คลังเก็บป้ายกำกับ: ข่าวพีอาร์

Group-IB ลงนามร่วม nForce ประกาศแผนเปิดศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัลขึ้นในไทย

Group-IB ได้จัดแถลงข่าวประกาศแผนการที่จะเปิดศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมดิจิทัล (Digital Crime Resistance Center) ขึ้นในประเทศไทย พร้อมทั้งการลงนามในสัญญาความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (มหาชน)

ภายใต้ความร่วมมือนี้ nForce จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดของ Group-IB ที่รวมกันอยู่ภายใต้ชื่อกลุ่มผลิตภัณฑ์ Unified Risk Platform ของ Group-IB ซึ่งเป็นระบบนิเวศของโซลูชันที่เข้าใจโปรไฟล์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ของแต่ละองค์กรและสามารถปรับแต่งการป้องกันให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กรได้แบบเรียลไทม์โดยผ่านการติดต่อกับผู้ใช้งานเพียงอินเทอร์เฟซรูปแบบเดียว (A Single Interface)

nForce จะจัดตั้งทีมรับมือและตอบสนองต่อเหตุการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ทีมแรกของตนขึ้นในประเทศไทย โดยได้รับความช่วยเหลือจาก Group-IB Digital Forensics & Incident Response ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สะสมยาวนานมากกว่า 70,000 ชั่วโมงในการดำเนินการรับมือและตอบสนองต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั่วโลกที่ทาง Group-IB ดูแลอยู่

from:https://www.enterpriseitpro.net/nforce-group-ib-news-release/

Advertisement

MVComm สบช่องส่งแบรนด์ Grandstream จากอเมริกาบุกเครือข่าย Wi-Fi Ethernet Router ในไทย

ปัจจุบัน องค์กรต่างๆ ต้องการสถาปัตยกรรมการเชื่อมโยงเครือข่ายที่ต้องจัดการง่ายและชาญฉลาดเพื่อรองรับธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและขยายตัวตลอดเวลา บริษัท เอ็มวี คอมมิวนิเคชั่นส์ จํากัด (เอ็มวี คอม, http://www.mvcoms.com) เป็นบริษัทชั้นนําในการจัดหาโซลูชั่นด้านสื่อสารและโทรคมนาคมในประเทศไทย มีความยินดีที่นำผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Grandstream (แกรนด์สตรีม, http://www.grandstream.com) ที่มีจุดเด่นในเรื่องประสิทธิภาพ และความง่ายในบริหารจัดการจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาตอบสนองความต้องการของตลาดไทยเป็นรายแรก

จากที่เอ็มวี คอมอยู่ในตลาดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์คกิ้งมากกว่า 20 ปี และเป็นที่รู้จักในเรื่องของการจัดหาอุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์คกิ้ง ที่มีบริการหลังการขายช่วยแก้ปัญหาได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้เป็นอย่างดี เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ระบบโทรศัพท์ระบบไอพี หรือ VoIP ของแกรนด์สตรีมได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ขึ้นเป็นแบรนด์สินค้าอันดับหนึ่งในกลุ่มนี้ และเมื่อแกรนด์สตรีมมีผลิตภัณฑ์ใหม่ด้าน Wi-Fi Access Point, Wi-Fi Router และ Ethernet Switching เสริมเข้ามาเติมเต็มให้ครบครัน รวมถึงมีระบบบริหารจัดการอุปกรณ์ที่ทำให้ดูแลได้ง่ายขึ้น จึงทำให้ลูกค้าสามารถออกแบบการใช้งานได้ตรงตามโซลูชั่นที่ต้องการ

แกรนด์สตรีมเป็นผู้ให้บริการระดับโลกในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าระบบโทรศัพท์ระบบไอพี หรือ VoIP โดยมีสินค้าจำหน่ายในกว่า 150 ประเทศสู่ลูกค้าหลายพันล้านคนทั่วโลก  และได้มอบให้เอ็มวี คอมเป็นผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย ทำตลาด VoIP ในเมืองไทยมาเป็นเวลามากกว่า 15 ปี โดยทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายภาพในประเทศ ทำให้ได้การตอบรับในตลาดเมืองไทยในกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้สูงเป็นอันดับหนึ่ง มีความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาการผลิตที่มีประสิทธิภาพและนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้ แกรนด์สตรีมกำลังเติบโตขึ้นก้าวสู่การเป็นผู้นำให้บริการผลิตภัณฑ์ระบบเครือข่ายครบวงจรมากยิ่งขึ้น ที่พร้อมพัฒนาและให้บริการลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เติมเต็มทุกความต้องการ ทำให้ชีวิตไม่ขาดการเชื่อมต่อ และมอบประสบการณ์การใช้งายที่รวดเร็ว ลื่นไหล และปลอดภัยเป็นที่สุด

ในวันนี้แกรนด์สตรีม และเอ็มวี คอมเปิดตัวกลุ่มสินค้าใหม่ ภายใต้แนวคิดการเสนอโซลูชันด้านเครือข่ายเน็ตเวิร์คกิ้งที่ครบวงจร (Full Networking Solution) ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ Wi-Fi 6, Wi-Fi 6E Access Point, Wi-Fi Router, Wi-Fi Point to Point, Ethernet Router, Ethernet Switching, PoE Ethernet Switching และ Cloud Device Management เพื่อสร้างเครือข่ายองค์กรที่เชื่อมต่อง่าย ให้ประสิทธิภาพ ทำงานเร็ว คุ้มค่าการลงทุนเป็นเจ้าของ

นายเกียรติกมล สุคนธมาน กรรมการผู้จัดการที่บริษัท เอ็มวี คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัดได้กล่าวเปิดงานว่า บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวภายในประเทศ มีความมุ่งมั่นผลักดันโซลูชั่นของแกรนด์สตรีม พร้อมด้วยบริการที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ดังกล่าวให้ครอบคลุมครบวงจรที่สุดทั่วทั้งประเทศไทย รวมถึงการให้คำปรึกษา บริการแก้ไขซ่อมบำรุงอุปกรณ์ด้วยทีมงานมืออาชีพ ทั้งยังรวมถึงการให้การรับประกันสินค้าที่ยาวนาน เพิ่มความมั่นใจแก่ลูกค้าของบริษัทฯ

โซลูชันเบ็ดเสร็จจากเอ็มวี คอมเหมาะสำหรับองค์กรที่มีการปรับเปลี่ยนและขยายตัวอยู่ตลอดเวลา อันรวมถึงองค์กรเอกชน สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล โรงแรมและหน่วยงานรัฐ โดยบริษัทฯ มีพันธมิตรรายใหญ่กับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัดและบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

นายเบ็น ไมลล์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ภูมิภาคโอเชียเนียที่แกรนด์สตรีม เน็ทเวิร์ค อิงค์ได้เล็งเห็นศักยภาพในตลาดของไทย และด้วยทีมงานของเอ็มวี คอมที่เข้าใจความต้องการตลาด ทำงานเน้นการให้บริการใกล้ชิดกับลูกค้ามาอย่างยาวนาน ทำให้ลูกค้าให้ความไว้ว่างใจและเชื่อมั่น

เบ็นอธิบายถึงผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้า GWN (Grandstream Wireless Network) ว่าประกอบด้วย Wi-Fi Access Points ชนิด Indoor และ Outdoor, Wi-Fi Router, Ethernet Switching และ Ethernet Routers ทั้งหมดนี้รวมกันเพื่อสร้างเครือข่ายเน็ตเวิร์คระดับสูงที่สามารถปลดล็อกศักยภาพของแบนด์วิดท์และความปลอดภัยขององค์กร ทั้งนี้ระบบบริหารจัดการอุปกรณ์บนคลาวด์ (Grandstream Device Management System: GDMS) ที่จะเชื่อมโยงการทำงานของอุปกรณ์ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน ให้ทำงานได้อย่างราบรื่นและควบคุมได้จากอินเตอร์เฟซเดียว โดยเป็นการให้บริการแบบ Free License ไม่จำกัดจำนวนอุปกรณ์บนโครงข่ายคลาวด์เสถียรภาพสูงของ Amazon AWS จึงช่วยให้ต้นทุนการบริหารจัดการต่ำมาก มีความคุ้มค่าต่อการลงทุนในการขยายเครือข่ายระยะยาว ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มในการซื้ออุปกรณ์ที่ช่วยในการบริหารจัดการอุปกรณ์

ผลิตภัณฑ์ของแกรนด์สตรีมได้รับการพัฒนาอยู่บนวิสัยทัศน์ที่ให้เกิดความครอบคลุมการใช้งานและการบริหารจัดการเครือข่ายอุปกรณ์ ให้ความสะดวกสบายและง่ายต่อผู้ดูแลระบบไม่ว่าจะองค์กรขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และองค์กรที่ต่องการความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยยังคงไว้ซึ่งคุณสมบัติการบริหารจัดการระดับสูง ในต้นทุนที่ต่ำที่สุด ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์สินค้ายี่ห้ออื่นที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกัน พบว่าอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าหรือต้องมีจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อให้รองรับจำนวนที่ต้องการในการบริหารจัดการที่มีในเครือข่าย ซึ่งเป็นจุดเน้นย้ำว่า ผลิตภัณฑ์ของแกรนด์สตรีมมีระบบการบริหารจัดการอุปกรณ์ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้

กลุ่มผลิตภัณฑ์ของ GWN จะประกอบด้วย 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ กลุ่ม GWN Wi-Fi Access Point Series, กลุ่ม GWN Router Series และกลุ่ม GWN Network Switching Series

from:https://www.enterpriseitpro.net/mvcomm-grandstream-news-release/

บราเดอร์ เปิดเกมรุกเพิ่มศักยภาพทุกส่วน ดันองค์กรสู่การเติบโตกว่า 5% ในปีงบฯ 66

บราเดอร์ ประกาศแผนและทิศทางการดำเนินธุรกิจเชิงรุกในปีงบประมาณ 2566 หลังปีที่ผ่านมาสร้างอัตราการเติบโตสูงถึง 12%      ปลดล็อคปัญหาสินค้าขาด    เสริมทีมทุกส่วนให้พร้อมเดินหน้ารับเศรษฐกิจฟื้น เล็งขยายส่วนแบ่งการตลาดทั้งกลุ่ม print และ non-print ปูพรมเปิดตัวสินค้าใหม่ตลอดทั้งปี ขยายทีมเซลล์เจาะลูกค้าเพื่อนำเสนอโซลูชัน ติดปีกดีลเลอร์เพิ่มศักยภาพการขายให้มากยิ่งขึ้น พร้อมคงคุณภาพงานบริการอันเป็นเลิศ และสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อส่งเสริมสังคมและสิ่งแวดล้อมดังเช่นทุกปีที่ผานมา

 นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การรุกตลาดครั้งใหญ่ของ บราเดอร์ ในปีงบประมาณ 2566 จะทำให้เกิดการรับรู้และการยอมรับในแบรนด์เพิ่มมากขึ้นทั้งในกลุ่มลูกค้าองค์กรและกลุ่มลูกค้าผู้บริโภค ครอบคลุมทุกกลุ่มเจนเนอเรชัน โดยเฉพาะกลุ่มนิวเจนที่ บราเดอร์ เห็นว่ามีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก จึงเน้นที่จะเจาะกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วยการใช้กลยุทธ์แบรนด์พรีเซนเตอร์มาเชื่อมและพัฒนาจากผู้บริโภคสู่ community

“ความได้เปรียบของ บราเดอร์ คือการมีผลิตภัณฑ์ทั้งกลุ่ม print และ non-print ที่พร้อมตอบความต้องการทุกเจนเนอเรชัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้สามารถพัฒนากลยุทธ์การตลาดได้หลากหลายและปรับให้เป็นไปตามความต้องการของตลาดได้ทุกกลุ่ม ซึ่งในปีนี้ บราเดอร์ มีการปรับโครงสร้างทีมขาย ที่พร้อมจะสนับสนุนพาร์ทเนอร์ให้ร่วมสร้างการเติบโตไปพร้อมกัน   และ เพื่อรับการกลับมาของตลาดเราจึงวางแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ในทุกกลุ่มตลอดปี และที่สำคัญเราได้วางกลยุทธ์เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ลูกค้า ด้วยการจับมือแบรนด์ระดับโลกสร้างสรรค์ collaborative product เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่สินค้าของ บราเดอร์” นายธีรวุธกล่าวเสริม

 ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ที่ถือเป็นเส้นเลือดหลักของ บราเดอร์ นั้น นางสาวทิพยา ไตรเสถียรกุล ผู้จัดการอาวุโสแผนกธุรกิจเครื่องพิมพ์ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด ได้วิเคราะห์ถึงทิศทางตลาดเครื่องพิมพ์ในไทยว่า สำหรับ บราเดอร์ ตลาดในภาพรวมยังคงทรงตัว การที่ บราเดอร์ จะเติบโตได้นั้นจะต้องขยายส่วนแบ่งการตลาดให้เพิ่มมากขึ้นด้วยการวางแผนขยายฐานกลุ่มลูกค้าคอมเมอร์เชียลให้เข้มข้นยิ่งขึ้น  สร้างสรรค์โปรแกรมการใช้งานที่เพิ่มความสะดวกและความคุ้มค่าเพื่อรักษากลุ่มลูกค้าในระยะยาว         เช่นเดียวกับกลุ่มตลาดรีเทล ที่บราเดอร์ได้รุกตลาดอย่างเต็มที่ในปีที่ผ่านมา ทั้งยังนำเสนอสินค้าใหม่ที่เพิ่มศักยภาพด้านคุณภาพการพิมพ์สู่ตลาด เพื่อเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่มีคุณภาพที่สุดสู่ตลาด  ซึ่งในปีนี้ บราเดอร์ ก็จะสานต่อกลยุทธ์ดังกล่าวในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้มากขึ้น ยิ่งในปีนี้ บราเดอร์ มีแบรนด์พรีเซนเตอร์ PROXIE (พร็อกซี) ก็ยิ่งทำให้ง่ายต่อการนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์สู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น

โดยจากรายงานของ จีเอฟเค (GFK) เกี่ยวกับตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องพิมพ์ในปี 2565 ระบุว่า บราเดอร์ครองส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มเครื่องพิมพ์โมโนเลเซอร์มัลติฟังก์ชัน 47.8%, กลุ่มเครื่องพิมพ์โมโนเลเซอร์อยู่ที่ 27.7%, กลุ่มเครื่องพิมพ์คัลเลอร์เลเซอร์มัลติฟังก์ชัน 51.5%, กลุ่มเครื่องพิมพ์คัลเลอร์เลเซอร์อยู่ที่ 37.3% และกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์แทงค์อยู่ที่ 23.4%

ในปีนี้ บราเดอร์ ยังคงสร้างการรับรู้เกี่ยวกับประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้จากการใช้วัสดุสิ้นเปลืองแท้ (genuine consumable products) ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา     ด้วยการร่วมมือกับช่องทางการขายที่จำหน่ายเฉพาะผลิตภัณฑ์แท้ทำการโปรโมทมาอย่างต่อเนื่องซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดี การเติบโตของช่องทางขายแบบอีคอมเมิร์ซ (e-commerce channel) ส่งผลอยากมากต่อประสิทธิภาพการขายในยุคปัจจุบัน             บราเดอร์ จึงได้เดินหน้าพัฒนาศักยภาพในด้านดังกล่าวแก่ช่องทางการขายทั่วประเทศด้วยเช่นกัน

 หากวิเคราะห์ถึงกระแสนิยมด้านการพิมพ์ ณ ปัจจุบันพบว่า ความต้องการในแบบ print on demand หรือ manage print service         ยังคงเป็นกระแสที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มลูกค้าคอมเมอร์เชียล         และเป็นสิ่งที่ บราเดอร์ ให้ความสำคัญมาตลอด และยังคงเน้นเพื่อการเติบโตต่อไปในปีนี้

 นายพงษ์พันธ์ สุระวัฒน์เจริญ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขยายธุรกิจ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมกระแสนิยมดังกล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บราเดอร์ ได้มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองต่อเทรนด์ดังกล่าวได้อย่างดี              โดยความสำเร็จของ   บราเดอร์   คือการพิสูจน์ให้เห็นว่าเราสามารถก้าวสู่การเป็น 1 ใน 3 แบรนด์ผู้นำในทุกกลุ่มตลาด non-print โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัล GTX ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 80% ด้วยคุณลักษณะที่สามารถสร้างสรรค์ชิ้นงานในแบบ personalized printing ได้ โดยแผนการขยายส่วนแบ่งการตลาดในปีนี้นั้นจะสอดคล้องไปกับแผนแม่บทขององค์กร ที่เน้นขยายตลาดสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ และการนำศักยภาพของสินค้าบราเดอร์มารวมกันในรูปแบบโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายได้อย่างลงตัวที่สุด นอกจากนี้ บราเดอร์ ยังวางแผนที่จะนำเข้าสินค้าใหม่ๆ เพื่อมอบประสบการณ์การพิมพ์ที่มีคุณภาพให้แก่กลุ่มตลาดคอมเมอร์เชียลและอินดัสเตรียล เพื่อเพิ่มโอกาสการขายให้มากขึ้นด้วย

 นอกจากนี้ การนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาของผู้บริโภค ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ บราเดอร์ ใช้เพื่อเปิดรับผู้บริโภคกลุ่มใหม่  ดังเช่นการเปิดตัว  ‘Brother AirSure’  เครื่องดักจับฝุ่นและละอองฝอยในอากาศที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในไทย ได้รับการการันตีจาก 2 สถาบันระดับโลกถึงประสิทธิภาพในการดักจับไวรัสโอไมครอนได้ถึง 99.9% ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ขององค์กรชั้นนำ นับเป็นการขยายธุรกิจสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมด้านสุขภาพเป็นครั้งแรกในไทย   ซึ่งปัจจุบัน  บราเดอร์  ได้ขยายช่องทางการขาย Brother Airsure บน online official store ทุกแพลทฟอร์ม เพื่อเพิ่มความสะดวกในการสั่งซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภคในราคาเครื่องละ 4,990 บาท

 ในปีงบประมาณ 2566 นั้น บราเดอร์ ได้วางทิศทางการทำงานในรูปแบบเชิงรุก ซึ่งแน่นอนว่าการจะเติบโตได้นั้น นอกจากจะมีกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีแล้ว ทีมขายซึ่งถือเป็นด่านหน้าก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยนายพีรพงศ์ พรประมินทร์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนการพัฒนาโครงสร้างทีมขายของบราเดอร์ว่า ได้กำหนดทิศทางการรุกตลาดโดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าคอมเมอร์เชียลเป็นหลัก ครอบคลุมทั้งการจำหน่ายผ่านพาร์ทเนอร์ตัวแทนขาย ที่ในปีนี้บราเดอร์ได้เดินหน้าขยายศักยภาพของตัวแทนขายในทุกด้าน   เพิ่มโอกาสทางการขายด้วยการเสนอขายสินค้ากลุ่มใหม่ๆ  ของบราเดอร์  เพื่อเติมเต็มความต้องการของ

กลุ่มลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บราเดอร์ ยังต้องการเจาะเข้าสู่กลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ อาทิ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มธุรกิจเฮลธ์แคร์ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก กลุ่มธุรกิจการศึกษา ฯลฯ  พร้อมทั้งขยายทีมขายตอบโครงสร้างใหม่ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการทำงานเชิงรุกมุ่งนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในรูปแบบโซลูชันที่ผสมผสานผ่านกลยุทธ์ Cross-Selling ประสานงานกับดีลเลอร์ในรูปแบบทีมเวิร์ค ซึ่งเชื่อว่าการปรับรูปแบบและกลยุทธ์ด้านการขายในครั้งนี้จะช่วยให้บราเดอร์เติบโตเพิ่มขึ้นในภาพรวม ทั้งยังขยายช่องทางขายแบบอีคอมเมิร์ซ (E-commerce Channel) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขายในปัจจุบัน

 ทั้งนี้ นอกจากการปรับทัพเสริมทีมเพื่อเพิ่มโอกาสทางการขายแล้ว บราเดอร์ ยังสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ ด้วยการเปิดตัวแบรนด์พรีเซนเตอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีตั้งแต่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยนางสาวนรีรัตน์ นวนพรัตน์สกุล ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการตัดสินใจในครั้งนี้ว่า  ล่าสุด  บราเดอร์  ได้เปิดตัวศิลปิน  T-Pop PROXIE (พร็อกซี)  ในฐานะแบรนด์พรีเซนเตอร์  เพื่อสนับสนุนแผนการขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มนิวเจน  ผ่านแนวคิด “ไปให้สุดเวย์ LET’s bro”  พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความฝันด้วยศักยภาพสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ครอบคลุมทุกความต้องการ ปัจจุบันบราเดอร์มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่ม Gen Z  อยู่ที่  11%   คาดปี 2566  จะสามารถเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ขึ้นเป็น 20%  โดยการจุดกระแสนิยมในครั้งนี้ บราเดอร์ ได้ทำการถอดรหัสพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ ผ่านการศึกษา customer journey เพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่ลูกค้าต้องการอย่างเจาะลึก โดยพุ่งเป้าไปที่ภารกิจการสร้าง community คนรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น โดยจะเป็นเสมือนปัจจัยเสริมสร้างความสำเร็จให้กับคนรุ่นใหม่ด้วยศักยภาพของสินค้าบราเดอร์ที่มีอย่างหลากหลาย ผ่านกลยุทธ์  customer experience สร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ และเมื่อ บราเดอร์ มี community ที่แข็งแกร่งก็จะพัฒนาให้เกิด brand loyalty ได้ในอนาคต

 อีกหนึ่งศักยภาพที่ บราเดอร์ ครองความเป็นเลิศในธุรกิจก็คือ คุณภาพงานบริการที่ได้รับการยอมรับทั้งจากองค์กรชั้นนำระดับสากลและกลุ่มผู้บริโภค โดยนางสาวรัสสิญากร ตัณฑวณิชย์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำเสนอทิศทางในการครองความเป็นผู้นำด้านบริการว่า ยังคงใช้กลยุทธ์ 4C เป็นหลักในการดำเนินงาน ประกอบด้วย

Customer-ลูกค้า    โดยจะเน้นเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น    ลูกค้าจะได้สัมผัสความเป็นบราเดอร์ผ่านกิจกรรมต่างๆ ทั้งกิจกรรมเชิงไลฟ์สไตล์และกิจกรรมที่ร่วมกันดูแลผลิตภัณฑ์ให้ใช้ได้ในระยะยาวเพื่อสร้าง engagement กับลูกค้า อาทิ การตรวจเช็คสภาพเครื่อง โดยสามารถจองผ่านระบบบนเว็บไซด์ การได้รับสิทธิประโยชน์ จากการใช้เครื่องและวัสดุการพิมพ์แท้ตามจำนวนการใช้งานและระยะเวลาการใช้งาน   การร่วมกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ  เช่น การสำรวจความพึงพอใจ เป็นต้น

Channel-ช่องทางการให้บริการ ปัจจุบัน บราเดอร์ มีช่องทางการให้บริการรวม 8 ช่องทาง โดยมี 5 ช่องทางที่ดูแลโดยทีม Contact Center ของ บราเดอร์ ได้แก่ บริการทางโทรศัพท์ อีเมล์ Facebook Live Chat และ น้อง Care chatbot และช่องทางอื่นๆ อีก 3 ช่องทาง ได้แก่ศูนย์บริการ 5 สาขา ที่บริหารงานโดยบราเดอร์, ทีมบริการ brother onsite service และ ศูนย์บริการแต่งตั้ง (Authorized Service Center) ครอบคลุมทั่วประเทศไทย และ 3 แห่งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยทุกช่องทางล้วนได้รับความพึงพอใจสูงมากจากกลุ่มลูกค้า พบว่าผลลัพธ์ของคะแนน Net Promoter Score (NPS) หรือความภักดีของลูกค้าต่อแบรนด์เฉลี่ยอยู่ที่ 82 คะแนนในทุกช่องทาง จากคะแนนค่ากลางเฉลี่ยที่ 50-70

Convenience-ความสะดวกสบายในการใช้บริการ ด้วยการนำดิจิทัล เทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนา chatbot อัจฉริยะ ทั้งน้อง Care ที่ให้บริการครอบคลุมทั้งก่อนและหลังการขายตลอด 24 ชั่วโมง และ Mr.Carer ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการแก่ศูนย์บริการแต่งตั้งทั้งหมด เพื่อสร้างมาตรฐานการให้บริการซ่อมบำรุงให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทุกแห่ง ทั้งยังเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการด้วย ซึ่งให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน

Community-ชุมชน  โดยในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการใน 3 กิจกรรม ประกอบด้วย Brother Care Pack บริการเสริมเพื่อเพิ่มระยะเวลาในการประกันเครื่องให้สามารถใช้ง่ายได้ในระยะยาว  นั่นหมายถึงลูกค้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและยังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมเพราะลดการใช้พลาสติกและลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วยเช่นกัน, การรณรงค์ให้ทิ้งวัสดุการพิมพ์อย่างถูกวิธี โดยลูกค้าสามารถส่งไปทิ้งได้ที่ศูนย์บริการของบราเดอร์ทั่วประเทศ เพื่อนำไปทำลายอย่างถูกวิธีเพื่อไม้ให้เกิดมลภาวะต่อโลก    และการส่งเสริมด้านการศึกษาพัฒนาทักษะอาชีพ เพิ่มศักยภาพความพร้อมให้คนรุ่นใหม่

นอกจากการจะใช้กลยุทธ์ 4C แล้ว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าที่มาใช้บริการจะได้รับความพึงพอใจและดูแลชุมชนไปพร้อมๆ กัน  ส่วนบริการของบราเดอร์ได้เพิ่มเติม กลยุทธ์ S5 โดยในกิจกรรมที่ทำ ต้องคำนึงถึง

Standard ที่เน้นแผนการพัฒนาสู่การให้บริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน จากที่มีอยู่แล้ว คือ Brother Service Excellence เพิ่มเติมคือ Brother Service Quality Assurance (BSQA) โดยการนำเกณฑ์คุณภาพในการบริการมาปรับให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้า และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นพัฒนาศักยภาพศูนย์บริการ และศูนย์บริการแต่งตั้ง เพื่อรองรับการให้บริการทุกกลุ่มลูกค้าและสินค้าของบราเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

Satisfaction   การสร้างความพึงพอใจในทุกจุดสัมผัส  (Touch Point)  ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย จะต้องแน่ใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับความพึงพอใจในการใช้บริการทั้งการบริการโดยพนักงาน หรือการใช้บริการผ่านน้อง Care Chatbot

 Superior Services  การได้รับการบริการที่เหนือกว่าเพิ่มการให้คุณค่าแก่ลูกค้า  ด้วยการสร้างengagement ผ่านกิจกรรมที่จะทำขึ้น

Sustainability ยังคงสานต่อกิจกรรมทั้ง Brother Care Pack, การรณรงค์ให้ทิ้งวัสดุการพิมพ์อย่างถูกวิธี และเพิ่มจำนวนสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมด้านการพัฒนาทักษะอาชีพทั้ง hard skill และ soft skill ให้ครอบคลุมทั่วทุกภาค  

System เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการของ Chatbot ทั้งในส่วนของน้อง Care และ Mr. Carer เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า

 ด้านนายพรภัค อุไพศิลป์สถาพร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด   กล่าวถึงแนวทางในการขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อสังคมในปีงบประมาณ 2566  ว่า จะมุ่งเน้นดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวคิด ESG เพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตอบโจทย์แผนการพัฒนา BCG ที่ทั้งประเทศไทยและทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในปัจจุบัน  ซึ่ง บราเดอร์ ได้กำหนดทิศทางดำเนิน งานภายใต้แนวคิด at your side 2030 ที่มุ่งเน้นให้เกิดความชัดเจนด้านวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของการดำเนินงานเป็นสำคัญ ให้มั่นใจได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเสมอ ในส่วนงานด้าน CSR นั้น บราเดอร์ ยังคงมุ่งส่งเสริมและคืนกลับสิ่งดีๆ สู่สังคม พร้อมทั้งช่วยรณรงค์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมบนโลกเพื่อความยั่งยืน โดย บราเดอร์ ได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างความยั่งยืน โดยแบ่งออกเป็น กลยุทธ์ระยะกลาง 2030 โดยพุ่งเป้าไปที่การลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดภาวะก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30% ลดการใช้

พลาสติกใหม่ให้น้อยที่สุดและนำพลาสติกที่ใช้แล้วมาเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเพื่อผลิตใหม่ และการส่งเสริมผู้บริโภคให้เกิดการใช้ซ้ำของบรรจุภัณฑ์วัสดุการพิมพ์เพื่อลดขยะปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้น และกลยุทธ์ระยะยาว 2050 สร้างให้เกิดสังคม Decarbonization พุ่งเป้าเพื่อให้บรรลุการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลจนเหลือศูนย์ และหันมาใช้พลังงานธรรมชาติทดแทนควบคู่ไปกับการรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์บนโลกให้สมบูรณ์ที่สุด

“สำหรับกิจกรรม CSR ของ บราเดอร์ในไทยนั้น จะยังคงเน้นที่ 2 กิจกรรมหลัก คือ โครงการอาสาอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติป่าชายเลน และโครงการ Brother Beat Cancer Run        ทั้งยังดำเนินการต่อในส่วนของกิจกรรมรองในโครงการ บราเดอร์ อีโค่บริกส์        นอกจากนี้  บราเดอร์  ยังจะเดินหน้ารักษามาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม  ISO 14001  และคงระดับ Gold ของรางวัล Green Office ไว้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกำหนดการสร้างสรรค์กิจกรรม CSR ใหม่ๆ ขึ้น 4 กิจกรรมในแต่ละปี เพื่อให้ชุมชนที่เราดำเนินธุรกิจนั้น มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น”  นายพรภัค กล่าวสรุป

from:https://www.enterpriseitpro.net/brother-growth-for-new-release/

เอปสันทรงดีทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ เติบโตรวมปี 65 กว่า 10% พร้อมเปิดกลยุทธ์รุกต่อธุรกิจ B2B

เอปสัน ประเทศไทยเผยผลดำเนินงานปี 65 สะท้อนความสำเร็จโดยรวมจากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ด้วยการกวาดยอดขายเติบโตทะลุ 10% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์อุตสาหกรรม โฮมโปรเจคเตอร์ และเครื่องพิมพ์สิ่งทอระบบดิจิทัล พร้อมเดินหน้า เติมความสดใหม่ให้กับธุรกิจผ่านกลยุทธ์ “NEW 5” และเน้นสร้างคุณค่าที่แตกต่างผ่านกลยุทธ์ Sustainability Marketing เพื่อธุรกิจ B2B ยุคใหม่

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ มีการรับรู้รายได้รวมจากการขายผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มในปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 10% ซึ่งเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่บริษัทฯ สามารถทำได้ตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ภาคธุรกิจเอกชนและหน่วยงานราชการได้มีการลงทุนกับอุปกรณ์ไอที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถาบันการศึกษาจำนวนมากเริ่มนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีมาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายของภาครัฐผ่านโครงการต่างๆ และการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้มีการจัดกิจกรรมการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับการกลับมาให้บริการอีกครั้งของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศได้เป็นปกติ รวมไปถึงภาคการผลิตของไทยก็ยังใช้ระบบซัพพลายเชนภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ก็เริ่มคลี่คลาย ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ตลาดไอทีในประเทศมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น”

สำหรับธุรกิจของเอปสันประเทศไทยในปีที่ผ่านมา กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มสินค้าเครื่องพิมพ์อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงที่สุดถึง 170% ซึ่งเอปสันได้มีการทำกิจกรรมการตลาดเพื่อแนะนำสินค้าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความมั่นใจของผู้บริโภคในแบรนด์เอปสันที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ ทำให้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ถัดมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมโปรเจคเตอร์ที่มีการเติบโตอยู่ที่ 64% โดยเป็นผลมาจากจำนวนลูกค้าติดตั้งโฮมเธียเตอร์ระดับไฮเอนด์ภายในบ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกระแสความสนใจชมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในการดูภาพยนตร์แบบส่วนตัวภาย ในบ้านมากขึ้น และอันดับที่ 3 ได้แก่กลุ่มเครื่องพิมพ์สิ่งทอระบบดิจิทัลที่เติบโต 52% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจโดยรวม

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีการเติบโตได้ดี ได้แก่กลุ่มผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง ที่มีการเติบโตอยู่ที่ 43% กลุ่มเครื่องพิมพ์มินิแล็บที่เติบโต 29% ขณะที่เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทขนาดใหญ่ที่ทางเอปสันได้นำเข้าไปทำตลาดแข่งขันกับกลุ่มเครื่องถ่ายเอกสารก็มีการเติบโตที่ดี โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 23% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการเข้าไปชิงส่วนแบ่งตลาดจากเครื่องถ่ายเอกสารตามสำนักงานที่ใช้เทคโนโลยีเลเซอร์อยู่เดิม

ด้านเป้าหมายและกลยุทธ์ธุรกิจของปี 2566 นายยรรยงได้กล่าวว่า “ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดไอทีต้องเผชิญกับบรรยากาศที่อึมครึม เริ่มตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 มาจนถึงผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เอปสันได้ดำเนินกลยุทธ์ในหลายมิติจนสามารถก้าวข้ามความท้าทายมาได้ ในปี 2566 นี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าที่จะสร้างการเติบโตให้ได้มากกว่า 10% เป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยได้วางกลยุทธ์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในช่วง Post COVID19 เช่นนี้ ที่จะเน้นสร้างความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ให้กับธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่ ผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘New 5’ ซึ่งประกอบด้วย New S-curve, New Target, New Business Model, New Service และ New Experience โดยยึดหลักความยั่งยืน (Sustainability) เป็นสารสำคัญที่จะถ่ายทอดผ่านกลยุทธ์ทุกทาง”

New S-curve มีเทคโนโลยี Heat-Free เป็นแกนหลัก ที่จะสร้างการเติบโตต่อไปในอนาคตให้กับเอปสัน ร่วมด้วยเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อสร้างความความยั่งยืนให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาธุรกิจและการลงทุนสู่ความยั่งยืนของไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น โดยที่เห็นได้ชัดเจนคือการที่เอปสันประกาศยุติการจำหน่ายเครื่องพิมพ์เลเซอร์ พร้อมเปิดตัวเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่นอิงเจ็ทในกลุ่ม WorkForce Enterprise รุ่น AM-Series ที่ใช้หัวพิมพ์ PrecisionCore Heat-Free Technology ที่กินไฟน้อย และถูกออกแบบให้มีชิ้นส่วนประกอบที่ต้องดูแลรักษาน้อย ทำให้บำรุงรักษาง่าย เพื่อมาแข่งขันในตลาดเดียวกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์และเครื่องถ่ายเอกสาร นอกจากนี้ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เลเซอร์โปรเจคเตอร์ ที่มีแหล่งกำเนิดแสงแบบเลเซอร์ ให้ความสว่างที่สูงกว่าแต่กินไฟน้อยกว่าเทคโนโลยีแบบหลอดภาพกำลังสร้างการเติบโตได้อย่างรวดเร็วในตลาด

New Target เอปสันจะใช้ความได้เปรียบในด้านผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนรุ่นที่หลากหลายที่สุดในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทความเร็วสูงที่เอปสันได้เข้าไปทำตลาดในกลุ่มเครื่องถ่ายเอกสาร ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่อย่าง WorkForce Enterprise AM-Series เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ที่จะมาช่วยเติมเต็มไลน์สินค้าและสร้างโอกาสในการเพิ่มการขาย ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่างดี สอดคล้องกับข้อมูลตลาดจาก IDC ที่เปิดเผยว่าประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดในภูมิภาค นอกจากนี้ยังมีสินค้าในกลุ่มเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมถึงเลเซอร์โปรเจคเตอร์ ทำให้สามารถครอบคลุมความต้องการใช้งานได้หลากหลาย สร้างโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้ไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใหม่หรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่

New Business Model เอปสัน ได้เริ่มทำธุรกิจเชิงการบริการ อย่างเช่นการนำเสนอรูปแบบบริการการพิมพ์แบบจ่ายรายเดือนอย่าง EasyCare ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถควบคุมต้นทุนการพิมพ์ของตัวเองได้ ไม่ต้องสต๊อกหมึก เพราะบริษัทฯ จะส่งหมึกให้โดยคำนวณค่าใช้จ่ายจากจำนวนพิมพ์รายแผ่น ทั้งยังมีบริการ On-site service ส่งช่างซ่อมไปถึงออฟฟิศ และในครึ่งปีหลังของปี 2566 ยังมีแผนที่จะเปิดการให้บริการการพิมพ์ภายใต้คอนเซ็ป Epson iPrint AnyWhere เพื่อสนับสนุนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับตัวหลังการระบาดของโควิด-19 ที่มีรูปแบบการทำงานเป็นแบบ Hybrid มากขึ้น ทำให้เกิดความต้องการในการพิมพ์งานเอกสารตามสถานที่ต่างๆ โดยบริการนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้และองค์กรในการพิมพ์เอกสารได้จากหลายสถานที่ ผ่านเครื่องพิพม์เอปสันในสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่าย

New Experience เอปสัน ประเทศไทย ได้มีการลงทุนในการสร้างโซลูชั่นเซ็นเตอร์แห่งใหม่ ซึ่งจะเปิดให้บริการภายในไตรมาส 3 ของปี 2566 นี้ โดยจะรวบรวมผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่มาจัดแสดง พร้อมกับทำการสาธิตและจัดอบรมให้กับตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าที่สนใจ ให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้งานเครื่องจริงก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับลูกค้าองค์กร นอกจากนี้ โซลูชั่นเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้ยังถูกออกแบบด้วยแนวคิดด้านความยั่งยืน เพื่อเป็นแบบแผนหรือต้นแบบให้องค์กรธุรกิจทั่วไปในการนำไปปรับใช้ในธุรกิจของตน

New Service ในด้านการบริการ เอปสันได้ทำการเสริมศักยภาพการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย โดยก่อนการขาย เอปสันได้เพิ่มทีมงาน Pre-sales เพื่อให้สนับสนุนการทำโซลูชั่นต่างๆ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการสนับสนุนข้อมูลผ่านทาง digital platform ต่างๆ และที่สำคัญในปีใหม่นี้ เอปสันมีแผนขยายเครือข่ายการให้บริการหลังการขายของสินค้ากลุ่ม B2B จาก 122 แห่ง เป็น 130 แห่ง เพื่อตอบสนองการขยายตัวของสินค้าเอปสัน กลุ่ม B2B ที่ออกไปยังภูมิภาคมากขึ้น รองรับการขยายตัวของตลาด และลดระยะเวลาในการส่งเครื่องซ่อม

นายยรรยง กล่าวเสริมว่า “กลยุทธ์ที่กล่าวมานั้นแสดงถึงความมุ่งมั่นและความต่อเนื่องของเอปสัน ประเทศไทยในการทำตลาดเชิงรุกและมีพลวัต มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ด้วยโซลูชั่นด้านผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อนำเสนอ “คุณค่าที่แตกต่าง” (Value) ที่ผสมผสานแนวคิดด้านความยั่งยืน (Sustainability) ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นำพาธุรกิจของผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์เอปสันเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้ากลุ่ม B2B ต้องการมากที่สุดจากการลงทุนเพื่อยกระดับธุรกิจให้พร้อมที่จะแข่งขันในตลาดที่เข้าสู่ยุค Digitalization อย่างเต็มตัว และสามารถเกิด Disruption ได้ทุกเวลา”

สำหรับปี 2566 นี้ เช่นเดียวกับเอปสันในทุกตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ เอปสัน ประเทศไทยจะยกระดับความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะผลักดันประเด็นดังกล่าวเข้าไปสู่กลไกทางธุรกิจและกิจกรรมทางการตลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการขานรับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาวของไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น หรือที่เรียกว่า ‘Environmental Vision 2050’ รวมถึงการจัดกิจกรรมด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าร่วมกับ WWF ซึ่งลงนามสัญญาในฐานะ International Partnerships กับทางสำนักงานใหญ่เป็นระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ หลังจากที่ก่อนหน้า ได้ร่วมมือกันทำงานบนโปรเจ็คท์อนุรักษ์ปะการังมาแล้วทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ปี 2022

นายยรรยง กล่าวว่า “เอปสันให้ความสำคัญกับคุณค่าความยั่งยืน โดยบริษัทฯ เป็นบริษัทแรกในอุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นที่เปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนที่โรงงานผลิตภายในประเทศได้อย่างสมบูรณ์ และได้เดินหน้าเปลี่ยนในทุกโรงงานทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเปลี่ยนได้ทั้งหมดภายในปี 2566 นี้ ซึ่งได้ประมาณการว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ต่อปีได้ถึงราว 350,000 ตัน ปัจจุบัน โรงงานผลิตที่ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียก็ได้เปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“ทุกวันนี้ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมได้ผสานเข้ากับการทำธุรกิจของบริษัทมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังมีกระแสเรียกร้องจากผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ให้ผู้ผลิตสินค้าและผู้ประกอบการตลอดซัพพลายเชนให้ความ สำคัญกับในเรื่องดังกล่าวมากยิ่งขึ้น ความยั่งยืนจึงเป็นตั้งแต่ไอเดียของกิจกรรมซีเอสอาร์ ไปจนถึงกลยุทธ์ในการทำตลาด และโดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ความยั่งยืนกลายเป็นพันธกิจสำคัญที่กำหนดเป้าหมายและรูปแบบการทำธุรกิจ เช่นเดียวกับไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ที่ความยั่งยืนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอองค์กรไปแล้ว” นายยรรยง กล่าว

from:https://www.enterpriseitpro.net/epson-news-release-for-media/

วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) คว้ารางวัลผู้แทนจำหน่าย Cloud ยอดเยี่ยมแห่งปีจาก Microsoft

บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือของวีเอสที อีซีเอส กรุ๊ป ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไอทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค รับมอบรางวัลคู่ค้ายอดเยี่ยมแห่งปี 2022 คือ Microsoft Cloud Distributor of the Year 2022 จากคุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ในงาน Microsoft Thailand Partner of the Year Awards 2022 ซึ่งจัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ประจำประเทศไทยของบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยวีเอสที อีซีเอส ได้รับรางวัลดังกล่าวในฐานะสุดยอดตัวแทนจำหน่ายที่สามารถสร้างยอดขายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Microsoft Cloud และ Perpetual ได้สูงสุดในประเทศไทย

from:https://www.enterpriseitpro.net/vst-ecs-get-award-from-microsoft/

NVIDIA GTC 2023 เตรียมจัดประชุมเสมือนจริง

NVIDIA เจ้าภาพจัดการประชุม GTC 2023 แบบเสมือนจริง ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20-23 มีนาคม โดยมีการปาฐกถาพิเศษจาก Mr.Jensen Huang ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท

ในงานนี้จะมีห้วข้อการบรรยายที่อัดแน่นด้วยความรู้มากกว่า 650 หัวข้อ จากนักวิจัย นักพัฒนาระดับโลกและผู้นำในอุตสาหกรรมด้าน AI การประมวลผลและกราฟิกประสิทธิภาพสูงกับทุกสาขาของคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ GTC ยังเปิดเวทีสนทนาแบบเป็นกันเองกับ Huang และ Ilya Sutskever ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI รวมถึงการพูดคุยโดย Demis Hassabis จาก DeepMind, Emad Mostaque จาก Stability AI และอื่น ๆ อีกมากมาย

มิสเตอร์ Jensen Huang ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท NVIDIA เปิดเผยว่า สำหรับความพร้อมการจัดงาน GTC 2023 – ประชุมเสมือนจริงปี 2023 ซึ่งครอบคลุมถึงความก้าวหน้าล่าสุดของ AI แบบรู้สร้าง เมตาเวิร์ส โมเดลภาษาขนาดใหญ่ วิทยาการหุ่นยนต์ คลาวด์คอมพิวติ้ง และอื่น ๆ

พร้อมกันนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 250,000 คน ในการลงทะเบียนเข้าร่วมงานตลอด 4 วัน ซึ่งจะรวมถึง 650+ หัวข้อจากนักวิจัย นักพัฒนา และผู้นำอุตสาหกรรมในแทบทุกสาขาของคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ GTC ยังนำเสนอการสนทนาที่เป็นกันเองกับ Huang และ Ilya Sutskever ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI รวมถึงการพูดคุยโดย Demis Hassabis จาก DeepMind, Emad Mostaque จาก Stability AI และอื่น ๆ อีกมากมาย

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมงานได้ฟรี ที่นี่ NVIDIA GTC https://nvda.ws/3XATkds

“นี่เป็นช่วงเวลาที่พิเศษที่สุดที่เราได้เห็นในประวัติศาสตร์ของ AI” Huang กล่าว “เทคโนโลยี AI ใหม่ และการยอมรับที่แพร่หลายอย่างรวดเร็วกำลังเปลี่ยนแปลงวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม และเปิดพรมแดนใหม่ให้กับบริษัทใหม่นับพันแห่ง นี่จะเป็น GTC ที่สำคัญที่สุดของเรา”

ที่มา : ข่าวพีอาร์

from:https://www.enterpriseitpro.net/nvidia-gtc-2023/

AIS ตอกย้ำขุมพลัง 5G ยืนหนึ่งโครงข่ายใหญ่สุด ผนึกพาร์ทเนอร์เครือข่ายระดับโลก

หลังจากที่ AIS ประกาศความสำเร็จในการทดสอบเทคโนโลยี 5G CA (Carrier Aggregation) สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลกบนคลื่นความถี่ 2600 MHz และ 26 GHz เมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา โดยในครั้งนั้นเป็นการทดสอบที่สามารถทำความเร็วการดาวน์โหลดได้ที่ 8.5 Gbps และอัปโหลดได้ถึง 2.17Gbps วันนี้ AIS ยืนยันความมุ่งมั่นอีกครั้งในการนำนวัตกรรมเข้ามายกระดับโครงข่ายตามเจตนารมณ์ที่ได้เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ ด้วยการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ด้านเครือข่ายระดับโลกในการทดลองทดสอบเทคโนโลยี 5G CA อย่างต่อเนื่อง

ด้วยการนำคลื่นความถี่แบบเต็มแบนด์วิธทั้งคลื่นความถี่ย่านกลาง 2600 MHz จำนวน 100 MHz รวมกับคลื่นความถี่ย่านสูง 26 GHz จำนวน 1200 MHz มาทดสอบทั้งในห้องแล็บ และบน Live Network หรือเครือข่ายจริงที่กำลังให้บริการ ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่สามารถทำความเร็วดาวน์โหลดสูงสุดทะลุมาตรฐาน 5G ได้ถึง 22.01Gbps และอัพโหลดสูงสุด 4.4Gbps นับเป็นการยืนยันความพร้อมของโครงข่ายอัจฉริยะ 5G จาก AIS ที่พร้อมเชื่อมต่อทุกอุปกรณ์ที่รองรับในอนาคต

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ AIS กล่าวว่า “จากเป้าหมายการเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ทำให้ AIS เดินหน้าพัฒนาขีดความสามารถของโครงข่ายที่มีในมือให้มีความพร้อม ด้วยงบลงทุนในปีนี้กว่า 27,000 – 30,000 ล้านบาท เพื่อให้รองรับการใช้งานดิจิทัลสำหรับลูกค้าและคนไทยทุกกลุ่มให้เข้าถึงการใช้งานรวมถึงบริการดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียมทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยเฉพาะโครงข่าย 5G ที่วันนี้ AIS ยังคงเป็นผู้นำทั้งในแง่ของความครอบคลุมพื้นที่การใช้งาน และในแง่ของความพร้อมในการรองรับจำนวนผู้ใช้บริการ

จึงเป็นที่มาของการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันคิดค้นพัฒนานวัตกรรมโครงข่ายและอุปกรณ์เพื่อเตรียมรองรับการใช้งานทั้งกับผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคธุรกิจ ที่ต้องการความเร็วแรงของเครือข่ายในระดับสูง ดังเช่นการทดลองทดสอบเทคโนโลยี 5G CA ในครั้งนี้ที่เป็นทดลองทดสอบ ทั้งในห้องทดสอบ (Lab Test) และบนเครือข่ายที่กำลังให้บริการหรือ Live Network ที่กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ซึ่งใช้อุปกรณ์ตัวรับสัญญาณ และกระจายสัญญาณ AAU 2600MHz และ AAU mmWave เป็นตัวแรกของโลก มาทดสอบ บนคลื่นความถี่ย่านกลาง 2600 MHz จำนวนแบนด์วิธ 100 MHz มารวมกับคลื่นความถี่ย่านสูง 26GHz จำนวนแบนด์วิธ 1200MHz ทำให้เป็นการทดสอบครั้งแรกที่มีการนำแบนด์วิธกว้างที่สุดถึง 1200 MHz ซึ่งผลการทดลองทดสอบออกมาได้ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุดถึง 22.01Gbps และ อัพโหลดสูงสุด 4.4 Gbps”

นายวสิษฐ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า “เราเชื่อว่าศักยภาพของ 5G จะเป็นหัวใจสำคัญต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงจะสร้างประโยชน์และประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งผู้บริโภคและกลุ่มองค์กรภาคธุรกิจ นอกเหนือจากการเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีให้มีความแข็งแกร่งแล้ว การที่เราเดินหน้าทดลองทดสอบเทคโนโลยีโครงข่ายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของผู้ประกอบการไทย ที่จะผลักดันให้ Ecosystem ทั้งด้านอุปกรณ์ Network, Chipset และ Terminal Devices ผลิตอุปกรณ์ออกมาให้รองรับมาตรฐาน 5G ที่ความเร็วสูงสุดตามที่ได้มีการทดลองทดสอบ เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์การใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และนำนวัตกรรมไปต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ประเทศก้าวไปยืนอยู่ในเวทีโลกต่อไป”

from:https://www.enterpriseitpro.net/ais-5g-news-release-2023/

พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ แนะ 5 วิธีปกป้องตนเองบนโลกออนไลน์

ขณะที่เราเข้าสู่ปี 2566 มาไม่นาน อุบัติการณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ก็สร้างความเสียหายมากขึ้นต่อเนื่อง โดยมุ่งเป้าไปที่บริษัทขนาดใหญ่ เป็นหลัก ด้วยการใช้เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อนและเรียกร้องกรรโชกกดดันอย่างหนัก เราเห็นข่าวผู้เสียหายสูญเสียเงินเกือบทุกวัน ตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ เช่น มิจฉาชีพหลอกเหยื่อว่าเป็นเจ้าของร้านคอมพิวเตอร์และมีส่วนลด 30% และเงินสด 5,000 บาท ในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา มิจฉาชีพหลอกขอข้อมูลส่วนตัวจากเหยื่อผ่านไลน์ไอดี และเว็บไซต์ปลอม รวมถึงดาวน์โหลดไฟล์ APK ที่ไม่ปลอดภัย ทำให้เหยื่อสูญเสียเงินในบัญชีจำนวนมาก

ดร.ธัชพล โปษยานนท์ ผู้อำนวยการ ประจำประเทศไทยและอินโดจีน พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ เปิดเผยว่า ข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญ และเป็นความลับและเราจึงไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัวกับใคร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ บนอุปกรณ์และบัญชี สามารถดูแลปกป้องความเป็นส่วนตัวจากบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตซึ่งพยายามแอบลักลอบเข้าถึงอุปกรณ์และข้อมูลส่วนตัวโดยไม่พึงประสงค์ เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และข้อมูลออนไลน์ ดร. ธัชพล ได้แนะนำแนวปกป้องข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์ด้วยวิธีการง่ายๆ 5 วิธี ประกอบด้วย

1. ปกป้องแอคเคาท์ของคุณ: การล็อกและปกป้องบัญชีของคุณเป็นเรื่องสำคัญ คุณไม่ควรเปิดเผยข้อมูลทางบัญชีที่อ่อนไหวกับบุคคลใดก็ตาม ทุกคนควรใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่านเพื่อสร้างและจดจำรหัสผ่านที่ซับซ้อนและแตกต่างกันในแต่ละแอคเคาท์และควรหลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านที่คาดเดาได้ง่าย เช่น “password”, “1234” หรือใช้วันเกิดเป็นรหัสผ่าน หากเป็นเช่นนั้น ควรเปลี่ยนรหัสผ่านให้บ่อย อีกทั้งทุกคนควรใช้การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอนกับทุกบัญชีออนไลน์ในทุกกรณีหากเป็นไปได้

2. ปกป้องการท่องเว็บ: เพื่อเป็นการยับยั้งโฆษณาที่แอบติดตามคุณ คุณควรปิดโฆษณาประเภทอิงตามความสนใจ ทั้งที่มาจาก Apple, Facebook, Google และ Twitter และยอมรับคุกกี้ของเว็บไซต์เฉพาะเท่าที่จำเป็น อีกทั้งยังแนะนำให้ใช้เครือข่ายส่วนตัวแบบเสมือน (VPN) หรือฮอตสปอตส่วนตัวแทนการเชื่อมต่อกับไว-ไฟสาธารณะเมื่อต้องการท่องอินเทอร์เน็ต

3. ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสบนคอมพิวเตอร์: ซอฟต์แวร์ที่ประสงค์ร้ายที่แฝงอยู่กับคอมพิวเตอร์ของเราสามารถสร้างหายนะได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การแสดงหน้าต่างโฆษณาไปจนถึงการแอบขุดบิตคอยน์ หรือกระทั่งสแกนหาข้อมูลส่วนตัวของคุณ หากคุณเสี่ยงต่อการคลิกลิงก์อันตรายหรือต้องใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกันหลายคนในครอบครัว แนะนำให้ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสโดยเฉพาะบนคอมพิวเตอร์ตระกูล Windows เพราะแฮกเกอร์มักใช้มัลแวร์หรือไวรัสเพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ ซึ่งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสจะช่วยปกป้องคุณจากแฮกเกอร์ได้ในกรณีส่วนใหญ่

4. อัปเดตซอฟต์แวร์และอุปกรณ์: ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เปิดใช้การอัปเดตแบบอัตโนมัติบนระบบปฏิบัติการที่ใช้งานอยู่หรือไม่ ทั้งบนระบบ Windows, macOS หรือ Chrome OS ก็ตาม ผู้ใช้ควรตั้งค่าให้แอปบนอุปกรณ์มีการอัปเดตโดยอัตโนมัติ หากไม่พบตัวเลือกการอัปเดตอัตโนมัติ อาจจำเป็นต้องรีบูตอุปกรณ์ด้วยตนเองเป็นครั้งคราว (อาจตั้งรายการเตือนในปฏิทินเป็นประจำทุกเดือนก็ได้)

5. บ่มเพาะนิสัยแห่ง ‘ซีโรทรัสต์’ หรือความไม่วางใจใดๆ: เคล็ดลับข้อสุดท้ายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด โดยทั่วไปแฮกเกอร์มักไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ตรงหน้าและมองหาลู่ทางเพิ่มเติมโดยตลอด แฮกเกอร์ไม่ได้พอใจกับข้อมูลบริษัทเล็กๆ ที่ตนเองมีอยู่ในมือ เช่น โรงแรมต่างๆ แต่มักพยายามลอบขโมยข้อมูลจากองค์กรขนาดใหญ่ องค์กรต่างๆ สามารถรับมือปัญหาดังกล่าวได้โดยใช้แนวทางการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่เรียกว่า “ซีโรทรัสต์” ซึ่งอนุมานว่าคนร้ายแฝงอยู่ในเครือข่ายองค์กรเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงไม่ควรไว้วางใจผู้ใดก็ตาม ควรมีการตรวจสอบผู้ใช้ทุกคน ยืนยันอุปกรณ์ทุกเครื่อง จำกัดการเข้าถึงและสิทธิ์ต่างๆ เฉพาะที่จำเป็น และใช้ระบบแมชชีนเลิร์นนิ่งที่มีความอัจฉริยะซึ่งสามารถเรียนรู้และปรับเปลี่ยนการทำงานได้ตามพฤติกรรมผู้ใช้ที่เกิดขึ้น เพื่อจะได้ไม่กระทบต่อการทำงานของพนักงาน

from:https://www.enterpriseitpro.net/palo-alto-5-topics-new-release/

ซิลเวอร์เลค แอ็คซิส ลุยเจาะธนาคารดิจิทัลในไทย ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารคนใหม่

ซิลเวอร์เลค แอ็คซิส ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และเป็นผู้ให้บริการโซลูชันทางเทคโนโลยีชั้นนำในเอเชีย ประกาศเป้าหมายการเติบโตในประเทศไทย ประกาศแต่งตั้งนายอูรชา พงษ์วัฒนา ขึ้นเป็นผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและศรีลังกา ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนพนักงานอีกกว่า 40% ในปี 2566นี้ พร้อมประกาศเป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์กับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เพื่อยกระดับระบบงานหลักของธนาคารให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความสำคัญและเติบโตสำหรับซิลเวอร์เลค แอ็คซิส ซึ่งรายงานล่าสุดจาก McKinsey ประเทศไทยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงด้วยศักยภาพที่พร้อมรับกับอนาคตและความสามารถด้านการแข่งขันในฐานะผู้นำธนาคารระดับภูมิภาค อันประกอบไปด้วยการสร้างโมเดลธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ สร้างเสริมประสบการณ์การใช้งานที่ทันสมัยและศักยภาพที่พร้อมรองรับการเติบโต ทั้งนี้จากรายงานมูลค่าตลาดรวมของธนาคารในภูมิภาคอาเซียน พบว่าประเทศไทยมีมูลค่าตลาดลดลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มธนาคารของไทยถูกแทนที่ด้วยผู้เล่นระดับภูมิภาคด้วยสถานะการเป็นธนาคารที่มีมูลค่าตลาดสูง สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธนาคารไทยที่จะเร่งพัฒนาบริการและสร้างมูลค่าธุรกิจเพิ่มเติมด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหาประสบการณ์ด้านดิจิทัลที่เหนือระดับ ซึ่งขณะนี้ธนาคารของไทยก็กำลังเร่งเดินหน้านำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำมาใช้เพื่อปรับปรุงรูปแบบธุรกิจ ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังทำให้ธนาคารสามารถเข้าถึงกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่มีสัดส่วนกว่า 99.6% ของกิจการในประเทศ และคิดเป็น 70% ของแรงงาน ในขณะที่มีเพียง 30% เท่านั้นที่เข้าถึงสินเชื่อ ดังนั้นธนาคารจึงต้องคิดทบทวนโมเดลการดำเนินกิจการและเสนอบริการเพื่อรองรับกลุ่มที่ขาดโอกาส ด้วยโมเดลบริการอันทันสมัยและศักยภาพที่ใช้ระบบดิจิทัลเป็นเครื่องชี้นำ ทำให้ธนาคารของไทยพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในอนาคต อีกทั้งยังสามารถไขว่คว้าโอกาสด้านสินเชื่อผู้บริโภคอีกด้วย

from:https://www.enterpriseitpro.net/silverlake-new-executive-new-release/

โซนี่ไทยเปิดตัว Float Run หูฟังดีไซน์ใหม่เอาใจสายวิ่ง

บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด เอาใจคนรักเสียงเพลง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องเสียงพกพา นำทีมโดยวอล์คแมน และหูฟังรุ่นใหม่ล่าสุด ตอบโจทย์ความบันเทิงสมบูรณ์แบบในทุกไลฟ์สไตล์ นำโดย NW-A306 Walkman จากตระกูล A Series ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างชาญฉลาด ควงคู่มากับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มหูฟัง รุ่นใหม่ล่าสุด ได้แก่ Float Run รุ่น WI-OE610 ซึ่งเป็นหูฟังแบบ off-ear กับดีไซน์สุดพิเศษที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อนักวิ่ง และนักกีฬาโดยเฉพาะ รวมถึง WH-CH720N และ WH-CH520 หูฟังไร้สายแบบครอบหูรุ่นใหม่จากโซนี่ โดยทุกรุ่นมาพร้อมเทคโนโลยีเสียงที่พัฒนาล่าสุดจากโซนี่ และเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ที่ใช้งานต่อเนื่องได้นานยิ่งขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์การฟังเพลงที่เหนือชั้น พร้อมเปิดให้ผู้สนใจสามารถสั่งจอง Float Run ได้ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึง 5 มีนาคม ศกนี้ ในราคา 4,990 บาท พร้อมรับฟรีกระเป๋าผ้ารักษ์โลก

from:https://www.enterpriseitpro.net/sony-float-run-new-release/