกันระหว่างด้านซ้ายเป็นการปรับชันสุด 11 องศา ส่วนถ้าพับขาตั้งเข้าไป จะอยู่ที่ประมาณ 3 องศา อยู่ที่มุมการวางคีย์กับความสูง รวมถึงเก้าอี้นั่งของคุณจะเข้ากันในแบบใด

HyperX Alloy Origins PBT

ส่วนตัวมองว่า HyperX ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ดี แต่เสริมในบางจุดที่คิดว่าจำเป็นเข้ามา แต่พยายามไม่ให้เสียภาพของจำของผู้ใช้ไปมากนัก


Keycap & Switch

HyperX Alloy Origins PBT

ตัวปุ่มถูกปรับให้มีความทนทาน ในแบบที่เรียกว่า PBT keycap ซึ่งมักจะพบกันในเกมมิ่งคีย์บอร์ดคุณภาพสูง และให้พื้นผิวในแบบพ่นทราย เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเกมเมอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ถ้าผู้ใช้จะใช้งานปุ่มแบบนี้ ส่วนใหญ่จะต้องซื้อเพิ่มเพื่อมาเปลี่ยน แต่ HyperX จัดมาให้พร้อมใช้แล้วในรุ่นนี้

HyperX Alloy Origins PBT

นอกจากนี้ยังให้คีย์แคปตกแต่งมาเพิ่มอีก 2 ปุ่ม ประกอบด้วยปุ่ม Esc ที่ใส่เป็นปุ่มแดงโลโก้ HyperX ได้เลย แสงไฟลอดจากปุ่มดูสวยไม่ใช่เล่น

HyperX Alloy Origins PBT

เราสามารถแกะปุ่มคีย์แคปเพื่อเปลี่ยนได้ และด้านใต้ปุ่มเป็นสวิทช์ของทาง HyperX ในรุ่น Red สีแดง ซึ่งคาแรคเตอร์ของปุ่มจะเป็นแบบ Linear ซึ่งมีความนุ่มนวล แต่ให้การตอบสนองได้ดี จะคล้ายกับที่ใช้ใน Origins ก่อนหน้านี้ กับน้ำหนักในการกดประมาณ 45 กรัม ระยะตอบสนอง 1.8mm ใช้งานได้นานระดับ 80 ล้านคลิ๊กเลยทีเดียว

คีย์สวิทช์ของทาง HyperX

HyperX Aqua – Tactile

HyperX Blue – Tactile
HyperX Red – Linear
HyperX Silver – Linear

HyperX Alloy Origins PBT

แต่จุดที่ถือเป็นไฮไลต์ของ Alloy Origins PBT รุ่นนี้ก็คือ การเป็นปุ่มแบบพิมพ์ 2 ด้าน เพราะเมื่อสังเกตจากตรงนี้ จะเห็นว่ามีการพิมพ์ตัวสัญลักษณ์มาตั้งแต่ F1, F3 และ F3 ไปจนถึงปุ่ม RW/ Play/Pause และ FW เรื่อยไปจนถึงปุ่ม F9-F12 สำหรับการ Mute, Volume down/ Up และ Game Mode นั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

แสงไฟลอดผ่านได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ดังนั้นผู้ใช้ทั้งที่เป็นเกมเมอร์ และคนทำงาน ใช้คีย์บอร์ดบ่อย ก็ไม่ต้องกังวล เพราะคุณจะเห็นฟอนต์ได้ชัด ทั้งตอนที่เปิดหรือปิดแสงไฟนั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

จุดสำคัญของคีย์บอร์ดรุ่นนี้ อยู่ที่การใช้ Side-Printing ที่เพิ่มเข้ามาในส่วนของด้านข้างคีย์แคป ทำให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น เพราะไม่ใช่แค่ดูสบายตา แต่ยังใช้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งมาโคร หรือเปลี่ยนโหมด แสงไฟ หรือใช้ฟังก์ชั่นด้านมัลติมีเดียก็ตาม


Backlit

HyperX Alloy Origins

สำหรับแสงไฟ Backlit เป็นแบบไฟ RGB ปรับแต่งได้ทั้งบนปุ่มคีย์บอร์ด ตามโพล์ไฟล์ที่จัดเก็บเอาไว้ หรือจะใช้ซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ในการปรับแต่งก็ได้เช่นกัน โดยแสงไฟสว่างจากบนคีย์สวิทช์ ที่อยู่ด้านบน ซึ่งสว่างมากพอ ที่จะทำให้ฟอนต์ชัดเจนทั้งไทยและอังกฤษบนคีย์แคป

ความสว่างปรับได้ถึง 5 ระดับด้วยกัน ด้วยการกดที่ปุ่มลูกศร ที่อยู่ด้านข้าง NumberPad โดยดูจาก Side-printing บนปุ่มได้เลย แสงไฟให้ความสว่างได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อใช้ในที่มืด เรียกว่าทะลุปุ่มออกมาได้ชัดเจน

HyperX Alloy Origins

HyperX ngenuity

การปรับแสงไฟ RGB ในโหมดต่างๆ สามารถทำได้ 2 วิธีคือ ปรับจากปุ่มโพรไฟล์บนคีย์บอร์ดได้โดยตรง ใช้ปุ่ม F1, F2 และ F3 ซึ่งจะใช้ปรับโหมดสีและเอฟเฟกต์ ตามที่เราได้ตั้งเอาไว้ในซอฟต์แวร์อย่าง HyperX ngenuity ได้อีกด้วย

HyperX Alloy Origins

แบบที่สอง นั่นคือ การปรับในซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity ซึ่งทำได้ค่อนข้างสะดวกทีเดียว เพราะเลือกเอฟเฟกต์ แสง สี แล้ว Apply ดูตามรูปแบบแสงไฟได้ตามต้องการ


Software

ไม่ว่าคุณจะใช้เกมมิ่งเกียร์จาก HyperX ชิ้นเดียวหรือหลายชิ้นร่วมกันก็ตาม ซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity จะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด ให้คุณใช้งาน คีย์บอร์ด เมาส์ หูฟัง ไมโครโฟน และอื่นๆ ที่ง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่ง เพิ่มมาโคร หรือเปลี่ยนเอฟเฟกต์แสงไฟ ก็ทำได้จากซอฟต์แวร์นี้เลย อย่างเช่น ชุดเกมมิ่งคีย์บอร์ด และเมาส์แพดที่เราได้รับมาทดสอบนี้ ไปชมกันครับว่าจะสามารถปรับแต่งส่วนใดได้บ้าง

HyperX Alloy Origins

หน้าตาของเว็บไซต์เมื่อเข้าไปดาวน์โหลด จะใช้ช่องทางของ Microsoft store

HyperX Alloy Origins

เมื่อดาวน์โหลดมาติดตั้งเสร็จแล้ว จะมีหน้าตาเช่นนี้ ระบบจะรายงานเวอร์ชั่นของซอฟต์แวร์ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเวลานั้น

HyperX Alloy Origins

หน้าตาของซอฟต์แวร์ เมื่อเปิดเข้าไปและเลือกในแต่ละอุปกรณ์ จะแสดงผลมาแบบนี้ ตัวอย่างที่เราติดตั้ง จะมีทั้งคีย์บอร์ด Alloy Origins PBT, เมาส์แพด Pulsefire Mat และ Armada 27 ที่เป็นจอเกมมิ่ง รวมถึงเมาส์เกมอย่าง Pulsefire Haste ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถเชื่อมต่อเข้ากับซอฟต์แวร์ได้

HyperX Alloy Origins

สำหรับ Pulsefire Mat XL รุ่นนี้มาพร้อมแสงไฟ RGB และยังปรับแต่งเพิ่มเติมได้ ด้วยการเพิ่มในช่อง Effect รวมถึงเพิ่มความสว่าง และจัดเก็บเป็นโพรไฟล์ได้

HyperX Alloy Origins

และคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins PBT นอกจากจะเพิ่มแสงไฟ ปรับแต่งเอฟเฟกต์ได้อย่างสนุกแล้ว ยังปรับใช้มาโครได้อีกด้วย โดยการกำหนดในช่อง Keys ของคีย์บอร์ด เลือกปุ่มแล้ว Assignments แล้ว Save to Keyboard


HyperX Pulsefire Mat RGB

เพิ่มเติมให้อีกอัน เหมือนของที่ต้องอยู่คู่กันบนโต๊ะของเกมเมอร์ เสริมให้โต๊ะคอมดูดีขึ้นอีก 30% กับเมาส์แพดจาก HyperX รุ่นนี้ ที่ไม่ใช่แค่เป็นแพดขนาดใหญ่ ให้คุณสไลด์เมาส์ได้อย่างสะใจเท่านั้น แต่ยังเสริมความหนักแน่น และแสงไฟ RGB มาในตัวอีกด้วย ที่สำคัญยังเชื่อมต่อเข้ากับซอฟต์แวร์ เพื่อปรับแต่งแสงไฟได้ เราไปชมรายละเอียดกัน

HyperX Alloy Origins PBT

HyperX Pulsefire Mat ที่เราได้รับมานี้ จัดว่าอยู่ในกลุ่มของไซส์ XL เพราะยาวถึง 90cm และกว้าง 42cm วางบนโต๊ะ 120-140cm ได้เกือบเต็ม เหมาะกับคนที่เน้นพื้นที่ใช้งานที่กว้าง สามารถวางของบน Mat ได้ และขยับเมาส์ได้แบบลดข้อจำกัด

HyperX Alloy Origins PBT

สำหรับตัวเมาส์แพดนี้ แกะกล่องออกมา ก็เห็นถึงความอลังการได้แล้ว เพราะยัดมาแน่นมาก ติดอยู่อย่างเดียวคือ คุณอาจจะต้องม้วนย้อนกลับไปอีกทางหนึ่ง ก่อนใช้งาน เพื่อให้ไม่เกิดเป็นคลื่นๆ จากการที่ม้วนอยู่ในกล่องมานานนั่นเอง

HyperX Alloy Origins PBT

โดยพื้นฐานของแผ่นด้านบนที่เป็นหน้าสัมผัส จัดว่าถักทอมาได้แน่น และมีความหนาพอสมควร ส่วนตัวรู้สึกว่าสัมผัสค่อนข้างดี และมีการทอมาได้เรียบ เน้นไปที่แนวของ Speed มากว่า Control แต่ก็มีพื้นผิวมาคอยให้คุณจัดตำแหน่งได้ง่ายขึ้น ให้ความนุ่มนวลในระดับหนึ่ง แต่ที่น่าทึ่งคือ ด้านใต้เป็นแบบกันลื่น Anti-slip ให้คุณวางบนโต๊ะและจับกับพื้นโต๊ะได้แน่นหนา ไม่สไลด์ขณะที่เล่นเกมแน่ๆ

HyperX Alloy Origins PBT

ด้านบนจะเป็นวงจรเล็กๆ และไฟแสดงสถานะของโพรไฟล์ ซึ่งจะบันทึกจากซอฟต์แวร์ HyperX ngenuity ได้ 3 โพรไฟล์ และคุณยังเปลี่ยนเอฟเฟกต์ได้ด้วยการสัมผัสอีกด้วย นับว่าทำออกมาได้แบบล้ำๆ เลยทีเดียว

HyperX Alloy Origins PBT

ขอบที่เป็นเส้นแสงไฟ RGB นี้ ถูกถักและรัดไว้อย่างหนาแน่น ติดกับขอบด้านข้างของเมาส์แพดตลอดทั้งผืน ซึ่งเป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว เมื่อเปิดไฟ RGB ก็ดูสวยงาม อย่างไรก็ดี พอให้รู้สึกสัมผัสกับข้อมือมากไปหน่อย เมื่อเลื่อนเมาส์ไปมาขณะเล่นเกม

HyperX Alloy Origins PBT

กางได้แบบเต็มที่ทีเดียว บนโต๊ะระดับ 180cm x 75cm เหลือพื้นที่สำหรับวางจอคอม และอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ ได้สบาย ใครที่ใช้โต๊ะคอมเล็ก แนะนำว่าขยับพื้นที่จัดวางดีๆ ก็ลงตัวแล้วครับ

HyperX Alloy Origins PBT

แสงไฟ RGB ก็จัดว่าเป็นไฮไลต์ของ Pulsefire MAT รุ่นนี้เลยครับ เอฟเฟกต์แสงที่ได้จัดว่าสวยงาม ตัดกับพื้นโต๊ะทั้งสีขาวและสีดำได้เป็นอย่างดีอย่างที่เห็นในตัวอย่างนี้ และจะโดดเด่นยิ่งขึ้น หากใช้งานในห้องที่มีแสงน้อย เหมาะกับเกมเมอร์อย่างแท้จริง

สังเกตว่าแถบแสงไฟเหล่านี้ ไม่ได้สว่างสดใสแค่เพียงด้านบนเท่านั้น เมื่อหงายด้านใต้ Mat ก็ยังสีสดใสไม่แพ้กัน รวมถึงเมื่อมองจากด้านข้าง จะทำให้คุณเล่นเกมได้อย่างสนุกมากขึ้น

HyperX Alloy Origins PBT

โดยความยาวของ HyperX Pulsefire Mat นี้ ไม่เพียงแค่พื้นที่เลื่อนเมาส์ได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังวางคีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins PBT ได้สบาย และมีพื้นที่เหลือๆ สำหรับใช้งาน เมือแสงไฟจับคู่กันกับเมาส์ และคีย์บอร์ด ก็ดูล้ำๆ ยิ่งขึ้นอีกด้วย


Conclusion

HyperX Alloy Origins PBT 2023 use 16

สัมผัสแรกในการกดปุ่มคีย์บน Alloy Origins PBT มีความต่างจากที่เคยใช้บน Alloy Origins เดิมอยู่พอสมควร โดยเฉพาะพื้นผิวของปุ่ม ที่ไม่ได้เรียบลื่น PBT ให้ความสะดุด และนิ้วไปแตะได้หนักแน่นกว่า น้ำหนักการกดค่อนข้างใกล้กัน และระยะตอบสนองแทบไม่ได้ต่างกันเลย เพราะถ้าดูจากตัวเลขที่ระบุมาในสเปค ก็เรียกว่าเกือบจะเหมือนกัน ดังนั้นในการเล่นเกม แทบจะไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ถ้ามองในแง่ของความต่อเนื่อง การกดของ PBT บางทีก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เล็กน้อย ถ้าคนเคยใช้คีย์บอร์ดแบบที่คีย์แคปเรียบๆ สัมผัสก็อาจจะลื่นไหล ไม่สะดุดนิ้ว แต่ก็ยอมรับว่าปุ่มมีโอกาสขึ้นเงาได้มากกว่าแบบ PBT พอสมควร แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการเล่นเกมมากนัก เมื่อใช้ไปจนชิน

HyperX Alloy Origins PBT

การวางมือด้วยการเป็นคีย์บอร์ดไซส์คอมแพค จึงไม่ได้มีส่วนยื่นออกมา เผื่อไว้สำหรับการวางอุ้งมือ หรือไม่มี Hand rest ให้วาง ต้องไปหาเพิ่มเติม แต่ก็ทำให้คุณจัดโต๊ะได้แบบกระชับ ลดการใช้พื้นที่ และไม่เปลืองพื้นที่โต๊ะมาก โดยเฉพาะเกมเมอร์ที่มีโต๊ะจำกัดจริงๆ คีย์บอร์ดแนวนี้ช่วยได้เยอะ

แต่ความรู้สึกกับเสียงในการกด ด้วยฟิลลิ่งของ Red switch ก็อาจจะไม่ได้โบ๊ะบ๊ะ เสียงแบบ Clicky มาอย่างชัดเจนนัก แต่จังหวะและน้ำหนัก คนที่ใช้ Blue switch อาจจะรู้สึกว่าเสียงและจังหวะขาดๆ ไปบ้าง เพราะคาแรกเตอร์เค้าเป็นแบบ Linear แต่เพิ่มจังหวะการกดเข้ามานั่นเอง ข้อดีคือ คุณยังเล่นได้สนุก โดยที่ไม่ไปรบกวนคนอื่นมากนัก เมื่อต้องใช้พื้นที่ในห้องเดียวกัน

HyperX Alloy Origins PBT

ขยับมาที่ HyperX Pulsefire MAT กันบ้าง ส่วนตัวค่อนข้างชอบกับเมาส์แพดผืนใหญ่ๆ แบบนี้ ที่วางกันแบบเกือบคลุมได้ทั้งโต๊ะ วางได้ทั้งคีย์บอร์ด และยังเหลือที่เลื่อนเมาส์ได้กว้าง มีประโยชน์ทั้งการเล่นเกมและทำงาน แต่ในทางกลับกัน หลายคนอาจมองว่าการวางของบางส่วนก็ยากขึ้น หากพื้นที่โต๊ะจำกัด เช่น จอคอม หรือวางพรินเตอร์และอื่นๆ ที่วางได้ไม่เต็มหรือกลัวจะเป็นรอยบน Mat นั่นเอง

แต่ในแง่ของคุณภาพเต็ม 10 ผมไม่หักเลย โดยเฉพาะความลื่นไหล และเคลื่อนไหวได้แทบไม่สะดุด ได้เมาส์ดีๆ ก็แทบจะไม่ต้องยกมือขึ้นมาให้เสียจังหวะอีกด้วย การถักทอแน่นมาก ไม่ต้องกลัวจะเสียสภาพในเร็ววัน และแสงไฟที่ขอบโดยรอบนั้น ก็เพิ่มอรรถรสในการเล่นได้ไม่น้อย และที่ชอบสุดก็คือ แทบจะไม่ลื่นหลุดไปจากโต๊ะ เพราะพื้นด้านใต้ทำออกมาได้ดีทีเดียว

HyperX Alloy Origins PBT

คีย์แคปแบบ Side-printing จัดว่าเข้าท่าดี เพราะไม่เคยมีอยู่ใน Alloy Origins รุ่นก่อนหน้านี้ ก็ช่วยลดความตาลายดูสบายมากขึ้น แม้จะเป็นลูกเล่นเล็กๆ แต่ก็เหมาะกับการใช้งาน และการเล่นเกมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่ยังสัมผัสไม่แม่น และต้องอาศัยดูแป้นพิมพ์อยู่เป็นระยะ

แต่สิ่งหนึ่งที่ดูแปลกตาไปบ้าง คือตัวฟอนต์บนคีย์แคปที่เปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นตัวพิมพ์หนาเหมือนในรุ่นก่อน ทำให้แสงไฟที่ลอดมา บางครั้งก็ไม่สว่างชัดมากนัก ซึ่งหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องมองแป้นพิมพ์บ่อยๆ แนะนำว่าให้เปิดความสว่างแบบสุด

HyperX Alloy Origins PBT

สุดท้ายนี้ก็อยากให้ได้ไปลองใช้งานกันครับ สำหรับคนที่จะเริ่มกับเกมมิ่งคีย์บอร์ด ในราคา 3,790 บาท ก็ถือว่า HyperX Alloy Origins PBT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ปุ่มแน่น กดสนุก ไฟสวย ปรับแต่งได้ และใช้งานง่าย มีซอฟต์แวร์เสริม และ Pulsefire Mat RGB ที่จัดว่าให้พื้นที่ขนาดใหญ่ เลื่อนเมาส์ได้ลื่นไหล ถักทอแน่น พร้อมไฟ RGB ลิงก์กันกับเมาส์ คีย์บอร์ด และหูฟังจาก HyperX ได้ ซิงก์แสงไฟกันได้ต่อเนื่อง ราคาประมาณ 1,390 บาท เท่านั้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: HyperX


from:https://notebookspec.com/web/691460-hyperx-alloy-origins-pbt-keyboard

Advertisement

10 อันดับโน๊ตบุ๊ค 10000 บาท จอใหญ่ แรม 8GB มีวินโดว์พร้อมใช้ ดูหนังเพลิน

10 อันดับโน๊ตบุ๊ค 10000 บาท จอใหญ่ Full-HD มี SSD พร้อม Windows แรม 8GB เบา เทรดหุ้น ดูหนังครบ

Top 10 value notebook 10000B cov

10 อันดับโน๊ตบุ๊คเริ่ม 10000 บาท จ่ายเบาๆ ได้จอใหญ่ น้ำหนักเบา พกพาสะดวก มีอยู่จริง รวมมาให้แล้ว เป็นรุ่นเด็ดต้นปี 2023 นี้ สำหรับสายทำงานและบันเทิง ที่ต้องการโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพดี รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ เริ่มต้นกับการเรียน หรือการศึกษาของเด็กๆ ไปจนถึงการดูหนัง 4K ที่เป็นจอขนาดใหญ่ 15.6″ ความละเอียด Full-HD แล้วด้วย ให้ภาพที่ดูได้อย่างเต็มตา และมาพร้อมแรม 8GB บางรุ่นเป็น 16GB รวมถึงใส่ SSD มาด้วยเช่นกัน เพื่อความลื่นไหล ซีพียูมีให้เลือกตั้งแต่น้องเล็กอย่าง Intel Celeron หรือ AMD Athlon ไปจนถึง Intel Core i Generation แต่ที่สำคัญมี Windows มาให้พร้อมใช้ เปิดเครื่องมา ก็ทำงานได้เลย ไม่ต้องซื้อเพิ่ม แต่ละรุ่นจัดว่าเด็ด แต่มีรุ่นไหนที่จะโดนใจคุณบ้าง ไปติดตามชมกันครับ

10 อันดับโน๊ตบุ๊ค 10000 บาท


โน๊ตบุ๊ค 10000 บาท เลือกแบบไหนดี?

ทำงานเอกสาร เรียน ประชุมออนไลน์

Advertisementavw
10 อันดับ

สำหรับโน๊ตบุ๊คงบ 10000 บาท อยู่ในกลุ่มที่รองรับการใช้งานด้านงานเอกสาร และในสำนักงานเบื้องต้นได้ แต่ถ้าเป็นงานที่ต้องใช้ทรัพยากรมาก เช่น เปิดไฟล์ขนาดใหญ่ หรือใช้โปรแกรมที่ต้องอาศัยแรม และซีพียู เช่น โปรแกรมสร้างพรีเซนเทชั่น เปิดเอกสารทีเดียวจำนวนมาก ซีพียู 2 core/ 4 thread เป็นตัวเริ่มต้นได้ แต่ควรมีแรมอย่างน้อย 8GB เพื่อให้การทำงานลื่นขึ้น ส่วนการจัดเก็บข้อมูล หากมีจำนวนมาก แนะนำว่าให้ใช้ SSD 512GB หรือใช้บริการ Cloud Storage น่าจะสะดวกมากยิ่งขึ้น จอขนาดใหญ่ ช่วยให้มีพื้นที่ในการประชุมและมองเห็นข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น

เทรดหุ้น ท่องอินเทอร์เน็ตหาข้อมูล

10 อันดับ

การใช้งานด้านเทรดหุ้น แม้จะมองว่าการดูกราฟ จะต้องใช้สเปคแรงด้วยหรือ? ถ้าเป็นการดูข้อมูลเฉยๆ ซีพียูรุ่นน้องเล็ก ก็เพียงพอ แต่ส่วนใหญ่ผู้ใช้จะควบคู่ไปกับการหาข้อมูลตลาด การฟังข่าวหรือการรีเช็คราคาที่ผ่านมาในอดีต ดังนั้นจึงเป็นการทำงานแบบมัลติทาส์ก เพราะต้องประมวลผลหลายอย่างพร้อมกัน การมีซีพียูในระดับที่สูงขึ้น เช่น Intel Core i3 หรือ AMD Ryzen 3 กับแรมอย่างน้อย 8GB ก็ช่วยให้ไหลลื่นขึ้น แต่ถ้าเปิดแท็ปเว็บเบราว์เซอร์ค่อนข้างเยอะ แนะนำว่าแรม 16GB เหมาะสมมากกว่า จอใหญ่ไฟสว่าง ก็ไม่ต้องซูมบ่อย ยกเว้นจะพกพาด้วยจอ 14″ FHD ก็เพียงพอแล้ว

ดูหนัง เล่นเกมออนไลน์เบาๆ

10 อันดับ

โน๊ตบุ๊ค 10000 บาท เป็นโน๊ตบุ๊คที่อาจจะคาดหวังกับการเล่นเกมได้ยาก แต่ถ้าเป็นเกมออนไลน์เบาๆ เช่น ยิงไข่ ไล่ซอมบี้ เรียงเพชรหรือจะเป็นแนว 2D ในแบบต่างๆ สามารถทำได้สบายๆ ดังนั้นหากคุณต้องการเล่นเกมหนักๆ ก็อาจจะต้องลองเริ่มต้นกับการตั้งค่าในเกม ปรับ Detail ให้เหมาะ แต่สุดท้ายไม่ได้ ก็คงต้องขยับไปที่เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค ปัจจุบันเริ่มที่ประมาณ 20000 บาท ส่วนการดูหนัง Full-HD, 4K และใช้เพียงหน้าจอเดียว เลือกรุ่นประหยัดสุด ก็ยังไหว แต่อยากให้เป็นแรม 8GB ดูน่าสนใจกว่า และถ้ามีน้องๆ หนูๆ เล่นด้วยกัน จัดจอใหญ่ 15.6″ ก็แบ่งปันกันดูได้ดียิ่งขึ้น


1.Acer Aspire 3 A314-35

10 อันดับ

โน๊ตบุ๊คที่มาแบบครบครัน ใน 10 อันดับครั้งนี้ กับสายพันธุ์ของ Aspire 3 ที่ออกแบบมาลงตัวกับผู้ใช้ในกลุ่มคนทำงาน ไลฟ์สไตล์และนักเรียน ขนาดกระทัดรัด น้ำหนักเบาแค่ 1.6Kg สเปคพอใช้ท่องเน็ต ทำงานเอกสาร และดูหนังบนจอ 14″ Full-HD ได้ลื่นๆ กับซีพียู Intel Pentium N6000 (2 core/ 4 thread) พร้อมแรม 4GB ที่อัพเกรดเพิ่มได้ และใส่ฮาร์ดไดรฟ์มา 500GB รุ่นนี้เท่าที่เช็ค มีโมเดลที่เป็น SSD 256GB ด้วย มี Windows 10 มาให้ คีย์บอร์ดไม่มีแสงไฟ และแบตค่อนข้างเล็กไปนิด เคาะราคามา 8,990 บาท เท่านั้น ไปช้อปกันได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
น้ำหนักเบา แรม 4GB
ให้พอร์ตมาเยอะ

รายละเอียดเพิ่มเติม: Acer


2.IPASON MAXBOOK P2 PRO-P981

10 อันดับ

ติด 10 อันดับ โน๊ตบุ๊คราคาไม่ถึงหมื่นบาท IPASON แบรนด์น้องใหม่ในบ้านเรา ที่กระแสตอบรับดี บอดี้ที่บางเบา ฟังก์ชั่นจัดเต็ม ทั้งสแกนลายนิ้วมือ กางได้ 180 องศา คีย์บอร์ด Full-size แต่เสียดายที่ไม่มีไฟ Backlit มาให้ แต่ก็ได้อย่างอื่นแทน เช่น แรม 16GB ใส่ซีพียู Intel Celeron มาให้ แต่เป็นรุ่นใหม่ 4 core/ 4 thread กราฟิก Intel UHD สำหรับการใช้งานพื้นฐานทั่วไป หน้าจอ IPS 15.6” Full-HD สีสดใส พอร์ตใหม่ๆ USB-C และ HDMI มีให้ครบ พร้อมแบตขนาดใหญ่ Windows 11 พร้อมใช้ ตัวเครื่องรับประกัน 2 ปี ราคาแค่ 9,890 บาท แต่เวลานี้ค่อนข้างหายากนิดนึงครับ ไปช้อปได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
ให้แรมมาเยอะ ไม่มีไฟคีย์บอร์ด
กางจอได้ 180 องศา

รายละเอียดเพิ่มเติม: IPASON


3.Lenovo IdeaPad 1 15IGL7

10 อันดับ

สำหรับโน๊ตบุ๊ค 10000 สุดประหยัดรุ่นนี้ ดีกรีไม่ธรรมดา วัสดุดูดี งานประกอบแน่น หน้าจอใหญ่ 15.6″ Full-HD ดูหนังเต็มตา ทำงานก็สะดวก เล่นเกมออนไลน์เบาๆ ขุมพลัง Intel Pentium N4020 กับกราฟิก Intel UHD ก็พอไหว งาน 2D/3D พรีเซนเทชั่นทั่วไป ไม่ยาก มาพร้อมแรม 4GB เสียดายที่อัพแรมเพิ่มไม่ได้ ส่วน SSD มีให้ 256GB พอร์ตก็มีให้ครบๆ USB-C, HDMI ใส่ Card Reader มาให้ด้วย พร้อม Windows 11 Home พร้อมใช้งาน แบตใหญ่ น้ำหนัก 1.5Kg ประกัน 2 ปี แต่เป็นอุบัติเหตุ 1 ปีด้วยนะ ราคาประมาณ 9,990 บาทเท่านั้น ไปช้อปได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
จอใหญ่สีสดใส มีแรมให้ 4GB
วัสดุค่อนข้างดี

รายละเอียดเพิ่มเติม: Lenovo


4.HP 15s-eq1575AU

10 อันดับ

เป็นอีกหนึ่งใน 10 อันดับโน๊ตบุ๊คสไตล์บางๆ ที่มีความพรีเมียม หน้าจอ 15.6″ Full-HD กว้างขวาง ขอบจอบาง เอาใจคนทำงานและการเริ่มต้นเรียนรู้ของเด็กๆ แถมยังให้ Windows 11 Home มาแล้วด้วย โดยมีขุมพลัง AMD Athlon Gold 3150U เป็นน้องเล็ก ทำงาน 2 core/ 4 thread พร้อมแรม 8GB อัพเกรดเพิ่มได้ในภายหลัง กราฟิก AMD Radeon ดูหนัง เล่นเกมเบาๆ เอาใจน้องๆ ยังไหว ใช้เทรดหุ้นก็ลื่นดี มี SSD 256GB คีย์บอร์ด Full-size ใส่แบตมากลางๆ พอร์ต USB-C, HDMI มีให้ครบ น้ำหนักประมาณ 1.7Kg ประกัน 2 ปี ราคา 11,390 บาท ไปช้อปได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
ให้แรมมา 8GB น้ำหนักค่อนข้างเยอะ
พอร์ตเยอะ พร้อม USB-C

รายละเอียดเพิ่มเติม: HP


5.ASUS Vivobook 15 X1500EA-EJP01W

10 อันดับ

สำหรับ Vivobook 15 ก็มาตามคาด กับราคาที่ดีงาม บอดี้ที่ถอดแบบมาจากรุ่นพี่ บางสวย แม้ซีพียูจะเป็นน้องเล็ก Pentium Gold 7505 แต่ถือว่าสดใหม่ เรี่ยวแรงพอใช้งานในหลายๆ ด้านได้ พร้อมแรม 4GB อัพเกรดเพิ่มได้ และ SSD 512GB หาได้ยากในราคาประมาณนี้ พอร์ตมีทั้ง USB-C และ HDMI หน้าจอ 15.6″ Full-HD กว้างขวาง สำหรับงานและความบันเทิง แม้จะไม่ได้เสริมฟีเจอร์พิเศษมามากมาย แต่ก็สะดวกต่อการใช้งานพื้นฐาน โดยมี Windows 11 พร้อมใช้ประกัน 2 ปี ราคา 12,990 บาท ไปช้อปได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์บาง กระทัดรัด มีแรม 4GB

รายละเอียดเพิ่มเติม: ASUS


6.Lenovo V15 G3 ABA 82TV004VTA

10 อันดับ

เป็นโน๊ตบุ๊คในกลุ่มทำงาน บอดี้ที่ดูพรีเมียม ดูสบายตา ราคา 10000 บาทนิดๆ ได้สเปคใหม่หมดจด เหมาะทั้งเรียน ทำงาน และความบันเทิง กับซีพียู AMD Ryzen 3 5425U รุ่นใหม่ คู่กับแรม 8GB อัพเกรดเพิ่มได้ และให้ SSD 256GB บนจอแสดงผล 15.6″ กราฟิกสามารถเล่นเกมเบาๆ ได้ ดูหนัง 4K ระบบเสียงก็ถือว่าดี พร้อมพอร์ต USB-C ชาร์จเร็ว และต่อจอได้ แบตอาจจะน้อยไปบ้าง สำหรับจอใหญ่แบบนี้ และไม่มี OS มาให้ น้ำหนักประมาณ 1.7Kg พกได้ไม่ยาก ประกัน 1 ปี ราคา 12,990 บาท ถ้าใครอยากได้ Windows ด้วย ขยับไป IdeaPad 3 ก็ได้ เพิ่มอีกประมาณพันนึงครับ ไปช้อปได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
วัสดุแข็งแรง น้ำหนัก 1.7Kg
ได้แรม 8GB

รายละเอียดเพิ่มเติม: Lenovo


7.ASUS X515JA-EJ331W

10 อันดับ

10 อันดับโน๊ตบุ๊คราคาหมื่นนิดๆ แต่ได้เป็น Intel Core i3 Gen10 ได้แรงเพิ่มอีกนิด 2 core/ 4 thread ให้เร่งสปีดงานต่างๆ ได้ดีขึ้น เหมาะกับการใช้งานทั่วไป และความบันเทิงภายในบ้าน จอใหญ่ 15.6″ Full-HD กับบอดี้ที่ทำออกมาได้ดี ตามสไตล์ ASUS แรมให้มา 4GB แต่อัพเกรดเพิ่มได้ภายหลัง SSD 512GB จัดเต็มมาให้แล้ว พอร์ต USB-C, HDMI มีให้ครบ คีย์บอร์ดฟอนต์ใหญ่ เห็นได้ชัดเจน มี Windows 11 Home มาพร้อมใช้ แบตอาจจะเล็กไปบ้าง น้ำหนักค่อนข้างเยอะหน่อย 1.7Kg แต่เรื่องสเปคและการอัพเกรดไม่ได้เป็นรองใคร รับประกัน 2 ปี ในราคาสบายกระเป๋า 12,990 บาท ไปช้อปได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
จอใหญ่ ขอบจอบาง มีแรม 4GB
มีพอร์ตให้เยอะ

รายละเอียดเพิ่มเติม: ASUS


8.Infinix Book X2 I5 71008300113

10 อันดับ

Infinix Book เป็นโน๊ตบุ๊คที่เปิดตัวมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว กับความบางเบา ราคาเข้าถึงง่าย จุดแข็งที่บอดี้อะลูมิเนียมทั้งตัว สีสันสดใส พร้อมให้ Windows 11 มาด้วย นอกเหนือจากสเปค Intel Core i5-1035G1 พร้อมแรม 8GB และให้ SSD 512GB มาใช้งาน หน้าจอขนาด 14″ Full-HD พาแนล IPS คมชัด ขอบเขตสีกว้าง พอร์ตจัดวางให้ครบครัน รวม USB-C และ HDMI ที่สำคัญคือ คีย์บอร์ดกดง่าย มีไฟ Backlit แบตอึด หาตัวเทียบยากในราคาเดียวกัน รับประกัน 1 ปี น้ำหนัก 1.24Kg ใครที่ชอบความบางเบา พกพาง่าย บอดี้แกร่ง ไม่ควรพลาด ราคา 13,900 บาท ไปช้อปได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
ให้แรม 8GB
ซีพียู Intel Core i5

รายละเอียดเพิ่มเติม: Infinix


9.Lenovo IdeaPad Flex 5i

10 อันดับ

เข้ามาใน 10 อันดับ กับ Lenovo ที่มีโมเดลในตลาดเริ่มต้นค่อนข้างเยอะ เช่นเดียวกับรุ่นนี้ ที่ราคาจะสูงนิดนึง แต่ได้ลูกเล่นเพียบ เช่นการพับจอเป็นโหมดต่างๆ รองรับทัชสกรีน 14″ Full-HD พาแนล IPS คมชัด มุมมองกว้าง ซีพียู Intel Core i3 Gen 11 ให้แรม 4GB ออนบอร์ด แต่อัพเพิ่มไม่ได้ SSD 256GB มาตรฐาน กราฟิก Intel UHD Graphic ให้พอร์ตมาเยอะ USB-C และ HDMI แถมยังมีไฟคีย์บอร์ด มาอีกด้วย รวมถึงระบบสแกนลายนิ้วมือ บอดี้อะลูมิเนียม น้ำหนักตัวแค่ประมาณ 1.5Kg เท่านั้น ราคา 13,990 บาท ไปช้อปได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
พับจอได้ 360 องศา ให้แรม 4GB
บอดี้แข็งแรง

รายละเอียดเพิ่มเติม: Lenovo


10.HP 15s-fq5154TU

10 อันดับ

HP 15s รุ่นนี้ทำราคากับสเปคได้ดีน่าสนใจเข้ามาใน 10 อันดับโน๊ตบุ๊คนี้ ด้วยบอดี้ที่น่าจะถูกใจสายพรีเมียม เพราะดูเหมือนลายอลูมิเนียมปัดเสี้ยนมาสวยๆ หน้าจอ 15.6″ Full-HD มาให้ และใส่ซีพียู Intel Core i3-1215U รุ่นใหม่ แรง ประหยัดไฟ พร้อมแรม 8GB และ SSD 256GB กราฟิก Intel UHD มี Windows 11 Home พร้อมใช้ แบตจัดได้ว่ากลางๆ แต่ก็ใหญ่กว่าในหลายรุ่น พอร์ตมี USB-C พอให้ใช้กับ HDMI น้ำหนักตัว 1.69Kg ส่วนตัวถือว่าทำได้ค่อนข้างดี การรับประกัน 2 ปี ราคา 13,900 บาท แต่ซื้ออนไลน์ถูกลงอีก ใครชอบสไตล์นี้ จัดได้เลย ไปช้อปได้ ที่นี่

จุดเด่น ข้อสังเกต
บอดี้แข็งแรง ดีไซน์สวย น้ำหนัก 1.69Kg
ให้แรม 8GB

รายละเอียดเพิ่มเติม: HP


Conclusion

Model Display CPU RAM Storage Graphic Weight Price
1.Acer Aspire 3 A314 14″ FHD Intel Pentium N6000 4GB 256GB Intel UHD 1.62Kg 8,990
2.IPASON MAXBOOK P2 15.6″ FHD Intel Celeron N5105 16GB 256GB Intel UHD 1.5Kg 9,890
3.Lenovo IdeaPad 1 15.6″ FHD Intel Pentium N4020 4GB 256GB Intel UHD 1.5Kg 9,990
4.HP 15s-eq1575AU 15.6″ FHD AMD Athlon Gold 3150U 8GB 256GB AMD Radeon 1.7Kg 11,390
5.ASUS Vivobook 15 15.6″ FHD Intel Pentium Gold 7505 4GB 512GB Intel UHD 1.8Kg 12,990
6.Lenovo V15 G3 15.6″ FHD AMD Ryzen 3 5425U 8GB 256GB AMD Radeon 1.7Kg 12,990
7.ASUS X515JA 15.6″ FHD Intel Core i3-1005G1 4GB 512GB Intel UHD 1.7Kg 12,990
8.Infinix Book X2 I5 14″ FHD Intel Core i5-1035G1 8GB 512GB Intel UHD 1.24Kg 13,900
9.Lenovo IdeaPad Flex 5i 14″ FHD Intel Core i3-1115G4 4GB 256GB Intel UHD 1.5Kg 13,990
10.HP 15s 15.6″ FHD Intel Core i3-1215U 8GB 256GB Iris Xe 1.69Kg 13,900

10 อันดับโน๊ตบุ๊คในราคา 10000 บาท สเปคที่เราเห็นกันส่วนใหญ่ ออกแบบมาเพื่องานพื้นฐาน เช่น งานเอกสาร ท่องเน็ตหรือความบันเทิงทั่วไป แต่ถ้าขับไปหมื่นต้นๆ มีตัวเลือกอย่าง Intel Core i3 หรือ i5 ให้ได้ใช้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณ เราขอสรุปกันแบบง่ายๆ ดังนี้ครับ

เน้นงบน้อยไม่ถึงหมื่นบาท มีทั้ง Acer และ IPASON และ Lenovo ซึ่ง IPASON ทำได้ดีทั้งสเปคและฟังก์ชั่น แต่ตอนนี้หาซื้อยากหน่อย

แต่ถ้าหมื่นต้นๆ ก็มี HP 15s, ASUS Vivobook และ Lenovo V15 ที่ส่วนใหญ่ให้แรมมากขึ้น และซีพียูที่แรงกว่า เช่น ซีพียู Core i และแรม 8GB เป็นต้น

ส่วนในกลุ่ม 13,900 บาท จะเป็นตัวสุดในราคานี้ มีทั้ง Infinix, HP15s และ Lenovo IdeaPad ซึ่ง Infinix ใส่ซีพียู Core i5 มาให้ แต่ Lenovo พับจอกับทัชสกรีนได้ แต่ HP 15s ได้ซีพียู Intel Gen 12 รุ่นใหม่ ก็เรียกว่าวัดใจกันพอสมควรครับ ทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มโน๊ตบุ๊คราคาประหยัด ทั้ง 10 รุ่นที่เราเอามาแนะนำกันในวันนี้ครับ มีความคิดเห็นกันอย่างไร คอมเมนต์กันเข้ามาได้เลยครับ

from:https://notebookspec.com/web/688656-10-value-notebook-10000-2023

คอมประกอบ 10000 เล่นเกมออนไลน์ ราคาถูก 2023 ทำงาน ดูหนัง อัพเกรดได้

คอมประกอบ 10000 จัดสเปคคอม ราคาถูก 2023 แรม 16GB คอมทำงาน เด็กนักเรียน ดูหนัง เล่นเกมออนไลน์เบาๆ ครบ

PC spec 10000 2023 rev1

คอมประกอบ 10000 ในปี 2023 นี้ มีตัวเลือกเยอะขึ้น เหมาะกับคนทำงาน คอมใช้ในบ้าน และความบันเทิงทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมเบาๆ ครบ ครั้งนี้เราจัดสเปคคอมมาให้ 4 สเปคด้วยกัน มีตัวเลือกทั้งค่าย Intel และ AMD โดยมีซีพียูสุดคุ้มอย่าง Intel Core i3 และ AMD Ryzen 3 มาให้ รวมถึงแนวทางในการเลือกฮาร์ดแวร์ จัดสเปคสำหรับใช้งานในโอกาสต่างๆ และถ้าใครยังไม่เคยจัดสเปคด้วยตัวเอง สามารถเข้ามาทดลองใช้ ระบบจัดสเปค NBS ใหม่ของเรา ที่มาพร้อมคำอธิบายข้อมูลฮาร์ดแวร์ และรีวิว มาให้ได้ตัดสินใจในการเลือกซื้อผ่านทางหน้าร้านจากลิงก์ของเรากันได้เลย


คอมประกอบ 10000 เล่นเกมออนไลน์ 2023


เลือกซีพียู

การเลือกใช้ซีพียูกับการคอมประกอบ 10000 แบ่งออกได้เป็นหลายมิติ เพราะถ้าจะใช้งานทั่วไป เน้นที่งานเอกสาร แสดงภาพแบบเบาๆ แต่งภาพง่ายๆ กราฟิกไม่ซับซ้อนเกินไป และความบันเทิงทั่วไป ซีพียูในกลุ่มของ Intel Celeron หรือ Pentium ก็ตอบสนองได้ดีหรือ AMD Athlon ก็น่าสนใจ กับการทำงานแบบ 2 core/ 4 thread และซีพียูมีสัญญาณนาฬิกาสูงในระดับหนึ่ง ซีพียูในกลุ่มนี้ราคาเริ่มต้นเพียง 1,xxx บาท เท่านั้น ซึ่งจะทำให้คุมราคาให้อยู่ในงบประมาณได้

Advertisementavw

แต่ถ้าต้องการสิ่งที่มากกว่า เช่น การทำงานเชิงซ้อน ใช้พร้อมกันหลายแอพพลิเคชั่น การแต่งภาพจริงจัง หรือการเล่นเกมที่ต้องการพลังมากขึ้น ซีพียูน้องเล็กอย่าง Intel Core i3 และ AMD Ryzen 3 ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยกับการทำงาน 4 core/ 8 thread ในงบประมาณเริ่มต้นแค่ 3,xxx บาท ยังพอเหลือที่จะจัดสรรไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นแรม หรือ SSD ก็ตาม

ตัวอย่างของซีพียูราคาประหยัด

  • Intel Pentium Gold G6400: 2 core/ 4 thread, Freq.4.0GHz, L3-cache 4MB, TDP 58W, Intel UHD Graphics 610, LGA1200
  • AMD Ryzen 3 3200G: 4 core/ 4 thread, Boost 4.0GHz, L3-cache 4MB. TDP 65W, Radeon Vega 8 Graphics, AM4
  • Intel Core i3-12100: 4 core/ 8 thread, Boost 4.3GHz, L3-cache 12MB. TDP 60W, Intel UHD Graphics 730, LGA1700
  • AMD Ryzen 5 4600G: 6 core/ 12 thread, Boost 4.2GHz, L3-cache 8MB. TDP 65W, Radeon Graphics, AM4
Intel AMD
Intel Pentium Gold G6405 (LGA1200) ประมาณ 2,280 บาท
Intel Core i3-10105F (LGA1200) ประมาณ 2,790 บาท
Intel Core i5-11400 (LGA1200) ประมาณ 6,290 บาท
Intel Pentium Gold G7400 (LGA1700) ประมาณ 2,750 บาท
Intel Core i3-12100F (LGA1700) ประมาณ 3,690 บาท
Intel Core i3-12100 (LGA1700) ประมาณ 4,990 บาท
AMD Ryzen 3 4100 (AM4) ประมาณ 2,390 บาท
AMD Ryzen 5 4500 (AM4) ประมาณ 3,250 บาท
AMD Ryzen 3 3200G (AM4) ประมาณ 3,390 บาท
AMD Ryzen 5 3400G (AM4) ประมาณ 3,690 บาท
AMD Ryzen 5 4600G (AM4) ประมาณ 3,790 บาท
AMD Ryzen 5 5600G (AM4) ประมาณ 5,540 บาท
ราคา 17/2/66

เมนบอร์ด

ถ้าดูจากซีพียูแนะนำสำหรับคอมประกอบ 10000 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นซีพียูรุ่นเล็ก ราคาประหยัด ไปจนถึงรุ่นเริ่มต้น มีทั้งซีพียู Intel Pentium ในแบบซ็อกเก็ต LGA1200 และ LGA1700 รุ่นใหม่ แต่คู่นี้จะต่างกันตรงที่แพลตฟอร์มของเมนบอร์ดครับ เนื่องจาก LGA1200 เลือกใช้กับ Intel H410, B460, H470 และ Z490 เรียงลำดับตั้งแต่ชิปเซ็ตเริ่มต้น ไปจนถึงชิปเซ็ตรุ่นท็อปสุดคือ Z490 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการปรับแต่งและโอเวอร์คล็อก ในขณะที่ชิปเซ็ตรุ่นรองลงไปจะไม่ได้สนับสนุน

คอมประกอบ 10000

แต่ถ้าเป็น Intel LGA1700 รุ่นใหม่ จะมีตัวเลือก ณ เวลานี้คือ Intel 600 series ประกอบด้วย H610, B660, H670 และ Z690 รวมถึง Intel 700 series รุ่นใหม่ ที่รองรับ Intel Gen13 ด้วย อย่างไรก็ดี ณ เวลานี้ ชิปเซ็ต 700 series ตัวเลือกจะยังมีเพียง B760 และ Z790 เท่านั้น รวมถึงราคายังค่อนข้างสูง การเลือกใช้ก็ดูจะเหมาะกับคนที่มีงบประมาณค่อนข้างสูง หรือต้องการจะใช้กับ Intel Gen 13 เต็มระบบ

คอมประกอบ 10000

ดังนั้นตัวเลือกสำหรับคนที่จะใช้กับสเปคคอมราคาประหยัดเวลานี้ อาจจะเลือกซีพียู Intel Gen 12 และใช้คู่กับเมนบอร์ดในกลุ่ม H610 หรือ B660 เป็นต้น แต่ถ้ามองว่าอยากจะขยับไปตัวใหม่เลย เพราะมีโอกาสจะเปลี่ยนไปใช้ Intel Gen 13 ในอนาคต ตัวเลือกอย่าง Intel B760 ก็น่าสนใจไม่น้อย ราคาสูงขึ้นมาไม่มากนัก


แรม

ตัวเลือกสำหรับการใช้งานเวลานี้ ถ้าดูจากแพลตฟอร์มที่มีในปัจจุบัน ก็จะมีทั้ง DDR4 และ DDR5 ซึ่งค่อนข้างจะแยกกันอย่างชัดเจน เพราะเมนบอร์ดจะเป็นตัวกำหนดให้คุณ ว่าจะใช้แรมแบบใด แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แรม DDR4 แม้จะประสิทธิภาพด้อยกว่า DDR5 อย่างชัดเจน แต่ในเรื่องของราคาก็น่าสนใจกว่า เนื่องจากถูกลงมาร่วมพันบาท หรือหลายพัน ขึ้นอยู่ว่าเป็นความจุและความเร็วบัสของแรม ทำให้อยู่ในงบคอมประกอบ 10000 มากยิ่งขึ้น

DDR4 3200 DDR4 3600 DDR5 5200 DDR5 6000
8GB 1,100
16GB 1,600 2,500 3,400
32GB 3,800 4,000 5,800 8,600
อ้างอิง: 17/2/66

จากตารางด้านบน เป็นราคาประมาณของแรม ในระดับเริ่มต้น ที่ไม่ได้เป็นแรม RGB หรือมี CL ต่ำเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าความจุของแรม DDR4 3200 32GB นั้นถูกกว่า DDR5 5200 32GB อย่างน้อยๆ 2,000 บาท และจะต่างมากขึ้นไปอีก เมื่อเทียบกับ DDR5 6000

คอมประกอบ 10000

ดังนั้นนอกจากการเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เป็น DDR5 นี้ จะต้องมีค่าใช้จ่ายของเมนบอร์ดที่ราคาสูงขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนต่างของราคาแรม DDR5 เพิ่มมาอีกด้วย แต่ในจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ว่าจะมองถึงประสิทธิภาพกับการใช้งานในวันข้างหน้า หรือว่าจะใช้แค่ชุด DDR4 ในวันข้างหน้าหากจำเป็นจะต้องเปลี่ยน ก็อาจจะซื้อใหม่ยกชุดกันไป

ส่วนถ้างบประมาณจำกัด ก็อยากจะแนะนำแรม DDR4 16GB ขึ้นไป ยิ่งในงบประกอบคอม 10000 บาทด้วยแล้ว แรม 8-16GB ก็ดูจะเหมาะสม และช่วยให้ระบบทำงานได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น


Storage

ในคอมประกอบ 10000 มีระบบจัดเก็บข้อมูล ในปัจจุบันคุณสามารถเลือกได้หลากหลาย มีตั้งแต่ HDD ในแบบ SATAIII หรือจะเป็น SSD ในแบบ SATAIII และ SSD ในแบบ M.2 PCIe ขึ้นอยู่กับงบประมาณและรูปแบบการใช้งานของแต่ละท่าน หรือจะใช้ร่วมกันก็ได้ เช่น SSD เป็นตัวบูตระบบ เพราะมีความเร็วสูง และ HDD เป็นตัวช่วยในการจัดเก็บข้อมูล เพราะมีความจุที่มาก ในราคาค่อนข้างประหยัดเป็นต้น

คอมประกอบ 10000

HDD มีสองแบบด้วยกันคือ แบบที่เป็น 3.5″ ที่มีขนาดใหญ่ และ 2.5″ ที่อออกแบบมาเพื่อใช้ในโน๊ตบุ๊ค ให้ความเร็วที่ดีในระดับหนึ่งประมาณ 200-350MB/s แต่โดดเด่นในเรื่องของความจุที่คุ้มค่า รวมถึงความทนทานที่วางใจได้ เมื่อเกิดความเสียหาย ยังมีโอกาสที่กู้ข้อมูลคือได้มากกว่า ราคาในตลาด 1TB ประมาณ 1,000 บาทเท่านั้น

คอมประกอบ 10000

SSD SATA เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะราคาค่อนข้างประหยัด แต่ให้ความเร็วในระดับ 500MB/s ในงบประมาณประกอบคอมประหยัดนั้น 240-480GB เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะราคาเริ่มต้นเพียง 690 บาท ส่วนในรุ่น 512GB ราคาประมาณ 1,200 บาทเท่านั้น

คอมประกอบ 10000

SSD PCIe แต่สำหรับคนที่มองถึงความเร็วเป็นหลัก งบประมาณพอจะจัดสรรมาได้ ตัวเลือกอย่าง SSD M.2 NVMe PCIe ปัจจุบันมีให้เลือก PCIe Gen3 x4 และ Gen4 x4 โดยที่ Gen5 x4 กำลังจะลงตลาดมาในไม่ช้า แต่ราคาในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูงขึ้นมา ตามประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างเช่น M.2 PCIe Gen3 x4 256GB (R 2,000MB/s, W 1,500MB/s) ราคาประมาณ 850 บาท อีกรุ่นหนึ่งคือ M.2 PCIe Gen4 x4 500GB (R 3,000MB/s, 2,000MB/s) ราคาประมาณ 1,200 บาท


การ์ดจอ

สำหรับการ์ดจอในคอมประกอบ 10000 บาทนี้ ยังคงใช้กราฟิกบนซีพียูที่เป็น iGPU หรือ Integrate Graphic ที่มาพร้อมซีพียูเป็นหลัก ซึ่งคุณจะสามารถใช้งานในเบื้องต้นได้ จนกว่าจะมีงบประมาณสำหรับซื้อการ์ดจอแยกมาใช้ในภายหลัง แต่เวลาที่เลือกซีพียูที่มีการ์ดจอในตัวนั้น ต้องหลีกเลี่ยงซีพียูที่มี “F” หรือ “KF” ต่อท้ายรหัส สำหรับซีพียูจาก Intel ส่วนค่าย AMD นั้นต้องเลือกที่ต่อท้ายด้วย “G” ถึงจะมีกราฟิกมาให้ แต่เวลานี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะซีพียูอย่าง AMD Ryzen บนซ็อกเก็ต AM5 รุ่นใหม่ 2023 ที่ต่อท้ายด้วย “X” จะมาพร้อมกราฟิกในตัวด้วยเช่นกัน

คอมประกอบ 10000

Intel UHD Graphic: เป็นกราฟิกที่อยู่บนซีพียู Intel ที่รองรับการใช้งานพื้นฐานในปัจจุบันได้ค่อนข้างดี ซึ่งจะมีอยู่ในซีพียู Intel Core family และ Pentium เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ดูหนัง ถอดรหัสไฟล์วีดีโอ เล่นเกมออนไลน์ง่ายๆ และการแสดงผลกราฟิกที่ไม่หนักจนเกินไป รวมถึงแชร์หน่วยความจำร่วมกับแรมระบบอัตโนมัติ

Intel Pentium G6400 Graphoc

AMD Radeon Graphic: เป็นกราฟิกที่ Integrate หรือติดตั้งมาบนซีพียูในกลุ่มของ AMD Ryzen AM4 หลายรุ่น โดยมีอยู่ใน G series เป็นหลัก เช่น Ryzen 3 3200G, Ryzen 5 3400G หรือ Ryzen 3 Pro 4350G เป็นต้น เป็นกราฟิกที่เหมาะกับงานทั่วไป เล่นเกมง่ายๆ ไม่ใช้ทรัพยากรมาก หรือการดูหนัง รองรับการแสดงผลระดับ 4K เหมาะกับคอมประกอบราคาประหยัด

คอมประกอบ 10000

หากประกอบคอม 10000 บาทนี้ ค่อนข้างจะยากกับการหาการ์ดจอแยกมาใส่ แต่เมนบอร์ดพื้นฐานที่มีอยู่ทั่วไป ก็สามารถรองรับการติดตั้งการ์ดจอหรืออัพเกรดเพิ่มได้ แทบจะไม่ต้องกังวลมากนัก หากคุณจะประกอบใช้งานกราฟิกบนซีพียูไปก่อน เมื่อพร้อมก็หาการ์ดจอมาเพิ่มได้ในภายหลัง


เพาเวอร์ซัพพลายและเคส

คอมประกอบ 10000 เลือกในกา่รเพาเวอร์ซัพพลายและเคส เป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับรองลงมาได้ ตามความเหมาะสมกับงบประมาณที่คุณมี โดยเพาเวอร์เริ่มต้นแนะนำที่ 550W-600W ที่เป็นแบบพื้นฐานมาใช้งานก่อนได้ ราคาเริ่มต้นประมาณ 600-900 บาทเท่านั้น แต่ถ้างบประมาณมีสูงขึ้นมาอีกเล็กน้อย อาจจะเลือกที่เป็น 80+ standrard ระดับ 500-550W ราคาประมาณ 1,000-1,500 บาท

คอมประกอบ 10000

แต่ถ้ามองว่าในอนาคตอาจจะมีการอัพเกรด เพิ่มการ์ดจอใหม่ ในระดับกลางๆ หรือต้องการเปลี่ยนซีพียูในภายหลัง แนะนำว่าให้เริ่มต้นที่ 600W 80+ standard ขึ้นไป เพราะราคาเริ่มต้นที่ 1,500 บาทเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่าถ้าไม่ได้เลือกเพาเวอร์ที่สนับสนุนได้ดีพอแต่แรก คุณอาจจะต้องเหนื่อยกับการรื้อสายเพาเวอร์ภายในเคสออกมา เพื่อติดตั้งเพาเวอร์ตัวใหม่เข้าไป และต้องเก็บสายให้เรียบร้อย เสียเวลากับค่าใช้จ่ายไปรอบเดียว คุ้มค่ากว่าครับ

คอมประกอบ 10000

เคสเลือกแบบที่ต้องการได้เลย เพราะมีให้เลือกทั้งเคสเล็ก ใหญ่ ด้านในกว้าง รองรับ mATX หรือ ATX มีทั้งฝาข้างกระจก และแบบทึบ รวมถึงแสงไฟอะไรต่างๆ มากมาย แต่สิ่งที่อยากให้คำนึงเอาไว้มากๆ ก็คือ การเลือกเคสที่ติดตั้งง่าย มีองค์ประกอบครบ พาแนลมีพอร์ตมาให้ต่อสะดวก ติดตั้งพัดลมเอาไว้ให้แล้ว มีการระบายความร้อนที่ดี กระจกเทมเปอร์ต้องติดตั้งง่าย ไม่ต้องกลัวแตกเสียหาย และด้านในกว้างมากพอสำหรับกราฟิกการ์ดที่คุณจะใช้ในอนาคต พื้นที่ด้านหลังเคส กว้างพอในการลอดสายไฟได้สะดวก ราคาอยู่ในเกณฑ์ที่คุณรับได้


ตัวอย่างสเปคคอมประกอบ 10000 บาท

คอมประกอบ 10000

สเปค 1 – คอมประกอบ 10000 ทำงานเบาๆ เทรดหุ้น ดูหนัง

  • ซีพียู: Intel Pentium Gold G6400, 2 core/ 4 thread, 4.0GHz
  • เมนบอร์ด: Gigabyte H510M-H
  • แรม: TEAMGROUP T-Force DDR4 3200 16GB
  • SSD: WD SN570 250GB
  • การ์ดจอ: Intel UHD Graphics 610
  • เพาเวอร์ซัพพลาย: Antec B550
  • เคส: Tsunami Galaxy G15

ไปยังสเปคนี้: สเปคที่ 1


คอมประกอบ 10000

สเปค 2 – คอมประกอบ 10000 เรียนออนไลน์ เล่นเกมเบาๆ

  • ซีพียู: AMD Ryzen 3 3200G, 4 core/ 4 thread, Boost 4.0GHz, L3-cache 4MB. TDP 65W, Radeon Vega 8 Graphics, AM4
  • เมนบอร์ด: MSI A520M-A Pro
  • แรม: TEAMGROUP T-Force DDR4 3200 16GB
  • SSD: WD Green 240GB
  • การ์ดจอ: Radeon Vega 8 Graphics
  • เพาเวอร์ซัพพลาย: Aerocool Superb 600W
  • เคส: Montech X2 Mesh, Tempered Glass, w/ RGB Fan

ไปยังสเปคนี้: สเปคที่ 2


คอมประกอบ 10000

สเปค 3 – คอมประกอบ 10000 เล่นเกมออนไลน์ แต่งภาพ

  • ซีพียู: Intel Core i3-12100, 4 core/ 8 thread, Boost 4.3GHz, L3-cache 12MB. TDP 60W, Intel UHD Graphics 730, LGA1700
  • เมนบอร์ด: ASRock H610M-HDV
  • แรม: PNY DDR4 3200 16GB
  • SSD: HIKVISION E3000 256GB
  • การ์ดจอ: Intel UHD Graphics 730
  • เพาเวอร์ซัพพลาย: Aerocool Superb 600W
  • เคส: Tsunami Galaxy G15

ไปยังสเปคนี้: สเปคที่ 3


คอมประกอบ 10000

สเปค 4 – คอมประกอบ 10000 ทำงานมัลติทาส์ก แต่งภาพ ไฟล์งานขนาดใหญ่

  • ซีพียู: AMD Ryzen 5 4600G, 6 core/ 12 thread, Boost 4.2GHz, L3-cache 8MB. TDP 65W, Radeon Graphics, AM4
  • เมนบอร์ด: Gigabyte A520M-S2H
  • แรม: PNY DDR4 3200 16GB
  • SSD: Crucial P3 500GB
  • การ์ดจอ: Radeon Graphics
  • เพาเวอร์ซัพพลาย: Aerocool Superb 700W
  • เคส: Aerocool Glider Cosmos

ไปยังสเปคนี้: สเปคที่ 4


Conclusion

คอมประกอบ 10000
สเปคที่ 1 สเปคที่ 2 สเปคที่ 3 สเปคที่ 4
ซีพียู Intel Pentium Gold G6400 AMD Ryzen 3 3200G Intel Core i3-12100 AMD Ryzen 5 4600G
เมนบอร์ด Gigabyte H510M-H MSI A520M-A Pro ASRock H610M-HDV Gigabyte A520M-S2H
แรม TEAMGROUP T-Force DDR4 3200 16GB TEAMGROUP T-Force DDR4 3200 16GB PNY DDR4 3200 16GB PNY DDR4 3200 16GB
Storage WD SN570 250GB WD Green 240GB HIKVISION E3000 256GB Crucial P3 500GB
การ์ดจอ Intel UHD Graphics 610 Radeon Vega 8 Graphics Intel UHD Graphics 730 Radeon Graphics
เพาเวอร์ Antec B550 Aerocool Superb 600W Aerocool Superb 600W Aerocool Superb 700W
เคส Tsunami Galaxy G15 Montech X2 Mesh Tsunami Galaxy G15 Aerocool Glider Cosmos
ราคา 10,650.- 10,580.- 12,990.- 13,540.-

คอมประกอบ 10000 อาจจะต้องเลือกว่าคุณจะคุมสิ่งใดให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ เพื่อให้อยู่ในงบประมาณมากที่สุด เช่น เน้นทำงานเป็นหลัก ซีพียูที่มีแกนหลักจำนวนมาก และมีสัญญาณนาฬิกาที่สูง ก็จะตอบโจทย์ได้ดี แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Intel Core หรือ AMD Ryzen ก็ตาม เมื่อเทียบกับ Intel Pentium หรือ AMD Athlon รวมถึงการใส่แรม DDR 16GB ก็มีส่วนช่วยให้ระบบโดยรวมลื่นขึ้นได้ แต่ถ้าใช้งานทั่วไป ลดซีพียูลง และใช้แรม 16GB แต่ไปเพิ่ม Storage เช่น SSD ให้มากขึ้น หรือใช้ SSD 120-240GB แล้วเอางบประมาณบางส่วนไปลงกับ HDD 1-2TB ก็น่าสนใจ ในกรณีที่คุณเน้นเก็บงานเป็นหลัก ไม่ได้เรียกใช้งานอยู่ประจำ ทำให้ได้พื้นที่มากขึ้น อย่างไรก็ดีการจัดสเปคในงบประมาณนี้ อาจจะค่อนข้างจำกัด ในเรื่องของสล็อตแรม ที่คุณอาจจะต้องเปลี่ยนแรม หากต้องการอัพเกรด แต่ถ้าคิดว่า 16GB ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว ก็ไม่ต้องวิตกแต่อย่างใด สุดท้ายคือ หากจะอัพเกรดการ์ดจอ สเปคเหล่านี้ ก็ยังพอไปต่อได้ ในการ์ดจอระดับกลางๆ ลองตัดสินใจกันครับว่าไลฟ์สไตล์ของคุณเป็นอย่างไร และถ้าคุณยังไม่แน่ใจในเรื่องสเปคเหล่านี้ สามารถคลิ๊กเข้าไปในระบบจัดสเปค NBS เพื่อหาสเปคที่เป็นแนวทางของคุณกันได้เลย

from:https://notebookspec.com/web/685828-online-pc-spec-10000-2023

เพิ่มความเร็ว โน๊ตบุ๊คเก่า 2023 เล่นเกมลื่น ใน 15 ขั้นตอน ฟรี! ยังไม่ต้องซื้อใหม่

เพิ่มความเร็วเล่นเกมลื่นใน 15 ขั้นตอน ให้โน๊ตบุ๊คเก่า ยังไม่ต้องซื้อใหม่ พร้อมใช้ในปี 2023

15 boost speed notebook 2023 1

เพิ่มความเร็ว เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คเครื่องเก่าของคุณได้ เล่นเกมช้า เปิดโปรแกรมไม่ทันใจ อยากได้เครื่องใหม่ แต่งบก็มีจำกัด มีวิธีมาแนะนำ ทำให้เครื่องคุณเร็วขึ้นบน Windows 11 เวอร์ชั่นปี 2023 แบบฟรีๆ แค่ทำตามไม่กี่ขั้นตอน แล้วคุณจะแฮปปี้กับการเล่นเกมได้มากดีกว่าเดิม และยังให้ผลดีในระยะยาว สามารถทำซ้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดต ลด Process คืนพลังให้ซีพียู ลดการใช้แรม รวมถึงการตั้งค่ากราฟิก ทั้งบนกราฟิกบนซีพียู และการ์ดจอแยก เรามาดูกันครับว่า จะมีจะเพิ่มความเร็วอย่างไร มีขั้นตอนใดกันบ้าง และรายละเอียดเป็นอย่างไร ทำตามกันได้เลยครับ

เพิ่มความเร็ว โน๊ตบุ๊คเก่าให้เร็วขึ้น 15 ขั้นตอน

  1. ทำไมโน๊ตบุ๊คเก่าถึงทำงานช้าลง
  2. จัดการความร้อนให้อยู่หมัด
  3. ปิด Process ที่ไม่จำเป็น
  4. ปิดโปรแกรมใน Startup
  5. อย่าลืมอัพเดต
  6. Hardware-accelerated scheduling
  7. เปิดใช้ Game Mode
  8. ใช้ Storage Sense
  9. Optimize ระบบ
  10. ปิด Visual Effect บ้าง
  11. ตั้งค่า Image Quality
  12. Manage 3D settings
  13. ปิด FXAA
  14. Power settings
  15. Radeon Boost
  16. ทางเลือกอื่นๆ
  17. Conclusion

ทำไมโน๊ตบุ๊คเก่าถึงทำงานช้าลง

สิ่งที่ทำให้โน๊ตบุ๊คเก่า ทำงานได้ช้าลง กระตุก หรือมีความผิดปกติ มีด้วยกันหลายสาเหตุ เช่น ความร้อน ข้อมูลในไดรฟ์เยอะจนเต็ม ไม่ได้เคลียร์ไฟล์ขยะ ติดไวรัส มัลแวร์ ไปจนถึงความเสื่อมของชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในโน๊ตบุ๊ค ทุกสิ่งนี้มีโอกาสทำให้โน๊ตบุ๊คเก่าช้าลงได้ เรามาดูกันครับว่าเกิดจากอะไร และแก้ไขเพิ่มความเร็วอย่างไรได้บ้าง

Advertisementavw
เพิ่มความเร็ว

ความร้อน: มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เมื่อใช้โน๊ตบุ๊คไปนานๆ แล้วไม่ได้ทำความสะอาด จะเกิดฝุ่น สิ่งสกปรกเข้าไปเกาะอยู่บริเวณพัดลม ฮีตซิงก์ หรือบางครั้งก็อุดตันบริเวณช่องลมออก ทำให้ระบายลมร้อนได้ไม่ดี ความร้อนสะสม การแก้ไขลดความร้อน ก็ใช้วิธีแกะออกมาเป่า ปัดฝุ่น หรืออาจจะใช้ Clear Contact ร่วมด้วย สามารถทำเองได้ หรือจะส่งช่างซ่อมก็ได้เช่นกัน

เพิ่มความเร็ว

ไดรฟ์เต็ม ข้อมูลเยอะ: เป็นเรื่องปกติ เมื่อเก็บข้อมูลจนเยอะ บางครั้งเต็มฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ก็ทำให้ระบบปฏิบัติการช้าลง การจัดเก็บข้อมูลไม่ปกติ ไปจนถึงระบบไม่มีพื้นที่ Swap file สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้คอมช้าทั้งสิ้น แก้ไขได้โดยย้ายไฟล์เอาไปสำรองไว้ในไดรฟ์อื่น ไม่ว่าจะนำไปไว้บน Cloud storage ที่มีให้บริการอยู่มากมาย หรือจะซื้อไดรฟ์ต่อภายนอก จะเป็น HDD หรือ SSD ก็ได้

ไม่ได้จัดการไฟล์ขยะ Temporary file: ไฟล์ขยะเหล่านี้ส่งผลทำให้ระบบช้าลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะโน๊ตบุ๊คเก่าที่ใช้ฮาร์ดดิสก์ ไม่เคย Scan หรือ Drfeagment หรือการ Clear temp ไฟล์เหล่านี้จะมีทั้งไฟล์ที่เรา Delete ทิ้ง และไฟล์ที่ค้างมาจากการติดตั้ง รวมถึงระบบเองก็ตาม วิธีการที่ง่ายที่สุดคือ การใช้ Disk Cleanup ที่เป็นฟังก์ชั่นของ Windows ลบไฟล์ต่างๆ ให้เหลือพื้นที่ว่างมากขึ้น

ติดไวรัส มัลแวร์: จัดว่าเป็นอันตรายค่อนข้างมาก นอกเหนือจากการทำให้โน๊ตบุ๊คเก่าช้า เพราะคุณอาจถูกล้วงข้อมูล แฮกก์ไฟล์สำคัญ หรือเข้าถึงเมล์และการทำธุรกรรมการเงินของคุณได้เลย การแก้ไข ให้ใช้วิธีการสแกนเริ่มต้นจากการสแกนผ่านทาง Windows Security หรือติดตั้งโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ แล้วสแกนแบบละเอียด

เพิ่มความเร็ว

ความเสื่อมสภาพ: เป็นเรื่องที่อาจไม่ได้เจอกันบ่อย แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานและสภาพแวดล้อมของแต่ละบุคคล ความร้อนส่งผลอย่างมาก ต่ออายุการใช้งานของโน๊ตบุ๊คและแบตเตอรี่ หากโน๊ตบุ๊คเริ่มทำงานช้า ให้เช็คฮาร์ดแวร์แต่ละชิ้นร่วมด้วย เช่นแรม ฮาร์ดดิสก์หรือเมนบอร์ด และแบตเตอรี่ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้น และจะมีความเสียหายตามมาในภายหลัง


วิธีแก้ไขปัญหาและเพิ่มความเร็วโน๊ตบุ๊คเก่า

ในการเพิ่มความเร็ว และแก้ไขปัญหาโน๊ตบุ๊คเก่าทำงานช้า ให้สามารถเล่นเกมหรือทำงานได้ดีขึ้น อาจจะต้องใช้ขั้นตอนต่างๆ ร่วมกัน โดยมีวิธีการต่างๆ ดังนี้

1.จัดการความร้อนให้อยู่หมัด

เพิ่มความเร็ว

เรื่องนี้สำคัญนะครับ หากจะเพิ่มความเร็วโน๊ตบุ๊ค เพราะเมื่อความร้อนสูง ระบบจะดรอปการทำงานของซีพียูและ GPU ลง ทำให้ขณะที่คุณเล่นเกิดการกระตุก หรือถ้าร้อนจัด อาจค้างแฮงก์ได้เช่นกัน จึงควรจัดการความร้อนให้ดีที่สุด จะอยู่ในห้องแอร์หรือเพิ่ม Cooling Pad ก็ตามสะดวก แต่ถ้าให้ดี การทำความสะอาดโน๊ตบุ๊คปีละ 2-3 ครั้งด้วยการปัดฝุ่น หรือเปลี่ยนซิลิโคนใหม่ ก็เหมาะสม

ข้อดี ค่าใช้จ่าย
Cooling Pad ประหยัด ง่าย สะดวก ไม่แพงเริ่มหลักร้อย
ทำความสะอาด พัดลมทำงานดีขึ้น ลดความร้อน น้อย อาจซื้อแค่ของบางชิ้น แต่ต้องใช้ทักษะ
ทาซิลิโคนใหม่ ช่วยระบายความร้อน CPU และ GPU ดีมาก หากแกะไม่เป็นต้องจ่ายค่าช่าง หรือค่าซื้อซิลิโคนใหม่ หากทำเป็น

2.ปิด Process ที่ไม่จำเป็น

เพิ่มความเร็ว

เป็นวิธีที่ช่วยลดภาระในการทำงานของซีพียูและแรม จากการที่มีแอพพลิเคชั่นหรือโปรแกรมทำงานค้างอยู่ หรือทำงานอยู่เบื้องหลัง เมื่อปิดไปแล้ว ก็จะคืนแรมหรือซีพียูให้กลับมาทำงานได้ตามเดิม วิธีการทำ ให้เข้าไปที่ Task Manager > เช็คว่ามีสิ่งหรือโปรแกรมใดที่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้งานในขณะนั้น ให้เลือกด้วยคลิ๊กขวา > แล้วเลือก End Task ก็จะสามารถเพิ่มความเร็วได้ระดับหนึ่ง


3.ปิดโปรแกรมใน Startup

เพิ่มความเร็ว

หลายครั้งที่เราจะเห็นโปรแกรมที่เราไม่ได้ใช้ ทำงานอยู่ แม้ว่าเราจะปิดการทำงานของโปรแกรมไปแล้วก็ตาม และส่วนหนึ่งจะเปิดทำงานตั้งแต่ที่เราเปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นมา ซึ่งสามารถเช็คได้จากหน้า Process วิธีการเข้าไปปิดการทำงานโปรแกรมเหล่านี้ ให้เข้าไปที่ Task Manager ด้วยการกดคีย์ลัด Ctrl+Shift+Esc > เลือกที่ Startup apps > เลือกดูในแถบ Name ว่ามีโปรแกรมใด ไม่จำเป็นต้องทำงาน ณ เวลานั้น หรือเปิดพร้อม Windows ให้คลิ๊กขวา แล้วเลือก Disable

ข้อควรระวัง การปิด Process ให้เช็คดูว่า สิ่งที่จะปิดนั้น เป็นระบบที่กำลังทำงานอยู่หรือไม่? เป็นไปได้เลือกปิดเฉพาะแอพพลิเคชั่นที่คุณไม่ได้ใช้งานในช่วงเวลานั้นจะดีที่สุด


4.อย่าลืมอัพเดต

Update Windows & Driver เป็นเรื่องที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยมาโดยตลอด โดยเฉพาะเกมเมอร์ ที่ต้องการเพิ่มความเร็ว ไดรเวอร์สำคัญมากครับ ควรอัพเดตไดรเวอร์ให้มีความสดใหม่อยู่เสมอ รวมถึงการ Update Windows ที่นอกจากจะทำให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น ก็ยังเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบอีกด้วย

เพิ่มความเร็ว

วิธีการอัพเดต Windows นั้น ให้เริ่มต้นดังนี้ คลิ๊กขวาปุ่ม Win > เลือกที่ Windows Update ด้านซ้าย แล้วเลือก Check Update > Install > เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยให้ Restart ระบบใหม่อีกครั้ง

เพิ่มความเร็ว

วิธีการ Update Driver มีด้วยกัน 2 แบบ

  1. ดาวน์โหลดไดรเวอร์จากเว็บไซต์ผู้ผลิตโน๊ตบุ๊คแต่ละค่าย เช่น ASUS.com/support เป็นต้น
  2. เลือกดาวน์โหลดเฉพาะไฟล์ เช่น การ์ดจอ nVIDIA Driver หรือ AMD เมื่อได้ไฟล์ก็นำมาติดตั้งได้เลย

5.Hardware-accelerated scheduling

เพิ่มความเร็ว

การเปิดการทำงานของ Hardware-accelerated scheduling ที่อยู่บนระบบปฏิบัติการ Windows จะส่งผลทำให้การ์ดจอสามารถจัดการ VRAM ได้ด้วยตัวเองได้ โดยไม่ผ่านกระบวนการของระบบ ซึ่งเป็นผลดีต่อประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้เฟรมเรตเพิ่มสูงขึ้นมาอีกนิดหน่อย และยังลดความหน่วงของภาพที่จะเกิดขึ้นได้อีกด้วย สามารถใช้ร่วมกับ API ต่างๆ ได้มากมาย โดยวิธีเปิดใช้ ให้คลิ๊กขวาบนหน้าเดสก์ทอป > เลือก Display > ไปที่ Graphic > เลือกที่ Change Default Graphic settings > On-Hardware-accelerated scheduling จากนั้น Restart ระบบใหม่อีกครั้ง


6.เปิดใช้ Game Mode

เพิ่มความเร็ว

เป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการเล่นเกมได้ดีขึ้น กรณีที่ใช้เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นเก่าๆ ให้เข้าไปที่หน้า System เลือกหัวข้อ Gaming ที่อยู่ทางด้านซ้าย > เลือกที่ Game Mode > ในหัวข้อ Game Mode ให้เปิดเป็น On


7.ใช้ Storage Sense

เพิ่มความเร็ว

ล้างไฟล์ขยะออกบ้าง หากต้องการให้โน๊ตบุ๊คเก่ากลับมาเร็วขึ้น เนื่องจากบางครั้งเราใช้งานเครื่องมานาน จนมีไฟล์จาก Cookie, Temp file, และไฟล์อื่นๆ ที่มาจากระบบ ทำให้เสียทรัพยากรบางส่วนไป ซึ่งมีผลกระทบในการทำงานและเล่นเกมอยู่ด้วย สามารถใช้วิธีเคลียร์ไฟล์ อัตโนมัติให้เลย  คลิ๊กขวาที่ปุ่ม Windows > เลือก System > กดที่ System ด้านซ้ายมือ > เลือก Storage > Storage Management > เปิด Storage Sense ให้ On


8.Optimize ระบบ

เพิ่มความเร็ว

เป็นวิธีการเหมือนให้ Windows จัดการสิ่งต่างๆ ภายในระบบเบื้องต้นให้ เหมือนกับการ รีเฟรชระบบใหม่อีกครั้ง เข้าไปที่ File Explorer > เลือกไดรฟ์ C ที่ใช้ติดตั้งระบบ > คลิ๊กขวาบนไดรฟ์ C > เลือก Properties > Tools > ไปที่ Optimize Drives > กรณีที่ใช้ SSD ให้เข้ามาตั้งค่าตรง Change settings > เอาเครื่องหมายหน้า Run on a schedule ออกก่อนครับ แต่ถ้าใช้ HDD ให้ On เอาไว้ > จากนั้นกดปุ่ม Optimize รอจนกระบวนการเสร็จสิ้น

หากคุณใช้ SSD ในระบบ ไม่ควรเปิดการทำงาน Defragment เอาไว้ เพราะจะทำให้ SSD ถูกใช้งานโดยไม่จำเป็น ให้เลือกเปิดเฉพาะไดรฟ์ที่เป็น HDD เท่านั้น


9.ปิด Visual Effect บ้าง

เพิ่มความเร็ว

การเพิ่มความเร็วให้ทำตามขั้นตอนดังนี้ คลิ๊กขวาบนหน้าเดสก์ทอป > เลือก Personalize > เลือก Accessibility ทางด้านซ้าย > เลือก Visual ที่อยู่ด้านขวา > Transparency effects-Off และ Animation effectss-Off เช่นเดียวกัน ผลที่ได้ระบบจะลดภาระในการสร้างกราฟิกและเอฟเฟกต์ต่างๆ ลง การเปิดหน้าต่าง เลื่อน ย้าย จะไม่สมูทลื่นไหล รวมถึงเอฟเฟกต์โปร่งแสงจะหายไป แต่ได้ Process ที่ดีกลับมา ทำให้เครื่องลื่นขึ้น ช่วยเพิ่มความเร็ว แต่ความสวยงามลดลง เอาไว้กรณีที่อยากเล่นเกมให้ดีขึ้น แล้วกลับมา On ใหม่อีกครั้งก็ได้

การลด Visual Effect ทำให้ระบบลื่นขึ้น แต่เอฟเฟกต์และความสวยงามของระบบลดลง ซึ่งสามารถเปิดการทำงานในภายหลังได้


10.ตั้งค่า Image Quality ในไดรเวอร์ nVIDIA

เพิ่มความเร็ว

ใครที่ใช้การ์ดจอ nVIDIA ให้เข้ามาตั้งค่าการแสดงผล ที่ช่วยให้การเล่นเกมดีขึ้นอีกนิด เริ่มต้นให้คลิ๊กขวาที่หน้าเดสก์ทอป > เลือก nVIDIA Control Panel > ในหน้า Adjust Image Settings with Preview > ลงมาด้านล่างใต้โลโก้ที่หมุนๆ ให้ใส่เครื่องหมายหน้า Use my preference emphasizing: … (ตรงนี้ให้เลือก Performance) จากนั้น Save แล้ว Restart


11.Manage 3D settings

เพิ่มความเร็ว

จากหน้าของไดรเวอร์ nVIDIA ให้เข้ามาที่หัวข้อ Manage 3D settings ที่อยู่ซ้ายมือ > หัวข้อ Prefered graphic performance > เลือกเป็น High-Performance nVIDIA processor (ในกรณีที่เสียบสายชาร์จอยู่แล้ว เน้นประสิทธิภาพ) > หัวข้อ Settings >  Power management mode > เลือก Prefer maximum performance


12.ปิด FXAA

เพิ่มความเร็ว

ส่วนใหญ่การตั้งค่าความสวยงามของภาพและ Detail จะเข้าไปตั้งกันใน Game แต่เราสามารถกำหนดค่าเบื้องต้นได้เช่นกัน รวมถึงการปิด FXAA ก็ช่วยให้การเล่นเกมได้ดีขึ้น เพราะลดภาระของ GPU ลง กรณีที่ใช้กราฟิกตัวไม่แรง และไม่ได้เน้นความสวยหรู ภาพเนียนกริ๊บ โหมดนี้ช่วยได้เยอะ จากในหน้าไดรเวอร์เดิม หัวข้อ settings > เลื่อนลงมาที่ Antialiasing – FXAA เลือก Off > Antialiasing – Mode เลือก Off


13.Power settings

เพิ่มความเร็ว

เป็นการตั้งค่าของการใช้โหมดพลังงานโน๊ตบุ๊ค โดยปกติจะมีให้เลือกคือ Best Performance, Balance และ Power saving ซึ่งแต่ละโหมดจะมีผลต่อประสิทธิภาพของระบบ เพราะระบบจะทำงานให้เหมาะกับโหมดที่เลือกนั่นเอง หากจะเล่นเกมหรือทำงานจริงจังแล้ว ก็แนะนำให้ปรับเป็น Best Performance คลิ๊กขวาบนหน้าเดสก์ทอป > เลือก Personalize > Lock screen > Screen timeout > เข้าไปที่้ Power & Battery > หัวข้อ Power เลือก Power mode > เลือกที่ Best Performance

เมื่อเลือกเป็น Best Performance อย่าลืมเสียบปลั๊กโน๊ตบุ๊ค เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเล่นเกม


14.Radeon Boost

เพิ่มความเร็ว

ในกรณีที่คุณใช้การ์ดจอ AMD Radeon ก็สามารถใช้ประโยชน์จากไดรเวอร์ AMD Adrenalin ได้เลย กับการปรับค่าง่ายๆ เมื่อเข้ามาที่หน้าโปรแกรมแล้ว > ในหัวข้อ Graphic > ให้เลือกที่ Radeon Boost > ให้เปิดใช้งานเป็น Enable เป็นวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้อีกทางหนึ่ง

15.การอัพเกรด

เพิ่มความเร็ว

นอกจากขั้นตอนเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกหลายวิธีในการเพิ่มความเร็ว ทำให้โน๊ตบุ๊คเก่าของคุณกลับมาทำงานได้ดีกว่าเดิม เพิ่มความเร็วได้มากขึ้น อย่างเช่น การอัพเกรด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มแรม ในกรณีที่โน๊ตบุ๊คเหล่านั้นมีสล็อตให้เพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแรมตัวยเดิมได้ วิธีนี้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างน้อย หรือการเปลี่ยนจาก HDD มาเป็น SSD ตรงนี้จะเห็นผลค่อนข้างเยอะทีเดียว และทำได้ไม่ยาก เพราะอย่างน้อยๆ โน๊ตบุ๊คย้อนหลังไป 5-6 ปี ต้องมีพอร์ต SSD ที่เดิมอาจจะใช้อยู่กับ HDD 2.5″ ในแบบ SATA การเปลี่ยนเป็น SSD SATAIII ก็ทำให้ความเร็วเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟล์ เปิดโปรแกรม หรือการถ่ายโอนข้อมูลก็ตาม และวิธีสุดท้าย ก็คือการโอเวอร์คล็อกการ์ดจอ หากคุณใช้การ์ดจอแยกบนเครื่องอยู่แล้ว ก็สามารถลองใช้งานโปรแกรม MSI Afterburner ดูได้ ซึ่งจะทำให้การเล่นเกมของคุณดีขึ้นบ้าง

เลือก SSD รุ่นไหน ยี่ห้อไหนดี?

SSD 2022 Cov1

Conclusion

ทั้งหมดนี้เป็นวิธีในการเพิ่มความเร็วโน๊ตบุ๊คเก่าในปี 2023 นี้ สามารถนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม แนะนำว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีการ์ดจอแยก จะได้ผลดียิ่งขึ้น แต่อาจจะไม่ได้ส่งผลให้เฟรมเรตเพิ่มมากขึ้นมากมาย แต่ก็ช่วยให้การเล่นเกมมีความไหลลื่นกว่าเดิม รวมถึงการทำงานในหลายด้าน โดยเฉพาะกับไฟล์ขนาดใหญ่ หรือจัดการกับไฟล์ที่มีจำนวนมาก เช่นเดียวกับการเปิดเว็บเบราว์เซอร์ เพื่อการท่องอินเทอร์เน็ตหรืองานออนไลน์ ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย เพราะลด Process ในหลายส่วนลง และมีการนำแรมและซีพียูกลับมาใช้ได้มากขึ้น แต่ในกรณีที่ปรับแต่งหลายส่วนไปแล้ว อาจจะยังดีขึ้นไม่ถึงแบบที่น่าพอใจ ในขั้นตอนที่ 15 หรือว่าการอัพเกรดช่วยแก้ไขสิ่งต่างๆ จะเป็นตัวช่วยที่ดี แม้จะมีค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง แต่ให้ผลที่คุ้มค่า เช่นการเพิ่มแรมหรือเปลี่ยนเป็น SSD เป็นต้น

from:https://notebookspec.com/web/687861-15-step-increase-speed-notebook-2023

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย 10 รุ่น ปี 2023 ท่องเน็ต เทรดหุ้น ลื่นไหล ดีไซน์สวย แบตอึด

เมาส์ไร้สาย 10 รุ่น 2023 หลักร้อย สวย แบตอึด เล่นเน็ต ดูหนัง ทำงานในบ้านหรือที่ทำงานก็เพลิน

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย จัดว่าเป็นไอเทมยอดฮิตของคนทำงาน ที่ชอบความสะดวก ใช้งานง่าย พกพาไปใช้นอกสถานที่ก็แสนสบาย เพราะขนาดเล็ก และส่วนใหญ่ใช้ถ่านก้อนเดียว ก็ใช้กันจนลืมและปี 2023 นี้ เราก็ได้รวบรวมเมาส์ Wireless น่าใช้มาให้คุณได้เลือก 10 รุ่นด้วยกัน จากทั้งหมด 8 ค่าย มีทั้งมิติที่มีความกระทัดรัด แบตอึด ใช้ได้นาน หรือบางรุ่นก็เป็น 2 ระบบ ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth รวมถึงเน้นที่ดีไซน์ที่สวยงาม เพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่นำไปใช้ในโอกาสต่างๆ ได้ดีอีกด้วย ให้ความละเอียดมากพอสำหรับงานในบ้าน เช่น ทำเอกสาร ท่องเน็ตและเทรดหุ้น ไปจนถึงใช้ในสำนักงาน กับซอฟต์แวร์ออฟฟิศ การทำพรีเซนเทชั่น ไปจนถึงการนำเสนองาน มาชมกันครับว่า มีรุ่นใดที่ถูกใจคุณกันบ้าง

เมาส์ไร้สาย

  1. Philips SPK7344
  2. Anitech W226
  3. RAPOO M100
  4. Microsoft MBL 1850
  5. Logitech M190
  6. GENIUS NX-7015
  7. Logitech M221
  8. Xiaomi Mi Wireless
  9. Lenovo 530
  10. Logitech M331B

1.Philips SPK7344

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้ามองในแง่ของความเป็นเมาส์ไร้สายมินิมอล ราคาประหยัด จับกระชับมือ กับบอดี้ที่มาความโค้งไม่มากนัก ทำให้พกพาง่าย เหมาะกับคนที่ชอบจับแบบ Grip หรือ Claw เน้นปลายนิ้วกด ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ให้ระยะการกดได้ประมาณ 3 ล้านครั้ง ปุ่มกดที่ตอบสนองไว วัสดุเป็น ABS ผิวเรียบลื่น จับสบายมือ แถมยังให้ความละเอียดมาถึง 1600DPI เมาส์ไร้สายรุ่นนี้ ตอบโจทย์ได้ดี เหมาะกับคนที่ชอบท่องเน็ต เล่นเกมออนไลน์เบาๆ ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และรับประกัน 2 ปี ราคาประมาณ 219 บาทเท่านั้น

Advertisementavw
จุดเด่น ข้อสังเกต
ราคาประหยัด ดีไซน์ค่อนข้างเรียบง่าย
ให้ความละเอียดถึง 1600 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: Philips


2.Anitech W226

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายในราคาเบา หลักร้อย ที่ออกแบบรูปทรงมาได้ทันสมัยเลยทีเดียว และยังรองรับได้ถึง 2 ระบบ ทั้ง Wireless และ Bluetooth ทำให้ใช้งานได้กับพีซี โน๊ตบุ๊คและสมาร์ทโฟน หรือแท็ปเล็ตกับรูปทรงกระทัดรัด ไซส์ขนาดกลาง รองรับการใช้งานทั้งมือซ้ายและขวา ทนทานต่อการคลิ๊กได้ถึง 5 ล้านครั้ง จุดเด่นอยู่ที่นอกจากปุ่มซ้าย-ขวา ที่ออกแบบมาให้มีเสียงที่เบา และ Scroll wheel ที่มีให้เป็นพื้นฐาน ยังเพิ่มปุ่มตั้งค่า DPI ได้ถึง 3 ระดับ ตั้งแต่ 800, 1200 และ 1600 DPI พร้อมปุ่มมาโครที่อยู่ด้านข้าง ใช้งานร่วมกับถ่าน AA 1 ก้อน ราคา 359 บาท กับการรับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด
ต่อได้ทั้ง WiFi และ Bluetooth

ข้อมูลเพิ่มเติม: Anitech


3.RAPOO M100

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายราคาดี แถมยังต่อได้ 2 ระบบ ทั้ง Bluetooth และ Wireless แบตใช้ได้ยาวถึง 9 เดือน ใครที่มองหาเมาส์กระทัดรัด ดีไซน์ทันสมัย จับกระชับมือรุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว แม้จะมาในไซส์เล็กๆ เหมาะกับมือสาวๆ แต่ก็ปรับความสูง ให้เข้ากับอุ้งมือได้ดี ปุ่มคลิ๊กเสียงค่อนข้างเบา แต่กดได้หนักแน่น ให้การตอบสนองที่ 1300 DPI เป็นเซ็นเซอร์ในแบบออพติคอล โดยเลือกเชื่อมต่อได้ง่าย ระยะเวลาใช้งานได้ถึง 9 เดือนด้วยกัน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อนเท่านั้น พร้อมปุ่มสลับโหมดสัญญาณใต้เมาส์ ราคา 399 บาท รับประกัน 2 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เชื่อมต่อได้ 2 ระบบ มิติค่อนข้างเล็ก
เซ็นเซอร์ 1300 DPI

ข้อมูลเพิ่มเติม: RAPOO


4.Microsoft MBL 1850

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ Wireless ของไลฟ์สไตล์ ทำงาน และความบันเทิง ที่ค่อนข้างโดดเด่นมีให้เลือก 7 โทนสีด้วยกัน เน้นที่การพกพา กับขนาดกระทัดรัด แต่ออกแบบให้มีความโค้งด้านท้าย ลาดลงต่ำมายังด้านหน้า ทำให้การจับกระชับขึ้น ใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา กับพื้นผิวพลาสติกแบบลื่น แต่จับได้ถนัด ปุ่มคลิ๊ก 3 ปุ่ม ให้อารมณ์ในการคลิ๊กได้สนุก Scroll wheel เป็นจังหวะ ไม่ไหลฟรี เพราะมีระดับการกดไม่ลึกมาก เหมาะกับการท่องเน็ตและเช็คข้อมูล ใช้แบตจากถ่าน AA 1 ก้อน ระยะเวลาในการใช้งานได้นานถึง 6 เดือน เก็บตัวรับส่งสัญญาณด้านใต้ได้เลย พร้อมปุ่มเปิด-ปิด ราคา 430 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
ปุ่มกดตอบสนองไว แบตใช้นาน 6 เดือน
รับประกัน 3 ปี

ข้อมูลเพิ่มเติม: Microsoft


5.Logitech M190

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์กึ่งเกมมิ่งสไตล์ ที่มีขนาดค่อนไปทางใหญ่ แต่ยังอยู่ในไซส์ของการพกพา ถือว่าเป็นรุ่นยอดฮิตอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งจับถือได้สบายมือ โดยทาง Logitech เลือกเทรนด์ของการใช้วัสดุรีไซเคิล แต่ก็ทำให้ดูทันสมัย จุดเด่นคือ แบตใช้งานได้ 18-24 เดือน ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน และปุ่มคลิ๊กที่ทนทาน กดตื้น ตอบสนองไว มีปุ่มเปิดปิด และซ่อนตัว USB รับส่งสัญญาณด้านใต้ได้ การรับประกัน 1 ปี ราคา 449 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย จับถนัดมือ
แบตใช้งานได้นาน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


6.GENIUS NX-7015

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สาย ราคาหลักร้อยอีกรุ่นหนึ่ง ที่ดีไซน์ออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว กับความโค้งเว้า ให้จับถนัดมือ จุดโค้งรับอุ้งมือ ค่อนข้างสูง ความยาวเหมาะกับทั้งชายและหญิง และใช้ลวดลายมาเสริม ทำให้ดูน่าใช้ จุดขายไม่ได้อยู่ที่ฟังก์ชั่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเสริมลูกเล่นให้ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้อีกด้วย ปรับเซ็นเซอร์ได้ถึง 1600 DPI มีเมาส์ฟีตด้านล่างขนาดใหญ่ ปุ่มคลิ๊กซ้ายขวามีขนาดใหญ่ กดได้แม่นยำ แต่จะมีระยะการกดที่ลึกลงหน่อย รวมถึง Scroll wheel ที่ดูใหญ่พอสมควร แต่ก็ใช้งานได้ดี ใช้ถ่านแบบ AA 1 ก้อน พร้อมปุ่มเปิดปิด เพื่อประหยัดแบต รับประกัน 3 ปี ราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เมาส์ขนาดกลาง จับกระชับมือ Scroll wheel ค่อนข้างใหญ่
ปรับ DPI ผ่านซอฟต์แวร์ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม: GENIUS


7.Logitech M221

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เป็นเมาส์ไร้สายที่มีให้เลือกแบบวาไรตี้มาก กับดีไซน์ที่กระชับ กระทัดรัด พกพาสะดวก วัสดุถือว่าดีในราคาไม่ถึง 500 บาท Logitech ชูในเรื่องของการลดเสียงรบกวนในเวลาทำงานได้มากขึ้น กับความโค้งรับอุ้งมือได้ดี แต่อาจจะเหมาะกับมือสาวๆ ที่เล็ก เนื่องจากความยาวไม่มากนัก ปุ่มหลัก 3 ปุ่ม พื้นฐาน กับการตอบสนองที่ 1000DPI กับเซ็นเซอร์แบบออพติคอล ใช้พลังงานจากแบต AA เพียงก้อนเดียว สามารถใช้งานได้นานถึง 18 เดือนด้วยกัน สามารถเก็บตัวรับส่งสัญญาณได้ในตัวเมาส์อีกด้วย พร้อมสวิทช์เปิด-ปิด ตรงนี้ผมคิดว่าสำคัญมากๆ สำหรับเมาส์แบบพกพาเช่นนี้ เคาะราคาอยู่ที่ 499 บาท รับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
มีปุ่มเปิด-ปิด มิติเมาส์ค่อนข้างเล็ก
ใช้ได้นาน 18 เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


8.Xiaomi Mi Wireless

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

เมาส์ไร้สายขนาดกลางที่ออกแบบมาสำหรับคนเอเซียโดยเฉพาะ สามารถจับได้ทั้งแบบ Claw และ Palm Grip ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา โดยมีปุ่มกดที่ให้ความหนักแน่น เสียงค่อนข้างเบา เหมาะกับสายทำงานเป็นหลัก เคลื่อนไหวได้ลื่นไหล กับเมาส์สเกตด้านใต้ขนาดใหญ่ จุดเด่นคือ รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Wireless และ Bluetooth เช่นเดียวกับปุ่มกดด้านข้าง ที่เสริมเข้ามาให้ปรับใช้งานได้มากขึ้น ใช้ถ่านแบบ AAA จำนวน 2 ก้อน ให้การรับประกัน 1 ปี กับราคา 499 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ใช้ได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth ขนาดค่อนข้างใหญ่
ใช้ถ่านแบบ AAA 2 ก้อน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Xiaomi


9.Lenovo 530

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

ถ้าคุณมีงบสัก 500 นิดๆ คิดว่าเมาส์รุ่นนี้ มีดีให้คุณจับต้องได้ กับดีไซน์ที่จับกระชับมือ ในโทนสีที่ดูทันสมัย พื้นผิวเป็นแบบซอฟท์ทัช ที่ดูเป็นกันเองจับถนัด ขนาดกลางๆ ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา ความโค้งตรงอุ้งมือ เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่าย ไม่ได้ใส่ปุ่มมาโครด้านข้างมาด้วย เคลื่อนไหวได้แม่นยำกับเซ็นเซอร์ออพติคอล 1200DPI และปุ่มเมาส์ ที่ให้การคลิ๊กได้ระดับ 8 ล้านครั้ง ใช้ถ่านแบบ AA ก้อนเดียว ใช้ได้นานประมาณ 12 เดือน ราคาอยู่ที่ 590 บาท รับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
เซ็นเซอร์ 1200 DPI
รองรับการคลิ๊กได้ 8 ล้านครั้ง

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lenovo


10.Logitech M331

เมาส์ไร้สาย หลักร้อย

แต่ถ้าใครชอบสไตล์ที่จับกระชับมือ มีเว้าในส่วนของ Grip ให้ถนัดมากขึ้น อาจจะช่วยให้เลื่อนได้ไว และเล่นเกมได้ในบางโอกาส รุ่นนี้ถือว่าน่าสนใจ ขนาดใกล้เคียงกับ M221 แต่จะเป็นแบบใช้มือขวา ด้านข้างออกแบบให้มีพื้นผิวจับถนัด ด้านหลังจากโค้งลาดลงเล็กน้อย และยังคงเป็น Silence Mouse คือลดเสียงคลิ๊กลงถึง 90% และใช้บนพื้นผิวต่างๆ ได้ดี ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ออพติคอล 1000DPI ในส่วน Scroll mouse รองรับการคลิ๊กได้ โดยใช้พลังงานจากถ่าน AA เพียงก้อนเดียว ใช้ได้ยาวถึง 24 เดือน ที่สำคัญตัวเมาส์รองรับ Unifying ได้อีกด้วย ราคา 590 บาท การรับประกัน 1 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
จับกระชับมือ เน้นผู้ใช้มือขวา
แบตใช้ได้นาน 24เดือน

ข้อมูลเพิ่มเติม: Logitech


Conclusion

Model Sensor Wireless Buttons Dimension (mm) Battery Batt life (Month) Price
1.Philips SPK7344 1600DPI 2.4GHz 3 101 x 61 x 33 1x AA 219
2.Anitech W226 1600DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 5 103 x 65 x 37 1x AA 359
3.RAPOO M100 1300DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 3 98 x 61 x 38 1x AA 9 399
4.Microsoft MBL 1850 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58.1 x 32 1x AA 6 430
5.Logitech M190 1000DPI 2.4GHz 3 115.4 x 66 x 40.3 1x AA 18 449
6.GENIUS NX-7015 1600DPI 2.4GHz 3 100 x 58 x 38.5 1x AA 499
7.Logitech M221 1000DPI 2.4GHz 3 99 x 60 x 39 1x AA 18 499
8.Xiaomi Mi Wireless 1200DPI 2.4GHz,/ Bluetooth 4 103 x 65 x 37 2x AAA 499
9.Lenovo 530 Wireless 1200DPI 2.4GHz 3 120 x 197 x 33 1x AA 12 590
10.Logitech M331 1000DPI 2.4GHz 3 105.4 x 67.9 x 38.4 1x AA 24 590

สำหรับเมาส์ไร้สาย หลักร้อยที่นำมาให้ได้ชมกันในวันนี้ เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมาส์อีกมากมายเลยทีเดียว ที่จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานของหลายคนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยากได้ความคล่องตัว เพราะลดความวุ่นวายจากสายที่พันกันยุ่งเหยิง และไม่ทำให้โต๊ะทำงานที่อาจจะมีพื้นที่น้อยนิดดูรกอีกด้วย การเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ เพราะเมาส์แต่ละรุ่น ก็มีความโดดเด่นต่างกันออกไป เช่น เน้นราคา Philips ให้คุณได้ หรือต้องการมิติเล็กกระทัดรัด Genius, Microsoft และ Logitech M221 ให้การพกพาได้ดี แต่ในเรื่องความสะดวกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลาย Xiaomi, Rapoo และ Anitech รองรับได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth และเรื่องแบตอึด เท่าที่ข้อมูลของแต่ละค่ายระบุมา ส่วนใหญ่จะเกิด 6 เดือนต่อการใช้แบต AA 1 ก้อน แต่จะมี Logitech ที่ส่วนใหญ่จะเกิน 12 เดือนขึ้นไป แต่ในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานด้วยครับ ใครที่กำลังมองหาเมาส์เล็กๆ ต่อไร้สาย สไตล์น่ารักเหล่านี้ ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่ใส่ลิงก์เอาไว้ให้กันครับ

from:https://notebookspec.com/web/686108-10-wireless-mouse-under-1k-2023

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค 2023 คอมช้า ไม่ทันใจ ใส่แรมใหม่ เลือกอย่างไร แบบไหนดี คุ้ม!

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค ไม่ต้องซื้อคอมใหม่ 2023 อัพเกรดง่าย เร็ว ทำเองได้ เลือกแบบไหน ดูอย่างไร ไปชม!

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ทำได้ง่ายขึ้น และเป็นวิธีที่ทำให้ระบบมีความเร็วเพิ่มขึ้นได้ ยิ่งในปัจจุบันแรมรุ่นใหม่ๆ อย่าง DDR5 ก็เริ่มมีมาให้ใช้งานกันบ้างแล้ว ความแรงเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพดีขึ้น อย่างไรก็ดีใครที่ใช้โน๊ตบุ๊ครุ่นเก่า หรือเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คที่ใช้เริ่มช้า อาจจะยังไม่ต้องซื้อใหม่ เพราะบางครั้งแค่อัพเกรดแรม ก็ทำงานลื่นขึ้นแล้ว แต่การอัพเกรดก็ต้องตรวจเช็คให้แน่ใจ ว่าโน๊ตบุ๊คที่ใช้รองรับการอัพเกรดแรมหรือไม่ ใช้แรมแบบใด มีสล็อตเพิ่มมาให้หรือไม่ และใส่ความจุสูงสุดได้เท่าไร? สิ่งเหล่านี้ผู้ใช้อาจจะต้องทราบก่อนที่จะไปซื้อแรมมาเพิ่มนั่นเอง จะได้ไม่เสียเวลา เสียเงินไปเปล่าๆ และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่า โน๊ตบุุ๊คที่ใช้อยู่ น่าจะได้เวลาอัพเกรดแรมแล้ว ไปดูกันว่าเราจะต้องสังเกต ตรวจเช็คอย่างไร

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค 2023 ง่าย สะดวก เร็วขึ้น


รู้จักกันแรมโน๊ตบุ๊ค

การเพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค สังเกตได้ชัดเจนกว่าแรมของพีซี เพราะฉะนั้นการซื้อมาใช้หรืออัพเกรด ต้องดูให้แน่ใจ ตามสัดส่วนที่เห็นง่ายๆ แบบนี้ ระหว่างแรม DIMM สำหรับพีซี และ SO-DIMM สำหรับโน๊ตบุ๊ค โดยด้านบนสุดจะเป็นแรม SO-DIMM ส่วนด้านล่าง จะเป็นแรม DDR4 และ DDR5 ของพีซี สังเกตไม่ยากครับ

Advertisementavw
เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

สำหรับในตลาดแรม DDR นอกจากเราจะเห็นคำว่า SO-DIMM ที่เป็นแรมแบบสั้นๆ เล็กกว่าแรมของพีซี ซึ่งจะออกแบบมาเพื่อแพลตฟอร์มของ Mobile หรือโน๊ตบุ๊คโดยเฉพาะ รวมถึงติดตั้งอยู่ใน Mini PC บางรุ่น ก็จะยังมีคำว่า LPDDR เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย โดยจะระบุอยู่บนแรม สเปคแรม และบนโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่น สิ่งนี้หมายถึง แรมประหยัดพลังงาน หรือ Low Power Consumption ใช้พลังงานน้อยกว่าแรม DDR ปกติ ตัวอย่างเช่น แรม DDR4 มีแรงดันไฟ 1.2V แต่ LPDDR4 จะอยู่ที่ 1.1V เท่านั้น และยังมีแรมรุ่นใหม่อย่าง LPDDR4X ที่ลดการใช้พลังงานลงไปอีก เหลือเพียง 0.6V เท่านั้น ดังนั้นแล้วใครที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการใช้พลังงาน หรือต้องการโน๊ตบุ๊คที่มีระดับการจัดการพลังงานมากขึ้น ก็อาจจะต้องมอง รุ่นที่ใช้แรมใหม่ๆ เช่นนี้ เอาไว้ด้วยเช่นกัน

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค
source: techcenturion.com

LPDDR/ LPDDRX: แรมทั้ง 2 รูปแบบนี้ มาจากพื้นฐานเดียวกัน และใช้ร่วมกันได้ แต่จะต่างกันเล็กน้อยนั่นคือ แรงดันไฟที่ LPDDRX จะใช้น้อยกว่า รวมถึงมีสัญญาณนาฬิกาที่สูงกว่านั่นเอง ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นได้บนโน๊ตบุ๊คบางเบา พรีเมียมโน๊ตบุ๊คและไลฟ์สไตล์ เช่น ASUS Zenbook 14 Duo, MSI Prestige 14 หรือ Lenovo ThinkBook, Ypga slim เป็นต้น

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

DDR: สำหรับแรมประเภทนี้จะเน้นที่ Performance เป็นหลัก และเรื่องการใช้พลังงานเป็นเรื่องรอง ทำให้เรามักเห็นแรมประเภทนี้บนเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค นอกจากนี้แรม DDR ในแง่ของการผลิต ยังราคาถูกกว่า LPDDR ที่มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพสูง และสิ่งที่แตกต่างเป็นสำคัญเลยคือ LPDDRX จะไม่สามารถอัพเกรดได้ ซึ่งจะใช้การติดตั้งลงบนบอร์ดโดยตรง หรือที่รู้จักกันว่าแรมออนบอร์ด แต่ถ้าเป็น DDR ส่วนใหญ่จะถอดเปลี่ยน และอัพเกรดได้

การสนับสนุนขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดของโน๊ตบุ๊คในแต่ละรุ่น ว่าถูกออกแบบมาให้ใช้งานในลักษณะใด ตรงนี้ต้องว่ากันแต่ละรุ่นและซีรีส์ เพราะบางครั้งซีรีส์เดียวกัน แต่แยกออกไปหลายรุ่น หลายโมเดล ก็อาจจะใช้แรมที่ไม่เหมือนกัน บางครั้งเป็นแบบออนบอร์ดอย่างเดียว แต่บางทีก็มีออนบอร์ด รวมถึงมีสล็อตในการอัพเกรดได้

เช็คราคาแรมโน๊ตบุ๊ค 2023

Model Capacity Price
PNY DDR4 3200 8GB 975 บาท
Corsair Vengeance DDR4 3200 8GB 1090 บาท
ADATA DDR4 3200 16GB 1,850 บาท
TEAM TForce DDR4 3200 16GB 1,890 บาท
Kingston Value DDR4 3200 16GB 2,110 บาท
HyperX FURY IMPACT DDR4 3200 32GB 3,915 บาท
G.Skill RIPJAWS DDR5 4800 16GB 3,425 บาท
Corsair Vengeance DDR5 4800 32GB 8340 บาท
source: price 4/2/2023

แรมออนบอร์ด

อย่างที่ได้กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้านี้กับแรมออนบอร์ด หรือที่ติดตั้งในแบบบัดกรีติดกับเมนบอร์ด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น LPDDR แรมในรูปแบบนี้ จะมาพร้อมเครื่อง และมักจะไม่ได้ให้สล็อตสำหรับการอัพเกรดมาด้วย จะเป็นการกำหนดรุ่นให้ผู้ใช้ได้เลือก เช่น 8GB หรือ 16GB อย่างเช่นใน ASUS Zenbook หรือ Vivobook ในหลายๆ รุ่น ส่วนหนึ่ง ก็เพื่อให้ผู้ใช้ได้เลือกตามความเหมาะสมกับงาน และราคาที่ต้องการ

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

อย่างไรก็ดียังมีโน๊ตบุ๊คในกลุ่มใกล้เคียงกันที่รองรับการอัพเกรด แม้ว่าจะมีแรมแบบออนบอร์ดติดตั้งมาด้วย เช่น Lenovo IdeaPad หรือ Yoga Slim บางรุ่น รวมถึง ASUS Zephyrus G14 เป็นต้น จะเห็นได้ว่าคาแรคเตอร์ของโน๊ตบุ๊คที่มีออนบอร์ด และสล็อตแรมส่วนใหญ่ อาจไม่ได้จำเพาะเจาะจง แต่สิ่งที่คล้ายกันคือ เป็นโน๊ตบุ๊คขนาดกระทัดรัด บาง และเน้นประสิทธิภาพเป็นหลัก

แต่ถ้าเป็นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คที่มักจะใช้เป็นแรม DDR ไม่ว่าจะเป็น DDR4 หรือ DDR5 ในแบบ SO-DIMM ปกติ ก็จะไม่ค่อยเห็นเป็นแบบออนบอร์ดมากนัก แต่ก็พอมีอยู่บ้าง เช่น ASUS ROG Zephyrus M16 ที่ให้แรมออนบอร์ดมาแล้ว 16GB และมีสล็อตว่าง สำหรับการอัพเกรดเพิ่มนั่นเอง


เมื่อไรต้องเพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค?

การเพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค หรืออัพเกรดแรม ช่วยให้ระบบสามารถทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้น เช่นเดียวกับบนพีซี แต่เราจะสังเกตโน๊ตบุ๊คที่ใช้อย่างไร ว่าจำเป็นจะต้องเพิ่มแรมให้มากขึ้น

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

เครื่องใช้เริ่มทำงานช้าลง อาจจะเปิดแอพพลิเคชั่นเดิม แต่ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้น ทำให้พื้นที่การ Swap file ต้องไปอาศัย Storage อย่างฮาร์ดดิสก์หรือ SSD การเพิ่มแรมมีส่วนช่วยได้

เปิดเว็บเบราว์เซอร์หลายหน้าต่างหรือหลายแท็ปบ่อย กับการทำงานในแบบมัลติทาส์ก คือทำหลายงานพร้อมกัน เช่น ดูหุ้น ทำเอกสาร ดูสตรีมมิ่งและการเปิดหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ก็จำเป็นต้องใช้แรมจำนวนมากเช่นกัน

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

การเปิดไฟล์ขนาดใหญ่ หรือทำงานร่วมกับไฟล์จำนวนมาก ทำได้ช้า ใช้เวลานาน หรือมีอาการสะดุด แรมก็มีส่วนในการทำงานอยู่ด้วย

รวมไปถึงการเล่นเกม ที่บางเกมก็ต้องการแรมจำนวนมาก มาใช้ในการขับเคลื่อนข้อมูลเพื่อการประมวลผล แม้จะมี VRAM บนการ์ดจอก็ตาม แต่ก็มีความสำคัญในคนละส่วน ซึ่งการอัพเกรด มีส่วนช่วยให้การเล่นเกมไหลลื่นขึ้น และมีผลต่อเฟรมเรตที่ดีขึ้นในบางโอกาสอีกด้วย


โน๊ตบุ๊คที่ใช้ อัพเกรดได้มั้ย ดูอย่างไร?

วิธีการสังเกตว่าโน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่นั้น สามารถอัพเกรดแรม หรือเพิ่มแรมได้หรือไม่ มีด้วยกันหลายวิธี ว่ากันตั้งแต่

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

ดูข้อมูลจากเว็บไซต์ผู้ผลิต: ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นวิธีการในเบื้องต้น ที่พอจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเช็คได้ว่า ต้องใช้แรมแบบใด และมีสล็อตสำหรับการอัพเกรดหรือไม่ โดยค้นหารุ่นและซีรีส์จากในเว็บไซต์ได้เลย หรืออย่างน้อยให้ทราบรุ่น และรหัสที่แน่นอน เช่น ExpertBook B5 Flip (B5302F) ในวงเล็บที่ต่อท้ายนี้ ค่อนข้างสำคัญเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อทราบแล้ว การค้นหามักจะไม่ผิดรุ่น ยกเว้นว่าจะไม่ได้มีบอกไว้ใน Specification ของรุ่นนั้นๆ ตัวอย่าง จากภาพด้านบนนี้ ทั้งจาก MSI, ASUS และ HP ครับ

ติดตั้งซอฟต์แแวร์ยูทิลิตี้: ถือว่าพอช่วยได้ในระดับหนึ่ง สำหรับโน๊ตบุ๊คที่เป็นแบบมีสล็อตมาให้ภายใน แต่บางครั้งก็ไม่อาจจะตรวจได้ครบถ้วน ยิ่งมีแรมแบบออนบอร์ด บางครั้งก็ตรวจพบมากกว่า 2 สล็อตอีกด้วย ซึ่งก็ทำให้การตรวจเช็คสับสนอยู่พอสมควร ซอฟต์แวร์แนะนำว่าให้ดูแบบคร่าวๆ สำหร้บเช็คความจุแรม และสเปคของแรมที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องจะแม่นยำกว่า

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

ใช้บริการตรวจเช็คจากเว็บไซต์: ข้อนี้เป็นวิธีที่ง่าย เหมือนกับการเข้าไปหาข้อมูลในเว็บไซต์ผู้ผลิต จะต่างกันอยู่บ้างตรงที่ จะอำนวยความสะดวกในการตรวจเช็คให้ คล้ายกับการที่คุณใช้ระบบการค้นหาไดรเวอร์การ์ดจอ ที่จะมีระบบตรวจเช็คสเปคเครื่องให้ แล้วแจ้งว่า คุณมีสเปคอะไรบ้าง และต้องใช้ไดรเวอร์ตัวไหน

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

เพียงแต่ระบบตรวจเช็คแรมนี้ จะตรวจว่าในระบบของคุณมีแรมกี่สล็อต และติดตั้งแรมอะไรไปแล้วบ้าง รวมถึงมีสล็อตเหลือมั้ย อัพเกรดเพิ่มได้หรือเปล่า โดยที่คุณแค่หาแรมมาเพิ่มตามที่ระบบแจ้งเอาไว้เท่านั้น ตัวอย่างระบบนี้อย่างเช่น เว็บไซต์ของทาง Crucial ที่จะมี Scan my laptop หรือ Lookup my laptop ในการสแกนเพื่อค้นหาการใช้งานแรมในระบบ ตามตัวอย่างที่อยู่ด้านบนนี้ เป็นอีกวิธีที่ง่ายมากๆ และอยากจะแนะนำ จากการที่ได้ทดสอบใช้งาน

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

แกะเครื่องเปิดดู: เป็นแบบที่ชัดเจนที่สุด เพราะคุณสามารถเห็นฮาร์ดแวร์ได้ชัดเจนว่า โน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่นั้น รองรับการเพิ่มแรมได้หรือไม่ แต่การแกะฝาหลังโน๊ตบุ๊คบางครั้ง ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบางรุ่นออกแบบมาอย่างแน่นหนา เรียกว่าแกะแทบไม่ได้เลย ถ้าไม่มีเครื่องมือที่ดีพอ แต่บางรุ่นก็แกะได้ง่าย เรียกว่าไขควง 4 แฉกตัวเดียว และบัตรพลาสติก ที่ใช้ในการแกะขอบด้านข้างเท่านั้น ก็สามารถถอดฝาหลังได้อย่างง่ายดาย

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

แต่สิ่งสำคัญก็คือ การจะจับแตะต้องชิ้นส่วนที่อยู่ภายในโน๊ตบุ๊คนั้น ต้องให้แน่ใจว่า มือเราไม่มีไฟฟ้าสถิตย์ ที่อาจเกิดอันตรายต่อชิ้นส่วน และเสียหาย ดังนั้นเป็นไปได้ หากจะให้เกิดความปลอดภัย ควรมีถุงมือกันไฟฟ้าสถิตย์ หรือถอดขั้วต่อจากแบตเตอรี่มาที่ตัวเมนบอร์ดออกก่อน จากนั้นจึงแกะหรือติดตั้งแรมใหม่เข้าไป

การแกะเครื่องด้วยตัวเอง ควรศึกษาข้อมูลให้แน่ใจก่อนลงมือ ทั้งวิธีการ และการรับประกัน ให้มั่นใจว่าสามารถแกะได้ โดยไม่เสียการประกัน และไม่เกิดความเสียหาย ซึ่งหลายครั้งจะไม่สามารถเคลมได้ โปรดหลีกเลี่ยงโดยไม่จำเป็น

ดูจากเว็บไซต์รีวิว: ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่แนะนำ เพราะคุณจะสามารถทำตามขั้นตอนได้ รวมถึงเหล่านักรีวิว ก็จะบอกถึงรายละเอียดของแรม ให้คุณไปซื้อได้อย่างถูกต้อง รุ่นหรือซีรีส์ที่ใกล้กัน ก็พอที่จะใช้วิธีการเดียวกันได้ ซึ่งหากไม่แน่ใจว่าจะไปดูที่ไหนดี หรือดูต่างประเทศ ก็กลัวว่าซีรีส์เดียวกัน แต่คนละโมเดล ก็ดูจากรีวิวเมืองไทยก็ได้ครับ อย่างทีมงาน Notebookspec ก็มีแกะให้ได้ชมกันไปแล้วหลายร้อยรุ่น น่าจะพอเป็นข้อมูลในการอัพเกรดแรมของคุณได้พอสมควร


แรม Single channel vs Dual channel

หลายคนที่ไม่ค่อยได้ใช้คอมบ่อย หรืออาจจะมีโน๊ตบุ๊คตัวแรก อาจไม่ค่อยคุ้นหูสำหรับแรม Single channel และ Dual channel มากนัก ซึ่งตรงนี้อธิบายในเบื้องต้นว่า Dual channel เป็นรูปแบบการทำงานของแรม 2 ชุดเข้าด้วยกัน ทำให้ระบบมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นกว่าการทำงานแบบ Single channel เพียงแต่ว่าการจะใช้งานแรมแบบ Dual นี้ ก็มีเงื่อนไขในการทำงานเช่นกัน

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

เงื่อนไขที่เป็นเรื่องพื้นฐาน คือ การติดตั้งแรม 2 ตัว เข้าด้วยกัน แม้จะเป็นแรมต่างความเร็ว หรือความจุไม่เท่ากันก็ได้ ติดตั้งด้วยกัน 2 แถว 2 สล็อต หรือจะเป็นแรมบนเมนบอร์ด หรือที่เรียกว่าออนบอร์ด คู่กับแรมบนสล็อต ก็สามารถใช้งาน Dual channel ได้เหมือนกัน

แต่ในกรณีที่เป็นแรม 16GB ที่ฝังมาบนเมนบอร์ดนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้ผลิตด้วย ว่าจัดวางมาในรูปแบบใด เพราะบางครั้งเป็น DRAM 16GB เม็ดเดียว ก็อาจจะไม่ได้ทำงานแบบ Dual channel แต่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในเคสนี้ ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คที่มีขนาดบาง และมีสล็อตมาให้อัพเกรด ตรงนี้ขึ้นอยู่กับการวางเม็ดแรม บางรุ่นมาในแบบ 4GB x4 อีกด้วย ดังนั้นต้องว่ากันที่การผลิตและรูปแบบการจัดวางในแต่ละรุ่น


แรมไม่เหมือนกันใส่ด้วยกันได้มั้ย?

บางท่านอาจจะสงสัย แรมแบบ DDR3/ DDR4/ DDR5 เหล่านี้ จะสามารถติดตั้งบนสล็อตร่วมกันได้หรือไม่ เพราะซื้อโน๊ตบุ๊คใหม่มาเป็นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค DDR5 แต่มีแรมจากโน๊ตบุ๊คตัวเก่าเป็น DDR4 16GB น่าจะเอามาใช้ร่วมกัน จะได้ไม่ต้องซื้อใหม่

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค
source: Crucial

ขอแจ้งเอาไว้ดังนี้เลยครับว่า ไม่สามารถใช้แรมต่างชนิด ต่างแบบร่วมกันได้ครับ อ้างอิงจากแรมค่าย Crucial ระหว่าง DDR5 จะเป็นขาแบบ 262-pins ส่วน DDR4 จะเป็นแบบ 260-pins แม้จะใกล้กันมาก แต่ก็ไม่สามารถติดตั้งลงบนสล็อตเดียวกันได้ แบบเดียวกับแรมบนพีซี แม้ว่าแรม DDR5 และ DDR4 จะใช้ DIMM 288-pins เช่นเดียวกัน แต่ด้วยตัวบาก (Notch) ไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถติดตั้งบนสล็อตเดียวกันได้ เพราะฉะนั้นอย่าฝืน หรืออย่าบังคับใส่ลงไป เพราะอาจทำให้บอร์ดและสล็อตเสียหายได้


ขั้นตอนการเพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

สุดท้ายเป็นเรื่องของการติดตั้งแรมลงบนโน๊ตบุ๊ค หลังจากที่คุณได้แกะฝาหลังออกมาแล้ว รวมถึงเลือกแรมที่ใช้ร่วมกันให้พร้อม เสร็จแล้วก็ไปลุยกันเลย

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

เตรียมแรมให้พ้อมสำหรับการเพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค โดยแนะนำเลยครับว่า ถ้ามีถุงมือให้ใส่ ก็ใส่เพื่อความปลอดภัยของตัวแรม และการติดตั้ง

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

จากนั้นดูสล็อตที่เป็นช่องอัพเกรดแรมให้ตรงกับแรม โดยยึดเอาตัวบากหรือ Notch ที่เป็นร่องตรงกลางให้ตรงกันกับแรมที่ติดตั้งไว้ก่อนหน้านี้

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

แล้วถ้าไม่มีแรมบนสล็อตนั้นล่ะ? ให้ลองวางตัวแรมลงบนสล็อต เพื่อวัดระยะก่อนว่า Notch นั้นตรงกันกับสล็อต จากนั้นเอียงแรมแบบในภาพ แล้วใส่ลงไปบนสล็อตแบบเอียงๆ นั้น จากนั้นกดแรมให้อยู่ในแนวราบเบาๆ จนกว่าจะได้ยินเสียงคลิ๊ก ที่หมายถึงล็อคตัวแรมลงบนสล็อตเป็นที่เรียบร้อย ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น

แต่ก่อนจะปิดฝาหลังของโน๊ตบุ๊คเพื่อจบงาน อย่าลืมตรวจเช็คด้วยการลองบูตเครื่อง เพื่อดูว่าสามารถเข้าระบบได้ตามปกติหรือไม่ หากติดปัญหา ไม่บูต ให้ลองแกะแรมออกมาอีกครั้ง แล้วติดตั้งกลับเข้าไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง


แรมครบมั้ย

เมื่อติดตั้งแรมเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมเช็คความเรียบร้อย ดูว่าระบบตรวจเช็คแรมได้ครบหรือไม่ หากคุณมีอยู่ 8GB แล้วเพิ่มไปอีก 8GB ก็ควรจะเป็น 16GB แต่ถ้าเช็คแล้วยังเป็น 8GB อยู่ ก็น่าจะมีอะไรผิดพลาด ด้วยวิธีการเช็คแบบง่ายๆ ดังนี้

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

Task Manager วิธีนี้ค่อนข้างสะดวก ด้วยการกดปุ่ม Ctrl+Shift+Esc พร้อมกัน เพื่อเข้าไปใน Task Manager จากนั้นไปที่แท็ป Performance แล้วคลิ๊กที่ Memory ดูที่หน้าต่างด้านขวา จะเห็นความจุของแรมปรากฏขึ้น ให้ดูที่ตัวเลขที่อยู่มุมบนขวามือ จะบอกตัวเลขความจุทั้งหมดให้เราทราบ จากตัวอย่างนี้ เป็นแรม 4GB + ติดตั้งเพิ่ม 8GB รวมเป็น 12GB เห็นครบแบบนี้ก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะสิ่งที่ต้องทำต่อไปนั้น คือการทดสอบเสถียรภาพ


อาการผิดปกติหลังเพิ่มแรม

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

ความผิดปกติ หลังจากการเพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ และผู้ใช้อาจจะต้องสังเกตอาการที่เกิดขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้น เรามาดูว่าอาการเกี่ยวกับแรมที่อาจเกิดขึ้นได้มีสิ่งใดบ้าง และจะต้องแก้ไขอย่างไร?

โน๊ตบุ๊คค้าง ไม่เข้าระบบ: หรือโน๊ตบุ๊คเปิดไม่ติด ให้ลองเปิดฝาหลังโน๊ตบุ๊ค แล้วติดตั้งแรมที่เพิ่งใส่เข้าไปใหม่ เพียงแถวเดียว และบูตเครื่องใหม่อีกครั้ง เพราะอาจเป็นไปได้ว่า แรมไม่เข้ากับแรมเก่าที่ใช้งานอยู่ จากนั้นอาจจะต้องเช็คบัสของแรมอีกครั้ง และแจ้งเปลี่ยนกับร้านค้าที่จำหน่ายแรม

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

แต่ถ้าไม่มีแรมอื่นใด ติดตั้งอยู่เลย การติดตั้งแรมใหม่ ไม่สามารถบูตเข้าระบบได้ หากมี 2 สล็อต ให้ลองสลับเปลี่ยนสล็อตอีกอัน เพื่อดูอาการ ส่วนถ้ามีแรมออนบอร์ด และใส่แรมใหม่เข้าไป แต่ไม่บูต ก็เป็นไปได้ว่าแรมใช้ร่วมกันไม่ได้ ซึ่งเจอได้น้อยมาก

เพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค

จอฟ้า BSOD: หากเป็นจอฟ้าบ่อย ให้ลองติดตั้งแรมอีกครั้ง เพราะอาจเกิดจากการติดตั้งไม่แน่น หรือเอียง จนไม่เข้าล็อคตามปกติ ขยับแรมออกมาใหม่ อาจช่วยได้

รีสตาร์ทบ่อย: ให้เช็คว่า ก่อนหน้านี้โน๊ตบุ๊คมีอาการผิดปกติดังกล่าวนี้มั้ย ถ้าไม่เคยมี และเป็นหลังจากการติดตั้งแรม ให้ลองรีบูตใหม่ และลองอัพเดตวินโดว์และไดรเวอร์ชิปเซ็ตเมนบอร์ดอีกครั้ง ด้วยการดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ผู้ผลิต หากยังเป็นอยู่ให้นำแรมและโน๊ตบุ๊คให้ร้านค้าดู เพื่อทำการเปลี่ยนต่อไป


Conclusion

สุดท้ายนี้ ในการเพิ่มแรมโน๊ตบุ๊ค การติดตั้งและการใช้งาน ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนกับการขั้นตอนการตรวจเช็ค หรือหาข้อมูลว่าโน๊ตบุ๊ครองรับการติดตั้งแรมเพิ่มได้มั้ย หรือใช้งานกับแรมแบบใด เพราะบางครั้งอาจถึงขั้นที่ต้องแกะโน๊ตบุ๊คออกมาดูกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ดีครับ การเพิ่มแรม ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนลงแรง เนื่องจากค่าใช้จ่ายไม่สูง หากสังเกตจากราคาจะเห็นว่า เพิ่มแรม DDR4 8GB ยังไม่ถึงพันบาท แต่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการทำงานแบบ Dual channel เมื่อใช้ร่วมกับแรมเดิมที่มีอยู่ และคุณยังสามารถทำเองได้ ด้วยเครื่องมือที่มีอยู่ที่บ้าน แต่ก็แนะนำว่าให้ลองสอบถามร้านจำหน่าย ว่ามีผลต่อการรับประกันด้วยหรือไม่ ในกรณีที่เป็นโน๊ตบุ๊คซึ่งอยู่ในระยะประกัน แต่ถ้าคุณไม่สะดวก ก็แนะนำว่าให้ไปร้านที่จำหน่ายโน๊ตบุ๊คใกล้บ้าน ขอคำแนะนำ ซื้อแรมและอัพเกรดโดยช่างที่ชำนาญในร้าน ก็เป็นทางออกที่น่าสนใจครับ อุ่นใจและมั่นใจได้

from:https://notebookspec.com/web/685571-upgrade-ram-notebook-2023

10 อันดับ เคสคอม 2023 เปิดตัวใหม่ ไฟ ARGB ประกอบง่าย สุด Cool! เย็นสุดขั้ว

10 อันดับ เคสคอมสุด Cool เปิดตัวใหม่ CES2023 งานดี เทคโนโลยีสุด พร้อมไฟ RGB จัดเต็ม

10 อันดับ

10 อันดับ เคสคอมรุ่นใหม่ปี 2023 ที่เรารวบรวมมาให้ในครั้งนี้ จัดมาตั้งแค่เคสสุดล้ำ ดีไซน์หรู ไปจนถึงเคสคอม สำหรับเกมเมอร์ และนักโอเวอร์คล็อก กับเทคโนโลยีใหม่ ที่ช่วยในการระบายความร้อน และเพิ่มฟังก์ชั่น สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ได้สะดวกมากยิ่ง ซึ่งนับว่าในปี 2023 จะมีเคสรุ่นใหม่ๆ มาให้กับเหล่านักประกอบคอมเลือกใช้งานกันมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมเรื่องของการระบายความร้อน และการปรับแต่งที่น่าสนใจกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างเช่นที่เรานำเสนอนี้ จะมีบางรุ่นที่เสริมกลไกการระบายอากาศ บางรุ่นมาพร้อมกระจกเทมเปอร์ที่ดีไซน์ทันสมัยมากขึ้น และบางรุ่นก็มาพร้อมชุด Liquid Cooling ในตัว ส่วนใหญ่เป็นผลดีต่อการเล่นเกม และการปรับแต่งในปัจจุบัน รวมถึงรองรับกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ๆ อีกด้วย วันนี้เรามาชมกันครับว่า จะมีเคสคอมรุ่นใด ที่ถูกใจคุณบ้าง เผื่อใครจะอยากเปลี่ยนเคสใหม่กันในปีนี้

10 อันดับ เคสคอม 2023

  1. Cyberpower Kinetix 360V
  2. Fractal Design – Torrent Compact Nano
  3. Lian Li – Lancool III
  4. Hyte Y60
  5. Thermaltake CTE
  6. Cooler Master Cooling X
  7. InWin POC Case
  8. COUGAR CRATUS
  9. MSI MEG Prospect 700
  10. ASUS HYPERION

1.Cyberpower Kinetix 360V

Cyberpower Kinetix 360V เป็นเคสคอมที่ออกแบบในแนวที่เรียกว่า Kinetic Enclosure หรือเป็นกล่องที่ขยับปรับเลื่อนได้ ซึ่งเมื่อปีก่อนก็จะมีของ Cyber Power ที่ทำออกมา แต่ตอนนั้นก็ลุ้นกันว่าจะออกมาวางตลาดมั้ย แต่ก็มีออกมาในบางรุ่น แต่สำหรับปีนี้ เป็นโมเดลพิเศษที่เรียกว่า Cyberpower Kinetix 360V Intelligent Airflow Series ที่มาโชว์ตัวในงาน CES 2023 เข้ามาใน 10 อันดับ เคสคอมครั้งนี้

Advertisementavw
10 อันดับ

ความโดดเด่นของเคสรุ่นนี้ อยู่ที่กลไกด้านหน้าของเคส ที่ขยับไปมาได้ เป็นแบบบานพับรูปทรงสามเหลี่ยม เลขาคณิต เปิดและปิดดูแล้วหวือหวา คล้ายกลไกของชุดไอรอนแมน ไม่ว่าจะเป็นสีสัน หรือการขยับของบานพับเหล่านี้

เคสรุ่นนี้ อาจจะไม่ได้นำเสนอเรื่องของ airflow เป็นหลักอย่างเดียว แต่มองว่าน่าจะเป็นการออกแบบเชิงนวัตกรรม ด้วยการใส่กลไกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในเคส ซึ่งถ้าถามว่าดีกว่าเคสปกติ หรือเคสที่มีพัดลมเคสด้านหน้าอย่างไร? 

10 อันดับ

ถ้าสังเกต เคสคอมบางเคสก็มีฝาเคสปิดทึบด้านหน้ามา บางทีต้องการจะให้ลมเข้ามากๆ ในช่วงที่ทำงานแบบ Full load ให้มีอากาศระบายได้ดีก็ทำได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ต้องการเคสที่ว่า เปิดให้ลมไหลเข้าตลอดเวลา เพราะบ้านเราเรื่องฝุ่นเป็นปัญหาสำคัญ การมีกลไกเปิด-ปิดแบบนี้ ก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียวครับ อยากได้ลมก็เปิด ไม่ใช้ก็ปิดง่ายมากๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม: Cyberpowerpc


2.Fractal Design – Torrent Compact Nano

สำหรับเคสคอมจาก Fractal Design นี้ ดูเป็นที่รู้จักกันดีในบ้านเรา ด้วยคาแรคเตอร์ที่ดูหรูหรา พรีเมียม และเป็นที่คุ้นหูคุ้นตากันหลายรุ่น เช่นเดียวกับ Torrent Nano ที่เป็นเคสขนาด Mid-Tower แต่ใส่ Air flow มาขั้นสุด กับรูปลักษณ์เคสในโทนสีขาว มีช่องระบายอากาศด้านหน้า ออกแบบมาได้ลึกล้ำดีทีเดียว

10 อันดับ

ความโดดเด่นอยู่ที่ พัดลมขนาดใหญ่ 18cm พร้อมแสงไฟ RGB สวยงาม สามารถควบคุมรอบพัดลมได้ เสียงรบกวนน้อย ส่วนพื้นที่ภายในดูกว้างขวาง เพราะย้ายช่องติดตั้งเพาเวอร์ซัพพลายไปไว้ด้านบน ให้เดินสายได้สะดวก และมีทางลมดูดลมร้อนจากซีพียูได้โดยตรง

10 อันดับ

ส่วนภายในรองรับเมนบอร์ด mATX และมีช่อง PCI-Express ได้ถึง 3 สล็อต ติดตั้งการ์ดจอรุ่นใหม่ๆ ที่เป็น RTX40 series ได้และการ์ดความยาวระดับ 33.5cm เลยทีเดียว ใครที่ชอบเคสแนวนี้ เค้ามีให้เลือกถึง 5 สีด้วยกัน สำหรับผมนะ สวยทุกสี ตามที่ปรากฏในคลิปนี้เลยครับ บ้านเรามีจำหน่ายแล้ว ราคาประมาณ 5 พันกว่าบาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: Fractal Design


3.Lian Li – Lancool III

เป็นเคสคอมที่เรียกว่า ถอดรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์ LANCOOL มาอย่างเต็มเปี่ยม แต่ที่โดดเด่น เราผมชอบมากคือ การเปิดช่องทางในส่วนต่างๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็น ฝาข้าง หน้า และฝาปิดเพาเวอร์ซัพพลายที่อยู่ด้านล่าง กระจกข้างใสเทมเปอร์ ถอดออกง่าย รวมถึงมีพัดลมไฟ RGB มาให้แล้วถึง 4 ตัวด้วยกัน แบ่งเป็นหน้า 3 ตัว หลัง 1 ตัว พร้อมตะแกรงด้านหน้าให้ Air flow แบบสุดๆ

10 อันดับ
10 อันดับ

ด้านในรองรับ Radiator ชุดน้ำ 3 ตอน 360 ได้อีก 3 ตัว คือ ด้านบน ด้านล่างและด้านหน้า ติดตั้งพัดลม รวมกันได้ถึง 10 ตัว ผมว่าดีไซน์ได้ค่อนข้างอลังการทีเดียว เหมาะสำหรับคนที่จะใช้ชุดน้ำสำหรับซีพียู การ์ดจอ และอื่นๆ เพิ่มเติม

10 อันดับ

แถมด้วยช่อง Mount เพื่อติดตั้ง Storage ได้สูงสุดถึง 12 ตัว ในจุดต่างๆ ที่เค้าเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเท่าที่ผมสังเกต เพลตที่อยู่ด้านบนของเพาเวอร์ สามารถปรับเลื่อนได้หลายรูปแบบ ตรงนี่ถือเป็นจุดสำคัญในการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ เท่าที่ผมเช็คมาในบ้านเราพอมีจำหน่ายบ้างแล้ว ราคาประมาณ 4 พันปลายๆ เท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lian Li


4.Hyte Y60

แต่ถ้าจะเป็นเคสคอมที่ดูโดดเด่น เป็นกระแสมากที่สุดใน CES 2023 ปีนี้ ก็ต้องเป็นค่ายนี้ครับ HYTE ในรุ่น Y60 ล่าสุด ดีไซน์แนวตู้ปลา ราคาดี มีกระจกเทมเปอร์ 3 ด้าน งานดูพรีเมียม น่าสนใจไม่น้อยเลย เป็นเคสแนวที่คล้ายๆ กับเคสกระจกหลายรุ่นในบ้านเรา เมืองนอกเค้ายกให้เป็น Good compact, Good Material เลยทีเดียว แล้วถ้าถามว่าแปลกหรือเด่นอย่างไร

10 อันดับ

ก็ยังคงต้องเริ่มกันตั้งแต่ดีไซนกระทัดรัด ดีไซน์พรีเมียม ด้านหน้าตัดมุม 45 องศา ไม่เหมือนใคร ส่วนตัวผมรู้สึกว่า มันมองฮาร์ดแวร์ได้ในหลายมิติ ดูแล้วกว้าง แถบด้านบนและล่างกว้างขวาง ให้พื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์ได้มากขึ้น เช่น ปั้มน้ำ หรือชุดพัดลม Radiator ช่องตะแกรง ทั้งด้านบน และด้านล่าง ช่วยระบายอากาศ 

10 อันดับ

ติดตั้งชุด Radiator ได้อย่างน้อย 2 ชุด ด้านหลัง และด้านบน สามารถวางการ์ดจอแนวตั้งได้ ด้านหลังเหลือพื้นที่มากมาย ให้เก็บสายหรือประกอบฮาร์ดแวร์อื่นเพิ่มได้ เช่น SSD เป็นต้น

10 อันดับ

นอกจากนี้ภายในเคสยังมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้งกราฟิกการ์ดแบบ Low-Profile ขนาดเล็กได้ ไม่ต้องไปหาแปลง Bracket ให้เสียเวลา และเสริมขาแขวนสายเพาเวอร์ที่ต่อการ์ดจอมาให้ในตัว พื้นที่ภายในรองรับการ์ดจอได้ยาวแบบ 3 พัดลมได้อีกด้วย บ้านเราพอมีให้ Pre-Order ในราคาประมาณ 8,000 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม: HYTE


5.Thermaltake CTE

เป็นเคสคอมในซีรีส์ที่เปิดตัวในงานได้สุดอลังการ สำหรับ Thermaltake CTE ที่ดีไซน์ออกมาในแบบที่เรียกว่า Centralized Thermal Efficiency ซึ่งเน้นที่การระบายความร้อน ปรับจูนอากาศให้ไหลเวียนได้ดี และจุดเด่นอยู่ที่การปรับหมุนเมนบอร์ดได้ในแบบ 90 องศา 

10 อันดับ

ตัวเคสผมว่าคล้ายกับการนำเอาจุดเด่นของหลายๆ รุ่นมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็น Tower, V หรือ View ก็ตาม นำมาผสมผสานกันให้ลงตัว และภายในมีความยืดหยุ่น ปรับเลื่อน แกะ ประกอบได้หลากหลาย โดยเฉพาะการวางเมนบอร์ด ที่ปรับมุมได้ 90 องศา เพื่อให้รับลมหรือต่อเข้ากับ Block น้ำได้ลงตัวมากขึ้น

10 อันดับ

พัดลมและชุดน้ำก็วางกันได้แบบจุใจครับ ไม่มีกั๊ก ตามสไตล์ของค่ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า หรือด้านหลัง ที่ใส่ Radiator แบบ 360mm ได้ 2 ชุด ยังไม่รวมด้านล่างเคส และด้านบนก็ติดตั้งแบบ 240mm ได้ โดยที่ทาง Thermaltake เค้าดีไซน์ทางลมให้เป็นแบบ ดูดลมเข้าทางด้านหน้าและหลัง และระบายลมร้อนออกทางด้านบน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

10 อันดับ

หลายคนอาจสงสัยว่า แบบนี้จะมีพื้นที่ติดตั้งเพาเวอร์ตรงจุดใด? ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเพาเวอร์ในแต่ละรุ่น จะวางไม่เหมือนกัน บางรุ่นข้างล่าง หรือบางรุ่นก็อยู่ด้านหลังเคส และบางทีก็อยู่ด้านบน เพราะซีรีส์นี้ออกมาถึง 6 รุ่นด้วยกัน และการจัดวางก็ต่างกันไปตามดีไซน์นั่นเอง

10 อันดับ

ส่วนความยาวของการ์ดจอไม่น่ากังวล เพราะเท่าที่ดู นอกจากจะวางได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอนแล้ว ยังปรับ 90 องศาได้อีกด้วย การ์ดแบบ 3 พัดลมก็วางได้ ไม่ได้ดูติดขัดแต่อย่างใด ใครที่รอราคา คงต้องอดใจอีกนิดครับ เพราะบ้านเรากำลังเปิดตัวครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: Thermatake


6.Cooler Master Cooling X

ถ้าพูดถึงเคสคอมและชุดระบายความร้อน ไม่มีค่ายนี้ไม่ได้เลยครับ และใน CES 2023 ครั้งนี้ เค้าก็จัดแบบพิเศษมาให้กับ Cooling X ที่เป็นเคสออกแบบใหม่ ซึ่งมาพร้อมชุด Liquid Cooling มาในตัว สำหรับซีพียูและการ์ดจอ โดยใช้พื้นที่ฐานของตัวเคสแบบ Tower ด้วยบอดี้ทื่ใหญ่ วางตำแหน่งเอาไว้สำหรับเกมเมอร์ระด้บไฮเอนด์ รูปทรงคล้ายกับ Cosmos และยังผสมกับหน้าตาของรุ่นอื่นๆ มาไว้อีกด้วย ซึ่งช่วงหลังๆ ผมเองรู้สึกว่า ดีไซน์เค้าเริ่มไปไกลมาก

10 อันดับ

อย่างที่เห็นคือ ด้านหน้ามาพร้อมกับโลหะแบบตะแกรงดูดอากาศด้านนอก พร้อม Strip แสงไฟ ด้านข้างและด้านหลัง ก็เป็นช่องขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้ถึงกับจะเป็นช่องลมทะลุไปยังภายในได้ทั้งหมด ซึ่งคล้ายกับว่าโครงสร้างภายนอก จะเป็นเหมือนครีบระบายความร้อน และใช้เป็นจุดไหลเวียนของเหลว โดยมีตัวปั้มและ Block อยู่ภายใน 

10 อันดับ

โดยเท่าที่ดูทิศทางการไหลของ Liquid Cooling ถ้าดูตามชาร์ทนี้แล้ว จะเป็นเหมือน มาจากด้านข้างซ้ายของเคส เข้าปั้ม ไหลไปยังซีพียู และ GPU แล้วไปยังฝาข้างด้านขวา แล้วไปเวียนที่ Radiator จากนั้นก็จะไหลกลับไปยังฝาข้างด้านซ้ายอีกครั้งหนึ่งแบบนี้

10 อันดับ

เปิดฝาข้างออกได้ทั้ง 2 ด้าน จัดวางเพาเวอร์ไว้ด้านล่าง ด้านหลังมี Radiator 1 ชุดสำหรับซีพียู แต่ที่แอบสงสัยคือ ช่องด้านหลังที่เป็นพอร์ตแสดงผลด้านบนเคสนี้ เอาไว้ให้การเชื่อมต่อในแบบใดกันแน่ หรืออาจจะเป็นการวางอีกแนว และเปิดฝาด้านบน เพื่อต่อจอก็เป็นได้ครับ ใครชอบเคสแนวนี้ อดใจรอครับ ถ้ามีข้อมูลมาเพิ่มเติม จะเอามานำเสนออีกครั้งหนึ่งนะครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: wccftech.com


7.InWin POC Case

ใครที่เป็นนัก Mod ชอบเคสแบบมีสไตล์ มีชิ้นส่วนประกอบได้เองแบบอิสระ เคสรุ่นนี้ที่ InWin นำมาโชว์ในงาน น่าจะถูกใจคุณ ใช้แนวคิดคือ POC ออกแบบมาเป็นแผงโลหะ SECC แข็งแรงแบบโครงสร้างเคสปกตินี่เลย คุณสามารถนำมาประกอบจนกลายเป็นเคส Mini-ITX ได้ คล้ายกับการพับกระดาษ Origami อะไรแบบนั้น เคสจะเน้นสีสันที่สดใสหน่อย เพราะมีให้เลือกโทน เขียว/เหลือง (Tropical Sweetheart) และ น้ำเงิน/ดำ (Race Blue)

10 อันดับ

ตัวเคสมาพร้อมพัดลมขนาด 120mm มาให้ 1 ตัว รองรับการติดตั้งเพาเวอร์ยาว 16cm แต่ที่น่าสนใจคือ มีช่องสำหรับติดตั้งการ์ดจอแบบแนวตั้งได้อีกด้วย มี PCI-Express 4.0 riser cable ให้ และรองรับการ์ดจอรุ่นใหญ่ 3.5 สล็อต ยาวถึง 34cm ได้อีกด้วย

10 อันดับ

อย่างไรก็ดีในงานนี้ เท่าที่ได้เห็นไม่ได้มีความแปลกตากับโครงสร้างเคสเพียงอย่างเดียว แต่บรรจุภัณฑ์ที่เค้าใส่มาในแต่ละชิ้นนั้น ยังเป็นแบบซองกระดาษ รีไซเคิล ห่อมาให้อีกด้วย เซอร์ไพรซ์กันไปใหญ่ 

10 อันดับ

เคสแบบนี้ ชวนให้ผมนึกถึงบ้านน็อคดาวน์ในปัจจุบัน ที่คุณสามารถจัดการได้เอง เพราะเมื่อแกะของออกมาจากห่อ จะเป็นโลหะแบนเรียบ และคุณต้องมาพับงอในบางจุด แล้วไขน็อตยึดเพิ่มความแข็งแรง  เพื่อประกอบให้กลายเป็นเคสแบบ 3 มิติให้พร้อมใช้งาน

ตอนที่เห็นภาพเคสที่ประกอบสำเร็จแล้ว ส่วนตัวรู้สึกค่อนข้างทึ่ง แล้วน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีกับเคส Custom ในอนาคต ถ้ามีเรื่องของราคาเราจะมาอัพเดตให้ฟังกันอีกครั้งครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม: InWin


8.COUGAR CRATUS

ถ้าพูดถึงเคสล้ำๆ หลายคนก็น่าจะนึกถึงค่ายนี้ COUGAR ที่มีเคสสวยล้ำอีกรุ่นหนึ่งมาลงตลาด ในชื่อ CRATUS สำหรับผมมองว่า มันเหมือนกับแชสซีส์ของรถแข่งเลยทีเดียว กับรูปลักษณ์ที่ดูดุดัน โครงสร้างท่อโลหะ ผสานกับกระจกเทมเปอร์ ที่มีการดัดโค้ง ให้ดูลงตัว ภายในกว้างขวาง เหมาะกับการติดตั้งอุปกรณ์ และสายนักโมดิฟาย ที่แทบจะสวยมาจากโรงงาน 

10 อันดับ

กระจกเทมเปอร์ เป็นคีย์หลักที่สร้างความโดดเด่น เพราะมีให้ถึง 4 ด้าน ด้านหน้าดัดโครงให้เข้ากับโครงเคส ยาวไปจนถึงด้านบน และ

10 อันดับ

การจัดทิศทางลม ใช้การดูดลมเย็นจากด้านหน้า และด้านล่าง ให้หมุนเวียนภายในเคส แล้วปล่อยลมร้อนออกทางด้านหลัง พร้อมแสงไฟ ARGB สวยเวอร์วัง ปรับแต่งได้ ด้วยการกดปุ่ม RGB บนตัวเคส แต่ก็มีหัวต่อ เพื่อเสียบเข้ากับเมนบอร์ด ในการใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ได้อีกด้วย 

10 อันดับ

จัดวางเคสได้ตั้งแต่ ATX ไปจนถึง E-ATX ซึ่งทำให้การวางการ์ดจอ ใส่ได้ยาวถึง 46cm ถ้าไม่ได้ติดตั้ง Radiator ด้านข้างเมนบอร์ด พร้อมพื้นที่ด้านหลังติดตั้ง SSD 2.5″ ได้ถึง 3 ตัวด้วยกัน และช่องสำหรับ HDD 3.5″ การติดตั้งชุดระบายความร้อน ทำได้ทั้งชุดพัดลมได้สูงสุด 9 ตัว และชุดน้ำ ติดตั้ง Radiator 360mm ได้ 

ที่ชอบเลยก็คือ ด้านหลังมีช่องเก็บสายเคเบิล ที่เปิดออกได้ ไม่ต้องแกะให้วุ่นวาย ความหนาที่มากพอสำหรับ ม้วนสายเอาไว้ในนั้น แทบจะมองไม่เห็นสายต่อเลยก็ว่าได้

10 อันดับ

เรื่องของราคายังไม่ได้เคาะออกมาเป็นทางการ ส่วนตัวมองว่า ถ้าคุณชอบเคสแบบนี้ ที่เปิดให้ลมเข้าหลายด้าน กระจกเทมเปอร์ที่โชว์ได้เกือบทุกอณู พร้อมกับดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร กำเงินรอไว้ได้เลยครับ ไตรมาสแรกปีนี้ได้ลุ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: COUGAR


9.MSI MEG Prospect 700

มาถึงเคสที่ 9 แล้ว เคสนี้ ไม่ได้ถือว่าใหม่มาก เพราะเปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2565 และสื่อบ้านเราก็ได้รีวิวกันไปบ้างแล้ว แต่ที่นำมาเพราะความล้ำสมัย มีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดี โดยเฉพาะการมีพาแนลบนตัวเคส สำหรับปรับแต่งสิ่งต่างๆ ภายใน 

10 อันดับ

กระจกเทมเปอร์สวยใสด้านข้าง เปิดกางได้ง่าย รวมถึงฝาปิดข้าง ที่เก็บสายไฟ ก็กว้างขวางดีทีเดียว

10 อันดับ

จอเป็นแบบทัชสกรีนขนาดใหญ่ ปรับโหมดไฟ ARGB ได้ เลือกได้หลายแบบ รวมถึงปรับรอบพัดลม มีโพรไฟล์ ตั้งเวลาเปิด-ปิดหน้าจอ ซิงก์กับซอฟต์แวร์บนเมนบอร์ดได้เช่นกัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับที่มีอยู่บนเกมมิ่งพีซีบางรุ่นของ MSI 

10 อันดับ

ภายในติดตั้งชุดน้ำ Radiator 360mm ได้ มีพัดลมให้เป็นแบบ ARGB จำนวน 4 ตัว หน้า 3 หลัง 1 ขนาด 140mm พาแนลด้านหลังปรับเลื่อนได้ สำหรับการวาง Radiator หรือจะใช้เป็นพัดลมก็ได้เช่นกัน พื้นที่ภายในวางการ์ดจอตัวใหญ่ๆ 3 พัดลมได้สบายๆ กว้างขวาง

10 อันดับ

แต่เรื่องของมิติ ก็อาจจะดูใหญ่พอสวมควร แต่ถ้ามองว่า ตั้งใจจะจับฮาร์ดแวร์แรงๆ รุ่นใหญ่ ยัดเข้าไปให้ได้ รวมถึงชุดน้ำ ผมว่า MSI รุ่นนี้ตอบโจทย์คุณได้เลย เคาะราคาอยู่ที่ประมาณ 14,900 บาทครับ มีจำหน่ายแล้ว สนใจก็ไปตำกันได้เลย

ข้อมูลเพิ่มเติม: MSI


10.ASUS HYPERION

เป็นเคสเกมมิ่งสำหรับคอเกม ที่มีความโดดเด่นในด้านการออกแบบ ซึ่งหากคุณเป็นแฟนบอยของ ASUS ROG เคสนี้ น่าจะเป็นทางของคุณ ตัวเคสขนาดใหญ่ เพิ่มระดับความสูง ให้อากาศไหลเวียนได้มากขึ้น และรองรับ Radiator ขนาด 420mm ได้ถึง 2 ตัวด้วยกัน กับการออกแบบรูปลักษณ์ที่ยังล้ำสมัย พร้อมใส่สีสันไฟ RGB มาเป็นทางเลือกให้กับการแต่งคอม กับการจัดวางเคส ที่ใช้โครงรูปตัว X ในการกระจายน้ำหนัก

10 อันดับ

ภายในเปิดให้เป็นห้องขนาดใหญ่ รับการติดตั้งเมนบอร์ด E-ATX ได้ พร้อมพื้นที่ขนาดใหญ่ ให้สามารถรองรับการ์ดจอรุ่นใหญ่อย่าง GeForce RTX4090 ได้สบาย ซึ่งสามารถใส่การ์ดจอได้ยาวสุดถึง 46cm เลยทีเดียว โดยให้พื้นที่แนวตั้งสูงสุด 13cm เผื่อการ์ดจอตัวใหญ่ จะได้ไม่ติดขอบฝาเคส

นอกจากนี้ยังมาพร้อมโครงอะลูมิเนียม สำหรับรับกราฟิกการ์ดแบบ 2-way ยึดไม่ให้ตัวการ์ดห้อย หรือเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง รวมถึงยังจัดสายเคเบิลได้ง่ายกว่าเดิม

10 อันดับ

พื้นที่ด้านหลังเมนบอร์ดกว้างพอในการจัดเก็บสาย พร้อมกับแถบยาง เพื่อใช้ในการรัดจัดเก็บให้เป็นระเบียบ เช่นเดียวกับฝาปิดอะคลิลิคทางด้านหลัง ให้เปิดออก และใส่สายเข้าไปได้ โดยมีคอนโทรลเลอร์ ARGB มาในตัว เพื่อใช้ต่อเข้ากับบรรดาอุปกรณ์ที่รองรับ AURA Sync ซึ่งติดตั้งชุดอุปกรณ์ไฟ RGB เพิ่มได้ถึง 8 ชิ้นและพัดลมแบบ PWM 6 ตัว

10 อันดับ

นับว่าเป็นเคสคอมอีกรุ่นหนึ่ง ที่สามารถปรับเปลี่ยนและโมดิฟายได้ง่าย เหมาะกับคนที่ชอบประกอบคอมเซ็ตด้วยตัวเอง และเพิ่มอุปกรณ์เข้าไปได้สะดวก การระบายความร้อนที่ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS


Conclusion

10 อันดับ เคสคอม 2023 ที่เราได้รวบรวมมาในครั้งนี้ ในแต่ละรุ่นถือว่ามีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ซึ่งหากมองกันที่นวัตกรรมแล้ว CYBERPOWERPC ถือว่ามีลูกเล่นที่น่าสนใจทีเดียว แต่ถ้าจะเน้นที่การระบายความร้อน MSI, COUGAR และ Cooler Master ก็มีทิศทางในการปรับแต่งเคสของตน เพื่อให้ผู้ใช้ได้นำไปใช้งานได้เลย แทบจะไม่ต้องเพิ่มเติมสิ่งอื่นใดมากนัก และยังรองรับการติดตั้ง Radiator ได้มากกว่า 1 ชุดอีกด้วย แต่ถ้าชอบความล้ำสมัย สวยงามเคสจาก COUGAR, MSI และ ASUS ก็ตอบโจทย์เกมเมอร์ และนักโมดิฟายได้ดี แต่ถ้าชอบความเก๋ไก๋ ดูไม่ซ้ำใคร สวยได้แม้จะมินิมอล เคสจาก InWin และ Hyte น่าจะเป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบได้เป็นอย่างดีครับ ความชอบของคุณเป็นแบบใด เลือกใช้กันได้ตามสะดวก แล้วอย่าลืมคอมเมนต์ให้เพื่อนๆ ได้ทราบกันบ้างนะครับ แล้วพบกันกับการรวบรวมข้อมูลไอทีครั้งต่อไปครับ

from:https://notebookspec.com/web/684474-10-pc-case-ces-2023

โน๊ตบุ๊คเล่นเกมราคาถูก 8 รุ่น เริ่มไม่ถึง 30,000 ปี 2023 เล่นเกมใหม่ เฟรมเรตลื่น

โน๊ตบุ๊คเล่นเกมราคาถูก 8 รุ่นเด็ด เริ่ม 29,900 การ์ดจอแรง จอใหญ่ เล่นเกมลื่น อัพเกรดได้

โน๊ตบุ๊คเล่นเกม

โน๊ตบุ๊คเล่นเกมราคาถูก 8 รุ่น ต้นปี 2023 ครั้งนี้จัดมาให้สำหรับคอเกม ที่กำลังมองหาโน๊ตบุ๊คสำหรับเล่นเกมใหม่ๆ ในปีนี้ กับราคาในระดับที่จ่ายง่าย สบายกระเป๋า เริ่มแค่ 29,900 บาท ไปจนถึง 35,900 บาท แต่เล่นเกมได้แบบโหดๆ กับสเปคที่ให้คุณเล่นเกมบนความละเอียด Full-HD ได้ลื่น ว่ากันตั้งแต่ซีพียูระดับ Intel Core i5 จนถึง Core i7 และ AMD Ryzen 5 กับความแรงที่จะตอบโจทย์ทั้งการเล่นเกมพื้นฐาน ไปจนถึงเกมระดับ AAA โดยมีกราฟิกการ์ด GeForce RTX3050, RTX3050Ti และ RTX3060 ให้ใช้งาน จอแสดงผลขนาดใหญ่ ซึ่งในเวลานี้มีให้เลือกเกือบทุกแบรนด์ แต่จะมีรุ่นไหนที่น่าสนใจ ซึ่งเข้ามาตามเงื่อนไขหรือจัดสเปคให้เกินจากนี้บ้าง ไปติดตามชมกันครับ

โน๊ตบุ๊คเล่นเกมราคาถูก 8 รุ่น ปี 2023

  1. MSI GF66 Katana 12UC
  2. ASUS TUF Gaming A17
  3. Gigabyte A5 K1
  4. Gigabyte G5 ME
  5. HP Victus Gaming 16
  6. ASUS TUF Dash F15
  7. Lenovo Gaming3
  8. Acer Nitro AN515

1.MSI GF66 Katana 12UC

โน๊ตบุ๊คเล่นเกม

มาเริ่มกันที่โน๊ตบุ๊คเล่นเกมรุ่นแรก ที่ทำราคาออกมาได้ดีเลยทีเดียว สำหรับ GF66 Katana ซึ่งเป็นซีรีส์ในตระกูลเกมมิ่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีที่ผ่านมา เพราะเรื่องของการดีไซน์และวัสดุ มีความคุ้มค่าน่าสนใจ แม้ว่าจะไม่ได้มีลูกเล่นหวือหวามากนัก คีย์บอร์ดเป็นไฟสีแดง ตัดกับโครงสร้างสีดำ ดูโหดๆ ดีเหมือนกัน แต่ถ้าเน้นที่พลังในการเล่นเกม หน้าจอขนาดใหญ่ สีสดใส ระดับ 15.6″ FHD และรีเฟรชเรตสูงถึง 144Hz ก็ต้องบอกว่า ราคาหาตัวจับมาแข่งได้ยาก ซึ่งทาง MSI ใส่ขุมพลัง Intel Core i5-12450H เกมมิ่งซีพียูตัวแรงมาให้ พร้อมแรม DDR5 8GB และใส่การ์ดจอ GeForce RTX3050 4GB มาให้ด้วย แบตเตอรี่อาจจะไม่ใหญ่นัก น้ำหนักตัวเลยอยู่ที่ประมาณ 2.25Kg เท่านั้น พอร์ตจัดมาให้ครบ เช่นเดียวกับชุดระบายความร้อน CooloerBoost 5 ที่มีฮีตไปป์หลายเส้น คู่กับพัดลมคู่ขนาดใหญ่ อันเป็นเอกลักษณ์ กับการรับประกัน 2 ปี ราคาอยู่ที่ราว 29,900 บาทเท่านั้น

Advertisementavw
จุดเด่น ข้อสังเกต
มาพร้อมแรม DDR5 ไม่มี Thunderbolt 4
แบตค่อนข้างอึด

ข้อมูลเพิ่มเติม: MSI


2.ASUS TUF Gaming A17

โน๊ตบุ๊คเล่นเกม

เป็นอีกหนึ่งโน๊ตบุ๊คเล่นเกมตัวคุ้มสุดโหด ดีไซน์สวย ฟังก์ชั่นเด่นในตลาดบ้านเรา สำหรับงบประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ซึ่งมีการต่อยอดมาอย่างต่อเนื่องจาก ASUS TUF รุ่นก่อนๆ มาได้ดี จากบอดี้ที่ก่อนหน้านี้เน้นอึดถึก ดูบึกบึน มาถึงตอนนี้ เริ่มปรับเส้นสายและมิติให้ดูบาง ลงตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Cover สีเทาเรียบๆ แต่ใส่โลโก้ให้ดูสะดุดตา ด้านใต้เป็นช่องลมแบบรังผึ้ง ด้านในลายอลูมิเนียมปัดเสี้ยน และให้หน้าจอใหญ่ 17.3″ FHD อัตรารีเฟรชเรตสูงถึง 144Hz ขุมพลัง AMD Ryzen 7 4800H พร้อมแรม DDR4 3200 8GB อัพเกรดเพิ่มได้ และ SSD 512GB โดยใช้การ์ดจอพิมพ์นิยม GeForce RTX3050 มาด้วย กับระบบเสียงสุดกระหึ่มเอาใจเกมเมอร์ และคอบันเทิงได้ดีทีเดียว พอร์ตต่อก็ครบ ทั้ง USB 3.2, USB Type-C ที่ใช้ต่อจอได้ และ HDMI ไปจนถึง LAN ชุดระบายความร้อนพัดลมคู่ และฮีตไปป์ จุดเด่นอยู่ที่คีย์บอร์ดแสงไฟ RGB ปรับแต่งได้ พร้อมโพรไฟล์ให้เลือก 4 แบบด้วยกัน การรับประกัน 2 ปี ราคาประมาณ 30,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
คีย์บอร์ด RGB แรม DDR4
จอขนาดใหญ่

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS


3.Gigabyte A5 K1

โน๊ตบุ๊คเล่นเกม

เข้าป้ายมาอีกหนึ่งรุ่นสำหรับโน๊ตบุ๊คเล่นเกมจาก Gigabyte ที่จัดสเปคมาให้แบบจัดเต็ม ไม่เป็นรองใคร อาจจะต่างจากรุ่นของ G5 อยู่บ้าง ในแง่ของบอดี้ที่อาจะดูบึกบึนขึ้นมา แต่มาในสไตล์ที่ดูเป็นเกมมิ่งดุดัน ให้ขุมพลังมาเพื่อรีดเฟรมเรตโดยเฉพาะ กับโครงสร้างที่แข็งแกร่ง หน้าจอแบบ 15.6″ IPS 144Hz Full-HD และมีขอบจอบางพิเศษ โดยให้ซีพียู AMD Ryzen 5 5600H ที่รับได้ทั้งงานและการเล่นเกมปัจจุบัน พร้อมแรม DDR4 3200 8GB เช่นเดียวกับ SSD 512GB มาตรฐาน รองรับการอัพเกรดได้พอสมควร ส่วนการ์ดจอต้องจัดว่าแรงแซงหน้าคู่แข่งในงบพอกัน เพราะจัด RTX3060 มาให้ เล่นเกมได้ลื่นมากขึ้น ส่วนคีย์บอร์ดสไตล์เกมมิ่ง ที่มีแสงไฟ Backlit มาในตัว ตั้งรูปแบบแสงไฟได้ 15 สี พอร์ตโดดเด่นตรงที่มี Mini DP เพิ่มมาให้ นอกเหนือจาก HDMI จึงต่อเพิ่มได้อีก 2 จอ และพอร์ต USB 3.2 Type-C แต่ไม่มี Thunderbolt 4 มาให้ น้ำหนักตัวประมาณ 2.12Kg ราคาสบายกระเป๋า 31,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ให้การ์ดจอ RTX3060 แรม DDR4
มีพอร์ต HDMI และ Mini DP ต่อจอใหญ่ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม: Gigabyte


4.Gigabyte G5 ME-51TH263SH

โน๊ตบุ๊คเล่นเกม

มาถึงโน๊ตบุ๊คเล่นเกมจากทาง Gigabyte ซึ่งเป็นค่ายที่ช่ำชองในตลาดของเกมมิ่งมายาวนาน และในไทยก็มีโน๊ตบุ๊คที่ล้ำๆ มาให้ได้ใช้กันด้วย ในราคาที่เป็นกันเอง อย่างเช่น G5 Gen12 รุ่นนี้ ที่ใส่มาทั้งดีไซน์และฟีเจอร์น่าสนใจมากมาย หน้าจอขนาด 15.6″ FHD 144Hz ฝาหลังมีการออกแบบเส้นสายให้ดูไม่น่าเบื่อ กับบอดี้ที่ดูปรับให้ลงตัวมากขึ้น บานพับขนาดใหญ่ เน้นการใช้งานที่ไม่โยกคลอนง่าย พอร์ตต่อพ่วงกระจายออกไปในทุกด้าน เพื่อลดความแออัด ขุมพลัง Intel Core i5-12500H และให้แรม DDR4 3200 8GB มาให้ และ SSD 512GB แต่ขยับการ์ดจอให้แรงขึ้นอีกนิดกับ RTX3050Ti น้ำหนักทำได้ค่อนข้างดีอยู่ที่ 1.9Kg เท่านั้น กับระบบเสียง DTS:X จัดเต็มสำหรับคอเกม คู่กับลำโพงใต้เครื่องให้มิติเสียงได้สนุก โดยมีพอร์ตพื้นฐานอย่าง USB 3.2 Type-C และ HDMI รวมถึง Mini-DP มาให้ จะขาดไปเพียง Thunderbolt 4 ที่จะอยู่ในรุ่น G5 KE เท่านั้น อย่างไรก็ดีโดยรวมยังถือว่ามาแบบครบๆ สเปคก็ถือว่าจัดจ้าน กับการรับประกัน 2 ปี ในราคา 32,490 บาท เท่านั้น

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้การ์ดจอ RTX3050Ti ไม่มี Thunderbolt 4
ดีไซน์ทันสมัย

ข้อมูลเพิ่มเติม: Gigabyte


5.HP Victus Gaming 16-e1081AX

โน๊ตบุ๊คเล่นเกม

มาถึงโน๊ตบุ๊คเล่นเกมตัวแกร่งของทาง HP กันบ้าง ใครที่ชื่นชอบเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คที่มีมิติเพรียวบาง Victus ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ดีไซน์ของรุ่นนี้ จะออกไปทางสาย Pavilion ที่ดูมีความหรูหรา และให้ความแรงที่แตกต่าง กับหน้าจอขนาดใหญ่ 16″ ที่กว้างขึ้น ความละเอียด Full-HD รีเฟรชเรต 144Hz จัดได้ว่าเป็นหน้าจอที่สว่างสดใส ให้ความแม่นยำของสีได้ดีพอสมควร กับสเปคที่จัดว่าขิงกับค่ายอื่นได้สบาย ในราคาเดียวกัน เพราะได้ซีพียูใหม่อย่าง AMD Ryzen 5 6600H 6 core/ 12 thread กับความเร็วสูงสุด 4.5GHz ที่มากับแรม DDR5 ที่เสริมความแรงมาให้ถึง 16GB รวมถึง SSD 512GB และการ์ดจออย่าง GeForce RTX 3050Ti อีกด้วย อีกทั้งยังให้ระบบเสียงมาเพื่อคอเกมโดยเฉพาะ กับพอร์ตเชื่อมต่อสำคัญก็มีมาเกือบครบ อย่าง USB 3.2 Type-C, HDMI และ RJ-45 แต่คีย์บอร์ดจะมาในแบบแสงไฟสีขาวมาเท่านั้น การรับประกันเป็นแบบ 2 ปี On-site service ราคาอยู่ที่ 33,400 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
แรม 16GB คีย์บอร์ดไฟขาว
ได้การ์ดจอ RTX3050Ti

ข้อมูลเพิ่มเติม: HP


6.ASUS TUF Dash F15 FX517

โน๊ตบุ๊คเล่นเกม

เรียกว่าสายของ TUF Dash จาก ASUS ไม่เคยแผ่ว โตในสายเกมมิ่งได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งโน๊ตบุ๊คเล่นเกมรุ่นนี้เอง ก็จัดว่าน่าสนใจ เพราะใส่ขุมพลังตัวแรง อย่าง Intel Core i5-12450H เกมมิ่งตัวแรงมาด้วย คู่กับแรม DDR5 8GB รองรับการอัพเกรดเพิ่มได้ เช่นเดียวกับ SSD 512GB M.2 รุ่นใหม่ ความเร็วสูง กับหน้าจอขนาด 15.6″ FHD อัตรารีเฟรชเรต 144Hz ซึ่งขอบจอบางพิเศษ กับใครที่อยากจะได้การ์ดจอที่แรงขึ้นสุดในราคาระดับนี้ ASUS ให้มาเป็น RTX3050Ti พร้อม MUX switch ในตัว คีย์บอร์ดแสงไฟ RGB ใช้งานร่วมกับ AURA Sync ได้ จุดเด่นอยู่ที่การนำเสนอความทนทานกับดีไซน์ที่สวยโดดเด่น วัสดุเป็นอะลูมิเนียม ชุดระบาบความร้อนออกแบบมาเป็นพิเศษ Arc Flow Fans ที่ให้การหมุนเวียนของอากาศได้ดี ช่วยลดความร้อนในขณะเล่นเกม กับพอร์ตต่อพ่วงสำคัญอย่าง Thunderbolt 4, USB 3.2 Type-C และ HDMI มีให้ใช้ครบ กับการรับประกัน 2 ปีและ Perfect Warranty น้ำหนักเบาเพียง 2Kg. เท่านั้น เคาะราคามาที่ 34,990 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้ RTX3050Ti
คีย์บอร์ดแสงไฟ RGB

ข้อมูลเพิ่มเติม: ASUS


7.Lenovo IdeaPad Gaming 3 15IAH7

โน๊ตบุ๊คเล่นเกม

สำหรับโน๊ตบุ๊คเล่นเกมจากทาง Lenovo ในราคาระดับนี้ ทำให้ผมชั่งใจพอสมควร ระหว่างรุ่นนี้ที่ใช้ Intel Core i5-12500H กับ i5-12450H เพราะได้การ์ดจอต่างกันในราคาเบียดๆ กันเลยทีเดียว โดย i5-12450H+RTX3050Ti ราคาสูงกว่ารุ่นนี้ 1,000 บาทเท่านั้น น่าสนใจด้วยกันทั้งคู่ แต่ถ้าคุณอยากได้เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คและจะแบ่งไปจัดเกมมิ่งเกียร์ด้วย ก็จัดรุ่นนี้ได้เลย ดูคมเข้ม ยิ่งรุ่นสีขาว Limited Edition ยิ่งโดนใจกับแสงไฟสีฟ้า การออกแบบใหม่ จัดว่าสวยลงตัว จอขนาด 15.6″ FHD รีเฟรชเรตสูงถึง 165Hz จอสีตรง ให้ความสว่างสูง โดยมีแรม DDR4 3200 8GB อัพเกรดเพิ่มได้ และ SSD 512GB ที่มีสล็อตเพิ่มให้ ระบบเสียง Nahimic สดใส เอฟเฟกต์แน่น พอร์ตมีให้ครบ ส่วนใหญ่ไปอยู่ด้านหลังทั้ง Thunderbolt 4 และ HDMI คีย์บอร์ดกดได้สนุก ชุดระบายความร้อนขนาดใหญ่ ออกแบบมาได้ดี น้ำหนักประมาณ 2.31Kg รับประกัน 3 ปีแบบ Onsite Service ราคาอยู่ที่ 33,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
อัตรารีเฟรชเรตสูง 165Hz น้ำหนัก 2.31Kg
มี Thunderbolt 4

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lenovo


8.Acer Nitro AN515-58

โน๊ตบุ๊คเล่นเกม

เป็นอีกค่ายหนึ่งที่ออกโน๊ตบุ๊คเล่นเกมในกลุ่มเกมมิ่งได้ถูกอกถูกใจเหล่าเกมเมอร์มายาวนาน ในซีรีส์ Nitro ถือว่าโดดเด่น และทำราคาที่จับต้องได้ง่าย ใส่ฟีเจอร์มาแน่น เช่นเดียวกับสเปคที่ไม่ธรรมดา โดยมีซีพียู Intel Core i5-12500H ที่ถือว่าจัดจ้าน แต่น่าเสียดายที่ใส่แรม DDR4 มาให้ แต่ก็จัดมาให้เยอะกว่าคู่แข่ง เพราะให้ถึง 16GB และให้การ์ดจอเริ่มต้นอย่าง RTX3050 มาอีกด้วย กับหน้าจอแสดงผล 15.6″ FHD 165Hz เป็นแบบ IPS สีสดใสคมชัด เรื่องของเส้นสาย Cover มาในแบบที่เด่น ตามสไตล์ของรุ่นนี้ ด้านในขอบจอบางเฉียบ และฝาพับที่ค่อนข้างแข็งแรง คีย์บอร์ดเป็นแบบ RGB 4 zone ปรับโพรไฟล์สีได้ กดแน่นสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ การระบายความร้อนมาพร้อมพัดลม 2 ตัวกับฮีตไปป์ ด้านท้ายตัวเครื่องออกแบบมาให้มีช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่มาให้ ทำงานคู่กับ Nitro Sense ให้การรับประกัน 3 ปี ราคา 35,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ได้จอรีเฟรชเรต 165Hz
แรม 16GB

ข้อมูลเพิ่มเติม: Acer


Conclusion

Display CPU RAM SSD Graphic Price
1.MSI GF66 Katana 12UC 15.6″ 144Hz Intel Core i5-12450H DDR5 8GB 512GB RTX3050 29,900 บาท
2.ASUS TUF Gaming A17 17.3″ 144Hz AMD Ryzen 7 4800H DDR4 8GB 512GB RTX3050 30,990 บาท
3.Gigabyte A5 K1 15.6″ 144Hz AMD Ryzen 5 5600H DDR4 8GB 512GB RTX3060 31,990 บาท
4.Gigabyte G5 ME 15.6″ 144Hz Intel Core i5-12500H DDR4 8GB 512GB RTX 3050Ti 32,490 บาท
5.HP Victus Gaming 16 16.0″ 144Hz AMD Ryzen 5 6600H DDR5 16GB 512GB RTX 3050Ti 33,400 บาท
6.ASUS TUF Dash F15 15.6″ 144Hz Intel Core i5-12450H DDR5 8GB 512GB RTX 3050Ti 34,990 บาท
7.Lenovo Gaming3 15.6″ 165Hz Intel Core i5-12500H DDR4 8GB 512GB RTX3050 33,900 บาท
8.Acer Nitro AN515 16.0″ 165Hz Intel Core i5-12500H DDR4 16GB 512GB RTX3050 35,900 บาท

ก็เรียกว่าน่าจะครบครันไปแล้ว สำหรับข้อมูลของ 8 โน๊ตบุ๊คเล่นเกมราคาถูกในงบเริ่ม 29,900 บาท ซึ่งมีหลายรุ่นที่น่าสนใจ ซึ่งหากต้องการซีพียู และสเปคที่ค่อนข้างใหม่ ราคาราวๆ 3 หมื่นกว่าบาท มีให้เลือกมากมายเลยทีเดียว ถ้าเน้นราคาเริ่มต้น MSI GF66 ดีไซน์เกมมิ่ง ดุดันสเปคน่าใช้ แต่ถ้าอยากได้จอใหญ่ 17.3″ ซีพียูแรงๆ ASUS TUF A17 ตอบโจทย์คุณได้ ส่วนถ้าเลือกเฉพาะการ์ดจอแรงๆ มีทั้ง Gigabyte G5, HP Victus และ ASUS TUF Dash F15 ถือว่าน่าใช้ และถ้าต้องการจอรีเฟรชเรตสูง Lenovo และ Acer Nitro ทั้งคู่มาเป็น 165Hz แล้ว ส่วนถ้าอยากได้แรม 16GB มีทั้ง HP และ Acer แต่ HP จัดมาเป็น DDR5 อีกด้วย ที่เหลือจะเป็นเรื่องของดีไซน์และฟังก์ชั่น อย่างเช่น เรื่องการระบายความร้อน คีย์บอร์ดไฟ RGB หรือจะเป็นพอร์ต Thunderbolt 4 ก็มีให้ในบางรุ่น อยู่ที่คุณจะตัดสินใจเลือกใช้ และเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นไหนโดนใจคุณบ้าง อย่าลืมคอมเมนต์มาบอกเพื่อนๆ กันบ้างนะครับ

from:https://notebookspec.com/web/682754-8-value-gaming-notebook-2023

4TB SSD External 5 รุ่นเด็ด เก็บได้เยอะ โอนถ่ายข้อมูลไว เพื่อเกมเมอร์ ครีเอเตอร์ 2023

4TB SSD External 5 รุ่น เก็บข้อมูล โอนถ่ายไฟล์ เร็ว สายทำงาน เล่นเกม ต้องโดน! ความจุเหลือๆ

4TB SSD External

4TB SSD External เก็บข้อมูลแบบจัดเต็ม ไม่เกรงใจใคร ใครที่มีข้อมูลเยอะมาทางนี้ เรามี 5 SSD แบบต่อภายนอกมาแนะนำ กับความจุระดับ 4TB ให้พื้นที่ในการจัดเก็บงานปริมาณมากๆ และให้ความเร็วในการทำงาน ไม่ว่าจะโอนถ่ายไฟล์ ย้ายข้อมูล หรือจัดเก็บได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเกมเมอร์ในการสำรองไฟล์เกมที่ชื่นชอบ เอาไว้ใช้กับเครื่องอื่นได้ หรือนักสร้างคอนเทนต์ ที่ใช้สำรองข้อมูล ไฟล์ภาพ วีดีโอและเสียง ที่มีขนาดใหญ่และนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว หรือเหล่ายูทูปเบอร์ และสตรีมเมอร์ ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บวีดีโอความละเอียดสูง เอาไว้ใช้ในการตัดต่อ หรือนำเสนอผลงาน ข้อดีคือ ทำงานได้ไวกว่าที่เป็นแบบฮาร์ดดิสก์ต่อภายนอก รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หากกำลังมองหาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลความจุ และความเร็วสูงไปพร้อมๆ กัน มาติดตามบทความนี้ไปพร้อมๆ กันครับ


4TB SSD External

  1. WD MYPASSPORT 4TB
  2. Kingston SXS2000 4TB
  3. SANDISK Extreme 4TB
  4. SANDISK Extreme Pro 4TB
  5. LaCie Rugged SSD 4TB
  6. Crucial X8 4TB

External SSD vs HDD แบบไหนดี?

4TB SSD External

จากคำถามนี้ เชื่อว่าถ้าย้อนไป 4-5 ปีก่อน หลายคนอาจตอบเลยว่า External HDD ยังน่าใช้กว่า ทั้งราคาและความจุ ที่ดูไปด้วยกันได้ ซึ่งในปัจจุบันก็อาจจะยังเป็นเช่นนี้อยู่ เพราะอย่าง External HDD 1TB เริ่มที่พันกว่าบาท แต่ถ้าเป็น SSD 1TB แบบต่อภายนอก ราคาเริ่มต้น 3 พันกว่าบาท ซึ่งแพงกว่าเกือบเท่าตัว แต่เวลานี้ ผู้ใช้บางกลุ่ม ไม่ได้เน้นที่ราคาเป็นหลักอีกต่อไป แต่มองที่ศักยภาพ ความเร็ว และการตอบสนองกับงานได้ดี และให้ความสำคัญกับเวลา เนื่องจาก External SSD แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่ออยู่บ้าง แต่ก็ยังให้ความเร็วในการค้นหาข้อมูลได้ดีกว่า และการโอนถ่ายข้อมูลที่รวดเร็ว อย่างเช่น

Advertisementavw
4TB SSD External
source: Crucial

External HDD เมื่อเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB 3.0 Type-A เป็นส่วนใหญ่ และเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟส SATA ซึ่งให้ความเร็วในการทำงานจะอยู่ที่ประมาณ 5Gbps ดังนั้นอัตราการ Read หรืออ่านข้อมูลสูงสุดที่ 120MB/s โดยประมาณ แต่ถ้าดูจาก Host ของการเชื่อมต่อบน USB รุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น USB 3.1 Gen1 ให้ความเร็วในระดับ 5Gbps, แต่ถ้าเป็น Gen2 จะขยับไปที่ 10Gbps และสุดท้ายคือ Thunderbolt 3 ก็จะให้ได้ถึง 40Gbps เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อ SSD มีความเร็วมากพออยู่แล้ว มาเชื่อมต่อกับ Host ในแบบ External รุุ่นใหม่ๆ ก็ทำให้ความเร็วเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างเช่น SSD External รุ่นใหม่ๆ เมื่อเชื่อมต่อกับ USB 3.1 Type-C ก็ให้ความเร็วในระดับ 1,000MB/s ได้ ความเร็วก็จะเหนือกว่า External HDD เกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว


เลือกอย่างไร?

4TB SSD External
source: WD

แล้วถ้าต้องการใช้ External SSD หรือ SSD แบบต่อภายนอกนี้ จะต้องเลือกอย่างไร?

ความจุ: เรื่องนี้อาจจะต้องให้มองว่า คุณมีการใช้งานข้อมูลในแต่ละวันมากน้อยเพียงใด พิจารณาถึงการเก็บข้อมูลระยะสั้น และระยะยาว บางครั้งอาจจะต้องสำรองข้อมูลที่จำเป็นบ่อยครั้ง เช่น ไฟล์วีดีโอที่เป็นฟุดเทจ ถ่ายเก็บ และนำมาใช้ตัดวีดีโอในภายหลัง หรือเป็นไฟล์งานที่ต้องอัพเดตบ่อย รวมถึงเกมเมอร์ ที่ชอบสำรองตัวเกมที่ชอบเอาไว้ และลบไฟล์เกมจากไดรฟ์หลัก ให้เหลือพื้นที่ติดตั้งเกมใหม่เอาไว้เล่นนั่นเอง หากประเมินได้แล้ว ก็ให้เผื่อพื้นที่เอาไว้สักหน่อย กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นอาจใช้ประมาณ 400GB ก็เลือก 500-512GB ได้เช่นกัน แต่ถ้างบประมาณมากหน่อย ตัวเลือก 1TB ก็น่าสนใจไม่น้อย

ดีไซน์และมิติ: เรื่องของดีไซน์ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งในปัจจุบันก็มีตัวเลือกหลายแบบ เช่น บางเบา กระทัดรัด พกพาสะดวก บางรุ่นมีความแข็งแรง ทำบอดี้มาเป็นพิเศษ กันกระแทกและกันฝุ่น ละอองน้ำเป็นต้น หรือบางรุ่นมีที่แขวน จัดเก็บง่าย ตรงนี้ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะเลือกแบบใด แต่ถ้าจะแนะนำ วัสดุที่แข็งแรง ปกป้อง SSD ที่อยู่ภายในได้ดี มีกันกระแทก ไม่ต้องเล็กมาก หากกลัวว่าจะหาย และให้อยู่ในงบประมาณที่ไม่สูงเกินไปนัก

การเชื่อมต่อ: เวลานี้จะเป็นแบบเดียวกันเกือบทั้งหมด นั่นคือต่อผ่าน USB-C แต่จะเป็นมาตรฐานใดนั้น ก็ต้องเช็คที่สเปคกันอีกครั้ง โดยจะมีให้เลือกหลักๆ 2 แบบคือ USB 3.2 Gen1 x2 จะให้ความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูล ประมาณ 1,000MB/s ทั้งการ Read/ Write และ USB 3.2 Gen2 x2 ที่ให้ความเร็วได้มากกว่า อยู่ที่ประมาณ 2,000MB/s ทั้งการ Read/ Write จะเห็นได้ว่าความเร็วมากกว่าถึงเท่าตัว แต่ราคาก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

ราคาและการรับประกัน: การประกันจะคล้ายกับ SSD Internal มีอยู่ 2 แบบ ขึ้นอยู่กับซีรีส์ของ SSD ในแต่ละรุ่น แต่ละค่าย เช่น SANDISK Extreme การรับประกันอยู่ที่ 5 ปี ส่วน SANDISK Portable รุ่นพื้นฐานประกัน 3 ปี หรือจะเป็น WD Element ประกัน 3 ปี ส่วน MYPASSPORT จะรับประกัน 5 ปีเป็นต้น


1.WD MYPASSPORT 4TB

4TB SSD External

ถือว่าเป็น External SSD ของเจ้าตลาดอีกรุ่นหนึ่ง ราคาดีใน 4TB SSD External คร้ังนี้ ที่ทำออกมาตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เคลื่อนย้ายสะดวก และมีความทนทาน ทาง WD เลือกวัสดุที่เป็นเปลือกภายนอก มีความแข็งแรง ทนต่อการตกกระแทกได้ มีให้เลือก 4 สี แดง ทอง น้ำเงินและสีเทา โดยรุ่นที่เป็น 4TB เป็นสีเทา ดูพรีเมียมทีเดียว มาในมิติประมาณฝ่ามือเท่านั้น 100.08 x 55.12 x 8.89mm จัดว่าเล็กกว่ารีโมททีวีที่บ้านด้วยซ้ำ ให้การเชื่อมต่อผ่าน USB-C ในแบบ USB 3.2 Gen 1 จึงให้ความเร็วในการทำงานที่ 1050MB/s (Read) และ 1,000MB/s (Write) จัดว่าเร็วกว่าการที่เราใช้ External HDD พื้นฐานบน USB-A อยู่ไม่น้อยเลย เหมาะกับการทำงานพื้นฐานทั่วไป การจัดเก็บไฟล์จำนวนมาก และการอัพเดตไฟล์อย่างต่อเนื่อง พกพกสะดวก โดยปกติจะเชื่อมต่อแบบ Type-C to Type-C ได้ แต่หากมีโน๊ตบุ๊คหรือพีซีที่เป็นพอร์ตรุ่นเก่า ก็ใช้สายแบบ USB-C to Type-A ได้เช่นกัน การรับประกัน 5 ปี ราคา 15,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ขนาดกระทัดรัด ความเร็วในการทำงานที่ 1050MB/s
ราคาค่อนข้างดี

ข้อมูลเพิ่มเติม: WD


2.Kingston SXS2000 4TB

4TB SSD External

Kingston SXS2000 จัดว่าเป็น External SSD ในกลุ่มพรีเมียม ที่ออกแบบมาสำหรับงานที่สำคัญ และการพกพาที่สะดวก ด้วยมิติตัวไดรฟ์ 69.54 x 32.58 x 13.5mm ที่ถือว่าใกล้เคียงกับกุญแจรีโมทรถยนต์ในแบบ Keyless ในปัจจุบัน น้ำหนักประมาณ 29 กรัมเท่านั้น วัสดุโครงสร้างโลหะ และมีชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติก ให้ทั้งความทนทาน และน้ำหนักที่เบา ซึ่งว่ากันตามมาตรฐาน IP55 ซึ่งมียางรองกันกระแทก เมื่อตกหล่นและกันละอองน้ำ รวมถึงกันฝุ่นได้ค่อนข้างดี ด้านในเป็น NAND Flash ที่ให้ความเร็วในการทำงานสูงถึง 2,000MB/s ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล จึงมั่นใจได้ว่าไฟล์ขนาดใหญ่ อย่างเช่น วีดีโองานระดับ 4K/ 8K จะถูกจัดเก็บ และเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว โดยให้การเชื่อมต่อผ่านทาง USB 3.2 Gen2 x2 ซึ่งหากคุณมีพอร์ตนี้อยู่ที่เครื่องคอมหรือโน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่ ก็จะใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ การรับประกันอยู่ที่ 5 ปี สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 15,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
เล็กสุดในรุ่น เบา วามเร็วในการทำงานสูงถึง 2,000MB/s
ความทนทาน IP55

ข้อมูลเพิ่มเติม: Kingston


3.SANDISK Extreme 4TB

4TB SSD External

จัดว่าเป็น 4TB SSD External ที่เป็นตัวเริ่มต้นของใครหลายคนได้เลย และยังเป็นตัวใช้สำรองงาน โอนถ่ายข้อมูลแบบจริงจัง สำหรับงานที่ต้องให้ความสำคัญทั้งในด้านความเร็ว และความจุ กับระดับ 4TB จาก SANDISK รุ่นนี้ ช่วยให้การทำงานไหลลื่นขึ้นไม่น้อยเลย มาพร้อมดีไซน์ของสีดำตัดเส้นสายสีส้ม อันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ วัสดุภายนอกอะลูมิเนียมกับขอบยาง ที่ช่วยป้องกันแรงกระแทก และมีส่วนในการระบายความร้อนในการใช้งานได้ พอร์ตการเชื่อมต่อมาเป็น USB-C ในแบบ USB 3.2 Gen 2 เสียบใช้งานง่าย ให้มาตรฐาน IP55 เพิ่มความมั่นใจในการเคลื่อนย้าย กันฝุ่น ละอองน้ำได้ดีพอสมควร ให้ความเร็วที่ระดับ 1,050MB/s (Read) และ 1,000MB/s (Write) มิติอยู่ที่ประมาณ 102mm x 53mm x 10mm เท่านั้น ราคา 16,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ดีไซน์ทันสมัย ความเร็วกานอ่านที่ระดับ 1,050MB/s
ความทนทาน IP55

ข้อมูลเพิ่มเติม: SANDISK


4.SANDISK Extreme Pro 4TB

4TB SSD External

อีกหนึ่งที่เข้ามาใน 4TB SSD External เป็นรุ่น Extreme Pro series นี้ ที่ขยายขีดความสามารถขึ้นมาจาก Extreme ทั้งในเรื่องความเร็ว ประสิทธิภาพและการเชื่อมต่อ โดยที่ใช้ในแบบ USB-C เช่นเดียวกัน แต่เป็นอินเทอร์เฟสแบบ USB 3.2 Gen 2 x2 นั่นก็ทำให้ความเร็วในการทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 2,000MB/s ทั้งการอ่านและเขียนข้อมูล เหมาะกับสายทำงานจริงจัง ที่ต้องจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ หรือไฟล์จำนวนมาก หรือบางครั้งอาจจะต้องพรีวิวงานผ่านทาง External Drive ได้อย่างรวดเร็ว หรือมีข้อมูลที่จะต้องอัพเดตในแต่ละวันบ่อย รวมถึงเหล่าเกมเมอร์ ที่อยากจะสำรองไฟล์ตัวโปรดเอาไว้ใช้ จะได้ไม่ต้องดาวน์โหลดกันบ่อยๆ บอดี้เป็นอะลูมิเนียม ที่ช่วยในการระบายความร้อนไปในตัว ดีไซน์ค่อนข้างทันสมัย เป็นสีเทาดำ ตัดด้วยเส้นสายสีส้ม ดูสปอร์ต พร้อมช่องสำหรับแขวนที่คล้องกุญแจได้ ขนาดประมาณ 110.26 x 57.34 x 10.22mm เรียกว่าแทบจะเท่ารีโมททีวีขนาดเล็กได้เลย โดยมีขอบเคสเป็นซิลิโคนโดยรอบ ทำให้ปกป้องได้ดียิ่งขึ้น กับมาตรฐาน IP55 กันน้ำและฝุ่น รวมถึงการหล่นกระแทก พร้อมการรับประกัน 5 ปี สนนราคาอยู่ที่ 19,900 บาท

จุดเด่น ข้อสังเกต
ความเร็วสูง 2,000MB/s
บอดี้พร้อมระบายความร้อนในตัว

ข้อมูลเพิ่มเติม: SANDISK


5.LaCie Rugged SSD 4TB

4TB SSD External

สำหรับค่าย Lacie เชื่อได้เลยว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จัก เพราะโด่งดังในตลาดด้าน Storage มายาวนาน โดยเฉพาะไดรฟ์ที่ให้การ Protect มาเป็นพิเศษ โดยในรุ่น RUGGED นี้ก็เช่นกัน ที่ออกแบบมาให้มีความทนทาน ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันฝุ่น ละอองน้ำ หล่นกระแทก บนมาตรฐาน IP67 ที่มากกว่าในรุ่นอื่นๆ หรือจะเป็นการเข้ารหัสไฟล์ โดยใช้ SSD ในแบบ NVMe ขนาดเล็ก ให้ความเร็วในการทำงานที่ 1,050MB/s (Read) เชื่อมต่อผ่านพอร์ตในแบบต่างๆ ได้ เช่น Thunderbolt 4, USB 3.2 Gen 2 ในแบบ USB-C เชื่อมต่อง่าย กับการออกแบบภายนอกที่ดูแปลกตา ในโทนสีส้มสดใส มิติอยู่ที่ประมาณ 97.9 x 64.9 x 17mm และน้ำหนักประมาณ 100 กรัมเท่านั้น การรับประกัน 5 ปี ราคาค่อนข้างจะโหดสักหน่อย เพราะอยู่ที่ราว 35,590 บาท แต่ก็มีความโดดเด่นในหลายด้าน จัดเป็น 4TB SSD External อีกรุ่นที่น่าสนใจ

จุดเด่น ข้อสังเกต
แข็งแรง ทนทานระดับ IP67 มิติค่อนข้างหนาเล็กน้อย

ข้อมูลเพิ่มเติม: Lacie


Crucial X8 4TB

4TB SSD External

รุ่นสุดท้ายนี้ผมขอเป็นตัวเสริมใน 4TB SSD External เผื่อเป็นทางเลือกของเพื่อนๆ แต่เท่าที่เช็คยังไม่เห็นจำหน่ายในบ้านเรา เคาะราคาต่างประเทศอยู่ที่ราวๆ หมื่นกว่าบาท ก็ถือว่าทำราคาได้ดีทีเดียว และบอดี้ก็ยังออกแบบมาค่อนข้างดี ตัวเคสรับหน้าที่ในการระบายความร้อนไปในตัว กับโทนสีดำ ตัดด้วยโลโก้สีขาว กับมิติที่อาจจะใหญ่กว่ารายอื่นๆ อยู่เล็กน้อย 110 x 53 x 10mm ให้การเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เฟส USB 3.2 Gen 2 ในแบบ USB-C ให้ความเร็วในการอ่านข้อมูล 1,050MB/s ใช้งานง่าย เป็น SSD ที่เหมาะกับคนทำงาน เก็บข้อมูลบ่อย หรืออัพเดตข้อมูลเป็นประจำ และอยู่กับข้อมูลปริมาณมากๆ ซึ่งจะทำให้การโอนถ่ายข้อมูลทำได้รวดเร็ว ไม่ว่าจะทำงานเอกสาร หรือทำด้านงานวีดีโอและงานตัดต่อเป็นต้น โดยให้การรับประกัน 3 ปี

จุดเด่น ข้อสังเกต
รูปลักษณ์ทันสมัย ความเร็วในการอ่านข้อมูล 1,050MB/s

ข้อมูลเพิ่มเติม: Crucial


Conclusion

Model ความจุ มิติ อินเทอร์เฟส Sequential
Read
การรับประกัน (ปี) ราคา
1.WD MYPASSPORT 4TB 100.08 x 55.1 x 8.89mm USB 3.2 Gen 1 1,050MB/s 5 15,900
2.Kingston SXS2000 4TB 69.54 x 32.58 x 13.5mm USB 3.2 Gen 1 1,050MB/s 5 15,900
3.SANDISK Extreme 4TB 102 x 53 x 10mm USB 3.2 Gen 2 1,050MB/s 5 16,900
4.SANDISK Extreme Pro 4TB 110.26 x 57.34 x 10.22mm USB 3.2 Gen 2 2,000MB/s 5 19,900
5.LaCie Rugged 4TB 97.9 x 64.9 x 17mm USB 3.2 Gen 2 2,000MB/s 5 35,590
6.Crucial X8 4TB 110 x 53 x 10mm USB 3.2 Gen 2 1,050MB/s 3 249.99USD

ถ้ามองกันในภาพรวม 4TB SSD External ทั้ง 5-6 รุ่น ที่เรานำมาให้ชมกันในวันนี้ หลายรุ่นมีความน่าสนใจ สำหรับคนที่ทำงานจริงจัง และการใช้ในการบันทึกข้อมูลที่สำคัญ แม้ว่าความจุระด้บ 4TB อาจจะดูห่างไกลจากการใช้งานจริงของหลายคน แต่สำหรับบางท่าน ที่มีข้อมูลจำเป็นต้องใช้อยู่บ่อย อาจจะเป็นความจุที่กำลังพอเหมาะ ซึ่งถ้ามองว่าเยอะไป ยังมีตัวเลือก 1-2TB ให้ได้ใช้กัน ในเรื่องของประสิทธิภาพและความเร็ว SANDISK Extreme Pro ก็ดูน่าสนใจไม่น้อย เพราะราคาเพิ่มจากรุ่นปกติที่ให้ความเร็วระดับ 1,050MB/s ขึ้นมาประมาณ 3,000-4,000 บาท แต่ได้ความเร็วในการอ่านข้อมูลเพิ่มขึ้นมาเท่าตัว ส่วนคนที่ชอบความเล็กกระทัดรัด ตัวเลือกอย่าง Kingston SXS2000 ก็น่าสนใจ แต่ถ้าสายอึด ถึก ทน ก็มีตัวเลือกอย่าง LaCie Rugged ที่ทนกระแทก น้ำและฝุ่น พร้อมมาตรฐาน IP67 อุ่นใจได้ในทุกสภาวะ ส่วนถ้าเน้นราคาดี หาซื้อง่าย WD MYPASSPORT SSD ก็น่าใช้ไม่น้อยเลย ทั้งหมดนี้เป็น SSD รุ่นใหญ่ 4TB แบบต่อภายนอกที่นำมาฝากกันครับ สนใจรุ่นไหน ก็ไปจับจองกันได้เลย เวลานี้มีจำหน่ายเกือบครบทุกรุ่นแล้วครับ และถ้าคุณมองหา SSD ต่อภายในแบบ Internal สามารถเข้าไปชม ที่นี่ ได้เลย มีให้เลือกเพียบ

from:https://notebookspec.com/web/682248-5-4tb-ssd-external-2023

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน ทำไงดี? 7 วิธีเช็ค แก้ไข จัดการได้เอง ลดปัญหาความร้อน

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน แก้ได้ใน 7 วิธี ตรวจเช็ค ปรับแต่ง ซ่อมแซม เปลี่ยนใหม่ จ่ายเบาๆ

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน เป็นปัญหาที่หลายคนพบอยู่ แม้จะปี 2023 แล้วก็ตาม แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้สังเกต จนกว่าจะเจออาการหลังเล่นเกมต่อเนื่อง จนการ์ดจอร้อนขึ้น เกิดจอฟ้า เด้งออกจากเกม หรือภาพแตก แต่สิ่งนี้อาจจะไม่ได้เกิดจากการ์ดจอทำงานผิดเพี้ยน พัดลมเสียหายเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการตั้งค่าการ์ดจอด้วย รวมถึงเรื่องของระบบการจ่ายไฟของเพาเวอร์ซัพพลาย ดังนั้นการแก้ไข ก็ต้องว่ากันไปตามอาการ แต่สามารถตรวจเช็คในเบื้องต้นได้ ด้วยการไล่ไปทีละขั้นตอน หรือถ้าใครมีเมนบอร์ด ที่มีสล็อต PCIe x16 มากกว่า 1 สล็อตหรือมีการ์ดจอตัวอื่นสำรอง หรือสามารถหยิบยืมมาได้ ก็จะช่วยให้วิเคราะห์อาการได้ชัดเจนมากขึ้น และบางทีอาจจะยังไม่ต้องส่งช่างซ่อมหรือส่งเคลมก็ได้ เรามาดูกันว่า จะสามารถเช็คอาการผิดปกติเหล่านี้ และมีวิธีการแก้ไขอย่างไรได้บ้าง


พัดลมการ์ดจอไม่หมุน แก้ไขอย่างไร?


จะเกิดปัญหาอะไรขึ้น เมื่อพัดลมการ์ดจอไม่หมุน

สิ่งที่จะตามมาจากอาการพัดลมการ์ดจอไม่หมุน นั่นคือ ปัญหามากมาย โดยเฉพาะเรื่องของความร้อนสะสม เมื่อเปิดใช้งาน หากไม่ได้เล่นเกม ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณเล่นเกมแบบต่อเนื่อง ที่เมื่อการ์ดจอเริ่มทำงานหนัก แต่

Advertisementavw
พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

การ์ดจออยู่ในเครื่องแกะเปิดเครื่องไม่เป็น แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพัดลมการ์ดจอไม่หมุน เรื่องนี้ก็สำคัญ เพราะหลายคน ก็ไม่ค่อยสะดวกในการแกะหรือเปิดเครื่องเอง หรือบางทีประกอบร้าน ก็อยากจะให้ร้านแกะเช็คให้ง่ายกว่า วิธีสังเกตง่ายๆ ก็คือ

อุณหภูมิขึ้นสูงจนผิดปกติ: ให้สังเกตดูว่า เล่นเกมอยู่ แล้วเด้งหลุดออกจากเกมมั้ย หรือลองฟังเสียงพัดลมการ์ดจอดูได้ เวลาที่เล่นเกมหนักๆ ถ้าพัดลมยังทำงาน ส่วนใหญ่จะพอมีเสียงให้เราได้ยินบ้าง รวมถึงเช็คด้วยซอฟต์แวร์ที่ใช้เช็คฮาร์ดแวร์ก็ได้ จะเห็นรายละเอียดได้ชัดขึ้น เช่น OCCT, HWMonitor, MSI Afterburner และอื่นๆ

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

GPUz: แนะนำเลยครับ สำหรับโปรแกรมนี้ เพราะตัวเล็ก ฟรี โหลดมาใช้ง่าย เช็คสเปคการ์ดจอพีซีและโน๊ตบุ๊คได้รวดเร็ว บอกรายละเอียดของการ์ดจอออนบอร์ดและแยกได้ครบถ้วน แม่นยำ โดยดูที่ชื่อการ์ดจออยู่ด้านล่างแล้วเลือกการ์ดจอรุ่นที่ต้องการดูข้อมูลได้ทันที จะแสดงทั้งชื่อรุ่นการ์ดจอ, สถาปัตยกรรมของการ์ดจอรุ่นนั้น ๆ รวมถึง เวอร์ชั่นของ DirectX และอื่น ๆ ได้ละเอียดมาก ส่วนหน้า Sensors จะใช้สำหรับเช็คสถานะการทำงานของการ์ดจอ เช่น GPU Clock, Memory Clock และดูอุณหภูมิ ทำให้เราทราบถึงความผิดปกติของการ์ดจอได้ทันที แถบอุณหภูมิจะไม่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าโปรแกรม GPUz นี้ ไม่ได้ระบุความเร็วรอบของพัดลมมาให้ แต่ก็พอดูได้ว่าการ์ดจอร้อนผิดปกติอย่างรวดเร็วหรือเปล่า

แสดงผลผิดปกติ: ส่วนใหญ่ถ้าอาการเป็นถึงขั้นนี้แล้ว ก็แทบจะเรียกว่าเป็นปัญหาหนัก เพราะการ์ดจออาจเกิดความเสียหาย จนการแสดงผลผิดเพี้ยน เช่น แตกเป็นลายๆ ภาพหาย ไปจนถึงเล่นเกมภาพค้างไปเลยก็มี แบบนี้ไม่ควรใช้ต่อ ส่งเคลมหรือร้านซ่อมให้เช็คให้ทันทีดีที่สุด


1.สลับเปลี่ยนไปใช้สล็อตอื่น

เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด และสามารถทำได้ในเวลานั้นเลย โดยที่ไม่ต้องไปหาซื้อหรือเปลี่ยนอุปกรณ์อื่นใด ให้วุ่นวาย และช่วยให้การตรวจเช็คพัดลมการ์ดจอไม่หมุนได้ง่ายที่สุด แต่เงื่อนไขเดียวที่จำเป็นก็คือ เมนบอร์ดของคุณนั้นจะต้องมีสล็อต PCIe x8 หรือ x16 อย่างน้อย 2 สล็อต สังเกตง่ายๆ คือ เป็นสล็อตแบบยาว เพื่อให้ติดตั้งการ์ดจอได้ แต่เมนบอร์ดส่วนใหญ่ที่ทำได้ มักจะเป็นเมนบอร์ดที่ใช้ชิปเซ็ตระดับกลางขึ้นไป เช่น Intel B หรือ Z series หรือจะเป็น AMD B หรือ X series เป็นต้น

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

ตัวอย่างเช่น เมนบอร์ด ASRock X570 AQUA ที่มาพร้อมสล็อต PCIe x16 มาถึง 3 สล็อตด้วยกัน ทำให้คุณสามารถสลับสล็อตได้ตามสะดวก เพื่อเช็คการทำงานของการ์ดจอได้ แต่ก็มีข้อสังเกตเล็กน้อยคือ บางสล็อตนั้น จะใช้ช่องทาง PCIe ร่วมกับ SSD ในแบบ M.2 ที่อยู่ใกล้กัน หากคุณติดตั้ง SSD M.2 อยู่ใกล้กันนั้น ก็อาจจะทำให้การ์ดจอไม่ทำงาน

โดยพื้นฐานหากการ์ดจอทำงานปกติ พัดลมไม่ได้เสียหาย หรือติดขัด สล็อตบนเมนบอร์ดเชื่อมสัญญาณได้ตามปกติ หลังจากที่ต่อสายไฟเลี้ยงแล้ว การ์ดจอก็จะทำงานได้ และพัดลมการ์ดจอก็จะหมุนได้ตามปกติ แต่ถ้าพัดลมไม่หมุน ก็คงจะต้องหาสาเหตุกันต่อไป


2.เช็คสายต่อไฟเลี้ยง

บางครั้งก็เป็นปัญหาที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน เพราะหลายคนติดตั้งเมนบอร์ด ใส่แรม เสียบการ์ดจอ และติดตั้งฮีตซิงก์ระบายความร้อน ชุดน้ำครบถ้วน แต่มาลืมสายไฟต่อการ์ดจอที่เป็นแบบ 6+2 pins ที่เป็นคอนเน็กเตอร์อยู่บนการ์ดจอ ก็ไม่สามารถทำงานได้ จอไม่แสดงผล รวมถึงพัดลมการ์ดจอก็ไม่ทำงานเช่นกัน ดังนั้นควรจะต้องตรวจเช็คจุดนี้เป็นจุดแรกๆ หรือต้องต่อสายให้ครบ เพื่อให้ระบบทำงานได้ตามปกติ

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

แต่ในบางครั้งการใช้เพาเวอร์ซัพพลายแบบถอดสายได้ (Full modular) เวลาที่มีการเคลื่อนย้าย หรือดึงรั้งสายไปมา อาจทำให้สายต่อหลุดหลวม ก็อาจจะทำให้การ์ดจอไม่ทำงาน หรือพัดลมการ์ดจอไม่หมุนได้เช่นกัน อย่าลืมเช็คสายที่ต่อจากเพาเวอร์ซัพพลายพร้อมกันไปด้วย และบางครั้งสายพัก เสียหาย ก็ไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับเพาเวอร์ที่ใช้งานมานาน หรือมีการถอดเคลื่อนย้ายบ่อยนั่นเอง

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน
source: pcguide

สุดท้ายต้องไม่ลืมว่า ไฟเลี้ยงจากเพาเวอร์ซัพพลาย +12V ต้องเพียงพอต่อการใช้งานของการ์ดจอ ซึ่งในเบื้องต้น อาจจะต้องตรวจเช็คจากค่าการใช้พลังงาน และต้องไม่ลืมบวกกับองค์ประกอบอื่นๆ ที่อยู่ในพีซีที่คุณประกอบเข้าไปด้วย ดังนั้นอาจจะดูข้อมูลจากผู้ผลิตการ์ดจอแต่ละรายได้เช่นกัน และในบางครั้งเราจะพบว่า การ์ดจออาจดับหรือทำงานผิดปกติ เมื่อเพาเวอร์ไม่สามารถจ่ายไฟได้ตามปกตินั่นเอง

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน
source: tech4gamer

3.เช็คสภาพพัดลม

หากคุณมองว่าจากสองข้อแรกที่ผ่านมา ไม่มีอะไรผิดปกติ เพาเวอร์ซัพพลายใหม่ สล็อตการ์ดจอบนเมนบอร์ดทำงานได้ แต่สุดท้ายแล้วพัดลมการ์ดจอไม่หมุน จะทำอย่างไร

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

สิ่งที่ควรทำต่อไป ก็คือ การเช็คสภาพพัดลมการ์ดจอ ว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่พัดลมการ์ดจอที่ทำงานมาหนัก ใช้งานมานาน ก็มักจะเกิดสิ่งสกปรกขึ้นได้ โดยเฉพาะอยู่ในสภาพแวดล้อม ที่มีฝุ่น น้ำมัน ความชื้น ซึ่งก็จะทำให้พัดลมไม่หมุน หรือหมุนช้าลงได้ เนื่องจากสิ่งสกปรกไปเกาะอยู่ที่แกนพัดลม ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ต้องใช้วิธีทำความสะอาด เพราะถือว่าไม่ได้เกิดจากความเสื่อมของพัดลม

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

อีกเรื่องหนึ่งคือ พัดลมการ์ดจอถูกใช้งานมานาน เช่น หมุนอยู่ตลอดทั้งวัน หรือมีชั่วโมงทำงานจำนวนมาก อย่างเช่น ที่เรามักจะพบอยู่บนการ์ดจอขุดบิตคอยน์ Cryptocurrency ที่ทำงานแบบ 24/7 ก็มีผลทำให้พัดลมเสียหายได้เช่นกัน แบบนี้ถือว่าเกิดความเสื่อมขึ้นกับพัดลม มีเพียงการซ่อมแซม หรือการเปลี่ยนพัดลมใหม่เท่านั้น ที่จะแก้ไขได้ผลดีที่สุด

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ พัดลมยังอยู่ในสภาพปกติหรือไม่ อย่างเช่น ใบพัดเสียหาย แตกหัก เนื่องจากอุบัติเหตุ หรือที่มักจะเจอกันบ่อยคือ มีสายสัญญาณหรือของบางอย่าง หล่นลงไปในพัดลมการ์ดจอ ก็อาจะทำให้เสียหายได้เช่นกัน และถ้าเสียหายแบบนั้น ก็จะไม่อยู่ในเงื่อนไขของการรับประกัน และคุณต้องหาทางซ่อมเองครับ

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

แต่ถ้าเช็คสภาพพัดลมแล้ว ยังแค่สกปรก พอจะมีโอกาสทำความสะอาด และกลับมาใช้งานได้ตามปกติ หรือพอจะหมุน เพื่อทำงานได้ไปสักระยะ ก็แนะนำว่าให้ทำความสะอาด เพื่อให้กลับมาใช้งานได้ เพื่อลดค่าใช้จ่าย


4.ทำความสะอาด

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

การทำความสะอาดการ์ดจอ ในกรณีที่พัดลมการ์ดจอไม่หมุน ก็ทำได้หลายวิธี มีตั้งแต่ใช้การเป่าฝุ่นธรรมดา ไปจนถึงแกะฮีตซิงก์และพัดลมออกมาปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาด โดยเตรียมอุปกรณ์อย่างเช่น ที่เป่าลม แปรงปัดฝุ่น น้ำยาเช็ดทำความสะอาด

การทำความสะอาดมีด้วยกันหลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ง่ายๆ เลย ขั้นพื้นฐาน ไม่ต้องถอดฮีตซิงก์ คือการใช้แปรงขนอ่อน ที่มีความยาว ค่อนๆ ปัด ให้ขนแปรงซอกซอนเข้าไปในช่องต่างๆ อาจจะใช้พัดลมคอยเป่าลม ให้ฝุ่นกระจายออกมาได้เร็วมากขึ้น

VGA card cleaning 2023 8 1

หรือการใช้เครื่องเป่าลม เป่าไปยังพัดลมของตัวการ์ด แต่ให้จับใบพัดลมให้แน่นๆ เพื่อไม่ให้ใบพัดทำงาน เพื่อป้องกันความเสียหาย อันเนื่องจากใบพัดลมหมุนรอบสูง จากการถูกลมเป่าใส่นั่นเอง

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

ส่วนถ้าเอาแบบฮาร์ดคอร์ ก็อาจจะแกะฮีตซิงก์ และใบพัดลมแยกออกมาจากตัวการ์ด จากนั้นทำความสะอาดทีละชิ้น ใช้ตัวเป่าลมอัดลมไปทั้ง 2 ด้านของครอบพัดลมที่แกะออกมา จากนั้นใช้แปรงขนอ่อน ค่อยๆ ไล่ผุ่นที่อยู่ภายในออกมา โดยเฉพาะบริเวณแกนพัดลม แล้วใช้ไม้พันสำลีเล็กๆ ชุบแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มาเช็คตามซอกหลืบของพัดลม


5.เช็คการตั้งค่าพัดลม

หากเป็นการ์ดจอในอดีต พัดลมจะทำงานทันที เมื่อเริ่มต้นบูตระบบ หรือเปิดใช้งาน แต่ในปัจจุบันการ์ดจอมีการปรับเปลี่ยน ให้พัดลมสามารถทำงานตามรอบที่กำหนด หรืออุณหภูมิที่ตั้งเอาไว้ได้ เมื่อไม่ได้ใช้งานการ์ดจอหนัก เช่น ไม่ได้เล่นเกม เปิดดูเว็บทำงานทั่วไป พัดลมการ์ดจอจะไม่หมุน จนกว่าจะร้อนสูงถึงระดับ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 60 องศาเซลเซียส จึงจะเริ่มหมุน

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

อย่างเช่น การ์ดจอของทาง MSI ที่มีฟีเจอร์ Zero Frozr ซึ่งจะไม่หมุน เมื่ออุณหภูมิการ์ดจอต่ำกว่า 60 องศา ส่วนหนึ่งเพื่อการลดเสียงรบกวนในขณะทำงาน โดยตรงนี้ผู้ผลิตบางค่าย ก็จะมีซอฟต์แวร์ยูทิลิตี้ให้ได้ปรับแต่งกัน คือจะปิดการทำงาน กรณีที่อยากให้พัดลมการ์ดจอทำงานตลอดเวลาก็ได้ หรือบางค่าย ก็จะมีโหมดให้ปรับจูน ทั้งโหมด Silent เน้นเสียงรบกวนน้อย, OC สำหรับการโอเวอร์คล็อกเพิ่มความเร็ว หรือโหมดเกม ตรงนี้ก็จะเป็นโพรไฟล์ให้ผู้ใช้เลือกตามความเหมาะสมนั่นเอง ดังนั้นหากไม่มั่นใจว่าการที่พัดลมการ์ดจอไม่หมุน อาจเกิดจากสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

อย่างทาง Gigabyte เอง ก็มี 3D Active Fan ที่ให้พัดลมทำงานตามอุณหภูมิที่เหมาะสม นอกเหนือจากชุดพัดลมที่ออกแบบมาให้ และบางรุ่นที่เป็น 3 พัดลม ก็มี ALTERNATE SPINNING ในการจัดทิศทางการหมุนให้ระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

ส่วนทาง PowerColor ก็มีเทคโนโลยีที่เรียกว่า Mute Fan ที่จะไม่ให้พัดลมการ์ดจอหมุน หากอุณหภูมิไม่ถึง 60 องศาเซลเซียส เพื่อลดโหลดการใช้พลังงาน และลดเสียงรบกวนที่อาจเกิดขึ้นขณะที่ใช้งานนั่นเอง

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

ดังนั้นช่วงแรก อาจจะยังไม่ต้องตกใจ ให้ลองเล่นเกม แล้วเปิดดูอุณหภูมิตามไปด้วย หรือใช้โปรแกรมอย่าง FURMARK และโปรแกรมอย่าง MSI Afterburner ตั้งค่าให้แสดงอุณหภูมิของการ์ดจอตามไปด้วย หากตัวเลขขึ้นสูงเกินกว่าระดับ 60 องศาเซลเซียส แล้วพัดลมยังไม่ทำงาน อีกทั้งมีอาการผิดปกติ ก็อาจเป็นไปได้ว่าพัดลมการ์ดจออาจจะเสียได้


6.เปลี่ยนพัดลมการ์ดจอใหม่

สำหรับขั้นตอนนี้ อาจจะเหมาะกับผู้ใช้ที่พอมีพื้นฐานด้านช่าง การแกะชิ้นส่วนอุปกรณ์อยู่บ้าง รวมถึงเคยทำมาก่อน แม้ว่าจะไม่ได้ซับซ้อน แต่ก็บางจุดที่ควรจะต้องระมัดระวัง มีเครื่องมือให้พอใช้งาน และที่สำคัญจะต้องหาซื้อชิ้นส่วนที่เป็นชุดพัดลม นำมาเป็นพาร์ทสำหรับเปลี่ยนกับพัดลมตัวเก่าที่ใช้งานไม่ได้แล้ว

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

สิ่งที่ต้องเตรียมประกอบด้วย ไขควง 4 แฉก อุปกรณ์เซาะหรือง้างชิ้นส่วน ฮีตซิงก์หรือคีมเล็กๆ ที่ใช้ในการดึงสายไฟ รวมถึงสิ่งที่ใช้ในการทำความสะอาด เพราะไหนๆ ก็แกะพัดลม ฮีตซิงก์ออกมาแล้ว ก็น่าจะทำความสะอาดตัวการ์ดไปด้วยเลย เพื่อให้ตัวการ์ดสะอาดเหมือนใหม่ ใช้งานต่อไปได้ยาวๆ

หาซื้ออะไหล่ที่ไหนได้บ้าง?

เรื่องการซื้อหาอะไหล่พัดลมมาเปลี่ยน มีด้วยกันหลากหลายที่เลยทีเดียว ว่ากันตั้งแต่หน้าร้านออนไลน์ในบ้านเรา มีตั้งแต่ร้านออนไลน์ไอทีทั่วไป หรือจะเป็นบรรดา Store ต่างๆ รวมถึงตลาดออนไลน์ กลุ่มหรือ Group ที่เป็น Facebook group ที่เป็นกลุ่มสินค้าไอทีมือสอง กลุ่มการ์ดจอ หรือจะเป็นกลุ่มที่เป็นสายขุด (Cryptocurrency) ที่มักมีอะไหล่มาแลกเปลี่ยนกันอย่างมากมาย

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

ถ้าใครชอบการการันตี มีของให้เลือก และมีช่องทางการชำระเงินที่สะดวก ทางเลือกอย่าง Shopee หรือ Lazada เหล่านี้ก็น่าสนใจ ยังไม่รวมถึงตลาดออนไลน์ระดับโลกขนาดใหญ่อย่าง Amazon ก็มีตัวเลือกให้มากมายเลยทีเดียว

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

การแกะชิ้นส่วนพัดลม ยากง่ายขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละราย ว่ามีงานประกอบละเอียดมากน้อยเพียงใด เพราะการ์ดบางรุ่นแกะตัวล็อคกับน็อตไม่กี่จุด พร้อมดึงขั้วต่อพัดลมออกเท่านั้น แต่บางรุ่นซ้อนชั้นพัดลม ฮีตซิงก์และตัวล็อคขนาดเล็ก การแกะพัดลมออกมา ก็ต้องพิถีพิถันมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสียหาย

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

สิ่งที่ต้องระวังมีอยู่หลายส่วนเลย หากต้องการจะแกะพัดลม ฮีตซิงก์การ์ดจอด้วยตัวเอง ตั้งแต่เรื่องของไฟฟ้าสถิตย์ ควรมีถุงมือ หรือคลายประจุก่อนทำการแกะทุกครั้ง ชิ้นส่วนหรือน็อตบางตัว มีขนาดเล็ก อยู่ลึกหรือมีความซับซ้อน ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง เครื่องมือมีให้พร้อมเอาไว้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นไขควง ชุดแกะแยกชิ้นส่วน รวมถึงเมื่อแกะออกมาแล้ว หาที่จัดเก็บชิ้นส่วนต่างๆ ให้ดี อย่าให้หาย การวางตัวการ์ดที่ไม่มีฮีตซิงก์ ระวังอย่าให้ตกกระแทกหรือให้สิ่งใดกระทบจนเสียหายหรือเป็นรอย ถ้าคิดว่าต้องซ่อมหรือรอพัดลมอะไหล่นาน แนะนำว่าเก็บใส่ซองบับเบิลกันกระแทกเอาไว้ ดีที่สุด


7.ส่งซ่อมกับช่างผู้ชำนาญ

หากถึงที่สุดแล้ว พยายามทำหลายๆ ทาง แต่พัดลมการ์ดจอ ก็ยังไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ การส่งร้านซ่อม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้การ์ดจอของคุณกลับมาทำงานได้ตามปกติ ร้านซ่อมเหล่านี้มีอยู่มากมายทั่วประเทศ หรือสามารถเข้าไป Search ข้อมูล เอาแบบที่อยู่ใกล้บ้าน ติดตามงานได้สะดวกดีที่สุด รวมถึงเข้าไปดู Feedback จากบรรดาลูกค้าที่เข้ามาคอมเมนต์อีกทางหนึ่ง เพื่อความมั่นใจ แต่วิธีนี้ แนะนำสำหรับคนที่ใช้การ์ดจอหมดประกันแล้ว หากยังมีประกัน ให้ส่งเคลมตัวแทนจำหน่ายน่าจะเหมาะสมกว่า

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

สิ่งที่ต้องสังเกตก็คือ ควรเลือกร้านซ่อมที่วางใจได้ มีผลงานที่สามารถพิจารณาได้ และน่าไว้วางใจ มีการรับประกันงานซ่อม สามารถติดต่อได้หลายช่องทาง อัพเดตงานบ่อย โดยที่ผู้ใช้อาจจะตรวจสอบได้จากเพจหน้าร้าน หรือบางร้านก็โปรโมตผลงานผ่านทาง Community หรือ Facebook Group ต่างๆ ที่เหลือก็เป็นการสอบถามเรื่องค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการซ่อม หากพึงพอใจ ก็ติดต่อเพื่อส่งซ่อมได้ทันที

พัดลมการ์ดจอไม่หมุน

การส่งซ่อมควรมีที่อยู่ร้าน ตำแหน่งแน่ชัด รวมถึงช่องทางการติดต่อที่สะดวก เพื่อให้เราสามารถตามงานได้ง่าย หรือเป็นไปได้ หากไปส่งด้วยมือที่ร้านได้ก็ยิ่งดี ย้ำครับว่าอย่าลืมสอบถามการรับประกันงานซ่อม เป็นระยะเวลาเท่าใด หลังจากซ่อมเสร็จแล้ว อย่างน้อยการันตีว่า หากเกิดปัญหาจะได้รับการดูแลต่อเนื่องไป ไม่หายกันไปไหน

ได้รับการ์ดจอที่ซ่อมกลับมาแล้ว ก็อย่าลืมรีเช็ค ทดลองใช้งานด้วยว่า พัดลมหมุนตามปกติหรือไม่ มีเสียงรบกวนหรือไม่ ใบพัดเสถียรดีหรือเปล่า รวมถึงลดความร้อนการ์ดจอได้ตามปกติมั้ย? หากไม่มีปัญหาอะไรใช้งานได้ตามปกติ ก็ถือว่าคุ้มค่า!


Conclusion

Gigabyte GeForce RTX 3060 Ti GAMING OC 014

สุดท้ายนี้หากคุณต้องเจอกับปัญหา พัดลมการ์ดจอไม่หมุน และยังไม่รู้จะหาทางแก้อย่างไร ลองนำวิธีการตรวจเช็คและแก้ไขทั้ง 7 ข้อนี้ ไปลองปรับใช้กันดูครับ เพราะบางครั้งอาจจะเกิดจากแค่ไดรเวอร์หรือการปรับแต่งบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป เพียงแค่เข้าไปปรับแก้เล็กน้อย ก็ใช้งานได้ตามปกติแล้ว หรือถ้าเกิดจากความสกปรก เนื่องจากใช้งานมานาน และการ์ดจอของคุณหมดประกันไปแล้ว อยากจะลองทำความสะอาดด้วยตัวเอง ก็สามารถลองทำดูได้ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม และเน้นที่ความระมัดระวัง แต่ถ้ากังวลไม่อยากทำเอง ก็มีผู้ให้บริการทำความสะอาดการ์ดจออยู่มากมายเลยทีเดียว เช่นเดียวกับร้านซ่อม หากซ่อมเปลี่ยนพัดลมเอง อาจจะไม่ได้ยาก หากคุณหาพาร์ทของพัดลมให้ตรงรุ่นได้ แต่ราคาอาจจะสูง หรือใช้เวลา ส่วนถ้าส่งร้านซ่อมบางครั้งราคาอาจจะสูงบ้าง แต่ก็วางใจได้ว่ามีช่างที่ชำนาญในการซ่อมแซม ซึ่งก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความสะดวก และค่าใช้จ่ายของคุณ ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ที่ผ่านมา การ์ดจอราคาถูกลงมาเยอะแล้ว หากคุณคิดว่าเอามาซ่อมอาจไม่คุ้มค่า หรือน่าจะได้เวลาเปลี่ยนใหม่ ก็แนะนำเลยครับ เพราะคุณจะได้เทคโนโลยีใหม่ แรงมากขึ้น และการรับประกันแบบเต็มๆ ไม่ต้องลุ้น หรือหากจะลองมาดูรุ่นของการ์ดจอเพิ่มเติม สามารถเข้าชมได้ที่หน้าจัดสเปคพีซีของเรากันได้เลยครับ

from:https://notebookspec.com/web/681180-graphic-card-fan-not-spin